สาระน่ารู้ ประจำวันที่ 26 มีนาคม 2561

เอกชนเตือนรัฐระวังเมกะโปรเจ็กต์เจอวิกฤติวัสดุก่อสร้าง

ภาคเอกชนออกโรงเตือนรัฐบาลระวังโครงการเมกะโปรเจ็กส์จะเจอวิกฤติด้านวัสดุก่อสร้าง ชี้ยุทธศาสตร์ดีแต่ส่วนราชการไม่ขานรับเดินไปคนละทาง เปิดเวทีใหญ่ดึงทุกภาคส่วนระดมสมองหาทางออกก่อนโครงการล่ม

นายสมพร อดิศักดิ์พานิชกิจ เลขาธิการสภาการเหมืองแร่ เปิดเผยว่า การที่รัฐบาลได้วางโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ โดยเฉพาะการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ ทั้งรถไฟทางคู่ รถไฟความเร็วสูงไทย-จีน และไทย-ญี่ปุ่น ทางหลวงพิเศษระหว่างเมืองหรือมอเตอร์เวย์ การขยายและพัฒนาสนามบิน ท่าเรือน้ำลึก โครงการ EEC ฯลฯ ถือเป็นเจตนาที่ดีเป็นความถูกต้องในการกระตุ้นเศรษฐกิจ ซึ่งภาคเอกชนให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ แต่นโยบายดังกล่าวกลับไม่เป็นที่เข้าใจของส่วนราชการบางหน่วยงาน เพราะปรากฏว่ามีการปฏิบัติงานที่ไม่สอดคล้อง ไม่ไปในทิศทางเดียวกัน และอาจจะเป็นอุปสรรคให้นโยบายรัฐดังกล่าวไม่ประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ด้วย

สิ่งที่กำลังเป็นปัญหาและจะส่งผลเป็นลูกโซ่ถึงเมกะโปรเจ็กต์ไทยคือ การที่ผู้รับเหมางานก่อสร้างจะไม่สามารถหาวัสดุก่อสร้างประเภท หิน ดิน ทราย โดยเฉพาะหินโรยทางโครงการรถไฟ มาใช้ได้อย่างเพียงพอ อันเนื่องมาจากอุปสรรคในการทำเหมืองแร่ นับตั้งแต่ต้องรอการกำหนดเขตแหล่งแร่เพื่อการทำเหมือง และการขออนุญาตใช้พื้นที่เพื่อการทำเหมือง เช่นพื้นที่ส.ป.ก. พื้นที่ป่าไม้ เป็นต้น

“ที่ผ่านมาการขอประทานบัตรต้องใช้เวลา 3-5 ปีกว่าจะอนุมัติ นี่ถือว่าเก่งมากแล้ว แม้แต่ วันนี้ประทานบัตรหลายแปลงก็ยังเข้าพื้นที่ไม่ได้เพราะติดที่ไม่ได้รับการอนุญาตใช้พื้นที่ ถามว่าจะเอาอะไรไปป้อนโครงการได้เพียงพอ วันนี้เริ่มมีการนำเข้าหินจากประเทศเพื่อนบ้านแล้ว แต่ถ้าต้องขนส่งในระทางเป็นร้อยกิโลเมตรถามว่าจะคุ้มค่าทางเศรษฐกิจหรือ ประเทศต้องสูญเสียเงินทองทั้งด้านการขนส่งด้วย ดังนั้นเมกะโปรเจ็กต์ชะงักแน่ โครงการที่จะใช้หินก่อสร้างในช่วงปลายปี 2561 หรือ 2562 ต้องเจอปัญหาแน่และจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ” นายสมพรกล่าว

อย่างไรก็ตามเพื่อให้โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของไทยประสบความสำเร็จซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อประชาชนส่วนรวม ขณะที่ภาคเอกชนก็อยู่รอดได้ สภาการเหมืองแร่ จึงร่วมกับคณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สมาคมอุตสาหกรรมย่อยหินไทย สมาคมผู้สื่อข่าวไทย-จีน และ ชมรมสินแร่อุตสาหกรรมและวัสดุก่อสร้าง จัดการสัมมนาภายใต้หัวข้อ “สัญญาณเตือน…เมกะโปรเจ็กต์ไทยและอุตสาหกรรมก่อสร้าง” ในวันพฤหัสบดีที่ 29 มีนาคม พ.ศ.2561 เวลา 09.00-16.15 น. ที่ห้องบอลรูม 2 โรงแรมดิเอมเมอรัลด์ ถนนรัชดาภิเษก กรุงเทพฯ ทั้งนี้เพื่อเป็นเวทีในการสะท้อนปัญหาจากทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง หาทางเตรียมและปรับแก้ไขไม่ให้เกิดปัญหาไปกระทบต่อการพัฒนาประเทศ โดยดร.ไพรินทร์ ชูโชติถาวร รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม จะเป็นผู้เปิดงานและปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “แผนการลงทุนเมกะโปรเจ็กต์ของรัฐกับโอกาสการพัฒนาเมือง”

http://www.thansettakij.com


คอนโดกรุงเทพฯชั้นใน อุปสงค์สูง 1.3-1.6 แสนบาท/ตร.ม.

บริษัท พลัส พร็อพเพอร์ตี้ฯ รายงานตลาดคอนโดมิเนียมในปัจจุบันยังเติบโตอย่างน่าสนใจแม้จะมีบางทำเลที่มีผู้ประกอบการเข้าไปแข่งขันกันค่อนข้างมากจนทำให้การดูดซับเริ่มทรงตัว แต่ในปี 2560 ที่ผ่านมาพบว่า จากอุปทานเสนอขายห้องชุดจำนวน 121,291 หน่วย อุปสงค์ให้การตอบรับแล้ว 68,228 หน่วย ขยายตัวเพิ่มขึ้น 13% หรือเพิ่มขึ้น 9,228 หน่วยจากปีก่อน ซึ่งยอดขายได้ในรอบนี้ปรับตัวดีขึ้นเกือบทุกช่วงราคา มาจากทิศทางเศรษฐกิจที่เริ่มดีขึ้น และหนี้ครัวเรือนที่มีแนวโน้มลดลง

ทั้งนี้ พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นใน โซนเพลินจิต-ชิดลม-สีลม-สาทร-สุขุมวิท มีทั้งสิ้น 11,148 หน่วย อัตราการดูดซับ 45% ยังมีการตอบรับสูง โดยโครงการที่มีอุปสงค์อยู่ในระดับสูงช่วงระดับราคาขายเฉลี่ย 1.3-1.6 แสนบาทต่อตร.ม. โดยที่ทำเลสุขุมวิทโครงการระดับราคา 1.6-4 แสนบาทต่อตร.ม. ประเมินว่าจะสามารถปิดการขายได้ในระยะเวลาเพียง 3-4.5 เดือน เร็วกว่าค่าเฉลี่ยที่ 5.5 เดือน

พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นกลาง โซนพหลโยธิน-พญาไท-พระราม 3-รัชดาฯ มี 17,878 หน่วย อัตราการดูดซับ 47% พบอุปสงค์ส่วนใหญ่เป็นโครงการในระดับกลาง ราคา 7 หมื่น-1.6 แสนบาทต่อตร.ม. โดยทำเลพหลโยธินโครงการที่มีอุปสงค์สูงจะอยู่ในช่วงระดับราคา 1.3-2 แสนบาทต่อตร.ม. ส่วนย่านรัชดาภิเษกโครงการที่มีอุปสงค์สูงจะอยู่ในช่วงราคา 1 แสนบาท-1.6 แสนบาทต่อตร.ม.

พื้นที่กรุงเทพฯ ชั้นนอก ธนบุรี-สุขุมวิทรอบนอก-บางซื่อ-มีนบุรี-นนทบุรี-พระราม 2-รามคำแหง-สุวรรณภูมิ มี 18,062 หน่วย อัตราการดูดซับ 43% โดยโซนสุขุมวิทรอบนอก มีอุปสงค์ตอบรับในโครงการระดับกลาง ราคา 5 หมื่น-1 แสนบาทต่อตร.ม. แต่เนื่องจากทำเลสุขุมวิทรอบนอกกินพื้นที่ค่อนข้างกว้างและศักยภาพแต่ละโซนแตกต่างกัน จึงมีโครงการที่ครอบคลุมหลายระดับราคา โดยโครงการที่อยู่ตามแนวรถไฟฟ้าสายสีเขียวส่วนต่อขยายยังมีจำนวนไม่มากและค่อนข้างกระจุกตัว จึงสามารถทำราคาได้สูงกว่าราคาเฉลี่ยในตลาด ซึ่งมีดีมานด์ตอบรับสูงเช่นกัน

http://www.thansettakij.com


เพิ่มงบฯ ทล.แสนล้านเร่งเมกะโปรเจ็กต์

กรมทางหลวงคาดปี 62 ได้งบประมาณเพิ่มอีก 10% เป็น 1.2 แสนล้านบาท ดันเปิดประมูล 3 เมกะโปรเจ็กต์ อีอีซี-มอเตอร์เวย์พระราม2-ส่วนต่อขยายคู่ขนานลอยฟ้า ในเดือน ก.ย. นี้ วงเงินรวมกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท

นายธานินทร์ สมบูรณ์ อธิบดีกรมทางหลวง(ทล.) เปิดเผยว่าทล.เสนอขอรับการจัดสรรงบประมาณในปีงบประมาณ2562 จำนวน 2.89 แสนล้านบาท แต่คาดว่าจะได้รับจัดสรรจริง 1.2 แสนล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นไม่เกิน 10% เมื่อเทียบกับปีงบประมาณ 2561 ซึ่งอยู่ที่ 105,700 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นงบประจำ 6,000 ล้านบาทและส่วนที่เหลือเป็นงบลงทุน การลงทุนสำคัญในปีงบประมาณ 2562 มีทั้งหมด 3 โครงการ ได้แก่ โครงการลงทุนรองรับการพัฒนาระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก (EEC) วงเงินประมาณ 1.9-2 หมื่นล้านบาท

โดยมีโครงการขนาดใหญ่ที่สำคัญเช่น โครงการก่อสร้างทางพิเศษ (มอเตอร์เวย์) พระราม 2-บางขุนเทียน-มหาชัย ระยะทาง 12 กิโลเมตร วงเงินลงทุน 10,5000 หมื่นล้านบาท ได้ส่งรายงานวิเคราะห์ผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม (EIA) ให้คณะกรรมการผู้ชำนาญการฯ (คชก.) พิจารณาแล้ว ส่วนการก่อสร้างเฟสที่ 2 ช่วงมหาชัย-วังมะนาว ระยะทาง 70-80 กิโลเมตร ต้องรอมอเตอร์เวย์ สายนครปฐม-ชะอำก่อน จึงดำเนินการได้

โครงการก่อสร้างส่วนต่อขยายทางยกระดับคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี ช่วงพุทธมณฑสาย 3-พุทธมณฑลสาย 4 (ศาลายา)-นครชัยศรี ระยะทางประมาณ 8 กิโลเมตร วงเงิน 5,800 ล้านบาท โดยเส้นทางนี้ได้รับการเห็นชอบอีไอเอแล้วและมีความจำเป็นต้องเร่งลงทุน เพราะเส้นทางปิ่นเกล้า-นครชัยศรี ต้องเชื่อมต่อกับมอเตอร์เวย์สายนครปฐม-ชะอำในอนาคต โดยคาดว่าจะออกทีโออาร์ประมาณเดือน ส.ค.ได้เกือบทุกโครงการ

สำหรับโครงการก่อสร้าง มอเตอร์เวย์บางใหญ่- กาญจนบุรี ก่อสร้างได้เพียง 6% จากเป้าหมายต้องคืบหน้า 22% เนื่องจากติดปัญหาค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ทล. จึงเตรียมเสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) ขอวงเงินจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินเพิ่มจาก 5,420 ล้านบาท เป็นกว่า 19,000 ล้านบาท ทั้งนี้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเป็นห่วงเรื่องความคุ้มค่าของโครงการ หลังค่าจัดกรรมสิทธิ์ที่ดินที่เพิ่มขึ้นอีก 14,000 ล้านบาท แต่การศึกษาพบว่าเรื่องดังกล่าวทำให้ผลตอบแทนการลงทุน (IRR ) ลดลงจาก 17% เหลือ 14% แต่ก็ยังคุ้มค่า เพราะสูงกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่ 12% ทล.โดยจะมีการออกหนังสือชี้แจงก่อนที่จะเสนอครม.

“ถ้า ครม. เห็นชอบให้ปรับค่ากรรมสิทธิ์ตามที่เสนอ ก็จะทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณของ ทล. เพิ่มเป็น 95% แต่ถ้าไม่ผ่านอาจจะได้แค่ระดับ 80% เพราะวงเงินที่ค้างอยู่โครงการมอเตอร์เวย์ บางใหญ่-กาญจนบุรี สูงถึง 11,000 ล้านบาท หรือ 11% ของวงเงินทั้งหมด ด้านการเปิดให้บริการจะล่าช้าออกไป 6-8 เดือน หรือเปิดให้บริการได้เร็วสุดในปลายปี 2563” นายธานินทร์กล่าว

สำหรับโครงการก่อสร้างมอเตอร์เวย์ บางปะอิน-นครราชสีมา วงเงิน 59,400 ล้านบาท ปัจจุบันคืบหน้า 32% เร็วกว่าแผน 7% คาดว่าการก่อสร้างงานโยธาจะแล้วเสร็จและเปิดให้บริการได้ในยเดือน ก.ค. 2563

http://www.bangkokbiznews.com


ไทยอาจได้ประโยชน์! จากกรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

บทวิเคราะห์ ไทยอาจได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแผนการลงทุนของจีน และหากสหรัฐฯ นำเข้าจากไทยมากขึ้น กรณีสงครามการค้าสหรัฐฯ-จีน

ศูนย์ EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ เปืดเผยบทวิเคราะห์ระบุว่า เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2018 ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ลงนามใน presidential memorandum มีคำสั่งให้สำนักงานผู้แทนการค้าสหรัฐฯ (U.S. Trade Representative: USTR) พิจารณาเก็บภาษีนำเข้า (import tariff) ที่อัตรา 25% สำหรับสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่ารวมราว 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่าราว 2.5% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ หรือ 11.4% ของการนำเข้าจากจีนในปี 2017 ทั้งนี้ USTR จะต้องนำเสนอรายชื่อสินค้าที่จะถูกเก็บภาษีภายใน 15 วันหลังจากนี้

คำสั่งดังกล่าวเป็นผลมาจากการตรวจสอบการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาของจีน ตามมาตรา 301 ของกฎหมายการค้าสหรัฐฯ (Trade Act of 1947) ที่ได้เริ่มตรวจสอบมาตั้งแต่ 18 สิงหาคม 2017 ทั้งนี้ จากการตรวจสอบดังกล่าว USTR ระบุว่าทางการจีนได้มีพฤติกรรมและมีนโยบายที่ก่อให้เกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีของสหรัฐฯ ให้กับจีนและก่อให้เกิดการละเมิดทรัพย์สินทางปัญญาอย่างไม่เป็นธรรม ซึ่งส่งผลเสียต่อการค้าของสหรัฐฯ โดยพฤติกรรมดังกล่าวได้แก่ 1) การบังคับใช้ข้อจำกัดในการลงทุนซึ่งกดดันให้บริษัทสหรัฐฯ ต้องถ่ายโอนเทคโนโลยีเพื่อแลกกับการเข้าไปลงทุนในจีน 2) การเลือกปฏิบัติในการออกใบอนุญาตอย่างไม่เป็นธรรมเพื่อกดดันให้เกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยี 3) ทางการจีนสนับสนุนการเข้าซื้อกิจการในสหรัฐฯ ซึ่งนำไปสู่การครอบครองเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญา และ 4) ทางการจีนสนับสนุนการบุกรุกทางไซเบอร์ (cyber intrusion) เพื่อเข้าถึงเครือข่ายคอมพิวเตอร์ของสหรัฐฯ ซึ่งมีข้อมูลความลับทางธุรกิจมูลค่ามหาศาล

อีไอซีมองว่าสินค้าเทคโนโลยีเป็นหนึ่งในสินค้าที่มีความเสี่ยงถูกเก็บภาษีมากที่สุด จากรายงานเบื้องต้นของ USTR ระบุว่าสินค้าที่อาจถูกเสนอให้เก็บภาษี ได้แก่ อากาศยาน สินค้าไอทีและการสื่อสาร (information and communication technology) และเครื่องจักร อย่างไรก็ตาม มีความเป็นไปได้ว่ารายการสินค้าที่จะถูกเปิดเผยในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้อาจมีมากกว่าที่ระบุในรายงานดังกล่าว โดยอีไอซีมองว่าสินค้าเทคโนโลยี อาทิ คอมพิวเตอร์ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า เป็นหมวดที่มีความเสี่ยงจะอยู่ในรายชื่อสินค้าที่ถูกเก็บภาษีมากที่สุด เนื่องจากเป็นสินค้าที่สหรัฐฯ มีการขาดดุลการค้ากับจีนมากที่สุดมูลค่าสูงราว 1.4 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2017 และยังเป็นสินค้าที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนตามนโยบาย Made in China 2025 นอกจากนี้ สินค้าที่มีการขาดดุลสูงรองจากหมวดดังกล่าว ได้แก่ เครื่องจักร เฟอร์นิเจอร์ ของเล่น เป็นต้น ทั้งนี้ หากมูลค่าสินค้าที่ถูกเก็บภาษีมีมูลค่าไม่เกิน 6 หมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามที่ทรัมป์ประกาศก็มีแนวโน้มว่าจะมีสินค้าไม่กี่ประเภทเท่านั้นที่จะถูกเก็บภาษี

นอกเหนือจากการเก็บภาษีนำเข้า สหรัฐฯ ยังมีแนวโน้มออกมาตรการจำกัดการลงทุนของจีน โดยทรัมป์ยังได้มอบหมายกระทรวงการคลังของสหรัฐฯ (Treasury Department) พิจารณาออกมาตรการควบคุมการลงทุนจากจีนภายใน 60 วัน โดยมีเป้าหมายเพื่อยับยั้งการลงทุนและการเข้าซื้อบริษัทสหรัฐฯ จากจีนที่ทำให้เกิดการถ่ายโอนเทคโนโลยีหรือการได้ครอบครองเทคโนโลยีและทรัพย์สินทางปัญญาของสหรัฐฯ โดยอุตสาหกรรมที่มีความเสี่ยงถูกจำกัดการลงทุนโดยสหรัฐฯ คืออุตสาหกรรมที่ได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลจีนตามนโยบาย Made in China 2025 ที่ต้องการทดแทนสินค้านำเข้าจากต่างประเทศด้วยการผลิตเองในจีนซึ่งอาจต้องนำเทคโนโลยีมาจากต่างประเทศ อาทิ สินค้าเทคโนโลยีขั้นสูง สินค้าพลังงานทดแทน สินค้าด้านสุขภาพสมัยใหม่ และชิ้นส่วนอากาศยาน เป็นต้น

เบื้องต้น ทางการจีนออกมาตอบโต้ เล็งเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากสหรัฐฯ กว่า 128 รายการ มีมูลค่ารวมกว่า 3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ โดยสินค้าสหรัฐฯ ที่มีแนวโน้มถูกเก็บภาษีได้แก่ ท่อเหล็ก ผลไม้ และไวน์ที่อัตรา 15% และเนื้อหมูและอลูมิเนียมรีไซเคิลที่อัตรา 25%

อีไอซีมองทางการจีนสามารถเลือกใช้มาตรการเพื่อตอบโต้นโยบายกีดกันทางการค้าจากสหรัฐฯ ได้หลากหลาย โดยสามารถสรุปออกมาได้ 3 ทางเลือกตามระดับความตึงเครียดและความรุนแรงของผลของทางเลือก ซึ่งจะนำไปสู่สงครามการค้าได้ทั้งสิ้น ดังนี้

1) การขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ และการให้สิทธิพิเศษทางการค้าการลงทุนกับประเทศคู่ค้าอื่นๆ โดยยกเว้นไม่ให้สหรัฐฯ ได้รับประโยชน์ สำหรับแผนการขึ้นภาษีนำเข้า ณ ตอนนี้ จีนยังคงเลือกใช้การขึ้นภาษีเฉพาะรายหมวดและผลิตภัณฑ์ (product-specific) เช่น สินค้าหมวดเกษตรของสหรัฐฯ มากกว่าการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าทุกประเภทจากสหรัฐฯ (across the board) และยังคงจำกัดอยู่เฉพาะการตอบโต้ด้วยมาตรการทางภาษี (tariff measure) อยู่ ในอีกด้านจีนสามารถเลือกให้สิทธิประโยชน์ทางการค้ากับประเทศอื่นๆ ที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของสหรัฐฯ เช่น สหภาพยุโรป เป็นต้น เพื่อสร้างพันธมิตรและความสัมพันธ์เพื่อต่อรองกับสหรัฐฯ รวมถึงการจำกัดสิทธิผลประโยชน์ที่จะให้กับสหรัฐฯ ได้ อาทิ การลดภาษีสินค้านำเข้าเพิ่มเติมและเพิ่มปริมาณนำเข้าจากประเทศพันธมิตรแทนการนำเข้าจากสหรัฐฯ ซึ่งรวมไปถึงการเปิดเสรีภาคบริการในหลายด้าน เช่น ภาคการเงิน การศึกษา สุขภาพ ที่อาจปิดกั้นไม่ให้บริษัทสหรัฐฯ เข้าถึงตลาดผู้บริโภคชาวจีนได้ เป็นต้น

2) การจำกัดขอบเขตรวมถึงสร้างความยากลำบากต่อธุรกิจสหรัฐฯ ที่ดำเนินธุรกิจในจีน รวมถึงลดจำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนที่จะเดินทางเข้าสหรัฐฯ ตัวอย่างธุรกิจ เช่น บริษัท General Motors ที่มีกิจการร่วมค้า (joint venture) และทำตลาดอยู่ในจีนที่แม้จะมียอดขายรถทั่วโลกในไตรมาส 4 ปี 2017 ลดลง แต่กลับมียอดขายเฉพาะในจีนที่เพิ่มขึ้น บริษัทและธุรกิจสหรัฐฯ ในหลายๆ อุตสาหกรรมที่ดำเนินธุรกิจอยู่ในจีนอาจตกอยู่ในภาวะลำบาก หากสถานการณ์สงครามการค้าตึงเครียดขึ้นถึงขั้นจีนเริ่มใช้มาตรการกำจัดสิทธิ์ รวมไปถึงการรณรงค์ต่อต้านการเดินทางเข้าสหรัฐฯ จากทางการจีน นักท่องเที่ยวจีนซึ่งมียอดค่าใช้จ่ายเบ็ดเสร็จในการท่องเที่ยวรวมมูลค่าหลายหมื่นล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี จะสร้างผลกระทบต่อธุรกิจในสหรัฐฯ ได้โดยเฉพาะในภาคการท่องเที่ยวหากทางการจีนเริ่มรณรงค์ต่อต้านสหรัฐฯ ดังที่เคยเกิดเหตุการณ์คล้ายกันกับญี่ปุ่นและเกาหลีใต้มาแล้วในอดีต เหล่านี้นับว่าเป็นหนึ่งในมาตรการตอบโต้ที่ไม่ใช่ภาษี (non-tariff measure) ที่ทางการจีนเลือกใช้ได้

3) การลดการถือพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ทางการจีนสามารถตอบโต้มาตรการทางการค้าจากสหรัฐฯ ทางอ้อมได้โดยสร้างแรงกระเพื่อมผ่านตลาดการเงินได้โดยการเทขายสินทรัพย์ที่อยู่ในรูปของดอลลาร์สหรัฐฯ โดยเฉพาะพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไปและหันไปซื้อพันธบัตรรัฐบาลของประเทศพันธมิตรอื่นแทน เพื่อสร้างแรงกดดันต่ออัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลของสหรัฐฯ ให้เร่งตัวสูงเร็วขึ้น สร้างแรงกดดันต่อรัฐบาลสหรัฐฯ ในการกู้ยืมในอนาคตจากภาระดอกเบี้ยระยะยาวที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจากข้อมูลของกระทรวงการคลังสหรัฐฯ หน่วยงาน Treasury International Capital (TIC) รายงานว่า จีนได้ถือตราสารหนี้ที่รัฐบาลสหรัฐฯ ออกเพื่อใช้ระดมทุน (US treasuries) รวมมูลค่ากว่า 1.18 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ณ เดือนธ.ค. 2017 ซึ่งการเทขายสินทรัพย์ของสหรัฐฯ โดยทางการจีนหากกระทำโดยฉับพลันและขายพันธบัตรออกมาจำนวนมากอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดพันธบัตรของสหรัฐฯ ได้สูง

ตลาดการเงินตอบสนองรุนแรง ท่ามกลางความกังวลว่าจะเกิดสงครามการค้า (Trade War) ภายหลังการลงนามของทรัมป์และการออกมาประกาศเตรียมพร้อมตอบโต้ของจีน ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดตลาดลดลงจากวันก่อนหน้า โดยดัชนี S&P 500 ลดลง 2.5% ดัชนี Nasdaq ลดลง 2.4% และดัชนี Dow Jones ลดลง 2.9% นอกจากนี้ ดัชนี VIX index ซึ่งสะท้อนความผันผวนของตลาดการเงินก็ปรับสูงขึ้นกว่า 5.5 จุดไปอยู่ที่ระดับ 23.5 นอกจากนี้ ดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อ่อนค่าลงเล็กน้อยในช่วงเช้าวันนี้ สวนทางกับค่าเงินเยนซึ่งถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (safe haven) ที่แข็งค่าขึ้นถึงระดับต่ำสุดในรอบกว่า 17 เดือน

อีไอซีมองการขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯ ในรอบนี้มีเหตุผลเชิงนัยทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง ในด้านเศรษฐกิจ ทรัมป์ต้องการที่จะลดการขาดดุลการค้ากับจีนให้ได้มากที่สุดเพราะจีนมีการเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ สูงที่สุดซึ่งเป็นมูลค่าราว 3.7 แสนดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2017 จึงใช้เหตุผลการค้าที่ไม่เป็นธรรมและการขาดดุลสูงเป็นข้อต่อรองกับจีน ในขณะที่เหตุผลด้านการเมืองมีเหตุปัจจัยทั้งภายในและนอกสหรัฐฯ โดยเหตุปัจจัยภายในสหรัฐฯ ทรัมป์ได้วางแผนขึ้นภาษีนำเข้าต่อจีนเพื่อรักษาสัญญาที่เคยให้ไว้ตอนช่วงหาเสียงในปี 2016 รวมถึงต้องการรักษาฐานเสียงของตนก่อนการเลือกตั้งกลางปี (mid-term election) ช่วงเดือน พ.ย. 2018 ปีนี้ นอกจากนี้ ยังมองเป็นเกมการเมืองระหว่างชาติมหาอำนาจได้ เนื่องจากการขึ้นภาษีนำเข้ารอบนี้เจาะจงเฉพาะสินค้าจีนโดยตรง และทรัมป์ยังกล่าวว่านี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นและยังมีแนวโน้มที่จะออกมาตรการเพิ่มเติมได้อีกในอนาคต ทั้งที่นโยบาย safeguard tariff ของสหรัฐฯ ก่อนหน้า อาทิ การเก็บภาษีนำเข้าเหล็กและอลูมิเนียม ท้ายสุดแล้วสหรัฐฯ ก็ได้มีการพิจารณาผ่อนผันลงโดยยกเว้นภาษีให้สหภาพยุโรป ออสเตรเลีย บราซิล อาร์เจนตินา และเกาหลีใต้ได้ชั่วคราว เหล่านี้มองได้ว่าทรัมป์พยายามสร้างสมดุลให้กับการเมืองภายในเพื่อรักษาฐานคะแนนของตน พร้อมกับพยายามรักษาพันธมิตรทางการค้าระหว่างประเทศเดิม เช่น สหภาพยุโรป แคนาดา เม็กซิโก เป็นต้น เพื่อสร้างอำนาจต่อรองกดดันจีนในสงครามการค้าและจิตวิทยาได้อย่างสมดุล

สินค้าไทยที่อยู่ในห่วงโซ่อุปทานของสหรัฐฯ และจีน อาจได้รับผลกระทบหากมีการเก็บภาษีสินค้าจากจีน โดยเฉพาะสินค้าที่ไทยส่งออกไปจีนเพื่อใช้เป็นส่วนประกอบในการผลิตและจีนได้ส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ เป็นสินค้าขั้นสุดท้าย ซึ่งอีไอซีพบว่าสินค้าที่มีสัดส่วนสำคัญของการส่งออกไทย อยู่ในห่วงโซ่อุปทานดังกล่าว และมีความเสี่ยงจะถูกเก็บภาษี ได้แก่ 1) สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อาทิ แผงวงจรไฟฟ้า, กล้องถ่ายรูป, LCD, อุปกรณ์คอมพิวเตอร์, และ CPU (มีสัดส่วนรวม 23% ของการส่งออกจากไทยไปจีนทั้งหมด) ซึ่งจีนใช้สินค้าดังกล่าวในผลิตโทรศัพท์มือถือ ชิ้นส่วนคอมพิวเตอร์ และ CPU เพื่อส่งออกต่อไปยังสหรัฐฯ และ 2) พลาสติกขั้นพื้นฐาน (สัดส่วน 10% ของการส่งออกจากไทยไปจีนทั้งหมด) ซึ่งเป็นสินค้าที่ทางจีนใช้ผลิตของเล่นและผลิตภัณฑ์พลาสติกไปยังสหรัฐฯ (รูปที่ 1) ทั้งนี้ จีนอาจนำเข้าสินค้าดังกล่าวจากไทยน้อยลงเนื่องจากจีนส่งออกไปยังสหรัฐฯ ได้น้อยลง

อย่างไรก็ตาม ไทยอาจได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแผนการลงทุนของจีน และหากสหรัฐฯ นำเข้าจากไทยมากขึ้น ถึงแม้จะยังไม่มีรายละเอียดสินค้าที่จะถูกเก็บภาษี ทางทำเนียบขาวระบุว่าจะพยายามจำกัดผลกระทบที่จะเกิดขึ้นต่อผู้บริโภคสหรัฐฯ โดยตรงให้น้อยที่สุด ซึ่งมีแนวโน้มว่าทางสหรัฐฯ จะเลือกเก็บภาษีในสินค้าที่สามารถนำเข้าจากประเทศอื่นทดแทนได้ ทำให้สินค้าจากไทยบางชนิดอาจส่งออกไปสหรัฐฯ ได้เพิ่มมากขึ้น อาทิ สินค้าอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์ไฟฟ้าที่ไทยมีการส่งไปสหรัฐฯ อยู่มีมูลค่ารวมกว่า 48% ของการส่งออกจากไทยไปสหรัฐฯ ทั้งหมด นอกจากนี้ การเล็งเก็บภาษีจากจีนเพียงประเทศเดียวก็อาจทำให้บริษัทจีนพิจารณาปรับเปลี่ยนแผนการลงทุนโดยอาจขยายกำลังการผลิตไปในประเทศอื่นแทนได้ ซึ่งไทยก็เป็นหนึ่งในทางเลือกที่จีนอาจเข้ามาลงทุนเพิ่มเพื่อผลิตสินค้าที่จะส่งออกไปสหรัฐฯ และท้ายที่สุดแล้วก็จะทำให้ไทยมีการส่งออกไปสหรัฐฯ ได้มากขึ้นด้วยเช่นกัน

จับตาต่อเนื่องถึงรายละเอียดการเก็บภาษีที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงรวมถึงผ่อนผันได้ในอนาคต จากการที่ทาง USTR จะประกาศรายชื่อสินค้าที่จะถูกเก็บภาษีในไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้านี้ ก็ยังมีความเป็นไปว่ารายชื่อดังกล่าวอาจถูกเปลี่ยนแปลงได้หลังจากนั้น เนื่องจากทางสหรัฐฯ ยังให้เวลารับฟังความเห็นจากประชาชนอีก 30 วันหลังจากรายชื่อสินค้าถูกเปิดเผย เพื่อที่จะทำการทบทวนและออกมาตรการเก็บภาษีอย่างเป็นทางการต่อไป ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าภาคเอกชนในสหรัฐฯ จะเรียกร้องให้มีการเปลี่ยนแปลงในสินค้าที่จะกระทบต่อธุรกิจรุนแรง นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ที่จะมีการเจรจากับทางการจีนเพื่อลดความรุนแรงของมาตรการลง

http://www.bangkokbiznews.com

PTRSU Lecturer สติกเกอร์ไลน์ระดมทุนช่วยการศึกษา

PTRSU Lecturer สติกเกอร์ไลน์จากคณะกายภาพฯ ม.รังสิต ระดมทุนขับเคลื่อนการศึกษาเพื่อคนชายขอบ มุ่งพัฒนาอาสาสมัครในการดูแลผู้ป่วยในแคมป์ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน

อาจารย์อัญมณี ยิ่งยงยุทธ อาจารย์ประจำคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยรังสิต เปิดเผยว่า เหตุผลของการทำสติกเกอร์ไลน์ PTRSU Lecturer มาจากแนวคิดของกลุ่มอาจารย์ที่ต้องการระดมทุนเพื่อใช้สำหรับการขับเคลื่อนเรื่องการศึกษาเพื่อคนชายขอบ โดยจะใช้เป็นทุนในการเดินทางและทำเอกสารเพื่อพัฒนาอาสาสมัครในการดูแลผู้ป่วยในแคมป์ผู้ลี้ภัยจากการสู้รบในจังหวัดตากและแม่ฮ่องสอน

โดยปกติทางคณะฯ จะเข้าไปให้ความรู้ทางด้านกายภาพบำบัด เพื่อให้ครอบคลุมพื้นที่ในแต่ละแคมป์ที่ต้องการจำนวนคนค่อนข้างมาก จึงขอความร่วมมือจากเราไปช่วยสอนในเรื่องของการทำกายภาพบำบัดพื้นฐาน ซึ่งเป็นความรู้เบื้องต้นเพื่อให้เขาสามารถดูแลคนในแคมป์ของเขาเองได้

“ที่น่าสนใจคือ รูปการ์ตูนที่วาดขึ้นนั้นมาจากการฝึกฝนการวาดรูปเพื่อสื่อความหมายในการเปลี่ยนเนื้อหาจาก Text เป็นรูปของอาจารย์ในคณะกายภาพบำบัด โดยอาจารย์ใช้ทักษะดังกล่าวในกระบวนการถอดบทเรียนเนื้อหาเพื่อให้มาเป็นภาพ ช่วยในเรื่องความจำและความเข้าใจของนักศึกษา สำหรับสติ๊กเกอร์ไลน์ดังกล่าว ได้รับความสนใจจากคณาจารย์ ศิษย์เก่า นักศึกษา และบุคคลทั่วไปให้ความสนใจดาวน์โหลดอย่างต่อเนื่อง หลังจากนี้จะมีการพัฒนาต่อในเวอร์ชั่นต่อไป ซึ่งจะปรับให้ดูวัยรุ่นมากขึ้นค่ะ” อาจารย์อัญมณี กล่าว

ด้านอาจารย์ปฐมพงษ์ จันธิมา กล่าวว่า การจัดทำสติกเกอร์ไลน์ครั้งนี้สอดคล้องกับโอกาสครบรอบ 30 ปี ของคณะกายภาพบำบัด มหาวิทยาลัยรังสิต สำหรับคาแรกเตอร์นั้นมาจากอาจารย์ในคณะว่าแต่ละคนมีความเด่นอะไร ชอบพูดคำไหนบ่อยๆ ทั้งในการเรียนการสอน หรือร่วมงานกัน หลังจากนั้นจึงนำมาออกแบบ ซึ่งการจัดทำสติกเกอร์ไลน์นั้นจะแบ่งเป็น 2 ส่วน โดยผมเป็นผู้ออกแบบ ส่วนผู้วาดคืออาจารย์อัญมณี ทั้งนี้ สำหรับผู้ที่สนใจสนับสนุนพันธะกิจกายภาพบำบัดข้ามแดนของอาจารย์และนักศึกษากายภาพบำบัด และช่วยเหลือผู้ป่วยในแคมป์ผู้ลี้ภัยฯ สามารถดาวน์โหลดสติกเกอร์ไลน์ PTRSU Lecturer ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป หรือสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ คณะกายภาพบำบัด โทร. 0-2791-6000 ต่อ 1453

http://www.bangkokbiznews.com


ราคาทองทุกชนิด ตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ(Gold Traders Association) ประจำวันที่ 26/03/2561

ชนิดความบริสุทธิ์ของทอง

ราคารับซื้อต่อกรัม

ราคารับซื้อ/บาท

ราคาขายออก/บาท

ทองคำแท่ง 96.5% n/a 19,800.00 19,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5% 1,283.00 19,450.28 20,400.00
ทองรูปพรรณ 90% 1,154.70 17,505.25 n/a
ทองรูปพรรณ 50% 577.00 8,747.32 n/a
ทองรูปพรรณ 40% 449.00 6,806.84 n/a
ทองรูปพรรณ 99.99% 1,330.00 20,162.80 n/a
ราคาน้ำมัน  ประจำวันที่  26/03/2561

ราคาขายปลีมาตรฐาน ในเขต กทม. นนทบุรี
ปทุมธานี และสมุทรปราการ
หน่วย : บาท/ลิตร
ปตท. บางจาก เชลล์ เอสโซ่ ไออาร์พีซี / ทีพีไอ ภาคใต้เชื้อเพลิง ซัสโก้ ระยองเพียว ซัสโก้
ปตท
PTT
บางจาก
BCP
เชลล์
Shell
เอสโซ่
Esso
คาลเท็กซ์
C
altex
ไออาร์พีซี
IRPC
พีทีจี
เอนเนอยี่
PTG
ซัสโก้
Susco
ระยองเพียว
Pure
ซัสโก้ ดีลเลอร์
SUSCO Dealers
แก๊สโซฮอล 95 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05 28.05
แก๊สโซฮอล E-20 25.54 25.54 25.54 25.54 25.54 25.54 25.54 25.54 25.54
แก๊สโซฮอล E-85 20.34 20.34 20.34 20.34
แก๊สโซฮอล 91 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78 27.78
เบนซิน 95 35.16 35.61 35.66 35.16 35.16 35.16
ดีเซลหมุนเร็ว 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29 27.29
ดีเซลหมุนเร็ว พรีเมียม 30.29 30.29 30.29 30.29 30.29
มีผลตั้งแต่ 24 Mar 05:00 24 Mar 05:00 24 Mar 05:00 24 Mar 05:00 24 Mar 05:00 24 Mar 05:00 24 Mar 05:00 24 Mar 05:00 24 Mar 05:00 24 Mar 05:00

Comments : Off
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า