สาระน่ารู้ประจำวันนี้ 17 ตุลาคม 2567

นักวิชาการอิสระชี้กนง.ลดดอกเบี้ย แรงส่ง กระตุ้นเศรษฐกิจ- อสังหาโค้งท้ายปี

นักวิชาการอิสระ” วิชัย วิรัตกพันธ์ ” มองกนง. ลดดอกเบี้ยนโยบายลง0.25% ไม่เกินความคาดหมายที่เคยคาดการณ์ไว้ ชี้ผลกระทบน้ำท่วมใหญ่ -เอสเอ็มตึงตัวคือ4ตัวแปร ยันช่วยเป็นแรงส่ง กระตุ้นเศรษฐกิจ-ต่อยอดมาตรการกระตุ้นอสังหาฯอัดแคมเปญสร้างยอดขายโค้งท้าย

เมื่อวันที่16ตุลาคม2567มติ คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.)5 ต่อ 2 ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปี จากร้อยละ 2.50 เป็นร้อยละ 2.25 ต่อปี โดยให้มีผลทันทีเพื่อลดภาระหนี้ประชาชน ประเมินว่าที่ผ่านมา  เศรษฐกิจไทยในภาพรวมมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะทยอยกลับเข้าสู่กรอบเป้าหมายในช่วงปลายปี 2567 ด้านกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้มีแนวโน้มเกิดขึ้นต่อเนื่อง

คณะกรรมการฯ เห็นว่าจุดยืนของนโยบายการเงินที่เป็นกลางยังเหมาะสมกับแนวโน้มเศรษฐกิจ และเงินเฟ้อ กรรมการส่วนใหญ่เห็นควรให้ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายร้อยละ 0.25 ต่อปีในการประชุมครั้งนี้ ซึ่งจะช่วยบรรเทาภาระหนี้ได้บ้างโดยไม่เป็นอุปสรรคต่อกระบวนการปรับลดสัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อรายได้ภายใต้บริบทที่สินเชื่อมีแนวโน้มขยายตัวชะลอลง และอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ลดลงอยู่ในระดับที่ยังเป็นกลาง

สอดคล้องกับศักยภาพเศรษฐกิจขณะเศรษฐกิจไทยมีแนวโน้มขยายตัวใกล้เคียงกับที่ประเมินไว้ที่ร้อยละ 2.7 และ 2.9 ในปี 2567 และ 2568 ตามลำดับ โดยมีแรงขับเคลื่อนสำคัญมาจากภาคการท่องเที่ยว และการบริโภคภาคเอกชนซึ่งได้รับแรงส่งเพิ่มเติมจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

ซึ่งตรงกับการคาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ ของดร. วิชัย วิรัตกพันธ์ ในสมัยที่ยังดำรงตำแหน่ง ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ว่า  ปลายปีนี้หรือวันที่16ตุลาคม2567 จะได้เห็น 25สตางค์จากการลดลงดอกเบี้ยนโยบายของกนง. ตามธนาคารกลางสหรัฐหรือเฟด ทั้งนี้จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจช่วงโค้งสุดท้ายปีได้ดี

“สิ้นปีนี้โดยส่วนตัวมองว่า ยังไงน่าจะเห็น25สตางค์  ภายในปีนี้ เพราะเงินเฟ้อลดลง และคิดว่าแบงก์ชาติจะลดดอกเบี้ยก็ลดเลย เพราะเข้าโค้งสุดท้าย ช่วยธุรกิจเอสเอ็มอี และ สถาบันการเงินลดต้นทุน หากลดดอกเบี้ยเพียงหนเดียวจะได้ เซนติเมนท์ คนมั่นใจอยากนำเงินออกมาซื้อถ้าเศรษฐกิจไม่ดีเขาก็จะเก็บเงินต่อไป เพราะขณะนี้ตลาดหุ้นกลับมาดีแล้ว”ดร. วิชัยกล่าว

ล่าสุด “ฐานเศรษฐกิจ”สอบถามดร.วิชัยถึงปัจจัยการลดลงของดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ0.25% ของกนง.(วันที่16ตุลาคม2567) เกิดจากหลายปัจจัย ทั้งผลกระทบน้ำท่วมใหญ่ ทางภาคเหนือ ธุรกิจเอสเอ็มอี ที่ได้รับผลกระทบจากต้นทุน เพื่อช่วยให้เดินต่อได้ รวมถึงการเรียกร้องจากภาคเอกชน และภาคการเมือง

อย่างไรก็ตามมองว่าการลดลงของดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้หลังไม่ได้ลดลงมานาน จะเป็นแรงส่งที่ดีในการกระตุ้นเศรษฐกิจประเทศในช่วงโค้งท้ายปีโดยเฉพาะธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ทำแคมเปญกระตุ้นยอดขายปลายปีนี้ได้ ต่อยอดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านภาคอสังหาริมทรัพย์ของรัฐบาล

จากการลดค่าธรรมเนียมการโอน และจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยราคาไม่เกิน7ล้านบาท และเชื่อว่ารัฐบาลต้องออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่อเนื่องเพื่อให้จีดีพีเป็นไปตามเป้าที่วางไว้ที่3%ปลายปีนี้แต่เชื่อว่าด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ผลกระทบน้ำท่วมใหญ่มองว่าการขยายตัวของเศรษฐกิจปีนี้ไม่น่าจะเป็นไปตามเป้าที่กำหนดไว้ 

ขณะเดียวกันยังช่วยลดภาระดอกเบี้ยผู้ที่กำลังผ่อนบ้านลง แต่ทั้งนี้หากจะให้กำลังซื้อเติมเข้าตลาดอสังหาฯมากขึ้น มองว่าธปท.น่าจะออกมาตรการผ่อนปรนLTVปล่อยกู้100%สำหรับบ้านหลังที่2 ในระยะสั้น 6เดือน จะช่วยระบายสต๊อกที่อยู่อาศัยได้มากระหว่างช่วงไตรมาส4ไปจนถึงต้นปีหน้าได้ จากกลุ่มนักลงทุนอีกมาก 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เปิดใจผู้นำหญิงอาณาจักร Sea Thailand จากวิศวกรโรงงานสู่“CEO”บิ๊กเทค

เปิดเส้นทางความสำเร็จ “มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ” ผู้นำหญิงแห่งอาณาจักร Sea (ประเทศไทย) จากวิศวกรสาวโรงงาน สู่ผู้นำองค์กรเทคโนโลยีระดับโลก

ในโลกธุรกิจเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีผู้นำหญิงที่โดดเด่นด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกลและความสามารถในการบริหารองค์กรสู่ความประสบความสำเร็จ  หนึ่งในนั้น มีชื่อของ “มณีรัตน์ อนุโลมสมบัติ” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท Sea ประเทศไทย จำกัด ผู้ให้บริการอินเตอร์เน็ตแพลตฟอร์มชั้นนำ ทั้งการีนา (Garena) ช้อปปี้ (Shopee) และซีมันนี่ (SeaMoney) ร่วมอยู่ด้วย  

 “ฐานเศรษฐกิจ” ได้มีโอกาสพูดคุยกับ “มณีรัตน์”  ซีอีโอหญิงคนเก่ง ผู้เป็นพลังขับเคลื่อนธุรกิจกลุ่ม Sea ประเทศไทย จนประสบความสำเร็จ  มีรายได้รวมในไทยปีที่ผ่านมามากกว่า 30,000 ล้านบาท   โดย  2 ใน 3 ของธุรกิจของกลุ่ม Sea ประเทศไทย  ภายใต้การบริหารของเธอครองความเป็นผู้นำธุรกิจ ทั้ง การีนา (Garena)   ที่ครองอันดับหนึ่งธุรกิจเกมเมืองไทยมากเกือบ 10 ปี และ ช้อปปี้ (Shopee) ที่ก้าวขึ้นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซอันดับหนึ่งของเมืองไทย    ส่วน “ซีมันนี่” กำลังก้าวสู่ธุรกิจใหม่ คือ ธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank)  

ย้อนเส้นทางสู่จุดสูงสุดองค์กร

“มณีรัตน์” ย้อนเส้นทางอาชีพของเธอก่อนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดขององค์กร   โดยเธอมีพื้นฐานมาจากวิศวะ  โดยจบวิศวกรรมศาสตร์  จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ตอนจบมา มีความเป็นเลือดวิศวะสูงมาก จึงไปทำงานสายโรงงาน แต่พอทำไปได้สักพัก  ก็ย้ายมาทําทางการตลาดแล้วก็ ทําบริหาร  เริ่มรู้สึกว่าโลกมีหลายแบบ ไม่ใช่มีแค่วิศวะแล้วก็มีการตลาด  มีทางด้านซอฟต์ไซส์ด้วย  ความสนใจนี้นำพาเธอไปศึกษาต่อปริญญาโทบริหารธุรกิจ (MBA) ที่มหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด สหรัฐอเมริกา”การศึกษาที่สแตนฟอร์ดในปี 2000 ต้นเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ  โดยที่นั่นอยู่ในซิลิคอนวัลเลย์ ได้มีโอกาสอยู่ใกล้วงการเทคโนโลยี วงการสตาร์ทอัพ    ซึ่งตอนนั้นเทคโนโลยีเริ่มบูม และเห็นว่าเทคโนโลยีทำให้เกิดประโยชน์ยังไง”

ขณะที่ในตอนนั้นในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นยังไม่บูมเท่าไร   แต่มีความรู้สึกสนใจเรื่องการบริหารมากขึ้น   โดยมองว่าการบริหารทำให้เกิดประโยชน์มากมาย  แต่ด้วยความเป็นวิศวะ ยังอยากลงมือทำด้วย  ซึ่งประสบการณ์ของตัวเองตอนนั้นยังมีไม่มาก เลยไปทำงานคอนซัลติ้ง  จึงได้มีโอกาสสัมผัสกับผู้บริหารระดับ C-Level   ได้เจอคนที่ดูแนวคิดของการรันองค์กร   การวางกลยุทธ์ การบริหารงานบุคคล 

จากการที่เธอ ทำงานมีบอสตัน คอนซัลแตนส์ กรุ๊ป  เธอมีโอกาสเดินทางไปสิงคโปร์   และบังเอิญไปเจอกับ Forrest Li ผู้ก่อตั้ง Sea Group  ซึ่งเป็นเพื่อนที่เรียนที่สแตนฟอร์ด  ซึ่งตอนนั้นเขากำลังขยายตลาดการีนา  ที่ตอนนั้นทำธุรกิจเกมอย่างเดียวไปยังภูมิภาคอาเซียน โดยตอนนั้นมีธุรกิจของการีนามีแค่ในสิงคโปร์  และเวียดนาม  เขาต้องการขยายธุรกิจมาในไทย  ซึ่งเธอเอง ก็สนใจอยากช่วย  เพราะตอบโจทย์กับสิ่งที่อยากทำอยู่แล้ว  คือ อยากทำเกี่ยวกับด้านการบริหาร  การวางกลยุทธ์   ซึ่งเมื่อคิดแล้วต้องลงมือทำ   เป็นกึ่งๆ สตาร์ทอัพ  จึงตัดสินใจร่วมงานกับการีนา ประเทศไทย  เมื่อปี 2557  ในตำแหน่ง COO (ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฎิบัติการ)  เข้ามาช่วยขยายตลาดเกม หลังจากนั้นก็ช่วยกันวางกลยุทธ์การขยายไปทําธุรกิจบริการการเงินดิจิทัลแล้วก็ไปทําเรื่องของอีคอมเมิร์ซ คือ ช้อปปี้ จนประมาณ ปี 2559  ก็ได้โปรโมต ให้เป็น CEO  ของกลุ่ม Sea  ประเทศไทย จนถึงปัจจุบัน

กลยุทธ์สู่ความสำเร็จ

มณีรัตน์  เน้นย้ำถึงหลักการสำคัญในการทำธุรกิจของกลุ่ม Sea Thailand  มาตลอดคือ การนำเทคโนโลยีมาช่วยทำให้ชีวิตผู้คนดีขึ้น   ซึ่งเป็นเหมือนกับวิสัยทัศน์ของเรา   จะเห็นได้ว่าธุรกิจหลักของกลุ่ม Sea   ไม่ว่าจะเป็นการีนา  ที่เป็นธุรกิจเกมออนไลน์  หรือ ซีมันนี่ บริการทางการเงินดิจิทัล  หรือ ช้อปปี้  ที่เป็นอีคอมเมิร์ซ  มันคือเรื่องของการนำเทคโนโลยีมาทำให้คนสะดวกสบายขึ้น   ขณะที่เอสเอ็มอี ก็ได้รับประโยชน์มากขึ้น  

แต่จะพูดว่านำเทคโนโลยีมาทําให้มันเกิดประโยชน์ยังต้องคุยกันอีกว่าแล้วกลยุทธ์ คือเอาแค่เทคโนโลยีมาแล้วมันก็ไม่ใช่ว่าเอามาปุ๊บแล้วมันจะเกิดปั๊บใช่หรือไม่ 

สิ่งที่เราคิดเสนอ อย่างแรกคือ ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า ถ้ามีบริการในตลาดอยู่แล้วก็ต้องทำให้ดีกว่าบริการที่มีอยู่  หรืออาจเป็นเทคโนโลยีที่ยังมีการให้บริการมาก่อน  

อย่างที่ 2 ที่เราคิด คือเรื่อง การยึดลูกค้าเป็นศูนย์กลาง   โดยลูกค้าต้องมาก่อน ทำอย่างไรให้สะดวกสบายมากที่สุดบนแพลตฟอร์มของเรา  สุดท้ายที่เราเชื่อคือเรื่องการ พัฒนาบริการให้เข้ากับท้องถิ่น (Localization)   ซึ่งเราไม่เชื่อในเรื่อง หนึ่งโซลูชัน ตอบโจทย์ทุกตลาด   อย่างช้อปปี้  วันแรกที่เปิดตัวใน 7 ตลาดมีแอปทั้งหมด 7 แอป  

ซึ่งการดำเนินธุรกิจของเราในอนาคตนั้นยังยึด 3 แนวทางนี้เป็นหลัก โดยนำเทคโนโลยีเข้ามาตอบโจทย์ความต้องการลูกค้ามากที่สุด  ทำอย่างไรให้ลูกค้าสะดวกสบาบมากสุด   และตอบโจทย์ความต้องการของแต่ละตลาด

ปรัชญาทำธุรกิจ

หลักการสำคัญที่สุดของเราคือการให้ความสำคัญกับ Customer Centric ค่ะ ไม่ว่าจะเป็นสินค้า บริการ หรือแม้แต่การคิดฟีเจอร์ใหม่ๆ เราจะมองก่อนเลยว่าลูกค้าจะได้รับประโยชน์อะไร สะดวกจริงหรือไม่ และได้รับประโยชน์สูงสุดแล้วหรือยัง

นอกจากนี้ เรายังนำหลักการนี้มาใช้กับการทำงานร่วมกับพาร์ทเนอร์ทางธุรกิจด้วย อย่างเช่นผู้ขายบนแพลตฟอร์มช้อปปี้ เราไม่ได้มองว่าเขาเป็นแค่ผู้ขาย แต่เป็นพาร์ทเนอร์ที่ต้องเติบโตไปด้วยกัน เพราะถ้าเขาไม่สามารถเติบโตกับเราได้ เขาก็จะไปอยู่กับแพลตฟอร์มอื่น ซึ่งก็จะส่งผลต่อการเติบโตของเราด้วย

เรายังใช้หลักการเดียวกันนี้กับพนักงานในองค์กรด้วย โดยมุ่งเน้นการสร้างโอกาสให้เขาได้พัฒนาตัวเอง ได้รับความท้าทาย และเติบโตมากขึ้น ซึ่งจะช่วยส่งเสริมให้องค์กรของเราเติบโตไปได้ด้วยเช่นกัน

มุมมองการเป็นผู้นำหญิง

เมื่อถามถึงข้อดีและข้อจำกัดของการเป็นผู้หญิงในการบริหารองค์กร   มณีรัตน์   มองว่า “ผู้หญิงอาจจะมีความใส่ใจในรายละเอียดมากกว่า ทำให้เวลาสื่อสารหรือทำงานกับคู่ค้า ผลิตสินค้าบริการ หรือทำงานในองค์กร เราอาจจะมองเห็นรายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ มากกว่า

อย่างไรก็ตาม เธอยอมรับว่ามีความท้าทายเช่นกัน   ความเป็นผู้หญิงมันก็มีความคาดหวังจากสังคมรอบข้างอีกแบบหนึ่ง โดยเฉพาะเรื่องการบาลานซ์ระหว่างงานกับครอบครัว  อย่างตัวเธอเองแต่งงานแล้วมีลูก 2 คนอาจมีความคาดหวังว่าจะทํางานในองค์กรแบบนี้แล้วที่บ้านจะดูแลอย่างไร   ซึ่งเป็นเรื่องข้อจํากัดที่เราต้องบาลานซ์ เราอาจมีความพยายามในการปรับสมดุลระหว่างงานและชีวิตส่วนตัว Work-life Balance  ขณะที่ผู้ชาย มีครอบครัวแล้ว อาจยังสามารถผลักดันงานได้เต็มที่

นิยามตัวตน’ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน”

มณีรัตน์  ยังได้นิยามตัวเองว่าเป็นคน ‘ใจดีแต่ไม่ใจอ่อน’ (Kind but firm)  หลายคนอาจจะมองว่าเป็นคนใจดี คุยง่าย เป็นกันเอง แต่จริงๆ แล้วการพูดคุยในเชิงธุรกิจจะพูดอย่างตรงไปตรงมา  แต่ไม่จำเป็นต้องใส่อารมณ์หรือพูดจารุนแรง เราสามารถคุยกันให้ลงตัวได้โดยไม่ต้องก้าวร้าว  

“เวลาที่เรา Firm อาจจะออกแนวที่ว่ามันต้องเป็นแบบนี้   แต่ก็จะอธิบายกับลูกค้าน้องว่าทำไมต้องเป็นแบบนี้”

นอกจากนี้ยังเป็นคนชอบคิดชอบทำด้วย ด้วยพื้นฐานการศึกษาทั้งด้านบริหารและวิศวกรรม ทำให้ชอบคิดว่าจะทำอย่างไรให้ชีวิตคนสะดวกสบายขึ้นด้วยเทคโนโลยี และลงมือทำจริงๆ ด้วย การได้เห็นสิ่งที่คิดกลายเป็นความจริง แม้อาจจะต้องลองผิดลองถูกบ้าง ก็เป็นสิ่งที่ทำให้รู้สึกสนุกและมีความสุขมาก

อยากเห็นไทยโกทูดิจิทัลเนชัน

มณีรัตน์ ยังได้สะท้อนมุมมอง อยากเห็นประเทศไทยก้าวไปทางไหน   โดยเธอมองว่าประเทศไทยควรก้าวไปสู่การเป็น “ดิจิทัลเนชั่น” อย่างแท้จริง

“เรามีความรู้สึกว่าอยากให้ประเทศไทยเป็นดิจิทัลเนชั่นจริงๆ ตอนนี้มันก็เข้าใกล้แล้ว มีความดิจิทัลมากขึ้น แต่ยังมีความเหลื่อมล้ำในแง่ของดิจิทัลแก็ปที่ค่อนข้างกว้าง”

เธอและทีมงานพยายามผลักดันวิสัยทัศน์นี้ผ่านความร่วมมือกับภาครัฐและสถาบันการศึกษา “เราทำงานกับภาครัฐ ดูว่าในฐานะที่เราเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านดิจิทัล เราสามารถใช้แพลตฟอร์มของเราก่อให้เกิดประโยชน์อะไรกับภาครัฐ เพื่อขยายไปสู่กลุ่มคนที่อาจจะยังเข้าไม่ถึงเรื่องของดิจิทัลมากขึ้นได้”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17ต.ค. “อ่อนค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 33.20 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจชะลอการแข็งค่าในระหว่าง หากเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นหรืออย่างน้อยแกว่งตัว sideways ประเมิน เงินดอลลาร์อาจยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 17ต.ค. 2567 ที่ระดับ  33.20 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.18 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideways 33.05-33.35 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยโซนแนวรับอาจขยับลงมาบ้าง หลังเงินบาทได้ทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงคืนที่ผ่านมา

ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า เงินบาทก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นบ้าง หากราคาทองคำสามารถทยอยปรับตัวขึ้นเข้าใกล้จุดสูงสุดก่อนหน้าได้อีกครั้ง นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยแบบเซอร์ไพรส์ตลาดของ กนง. ในวันก่อนหน้า ก็อาจเปิดโอกาสให้บรรดานักลงทุนต่างชาติทยอยเข้าซื้อสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม

โดยเฉพาะในส่วนของหุ้นไทย (วันก่อนหน้า นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิหุ้นไทยกว่า +4.2 พันล้านบาท) อย่างไรก็ดี การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง หากเงินดอลลาร์ยังคงแข็งค่าขึ้นหรืออย่างน้อยแกว่งตัว sideways ซึ่งเราประเมินว่า เงินดอลลาร์อาจยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจน จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ 

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB ในช่วงตั้งแต่ 19.15 น. ตามเวลาประเทศไทย รวมถึงการส่งสัญญาณของทาง ECB ต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงิน ซึ่งต้องติดตามการแถลงของประธาน ECB ในช่วง 19.45 น. โดยหาก ECB ลดดอกเบี้ยจริงตามคาด

และส่งสัญญาณเดินหน้าลดดอกเบี้ยลง ก็อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงได้บ้าง แต่อาจไม่มากนัก หลังผู้เล่นในตลาดได้ทยอยปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของ ECB และนอกเหนือจากผลการประชุม ECB ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เช่นกัน ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.00-33.40 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) โดยรวมเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (กรอบการเคลื่อนไหว 33.12-33.25 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้จุดสูงสุดก่อนหน้าของราคาทองคำ (XAUUSD)

อย่างไรก็ดี เงินบาทยังคงไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจนและอ่อนค่าลงบ้าง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR)

และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ตามการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของตลาดหุ้นยุโรปและมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เพิ่มโอกาสการเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในปีนี้ ของทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)

นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการทยอยกลับมาเก็งกำไร Trump Trades ของผู้เล่นในตลาดอีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า โดนัลด์ ทรัมป์มีโอกาสคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งสหรัฐฯ (Polymarket ให้โอกาสที่โดนัลด์ ทรัมป์จะชนะเกือบ 59%)

บรรดาผู้เล่นในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น หลังบรรดาหุ้นกลุ่มการเงินได้เปิดเผยรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง หนุนให้หุ้นกลุ่มการเงินต่างปรับตัวขึ้น อาทิ Morgan Stanley +6.5% อย่างไรก็ดี บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ยังคงปรับตัวลดลงต่อ อาทิ Meta -1.6%, Apple -0.9% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.47%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.19% แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะพอได้แรงหนุนจากความหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)

ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็ยังคงเผชิญแรง จากการปรับตัวลดลงของหุ้นธีม AI/Semiconductor อย่าง ASML -5.1% รวมถึงหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม โดยเฉพาะ LVMH -3.7% ซึ่งรายงานผลประกอบการที่น่าผิดหวัง

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ sideways แถวโซน 4.00% โดยผู้เล่นในตลาดต่างรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ รวมถึงแนวโน้มการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งในระยะหลังผลโพลมีความสูสีพอสมควร

ทว่าในส่วนของตลาดพนัน ผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า โดนัลด์ ทรัมป์ มีโอกาสชนะการเลือกตั้ง ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนเริ่มทยอยกลับมาเก็งกำไร Trump Trades มากขึ้น ซึ่งจะช่วยชะลอการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในระยะสั้นได้

อย่างไรก็ดี แม้เราคงมุมมองเชิงบวกต่อการลงทุนในบอนด์ระยะยาว ตามแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางส่วนใหญ่และบอนด์ยีลด์ที่อยู่ในระดับสูงพอสมควร เมื่อเทียบกับอดีต ทว่า เราขอเน้นย้ำให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip) เพื่อให้ได้ Risk-Reward ที่คุ้มค่าและเหมาะสม

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าของสกุลเงินหลัก อย่างเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) หลังผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสที่ทั้ง ECB และ ECB จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยมากขึ้นในปีนี้ อีกทั้งตลาดหุ้นยุโรปก็ยังคงเผชิญแรงกดดันในช่วงนี้

นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มเชื่อว่า โดนัลด์ ทรัมป์อาจชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็หนุนให้ธีม Trump Trades กลับมาอีกครั้ง และหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้โซน 103.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.2-103.6 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะมีจังหวะปรับตัวขึ้นเข้าใกล้จุดสูงสุดก่อนหน้า ทว่าการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำก็ถูกจำกัดโดยการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมราคาทองคำยังคงแกว่งตัวแถว 2,690 ดอลลาร์ต่อออนซ์

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเราประเมินว่า ECB อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) –25bps สู่ระดับ 3.25% ตามที่ผู้เล่นในตลาดและนักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้

อย่างไรก็ดี เราจะจับตาว่า ECB จะมีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงคาดการณ์เศรษฐกิจอย่างไร รวมถึงจะมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมที่ชัดเจนหรือไม่ ซึ่งปัจจัยดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของเงินยูโร (EUR) ในระยะสั้นได้พอสมควร

ส่วนทางฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ในเดือนกันยายน

พร้อมทั้งรอลุ้นรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) อย่างใกล้ชิด ซึ่งเราประเมินว่า ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานมีโอกาสที่จะเพิ่มสูงขึ้นต่อเนื่องได้ ตามผลกระทบของพายุเฮอริเคนในช่วงที่ผ่านมา 

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง ECB และเฟด เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบาย ส่วนผู้เล่นในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ ก็จะรอลุ้นรายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.20-33.22 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.22 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทแกว่งตัวเป็นกรอบ เพราะแม้เงินบาทจะมีอานิสงส์หนุนด้านแข็งค่าจากการปรับสูงขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก

แต่กรอบการแข็งค่าก็จำกัดเช่นกัน เพราะเงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป โดยไม่น่าที่จะลดอัตราดอกเบี้ยลงในขนาดที่มากกว่า 25 bps. ในการประชุมเดือนพ.ย. นี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.15-33.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินเอเชีย  ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีก การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


6 สัญญาณเตือนสุขภาพผู้ชาย รีบดูแลใส่ใจ ก่อนร่างพัง

ผู้ชายหลายคนมักจะละเลยสุขภาพของตัวเอง โดยส่วนใหญ่มองว่าเป็นเพียงปัญหาเล็กน้อยที่สามารถดีขึ้นได้เอง หรือแก้ไขด้วยการใช้ยาโดยไม่ปรึกษาแพทย์ แต่การเพิกเฉยต่อปัญหาสุขภาพอาจทำให้สถานการณ์แย่ลง หรือเกิดผลที่ร้ายแรงกว่าตามมา

จึงขอแนะนำให้คุณผู้ชายได้สังเกต 6 สัญญาณเตือนจากกร่างกายที่พาร่างพังแบบไม่รู้ตัว! พร้อมทิ้งผลระยะยาวที่อาจพาเสี่ยงโรคร้ายในอนาคตตามมาได้

1.แสบร้อนกลางอกบ่อยครั้ง

อาการเสียดท้องที่เกิดจากกรดไหลย้อนขึ้นมาที่หลอดอาหาร จะเกิดจากการรับประทานอาหารมากเกินไป หรือเข้านอนทันทีหลังรับประทานอาหาร พร้อมการมีปัจจัยอื่น ๆ ที่ส่งผล เช่น การสูบบุหรี่ การใช้ดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไป และน้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน แนะนำให้รับประทานยาลดกรด เพื่อบรรเทาอาการในระดับหนึ่ง

สำหรับการรักษาในระยะยาว ควรเลิกสูบบุหรี่ ลดปริมาณการใช้ดื่มแอลกอฮอล์ และออกกำลังกายเพื่อควบคุมน้ำหนัก หากมีอาการเสียดท้องมากกว่า 2 ครั้งต่อสัปดาห์ ควรรีบไปพบแพทย์ทันที เพราะอาจนำไปสู่มะเร็งหลอดอาหาร

2.นอนกรนเป็นประจำ

การนอนกรนเป็นปัญหาที่พบได้บ่อยในผู้ชายวัยกลางคน เกิดจากการสั่นสะเทือนของเนื้อเยื่อในปากและลำคอขณะนอนหลับ ส่งผลให้เกิดเสียงดังผิดปกติ และมีปัจจัยต่าง ๆ ร่วมด้วย เช่น น้ำหนักเกิน การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ  การสูบบุหรี่ และอาการแพ้ ล้วนเป็นสาเหตุของการนอนกรนที่เพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะหยุดหายใจขณะหลับ รวมถึงอาจนำไปสู่โรคหัวใจและหลอดเลือดสมอง ดังนั้น จึงควรแก้ไขปัญหาการนอนกรนอย่างทันท่วงที เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนด้านสุขภาพที่ร้ายแรงกว่าเดิม

3.ลำไส้แปรปรวน

อาการลำไส้แปรปรวน ถือเป็นสาเหตุสำคัญของมะเร็งลำไส้ใหญ่ นอกจากนี้ ยังมีสัญญาณเตือนอื่น ๆ เช่น ปวดท้องบ่อยครั้ง มีก้อนเนื้อในช่องท้อง น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ อ่อนเพลียง่าย คลื่นไส้บ่อย ถ่ายมีเลือด หายใจลำบาก หากมีอาการดังกล่าวบ่อยครั้ง ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรับการรักษาเพิ่มเติม เพราะยิ่งเริ่มรักษาได้เร็วเท่าไร  โอกาสหายขาดก็จะยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น

4.คอแห้งตลอดเวลา

อาการเหนื่อยล้า กระหายน้ำบ่อย คอแห้งมาก และอาการอื่น ๆ เช่น ปัสสาวะบ่อย เวียนศีรษะ คลื่นไส้ และคันทั่วร่างกาย  อาจบ่งบอกถึงความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 แนะนำให้ไปพบแพทย์เพื่อตรวจร่างกาย และหาแนวทางการรักษาที่เหมาะสม การเพิกเฉยต่ออาการเหล่านี้ อาจทำให้การรักษายากขึ้นและใช้เวลานานกว่าเดิม นอกจากนี้ ขอแนะนำให้รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อรักษาสุขภาพที่ดี

5.มีอาการปัสสาวะผิดปกติ

ผู้ชายอายุน้อยที่รู้ตัวว่าปัสสาวะลำบาก หรือปัสสาวะบ่อยเกินไป อาจบ่งชี้ถึงปัญหาต่อมลูกหมากได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้กับผู้ชายทุกวัย โดยเฉพาะผู้ที่มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป ซึ่งมีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดต่อมลูกหมากโต นอกจากนี้ อาการดังกล่าว ยังอาจนำไปสู่มะเร็งต่อมลูกหมากได้อีกด้วย

6.รู้ถึงความผิดปกติของอัณฑะ

มะเร็งอัณฑะมักพบในผู้ชายอายุระหว่าง 15-40 ปี โดยมีปัจจัยเสี่ยงจากประวัติครอบครัวเป็นมะเร็งอัณฑะ และอัณฑะไม่ลงถุงตั้งแต่แรกเกิด หากคุณสังเกตเห็นอาการบวมผิดปกติ รู้สึกปวด หรือรู้สึกหนักอัณฑะ ควรไปพบแพทย์ทันที มะเร็งอัณฑะสามารถรักษาให้หายขาดได้ หากตรวจพบในระยะเริ่มต้น

เมื่อคุณผู้ชายรู้ถึงสัญญาณเตือนเหล่านี้ และสังเกตว่าคุณมีอาการใดอาการหนึ่ง หากไม่แน่ใจ! ควรรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการตรวจอย่างละเอียดอีกครั้งและแนะนำให้ตรวจสุขภาพประจำปี เพื่อความปลอดภัยในระยะยาว และอย่าเพิกเฉยต่ออันตรายที่อาจเกิดขึ้นโดยที่คุณไม่รู้ตัว

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


บาส-สกาย ฟอร์มเทพล้มเต็ง 7 เข้ารอบสองแบดมินตัน เดนมาร์ก

“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน งัดฟอร์มเก่ง คว่ำคู่มือวาง 7 ของรายการอย่าง โก๊ะ ซีเฟย กับ นูร์ อิซซูดิน 2 เกมรวด เข้ารอบสองแบดมินตัน เดนมาร์ก โอเพ่น 2024 ไปได้สำเร็จ

การแข่งขันแบดมินตันรายการ วิคเตอร์ เดนมาร์ก โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 750 ชิงเงินรางวัลรวม 850,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 28,050,000 บาท ที่เมืองโอเดนเซ่ ประเทศเดนมาร์ก เมื่อวันพุธที่ 16 ต.ค.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก มีนักแบดมินตันไทยลงสนามในช่วงค่ำ 3 คู่ 

ประเภทชายคู่ รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มืออันดับ 202 ของโลก พบกับ  โก๊ะ ซีเฟย กับ นูร์ อิซซูดิน คู่มือวางอันดับ 7 ของรายการ คู่มืออันดับ 8 ของโลกจากมาเลเซีย 

เกมนี้ บาส กับ สกาย สามารถงัดฟอร์มเก่งออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม ไปแบบง่ายดาย 2-0 เกม 21-13 และ 21-13  “บาส” เดชาพล กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ ราสมุส เคียร์ กับ เฟเดริก โซการ์ด คู่มืออันดับ 16 ของโลกจากเดนมาร์ก 

ประเภทคู่ผสม รอบแรก “ไตเติ้ล” รุษฐนภัค อูปทอง กับ “เจน” เฌอย์ณิชา สุดใจประภารัตน์ คู่มืออันดับ 30 ของโลก แพ้ คิม วอนโฮ กับ จอง นาอึน คู่มือวางอันดับ 3 ของรายการ คู่อันดับ 6 ของโลกจากเกาหลีใต้ ไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 21-18 ,16-21 , 15-21 , “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มืออันดับ 228 ของโลก  แพ้ หยาง โปซวน กับ หวู หลิงฟาง คู่มือวางอันดับ 8 ของรายการ คู่มืออันดับ 13 ของโลกจากไต้หวัน  10-21,15-21

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


วิธีเจรจาต่อรองโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพิ่มโอกาสสำเร็จแบบมืออาชีพ

การเจรจาต่อรองเป็นส่วนสำคัญของโอกาสต่างๆในการทำงาน และยังสามารถแสดงถึงความเป็นมืออาชีพได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเจรจาต่อรองที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการเจรจากับคนทั่วโลก

จะมีเทคนิคในการต่อรองโดยใช้ภาษาอังกฤษอย่างไรบ้าง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาไปรีวิวกัน

ใช้ประโยคเปิดเริ่มต้นการเจรจาต่อรองแบบมืออาชีพ

First Impression เป็นสิ่งสำคัญ การที่เราใช้ประโยคในการเปิดบทสนทนาเพื่อการเจรจาต่อรองที่มีความเป็นมืออาชีพและเป็นทางการ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่เจรจาของเราได้อย่างมาก

  • I appreciate the opportunity to discuss this topic with you.
  • Thank you for taking the time to join me as we embark on these negotiations.
  • Let’s explore how we can find common ground on this issue.

นำเสนอแนวทางในการหาทางออก หรือข้อตกลงให้กับการเจรจาในครั้งนี้ ในมุมมองของคุณ

  • Allow me to outline our perspective on this matter.
  • I’d like to propose a solution that benefits both parties.
  • From my point of view, it’s important to consider this topic.

พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นอยู่เสมอ

ในการเจรจาต่อรอง คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมที่จะรับฟังคู่สนทนาของคุณอยู่เสมอ เพื่อเป็นการให้เกียรติ และยังทำให้คุณสามารถมองภาพรวมได้กว้างขึ้นผ่านมุมมองของอีกฝ่าย

  • Could you share your thoughts on this issue?
  • I’m interested in hearing your perspective.
  • How do you see us moving forward to find a resolution?

สร้างความเข้าใจให้ตรงกันอยู่เสมอ 

ระหว่างการเจรจา คุณควรพยายามรีเช็คความเข้าใจของคุณ และคู่เจรจาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหลุดประเด็น ซึ่งจะช่วยให้ระยะเวลาในการพูดคุยต่อรองกระชับยิ่งขึ้น

  • I want to make sure I understand your position correctly.
  • Can you clarify your expectations regarding this matter?
  • Let’s ensure we are on the same page before moving forward.

ใช้ประโยคในการส่งเสริมความร่วมมือและความตกลง

เลือกใช้ประโยคที่แสดงถึงการส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกันจะช่วยให้การเจรจาเป็นไปในทิศทางบวกมากยิ่งขึ้น และเป็นการแสดงถึงการให้ความร่วมมือที่ดี

  • Working together on this matter will benefit both sides.
  • Let’s finalize the details and move towards a successful resolution.
  • I believe a collaborative approach will lead to a more favorable outcome.

การสรุปหลังการพูดคุย และการใช้ประโยคสำหรับปิดการเจรจา 

หลังจากการพูดคุยเจรจาแล้วจำเป็นต้องมีการสรุปเนื้อหาหรือข้อตกลงกันในทุกครั้ง และควรเลือกใช้ประโยคปิดการสนทนาอย่างมืออาชีพ

  • Thank you for a productive discussion, and I look forward to our agreement.
  • I appreciate your time and effort in reaching a resolution.
  • Let’s formalize our agreement and move forward with confidence.

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


หัวเว่ย ส่งคลาวด์อัจฉริยะ Huawei Cloud Stack เสริมแกร่งภาครัฐ

หัวเว่ย เทคโนโลยี่ (ประเทศไทย) นำเสนอเทคโนโลยีหัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) ที่สุดแห่งบริการคลาวด์อัจฉริยะเพื่อเพิ่มศักยภาพให้แก่ภาครัฐ และขับเคลื่อนประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางคลาวด์ระดับภูมิภาค

อาเซียน เป็นหนึ่งในภูมิภาคที่มีการเติบโตที่รวดเร็วที่สุดในโลก และกำลังอยู่ในช่วงที่เศรษฐกิจดิจิทัลขยายตัวอย่างรวดเร็ว ประเทศไทยตั้งอยู่ใจกลางภูมิภาคอาเซียน ในฐานะผู้นำเศรษฐกิจดิจิทัลระดับภูมิภาค รัฐบาลไทยได้เสนอ “นโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก” (Cloud First Policy) เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา และยกให้เป็นหัวใจสำคัญของการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลระดับประเทศ

นโยบายดังกล่าวส่งเสริมให้ภาครัฐและทุกภาคอุตสาหกรรมเร่งปรับใช้เทคโนโลยีคลาวด์ เพื่อคว้าโอกาสเชิงกลยุทธ์ที่สำคัญสำหรับการพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัล นโยบายนี้ยังสนับสนุนการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจของประเทศและช่วยให้บรรลุเป้าหมายของเศรษฐกิจดิจิทัล

พันเอก สรรพชัย หุวะนันทน์ กรรมการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังปรับใช้นโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลัก (Cloud First Policy) เพื่อก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของอาเซียนโดยเร็วที่สุด

เราเลือกหัวเว่ยคลาวด์เป็นพันธมิตรสำคัญ เพื่อสนับสนุนนโยบายนี้ ขณะนี้เราให้บริการคลาวด์แก่หน่วยงานรัฐบาลไทยกว่า 220 หน่วยงาน และคาดว่าจะสามารถลดงบประมาณการลงทุนได้ 30% ถึง 50% ด้วยการยกระดับบริการของภาครัฐ เราคาดว่าประชาชนจะได้รับบริการที่มีคุณภาพที่ดีขึ้น และยังสามารถส่งเสริมธุรกิจได้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้จะดึงดูดให้บริษัทต่างๆ ทั่วโลกเข้ามาลงทุนในประเทศไทยอย่างมหาศาล

นายวงกต วิจักขณ์สังสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานดิจิทัล และรักษาการรองกรรมการผู้จัดการใหญ่สายงานสื่อสารไร้สาย 1 บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) กล่าวเสริมว่า “NT มีหน้าที่รับผิดชอบการดำเนินงานและบริหารจัดการโครงการศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ภาครัฐ (GDCC) โดยเราได้ทำงานร่วมกับหัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) ซึ่งตอบโจทย์การให้บริการโซลูชันคลาวด์ที่ปลอดภัยและน่าเชื่อถือ ในการจัดตั้งสภาพแวดล้อมมัลติคลาวด์เพื่อรองรับบริการของภาครัฐ เรามีการจัดการแบบรวมศูนย์ ช่วยให้สามารถนำบริการออกสู่ตลาดได้อย่างรวดเร็ว มีความยืดหยุ่นสูง การสำรองข้อมูลและโครงสร้างสำรองเพื่อรองรับการทำงานต่อเนื่อง

พร้อมทั้งปฏิบัติตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัยและการปฏิบัติตามข้อกำหนดของประเทศ เราได้พัฒนานวัตกรรมการทำงานรูปแบบใหม่ รวมถึงระบบสถานีขนส่งอัจฉริยะ บริการครบวงจรสำหรับโครงการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และแพลตฟอร์มด้านสุขภาพ”

นายยุทธศาสตร์ นิธิไพจิตร ผู้จัดการฝ่ายธุรกิจคลาวด์และบิ๊กดาต้า บริษัท โทรคมนาคมแห่งชาติ จำกัด (มหาชน) (NT) กล่าวว่า “ศูนย์ข้อมูลและบริการคลาวด์ภาครัฐ (GDCC) มอบรากฐานคลาวด์ที่เป็นหนึ่งเดียว และแพลตฟอร์มการแบ่งปันข้อมูลสำหรับกระทรวงและหน่วยงานต่างๆ โดยมีการใช้งานแอปพลิเคชันนับพันรายการ หัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) มอบบริการคลาวด์ในสถานที่กว่า 80 บริการที่พร้อมใช้งานทันทีแก่ GDCC ซึ่งสามารถทำงานร่วมกับระบบคลาวด์สาธารณะของหัวเว่ยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากใช้สถาปัตยกรรมเดียวกัน ทำให้สามารถเข้าถึงบริการคลาวด์แบบครบวงจรได้ในคลิกเดียว

นอกจากนี้ หัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) ยังมอบความสามารถด้านนวัตกรรมแบบครบวงจรให้กับเรา ทั้งหมดนี้มีไว้เพื่อสนับสนุนให้ประเทศไทยก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางแห่งอนาคตของภูมิภาคเอเชีย”

นายจอห์นนี่ หลู่ ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายเทคโนโลยี ธุรกิจต่างประเทศของหัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก กล่าวว่า “เพื่อแก้ไขความท้าทายหลัก 3 ประการในการเปลี่ยนแปลงของภาครัฐ หัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) ได้นำเสนอสถาปัตยกรรมอ้างอิงแบบสามคลาวด์ ซึ่งประกอบด้วยคลาวด์ด้านความปลอดภัย คลาวด์สำหรับภาครัฐ และคลาวด์สาธารณะ

หัวเว่ย คลาวด์ สแต๊ก (Huawei Cloud Stack) ได้ส่งมอบโครงการภาครัฐมากกว่า 800 โครงการทั่วโลก เรามีความมุ่งมั่นอย่างยิ่งและต้องการร่วมมือกับพันธมิตรที่มีความคิดสร้างสรรค์จากทั่วโลกในการขับเคลื่อนการก้าวกระโดดสู่คลาวด์ระดับชาติทั่วโลก โดยร่วมกันสร้างจุดเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลใหม่ๆ ร่วมกัน”

รัฐบาลไทยกำลังขับเคลื่อนวาระการเปลี่ยนผ่านดิจิทัลอย่างครอบคลุม เพื่อผลักดันประเทศสู่การเป็นผู้นำในเศรษฐกิจและสังคมดิจิทัล ผ่านโครงการเชิงกลยุทธ์ในหลากหลายภาคส่วน ประเทศไทยมุ่งหวังที่จะใช้พลังของเทคโนโลยีในการยกระดับคุณภาพชีวิตประชาชน กระตุ้นการเติบโตทางเศรษฐกิจ และเสริมสร้างความสามารถในการแข่งขันในระดับสากลในยุคดิจิทัล

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


กินเวย์โปรตีนตอนไหนดีต่อร่างกายที่สุด ?

เวย์โปรตีน เป็นอาหารเสริมที่ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อให้กับผู้ที่ออกกำลังกาย อีกทั้งยังช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันดีขึ้น ป้องกันการเกิดโรคหัวใจและเบาหวาน และอีกสารพัดประโยชน์ด้านสุขภาพ

ขณะที่ เวย์โปรตีน ได้มาจากนมสัตว์ หรือจากพืช เช่น ถั่ว และนำไปสกัดเอาสารประกอบอื่นๆ ออก ให้เหลือแค่โปรตีน จากนั้นก็นำไปสู่ขั้นตอนอบแห้งผลิตออกมาเป็นรูปแบบผง ให้รับประทานได้ง่ายขึ้น และเก็บไว้ได้นาน แต่ละยี่ห้อราคาก็จะค่อนข้างต่างกัน ขึ้นอยู่กับขั้นตอนการผลิตและวัตถุดิบต้นกำเนิด

เทรนเนอร์จัน​-อานันท์​ อภินันทน์​ ให้คำแนะนำเกี่ยวกับช่วงเวลาของการกินเวย์ว่า สำหรับช่วงที่เวย์โปรตีนออกฤทธิ์ได้ดีที่สุดนั้น คือช่วงเวลาที่ร่างกายเรามีกรดอะมิโนในระดับต่ำ ซึ่งก็คือช่วงก่อนนอน หรือช่วงตื่นนอนใหม่ ๆ รวมทั้งช่วงหลังออกกำลังกาย และช่วงที่รู้สึกหิวมากๆ นั่นเอง

คนส่วนมากมักจะทานเวย์โปรตีนกับอาหารมื้อหลัก เพื่อช่วยในการดูแลสุขภาพร่างกาย และลดหุ่นให้ดูดี เพราะการทานอาหารครบ 5 หมู่จะช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมันได้ดีขึ้น ซึ่งเราสามารถทานอาหารมื้อหลักคู่กับเวย์โปรตีนได้โดยไม่เกิดผลข้างเคียงใดๆ ทั้งสิ้น

การรับประทานอาหารที่มีประโยชน์เพียงพอ และทานเวย์โปรตีนร่วมด้วย ก็จะช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์และจำเป็น ซึ่งไม่ควรอย่างยิ่งที่จะทานเวย์โปรตีนแทนอาหารหลัก เพราะเวย์โปรตีนเป็นแค่อาหารเสริมที่จะช่วยให้น้ำหนักของเราลดลงได้ และสร้างกล้ามเนื้อขึ้นมาแทน

แต่การจะมีสุขภาพร่างกายที่ดี สมบูรณ์ แข็งแรงได้นั้นต้องได้รับสารอาหารที่เพียงพอทั้ง 5 หมู่ และไม่ควรทานแต่โปรตีนแค่เพียงอย่างเดียว ควรจะทานอาหารมื้อหลักและอาหารเสริมเวย์โปรตีนควบคู่กันไป เพื่อให้มีสุขภาพดี ร่างกายแข็งแรง และไม่ทรมานร่างกายนั่นเอง

ช่วงก่อนนอน – จะเป็นช่วงที่สำคัญพอ ๆ กับช่วงอื่น ๆ เพราะในระหว่างที่ร่างกายเรากำลังพักผ่อน ร่างกายก็ต้องการโปรตีนไปซ่อมแซมร่างกายส่วนที่กล้ามเนื้อฉีกขาดและสึกหรอจากการใช้งานทั้งวัน และทำให้ร่างกายมีโปรตีนเพียงพอในการซ่อมแซมขณะที่เราหลับ

ช่วงเวลาที่เราหิว – เป็นช่วงเวลาที่ร่างกายมีสารอาหารไม่เพียงพอ หากเราต้องการทานเวย์โปรตีนในช่วงเวลานี้ให้ลองปั่นรวมกับผลไม้ก็เป็นอีกวิธีหนึ่งที่สะดวกและรวดเร็ว

ช่วงตื่นนอน – จะเป็นช่วงเวลาที่ร่างกายของเราพักผ่อนเป็นเวลานานโดยที่ไม่มีสารอาหารมาหล่อเลี้ยง หากกินเวย์โปรตีนในช่วงตื่นนอนจะสามารถช่วยป้องกันการสลายของกล้ามเนื้อได้ดี และร่างกายจะดูดซึมได้ดีกว่าช่วงเวลาอื่นเพราะท้องยังว่างอยู่นั่นเอง

ช่วงหลังออกกำลังกาย – จะเป็นช่วงที่สำคัญที่สุดเพราะร่างกายจะได้พักจากการใช้กล้ามเนื้ออย่างหนักในการฝึก หากทานในช่วงเวลานี้จะทำให้ร่างกายดูดซับเอาเวย์โปรตีนเข้าไปเสริมสร้าง และซ่อมแซมส่วนที่สึกหรอได้เร็วขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/10/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a41,950.0042,050.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,717.0041,189.7242,550.00
ทองรูปพรรณ 90%2,445.3037,070.75n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,173.6032,951.78n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,223.0018,540.68n/a
ทองรูปพรรณ 40%951.0014,417.16n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,816.0042,690.56n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/10/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.4535.4535.7535.4535.4535.4535.4535.4535.4535.45
แก๊สโซฮอล์ 9135.0835.0835.3835.0835.0835.0835.0835.0835.0835.08
แก๊สโซฮอล์ E2033.3433.3433.6433.3433.3433.3433.3433.3433.34
แก๊สโซฮอล์ E8533.0933.0933.09
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.0449.8449.8449.8444.04
เบนซิน 9543.6449.8144.1443.7943.64
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV18.5918.5918.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า