เทรนด์บ้านหลังสอง พัทยามาแรง
โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ชี้เทรนด์บ้านหลังที่สอง พัทยามาแรง เชื่อดีมานด์เติบโตสอดรับการใช้ชีวิตยุค “New Normal”
นายณพงศ์ ปริพนธ์พจนพิสุทธิ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ จำกัด บริษัทผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์คุณภาพครบวงจร เปิดเผยถึงแนวโน้มการมีบ้านหลังที่สองหรือบ้านพักตากอากาศ ว่าเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่เกิดน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 บวกกับมลพิษทางอากาศที่เพิ่มขึ้น ปัญหาฝุ่น PM2.5 และล่าสุดกับวิกฤตการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ทำให้คนเริ่มตระหนักถึงการมีทำเลสำรอง เพื่อย้ายไปอยู่ในช่วงเวลาที่ไม่มีความแน่นอน ทำให้ความต้องการซื้อบ้านหลังที่สองหรือบ้านพักตากอากาศ ในแหล่งพักผ่อนตากอากาศชั้นนำอย่าง พัทยา ยังคงเป็น Top Destination ของคนกรุงเทพฯ รวมถึงนักลงทุนทั้งไทยและต่างชาติ บ้านหลังที่สองจึงเป็นทางเลือกหนึ่งที่หลายคนมองหา ไม่เพียงแค่ตัดสินใจซื้อเพื่อพักผ่อนช่วงวันหยุดสุดสัปดาห์ และการเป็นสินค้าเพื่อการลงทุนเท่านั้น แต่ยังมองถึงการเป็นสถานที่พักผ่อนที่มีความปลอดภัยมากกว่าในสถานการณ์มีการเปลี่ยนแปลงของโลก
“ทุกวันนี้ไม่ใช่แค่ธุรกิจต่างๆ ที่จะต้องเตรียมแผนสำรอง แต่ยังรวมถึงผู้บริโภคทั่วไปด้วยที่ต้องเตรียมรับมือกับสถานการณ์ต่างๆที่จะเกิดขึ้น การมีบ้านหลังที่สองจึงเป็นการปรับตัวอย่างหนึ่งเพื่อต่อสู้กับความเปลี่ยนแปลงในโลกปัจจุบัน และจะกลายเป็นเทรนด์ที่เติบโตขึ้นในตลาดอสังหาริมทรัพย์ ยุคปัจจุบันที่เราต้องเจอกับความเสี่ยงที่มากขึ้นเรื่อยๆ”

ทั้งนี้เห็นได้ชัดจากตัวเลขยอดขายในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา ของโอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ที่มียอดการซื้อขายโครงการ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน – พัทยา” เพิ่มขึ้น ด้วยยอดขายสูงถึง 120 ล้านบาท นอกจากนี้ยังพบว่ากลุ่มลูกค้าที่เข้ามาซื้อไม่ใช่เฉพาะกลุ่มนักธุรกิจที่มีเงินเย็นและมีรายได้สูง แต่ยังมีลูกค้ากลุ่มใหม่ที่เข้ามาซื้อซึ่งเป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่อายุน้อย รวมถึงลูกค้าชาวจีนที่สนใจโครงการฯเพิ่มมากขึ้น
สำหรับเมืองพัทยานั้น นับเป็นทำเลที่โดดเด่นที่สุดในช่วง 3 ปี (ปี 2559-2561) และมีอัตราการขายสูง โดยกลุ่มเป้าหมายหลัก ได้แก่ กลุ่มนักธุรกิจ เศรษฐีชาวไทยและชาวต่างชาติ ผู้ที่มีชื่อเสียงในแวดวงต่างๆ ที่ต้องการบ้านพักตากอากาศ สำหรับพักผ่อนและซื้อเพื่อการลงทุน สาเหตุที่ทำให้เมืองพัทยาได้รับความนิยม นอกจากเป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมแล้ว ยังมีปัจจัยแวดล้อมอื่นๆ เช่นการขยายตัวของโครงสร้างพื้นฐาน การเดินทางที่สะดวกมากขึ้น ประกอบกับแรงหนุนของการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานต่างๆ ที่มีความคืบหน้าและชัดเจนมากขึ้นเป็นลำดับ และการพัฒนาโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) ที่รัฐบาลผลักดันอย่างเต็มที่ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงเมกะโปรเจคต์ต่างๆ ที่ภาคเอกชนเข้าไปลงทุนอีกหลายโครงการ ซึ่งเป็นแรงกระตุ้นที่สำคัญที่จะส่งผลให้ตลาดคอนโดมิเนียมในพื้นที่พัทยาจะกลับมาได้รับความนิยมของกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและต่างชาติ ซื้อลงทุนสำหรับเป็นบ้านพักตากอากาศหรือเป็นบ้านหลังที่สองเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในอนาคต
ทั้งนี้ ข้อมูลจากฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ระบุว่า ในช่วงครึ่งแรกของปี 2563 มีโครงการคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่พัทยาเพียงแค่ 1 โครงการ จำนวน 319 ยูนิตเท่านั้น เพราะภาพรวมของตลาดคอนโดฯในพัทยายังคงมีอุปทานที่ก่อสร้างแล้วเสร็จก่อนหน้านี้เหลือขายอยู่ในตลาดพอสมควร บวกกับสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19
สำหรับทำเลที่ยังเป็นที่นิยมของกลุ่มผู้ซื้อคอนโดฯตากอากาศในพื้นที่พัทยา คือ พื้นที่วงศ์อมาตย์ เนื่องจากเป็นทำเลที่ค่อนข้างเงียบสงบ มีชายหาดที่ค่อนข้างสวยงาม ส่งผลให้ทำเลย่านดังกล่าวมีอัตราการขายสูงที่สุด และหน่วยเหลือขายเพียงแค่ไม่ถึง 600 ยูนิตเท่านั้น รองลงมาคือ พื้นที่ใจกลางเมืองพัทยา เนื่องจากตอบโจทย์ทั้งในเรื่องของการอยู่อาศัย และผลตอบแทนจากการลงทุนที่ค่อนข้างคุ้มค่า อีกทำเล คือ ทำเลย่านนาจอมเทียน เนื่องจากทำเลย่านนี่ยังคงความเงียบสงบไม่วุ่นวายเหมือนใจกลางเมืองพัทยา บวบกับแวดล้อมด้วยร้านอาหารชื่อดัง สวนน้ำ รวมถึงแนวเส้นทางรถไฟฟ้าความเร็วสูงที่กำลังจะเกิดขึ้น ส่งผลให้ทำเลย่านนาจอมเทียนเป็นอีกทำเลที่ได้รับความสนใจทั้งจากกลุ่มผู้ซื้อ เพื่อการอยู่อาศัยและกลุ่มนักลงทุนค่อนข้างมากในช่วงที่ผ่านมา
ขณะที่ขนาดของคอนโดมิเนียมที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่พัทยาทั้งหมดพบว่า ห้องชุดขนาดต่ำกว่า 50 ตารางเมตร เป็นช่วงขนาดที่ผู้ประกอบการพัฒนาออกมาในตลาดมากที่สุดประมาณ 84.2% และสามารถขายไปแล้วประมาณ 66.3% แต่พบว่า ห้องชุดขนาดมากกว่า 100 ตารางเมตรขึ้นไปเหลืออุปทานในตลาดเพียงแค่ 1% ของอุปทานที่อยู่ระหว่างการขายในตลาดเท่านั้น เนื่องจากผู้ประกอบการส่วนใหญ่นิยมพัฒนาห้องชุดขนาดเล็ก โดยเฉพาะในพื้นที่จอมเทียนส่วนใหญ่เป็นห้องชุดขนาดใหญ่ ส่งผลให้โครงการคอนโดฯ ที่มีขนาดห้องพักมากกว่า 100 ตารางเมตร เหลือขายอยู่ในตลาดเพียงแค่ประมาณ 610 ยูนิตเท่านั้น และเป็นช่วงขนาดที่มีอัตราการขายที่สูงที่สุด เนื่องจากเป็นขนาดห้องพักที่ตอบโจทย์ในเรื่องของการอยู่อาศัยที่แท้จริงของคอนโดมิเนียมตากอากาศ
ในส่วนของ โอเชี่ยน พรอพเพอร์ตี้ ปัจจุบันมีโครงการเปิดขายในพัทยา คือ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน -พัทยา” เป็นคอนโดมิเนียมไฮไรส์ (High Rise) ที่พัฒนาไว้สำหรับรองรับกลุ่มกำลังซื้อ เพื่อเป็นบ้านหลังที่สองของครอบครัว หรือมองถึงโอกาสของการลงทุนสร้างมูลค่าในระยะยาว โดยจุดเด่นของโครงการ ตั้งอยู่นาจอมเทียน มีแนวโน้มการเติบโตในอนาคต เพราะเป็นทำเลที่เมืองพัทยาผลักดันให้เป็นพื้นที่ตลาดไฮเอนด์ อีกทั้งระบบโครงสร้างพื้นฐานที่เกิดขึ้นทำให้การเดินทางที่สะดวก ด้วยเส้นทางหลวงพิเศษตัดใหม่เลี่ยงเมือง (มอเตอร์เวย์) หมายเลข 7 ส่วนต่อขยายช่วงพัทยา-มาบตาพุด ทางลงอยู่บริเวณด้านหน้าโครงการ ซึ่งเปิดให้บริการแล้ว
สำหรับโครงการ “โอเชี่ยน พอร์โตฟิโน่ จอมเทียน – พัทยา” คอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์ (High Rise) สไตล์โมเดิร์น สูง 37 ชั้น จำนวน 268 ยูนิต บนเนื้อที่กว่า 120 ไร่ เน้นการออกแบบโดยมอบความเป็นส่วนตัว และความสบายสูงสุดด้วยห้องแบบ Over-Size Unit หรือ ห้องขนาดใหญ่พิเศษ โดดเด่นด้วยตัวอาคารที่มีความโอ่อ่าเรียบหรูชวนหลงใหลแบบ V-Shape เปิดมุมมอง 180 องศา ของวิวทะเลและท่าจอดเรือยอช์ทหรูระดับเวิลด์คลาสขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ แลนด์มาร์คสำคัญที่สุดแห่งหนึ่งของเมืองพัทยา เติมเต็มการพักผ่อนอย่างเหนือระดับกับ ‘Luxury Marinafront Living’ รูปแบบการใช้ชีวิตสุนทรีย์ในวันพักผ่อนแนวใหม่สำหรับคนในครอบครัว
“มองจากปัจจัยต่างๆ ที่มีการเปลี่ยนแปลง สถานการณ์ของโลกที่ไม่แน่นอน ทำให้เทรนด์การมีบ้านหลังที่สองจะกลายเป็น New Normal หรือความปกติใหม่ของการปรับตัวของผู้คนในยุคปัจจุบัน ยุคที่ทุกคนต้องเจอกับความเสี่ยงที่มีมากขึ้น และผมเชื่อว่าจะกลายเป็นเทรนด์ที่เติบโตขึ้นในตลาดอสังหา ฯ นับจากนี้ไปอีกด้วย” นายณพงศ์กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เปิด 3 ทำเลคอนโดฯแพงสุด “ยุคโควิด”
เซ็นจูรี่ 21 เปิด 3 ทำเลคอนโดราคาแพงและดีที่สุด โซนวิทยุ-หลังสวน/ราชดำริ-สารสิน/ทองหล่อ ยังขึ้นแท่น ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวและการแพร่ระบาดจากไวรัสโควิด-19
นายกิติศักดิ์ จำปาทิพย์พงศ์ ประธานและผู้ก่อตั้ง บริษัท เซ็นจูรี่ 21 (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แม้สถานการณ์ของตลาดอสังหาริมทรัพย์โดยภาพรวมจะชะลอตัวลงจากภาวะเศรษฐกิจที่ตกต่ำ และการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติได้เมื่อไร แต่สำหรับตลาดคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ ถือเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบไม่มากนัก เพราะเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูง และยังมีความต้องการซื้ออย่างต่อเนื่อง โดยมีปัจจัยหลักๆ ที่ช่วยขับเคลื่อนตลาดดังนี้
• คอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่เป็นโครงการที่อยู่ในทำเลที่ถือว่าดีที่สุดใน Prime Central Bangkok (PCB) ซึ่งเป็นโซนที่มีความเป็นที่อยู่อาศัยและการใช้ชีวิตที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ อย่างสมบูรณ์แบบ ถือได้ว่าเป็นของที่มีจำกัดหรือเรียกได้ว่า Limited Edition/Collection อีกทั้งที่ดินที่จะสามารถพัฒนาโครงการในลักษณะนี้แทบจะไม่มีแล้ว
• ลูกค้ากลุ่มลักชัวรี่ ไม่ได้รับผลกระทบมากนักจากสถานการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะด้านกำลังซื้อ หรือสถานะทางการเงิน เพียงแต่ว่าในช่วงเวลานี้อาจต้องมีเหตุผลมากขึ้นในการเลือกซื้อ เช่น ราคาต่อตารางเมตรสูงมากแบบไม่มีเหตุผลก็อาจไม่ตัดสินใจซื้อ เงื่อนไขทางการเงิน หรือ ฟังกชั่นการใช้งานที่ยังไม่ตอบโจทย์ เป็นต้น
• เป็นการซื้อที่ไม่ได้หวังผลตอบแทน หรือ Yield แต่เป็นการซื้อลงทุน เพื่อเป็นที่อยู่อาศัย และเก็บเป็นทรัพย์สิน (Asset) ไว้ในอนาคต ที่จะมีมูลค่าเพิ่ม (Capital Gain) ในอนาคตอย่างแน่นอน
สำหรับ 3 ทำเลคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ที่น่าอยู่และแพงที่สุดในขณะนี้ ได้แก่
1. ย่านวิทยุ-หลังสวน ปัจจุบันราคาเฉลี่ยของที่ดินอยู่ที่ประมาณ 1,500,000-3,100,000 บาทต่อตารางวา ขณะที่ราคาคอนโดเฉลี่ยอยู่ที่ 230,000-700,000 บาทต่อตารางเมตร
2. ย่านราชดำริ-สารสิน ปัจจุบันราคาเฉลี่ยของที่ดินอยู่ที่ประมาณ 2,000,000-3,900,000 บาทต่อตารางวา ขณะที่ราคาคอนโดเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000-370,000 บาทต่อตารางเมตร
3. ย่านทองหล่อ ปัจจุบันราคาเฉลี่ยของที่ดินอยู่ที่ประมาณ 1,200,000-1,800,000 บาทต่อตารางวา ขณะที่ราคาคอนโดเฉลี่ยอยู่ที่ 250,000-430,000 บาทต่อตารางเมตร
“หากเทียบเคียง 3 ทำเลดังกล่าวกับทำเลที่อยู่อาศัยที่มีชื่อเสียงในต่างประเทศก็จะเปรียบเหมือนเรามีทรัพย์สินหรือที่อยู่อาศัยในโซน 1 ของกรุงลอนดอน สหราชอาณาจักร ซึ่งได้แก่ เคนซิงตัน เบลกราเวีย หรือไนท์บริดจ์ หรืออยู่ในโซน ฟิฟท์ อเวนิว ของนิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา ซึ่งเรียกได้ว่าทำเลทั้ง 3 แห่งนี้ไม่ว่าจะเป็นยุคไหน หรือสถานการณ์แบบไหน มูลค่าของทรัพย์ที่พัฒนาขึ้นก็ยังคงมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง” นายกิติศักดิ์กล่าว
ปัจจุบันแปลงที่ดินที่สามารถพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยใน 3 ทำเลดังกล่าวมีอยู่อย่างจำกัด ขณะที่ราคาที่ดินต่อตารางวาก็สูงขึ้นอย่างมากแตะระดับ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งล่าสุดที่ดินบริเวณถนนสารสินใกล้กับ สวนลุมพินีได้มีการซื้อขายโดยบริษัทพัฒนาที่ดินรายใหญ่ในราคาที่เป็นสถิติสูงสุดที่ 3.9 ล้านบาทต่อตารางวา ซึ่งคาดว่าถ้ามีการพัฒนาเป็นโครงการคอนโดมิเนียมในรูปแบบ Freehold จะมีราคาขายเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 450,000 บาท ต่อตารางเมตรและมีจำนวนยูนิตที่จำกัด
“การซื้อขายที่ดินในย่าน PBD ซึ่งปัจจุบันมีที่ดินเหลืออยู่น้อยมากและเป็นที่ดินที่มีอยู่เฉพาะไม่สามารถหาได้จากที่อื่นอีกแล้ว ปัจจุบันราคาซื้อขายสูงถึงตารางวาละ 2-2.5 ล้านบาท ขณะที่ราคาประเมินอยู่ที่ 1 ล้านบาท ซึ่งการซื้อขายและราคาที่ดินในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 และภาวะเศรษฐกิจของประเทศที่ชะลอตัวในอยู่ขณะนี้ทำให้ผู้ประกอบการเบรกการลงทุนใหม่ ความต้องการใช้ที่ดินจึงลดลง หากเจ้าของที่ดินไม่จำเป็นต้องรีบขายก็จะไม่มีการปรับราคาลงมา หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นการให้เช่าระยะยาวแทน” นายกิติศักดิ์กล่าว
ทั้งนี้ ในย่าน PCB จะมีโครงการที่พัฒนาใน 2 แบบ คือ เช่าซื้อระยะยาว (Leasedhold) และแบบขายขาด (Freehold) โดยราคาซื้อขายต่อตารางเมตรของโครงการที่เป็น Leasedhold จะอยู่ในสัดส่วน 35-45% ของราคาที่เป็น Freehold อย่างไรก็ตาม ในบางโครงการที่เป็น Leasedhold ราคาขายต่อตารางเมตรอาจสูงใกล้เคียงกับ Freehold แต่จะถูกทดแทนด้วยคุณภาพของวัสดุที่ใช้ สิ่งอำนวยความสะดวก รวมไปถึงฟังก์ชั่นการใช้งานต่าง ๆ ที่เทียบได้กับบริการห้าดาว อีกทั้งสัญญาสิทธิการเช่าซื้อก็จะเพิ่มขึ้นด้วย เป็นลักษณะ 30+30 ปี และสามารถต่อได้อีก 10 ปี ซึ่งถือว่าคุ้มค่าเมื่อเทียบกับสิ่งที่ได้รับจากโครงการ
นายกิติศักดิ์ ให้ความเห็นทิ้งท้ายว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในวิกฤติจากไวรัสโควิด-19 ครั้งนี้ เมื่อเทียบกับวิกฤติในหลายครั้งที่ผ่านมา ถือเป็นวิกฤติที่ไม่เคยเกิดขึ้นในโลก และเพิ่งเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของวิกฤติเศรษฐกิจและวิกฤติอสังหาริมทรัพย์ที่เกิดจากโรคอุบัติใหม่ที่รุนแรง และลุกลามไปทั่วโลกอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ซึ่งแตกต่างจากวิกฤติต้มยำกุ้งที่เกิดปัญหาเฉพาะประเทศไทย เมื่อสถานการณ์เริ่มคลี่คลายยังมีกำลังซื้อจากต่างชาติไม่ว่าจะเป็นบริษัทหรือกองทุนอย่างเช่น เลห์แมน บราเธอร์ หรือโกลด์แมน ซาคส์ เข้ามากว้านซื้ออสังหาฯไทยทำกำไร ช่วยทำให้ทำให้เกิดการซื้อขายและเกิดการฟื้นตัวของธุรกิจได้เร็ว แต่ในสถานการณ์ขณะนี้ทุกประเทศมีปัญหาเหมือนกันหมดทำให้ไม่มีใครเอาเงินเข้ามาซื้อ เพราะต้องแก้ปัญหาของตัวเองก่อน ภาคเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ทุกประเภทต้องหยุดชะงักรอเวลาถึงจุดต่ำสุด ซึ่งคาดว่าประมาณไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ หรือไตรมาสแรกของปีหน้า ซึ่งเมื่อถึงเวลานั้นยังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง
“แม้ว่าภาครัฐจะพยายามใช้มาตรการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำ การลดภาษีเพื่อลดภาระการซื้อบ้าน หรือมาตรการอื่นๆ ที่จะออกมากระตุ้นภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่เมื่อประชาชนยังไม่มั่นใจในภาวะเศรษฐกิจ และรายได้ของตัวเองในอนาคต ก็จะยังชะลอการตัดสินใจซื้อออกไป ยกเว้นกลุ่มที่มีความจำเป็นต้องซื้อ เพื่ออยู่อาศัยจริงซึ่งมีอยู่ไม่มากนักในเวลานี้ ขณะที่กำลังซื้อต่างประเทศจะยังคงไม่สามารถเข้ามาได้ เพราะมีความเสี่ยงสูงต่อการติดเชื้อ นอกจากนี้ ธนาคาร ก็ยังคงเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ เพราะมีความกังวลกับภาวะหนี้เสียที่จะเกิดขึ้น ทุกธนาคารจึงมุ่งเน้นในการแก้ปัญหาหนี้เสียที่อาจจะเกิดขึ้นเป็นอันดับแรกก่อน ด้วยปัจจัยต่างๆ เหล่านี้ ทำให้ภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะยังคงอยู่ท่ามกลางภาวะวิกฤติไม่สามารถฟื้นตัวได้จนกว่าจะมีวัคซีนป้องกันโรคดังกล่าว” นายกิติศักดิ์กล่าว
เคทีซี ลดดอกเบี้ยบัครเครดิต
นายระเฑียร ศรีมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เคทีซี หรือ บริษัท บัตรกรุงไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ยังมีความไม่แน่นอนสูง และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจในวงกว้าง บริษัทฯ ได้ร่วมสนับสนุนมาตรการของกระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ดำเนินการช่วยเหลือด้านสินเชื่อให้กับสมาชิกที่ได้รับผลกระทบอย่างเต็มกำลังและต่อเนื่อง ครอบคลุมทั้งสมาชิกบัตรเครดิต สมาชิกสินเชื่อส่วนบุคคลและสมาชิกสินเชื่อทะเบียนรถยนต์เคทีซี กว่า 3.5 ล้านบัญชีทั่วประเทศ
โดยล่าสุดในวันที่ 1 สิงหาคม 2563 นี้เป็นต้นไป บริษัทฯ จะทำการปรับลดเพดานดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมการใช้วงเงิน ตามอัตราที่ ธปท. โดยที่สมาชิกไม่ต้องแจ้งความประสงค์เข้ามาที่บริษัทฯ ดังนี้ บัตรเครดิตเคทีซีทุกประเภท อัตราดอกเบี้ยรวมอัตราค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินเท่ากับ 16% ต่อปี บัตรกดเงินสด “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) และสินเชื่ออเนกประสงค์ “KTC CASH” อัตราดอกเบี้ยรวมอัตราค่าธรรมเนียมการใช้วงเงินสูงสุดเท่ากับ 25% ต่อปี
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้ปรับลดอัตราผ่อนชำระของบัตรเครดิตจากเดิม 10% เหลือ 5% ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 – ปี 2564 อัตราร้อยละ 8 ในปี 2565 และอัตราร้อยละ 10 ในปี 2566 เป็นต้นไป ส่วนลูกหนี้สินเชื่อบุคคล “เคทีซี พราว” (KTC PROUD) ปัจจุบันได้รับอัตราผ่อนชำระขั้นต่ำ 3% ซึ่งอยู่ใน แนวทางการให้ความช่วยเหลืออยู่แล้ว รวมทั้งช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการระบาดของโควิด-19 เช่น การเปลี่ยนสินเชื่อเป็นระยะยาว การลดค่างวด 30% เป็นต้น โดยขยายเวลาการให้ความช่วยเหลือไปสิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคม 2563 ทั้งนี้ ข้อมูล ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2563 กลุ่มลูกหนี้ได้เข้าร่วมเปลี่ยนเป็นสินเชื่อระยะยาวภายใต้มาตรการช่วยเหลือของบริษัทฯ ประมาณกว่า 4,000 ราย คิดเป็นมูลค่าหนี้ประมาณกว่า 300 ล้านบาท และมียอดลูกหนี้ที่ขอพักชำระหนี้ 90 ราย
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ตัดเกรดแข้ง “ลิเวอร์พูล” หลังคว้าแชมป์ “พรีเมียร์ลีก” ซีซั่น 2019-20
ตัดเกรดแข้ง “ลิเวอร์พูล” ยอดทีมแดนผู้ดี ภายใต้การนำทีม “เยอร์เกน คลอปป์” กุนซือเลือดเบียร์ ภายหลังจากที่คว้าแชมป์ “พรีเมียร์ลีก อังกฤษ” ประจำฤดูกาล 2019-20
วันที่ 31 ก.ค. 63 ความเคลื่อนไหวหลังจากที่ “หงส์แดง” ลิเวอร์พูล ทีมขวัญใจมหาชน ผงาดคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ประจำฤดูกาล 2019-20 ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของพวกเขาตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาเป็น พรีเมียร์ลีก และถือเป็นแชมป์ลีกสูงสุดในรอบ 30 ปีของพวกเขาเลยทีเดียว และนี่คือบทวิเคราะห์และการตัดเกรดให้คะแนนนักเตะชุดตัวจริงที่ทาง เยอร์เกน คลอปป์ ผู้จัดการทีมชาวเยอรมัน ส่งลงสนามเป็นประจำ
อลิสสัน เบคเกอร์ (ผู้รักษาประตู) 7.5 คะแนน
นายทวารเจ้าของค่าตัว 67 ล้านปอนด์ ยังคงฟอร์มที่ยอดเยี่ยมจากซีซั่นก่อนมาถึงซีซั่นนี้ โอเคแหละว่าเขามีช่วงที่หายหน้าหายตาไปจากทีมช่วงต้นฤดูกาลที่เขามีอาการบาดเจ็บจนต้องให้ อาเดรียน รับบทเฝ้าเสาแทนราวๆ 10 กว่านัด แต่กระนั้นเมื่อเขากลับมาก็ยังคงรักษาซึ่งมาตรฐานระดับสูงเอาไว้จนสามารถเก็บไปได้ถึง 13 คลีนชีตในลีกเทรนท์ อเล็กซานเดอร์-อาร์โนลด์ (แบ็กขวา) 8.5 คะแนน
แบ็กขวาร่างเพลย์เมกเกอร์รายนี้ช่วยสนับสนุนเกมรุกของทีมได้อย่างมากมายราวกับว่าเป็นจอมทัพอีกคนในทีมของ เยอร์เกน คลอปป์ เขามีการเปิดบอลที่แม่นยำและยังมีทีเด็ดจากลูกฟรีคิกอีกด้วยที่ปีนี้เขาทำไปได้ถึง 3 ครั้งโดย “สิงโตน้ำเงินคราม” เชลซี เป็นทีมที่โดนไปถึง 2 หนเลยทีเดียว ซึ่งเขาทำไปทั้งหมด 13 แอสซิสต์ในลีก โดยเป็นรองเพียงแค่ เควิน เดอ บรุนด์ ที่ทำไปได้ 20 แอสซิสต์โจ โกเมซ (เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ) 6 คะแนน
ดูเหมือนว่าฟอร์มของเขาจะตกลงไปเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อนและประสบปัญหาในการเรียกฟอร์มกลับมาให้ได้เหมือนเดิม ตลอดทั้งฤดูกาลเขามีช่องให้คู่แข่งเจาะมากกว่าเดิมและมีจังหวะผิดพลาดให้เห็นเป็นระยะซึ่งอาจเป็นหนึ่งในสาเหตุหลักที่แผงหลังของทีมเสียประตูมากกว่าฤดูกาลที่แล้ว
เวอร์จิล ฟานไดค์ (เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ) 8.5 คะแนน
เขาคือหัวใจสำคัญในเกมรับของทีมและเป็นหนึ่งในแข้งกำลังสำคัญของทีมจนสามารถคว้าแชมป์ พรีเมียร์ลีก มาครองได้สำเร็จ เขาได้ลงเล่นครบทุกนาทีเกมลีกทั้ง 38 นัด หลักๆ แล้วผลงานของเขายังคงมีมาตรฐานที่ยอดเยี่ยมเหมือนเดิม แม้จะมีความผิดพลาดให้เห็นมากขึ้นก็ตาม แต่กระนั้นโดยภาพรวมเขาช่วยให้แผงหลังของทีมแน่นและเสถียรเป็นอย่างมาก
แอนดรูว์ โรเบิร์ตสัน (แบ็กซ้าย) 8 คะแนน
ยังมีมาตรฐานในระดับสูงเช่นเคยวิ่งสุดลงสุดในการช่วยทีมทางฝั่งซ้าย นอกจากนี้ดูเหมือนเขาว่าเขาจะนิ่งขึ้นและละเอียดมากมายในการจ่ายบอลหรือการเข้าแย่งบอลทำให้ความโฉ่งฉ่างที่เคยมีมาก่อนในอดีตลดลงไป พร้อมกันนี้ยังทำไปได้ถึง 12 แอสซิสต์ในลีกรั้งอันดับที่ 3 ของท็อปชาร์ต
ฟาบินโญ (กองกลาง) 7.5 คะแนน
แม้ตัวเขาจะประสบปัญหามีอาการบาดเจ็บรบกวนในระหว่างฤดูกาล แต่กระนั้นเขาถือเป็นตัวหลักสำคัญของ เยอร์เกน คลอปป์ ในการคุมจังหวะแดนกลางของทีม เขายังเพิ่มทีเด็ดในมิติเกมรุกด้วยบอลยาวและลูกแทงทะลุช่องสวยๆ หลายครั้งรวมถึงจังหวะยิงไกลจากแถวสองที่หวังผลได้
จอร์จินิโอ ไวจ์นัลดุม (กองกลาง) 7 คะแนน
ยังคงทำหน้าที่เชื่อมเกมลำเลียงบอลจากแดนกลางไปหน้าได้อย่างไหลลื่น มาตรฐานยังคงยอดเยี่ยมเมื่อเทียบกับฤดูกาลก่อน นอจกากนี้ยังมีความมุ่งมั่นและขยันช่วยไล่บอลให้เห็นรวมถึงหาจังหวะลุ้นทำประตูมากขึ้นและแทบลูกประตูที่เขาทำได้ล้วนเป็นประตูสำคัญให้กับทีมแทบทั้งสิ้น
จอร์แดน เฮนเดอร์สัน (กองกลาง) 8 คะแนน
ฤดูกาลนี้ถือว่าเขายกระดับฟอร์มการเล่นขึ้นมาเรียกได้ว่าดีขึ้นกว่าฤดูกาลก่อน เขาคุมเกมแดนกลางของทีมได้อย่างยอดเยี่ยมและแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่ดีทั้งในและนอกสนามจนทั้ง เยอร์เกน คลอปป์ และบรรดาเพื่อนร่วมทีมออกมาชื่นชมเขาอยู่บ่อยๆ จนท้ายที่สุดเขาได้เป็นคนชูถ้วยที่รอคอยมานานกว่า 30 ปีในครั้งนี้
โมฮาเหม็ด ซาลาห์ (กองหน้า) 8.5 คะแนน
หากนับกันที่ผลงานและสถิติโดยรวมคงต้องบอกว่าดร็อปลงไปจากซีซั่นที่แล้วอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ถึงกับตกลงฮวบฮาบจนน่าใจหายแต่อย่างใด (ทำได้ 19 ประตู 10 แอสซิสต์ในลีก) ตัวเขาก็ยังเป็นเขาเล่นในแบบฉบับของตัวเองและในหลายๆ ครั้งก็เลือกที่จ่ายบอลให้เพื่อนมากขึ้นแม้จะยังไม่เนียนมากนักก็ตามที แต่ทั้งหมดทั้งมวลมันก็ทำให้ทีมไปถึงจุดหมายที่รอคอยมานาน
โรแบร์โต เฟอร์มิโน (กองหน้า) 7 คะแนน
ถ้าเทียบกับแนวรุกของทีมเขาถือว่าเขาฟอร์มดร็อปลงไปพอสมควรทั้งในเรื่องของฟอร์มการเล่น, แอสซิสต์ หรือการทำประตูที่ทำไปได้แค่ 9 ลูกกับอีก 8 แอสซิสต์ในลีกเท่านั้นและกว่าจะทำประตูที่ แอนฟิลด์ ได้ต้องรอจนถึงช่วงท้ายจริงๆ ของฤดูกาล ความมั่นใจที่บางครั้งเหมือนหดหายไปบ้าง แต่กระนั้นเขาก็ยังเป็นเชื่อมเกมรุกที่ดีและช่วยทำให้ทีมได้ประโยชน์โดยรวมหลายครั้ง
ซาดิโอ มาเน (กองหน้า) 8 คะแนน
นี่ก็เป็นอีกคนที่มาตรฐานอาจไม่ร้อนแรงเปรี้ยงปร้างเท่าปีก่อน ในหลายๆ เกมเขาอาจดูเงียบๆ ไปบ้าง แต่สถิติก็ยังโอเคด้วยผลงาน 18 ประตูกับอีก 7 แอสซิสต์ในลีก และนั่นก็เพียงพอที่จะช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีก
ขอบคุณข้อมูลจาก thairath.co.th
“โรคพยาธิในช่องคลอด” ภัยเงียบที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า
เชื้อราในช่องคลอดและพยาธิในช่องคลอดต่างกันอย่างไร? รู้จักโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ “โรคพยาธิในช่องคลอด” แพทย์เตือนไม่รีบรักษาอาจลุกลามไปถึงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะ
โรคพยาธิในช่องคลอดคืออะไร
ข้อมูลโดย ผศ.พญ.อรวิน วัลลิภากร สาขาวิชาเวชศาสตร์การเจริญพันธุ์ ภาควิชาสูติศาสตร์-นรีเวชวิทยา คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล อธิบายว่า โรคพยาธิในช่องคลอด (Trichomoniasis) คือโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ชนิดหนึ่งเกิดจากการติดเชื้อโปรโตซัวที่มีชื่อว่า Trichomonas vaginalis พบได้ทั้งในเพศหญิงและเพศชาย แต่จะพบได้ในเพศหญิงมากกว่า ซึ่งตัวพยาธินั้นมีขนาดเล็กมากไม่สามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าต้องดูผ่านกล้องจุลทรรศน์เท่านั้น ความน่ากลัวของโรคนี้คือหากเป็นแล้วจะพบผู้ป่วยที่แสดงอาการเพียง 20-30 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น ทำให้หลายคนไม่รู้ตัว และแพร่กระจายเชื้อไปสู่คู่นอนได้
อาการของโรคพยาธิในช่องคลอด
- มีตกขาวมากผิดปกติ ตกขาวเป็นฟอง และอาจส่งกลิ่นเหม็นคาวปลา
- มีเลือดไหลออกจากช่องคลอด
- บวม แดง คัน หรือรู้สึกแสบบริเวณอวัยวะเพศ
- ปวดปัสสาวะบ่อย
- เจ็บปวดขณะปัสสาวะ หรือมีเพศสัมพันธ์
หากเป็นแล้วปล่อยทิ้งไว้ ไม่รีบรักษา จะลุกลามไปถึงท่อปัสสาวะและกระเพาะปัสสาวะทำให้อักเสบได้ เนื่องจากท่อปัสสาวะและช่องคลอดอยู่ใกล้กันจึงสามารถติดเชื้อได้ง่าย ในระยะยาวอาจก่อให้เกิดความเสี่ยงโรคมะเร็งปากมดลูก และส่งผลให้มีบุตรยากในอนาคต
เชื้อราในช่องคลอดและพยาธิในช่องคลอดต่างกันอย่างไร
ความแตกต่างของเชื้อราในช่องคลอดและพยาธิในช่องคลอดสามารถแยกได้จากลักษณะอาการที่เด่น ๆ เช่น เชื้อราในช่องคลอดมักจะก่อให้เกิดอาการคันมากกว่า และตกขาวจะมีลักษณะเหมือนแป้งเปียก แต่พยาธิในช่องคลอดจะก่อให้เกิดการระคายเคืองและมีอาการแสบบริเวณอวัยวะเพศเมื่อปัสสาวะหรือมีเพศสัมพันธ์
วิธีการป้องกันโรคพยาธิในช่องคลอด
โรคพยาธิในช่องคลอดสามารถติดต่อได้ทางเพศสัมพันธ์ ดังนั้นโรคนี้จึงสามารถป้องกันได้ด้วยการสวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์เช่นเดียวกับการป้องกันโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อื่น ๆ และไม่เปลี่ยนคู่นอนบ่อย นอกจากนี้หากพบว่ามีอาการตกขาวผิดปกติให้รีบไปพบแพทย์ทันที
วิธีการรักษา
โรคพยาธิในช่องคลอดเป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่สามารถรักษาให้หายขาดได้โดยการรับประทานยาตามแพทย์สั่งต่อเนื่อง 7-10 วัน แต่ถึงแม้จะรักษาจนหายขาดแล้วก็สามารถกลับมาเป็นซ้ำได้ เนื่องจากกลับไปมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนเดิมที่ติดเชื้อ ดังนั้นในทางการแพทย์จะแนะนำให้ผู้ที่สงสัยว่าจะเป็นโรคพยาธิในช่องคลอดและคู่นอน มารับการตรวจและรักษาไปพร้อม ๆ กัน เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำใหม่นั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
การบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ
เป็นบทสนทนาสุดเบสิคเลยจริงๆ สำหรับประโยคการถามไถ่ถึงเวลาต่างๆ หายคนอาจจะเคยผ่านตามาบ้างในชั้นเรียน แต่รู้หรือเปล่าว่าการบอกเวลาเป็นภาษาอังกฤษ แท้จริงแล้วมีอะไรซ่อนมากกว่านั้นอยู่นะ! ว่าแต่มันคืออะไร ตาม วอลล์สตรีทอิงลิช มาดูเลยดีกว่า!
โดยทั่วไปแล้ว วิธีหลักๆ ในการบอกเวลาจะแบ่งเป็น 2 แบบ ดังต่อไปนี้
แบบ British English
หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับ แบบนี้ไม่มากก็น้อย เพราะแบบ British English จะใช้ระบบเวลาแบบ 12 ชั่วโมง โดยจะใช้เลข 1 -12 ตามด้วย a.m. และ p.m. ที่หลายๆ คนต่างคุ้นเคยกันนั่นเอง
a.m. = ante meridiem = หลังเที่ยงคืน – ก่อนเที่ยงวัน (00.01 a.m. – 11.59 a.m.)
p.m. = post meridiem = หลังเที่ยงวัน – ก่อนเที่ยงคืน (12.00 p.m. – 11.59 p.m.)
หากคุณต้องการบอกเวลาเต็มชั่วโมง ให้เติมคำว่า “o’clock” ท้ายเวลา หรือพูด a.m. และ p.m. ตามด้วยเวลาต่างๆ ก็ได้ เช่น
10.00 a.m. = ten o’clock in the morning
04.00 p.m = four o’clock in the afternoon
แต่ถ้า คุณอยากจะบอกเวลาที่ผ่านชั่วโมงมาแล้ว แต่ไม่เกิน 30 นาที ให้บอกนาทีนำหน้า แล้วตามด้วย “past” และชั่วโมงที่ผ่านมา เช่น
09.25 a.m. = twenty-five past nine
05.12 p.m. = twelve past five
เวลาที่ผ่านชั่วโมง และเกิน 30 นาทีมาแล้ว ให้บอกนาทีที่เหลือก่อนจะถึงชั่วโมงถัดไป ตามด้วย “to” และชั่วโมงถัดไป เช่น
07.50 a.m. = ten to eight
08.40 p.m. = twenty to nine
สำหรับ การบอกเวลาแบบ British English หากนาฬิกาเป็นเวลา 15 นาทีหรือ 45 นาที ให้ใช้คำว่า a quarter และหากเป็น 30 นาที ให้ใช้ half เช่น
06.15 a.m. = a quarter past six
06.30 a.m. = half past six
แบบ American English
อีกรูปแบบการบอกเวลา ที่หลายคนอาจจะคุ้นเคยอยู่บ้าง แต่ไม่ได้นิยมใช้แพร่หลายมากเท่า British English เพราะแบบ American English จะใช้ระบบเวลาแบบ 24 ชั่วโมง ใช้ตั้งแต่เลข 0 ไปจนถึง 24 และแน่นอนว่า จะไม่มี a.m. และ p.m. เด็ดขาด
สำหรับคนที่ไม่คุ้นชินกับการบอกเวลาแบบนี้ วิธีพูดคือ ให้บอกเลขชั่วโมงก่อนตามด้วยเลขนาที โดยทั่วมักจะใช้ในทางทหาร หรืองานที่เป็นทางการ เช่น
เวลา 20.15 น. = twenty fifteen
เวลา 08.05* น. = eight O five *ใช้เสียง O (โอ) แทนเลข 0
เวลา 17.50 น. = seventeen fifty
เทคนิคเล็กน้อย สำหรับการบอกเวลาด้วย American English คุณจะสามารถเติมคำประมาณอย่าง about, around หรือ nearly ลงไปได้ เช่น
เวลา 08.02 น. =It’s about eight o’clock
เวลา 09.27 น. = It’s nearly half past nine
ส่งท้าย ทริคเล็กน้อย
- ในเวลาเที่ยงคืนหรือเที่ยงวัน สามารถใช้คำว่า “midnight” หรือ “midday / noon” แทนเลข 12 ได้ เช่น เวลา 00:00 น. แทนช่วงเวลานี้ ว่า midnight หรือ เวลา 12:00 น. แทนช่วงเวลานี้ว่า midday or noon
- ส่วนในการพูดอย่างเป็นทางการ สามารถใช้ “a.m.” หรือ “p.m.” ประกอบได้อยู่เหมือนเดิม เช่น เวลา เวลา 03:15 น. บอกได้ว่า three fifteen a.m
- หากจำเป็น ก็สามารถใช้ “in the morning, in the afternoon, in the evening, at night” ประกอบได้ เช่น เวลา 03:15 น. เป็น A quarter past three in the morning. หรือ A quarter past three at night. ก็ได้เช่นกัน
สำหรับใครที่เป็นมือใหม่ หรือคุ้นชินกับการบอกเวลาด้วย a.m. หรือ p.m. ของระบบ British English คงไม่มีปัญหาเกี่ยวกับการตอบ
แต่สำหรับใครที่อยากเก๋าเกมมากขึ้นไปอีก หรืออยากแปลกใหม่ หรือเจ้านาย ลูกค้าถนัดแบบ American English ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรใช่ไหมละ ?
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
ฮอนด้า โรงงานรถยนต์ กลับมาเดินกำลังผลิต 60%
ฮอนด้า ออโตโมบิล เผย โรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้า กลับมาทำงานเป็นปกติหลังโควิด -19 พร้อมเดิน กำลังการผลิต 60% ปลื้ม “ฮอนด้า ซิตี้” ยอดขายดี
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด มี โรงงานผลิตรถยนต์ฮอนด้า ในเมืองไทย 2 แห่ง ที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา กับ ปราจีนบุรี โดยเป็นบริษัทรายแรกๆ ที่ประกาศหยุดสายการผลิตชั่วคราว (วันที่ 27 มี.ค.63) เพื่อควบคุมสต๊อกให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาด ที่ยอดขายลดลงในช่วงวิกฤติโควิด-19
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วน ที่ใหญ่ที่สุดของฮอนด้าในโลก หลังการหยุดการผลิตรถยนต์ชั่วคราว ที่ โรงงานฮอนด้า ทั้ง 2 แห่งปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา แต่ในช่วงนั้นการผลิตชิ้นส่วน และเครื่องยนต์ยังดำเนินงานอยู่
“หลังจากนั้น ในเดือนพฤษภาคม เรากลับมารีสตาร์ทผลิตรถยนต์เพื่อส่งออก เพราะเราเปิดตัว ฮอนด้า ซิตี้ โฉมใหม่ เป็นประเทศแรกในโลก และเป็นฐานผลิตที่ต้องส่งออกไปหลายประเทศ จึงเริ่มกลับมาผลิตเพื่อส่งออกหลังจากหยุดไปหนึ่งเดือน แต่การผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศ เพิ่งจะเริ่มเดือนกรกฎาคม ซึ่งตอนนี้โรงงานกลับมาใช้กำลังผลิตแล้ว 60%”
บริษัทกลับมาผลิตเพื่อป้อนตลาดในประเทศมากขึ้น แต่ตลาดส่งออกยังลดลงพอสมควร ทั้ง ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ เวียดนาม ที่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19
“ตลาดรถยนต์สอดคล้องไปกับสภาพเศรษฐกิจ ที่ประเมินกันว่าต้องใช้เวลาฟื้นตัวอีก 2-3 ปี ยิ่งประเทศไทยพึ่งพาการท่องเที่ยวเป็นหลัก นักท่องเที่ยวต่างชาติยังไม่กลับมา จะกระทบกับรายได้และเศรษฐกิจของประเทศ ขณะที่ตลาดรถยนต์รวมปีนี้คาดว่าจะทำได้ 6.8 แสนคัน ในจำนวนนี้เป็นรถยนต์นั่ง 3.04 แสนคัน และฮอนด้าตั้งเป้าหมายไว้ 9.5 หมื่นคัน ลดลง 25% เมื่อเทียบกับปี 2562” นายพิทักษ์ กล่าว
สำหรับ 6 เดือนแรกของปี (ม.ค.- มิ.ย. 63) ฮอนด้า ขายรวมทุกรุ่น 41,326 คัน ครองส่วนแบ่งการตลาด 29.2% โดย “ฮอนด้า ซิตี้” มียอดขายมากที่สุด 16,950 คัน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สารพัดประโยชน์ เห็ดนานาชนิด
เห็ด
เป็นแหล่งอาหารโปรตีนจากธรรมชาติ ที่มีวิวัฒนาการมาจากการประสานเส้นใยจำนวนมากของเชื้อราชั้นสูง และถึงแม้เห็ด จะขาดกรดอะมิโนบางตัวไปบ้าง แต่ในเรื่องของรสชาติและเนื้อสัมผัสนั้น รับรองว่าเห็ดไม่เป็นรองใคร ในยุทธจักรอาหารอย่างแน่นอน ที่สำคัญเห็ดยังให้คุณค่าทางโภชนาการและมีสรรพคุณทางยา ซึ่งมีคุณสมบัติที่ช่วยเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกาย และช่วยลดอัตราความเสี่ยงจากโรคร้ายต่างๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน อัลไซเมอร์ ความดันโลหิตสูงและหลอดเลือดหัวใจอุดตัน เป็นต้น
จุดเด่นของเห็ด
เห็ดจัดเป็นอาหารประเภทผักที่ปราศจากไขมัน มีปริมาณน้ำตาลและเกลือค่อนข้างต่ำ และยังเป็นแหล่งโปรตีนที่ดี เมื่อเทียบกับผักอีกหลายชนิด อีกทั้งยังมีรสชาติและกลิ่นที่ชวนรับประทาน ซึ่งรสชาติที่โดดเด่นนี้ มาจากการที่เห็ด มีกรดอะมิโนกลูตามิค เป็นองค์ประกอบ โดยกรดอะมิโนตัวนี้จะทำหน้าที่ช่วยกระตุ้นประสาทการรับรู้รสอาหารของลิ้นให้ไวกว่าปกติ และทำให้มีรสชาติคล้ายกับเนื้อสัตว์
นอกจากนี้เห็ดยังอุดมไปด้วยวิตามิน โดยเฉพาะวิตามินบีรวม(ไรโบฟลาวิน) และไนอาซิน ซึ่งจะช่วยควบคุมการทำงานของระบบย่อยอาหาร ในส่วนของเกลือแร่ เห็ดจัดเป็นแหล่งเกลือแร่ที่สำคัญ โดยมีเกลือแร่ต่างๆ เช่น ซิลิเนียม ทำหน้าที่ช่วยต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็ง โรคหลอดเลือดหัวใจอุดตัน โปแตสเซียม ทำหน้าที่ควบคุมจังหวะการเต้นของหัวใจ สมดุลของน้ำในร่างกาย การทำงานของกล้ามเนื้อและระบบประสาทต่างๆ ลดการเกิดโรคความดัน-โลหิตสูง อัมพฤกษ์ และอัมพาต ส่วนทองแดง ทำหน้าที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของธาตุเหล็ก
สรรพคุณของเห็ด
เห็ดมีองค์ประกอบของพฤกษเคมีที่ชื่อว่า “โพลีแซคคาไรด์” (Polysaccharide) จะทำงานร่วมกับแมคโครฟากจ์ (macrophage) ซึ่งเป็นเซลล์คุ้มกันขนาดใหญ่ที่ออกจากหลอดเลือดเข้าสู่เนื้อเยื่อและจะไป จับกับโพลีแซคคาไรด์ที่บริเวณกระเพาะอาหาร และนำไปส่งยังเซลล์คุ้มกันตัวอื่นๆ โดยจะช่วยกระตุ้นวงจรการทำงานของระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย เสริมและช่วยเพิ่มปริมาณและประสิทธิภาพของเซลล์คุ้มกันธรรมชาติ ให้ทำหน้าที่ทำลายเซลล์แปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกาย รวมถึงพวกไวรัส และแบคทีเรียอื่นๆ ด้วย เห็ดที่มีปริมาณสารโพลีแซคคาไรด์สูง คือ เห็ดหอมหรือเห็ดชิตาเกะ เห็ดนางรม เห็ดหูช้าง และเห็ดกระดุม เป็นต้น และเห็ดอื่นๆ ที่นิยมนำมารับประทาน ได้แก่ เห็ดฟาง เห็ดหลินจือ เห็ดฟาง เห็ดหูหนู เห็ดกระดุมหรือแชมปิญอง เห็ดโคน และเห็ดเข็มทอง เป็นต้น นอกจากนี้ยังสามารถใช้เห็ดเป็นยาได้อีกด้วยซึ่งสรรพคุณทางยาของเห็ดมีมากมาย เช่น ช่วยควบคุมการทำงานของอวัยวะสำคัญต่างๆ เช่น สมอง หัวใจ ปอด ตับ และระบบไหลเวียนของโลหิต เนื่องจากชาวจีนจัดเห็ดเป็นยาเย็น เพราะมีสรรพคุณช่วยลดไข้ เพิ่มพลังชีวิต ดับร้อนใน แก้ช้ำใน บำรุงร่างกาย ลดระดับน้ำตาล และคอเลสเตอรอลในหลอดเลือด ลดความดัน ขับปัสสาวะ ช่วยให้หายหงุดหงิด บำรุงเซลล์ประสาท รักษาอาการอัลไซเมอร์ และที่สำคัญ คือ ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ขอบคุณข้อมูลจาก webdb.dmsc.moph.go.th
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 28,900.00 | 29,000.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,872.00 | 28,379.52 | 29,500.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,684.80 | 25,541.57 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,497.60 | 22,703.62 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 842.00 | 12,764.72 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 655.00 | 9,929.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,940.00 | 29,410.40 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 31/07/2563
![]() ปตท. |
![]() บางจาก |
![]() เชลล์ |
![]() เอสโซ่ |
![]() คาลเท็กซ์ |
![]() ไออาร์พีซี |
![]() พีที |
![]() ซัสโก้ |
![]() เพียว |
![]() ซัสโก้ดีลเลอร์ |
|
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.95 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.55 | 21.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.68 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.28 | 21.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 20.04 | 20.04 | 20.04 | 20.04 | 20.44 | – | 20.04 | 20.04 | 20.04 | 20.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 17.99 | 17.99 | – | – | – | – | – | – | – | – |
เบนซิน 95 | 28.96 | – | – | – | 29.81 | – | 29.46 | 28.96 | – | 28.96 |
ดีเซล | 22.59 | 22.59 | 22.59 | 22.59 | 22.59 | 22.59 | 22.59 | 22.59 | 22.59 | 22.59 |
ดีเซล B10 | 19.59 | 19.59 | 19.59 | 19.59 | 19.59 | 19.59 | 19.59 | 19.59 | 19.59 | 19.59 |
ดีเซล B20 | 19.34 | 19.34 | 19.34 | 19.34 | 19.34 | – | 19.34 | 19.34 | – | 19.34 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 27.04 | 27.06 | 29.04 | 29.04 | – | – | – | – | – | – |
แก๊ส NGV | 15.31 | 15.31 | – | – | – | – | – | – | – | – |