สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 30 มิถุนายน 2564

LGBTQ+ อยากกู้ซื้อบ้าน โอกาสมีมากน้อยแค่ไหน ?

LGBTQ+ อยากกู้ซื้อบ้าน โอกาสมีมากน้อยแค่ไหน ?

คลายข้อสงสัย LGBTQ+ อยากกู้ซื้อบ้าน แต่ไม่เข้าเงื่อนไขธนาคาร เจาะลึกความท้าทาย พรบ.คู่ชีวิต และโอกาสอนุมัติสินเชื่อมีมากน้อยแค่ไหน?

เดือนมิถุนายนของทุกปี ถือเป็นเดือนแห่งความเท่าเทียมทางเพศที่เรียกกันว่า Pride Month ของกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศ (LGBTQ+) โดยมีจุดเริ่มต้นมาจากเหตุการณ์ใช้ความรุนแรงต่อผู้มีความหลากหลายทางเพศที่ประเทศสหรัฐอเมริกาในวันที่ 28 มิถุนายน 1969 ซึ่งนำมาสู่การเรียกร้องสิทธิของชาว LGBTQ+ ทั่วโลก และการเดินขบวนเรียกร้องสิทธิ LGBT Pride March ในปีถัดมา 

ปัจจุบันสังคมทั่วโลกตระหนักรู้และยอมรับความเสมอภาคทางเพศและได้ให้ความสำคัญไปจนถึงนำเสนอสินค้าหรือบริการที่เจาะกลุ่มคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น อย่างไรก็ดีผู้บริโภคชาว LGBTQ+ ต้องการการยอมรับจากสังคมด้วยความเข้าใจที่แท้จริง และความต้องการของเขาเหล่านี้ก็ไม่ได้ผิดแผกแตกต่างจากกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นเพศชายและหญิงมากนัก แต่สิ่งที่ชัดเจนคือการยอมรับในความเป็นสมาชิกคนหนึ่งในสังคม

ข้อมูลจากรายงาน LGBT GDP, WEALTH & TRAVEL DATA 2018 โดย LGBT Capital คาดการณ์ว่าทั่วโลกมีจำนวนประชากรกลุ่ม LGBTQ+ ประมาณ 6.5% หรือประมาณ 496 ล้านคน อยู่ในแถบเอเชียประมาณ 293 ล้านคน โดยประชากร LGBTQ+ ชาวไทยมีถึง 4.5 ล้านคน ซึ่งผู้บริโภคกลุ่มนี้มีกำลังซื้อและพฤติกรรมการใช้เงินในระดับดี มีการประมาณส่วนแบ่งความมั่งคั่งในครัวเรือนของผู้บริโภค LGBTQ+ ชาวไทยอยู่ที่ 28,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ 

นอกจากนี้ งานวิจัยของเอาท์ นาว คอนซัลติ้ง ร่วมกับ เวิลด์ ทราเวล มาร์เก็ต (WTM) เผยว่าชาว LGBTQ+ ใช้จ่ายไปกับการท่องเที่ยวสูงถึง 2 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปีเลยทีเดียว เนื่องจากการที่ชาว LGBTQ+ ส่วนใหญ่มักไม่มีบุตรจึงไม่มีภาระค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ จึงเลือกวางแผนชีวิตอย่างเป็นรูปแบบและใช้จ่ายเพื่อซื้อความสุขให้ตัวเองตามไลฟ์สไตล์ที่สนใจมากขึ้นแทน

ทางด้านตลาดอสังหาฯ นั้น ความต้องการของชาว LGBTQ+ ยังสอดคล้องกับผู้บริโภคส่วนใหญ่ ข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study พบว่า ปัจจัยภายในที่ผู้บริโภคชาวไทยให้ความสำคัญเมื่อต้องเลือกซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย ส่วนใหญ่จะเน้นไปที่การพิจารณาขนาดที่อยู่อาศัยมาก่อนถึง 48% ตามมาด้วยความครบครันของสิ่งอำนวยความสะดวก (44%) และความคุ้มค่าของราคาเฉลี่ยต่อพื้นที่ใช้สอย (38%) 
ในขณะที่ปัจจัยภายนอกโครงการที่มีผลต่อการตัดสินใจเลือกซื้อ/เช่าที่อยู่อาศัยนั้น ผู้บริโภคเกินครึ่ง (54%) ให้ความสำคัญเรื่องทำเลที่ตั้งมากที่สุด ตามมาด้วยความสะดวกสบายจากการเข้าถึงระบบขนส่งสาธารณะ (50%) และความปลอดภัยในโครงการ (45%)

LGBTQ+ อยากกู้ซื้อบ้าน โอกาสมีมากน้อยแค่ไหน ?

ความท้าทายของชาว LGBTQ+ เมื่ออยากเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัย

แม้สังคมไทยปัจจุบันจะเปิดรับความหลากหลายทางเพศมากขึ้น แต่ยังไม่มีการรับรองความสัมพันธ์แบบคู่ชีวิตอย่างเป็นทางการ จึงส่งผลต่อการทำธุรกรรมของชาว LGBTQ+ เมื่อต้องการซื้ออสังหาฯ ซึ่งเป็นข้อจำกัดสำคัญของคู่รักชาว LGBTQ+ ที่ต้องการใช้สิทธิกู้ร่วมไม่น้อย โดยทั่วไปแล้วการขอสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของชาว LGBTQ+ หากเป็นการกู้เพียงลำพังก็สามารถดำเนินการยื่นขอสินเชื่อได้ทันทีไม่ต่างจากเพศชายและเพศหญิง แต่ไม่สามารถขอสินเชื่อเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยในฐานะผู้กู้ร่วมได้เฉกเช่นคู่รักทั่วไปได้ 

เนื่องจากไม่เข้าเงื่อนไขของธนาคารที่ระบุว่าผู้กู้ร่วมนั้นจะต้องเป็นบุคคลที่มีความใกล้ชิดกัน เป็นผู้ที่มีความสัมพันธ์ร่วมเชื้อสายเดียวกัน เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง หรือเป็นชายหญิงที่เป็นคู่สมรสกัน ซึ่งจะจดทะเบียนหรือไม่จดทะเบียนก็ได้ ในขณะที่ปัจจุบันกฎหมายไทยยังไม่รองรับการจดทะเบียนสมรสของคู่รัก LGBTQ+ จึงทำให้ความสัมพันธ์ดังกล่าวไม่มีผลทางนิตินัยไปโดยปริยาย

นอกจากนี้ ธนาคารประเมินว่าความเสี่ยงของการกู้ร่วมของกลุ่ม LGBTQ+ สูงกว่าของคู่สมรสชายหญิง และก็สูงกว่าการกู้ร่วมของชายหญิงที่ไม่ได้จดทะเบียนสมรส การรับรู้ความเสี่ยงที่สูงกว่านี้เป็นปัจจัยที่ธนาคารอาจพิจารณาให้วงเงินกู้ที่ต่ำกว่าเมื่อเทียบกับการกู้ร่วมของคู่สมรสที่จดทะเบียนสมรส ทำให้ชาว LGBTQ+ อาจไม่ได้รับวงเงินสินเชื่อตามที่ตั้งเป้าไว้ หรือต้องปรับลดสเปกที่อยู่อาศัยที่ต้องการลงมา 

ซึ่งชาว LGBTQ+ ต่างรอติดตามความคืบหน้าของร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. … ว่าจะเข้ามาช่วยลดช่องว่างของปัญหาเหล่านี้ได้อย่างไรบ้าง
 

Mix & Match หลากไลฟ์สไตล์ ค้นหาที่อยู่อาศัยโดนใจชาว LGBTQ+

ดีดีพร็อพเพอร์ตี้ (DDproperty) เว็บไซต์มาร์เก็ตเพลสด้านอสังหาริมทรัพย์อันดับ 1 ของไทย เผยไลฟ์สไตล์โดดเด่นของชาว LGBTQ+ ที่น่าสนใจ และน่าจับตามอง เพื่อนำมาค้นหาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของชาว LGBTQ+ ที่เต็มที่ทุกเรื่องแบบ ‘Work hard, play harder’ ได้อย่างลงตัว ที่หลายคนจะมองว่าคอนโดฯ เหมาะกับการใช้ชีวิตมากกว่า แต่แท้จริงแล้วมีไลฟ์สไตล์ที่น่าสนใจกว่านั้น

พื้นที่ใช้สอยคุ้มค่า รองรับชีวิตแบบมัลติไลฟ์สไตล์ ชาว LGBTQ+ มีรูปแบบการใช้ชีวิตที่หลากหลาย จะเห็นได้จากกิจกรรมยามว่างที่แตกต่างกันออกไป ไม่ว่าจะเป็นการร่วมสังสรรค์/ปาร์ตี้เพื่อเข้าสังคม พักผ่อนภายในบ้านกับงานอดิเรกไม่ว่าจะเป็นสร้างมุมปลูกต้นไม้เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียว แยกมุมทำงานเป็นสัดส่วน โซนอเนกประสงค์ไว้เล่นเกมหรือทำกิจกรรมสานสัมพันธ์กับคนในครอบครัวและเพื่อนฝูง 

นอกจากนี้ การที่ส่วนใหญ่ชาว LGBTQ+ มักจะไม่มีบุตร จึงนิยมมีงานอดิเรก เช่น เลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนแก้เหงา ที่อยู่อาศัยที่มีพื้นที่ในการทำกิจกรรมนอกบ้านจึงจำเป็นไม่แพ้กัน บ้านหรือคอนโดฯ ที่มีพื้นที่ใช้สอยเพียงพอรองรับไลฟ์สไตล์ที่หลากหลายเหล่านี้ รวมทั้งการมีพื้นที่ส่วนกลางที่มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันจึงเป็นตัวแปรลำดับแรก ๆ

สุขนิยม สุขภาพดีทั้งกายและใจต้องมา ผู้บริโภคกลุ่มนี้ให้ความสำคัญกับภาพลักษณ์และรูปร่าง จึงให้ความสนใจในเรื่องสุขภาพมาเป็นอันดับต้น ๆ โครงการอสังหาฯ ที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกส่วนกลางที่ตอบโจทย์พฤติกรรมเพื่อสุขภาพนี้จะได้คะแนนจากผู้บริโภคที่อยู่ระหว่างการเลือกหรือตัดสินใจซื้อหรือเช่าที่อยู่อาศัย สอดคล้องกับข้อมูลจากผลสำรวจ DDproperty’s Thailand Consumer Sentiment Study 

ล่าสุด เผยว่า สิ่งอำนวยความสะดวกยอดนิยมในคอนโดมิเนียมหรืออะพาร์ตเมนต์ที่ผู้บริโภคเลือกใช้บริการบ่อยที่สุดจะเน้นไปที่การออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพมาเป็นอันดับต้น ๆ โดยเกือบครึ่งของผู้บริโภค (47%) เลือกใช้บริการที่ออกกำลังกายเพื่อดูแลสุขภาพเป็นประจำ ตามมาเกือบ 1 ใน 3 ใช้บริการสระว่ายน้ำ (32%) และห้องโถงอเนกประสงค์ 13% ชอบการท่องโลกออนไลน์ อินเทอร์เน็ตต้องพร้อมใช้ 

ข้อมูลจากผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย ปี 2562 ของสำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (สพธอ.) หรือ ETDA พบว่า LGBTQ+ เป็นกลุ่มที่ใช้อินเทอร์เน็ตมากที่สุดถึง 11 ชั่วโมง 20 นาทีต่อวัน ถือว่าสูงที่สุดเมื่อเทียบกับเพศชายและหญิง เมื่อรวมกับเทรนด์ในปัจจุบันประกอบกับสถานการณ์โควิด-19 สะท้อนให้เห็นว่าพฤติกรรมของชาว LGBTQ+ มีการใช้ประโยชน์จากอินเทอร์เน็ตในหลายมิติมากขึ้น

ไม่ว่าจะเป็นการสร้างสรรค์คอนเทนต์หลากหลายรูปแบบ ฝึกฝนและเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ หรือใช้เป็นช่องทางในทำธุรกิจบนโลกออนไลน์ ซึ่งโครงสร้างพื้นฐานสัญญาณอินเทอร์เน็ตของโครงการที่มีคุณภาพและเสถียรต้องตอบโจทย์นี้ ไม่ว่าจะอยู่ภายในที่อยู่อาศัยหรือพื้นที่ส่วนกลาง

ใส่ใจการออกแบบ สะท้อนตัวตนผู้อยู่ ความพิถีพิถันใส่ใจทุกรายละเอียดเป็นอีกอัตลักษณ์ที่โดดเด่นของชาว LGBTQ+ ซึ่งรวมถึงเรื่องที่อยู่อาศัยที่สะท้อนตัวตนได้เป็นอย่างดีพอ ๆ กับการดูแลรูปลักษณ์ภายนอกหรือเครื่องแต่งกาย ผู้บริโภคจะพิจารณาการออกแบบและตกแต่งที่สะท้อนบุคลิกอย่างมีสไตล์ การออกแบบเป็นเอกลักษณ์ชัดเจน รวมถึงการเลือกใช้เฟอร์นิเจอร์ที่เข้ากันกับบ้าน

แม้ร่างพระราชบัญญัติคู่ชีวิต พ.ศ. … และร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่…) พ.ศ. … จะยังไม่รับรองสถานะของคู่รัก LGBTQ+ ทำธุรกรรมกู้ร่วมตามกฎหมายเพื่อซื้อที่อยู่อาศัยได้ในเวลานี้ อย่างไรก็ดีเวลานี้มีสถาบันการเงินหลายแห่งที่เปิดโอกาสให้คู่ LGBTQ+ สามารถยื่นเรื่องกู้สินเชื่อร่วมกันได้ภายใต้เงื่อนไขในการพิจารณาของแต่ละสถาบันฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ต่างชาติยังสนใจอสังหาฯ ในภูเก็ต จับตาดูแผนเปิดประเทศ 1 ก.ค. นี้

นายณัฎฐา คหาปนะ รองกรรมการผู้จัดการและหัวหน้าสำนักงานไนท์แฟรงค์ ภูเก็ต บริษัท ไนท์แฟรงค์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า อย่างที่ทุกคนน่าจะทราบกันดีอยู่แล้วว่าการแพร่ระบาดของโควิด-19 ส่งผลกระทบต่อทุกภาคส่วน ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตและสมุยเองก็ชะลอตัวอย่างหนัก เนื่องจากชาวต่างชาติไม่สามารถเดินทางมาเที่ยวได้ โดยสัดส่วนของกำลังซื้อที่มาจากต่างชาติคิดเป็น 80-90% และกลุ่มผู้ซื้อคนไทยเพียง 10% กว่าเท่านั้น

ในปี 2020 ที่ผ่านมา อุปทานคอนโดมิเนียมทั้งหมด 26,096 หน่วย มีความต้องการอยู่ที่ 19,761 หน่วย คงเหลืออยู่ 6,335 หน่วย ขณะที่อุปทานรวมของวิลล่าอยู่ที่ 3,871 หลัง และมีการซื้อขายอยู่ที่ 3,056 หลัง ซึ่งถือเป็นสัดส่วนค่อนข้างสูง เพราะธรรมชาติของวิลล่า ที่มักจะดำเนินการก่อสร้างก็ต่อเมื่อมีลูกค้าจองแล้ว จึงทำให้ได้รับผลกระทบน้อยกว่าหากเทียบกับตลาดคอนโดมิเนียม ด้านราคาขายก็ได้มีการปรับลดลงเพื่อดึงดูดผู้ซื้อและนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ โดยเน้นผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลักซึ่งพอราคาขายปรับลดลงจึงตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น

สถานการณ์โควิด-19 ที่มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงต้นปี 2564 แต่กลับมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ในช่วงเดือนเมษายน การระบาดระลอกนี้ถือเป็นระลอกที่ 3 ซึ่งอาจส่งผลถึงแผนการเปิดประเทศที่จังหวัดภูเก็ตจะเป็นจังหวัดนำร่องแบบไม่ต้องกักตัว แต่ล่าสุดรัฐบาลประกาศย้ำถึงแผนเปิดจังหวัดภูเก็ตภายใต้โครงการ Phuket Sandbox ในวันที่ 1 กรกฎาคมนี้ แผนดังกล่าวจะเปิดให้นักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามา โดยนักท่องเที่ยวต้องอยู่ในเกณฑ์พิจารณา ดังนี้

  1. ชาวต่างชาติได้รับวัคซีนครบโดสแล้ว อย่างน้อย 14 วันก่อนการเดินทางเข้าภูเก็ต และต้องมีเอกสารรับรองการได้รับวัคซีน
  2. ต้องเป็นผู้เดินทางมาจากประเทศเสี่ยงต่ำเท่านั้น กรณีเด็กที่อายุต่ำกว่า 6 ปีต้องมากับผู้ปกครองที่ได้รับวัคซีนครบโคสแล้วเท่านั้น
  3. ต้องมีเอกสารการตรวจหาเชื้อโควิด-19 และไม่พบเชื้อไม่เกิน 72 ชั่วโมงก่อนเดินทาง
  4. เมื่อเดินทางมาถึงภูเก็ตต้องได้รับการตรวจหาเชื้ออีกครั้งและรอผลตรวจในที่พักจนกว่าผลการตรวจไม่พบเชื้อ จึงจะสามารถอนุญาตให้ท่องเที่ยวภายในจังหวัดภูเก็ตได้ และเมื่ออยู่ครบ 14 วันแล้วจึงจะสามารถเดินทางไปเที่ยวต่อยังจังหวัดอื่นๆ ได้

ขณะที่สถานการณ์ภูเก็ตในปัจจุบัน เราเริ่มมีการฉีดวัคซีนแล้ว โดยคนที่ทำงานและอาศัยอยู่ในจังหวัดภูเก็ตกว่า 75% ได้รับวัคซีนโควิด-19 แล้ว ซึ่งตรงนี้เองจะทำให้เกิดความมั่นใจต่อทั้งคนในประเทศ รวมถึงต่างชาติที่ต้องการเดินทางเข้ามา และเมื่อมีการเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติให้เดินทางเข้ามาจังหวัดภูเก็ตได้ก็จะเพิ่มโอกาสการขายให้กลุ่มอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก โดยเรามั่นใจว่าสถานการณ์จะค่อยๆ ปรับตัวดีขึ้น และตลาดอสังหาริมทรัพย์ทั้งในภูเก็ตและสมุยจะกลับมาคึกคักอีกครั้ง จากข้อมูลที่ได้มา มีถึง 28 ประเทศที่อยากเข้ามาท่องเที่ยวในจังหวัดภูเก็ต เช่น จีน อังกฤษ เยอรมัน สิงคโปร์ รัสเซีย เป็นต้น

ถึงแม้ว่าในช่วงแรกๆ ผู้ที่เดินทางเข้ามาจะเป็นกลุ่มที่เน้นท่องเที่ยวและพักผ่อนก็ตาม แต่ก็ถือว่าเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัว โดยกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มประเทศที่มักซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตก่อนเกิดวิกฤตโควิด-19 อยู่แล้ว และซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัยเป็นบ้านหลังที่สองมากกว่าซื้อเพื่อลงทุน พวกเขามองประเทศไทยว่าเป็นเมืองปลอดภัย ค่าครองชีพไม่สูง และมีระบบการดูแลรักษาพยาบาลที่ดี

นอกจากนี้ยังมีข่าวว่าจะมีนโยบายกระตุ้นอสังหาฯ เมื่อมีการเปิดประเทศ คือ การขยายโควตาการซื้อคอนโดมิเนียมของต่างชาติได้เกิน 49% เปิดให้ต่างชาติสามารถซื้อกรรมสิทธิ์บ้านจัดสรร และขยายสิทธิการเช่าได้เกิน 30 ปี ซึ่งหากทำได้จริงจะช่วยขับเคลื่อนตลาดอสังหาฯ ได้อย่างมหาศาล ทดแทนภาคธุรกิจชะลอตัวในช่วงโควิด ขณะที่นักลงทุนชาวไทยยังคงชะลอการลงทุนในด้านอสังหาฯ เนื่องจากรอเปิดประเทศรับต่างชาติ

เราเชื่อว่าอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตและสมุยจะกลับมาฟื้นตัวก่อนจังหวัดอื่นๆ เนื่องจากคนในภูเก็ตส่วนใหญ่ได้รับวัคซีนโควิดแล้ว ซึ่งรวมไปถึงพนักงานของไนท์แฟรงค์ภูเก็ตด้วย เราพร้อมให้บริการนักลงทุนและผู้ที่ต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตและสมุยทันทีที่จังหวัดภูเก็ตเปิดรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ

ขอบคุณข้อมูลจาก thailand-property-news.knightfrank.co.th


กังวลโควิด!!เงินบาทเปิดตลาดอ่อนค่าต่อเนื่อง

กังวลโควิด!!เงินบาทเปิดตลาดอ่อนค่าต่อเนื่อง

เงินบาทเปิดตลาด 32.12 บาทต่อดอลลาร์ อ่อนค่าต่อเนื่องจากความกังวลสถานการณ์โควิดในประเทศ

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เช้านี้เงินบาทเปิดตลาดที่ระดับ 32.12 บาท/ดอลลาร์ อ่อนค่าจากเย็น วันที่ 29 มิ.ย. 64 ที่ระดับ 32.02 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากนักลงทุนกลับมากังวลต่อสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยลดการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงแล้วมาถือครองดอลลาร์กับเยนมากขึ้น ขณะเดียวกันต้องจับตาดูทิศทางของเงินทุนต่างประเทศจากผู้นำเข้าทองคำหลังราคาในตลาดโลกปรับตัวลดลงกว่า 17 ดอลลาร์/ออนซ์

“บาทอ่อนค่าต่อเนื่องหลังทะลุแนวต้าน 32.00 บาท/ดอลลาร์จากความกังวลเรื่องสถานการณ์โควิด-19 ทำให้ลดการถือครองสินทรัพย์เสี่ยง” นักบริหารเงิน กล่าว นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.00 – 32.20 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


เคลียร์ 5 ข้อสงสัยวัคซีน COVID-19 กับหมอประสิทธิ์ คณบดีศิริราชฯ

เคลียร์ 5 ข้อสงสัยวัคซีน COVID-19 กับหมอประสิทธิ์ คณบดีศิริราชฯ

วัคซีน COVID-19 : โดย ศ.ดร.นพ.ประสิทธิ์ วัฒนาภา คณบดีคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ม.มหิดล

ประเทศไทยตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีน COVID-19 รวม 100 ล้านโดสเพราะอะไร?

ไวรัส COVID-19 โดยปกติแล้วหากลอยอยู่ในอากาศเฉย ๆ โดยไม่มีอะไรห่อหุ้มเลย จะสามารถอยู่ได้เป็นนาที โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อุณหภูมิ 25 องศาเซลเซียส หรือสูงกว่า 25 องศาเซลเซียส แต่มันจะสลายไปในที่สุด แต่เมื่อไรก็ตามที่ไวรัสถูกห่อหุ้มด้วยน้ำลาย หรือเสมหะ จะอยู่ได้นานขึ้นเป็นชั่วโมง แต่จะเกิดการไม่แบ่งตัว

การแบ่งตัวและเพิ่มจำนวนของไวรัสจะเกิดขึ้นได้นั้น มันต้องเข้าไปอาศัยอยู่ในสิ่งมีชีวิตอื่น ถ้าไวรัสอยู่ในอากาศแล้วเข้าไปในร่างกายคนที่มีภูมิคุ้มกันอยู่แล้ว มันก็จะถูกกำจัดออกไป ส่วนที่ลอยอยู่ในอากาศก็จะสลายไปเรื่อย ๆ ถ้าเป็นอย่างนี้ไวรัส COVID-19 ก็จะหายไปจากบ้านเรา

แต่ในทางปฏิบัติ หากไวรัสเข้าไปในร่างกายคน 100 คน แล้วยังคงมีชีวิตอยู่ได้ในร่างกายคน 8 คน เกิดการแบ่งตัวไปเรื่อย ๆ ไวรัสจะไม่มีทางหายไปจากบ้านเราแน่นอน เพราะเชื้อจะมีโอกาสกลับมาแพร่ต่อให้คนอื่นได้ เมื่อมีการพูด ไอ จาม เราจึงต้องทำให้คนในประเทศมีภูมิคุ้มกันเยอะ ๆ ให้เชื้อเข้าไปแล้วไม่สามารถแบ่งตัวได้ ก็จะเกิดประสิทธิภาพที่ชัดเจนขึ้นกับประเทศไทย

เราตั้งเป้าหมายฉีดวัคซีนไว้ที่ 100 ล้านโดส หรือเท่ากับ 49 ล้านคน ซึ่งคิดเป็น 70% ของประชากรทั้งประเทศที่มี 70 ล้านคน เป้าหมาย 100 ล้านโดสจึงมาจากการคำนวณว่า 70% ของคนไทย ต้องได้คนละ 2 โดส จึงเป็นที่มาว่าทำไมรัฐบาลตั้งเป้าว่าต้องหาวัคซีนมาให้ได้ 100 ล้านโดส

สำหรับสถานการณ์ในต่างประเทศอย่างอิสราเอล พบว่าปัจจุบันประชากรกว่า 60% ได้รับการฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว ส่วนที่เหลือก็ฉีดโดสแรกเรียบร้อยแล้วเกือบทั้งประเทศ รัฐบาลอิสราเอลจึงอนุญาตให้ประชากรใช้ชีวิตแบบถอดหน้ากากได้ในบางช่วงเวลา เฉพาะตอนอยู่นอกอาคาร หรือในสถานที่ที่ไม่แออัด แต่เมื่อไรที่ต้องเข้าไปอยู่ในอาคารหรือในที่ที่มีคนเยอะก็ยังคงแนะนำให้ใส่หน้ากากอยู่

เราต้องฉีดวัคซีน COVID-19 เป็นประจำทุกปีหรือไม่?

จากรายงานการศึกษาครั้งแรกของ King’s College ในสหราชอาณาจักรเมื่อ 8-9 เดือนที่แล้ว มีการศึกษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อ COVID-19 จำนวน 69 คน พบว่าผู้ป่วยทุกรายมีภูมิคุ้มกันสูงขึ้น แต่หลังจากนั้นจะเริ่มลดลง ที่น่าสนใจคือ 17% ของผู้ป่วย ภูมิคุ้มกันหายไปหมดใน 2 เดือน ส่วนที่เหลือก็ลดลงไปเรื่อย ๆ

งานศึกษาชิ้นนี้จึงเป็นงานศึกษาแรกที่สื่อสารกับคนทั้งโลกว่า ภูมิคุ้มกันร่างกายเราที่มีต่อเชื้อ COVID-19 จะไม่อยู่ระยะยาว เหมือนกับไวรัสไข้หวัดใหญ่ที่มีการเปลี่ยนสายพันธุ์ไปทุกปี ในระยะยาวคนไทยอาจไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนทุกคน คล้ายกับไข้หวัดใหญ่ที่เราจะฉีดเฉพาะกลุ่มเสี่ยง เช่น ผู้สูงอายุ บุคลากรด้านสุขภาพ

คนที่หายป่วยจากโรค COVID-19 จำเป็นต้องฉีดวัคซีนอีกหรือไม่? 

ถ้าเป็นเมื่อ 6 เดือนที่แล้วคงไม่จำเป็นต้องฉีด เพราะถ้าหายป่วย คุ้มภูมิกันก็จะขึ้น แต่ต่อมาเรารู้กันว่ามันจะค่อย ๆ ลดลงมาเรื่อย ๆ จึงยังคงแนะนำให้ผู้ป่วยที่หายแล้วได้รับการฉีดวัคซีนอยู่ โดยเว้นระยะสัก 3 เดือน การติดเชื้อในครั้งแรกจะเหมือนกับการฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 เพราะฉะนั้น ฉีดเพิ่มอีกเพียงเข็มเดียวก็พอ

ทำไมต้องฉีดวัคซีน COVID-19 ทั้งหมด 2 โดส? 

หลักการผลิตวัคซีนคือ การนำบางส่วนของไวรัส COVID-19 แปะไปกับสิ่งที่เข้าไปในตัวเรา แล้วทำให้เม็ดเลือดขาวเราจดจำว่านี่คือศัตรู เพราะฉะนั้น เมื่อเราฉีดวัคซีนเข็มที่ 1 แล้ว เม็ดเลือดขาวส่วนหนึ่งจะจำได้ แต่เมื่อฉีดเข็มที่ 2 เม็ดเลือดขาวจะสร้างกองทัพเยอะขึ้น โดยทั่วไปแล้ว เข็มที่ 1 ภูมิคุ้มกันเป็นอย่างไร เข็มที่ 2 ภูมิคุ้มกันจะยิ่งสูงขึ้น

ในทางทฤษฎีเราพบว่า ระยะห่างระหว่างเข็มที่ 1 กับเข็มที่ 2 มีความสำคัญต่อการสร้างภูมิคุ้มกันของเข็มที่ 2 เป็นอย่างมาก กรณีถ้าฉีด Sinovac แล้วเว้นระยะเข็มที่ 2 ไปอีก 2-3 สัปดาห์ ภูมิคุ้มกันก็จะขึ้นหลังเข็มนี้ ซึ่งมีการพิสูจน์แล้วในเมืองไทย โดยแล็บวิจัยของมหิดลเอง

แต่สำหรับ AstraZeneca นั้น มีการตอบสนองไม่เหมือนกัน เพราะใช้เทคโนโลยีในการผลิตวัคซีนที่ไม่เหมือนกัน การศึกษาครั้งแรกทดลองให้มีการฉีดเข็มที่ 1 และ 2 ห่างกัน 4 สัปดาห์ ต่อมาในสหราชอาณาจักรมีการทดลอง 8 สัปดาห์ และ 12 สัปดาห์ด้วย พบว่าภูมิคุ้มกันที่เพิ่มขึ้นนั้นสูงขึ้นเป็นบันได คือหากฉีดเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 12 สัปดาห์ ภูมิคุ้มกันจะขึ้นสูงกว่า 4 สัปดาห์ และ 8 สัปดาห์อย่างชัดเจน

เมื่อสหราชอาณาจักรกำหนดการฉีดเข็มที่ 2 ไว้ที่ 12 สัปดาห์ ทำให้ทุกคนฉีดเข็มที่ 2 เมื่อครบ 12 สัปดาห์กันหมด จึงไม่มีใครรู้ว่าหากฉีดเลยจากนี้ไป ภูมิคุ้มกันจะขึ้นสูงกว่านี้อีกไหม ซึ่งในทางทฤษฎีอาจจะดีกว่า

คนที่ฉีดวัคซีน COVID-19 แล้วมีผลข้างเคียง จะไม่ฉีดเข็มที่ 2 ได้หรือไม่? 

บางคนฉีดวัคซีนเข็มแรกแล้วมีประสบการณ์ที่ไม่ค่อยดีนัก จึงตัดสินใจไม่ฉีดเข็มที่ 2 ต่อ กรณีนี้เราต้องทำความเข้าใจให้ถูกต้องถึงคำ 3 คำที่เกี่ยวข้อง คือ 

1. ภาวะแพ้รุนแรง (Anaphylaxis) คือฉีดเข้าไปแล้ว ความดันตก หลอดลมบีบตัว หายใจไม่ได้ กรณีนี้ควรเปลี่ยนยี่ห้อวัคซีนในเข็มที่ 2 จะดีที่สุดถ้าเปลี่ยนแพลตฟอร์ม 95% ของคนที่แพ้วัคซีนจะเริ่มแสดงอาการในครึ่งชั่วโมงหลังจากฉีด จึงเป็นสาเหตุว่าทำไมต้องมีการสังเกตอาการครึ่งชั่วโมง หากฉีดแล้วแพ้ก็สามารถช่วยเหลือได้ทันทีด้วยการฉีดยาเพียงเข็มเดียว แต่ต้องอยู่ในโรงพยาบาล หรือสถานที่ที่พร้อมให้การช่วยเหลือได้ทันที 

2. ภาวะข้างเคียง คือเมื่อฉีดแล้วเกิดพยาธิสภาพบางอย่างเกิดขึ้นกับร่างกาย เช่น เกิดลิ่มเลือดที่หลอดเลือดดำในสมอง ส่วนใหญ่พบในผู้หญิงอายุไม่เยอะนัก ตอนนี้พบในวัคซีน 2 ยี่ห้อ คือ AstraZeneca และ Johnson & Johnson

3. เหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังการฉีดวัคซีน (Adverse Events Following Immunization: AEFI) เช่น ไข้ขึ้น ปวดเมื่อยตามตัว ปวดข้อ ท้องเสีย เบื่ออาหาร ซึ่งเกิดขึ้นแค่ชั่วคราวเท่านั้น ส่วนใหญ่จะหายได้เองใน 48 ชั่วโมง 

อย่างไรก็ตาม คนที่ได้รับวัคซีนบางคนอาจเกิด ISRR (Immunization Stress-Related Response) ที่จัดเป็น AEFI เช่นเดียวกัน คือปฎิกิริยาเครียดตอบสนองต่อการฉีดวัคซีน พอฉีดแล้ว แขนขาเริ่มอ่อนแรง รู้สึกชา ปากแข็ง พูดอะไรไม่ได้ โดยที่ไม่ได้มีอาการผิดปกติใดๆ เกิดขึ้นกับสมอง

ในเมืองไทยเราก็พบคนที่มีอาการเหล่านี้ แต่เมื่อตรวจคลื่นแม่เหล็กสมองก็ไม่เจอรายที่มีการเปลี่ยนแปลง ภายใน 72 ชั่วโมงก็กลับมาเป็นปกติ

ฉีดวัคซีนเข็มแรกยี่ห้อหนึ่ง เข็มที่ 2 จะฉีดอีกยี่ห้อได้ไหม?

หากเป็นเมื่อ 6 เดือนที่แล้ว องค์การอนามัยโลกจะไม่แนะนำ แต่ที่ผ่านมามีหลายคนที่แพ้วัคซีนเข็มแรกจริง ๆ พอเป็นเข็มที่ 2 ก็ต้องฉีดยี่ห้ออื่น จึงมีการติดตามดูผลว่า หากฉีดเข็มแรกและเข็มที่ 2 คนละยี่ห้อกัน จะเกิดผลอะไรบ้าง ซึ่งคำตอบที่ได้คือไม่เกิดผลเชิงลบ 

บางรายงานกล่าวว่า ภูมิคุ้มกันอาจดีขึ้น เพราะใช้เทคโนโลยี 2 อย่าง ช่วงนี้จึงยังอยู่ในระหว่างการวิจัย ซึ่งที่สหรัฐอเมริกาก็เริ่มทำแล้ว แต่สำหรับเมืองไทย หากไม่ได้แพ้หรือเกิดภาวะข้างเคียงจากวัคซีนก็ยังคงฉีดเข็มที่ 2 เป็นยี่ห้อเดียวกับเข็มแรกอยู่

ส่วนคนที่เกิดเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์หลังฉีด ซึ่งพบได้เยอะ เช่น เป็นไข้ อาการเหล่านี้ไม่มีอันตรายต่อสุขภาพในระยะยาว จะหายได้เองใน 48 ชั่วโมง ไม่ควรกังวลว่าเข็มที่ 2 จะต้องมีอาการเหมือนเข็มแรกเสมอไป ที่แน่นอนคือ ฉีดเข็มที่ 2 แล้ว จะมีภูมิคุ้มกันขึ้นดีกว่าเดิม จึงแนะนำให้ฉีดเข็มที่ 2 ให้ครบทุกคน

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


“เฟเดอเรอร์” ชนะผ่าน “มานนาริโน” เข้ารอบ 2 ศึกเทนนิสวิมเบิลดัน

"เฟเดอเรอร์" ชนะผ่าน "มานนาริโน" เข้ารอบ 2 ศึกเทนนิสวิมเบิลดัน

โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ นักหวดมากฝีมือจากสวิตเซอร์แลนด์ ชนะผ่าน อาเดรียน มานนาริโน จากฝรั่งเศส ที่มีการบาดเจ็บช่วงตนเซตที่ 5 ผ่านเข้ารอบ 2 ศึกเทนนิสวิมเบิลดัน 2021

ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก คู่ที่น่าสนใจ โรเจอร์ เฟเดอเรอร์ มือวางอันดับ 6 ของรายการจากสวิตเซอร์แลนด์ และเป็นอดีตแชมป์รายนี้ 8 สมัย ลงสนามพบกับ อาเดรียน มานนาริโน มืออันดับ 41 ของโลกจากฝรั่งเศส 

เปิดฉากเซตแรกเป็น เฟเดอเรอร์ ที่ออกสตาร์ตได้ดีกว่าเอาชนะไปได้ก่อน 6-4 จากนั้นเซตที่ 2 มานนาริโน เริ่มเรียกฟอร์มเก่งกลับมาได้ เอาชนะไป 7-6 (7-3) และเข้าสู่เซตที่ 3 ยังเป็น มานนาริโน ที่เอาชนะไปได้อีก 6-3 แซงขึ้นนำ 2-1 เซต

ผลประเภทชายเดี่ยว รอบแรก

อเล็กซานเดอร์ ซเวเรฟ (มือ 4, เยอรมนี) ชนะ ทาลลอน กรีกสพูร์ เนเธอร์แลนด์ 3-0 เซต  6–3, 6–4, 6–1 

ดีเอโก ชวาร์ตซ์มัน (มือ 9,อาร์เจนตินา) ชนะ เบอนัวร์ แปร์ (ฝรั่งเศส) 3-0 เซต 6-3,6-4,6-0

แดเนียล อีแวนส์ (มือ 22,อังกฤษ) ชนะ เฟลิเซียโน โลเปซ (มือ 22,สเปน) 3-0 เซต 7-6(7-4),6-2,7-5

ฟาบิโอ ฟ็อกญินี (มือ 26,อิตาลี) ชนะ อัลเบิร์ต รามอส วิโนลาส (สเปน) 3-0 เซต 7-6(7-4) ,6-2,7-5

ดานิล เม็ดเวเดฟ (รัสเซีย,มือ 2) ชนะ แยน-เลนนาร์ด สตรัฟฟ์ (เยอรมัน) 3-1 เซต 6-4, 6-1, 4-6, 7-6 (7-3)

ผลประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก

มิเชลา บูร์ซาเนสคู (โรมาเนีย) แพ้ วีนัส วิลเลียมส์ (สหรัฐฯ) 1-2 เซต 5-7, 6-4, 3-6

แอชห์ลีย์ บาร์ตี (ออสเตรเลีย,มือ 1) ชนะ คาร์ลา ซัวเรซ นาบาร์โร (สเปน) 2-1 เซต 6-1, 6-7 (1-7), 6-1

แองเจลิค เคอร์เบอร์ (เยอรมัน,มือ 25) ชนะ นีนา สโตยาโนวิซ (เซอร์เบีย) 2-0 เซต 6-4, 6-3

อเล็กซานดรา ซาสโนวิซ (เบลารุส) ชนะผ่าน เซเรนา วิลเลี่ยมส์ (สหรัฐฯ,มือ 6)

ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th


ภาษาโบราณที่ทรงอิทธิพลและยังคงใช้อย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ‘ภาษาฮีบรู’

witsnet-hebrau

‘ภาษา’ จัดเป็นส่วนหนึ่งซึ่งฝังรากอยู่ในวัฒนธรรมของมนุษย์มาเป็นเวลาช้านาน จัดเป็นการติดต่อสื่อสารที่มีความสำคัญแน่นอนว่า ‘ภาษา’ ต่างก็มีวิวัฒนาการไม่ต่างอะไรกับการวิวัฒนาการทางด้านอื่นๆ ภาษาจึงเป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่มีความน่าสนใจ โดยเฉพาะภาษาเก่าแก่โบราณที่ยังคงใช้กันอยู่จนถึงปัจจุบันนี้

ภาษาฮีบรู’ หนึ่งในภาษาเก่าแก่ที่มีความน่าสนใจ

‘ภาษาฮีบรู’ เป็นภาษาโบราณ จากการศึกษาพบว่าเกิดขึ้นมาอย่างน้อย 3,500 ปีที่แล้ว ย้อนไปในอดีตเคยเป็นภาษาตาย ดั่งเช่น ภาษาบาลี , สันสกฤต และลาติน ใช้ในแวดวงจำกัดเท่านั้น หากแต่ในปัจจุบันมีการนำกลับมาใช้ เป็นภาษาพูดใหม่ และเป็นภาษาที่ชาวอิสราเอลใช้สื่อสารกันทั่วไป ในประเทศอิสราเอล มีผู้ใช้งานมากกว่า 4,380,000 คน

‘The Old Testament’ ของศาสนายิว เขียนด้วยภาษาฮีบรู ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นภาษาอันศักดิ์สิทธิ์ ของชาวยิวมาตั้งแต่สมัยโบราณ นักภาษาศาสตร์วิเคราะห์กันว่า น่าจะเกิดในยุคที่ จักรวรรดิ Babylonia ใหม่ ตีกรุงเยรูซาเลมพร้อมอพยพชาวยิวไปยัง Babylon พร้อมปลดปล่อยชาวยิวให้เป็นอิสระ เพราะฉะนั้นภาษาฮีบรูในแบบพระคัมภีร์เก่า จึงถูกแทนด้วยภาษาฮีบรูใหม่ หลังจาก พ.ศ. 7 จักรวรรดิแห่งโรมันเรืองอำนาจ บุกเข้าตีกรุงเยรูซาเล็ม ก่อนจะขับชาวยิวออกไป ทำให้ภาษาฮีบรูมีการพูดน้อยลง หากแต่ก็ยังคงเป็นภาษาที่ใช้ทางด้านศาสนาและใช้ในการเขียน

เหตุการณ์เปลี่ยนไปภาษาในพระคัมภีร์เก่าถูกแทนด้วยของใหม่

โดยหลังจากเยรูซาเล็มถูกชาวบาบิโลนตีแตกเป็นครั้งแรก ในช่วง 586 ปีก่อนคริสตกาล ทำให้จำนวนประชากรของชาวยิวในบางส่วนลดลง ส่งผลทำให้ภาษาฮีบรูในภาษาพูดถูกเลิกใช้ไป ในช่วงคริสต์ศตวรรษที่ 2 หากแต่ถึงกระนั้นก็ยังคงเป็นภาษาเขียนที่มีความสำคัญมาอีกหลายศตวรรษ นอกเหนือไปจากจะใช้ในงานศรัทธาแห่งศาสนาแล้ว ในงานเขียนอื่นๆ ก็ใช้สำหรับวัตถุประสงค์อื่นๆ เช่น เขียนตำรา, จดหมาย, ปรัชญา, บันทึกศาล รวมทั้งงานสำคัญๆ อื่นๆ ล้วนใช้ภาษาฮีบรูด้วยกันทั้งสิ้น

ในปัจจุบัน ภาษาฮีบรู ยังคงใช้ในงานเขียน

ต่อมาลัทธิ Zionism ถือกำเนิดขึ้นมา โดยต้องการเพื่อฟื้นฟูชาติยิวให้กลับมาแกร่งอีกครั้ง สมาชิกลัทธิ Zionism ส่งเสริมให้มีการใช้เป็นหลักของภาษาพูด ณ ขณะนั้น เช่น ภาษาอาหรับ, ภาษา Judezmo, ภาษา Ladino รวมทั้งภาษาอื่นๆ อีกมากมาย ที่ชาวยิวอาศัยอยู่ต่างประเทศ ใช้งานโดยเป็นภาษาของยิวส่วนใหญ่ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศอิสราเอล สำหรับภาษาฮีบรูในยุคปัจจุบันก็มีการพัฒนา ด้วยการสร้างคำใหม่และยืมจากภาษาฮีบรูในคัมภีร์ Bible, จากภาษาอาหรับ รวมทั้งภาษาในยุโรปอื่นๆ ด้วย เพราะฉะนั้นภาษาประจำชาติชนิดนี้จึงมีความน่าสนใจทั้งในแง่มุมการผสมผสาน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์อันยาวนาน

ขอบคุณข้อมูลจาก witsnet.org


เตือนภัยแรนซัมแวร์ “Nefilim”เก่งรีดไถ่โจมตีองค์กรหมื่นล้าน

เตือนภัยแรนซัมแวร์ “Nefilim”เก่งรีดไถ่โจมตีองค์กรหมื่นล้าน

Trend Micro Incorporated เปิดเผยรายงานการศึกษาเกี่ยวกับแรนซัมแวร์ในตระกูล Nefilim โดยให้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับรูปแบบการโจมตีของแรนซัมแวร์ยุคใหม่ ซึ่งเป็นข้อมูลที่เจาะลึกถึงพัฒนาการในการโจมตีของแรนซัมแวร์กลุ่มนี้ว่าหลุดรอดการตรวจจับไปได้อย่างไร อีกทั้งยังอธิบายว่าแพลตฟอร์มในการตรวจจับและตอบสนองภัยคุกคามอัจฉริยะนั้นจะช่วยหยุดการคุกคามนี้ได้อย่างไร

แนวทางของแรนซัมแวร์ยุคใหม่ในตระกูล Nefilim นี้ ทำให้ตรวจจับและตอบโต้ได้ยากมากขึ้นสำหรับทีมศูนย์รักษาความปลอดภัยและทีมดูแลความปลอดภัยระบบไอทีที่มีงานล้นมืออยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้นอกจากจะกระทบถึงรายได้และชื่อเสียงขององค์กรแล้ว ยังรวมถึงสวัสดิภาพของทีมงานที่ดูแลเรื่องรักษาความปลอดภัยด้วยเช่นกัน

ปิยธิดา ตันตระกูล ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เทรนด์ไมโคร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า “แรนซัมแวร์ยุคใหม่จะโจมตีแบบพุ่งเป้าเจาะจงมากขึ้น สามารถปรับเปลี่ยนรูปแบบและซ่อนอำพรางได้เก่งขึ้น โดยใช้แนวทางการโจมตีที่สมบรูณ์แบบด้วยเทคนิคขั้นสูงอย่างการโจมตีของกลุ่ม APT (Advance Persistent Threat) ที่ประสบความสำเร็จมาแล้วในอดีต ด้วยการขโมยข้อมูลและปิดล็อคการทำงานของระบบสำคัญๆ อย่าง การโจมตีของกลุ่มอย่าง Nefilim ซึ่งพุ่งเป้าไปที่องค์กรระดับโลกที่มีผลกำไรสูง”

เตือนภัยแรนซัมแวร์ “Nefilim”เก่งรีดไถ่โจมตีองค์กรหมื่นล้าน

เตือนภัยแรนซัมแวร์ “Nefilim”เก่งรีดไถ่โจมตีองค์กรหมื่นล้าน

“ประเทศไทยเอง ก็เป็นหนึ่งในประเทศอาเซียนที่มีสถิติการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์สูงเป็นอันดับต้น และเราก็ได้เห็นข่าวการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์มาเรื่อยๆ เช่นกัน รวมถึงการโจมตีที่เกิดขึ้นกับสื่อบนยูทูปล่าสุด โดยรายงานฉบับล่าสุดของเรา จะช่วยให้ใครก็ตามที่อยู่ในอุตสาหกรรม ที่อยากเข้าใจถึงมุมมองจากภายในของระบบเศรษฐกิจใต้ดินดังกล่าวที่เติบโตอย่างรวดเร็วว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และโซลูชันระบบรักษาความปลอดภัยไซเบอร์อย่าง Trend Micro Vision One จะช่วยผู้คนรับมือกับเรื่องนี้ได้อย่างไร” ปิยธิดา กล่าวเสริม

จากการศึกษาแรนซัมแวร์ 16 กลุ่มที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาตั้งแต่เดือนมีนาคม 2563 – มกราคม 2564 เช่น Conti, Doppelpaymer, Egregor และ REvil ที่ประเดิมให้เห็นในแง่ของจำนวนเหยื่อที่เปิดเผยว่าโดนโจมตี และกลุ่มของ Clop ที่โจมตีด้วยการขโมยข้อมูลบนออนไลน์ขนาดใหญ่ที่สุดถึง 5 เทราไบต์

อย่างไรก็ตาม หากประเมินแบบคร่าวๆ โดยพิจารณาองค์กรธุรกิจที่มีรายรับมากกว่า 1 พันล้านเหรียญ หรือในราวสามหมื่นล้านบาท พบว่า Nefilim เป็นแรนซัมแวร์ที่สามารถเรียกค่าไถ่ไปได้เป็นจำนวนเงินสูงสุด

ในรายงานยังเผยให้เห็นว่า การโจมตีของ Nefilim โดยทั่วไปจะมีรูปแบบและขั้นตอนการโจมตีดังต่อไปนี้

•             เริ่มจากการเจาะเข้าไปยังช่องโหว่ที่เป็นจุดอ่อนในบริการ RDP หรือบริการ HTTP อื่นๆ

•             เมื่อเจาะเข้าไปได้แล้ว ก็จะใช้เครื่องมือในการจัดการที่ใช้งานอย่างถูกต้อง เข้าไปค้นหาระบบสำคัญเพื่อขโมยข้อมูล จากนั้นก็จะทำการเข้ารหัสไฟล์ข้อมูลทำให้ไม่สามารถใช้งานได้

•             ระบบจะถูกตั้งการทำงานให้ “แจ้งเตือน” กลับไปยังระบบควบคุม ด้วย Cobalt Strike และรูปแบบการเชื่อมต่ออื่นๆ ที่สามารถทะลุผ่านไฟร์วอลล์ได้ทันที เช่น HTTP, HTTPS และ DNS

•             ใช้บริการ bulletproof โฮสต์ติ้ง สำหรับการสั่งงานและควบคุมการโจมตี

•             มีการถ่ายเทข้อมูลและนำไปโพสต์บนเว็บไซต์เพื่อการเรียกค่าไถ่จากเหยื่อที่เป็นองค์กรธุรกิจ โดย Nefilim ได้ทำการโพสต์ข้อมูลที่ขโมยมาได้บนเว็บไซต์มีขนาดถึง 2 เทราไบต์เมื่อปีที่แล้ว

•             หลังจากที่ได้ข้อมูลไปมากพอแล้ว ransomware payload ก็จะถูกติดตั้งเพื่อดำเนินการต่อไปด้วยตัวเอง

ก่อนหน้านี้ เทรนด์ไมโครได้มีการออกคำเตือนถึงการนำเอาเครื่องมือบางตัวมาใช้อย่างแพร่หลาย เช่น AdFind, Cobalt Strike, Mimikatz, Process Hacker, PsExec และ MegaSync ซึ่งช่วยให้ผู้โจมตีด้วยแรนซัมแวร์ สามารถบรรลุเป้าหมายการโจมตีได้ในขณะที่ยังคงซ่อนตัวอยู่ ซึ่งพฤติกรรมนี้สร้างความท้าทายให้กับทีมดูแลงานรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ในแง่ของการวิเคราะห์บันทึกข้อมูลเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากส่วนต่างๆ ในสภาพแวดล้อมเพื่อให้เห็นจุดที่โดนโจมตีในภาพรวมที่กว้างขึ้น

เตือนภัยแรนซัมแวร์ “Nefilim”เก่งรีดไถ่โจมตีองค์กรหมื่นล้าน

Trend Micro Vision One จะตรวจสอบและเชื่อมโยงพฤติกรรมที่น่าสงสัยที่เกิดขึ้นในหลากหลายเลเยอร์ ไม่ว่าจะเป็น อุปกรณ์ปลายทาง อีเมล เซิร์ฟเวอร์ และการใช้งานบนคลาวด์ เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีพื้นที่ซ่อนตัวสำหรับผู้โจมตี ทำให้ดำเนินการตอบสนองได้ทันต่อเหตุการณ์และสามารถหยุดการโจมตีได้ก่อนที่ผู้บุกรุกจะมีโอกาสสร้างผลกระทบร้ายแรงต่อองค์กร

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“Energy Transparent Glass” กระจกใสพลังงานแสงอาทิตย์ นวัตกรรมที่นักออกแบบควรจับตามอง

ในปัจจุบันเราปฏิเสธไม่ได้ว่าวัสดุอย่าง กระจกใส ได้ถูกนำมาใช้เป็นองค์ประกอบหลักในการออกแบบงานสถาปัตยกรรม เพื่อสร้างความโดดเด่นและทันสมัยให้กับอาคาร ทั้งยังทำให้ผู้อยู่อาศัยรู้สึกปลอดโปร่ง สามารถชมทัศนียภาพได้โดยรอบ

วันนี้ BuilderNews จะพาไปรู้จักกับ Energy Transparent Glass หรือ กระจกใสพลังงานแสงอาทิตย์ นวัตกรรมที่ถูกคิดค้นขึ้นสำหรับนักออกแบบ ที่ยังคงความสวยงามของอาคารและตอบโจทย์ด้านสิ่งแวดล้อมไปได้พร้อมกัน

Energy Transparent Glass คืออะไร ?

Energy Transparent Glass หรือ กระจกใสพลังงานแสงอาทิตย์ คิดค้นโดยสถาบัน Ulsan National Institute of Science and Technology ประเทศเกาหลีใต้ นักวิจัยได้ออกแบบแผงโซลาร์เซลล์ใช้วัสดุหลักเป็นกระจกใสให้มีเส้นผ่านศูนย์กลางประมาณ 100 ไมโครเมตร และมีความหนาประมาณ 200 ไมโครเมตร

                                   

ใช้งานง่ายกว่าแผงโซลาร์เซลล์ชนิดทึบด้วยสีที่ใสไม่ดำทึบแบบสมัยก่อน อีกทั้งยังคงประสิทธิภาพของการดูดซับและเปลี่ยนแปลงแสงอาทิตย์มาเป็นพลังงานได้ดังเดิม เหมาะกับการประยุกต์ใช้กับอาคารบ้านเรือนทั่วไปแทนวัสดุกระจกที่มีขายตามท้องตลาดทั่วไป

การใช้งาน Energy Transparent Glass ในอนาคต

ปัจจุบัน Energy Transparent Glass ยังอยู่ในขั้นตอนการวิจัยและพัฒนา เพื่อปรับปรุงศักยภาพให้สามารถใช้งานได้ดียิ่งขึ้น ซึ่งนับว่าเป็นอีกหนึ่งนวัตกรรมที่น่าสนใจอย่างมากในงานออกแบบและยังสามารถนำไปประยุกต์ใช้งานกระจกใสพลังงานแสงอาทิตย์ได้หลากหลาย เช่น

  • สามารถใช้งานร่วมเป็นวัสดุหลักในการออกแบบงานสถาปัตยกรรมแทนกระจกและหน้าต่าง
  • สามารถใช้งานร่วมกับรถยนต์ไฟฟ้าเพื่อสนับสนุนพลังงานงานแสงอาทิตย์เปลี่ยนเป็นพลังงานสำรอง
  • สามารถประยุกต์ใช้งานกับสถานที่สาธารณะต่าง ๆ เช่น ป้ายรถเมล์ เพื่อเพิ่มฟังก์ชันการใช้งานทีมากขึ้น
                                              

 

                                         
                                                  

Energy Transparent Glass” กับงานออกแบบสถาปัตยกรรมในไทย

ในปัจจุบันประเทศไทยเองได้มีการผลักดันการใช้พลังงานแสงอาทิตย์ โดยการนำระบบโซลาร์เซลล์มาใช้ร่วมในการออกแบบงานอาคาร บ้าน หรือสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ ให้สามารถใช้ประโยชน์จากแสงอาทิตย์ได้อย่างเต็มที่ เพื่อทำให้ประหยัดการใช้ทรัพยากรและประหยัดค่าใช้จ่ายได้ในระยะยาว

                   

แต่ทว่ายังขาดความชัดเจนในการดำเนินงานมาในภาคประชาชน ทำให้หลาย ๆ คนยังรู้สึกว่าระบบโซลาร์เซลล์ยังเป็นความรู้ที่ไกลตัวมากกว่าพลังงานชนิดอื่น ๆ

นอกจากนี้ Energy Transparent Glass ยังติดประเด็นในส่วนของเรื่องราคาที่ในปัจจุบันอาจจะราคาสูงไปสักเล็กน้อย หากเทียบกับการใช้พลังงานรูปแบบอื่น ๆ รวมถึงการเข้าถึงลูกค้าที่อยู่นอกประเทศซึ่งยังไม่ได้มีการโปรโมทได้มากเท่าที่ควร

Energy Transparent Glass” นับว่าเป็นวัสดุพลังงานสะอาด ที่จะถูกนำมาใช้ร่วมกับการออกแบบอาคารสูงมากยิ่งขึ้น เพราะกระจกใสจะไม่ได้มีหน้าที่ไว้เพียงแค่ตกแต่งภายนอกอาคารเท่านั้น หากแต่ยังเป็นวัสดุทางเลือกที่สามารถผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานสะอาดได้อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


ชนิดทอง ราคารับซื้อ กรัมละ ราคารับซื้อ บาทละ ราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5% n/a 26,700.00 26,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,730.00 26,226.80 27,300.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,557.00 23,604.12 n/a
ทองรูปพรรณ 80% 1,384.00 20,981.44 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 779.00 11,809.64 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 606.00 9,186.96 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,793.00 27,181.88 n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 30/06/2564

ราคาน้ำมัน ปตท
ปตท.
ราคาน้ำมัน บางจาก
บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี
ราคาน้ํามันพีที PT
พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 95 29.05 29.05 29.05 29.05 29.05 29.05 29.05 29.05 29.05 29.05
แก๊สโซฮอล์ 91 28.78 28.78 28.78 28.78 28.78 28.78 28.78 28.78 28.78 28.78
แก๊สโซฮอล์ E20 27.54 27.54 27.54 27.54 27.54 27.54 27.54 27.54 27.54
แก๊สโซฮอล์ E85 22.59 22.59 22.59
เบนซิน 95 36.46 36.91 36.96 36.46 36.46
ดีเซล B7 28.99 28.99 28.99 28.99 28.99 28.99 28.99 28.99 28.99 28.99
ดีเซล 25.99 25.99 25.99 25.99 25.99 25.99 25.99 25.99 25.99 25.99
ดีเซล B20 25.74 25.74 25.94 25.74 25.74 25.74 25.74
ดีเซลพรีเมี่ยม 33.76 33.76 35.44 35.16 33.76
แก๊ส NGV 13.99 13.99 13.99
Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า