เอกชนเตือนรัฐระวังเมกะโปรเจ็กต์เจอวิกฤติวัสดุก่อสร้าง
ภาคเอกชนออกโรงเตือนรัฐบาลระวังโครงการเมกะโปรเจ็กส์จะเจอวิกฤติด้านวัสดุก่อสร้าง ชี้ยุทธศาสตร์ดีแต่ส่วนราชการไม่ขานรับเดินไปคนละทาง เปิดเวทีใหญ่ดึงทุกภาคส่วนระดมสมองหาทางออกก่อนโครงการล่ม
นายสมพร อดิศักดิ์พานิชกิจ เลขาธิการสภาการเหมืองแร่ เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลได้วางโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และไทย-ญี่ปุ่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ การขยายและพัฒนาสนามบิน ท่าเรือน้ำลึก โครงการ EEC ฯลฯ ถือเป็นเจตนาที่ดีเป็นความถูกต้องในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งภาคเอกชนให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่นโยบายดังกล่าวกลับไม่เป็นที่เข้าใจของส่วนราชการบางหน่วยงาน เพราะปรากฏว่ามีการปฏิบัติงานที่ไม่สอดคล้อง ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน และอาจจะเป็นอุปสรรคให้นโยบายรัฐดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย
สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาและจะส่งผลเป็นลูกโซ่ถึงเมกะโปรเจ็กต์ไทยคือ การที่ผู้รับเหมางานก่อสร้างจะไม่สามารถหาวัสดุก่อสร้างประเภท หิน ดิน ทราย โดยเฉพาะหินโรยทางโครงการรถไฟ มาใช้ได้อย่างเพียงพอ อันเนื่องมาจากอุปสรรคในการทำเหมืองแร่ นับตั้งแต่ต้องรอการกำหนดเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง และการขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อการทำเหมือง เช่นพื้นที่ส.ป.ก. พื้นที่ป่าไม้ เป็นต้น
“ที่ผ่านมาการขอประทานบัตรต้องใช้เวลา 3-5 ปีกว่าจะอนุมัติ นี่ถือว่าเก่งมากแล้ว แม้แต่ วันนี้ประทานบัตรหลายแปลงก็ยังเข้าพื้นที่ไม่ได้เพราะติดที่ไม่ได้รับการอนุญาตใช้พื้นที่ ถามว่าจะเอาอะไรไปป้อนโครงการได้เพียงพอ วันนี้เริ่มมีการนำเข้าหินจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว แต่ถ้าต้องขนส่งในระทางเป็นร้อยกิโลเมตรถามว่าจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือ ประเทศต้องสูญเสียเงินทองทั้งด้านการขนส่งด้วย ดังนั้นเมกะโปรเจ็กต์ชะงักแน่ โครงการที่จะใช้หินก่อสร้างในช่วงปลายปี 2561 หรือ 2562 ต้องเจอปัญหาแน่และจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ” นายสมพรกล่าว
อย่างไรก็ตามเพื่อให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของไทยประสบความสำเร็จซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวม ขณะที่ภาคเอกชนก็อยู่รอดได้ สภาการเหมืองแร่ จึงร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมอุตสาหกรรมย่อยหินไทย สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และ ชมรมสินแร่อุตสาหกรรมและวัสดุก่อสร้าง จัดการสัมมนาภายใต้หัวข้อ “สัญญาณเตือน…เมกะโปรเจ็กต์ไทยและอุตสาหกรรมก่อสร้าง” ในวันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2561 เวลา 09.00-16.15 น. ที่ห้องบอลรูม 2 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นเวทีในการสะท้อนปัญหาจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หาทางเตรียมและปรับแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาไปกระทบต่อการพัฒนาประเทศ โดยดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จะเป็นผู้เปิดงานและปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “แผนการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐกับโอกาสการพัฒนาเมือง”
http://www.thansettakij.com
คอนโดกรุงเทพฯชั้นใน อุปสงค์สูง 1.3-1.6 แสนบาท/ตร.ม.
บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ฯ รายงานตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันยังเติบโตอย่างน่าสนใจแม้จะมีบางทำเลที่มีผู้ประกอบการเข้าไปแข่งขันกันค่อนข้างมากจนทำให้การดูดซับเริ่มทรงตัว แต่ในปี 2560 ที่ผ่านมาพบว่า จากอุปทานเสนอขายห้องชุดจำนวน 121,291 หน่วย อุปสงค์ให้การตอบรับแล้ว 68,228 หน่วย ขยายตัวเพิ่มขึ้น 13% หรือเพิ่มขึ้น 9,228 หน่วยจากปีก่อน ซึ่งยอดขายได้ในรอบนี้ปรับตัวดีขึ้นเกือบทุกช่วงราคา มาจากทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น และหนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มลดลง
ทั้งนี้ พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน โซนเพลินจิต-ชิดลม-สีลม-สาทร-สุขุมวิท มีทั้งสิ้น 11,148 หน่วย อัตราการดูดซับ 45% ยังมีการตอบรับสูง โดยโครงการที่มีอุปสงค์อยู่ในระดับสูงช่วงระดับราคาขายเฉลี่ย 1.3-1.6 แสนบาทต่อตร.ม. โดยที่ทำเลสุขุมวิทโครงการระดับราคา 1.6-4 แสนบาทต่อตร.ม. ประเมินว่าจะสามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาเพียง 3-4.5 เดือน เร็วกว่าค่าเฉลี่ยที่ 5.5 เดือน
พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นกลาง โซนพหลโยธิน-พญาไท-พระราม 3-รัชดาฯ มี 17,878 หน่วย อัตราการดูดซับ 47% พบอุปสงค์ส่วนใหญ่เป็นโครงการในระดับกลาง ราคา 7 หมื่น-1.6 แสนบาทต่อตร.ม. โดยทำเลพหลโยธินโครงการที่มีอุปสงค์สูงจะอยู่ในช่วงระดับราคา 1.3-2 แสนบาทต่อตร.ม. ส่วนย่านรัชดาภิเษกโครงการที่มีอุปสงค์สูงจะอยู่ในช่วงราคา 1 แสนบาท-1.6 แสนบาทต่อตร.ม.
พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก ธนบุรี-สุขุมวิทรอบนอก-บางซื่อ-มีนบุรี-นนทบุรี-พระราม 2-รามคำแหง-สุวรรณภูมิ มี 18,062 หน่วย อัตราการดูดซับ 43% โดยโซนสุขุมวิทรอบนอก มีอุปสงค์ตอบรับในโครงการระดับกลาง ราคา 5 หมื่น-1 แสนบาทต่อตร.ม. แต่เนื่องจากทำเลสุขุมวิทรอบนอกกินพื้นที่ค่อนข้างกว้างและศักยภาพแต่ละโซนแตกต่างกัน จึงมีโครงการที่ครอบคลุมหลายระดับราคา โดยโครงการที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายยังมีจำนวนไม่มากและค่อนข้างกระจุกตัว จึงสามารถทำราคาได้สูงกว่าราคาเฉลี่ยในตลาด ซึ่งมีดีมานด์ตอบรับสูงเช่นกัน
http://www.thansettakij.com
เพิ่มงบฯ ทล.แสนล้านเร่งเมกะโปรเจ็กต์
กรมทางหลวงคาดปี 62 ได้งบประมาณเพิ่มอีก 10% เป็น 1.2 แสนล้านบาท ดันเปิดประมูล 3 เมกะโปรเจ็กต์ อีอีซี-มอเตอร์เวย์พระราม2-ส่วนต่อขยายคู่ขนานลอยฟ้า ในเดือน ก.ย. นี้ วงเงินรวมกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท
นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผยว่าทล.เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ2562 จำนวน 2.89 แสนล้านบาท แต่คาดว่าจะได้รับจัดสรรจริง 1.2 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2561 ซึ่งอยู่ที่ 105,700 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประจำ 6,000 ล้านบาทและส่วนที่เหลือเป็นงบลงทุน การลงทุนสำคัญในปีงบประมาณ 2562 มีทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ โครงการลงทุนรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) วงเงินประมาณ 1.9-2 หมื่นล้านบาท
โดยมีโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญเช่น โครงการก่อสร้างทางพิเศษ (มอเตอร์เวย์) พระราม 2-บางขุนเทียน-มหาชัย ระยะทาง 12 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 10,5000 หมื่นล้านบาท ได้ส่งรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ (คชก.) พิจารณาแล้ว ส่วนการก่อสร้างเฟสที่ 2 ช่วงมหาชัย-วังมะนาว ระยะทาง 70-80 กิโลเมตร ต้องรอมอเตอร์เวย์ สายนครปฐม-ชะอำก่อน จึงดำเนินการได้
โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายทางยกระดับคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ช่วงพุทธมณฑสาย 3-พุทธมณฑลสาย 4 (ศาลายา)-นครชัยศรี ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร วงเงิน 5,800 ล้านบาท โดยเส้นทางนี้ได้รับการเห็นชอบอีไอเอแล้วและมีความจำเป็นต้องเร่งลงทุน เพราะเส้นทางปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ต้องเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์สายนครปฐม-ชะอำในอนาคต โดยคาดว่าจะออกทีโออาร์ประมาณเดือน ส.ค.ได้เกือบทุกโครงการ
สำหรับโครงการก่อสร้าง มอเตอร์เวย์บางใหญ่- กาญจนบุรี ก่อสร้างได้เพียง 6% จากเป้าหมายต้องคืบหน้า 22% เนื่องจากติดปัญหาค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทล. จึงเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอวงเงินจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินเพิ่มจาก 5,420 ล้านบาท เป็นกว่า 19,000 ล้านบาท ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นห่วงเรื่องความคุ้มค่าของโครงการ หลังค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เพิ่มขึ้นอีก 14,000 ล้านบาท แต่การศึกษาพบว่าเรื่องดังกล่าวทำให้ผลตอบแทนการลงทุน (IRR ) ลดลงจาก 17% เหลือ 14% แต่ก็ยังคุ้มค่า เพราะสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ 12% ทล.โดยจะมีการออกหนังสือชี้แจงก่อนที่จะเสนอครม.
“ถ้า ครม. เห็นชอบให้ปรับค่ากรรมสิทธิ์ตามที่เสนอ ก็จะทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณของ ทล. เพิ่มเป็น 95% แต่ถ้าไม่ผ่านอาจจะได้แค่ระดับ 80% เพราะวงเงินที่ค้างอยู่โครงการมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี สูงถึง 11,000 ล้านบาท หรือ 11% ของวงเงินทั้งหมด ด้านการเปิดให้บริการจะล่าช้าออกไป 6-8 เดือน หรือเปิดให้บริการได้เร็วสุดในปลายปี 2563” นายธานินทร์กล่าว
สำหรับโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ บางปะอิน-นครราชสีมา วงเงิน 59,400 ล้านบาท ปัจจุบันคืบหน้า 32% เร็วกว่าแผน 7% คาดว่าการก่อสร้างงานโยธาจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในยเดือน ก.ค. 2563
http://www.bangkokbiznews.com
ไทยอาจได้ประโยชน์! จากกรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
บทวิเคราะห์ ไทยอาจได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแผนการลงทุนของจีน และหากสหรัฐฯ นำเข้าจากไทยมากขึ้น กรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน
ศูนย์ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ เปืดเผยบทวิเคราะห์ระบุว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2018 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามใน presidential memorandum มีคำสั่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (U.S. Trade Representative: USTR) พิจารณาเก็บภาษีนำเข้า (import tariff) ที่อัตรา 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่ารวมราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าราว 2.5% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ หรือ 11.4% ของการนำเข้าจากจีนในปี 2017 ทั้งนี้ USTR จะต้องนำเสนอรายชื่อสินค้าที่จะถูกเก็บภาษีภายใน 15 วันหลังจากนี้
คำสั่งดังกล่าวเป็นผลมาจากการตรวจสอบการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของจีน ตามมาตรา 301 ของกฎหมายการค้าสหรัฐฯ (Trade Act of 1947) ที่ได้เริ่มตรวจสอบมาตั้งแต่ 18 สิงหาคม 2017 ทั้งนี้ จากการตรวจสอบดังกล่าว USTR ระบุว่าทางการจีนได้มีพฤติกรรมและมีนโยบายที่ก่อให้เกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ให้กับจีนและก่อให้เกิดการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งส่งผลเสียต่อการค้าของสหรัฐฯ โดยพฤติกรรมดังกล่าวได้แก่ 1) การบังคับใช้ข้อจำกัดในการลงทุนซึ่งกดดันให้บริษัทสหรัฐฯ ต้องถ่ายโอนเทคโนโลยีเพื่อแลกกับการเข้าไปลงทุนในจีน 2) การเลือกปฏิบัติในการออกใบอนุญาตอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อกดดันให้เกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยี 3) ทางการจีนสนับสนุนการเข้าซื้อกิจการในสหรัฐฯ ซึ่งนำไปสู่การครอบครองเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา และ 4) ทางการจีนสนับสนุนการบุกรุกทางไซเบอร์ (cyber intrusion) เพื่อเข้าถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสหรัฐฯ ซึ่งมีข้อมูลความลับทางธุรกิจมูลค่ามหาศาล
อีไอซีมองว่าสินค้าเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีความเสี่ยงถูกเก็บภาษีมากที่สุด จากรายงานเบื้องต้นของ USTR ระบุว่าสินค้าที่อาจถูกเสนอให้เก็บภาษี ได้แก่ อากาศยาน สินค้าไอทีและการสื่อสาร (information and communication technology) และเครื่องจักร อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่ารายการสินค้าที่จะถูกเปิดเผยในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้อาจมีมากกว่าที่ระบุในรายงานดังกล่าว โดยอีไอซีมองว่าสินค้าเทคโนโลยี อาทิ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นหมวดที่มีความเสี่ยงจะอยู่ในรายชื่อสินค้าที่ถูกเก็บภาษีมากที่สุด เนื่องจากเป็นสินค้าที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุดมูลค่าสูงราว 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2017 และยังเป็นสินค้าที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนตามนโยบาย Made in China 2025 นอกจากนี้ สินค้าที่มีการขาดดุลสูงรองจากหมวดดังกล่าว ได้แก่ เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น เป็นต้น ทั้งนี้ หากมูลค่าสินค้าที่ถูกเก็บภาษีมีมูลค่าไม่เกิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามที่ทรัมป์ประกาศก็มีแนวโน้มว่าจะมีสินค้าไม่กี่ประเภทเท่านั้นที่จะถูกเก็บภาษี
นอกเหนือจากการเก็บภาษีนำเข้า สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มออกมาตรการจำกัดการลงทุนของจีน โดยทรัมป์ยังได้มอบหมายกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ (Treasury Department) พิจารณาออกมาตรการควบคุมการลงทุนจากจีนภายใน 60 วัน โดยมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งการลงทุนและการเข้าซื้อบริษัทสหรัฐฯ จากจีนที่ทำให้เกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีหรือการได้ครอบครองเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ โดยอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงถูกจำกัดการลงทุนโดยสหรัฐฯ คืออุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนตามนโยบาย Made in China 2025 ที่ต้องการทดแทนสินค้านำเข้าจากต่างประเทศด้วยการผลิตเองในจีนซึ่งอาจต้องนำเทคโนโลยีมาจากต่างประเทศ อาทิ สินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง สินค้าพลังงานทดแทน สินค้าด้านสุขภาพสมัยใหม่ และชิ้นส่วนอากาศยาน เป็นต้น
เบื้องต้น ทางการจีนออกมาตอบโต้ เล็งเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ กว่า 128 รายการ มีมูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มถูกเก็บภาษีได้แก่ ท่อเหล็ก ผลไม้ และไวน์ที่อัตรา 15% และเนื้อหมูและอลูมิเนียมรีไซเคิลที่อัตรา 25%
อีไอซีมองทางการจีนสามารถเลือกใช้มาตรการเพื่อตอบโต้นโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ ได้หลากหลาย โดยสามารถสรุปออกมาได้ 3 ทางเลือกตามระดับความตึงเครียดและความรุนแรงของผลของทางเลือก ซึ่งจะนำไปสู่สงครามการค้าได้ทั้งสิ้น ดังนี้
1) การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และการให้สิทธิพิเศษทางการค้าการลงทุนกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ โดยยกเว้นไม่ให้สหรัฐฯ ได้รับประโยชน์ สำหรับแผนการขึ้นภาษีนำเข้า ณ ตอนนี้ จีนยังคงเลือกใช้การขึ้นภาษีเฉพาะรายหมวดและผลิตภัณฑ์ (product-specific) เช่น สินค้าหมวดเกษตรของสหรัฐฯ มากกว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากสหรัฐฯ (across the board) และยังคงจำกัดอยู่เฉพาะการตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษี (tariff measure) อยู่ ในอีกด้านจีนสามารถเลือกให้สิทธิประโยชน์ทางการค้ากับประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐฯ เช่น สหภาพยุโรป เป็นต้น เพื่อสร้างพันธมิตรและความสัมพันธ์เพื่อต่อรองกับสหรัฐฯ รวมถึงการจำกัดสิทธิผลประโยชน์ที่จะให้กับสหรัฐฯ ได้ อาทิ การลดภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มเติมและเพิ่มปริมาณนำเข้าจากประเทศพันธมิตรแทนการนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งรวมไปถึงการเปิดเสรีภาคบริการในหลายด้าน เช่น ภาคการเงิน การศึกษา สุขภาพ ที่อาจปิดกั้นไม่ให้บริษัทสหรัฐฯ เข้าถึงตลาดผู้บริโภคชาวจีนได้ เป็นต้น
2) การจำกัดขอบเขตรวมถึงสร้างความยากลำบากต่อธุรกิจสหรัฐฯ ที่ดำเนินธุรกิจในจีน รวมถึงลดจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ตัวอย่างธุรกิจ เช่น บริษัท General Motors ที่มีกิจการร่วมค้า (joint venture) และทำตลาดอยู่ในจีนที่แม้จะมียอดขายรถทั่วโลกในไตรมาส 4 ปี 2017 ลดลง แต่กลับมียอดขายเฉพาะในจีนที่เพิ่มขึ้น บริษัทและธุรกิจสหรัฐฯ ในหลายๆ อุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในจีนอาจตกอยู่ในภาวะลำบาก หากสถานการณ์สงครามการค้าตึงเครียดขึ้นถึงขั้นจีนเริ่มใช้มาตรการกำจัดสิทธิ์ รวมไปถึงการรณรงค์ต่อต้านการเดินทางเข้าสหรัฐฯ จากทางการจีน นักท่องเที่ยวจีนซึ่งมียอดค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จในการท่องเที่ยวรวมมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี จะสร้างผลกระทบต่อธุรกิจในสหรัฐฯ ได้โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวหากทางการจีนเริ่มรณรงค์ต่อต้านสหรัฐฯ ดังที่เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายกันกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มาแล้วในอดีต เหล่านี้นับว่าเป็นหนึ่งในมาตรการตอบโต้ที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff measure) ที่ทางการจีนเลือกใช้ได้
3) การลดการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทางการจีนสามารถตอบโต้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ ทางอ้อมได้โดยสร้างแรงกระเพื่อมผ่านตลาดการเงินได้โดยการเทขายสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปของดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปและหันไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศพันธมิตรอื่นแทน เพื่อสร้างแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ ให้เร่งตัวสูงเร็วขึ้น สร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ในการกู้ยืมในอนาคตจากภาระดอกเบี้ยระยะยาวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ หน่วยงาน Treasury International Capital (TIC) รายงานว่า จีนได้ถือตราสารหนี้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกเพื่อใช้ระดมทุน (US treasuries) รวมมูลค่ากว่า 1.18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ เดือนธ.ค. 2017 ซึ่งการเทขายสินทรัพย์ของสหรัฐฯ โดยทางการจีนหากกระทำโดยฉับพลันและขายพันธบัตรออกมาจำนวนมากอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ ได้สูง
ตลาดการเงินตอบสนองรุนแรง ท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดสงครามการค้า (Trade War) ภายหลังการลงนามของทรัมป์และการออกมาประกาศเตรียมพร้อมตอบโต้ของจีน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดลดลงจากวันก่อนหน้า โดยดัชนี S&P 500 ลดลง 2.5% ดัชนี Nasdaq ลดลง 2.4% และดัชนี Dow Jones ลดลง 2.9% นอกจากนี้ ดัชนี VIX index ซึ่งสะท้อนความผันผวนของตลาดการเงินก็ปรับสูงขึ้นกว่า 5.5 จุดไปอยู่ที่ระดับ 23.5 นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเล็กน้อยในช่วงเช้าวันนี้ สวนทางกับค่าเงินเยนซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ที่แข็งค่าขึ้นถึงระดับต่ำสุดในรอบกว่า 17 เดือน
อีไอซีมองการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ ในรอบนี้มีเหตุผลเชิงนัยทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ต้องการที่จะลดการขาดดุลการค้ากับจีนให้ได้มากที่สุดเพราะจีนมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงที่สุดซึ่งเป็นมูลค่าราว 3.7 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2017 จึงใช้เหตุผลการค้าที่ไม่เป็นธรรมและการขาดดุลสูงเป็นข้อต่อรองกับจีน ในขณะที่เหตุผลด้านการเมืองมีเหตุปัจจัยทั้งภายในและนอกสหรัฐฯ โดยเหตุปัจจัยภายในสหรัฐฯ ทรัมป์ได้วางแผนขึ้นภาษีนำเข้าต่อจีนเพื่อรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ตอนช่วงหาเสียงในปี 2016 รวมถึงต้องการรักษาฐานเสียงของตนก่อนการเลือกตั้งกลางปี (mid-term election) ช่วงเดือน พ.ย. 2018 ปีนี้ นอกจากนี้ ยังมองเป็นเกมการเมืองระหว่างชาติมหาอำนาจได้ เนื่องจากการขึ้นภาษีนำเข้ารอบนี้เจาะจงเฉพาะสินค้าจีนโดยตรง และทรัมป์ยังกล่าวว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นและยังมีแนวโน้มที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมได้อีกในอนาคต ทั้งที่นโยบาย safeguard tariff ของสหรัฐฯ ก่อนหน้า อาทิ การเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ท้ายสุดแล้วสหรัฐฯ ก็ได้มีการพิจารณาผ่อนผันลงโดยยกเว้นภาษีให้สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย บราซิล อาร์เจนตินา และเกาหลีใต้ได้ชั่วคราว เหล่านี้มองได้ว่าทรัมป์พยายามสร้างสมดุลให้กับการเมืองภายในเพื่อรักษาฐานคะแนนของตน พร้อมกับพยายามรักษาพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศเดิม เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา เม็กซิโก เป็นต้น เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกดดันจีนในสงครามการค้าและจิตวิทยาได้อย่างสมดุล
สินค้าไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ และจีน อาจได้รับผลกระทบหากมีการเก็บภาษีสินค้าจากจีน โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตและจีนได้ส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ เป็นสินค้าขั้นสุดท้าย ซึ่งอีไอซีพบว่าสินค้าที่มีสัดส่วนสำคัญของการส่งออกไทย อยู่ในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าว และมีความเสี่ยงจะถูกเก็บภาษี ได้แก่ 1) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ แผงวงจรไฟฟ้า, กล้องถ่ายรูป, LCD, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์, และ CPU (มีสัดส่วนรวม 23% ของการส่งออกจากไทยไปจีนทั้งหมด) ซึ่งจีนใช้สินค้าดังกล่าวในผลิตโทรศัพท์มือถือ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และ CPU เพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ และ 2) พลาสติกขั้นพื้นฐาน (สัดส่วน 10% ของการส่งออกจากไทยไปจีนทั้งหมด) ซึ่งเป็นสินค้าที่ทางจีนใช้ผลิตของเล่นและผลิตภัณฑ์พลาสติกไปยังสหรัฐฯ (รูปที่ 1) ทั้งนี้ จีนอาจนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทยน้อยลงเนื่องจากจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้น้อยลง
อย่างไรก็ตาม ไทยอาจได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแผนการลงทุนของจีน และหากสหรัฐฯ นำเข้าจากไทยมากขึ้น ถึงแม้จะยังไม่มีรายละเอียดสินค้าที่จะถูกเก็บภาษี ทางทำเนียบขาวระบุว่าจะพยายามจำกัดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ โดยตรงให้น้อยที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มว่าทางสหรัฐฯ จะเลือกเก็บภาษีในสินค้าที่สามารถนำเข้าจากประเทศอื่นทดแทนได้ ทำให้สินค้าจากไทยบางชนิดอาจส่งออกไปสหรัฐฯ ได้เพิ่มมากขึ้น อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไทยมีการส่งไปสหรัฐฯ อยู่มีมูลค่ารวมกว่า 48% ของการส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด นอกจากนี้ การเล็งเก็บภาษีจากจีนเพียงประเทศเดียวก็อาจทำให้บริษัทจีนพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนโดยอาจขยายกำลังการผลิตไปในประเทศอื่นแทนได้ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่จีนอาจเข้ามาลงทุนเพิ่มเพื่อผลิตสินค้าที่จะส่งออกไปสหรัฐฯ และท้ายที่สุดแล้วก็จะทำให้ไทยมีการส่งออกไปสหรัฐฯ ได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน
จับตาต่อเนื่องถึงรายละเอียดการเก็บภาษีที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงรวมถึงผ่อนผันได้ในอนาคต จากการที่ทาง USTR จะประกาศรายชื่อสินค้าที่จะถูกเก็บภาษีในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ก็ยังมีความเป็นไปว่ารายชื่อดังกล่าวอาจถูกเปลี่ยนแปลงได้หลังจากนั้น เนื่องจากทางสหรัฐฯ ยังให้เวลารับฟังความเห็นจากประชาชนอีก 30 วันหลังจากรายชื่อสินค้าถูกเปิดเผย เพื่อที่จะทำการทบทวนและออกมาตรการเก็บภาษีอย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าภาคเอกชนในสหรัฐฯ จะเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในสินค้าที่จะกระทบต่อธุรกิจรุนแรง นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจากับทางการจีนเพื่อลดความรุนแรงของมาตรการลง
PTRSU Lecturer สติกเกอร์ไลน์ระดมทุนช่วยการศึกษา
PTRSU Lecturer สติกเกอร์ไลน์จากคณะกายภาพฯ ม.รังสิต ระดมทุนขับเคลื่อนการศึกษาเพื่อคนชายขอบ มุ่งพัฒนาอาสาสมัครในการดูแลผู้ป่วยในแคมป์ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน
อาจารย์อัญมณี ยิ่งยงยุทธ อาจารย์ประจำคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า เหตุผลของการทำสติกเกอร์ไลน์ PTRSU Lecturer มาจากแนวคิดของกลุ่มอาจารย์ที่ต้องการระดมทุนเพื่อใช้สำหรับการขับเคลื่อนเรื่องการศึกษาเพื่อคนชายขอบ โดยจะใช้เป็นทุนในการเดินทางและทำเอกสารเพื่อพัฒนาอาสาสมัครในการดูแลผู้ป่วยในแคมป์ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน
โดยปกติทางคณะฯ จะเข้าไปให้ความรู้ทางด้านกายภาพบำบัด เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ในแต่ละแคมป์ที่ต้องการจำนวนคนค่อนข้างมาก จึงขอความร่วมมือจากเราไปช่วยสอนในเรื่องของการทำกายภาพบำบัดพื้นฐาน ซึ่งเป็นความรู้เบื้องต้นเพื่อให้เขาสามารถดูแลคนในแคมป์ของเขาเองได้
“ที่น่าสนใจคือ รูปการ์ตูนที่วาดขึ้นนั้นมาจากการฝึกฝนการวาดรูปเพื่อสื่อความหมายในการเปลี่ยนเนื้อหาจาก Text เป็นรูปของอาจารย์ในคณะกายภาพบำบัด โดยอาจารย์ใช้ทักษะดังกล่าวในกระบวนการถอดบทเรียนเนื้อหาเพื่อให้มาเป็นภาพ ช่วยในเรื่องความจำและความเข้าใจของนักศึกษา สำหรับสติ๊กเกอร์ไลน์ดังกล่าว ได้รับความสนใจจากคณาจารย์ ศิษย์เก่า นักศึกษา และบุคคลทั่วไปให้ความสนใจดาวน์โหลดอย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้จะมีการพัฒนาต่อในเวอร์ชั่นต่อไป ซึ่งจะปรับให้ดูวัยรุ่นมากขึ้นค่ะ” อาจารย์อัญมณี กล่าว
ด้านอาจารย์ปฐมพงษ์ จันธิมา กล่าวว่า การจัดทำสติกเกอร์ไลน์ครั้งนี้สอดคล้องกับโอกาสครบรอบ 30 ปี ของคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยรังสิต สำหรับคาแรกเตอร์นั้นมาจากอาจารย์ในคณะว่าแต่ละคนมีความเด่นอะไร ชอบพูดคำไหนบ่อยๆ ทั้งในการเรียนการสอน หรือร่วมงานกัน หลังจากนั้นจึงนำมาออกแบบ ซึ่งการจัดทำสติกเกอร์ไลน์นั้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยผมเป็นผู้ออกแบบ ส่วนผู้วาดคืออาจารย์อัญมณี ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจสนับสนุนพันธะกิจกายภาพบำบัดข้ามแดนของอาจารย์และนักศึกษากายภาพบำบัด และช่วยเหลือผู้ป่วยในแคมป์ผู้ลี้ภัยฯ สามารถดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ PTRSU Lecturer ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คณะกายภาพบำบัด โทร. 0-2791-6000 ต่อ 1453
http://www.bangkokbiznews.com
ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง |
ราคารับซื้อต่อกรัม |
ราคารับซื้อ/บาท |
ราคาขายออก/บาท |
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 19,800.00 | 19,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,283.00 | 19,450.28 | 20,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,154.70 | 17,505.25 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 577.00 | 8,747.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 449.00 | 6,806.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,330.00 | 20,162.80 | n/a |
ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ หน่วย : บาท/ลิตร |
||||||||||
ปตท PTT |
บางจาก BCP |
เชลล์ Shell |
เอสโซ่ Esso |
คาลเท็กซ์ Caltex |
ไออาร์พีซี IRPC |
พีทีจี เอนเนอยี่ PTG |
ซัสโก้ Susco |
ระยองเพียว Pure |
ซัสโก้ ดีลเลอร์ SUSCO Dealers |
|
แก๊สโซฮอล 95 | 28.05 | 28.05 | 28.05 | 28.05 | 28.05 | 28.05 | 28.05 | 28.05 | 28.05 | 28.05 |
แก๊สโซฮอล E-20 | 25.54 | 25.54 | 25.54 | 25.54 | 25.54 | – | 25.54 | 25.54 | 25.54 | 25.54 |
แก๊สโซฮอล E-85 | 20.34 | 20.34 | – | – | – | – | – | 20.34 | 20.34 | – |
แก๊สโซฮอล 91 | 27.78 | 27.78 | 27.78 | 27.78 | 27.78 | 27.78 | 27.78 | 27.78 | 27.78 | 27.78 |
เบนซิน 95 | 35.16 | – | – | – | 35.61 | – | 35.66 | 35.16 | 35.16 | 35.16 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 | 27.29 |
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม | 30.29 | 30.29 | 30.29 | 30.29 | 30.29 | – | – | – | – | – |
มีผลตั้งแต่ | 24 Mar 05:00 | 24 Mar 05:00 | 24 Mar 05:00 | 24 Mar 05:00 | 24 Mar 05:00 | 24 Mar 05:00 | 24 Mar 05:00 | 24 Mar 05:00 | 24 Mar 05:00 | 24 Mar 05:00 |