อสังหาฯ ภาคกลาง-ตะวันตกสวนทาง! ประจวบฯ-เพชรบุรีคึกคัก อยุธยา-สระบุรีซบเซา
REIC เปิดเผยสถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยภาคกลางและภาคตะวันตกในช่วงครึ่งแรกของปี 2567 พบความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ภาคตะวันตกมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นจากการท่องเที่ยว ขณะที่ภาคกลางยังซบเซาจากเศรษฐกิจท้องถิ่นชะลอตัว
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยว่า จากการสำรวจตลาดที่อยู่อาศัยภาคตะวันตก 2 จังหวัด ได้แก่ ประจวบคีรีขันธ์ และเพชรบุรี พบจำนวนที่อยู่อาศัยเสนอขายจำนวนประมาณ 5,620 หน่วย ลดลง 2.2% คิดเป็นมูลค่า 33,132 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 15% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
แบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 2,908 หน่วย มูลค่า 17,553 ล้านบาท และเป็นโครงการบ้านจัดสรร 2,712 หน่วย มูลค่า 15,579 ล้านบาท
มีจำนวนที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาด 933 หน่วย มูลค่า 8,345 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 188.9% และ 362% ตามลำดับ
และมีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน 1,411 หน่วย มูลค่า 9,308 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 143.7% โดยมีอัตราดูดซับของตลาดโดยรวมอยู่ที่ 4.2% ส่งผลให้มีหน่วยเหลือขาย 4,209 หน่วย ลดลง 18.5% เป็นมูลค่า 23,825 ล้านบาท ลดลง 7.8% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ภาพรวมจังหวัดเพชรบุรี
พื้นที่สำรวจจังหวัดเพชรบุรี มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 2,455 หน่วย ลดลง 19.8% เป็นมูลค่า 10,598 ล้านบาท ซึ่งลดลง 16.1% แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,012 หน่วย มูลค่า 4,793 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 1,443 หน่วย มูลค่า 5,805 ล้านบาท
และมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 69 หน่วย ลดลง 56.6% คิดเป็นมูลค่า 237 ล้านบาท ลดลง 45.8% ส่วนจำนวนที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่มีจำนวน 423 หน่วย เพิ่มขึ้น 65.9% รวมมูลค่า 1,938 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 81.7% จากปีก่อน
สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายในพื้นที่จำนวน 2,032 หน่วย ลดลง 27.6% คิดเป็นมูลค่า 8,659 ล้านบาท ลดลง 25.1% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
REIC ยังได้คาดการณ์ปี 2567 ว่า จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 368 หน่วย มูลค่า 2,023 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 713 หน่วย มูลค่า 3,312 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 2,188 หน่วย มูลค่า 9,614 ล้านบาท
ภาพรวมจังหวัดประจวบคีรีขันธ์
ด้านพื้นที่สำรวจจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ มีที่อยู่อาศัยเสนอขายรวมทั้งสิ้น 3,165 หน่วย เพิ่มขึ้น 18.1% เป็นมูลค่า 22,534 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 39.3% แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 1,700 หน่วย มูลค่า 10,787 ล้านบาท โครงการอาคารชุด 1,465 หน่วย มูลค่า 11,748 ล้านบาท
และมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 864 หน่วย เพิ่มขึ้น 426.8% คิดเป็นมูลค่า 8,108 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 492.1% ส่วนจำนวนหน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 988 หน่วย เพิ่มขึ้น 204.9% รวมมูลค่า 7,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 285.9%
สำหรับจำนวนที่อยู่อาศัยเหลือขายมี 2,177 หน่วย ลดลง 7.6% คิดเป็นมูลค่า 15,165 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้น 6.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566
REIC คาดการณ์ ปี 2567 จะมีที่อยู่อาศัยเข้ามาในตลาดจำนวน 1,326 หน่วย มูลค่า 11,407 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 1,514 หน่วย มูลค่า 9,349 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 2,326 หน่วย มูลค่า 14,469 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ยกขบวนร่วมงาน SX2024 โชว์ไฮไลท์อสังหาฯ
กลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ยกขบวนร่วมงาน SX2024 โชว์ไฮไลท์อสังหาฯ ด้วยแนวคิด “สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน”
กลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ยกขบวนร่วมงาน SX2024 โชว์ไฮไลท์อสังหาฯ ด้วยแนวคิด “สร้างคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่ออนาคตที่ยั่งยืน” เปิดประสบการณ์ด้านความยั่งยืนในงานยิ่งใหญ่แห่งปี “Sustainability Expo 2024 (SX2024)” มหกรรมด้านความยั่งยืนที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน มาพร้อมองค์ความรู้ เทรนด์ และโซลูชันด้านอสังหาริมทรัพย์ที่ช่วยยกระดับการใช้ชีวิตให้ดียิ่งขึ้น ในโซน Better Community บริเวณ Hall 4 ชั้น G วันที่ 27 ก.ย. – 6 ต.ค. 2567 เวลา 10.00 – 20.00 น. ณ ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์
ปีนี้กลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้จัดเต็มครบทุกเรื่องราวการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ที่ยั่งยืนในหลากหลายมิติ ครอบคลุมทุกกลุ่มธุรกิจ ทั้งอุตสาหกรรมและโลจิสติกส์ พื้นที่เชิงพาณิชยกรรมและบิสซิเนสพาร์ค ศูนย์การค้า โรงแรม และที่อยู่อาศัย แสดงถึงความมุ่งมั่นในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ดีให้กับโลกใบนี้กับเป้าหมายปล่อยก๊าซคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์ (Net Zero Carbon) ภายในค.ศ.2050 ซึ่งมาพร้อม 3 ไฮไลท์สำคัญ
1. เปิดเป้าหมายหลักด้านความยั่งยืนของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ด้วยแผนการดำเนินงานที่เป็นไปตามแนวทาง ESG (Environmental, Social, Governance) ทั้งการติดตั้งการผลิตพลังงานหมุนเวียน การใช้แพลตฟอร์มประเมินความเสี่ยงและจัดการความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ เป้าหมายการพัฒนาโครงการใหม่และยกระดับทรัพย์สินเดิมให้ได้รับการรับรองมารตรฐานอาคารเขียว ซัพพลายเออร์ที่ต้องเข้าร่วมนโยบายการจัดซื้อจัดจ้างอย่างมีความรับผิดชอบ เป็นต้น ซึ่งกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ได้พัฒนาโซลูชันอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ๆ พร้อมขับเคลื่อนการดำเนินงานด้านความยั่งยืนอย่างมุ่งมั่นและเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้
2. เจาะลึกโปรเจ็คสุดโดดเด่นของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ จากการดำเนินธุรกิจในกว่า 20 ประเทศทั่วโลก กลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ได้สร้างสรรค์หลากหลายโครงการด้วยเป้าหมายที่ต้องการส่งมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับผู้มีส่วนได้เสียทุกกลุ่ม เป็นไปตามเจตนารมณ์ขององค์กรที่ว่า “สร้างสรรค์พื้นที่ ให้ประสบการณ์ที่ดีคงอยู่ (Inspiring experiences, creating places for good.)” โดยงานนี้จะได้พบกับ 8 สุดยอดโปรเจ็คทั้งในไทยและต่างประเทศที่มีความโดดเด่นทั้งด้านฟังก์ชัน ดีไซน์ และความยั่งยืนที่ยกระดับการใช้ชีวิตของผู้อยู่อาศัย ผู้ใช้อาคาร และสังคมโดยรอบ
3. ค้นพบประสบการณ์การใช้ชีวิตรูปแบบใหม่กับ วัน แบงค็อก “The Heart of Bangkok” หรือ “เมืองกลางใจ” ที่ใช้ใจสร้าง ด้วยหนึ่งในวิสัยทัศน์ที่สำคัญของการพัฒนาโครงการฯ คือการใส่ใจและคำนึงถึงผู้คนเป็นหลัก (People Centric) พร้อมมุ่งมั่นรังสรรค์คุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้คนอย่างยั่งยืน ซึ่ง วัน แบงค็อก ถือเป็นโครงการอสังหาริมทรัพย์ต้นแบบกรีนสมาร์ทซิตี้ที่ครบครันใจกลางกรุงเทพฯ ยอดเยี่ยมด้วยระบบการบริหารจัดการประสิทธิภาพสูง เพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคตได้อย่างยืดหยุ่น การันตีความโดดเด่นด้านความยั่งยืนและเทคโนโลยีอัจฉริยะกับอาคารที่ได้รับรองมาตรฐานระดับแพลตตินัมทั้ง LEED for Neighborhood Development, มาตรฐาน WiredScore และ SmartScore ทั้งยังมุ่งสู่การรับรองโดยมาตรฐานรับรองอาคาร WELL เพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัยและผู้ใช้บริการอีกด้วย
โดยมีไฮไลท์ของนิทรรศการเป็นการนำเสนอแนวคิด Quality of Life in One Bangkok มุ่งมั่นยกระดับคุณภาพชีวิตแบบองค์รวมด้วยองค์ประกอบต่าง ๆ ภายในโครงการที่ครอบคลุมในทุกมิติ นำเสนอผ่านเทคนิค 360 degree Projection Mapping Theatre
นอกจากนี้ ยังมีเสวนาพิเศษจากผู้บริหารกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ พร้อมด้วยผู้เชี่ยวชาญและบุคคลจากวงการต่าง ๆ ที่รักษ์โลกและขับเคลื่อนงานด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม ได้แก่
“Pathways to a Sustainable Urban Future เส้นทางสู่อนาคตเมืองที่ยั่งยืน” โดยมีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร, นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ ปลัดกระทรวงสาธารณสุข, คุณปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด และ คุณเข็มอัปสร สิริสุขะ นักสิ่งแวดล้อมและนักธุรกิจเพื่อสังคม ดำเนินการเสวนาโดย อาลิซาเบธ แซดเลอร์ ลีนานุไชย ในวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2567 เวลา 13.00 – 14.00 น. ที่ SX Grand Plenary Hall
“Time to CHANGE: Shaping Bangkok’s Future เปลี่ยนวันนี้ เพื่ออนาคตกรุงเทพฯ ที่ยั่งยืน” มีผู้ร่วมเสวนาประกอบด้วย คุณวรวรรต ศรีสอ้าน รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โครงการ วัน แบงค็อก, รศ.ดร.นิรมล เสรีสกุล ผู้อำนวยการศูนย์ออกแบบและพัฒนาเมืองศูนย์เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านยุทธศาสตร์เมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ดำเนินการเสวนาโดย ดร. พร้อม อุดมเดช ผู้อํานวยการสํานักงานบริหารหลักสูตรสถาปัตยกรรมสหวิทยาการนานาชาติ คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง (KMITL) ในวันอังคารที่ 1 ตุลาคม 2567 เวลา 15.00 – 16.00 น.ที่ SX Talk Stage
“Adapting the residential business to meet the needs of consumers with sustainable way” ผู้บริหารของเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ประเทศไทย, ธุรกิจเอสซีจี สมาร์ทลีฟวิง และอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ร่วมฉายภาพถึงบทบาทของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์เทรนด์และความต้องการด้านความยั่งยืนของผู้บริโภคด้วยโซลูชันใหม่ ๆ และความร่วมมือในโปรเจ็คต่าง ๆ ที่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ในวันพฤหัสบดีที่ 3 ตุลาคม 2567 เวลา 14.00-15.00 น. ณ SX Talk Stage
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 1ต.ค. “อ่อนค่าลง” ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่านัก ยกเว้นจะเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม หลังจากตลาดปรับลดความคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดเหลือ 38%อาจจำกัดการปรับตัวขี้นต่อของสกุลเงินดอลลาร์ และบอนด์ยีลด์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 1ต.ค. 2567 ที่ระดับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 32.18 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่าโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทจะเริ่มมีกำลังมากขึ้น ทว่า เราจะมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทจะสามารถพลิกกลับมาอ่อนค่าลงได้อย่างชัดเจน
หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญ เช่น โซน 32.80 บาทต่อดอลลาร์ หรือ แม้กระทั่งโซนแนวต้านสำคัญ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน ซึ่งเรามองว่า ภาพดังกล่าวก็อาจเกิดขึ้นได้
หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ไม่ได้ออกมาแย่กว่าคาดไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกลับมาเชื่อว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot ล่าสุด
อย่างไรก็ดี ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดไปพอสมควรแล้ว (โอกาสเร่งลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายน ลดลงเหลือ 38%) ซึ่งอาจจำกัดการปรับตัวขึ้นต่อของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้
ในกรณีที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาตามคาด หรือ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้เงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก ยกเว้นจะเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ของบรรดานักลงทุนต่างชาติ (ซึ่งก็ทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยจริงตามที่เราประเมินไว้)
หรือเงินบาทเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งราคาทองคำก็ยังเสี่ยงปรับตัวลดลงต่อได้บ้าง หากเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังปรับตัวขึ้นได้ รวมถึงสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางไม่ได้ทวีความรุนแรงหรือลุกลาม บานปลาย
ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ ทั้งในฝั่งยุโรป (อัตราเงินเฟ้อ CPI ยูโรโซน) และฝั่งสหรัฐฯ (ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ และดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต)
โดยเฉพาะ รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) สหรัฐฯ ซึ่งในช่วงหลังตลาดให้ความสำคัญกับรายงานข้อมูลดังกล่าวมากขึ้น จนทำให้เงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้นเกือบ +0.4% หลังรับรู้รายงานข้อมูล Job Openings ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นการแกว่งตัวของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยหลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าวราว +/-0.20%
อนึ่ง เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า ในเชิง Valuation การแข็งค่าของเงินบาทมากกว่าโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์นั้น ถือว่า เป็นระดับที่ Overvalued มากขึ้น (Z-Score ของดัชนีค่าเงินบาท REER เกินระดับ +1.0 หากเงินบาทแข็งค่าหลุด 32.00 บาทต่อดอลลาร์)
ซึ่งหากปัจจัยพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เงินบาทก็ไม่ควรแข็งค่าเกินระดับดังกล่าวไปมากนัก ทำให้ผู้ประกอบการอย่างฝั่งผู้นำเข้าควรเตรียมพร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
นอกจากนี้ เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.25-32.65 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง จนทะลุโซนแนวต้านแรก 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ (กรอบการเคลื่อนไหว 32.17-32.48 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก
โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI ของเยอรมนีในเดือนกันยายน ชะลอลงกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดมั่นใจมากขึ้นว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้อีกราว -50bps เป็นอย่างน้อยในการประชุมที่เหลือของปีนี้
นอกจากนี้ การอ่อนค่าของเงินยูโรก็ยังสอดคล้องกับการย่อตัวลงบ้างของตลาดหุ้นยุโรปที่เผชิญแรงขายทำกำไรเพิ่มเติม หลังปรับตัวขึ้นได้ดีในช่วงที่ผ่านมา และนอกเหนือปัจจัยดังกล่าว เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ที่ย้ำจุดยืนทยอยลดดอกเบี้ยตาม Dot Plot ล่าสุด
ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างลดโอกาสการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้ ลงเหลือ 38% จาก 53% ในช่วงวันก่อนหน้า ซึ่งจังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ยังได้กดดันให้ราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องราว -30 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงเช่นกัน
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Apple +2.3%, Alphabet +1.2% นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบท่ามกลางความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนก็ช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นได้ดี อาทิ Exxon Mobil +1.2% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.42%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.98% กดดันโดยแรงขายทำกำไรบรรดาหุ้นธีม China Recovery ที่ปรับตัวร้อนแรงในช่วงที่ผ่านมา อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ LVMH -2.1% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์ หลัง Stellantis -14.7% และ Volkswagen -2.0% ต่างปรับลดคาดการณ์ผลกำไร
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ sideways ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นบ้างสู่ระดับ 3.78% หลังประธานเฟด Jerome Powell ย้ำจุดยืนทยอยลดดอกเบี้ยตาม Dot Plot ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า ราคาสินทรัพย์ในตลาดยังคงเผชิญความเสี่ยง Two-Way Volatility โดยจะมีการเคลื่อนไหวไปตามการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดยเฉพาะข้อมูลตลาดแรงงาน อนึ่ง เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจับตาว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะสามารถปรับตัวขึ้นทะลุโซน 3.80% ได้อย่างชัดเจนหรือไม่ เพราะการปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง เหนือโซนดังกล่าวอาจเปิดโอกาสให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กลับไปแถว 3.90%-4.00% ได้ไม่ยาก
โดยมีโอกาสที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเลือกทิศทางที่ชัดเจน หลังการรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินยูโร (EUR) ตามแรงขายทำกำไรหุ้นยุโรปและความหวังการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของ ECB ที่เพิ่มสูงขึ้น
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากถ้อยแถลงของประธานเฟดที่ย้ำจุดยืนทยอยลดดอกเบี้ยตาม Dot Plot ทว่า เงินดอลลาร์ก็ยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นไปได้มากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 100.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.2-100.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซน 2,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้าง ตามแรงซื้อในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTs Job Openings) ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) เดือนกันยายน และคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจไตรมาสที่ 3 โดย Atlanta Fed พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด
ส่วนฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน เดือนกันยายน พร้อมจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.42-32.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.12 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.17 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทอ่อนค่ากลับมาสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินเอเชียอื่นๆ และการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก หลังจากที่ประธานเฟดส่งสัญญาณว่า เฟดไม่เร่งรีบในการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยน่าจะอยู่ที่ครั้งละ 0.25% ใน 2 รอบการประชุมที่เหลือของปีนี้ (ตาม dot plot ในรอบการประชุมเดือนก.ย.)
นอกจากนี้ กรอบการแข็งค่าของเงินบาทยังชะลอลง หลังจากธปท.ส่งสัญญาณติดตามสถานการณ์เงินบาท และเข้าดูแลเพื่อลดความผันผวนของเงินบาทในช่วงที่ผ่านมาอย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.30-32.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ขณะที่ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ การตอบรับของตลาดต่อถ้อยแถลงของประธานเฟด ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ดัชนี PMI เดือนก.ย. ของญี่ปุ่น ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ รวมถึงตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงานเดือนส.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
3 จอมเตะไทยมุ่งหวังประเดิมเหรียญวันแรกศึกเทควันโดเยาวชนโลก
3 จอมเตะไทยเตรียมประเดิมสนาม ศึกเทควันโดเยาวชนโลก วันแรก 1 ต.ค.นี้ ไทยส่ง “บัว” ปานบัว โมรมัต,”หนมเส้น” ณัฐณิชา สายเมือง และ “บูม” ณัฐวัฒน์ บุญช้าง ลงลุ้นเหรียญ
ความเคลื่อนไหวของการแข่งขันเทควันโดเยาวชนชิงแชมป์โลก 2024 ซึ่งจะมีขึ้นที่เมืองชุนชอน ประเทศเกาหลีใต้ ระหว่างวันที่ 1-6 ต.ค.นี้ ความคืบหน้าล่าสุดเมื่อ 29 ก.ย.ที่ผ่านมา ซึ่งถือเป็นวันที่สามของทัพนักกีฬาไทยในเมืองชุนชอน ยังคงไม่มีโปรแกรมการแข่งขัน โดยทีมผู้ฝึกสอน ที่นำโดย “โค้ชชิต” วิชิต สิทธิกัณฑ์ ผู้สอนทีมชาติไทย ได้ให้นักกีฬาทั้ง 16 คน ออกมายืดเส้นยืดสายในช่วงเช้าเช่นเดิม ที่สวนสาธารณใกล้ กับโรงแรมที่พัก
หลังจากนั้นในช่วงเวลา 15.00 น. ตามเวลาท้องถิ่น ซึ่งเร็วกว่าไทย 2 ชม. นักกีฬาไทยได้เดินทางไปฝึกซ้อมที่โรงยิมเนเซียม ใกล้กับ ซองกัม สปอร์ตส์ ทาวน์ สังเวียดแข่งขันจริง ซึ่งอยู่ห่างจากโรงแรมไม่ไกลนัก ใช้เวลาเดินทางราว 15 นาที โดยการฝึกซ้อมรอบนี้ยังเน้นไปที่เรื่องของเทคนิคที่จะใช้ในการแข่งขัน
“โค้ชชิต” วิชิต สิทธิกัณฑ์ ผู้ฝึกสอนเทควันโดทีมชาติไทย เผยว่า สำหรับการประชุมหัวหน้าทีมแต่ละชาติที่จัดขึ้นเมื่อ 29 ก.ย.ที่ผ่านมานั้น ได้รับแจ้งเรื่องจำนวนของนักกีฬาและโค้ชที่มาร่วมศึกครั้งนี้มีมากกว่า 1,600 คน จาก 127 ประเทศ ซึ่งถ้านับนักกีฬาเพียวๆน่าจะมีประมาณ 1 พันคนที่เข้าร่วมชิงชัย นับว่าเป็นตัวเลขที่มากที่สุดตั้งแต่เคยมีจัดแข่งขันมา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าการแข่งขันน่าจะเข้มข้นและดุเดือดแน่นอน แต่สำหรับตนยังเชื่อว่าเด็กๆของเราที่ตั้งใจฝึกซ้อมกันมาอย่างหนักจะมีผลงานที่ดีในครั้งนี้
“ส่วนวันแรก วันอังคาร ที่ 1 ต.ค. นี้ นักกีฬาไทยจะลงประเดิมทำการแข่งขันเป็นวันแรก ประกอบด้วย “บูม” ณัฐวัฒน์ บุญช้าง รุ่น 63 กก.ชาย, “บัว” ปานบัว โมรมัต รุ่น 52 กก.หญิง และ “หนมเส้น” ณัฐณิชา สายเมือง รุ่น 59 กก.หญิง ทั้ง 3 คน ฟิตซ้อมมาเป็นอย่างดี อย่างในรายของ ปานบัว ก็ถือเป็นความหวัง เพราะก็เพิ่งได้แชมป์เยาวชนเอเชียครั้งล่าสุดมาด้วย ส่วนความคาดหวังในวันแรก เวลานี้ยังประเมินไม่ได้มากนัก เนื่องจากต้องรอการจับสายประกบคู่ ซึ่งจะมีขึ้นในช่วงสายวันจันทร์ ที่ 30 ก.ย.นี้ โดยสายจะออกหลังจากนักกีฬาชั่งน้ำหนัก ซึ่งก็ต้องดูคู่สายการแข่งขันประกอบและวิเคราะห์สถานการณ์กันอีกครั้ง และสายการแข่งขันแต่ละรุ่นก็จะออกแบบวันต่อวัน หลังนักกีฬาลงชั่งน้ำหนัก
ส่วน “บัว” ปานบัว โมรมัต จอมเตะสาวเจ้าของแชมป์เยาวชนเอเชีย 2023 ที่เลบานอน วัย 16 ปี กล่าวว่า “หนูพยายามเตรียมตัวมาให้ดีที่สุดค่ะ เพราะเป็นศึกเยาวชนโลกครั้งแรกของหนู ก็พร้อม 100 เปอร์เซ็นต์แล้วค่ะที่จะลงสนาม ส่วนเป้าหมายรอบนี้ก็หวังว่าจะเข้าไปเอาเหรียญทองให้ได้ สภาพร่างกายที่ผ่านมาอาจจะมีเจ็บเล็กน้อย แต่ก็โอเคค่ะ พร้อมลงสนาม ส่วนคู่แข่งในศึกชิงแชมป์โลกหนนี้ หนูว่ายากทุกคน ไม่หน้ามีด่านไหนง่าย เพราะแต่ละคนก็อยากจะมาเอาชนะในรายการนี้”
ขณะที่ “บูม” ณัฐวัฒน์ บุญช้าง จอมเตะหนุ่มวัย 15 ปี เผยสั้นๆว่า ถึงตอนนี้ตนเองพร้อมแล้วที่จะลงทำการแข่งขัน ซึ่งตนก็จะพยายามทำหน้าที่อย่างเต็มที่ที่สุด และก็มองไปถึงการคว้าเหรียญทอง ส่วนคู่แข่งที่จะเจอ ตนไม่ได้คิดอะไรเลย รู้แต่ว่าเมื่อลงสนามแล้วลงไปเล่นตามที่โค้ชวางแผนมา และเล่นให้เต็มที่ที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
Sleep Calculator เครื่องมือคำนวณเวลานอน เชื่อถือได้มากแค่ไหน
เราเป็นคนหนึ่งที่มีปัญหากับการนอนมาโดยตลอด จะนอนช้านอนเร็วก็พบลุกจากที่นอนยากมาก จนรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนขี้เซา เพราะไม่ว่าจะเวลาไหนก็ตื่นยากเหมือนนอนไม่พอทุกครั้ง จนกระทั่งเพื่อนส่งลิงค์ที่ชื่อว่า sleep calculator มาให้ เป็นเครื่องมือที่ช่วยคำนวณให้เราว่า อยากตื่นกี่โมง ต้องนอนตอนไหน ปกติแล้วเราก็คิดแค่ว่านอนให้มากกว่า 7 ชั่วโมงเข้าไว้ก็น่าจะเพียงพอ และน่าจะตื่นนอนได้อย่างสดชื่นแจ่มใส (นอนกี่ชั่วโมง ถึงจะ “พอดี” กับ “อายุ”) แต่ในการคำนวณนี้มีเวลาให้เราได้เลือกนอนถึง 3 ช่วงด้วยกัน
ควรนอนกี่ทุ่ม ตื่นกี่โมง
เช่น อยากตื่นนอนตอน 6 โมงเช้า เวลาที่ควรนอนเพื่อให้ตื่นเช้าขึ้นมาได้ง่ายๆ สดชื่นกระปรี้กระเปร่าไม่รู้สึกเพลีย คือเวลา 20.45 น./ 22.15 น. และ 23.45 น.
โดยคำนวณจากช่วงเวลาในการนอนที่มีหลายระดับ หากตื่นในเวลาดังกล่าวจะเป็นเวลาที่ระดับในการนอนครบวงจรของการนอนเรียบร้อยแล้ว เลยทำให้ตื่นแล้วไม่ง่วงเพลียเหมือนเวลาอื่นๆ
ฟังดูจากแนวคิดนี้แล้วก็ดูจะเป็นเรื่องดี และหากนับชั่วโมงในการนอนก็พบว่า เราจะได้นอน 9 ชั่วโมง, 8 ชั่วโมง และ 6 ชั่วโมง (โดยประมาณ) ตามลำดับ แต่นอกจากเวลาเหล่านี้แล้ว ยังมีช่วงเวลา 1.15 น. ด้วย หากนับชั่วโมงที่นอนจะพบว่ามีแค่ 5 ชั่วโมง หรือ 4.45 ชั่วโมง ให้ได้เลือกนอนด้วย ซึ่งผิดไปจากทฤษฎีการนอนให้ครบ 7 ชั่วโมงต่อวันเพื่อสุขภาพที่ดีของสถาบันการนอนหลับหลายๆ แห่งที่เคยได้บอกเอาไว้ ดังนั้นเราควรเลือกที่จะเชื่อใครกันแน่?
วิธีคำนวณเวลาตื่นเพื่อความสดชื่น
อันที่จริงแล้ว นอกจากจำนวนชั่วโมงที่นอนแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่า คือ การนอนหลับให้ครบช่วงระยะเวลาแต่ละช่วง (sleep cycles) ซึ่งแบ่งเป็นช่วงเริ่มหลับ (light sleep stage) หลับลึก (deep sleep stage) และช่วงหลับฝัน (dream sleep stage) โดยแต่ละช่วงจะใช้เวลาราว 90 นาที หรือชั่วโมงครึ่ง ต่อคืนเราควรนอนให้ครบทั้ง 3 ช่วงการนอนนี้ราว 5-6 รอบ (ก่อนเข้าสู่ช่วงเริ่มหลับ บวกเวลานอนเพิ่มไปอีก 15 นาที ซึ่งเป็นช่วงหลับตาหัวถึงหมอนปิดไฟนอน ก่อนจะเข้าช่วงเริ่มหลับจริงๆ) หากตื่นในระหว่างที่ยังไม่ครบ 3 ช่วงเวลาในการนอน กล่าวคือ ตื่นนอนในช่วงที่ยังอยู่ในช่วงหลับลึก หรือยังไม่จบจากช่วงหลับฝัน จะทำให้คุณรู้สึกอ่อนเพลีย ไม่สดชื่น ไม่กระปรี้กระเปร่าไปทั้งวันได้
ทีนี้มาถึงคำถามที่ว่า ถ้าเราไม่สามารถนอนให้ได้ครบ 5-6 รอบจะสามารถตื่นนอนอย่างสดชื่นไม่ง่วงเพลียได้หรือไม่ คำตอบคือ “ได้” ถ้าเราตื่นในช่วงที่นอนครบช่วงระยะของการนอนทั้ง 3 ช่วงแล้ว (ช่วงเริ่มนอน หลับลึก และหลับฝัน) เมื่อแต่ละช่วงใช้เวลา 90 นาที หรือชั่วโมงครึ่ง หากอยากตื่นนอน 6 โมงเช้า เราจึงสามารถเข้านอนได้ดึกที่สุดเวลา 1.15 น. นั่นเอง (นับถอยหลังไป 4.30 ชม. บวก 15 นาทีก่อนเข้าสู่ช่วงเริ่มหลับ)
อย่างไรก็ตาม มีคำแนะนำจากสถาบันโรคนอนหลับผิดปกติจากออสเตรเลีย (Sleep Disorders Australia) ว่า แม้ว่าการนอนหลับให้ครบรอบของช่วงระยะในการหลับ จะทำให้คุณหาเวลาในการตื่นนอนแล้วรู้สึกสดชื่นแจ่มใสเหมือนได้นอนมาอย่างเต็มที่ได้จริง แต่หากสามารถหลับเพิ่มต่อได้อีก 1-2 ชั่วโมง ก็ควรทำ เพราะอย่างไรการได้นอนหลับพักผ่อนให้เต็มที่ก็ยังเป็นหลับสำคัญในการนอนเพื่อพักผ่อนทั้งร่างกาย จิตใจ และสมองอยู่ดี
Dr. Sean Cain จากสถาบันกระบวนการเรียนรู้ และประสาทวิทยาของมหาวิทยาลัยโมนาช กล่าวว่า “มันเป็นเรื่องง่ายที่จะตื่นหลังผ่านช่วงเวลาของการนอนหลับที่ครบทั้ง 3 ช่วงแล้ว เพราะสมองจะเริ่มตื่นตัวในช่วงเวลานั้นพอดี จึงทำให้รู้สึกพร้อมที่จะตื่นแล้ว แต่การได้นอนพักผ่อนเพิ่มอีกนิด ก็ยังส่งผลดีต่อร่างกายมากกว่าตื่นนอนตามเวลาที่คำนวณเอาไว้เป๊ะๆ แม้ว่าการนอนหลับเพิ่มอีกนิด จะทำให้ตื่นมาแล้วรู้สึกสะลึมสะลือหน่อยๆ ในตอนเช้า แต่นั่นจะผลดีต่อร่างกายของตลอดทั้งวันมากกว่า คุณจะรู้สึกกระปรี้กระเปร่าและมีพลังมากกว่าเมื่อต้องทำงานตลอดทั้งวัน” ซึ่งหากจะมองดูแล้ว คนที่ได้นอนแค่ 4.45 ชั่วโมง กับคนที่ได้นอน 8 ชั่วโมง คนที่ได้นอน 8 ชั่วโมงย่อมต้องสดชื่นแจ่มใสกว่าอยู่แล้ว
ดังนั้น จะใช้เครื่องมือช่วยคำนวณเวลาในการนอนหลับก็ย่อมได้ แต่อยากให้เลือกเวลาที่ได้นอนมากกว่า 6-7 ชั่วโมงจะดีกว่า เป็นผลดีต่อร่างกายของคุณมากกว่า และไม่จำเป็นต้องเคร่งกับเวลาเหล่านี้มากนัก นอกจากชั่วโมงในการนอนหลับ และช่วงเวลาในการนอนหลับแล้ว การนอนให้ตรงเวลา และตื่นให้ตรงเวลาในทุกๆ วัน ก็ส่งผลดีต่อร่างกายของคุณด้วยเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำถามฮิต “สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ” พร้อมคำตอบที่ดีที่สุด
“ฝึกตอบคำถาม สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ เตรียมตัวให้พร้อม ไม่ยากอย่างที่คิด”
สัมภาษณ์งาน ภาษาอังกฤษ (Job Interview)
สัมภาษณ์งานทีไร กังวลทุกทีเลย เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จะเผยเคล็ดลับ “ตอบคำถามสัมภาษณ์งานอย่างไร” ให้ถูกคัดเลือก ไม่ใช่คัดออก
การสัมภาษณ์งาน HR ถือว่าเป็นด่านแรก ที่จะพิจารณา เราในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ คุณสมบัติในการทำงาน มุมมองในการทำงาน และบุคลิกภาพ เราจึงควร ยิ้มแย้มแจ่มใส รอยยิ้มที่ดูจริงใจและผ่อนคลายทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกอยากร่วมงานด้วย และแสดงให้เห็นว่าคุณก็อยากร่วมงานกับเขาเช่นกัน
และที่สำคัญคุณจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมกับการตอบคำถาม สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ ได้รวบรวมคำถาม สัมภาษณ์งานสุดฮิต มาให้แล้ว
Please introduce yourself?
แนะนำตัวเองให้ฟังหน่อย?
My name is (…ชื่อจริง…).
I’m (…อายุ…) years old.
I graduated from (…คณะที่จบ…)
from (…มหาวิทยาลัยที่จบ…)
I am (a / an …งานที่เคยทำ…)
Can you tell me about your career?
เล่าเกี่ยวกับการทำงานของคุณได้ไหม
I used to be (a / an …อาชีพ…). I have an experience in (…ทักษะที่ใช้ทำงาน…) for a (…ระยะเวลาที่ทำงาน… years / month).
ถ้ายังไม่เคยทำงาน ให้พูดถึงประสบการณ์ฝึกงาน หรือใน มหาวิทยาลัย
What is your strength?
จุดแข็งของคุณคืออะไร?
I have an extremely strong (…ทักษะที่ถนัด…) skills. หรือ My greatest strength is a / an ……. .
พูดถึงทักษะที่ถนัดแล้วอธิบายต่อว่า เราถนัดเพราะอะไร
ตัวอย่าง
My greatest strength is my problem-solving skills.
จุดแข็งฉัน คือ ทักษะการแก้ปัญหา
What is your weakness?
จุดอ่อนของคุณคืออะไร?
For my weakness, I can speak English but I think I have to learn more.
การพลิกจุดอ่อนให้เป็นข้อดี เช่น ฉันพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ฉันคิดว่าต้องเรียนเพิ่มมากกว่านี้
What do you know about our company?
คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง?
I know that your company is (…..ข้อมูลบริษัท…..)
ข้อนี้ต้องศึกษาข้อมูลบริษัทเยอะๆ เลย ว่าบริษัทที่เราสมัครทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร มีคู่แข่งเป็นใครบ้าง
Why do you want this job?
ทำไมคุณถึงอยากได้งานนี้?
I want this job because (…เหตุผลที่อยากได้งาน….).
อาจจะพูดต่อว่าอาชีพนี้จะสามารถเพิ่มทักษะของเราอย่างไร ให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเหมาะกับตำแหน่งนี้ที่สุด
Why should we hire you?
ทำไมเราถึงต้องจ้างคุณ?
I believe that my experience with (…ทักษะที่มี….) and …… skills to be an asset to your company.
*ถ้ายังไม่เคยทำงาน ให้พูดถึงประสบการณ์ฝึกงาน หรือใน มหาวิทยาลัย
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
เปิดปฎิบัติการ Google ตั้ง Data Center ยึดหัวหาดเศรษฐกิจดิจิทัลอาเซียน
Google เร่งขยายการลงทุน Data Center และบริการคลาวด์ ใน“มาเลย์-ไทย-เวียดนาม” รองรับการขยายตัวเศรษฐกิจดิจิทัลในอาเซียน
การเติบโตเศรษฐกิจดิจิทัลภูมิภาคอาเซียน โดยรายงาน e-Conomy SEA 2023 ของ Google และ เทมาเส็ก ระบุว่ารายได้เศรษฐกิจดิจิทัลเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อาจสูงถึง 100,000 ล้านดอลลาร์ (ราว 3.6 ล้านล้าน) ปรับตัวเพิ่มขึ้นรวดเร็วกว่ามูลค่าการทำธุรกรรม 1.7 เท่า ทำให้ภูมิภาคนี้กลายเป็นจุดหมายใหม่ในการลงทุน Data Center ของบิ๊กเทคคอมพานีระดับโลก โดย Data Center ถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานของบริการดิจิทัลที่สำคัญ
Google เป็นยักษ์ใหญ่ของโลก ที่มีความชัดเจนว่าต้องการลงทุนขยาย Data Center ในภูมิภาคอาเซียน
โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 30 พ.ค.67 Google ประกาศอัดเงินทุน 2 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 7.3 หมื่นล้านล้านบาท สร้าง Data Center และ Cloud Region ในมาเลเซีย ถือเป็นการลงทุนครั้งใหญ่ที่สุดในรอบ 13 ปี เพื่อสนับสนุนการใช้งาน AI และนโยบาย Cloud-first ของรัฐบาล คาดว่าการลงทุนดังกล่าวนั้นจะช่วยกระตุ้นการจ้างงานได้ถึง 26,500 ตำแหน่งภายในปี 2573 และจะสร้าง GDP ให้ประเทศได้มากถึง 3.2 พันล้านดอลลาร์หรือประมาณ 1.1 แสนล้านบาท
ขณะที่ในปลายเดือน มิ.ย. 67 บริษัท กูเกิล เอเชีย แปซิฟิก จำกัด (Google) ร่วมกับ Gulf Edge บริษัทย่อยที่กัลฟ์ถือหุ้น 100% ประกาศร่วมลงทุน Data Center แห่งแรกของ Google ในประเทศไทย และเป็นแห่งที่ 4 ในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก และเป็นแห่งที่ 11 ของโลก โดยจะมุ่งดำเนินธุรกิจการให้บริการระบบคลาวด์ Google Distributed Cloud air–gapped (GDC aid-gapped) ที่ได้รับการออกแบบมาเพื่อใช้ในสภาพแวดล้อมที่ไร้การเชื่อมต่อกับเครือข่ายอินเตอร์เน็ตสาธารณะโดยสิ้นเชิง ซึ่งมีเสถียรภาพและความปลอดภัยข้อมูลสูง โดยการจัดตั้ง Data Center ดังกล่าวขึ้นมานั้นจะช่วยยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของไทยรวมทั้งการประกาศนโยบาย Cloud First Policy อย่างไรก็ตามยังไม่มีการเปิดเผยตัวเลขการลงทุนชัดเจน
ล่าสุด 30 ก.ย. 67 นางรูธ โพรัท (Mrs. Ruth Porat) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการลงทุนบริษัท Alphabet และ Google และคณะ เดินทางเข้าเยี่ยมคารวะ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นายกรัฐมนตรี และคาดว่าจะหารือร่วมกันถึงแนวทางการสนับสนุนพัฒนาเทคโนโลยี AI และ Data Center ในประเทศไทย
นอกจากนี้ Google กำลังพิจารณาตั้ง Data Center ระดับ Hyperscale ขนาดประมาณ 50 เมกะวัตต์ ใกล้กับโฮจิมินห์ซิตี้ ซึ่งเป็นศูนย์กลางเศรษฐกิจทางตอนใต้ของเวียดนาม อย่างไรก็ตามยังไม่ชัดเจนว่า Google จะตัดสินใจลงทุนเมื่อใด อย่างไรก็ตามคาดว่า Data Center ดังกล่าวอาจจะพร้อมใช้งานได้ในปี 2570 โดยคาดว่าอาจใช้เม็ดเงินลงทุนราว 300 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ถึง 650 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือ ราว 9.9 พันล้านบาทถึง 2.1 หมื่นล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ประโยชน์ของ “ลูกหม่อน-มัลเบอร์รี่” (Mulberry) เบอร์รี่จิ๋วแต่คุณประโยชน์สุดแจ๋ว
หากจะพูดถึงเบอร์รี่เมืองไทย ก็เรียกได้ว่ามีอยู่หลายชนิดให้นึกถึง แต่ถ้าให้พูดขึ้นมาสักหนึ่งชื่อก็คงจะต้องร้องอ๋อกันเป็นแน่ เพราะหนึ่งในเบอร์รี่เมืองไทยที่เรารู้จักและคุ้นหูกันเป็นอย่างดีก็คือ ลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่ นั่นเอง แต่นอกจากชื่อเสียงเรียงนามว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดเบอร์รี่เมืองไทยแล้ว ก็จัดได้ว่าลูกหม่อนเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และยังมีประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพในหลายๆ ด้านด้วย
Hello คุณหมอ จะพามารู้จักกับประโยชน์ของเบอร์รี่เมืองไทยชนิดนี้กัน
ประโยชน์ของ ลูกหม่อน เบอร์รี่เมืองไทย
ลูกหม่อนหรือ มัลเบอร์รี่ (Mulberry) เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ที่มีรสชาติหวานอมเปรี้ยว ส่วนต่างๆ ของต้นหม่อนสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้หลากหลาย ทั้งใช้เพื่ออุตสาหกรรมการทอผ้า การนำใบหม่อนมาแปรรูปเป็นชา หรือแม้แต่ลูกหม่อนเองก็ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นอาหารเพื่อสุขภาพได้มากมาย ไม่ว่าจะเป็นเครื่องดื่มสมูทตี้ หรือเป็นวัตถุดิบในอาหารต่างๆ
ลูกหม่อนเป็นผลไม้ที่ขึ้นชื่อว่ามีประโยชน์ต่อสุขภาพมาก เพราะเป็นหนึ่งในผลไม้ที่ให้แคลอรี่ต่ำ มีสารอาหารสำคัญอย่างคาร์โบไฮเดรตและไฟเบอร์ที่ทำให้อิ่มท้อง ทั้งยังช่วยเพิ่มพลังงานแก่ร่างกายได้เป็นอย่างดี มากไปกว่านั้นลูกหม่อนก็ยังจัดว่าเป็นผลไม้ฉ่ำน้ำอีกด้วย เนื่องจากองค์ประกอบกว่า 88 เปอร์เซ็นต์ของลูกหม่อนนั้นเป็นน้ำ การรับประทานลูกหม่อนจึงสามารถช่วยเพิ่มระดับน้ำในร่างกาย และมีส่วนช่วยป้องกันการเกิดภาวะขาดน้ำ (Dehydration)ได้
นอกจากนี้ลูกหม่อนยังเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญอย่าง วิตามินซี วิตามินอี วิตามินเค1 ธาตุเหล็ก โพแทสเซียม และยังเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประโยชน์ อย่างเช่น แอนโทไซยานิน (Anthocyanin ) ไซยานิดิน (Cyanidin) ไมริเซติน (Myricetin) กรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) รูทิน (Rutin) ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระเหล่านี้ล้วนแล้วแต่ดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และปกป้องเซลล์ในร่างกายไม่ให้ถูกทำลายจากอนุมูลอิสระ
ประโยชน์ของลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่
- ลดความเสี่ยงของมะเร็ง
สารต้านอนุมูลอิสระ เป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยให้ระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายแข็งแรง ทั้งยังกระตุ้นการทำงานของเซลล์และป้องกันเซลล์ต่างๆ ในร่างกายไม่ให้ถูกทำร้ายจากอนุมูลอิสระที่ไม่ดี มากไปกว่านั้นสารต้านอนุมูลอิสระยังมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้เซลล์มะเร็งเจริญเติบโต หรือลดโอกาสในการเป็นมะเร็ง
ลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่ อุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดทั้งสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มของฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) อย่างแอนโทไซยานิน (Anthocyanin) ไซยานิดิน (Cyanidin) ไมริเซติน (Myricetin) กรดคลอโรจีนิก (Chlorogenic Acid) รูทิน (Rutin) การรับประทานลูกหม่อนอย่างสม่ำเสมอจึงสามารถช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งได้
- ดีต่อการลดน้ำหนัก
ลูกหม่อนมีไฟเบอร์สูงและให้แคลอรี่ต่ำ เหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่อยู่ในช่วงลดน้ำหนัก หรือควบคุมอาหาร โดยไฟเบอร์จะไปทำให้รู้สึกอิ่มท้องได้นานขึ้น ทำให้ไม่หิวบ่อยๆ และไม่ทำให้แคลอรี่พุ่งสูงเพราะมีแคลอรี่ต่ำ สามารถจำกัดหรือควบคุมแคลอรี่ในแต่ละวันได้อย่างสบายใจ
- ดีต่อสุขภาพตับ
ตับเป็นอวัยวะที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อร่างกายของเรา โดยเฉพาะการทำหน้าที่สำคัญในเพื่อกรองสารพิษต่างๆ ทำหน้าที่ในการสลายไขมัน รวมถึงป้องกันการแข็งตัวของเลือดด้วย ซึ่งสารต้านอนุมูลอิสระในลูกหม่อนถือว่าเป็นสารอาหารที่ดีต่อสุขภาพตับอย่างมาก เนื่องจากมีส่วนช่วยในการล้างสารพิษที่ตับ และยังมีส่วนช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันสะสมไว้ที่ตับ อันเป็นสาเหตุหนึ่งของโรคไขมันพอกตับ
- ปรับระดับน้ำตาลในเลือดให้คงที่
ระดับน้ำตาลในเลือดที่พุ่งสูง สามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจ และโรคเบาหวานได้ ซึ่งเพื่อป้องกันความเสี่ยงของโรคเรื้อรังเหล่านั้น การให้ความสำคัญกับการรับประทานอาหารจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม โดยเฉพาะกับลูกหม่อนซึ่งเป็นอีกหนึ่งผลไม้ที่มีไฟเบอร์สูง และการกินไฟเบอร์เป็นประจำจะมีส่วนช่วยชะลอการดูดซึมน้ำตาลในกระแสเลือด จึงช่วยป้องกันไม่ให้ระดับน้ำตาลในเลือดพุ่งสูงได้
- อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก
แม้ว่าส่วนใหญ่แล้วธาตุเหล็กมักจะพบได้ในอาหารประเภทเนื้อสัตว์หรือเครื่องในสัตว์ แต่ในผลไม้ก็อุดมไปด้วยธาตุเหล็กเช่นเดียวกัน โดยเฉพาะลูกหม่อน ที่ให้ปริมาณของธาตุเหล็กสูงถึง 2.6 มิลลิกรัม (ต่อลูกหม่อนหนึ่งถ้วย) ซึ่งคิดเป็น 14 เปอร์เซ็นต์ต่อปริมาณของธาตุเหล็กที่ร่างกายควรได้รับในแต่ละวัน
โดยธาตุเหล็กนี้มีประโยชน์ในการช่วยจัดเก็บและขนส่งออกซิเจนไปยังส่วนต่างๆ ของร่างกาย ป้องกันไม่ให้ร่างกายเกิดภาวะออกซิเจนต่ำ รวมถึงยังมีส่วนช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเซลล์เม็ดเลือดขาว ซึ่งดีต่อระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย และมีส่วนป้องกันภาวะแทรกซ้อนขณะตั้งครรภ์ด้วย
ข้อควรระวังในการรับประทาน
ลูกหม่อน หรือ มัลเบอร์รี่ แม้จะให้คุณค่าทางโภชนาการสูง และมีส่วนช่วยป้องกันอาการทางสุขภาพต่างๆ แต่ก็ยังมีข้อควรระวังบางประการเกี่ยวกับลูกหม่อนที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะถ้าหากมีอาการแพ้ลูกหม่อน หรือแพ้ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ซึ่งถึงแม้จะพบได้น้อย แต่ก็ควรระวัง และควรหลีกเลี่ยงการรับประทานลูกหม่อน เพื่อป้องกันไม่ให้อาการแพ้กำเริบ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 01/10/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,400.00 | 40,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,617.00 | 39,673.72 | 41,000.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,355.30 | 35,706.35 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,093.60 | 31,738.98 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,178.00 | 17,858.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 916.00 | 13,886.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,712.00 | 41,113.92 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/10/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.95 | 34.95 | 35.25 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 | 34.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.58 | 34.58 | 34.88 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 | 34.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.84 | 32.84 | 33.14 | 32.84 | 32.84 | – | 32.84 | 32.84 | 32.84 | 32.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.59 | 32.59 | – | – | – | – | – | – | – | 32.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.54 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 43.54 |
เบนซิน 95 | 43.14 | – | – | – | 49.81 | – | 43.64 | 43.29 | – | 43.14 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |