สาระน่ารู้ประจำวันที่ 01 กรกฎาคม 2568

จับตาวิกฤติสำนักงานล้นตลาด!เปลี่ยนผ่านสู่สมรภูมิ‘อาคารเขียว’

อาคารสำนักงานกำลังเผชิญแรงกดดันจากซัพพลายที่ล้นตลาดสวนทางกับดีมานด์ พร้อมกับพฤติกรรมผู้เช่าเปลี่ยนไป กลายเป็นตัวเร่งเกิดการเปลี่ยนผ่านสู่สมรภูมิอาคารเขียว

ท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจอ่อนแรงและอุปทาน (ซัพพลาย) ใหม่ถาโถม ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ กำลังเผชิญแรงกดดันรอบด้าน ทั้งจากผู้เช่าที่มีความคาดหวังสูงขึ้น ไปจนถึงการแข่งขันของ “อาคารเก่า” กับ “อาคารใหม่” ในเกมที่เดิมพันด้วย “ประสิทธิภาพเจ้าของอาคาร” มากกว่าแค่ “ค่าเช่า” สร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับตลาดสำนักงานเวลานี้ โดยไตรมาสแรกปี 2568 ซัพพลายสำนักงานทะลัก 524,000 ตร.ม. ดันพื้นที่รวมขยับขึ้นเป็น 6.314 ล้าน ตร.ม.เข้าสู่ภาวะ “ดีมานด์โตไม่ทันซัพพลาย”

ปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ หุ้นส่วนและกรรมการบริหาร หัวหน้าส่วนพื้นที่สำนักงาน บริษัท ไนท์แฟรงค์ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ ไตรมาส 1 ปี 2568 ส่งสัญญาณถึงจุดเปลี่ยนสำคัญที่กำลังใกล้เข้ามา ข้อมูลเชิงลึกจากรายงานล่าสุดชี้ให้เห็นว่า แม้ตลาดยังคงเติบโตในบางมิติ เช่น อัตราการเช่าที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อย ความนิยมในอาคารที่ได้รับการรับรองมาตรฐานอาคารเขียว แต่แรงกดดันจากอุปทานใหม่ที่กำลังหลั่งไหลเข้ามาตลอดปีนี้ จะพลิกสมการการแข่งขันอย่างมีนัยสำคัญ

“เรากำลังเห็นการเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจน ผู้เช่าเจ้าของอาคารที่แสดงให้เห็นถึงการบริหารจัดการที่ดีสร้างความแตกต่างได้ในตลาดที่มีการแข่งขันสูงนี้”

ทั้งนี้ ตัวแปรสำคัญเศรษฐกิจไทยปี 2568 มีแนวโน้มเติบโตต่ำสุดในรอบหลายปี คาดขยายตัวเพียง 2% กรณีที่สถานการณ์ภาษีการค้าระหว่างประเทศไม่รุนแรงนัก แต่หากเกิดการปรับขึ้นภาษีจากฝั่งสหรัฐ การเติบโตอาจลดเหลือเพียง 1.3% ท่ามกลางบรรยากาศนี้ ธุรกิจหรือผู้เช่าพื้นที่สำนักงานจำนวนมากเริ่มชะลอแผนขยายและมองหาออฟฟิศที่มี “มูลค่า” มากกว่าราคาเพียงอย่างเดียว

สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (BSI) ช่วงไตรมาสแรกสะท้อนความผันผวน โดยกลุ่มภาคผลิตมีความเชื่อมั่นเพิ่มขึ้นจากการเร่งส่งออกก่อนมาตรการขึ้นภาษีจะมีผล ขณะที่ภาคบริการและท่องเที่ยวยังคงเปราะบาง

อุปทานถาโถม จุดเสี่ยงที่ตลาดต้องรับมือ

ขณะที่ภาวะเศรษฐกิจยังไม่ฟื้นตัวชัดเจน ตลาดอาคารสำนักงานในกรุงเทพฯ เผชิญคลื่นอุปทานลูกใหญ่ ปี 2568 มีพื้นที่สำนักงานใหม่เข้าสู่ตลาดถึง 524,000 ตร.ม. มากที่สุดในรอบหลายปี!

โดยไตรมาสแรกเพียงไตรมาสเดียว พื้นที่รวมขยับขึ้นเป็น 6.314 ล้าน ตร.ม. มีอาคารใหม่อย่าง WorkLab บนถนนพระราม 4 เข้าสู่ตลาด อีก 1.1 ล้าน ตร.ม. อยู่ระหว่างก่อสร้าง เช่น โครงการ GR9 และ The Central  หมายความว่าตลาดยังต้องรองรับแรงกดดันจากอุปทานต่อเนื่องระยะกลางถึงยาว

ผู้เช่าเลือกมากขึ้น “ค่าเช่า” ไม่ใช่คำตอบสุดท้าย

แม้ภาพรวมตลาดจะดูไม่เลวร้าย การดูดซับสุทธิอยู่ที่ 31,000 ตร.ม. อัตราการเช่าเฉลี่ยขยับเป็น 77.5% แต่พบการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้เช่าที่มีนัยสำคัญ อาคารที่ได้รับการรับรอง “อาคารเขียว” มีการดูดซับสุทธิเพิ่มขึ้น 51,000 ตร.ม. ขณะที่อาคารทั่วไปกลับลดลงถึง 17,000 ตร.ม. สะท้อนว่า “ความยั่งยืน” เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับผู้เช่าในยุคใหม่

อาคารเกรด A ที่มีคุณสมบัติโดดเด่น ฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่ง โดยมีอัตราการเช่าเพิ่มขึ้น 2.1% มาที่ระดับ 78% ส่วนอาคารเกรด B ยังคงเผชิญความท้าทาย อัตราการเช่าทรงตัวที่ 76% แสดงถึงความกดดันที่อาคารระดับกลางเผชิญจากทั้ง 2 ทาง

ความเสี่ยงใหม่ผู้เช่ากังวล “ความปลอดภัย”

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์แผ่นดินไหวใหญ่ในเมียนมาเมื่อ 28 มี.ค. ปลุกกระแสตื่นตัวในประเด็น “ความปลอดภัยของอาคาร” โดยเฉพาะบริษัทขนาดใหญ่ที่มีนโยบายความต่อเนื่องทางธุรกิจ (Business Continuity Plan)

แม้อาคารใหม่มีต้นทุนค่าเช่าสูงกว่า แต่ก็ให้ความมั่นใจในเรื่องโครงสร้าง ระบบสื่อสาร ความสามารถบริหารจัดการเหตุฉุกเฉินได้ดีกว่า ขณะที่อาคารเก่าหลายแห่งยังเผชิญปัญหา เช่น ระบบลิฟต์ขัดข้อง การตอบสนองต่อปัญหาช้า กลายเป็นปัจจัยลบในการตัดสินใจเช่า

“ค่าเช่าสูงขึ้นได้ หากแลกกับความมั่นใจในการดำเนินธุรกิจต่อเนื่อง ผู้เช่าหลายรายเริ่มพิจารณาวิธีจัดการของเจ้าของอาคาร มากกว่าการมองที่ราคาค่าเช่าอย่างเดียว”

เกรด A ครองเกม-เกรด C คงตัว-เกรด B อ่อนแรง

การวิเคราะห์ตามทำเลพบว่า ย่านสีลม-สาทร-พระราม 4 เป็นพื้นที่ที่เติบโตโดดเด่นสุดในเขต CBD มีการปรับเพิ่มค่าเช่าและอัตราการเช่าในระดับสูงสุด ย่านอื่นอย่าง “เพลินจิต-ชิดลม และ “อโศก-นานา”  อัตราการเช่าลดลงเล็กน้อย สะท้อนการแข่งขันแต่ละย่านเริ่มแยกออกเป็น “กลุ่มผู้ชนะ” และ “กลุ่มที่ต้องเร่งปรับตัว”

นอกเขต CBD พื้นที่อย่าง “บางนา-ศรีนครินทร์” กลับมีอัตราการเช่าเพิ่มขึ้นโดดเด่นที่สุด (+1.4%) สะท้อนโอกาสใหม่ในทำเลที่มีค่าเช่าต่ำกว่าและการเข้าถึงที่สะดวกมากขึ้นจากระบบขนส่งมวลชน

 ครึ่งปีหลัง 68 บททดสอบเจ้าของอาคาร

แม้ข้อมูลไตรมาสแรกจะยังไม่ชี้ไปสู่ภาวะ “วิกฤติ” แต่เส้นทางข้างหน้าของตลาดสำนักงานกลับเต็มไปด้วยความท้าทายซ้อนทับ การหลั่งไหลของอุปทานใหม่ในช่วงที่เหลือของปี ชี้วัดว่า “อาคารเก่า” และ ผู้ประกอบการรายเดิมจะปรับตัวทันหรือไม่ ยิ่งเมื่อต้องเผชิญกับผู้เช่าที่มีความละเอียด และให้ความสำคัญกับ “ประสบการณ์การใช้งาน” และ ความพร้อมรับมือเหตุฉุกเฉิน มากกว่าราคาค่าเช่าเพียงอย่างเดียว

นอกจากนี้ นโยบายการค้าระหว่างประเทศที่ยังไม่แน่นอน หากมีการนำภาษีระยะยาวกลับมาในยุคทรัมป์ อาจทำให้บริษัทข้ามชาติเลือก “ชะลอการเช่า” หรือ หาพื้นที่ที่มีความยืดหยุ่นและต้นทุนต่ำกว่า

ปี 2568 จึงไม่ใช่แค่ปีฟื้นตัวหลังโควิด-19 แต่เป็น “ปีแห่งการพิสูจน์ตัวตน” ของเจ้าของอาคารสำนักงาน ว่าใครจะตอบโจทย์ผู้เช่ายุคใหม่ได้อย่างแท้จริง ทั้งด้านฟังก์ชัน ความยั่งยืน ความปลอดภัย และความพร้อมให้บริการ ผู้ประกอบการที่ยึดติดโมเดลเดิม ไม่เร่งปรับกลยุทธ์ อาจกลายเป็นผู้เสียเปรียบในตลาดที่เริ่มแข่งขันกันด้วยความสามารถเชิงลึก ไม่ใช่แค่ตำแหน่งที่ตั้งหรือราคาอีกต่อไป

ตลาดสำนักงานวันนี้ ไม่ใช่สนามของผู้ที่ใหญ่กว่าอีกต่อไป แต่เป็นสนามของผู้ที่ “ไวกว่า” และ “เข้าใจผู้เช่า” ได้มากกว่า

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อสังหาฯ ไทย 68-69 ไม่ใช่แค่ทำเล อาจต้องมี “กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง” พร้อมรับคลื่นท้าทาย

ตลาดอสังหาฯ ไทยอาจต้องเผชิญความไม่แน่นอน ทั้งปัจจัยด้านเศรษฐกิจและการเมืองไปจนถึงปี 2569 แต่ดีเวลอปเปอร์ไม่หยุดนิ่ง พัฒนากลยุทธ์ “บริหารความเสี่ยง” เพื่อประคองให้ธุรกิจอยู่รอด

ปี 2568 ถือเป็นปีแห่งความท้าทายสำหรับตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทย แม้รัฐบาลจะต่ออายุสิทธิประโยชน์หลายมาตรการ เช่น ลดค่าธรรมเนียมการโอน–จดจำนอง และธนาคารแห่งประเทศไทยเริ่มผ่อนคลาย LTV แต่ยังไม่เพียงพอให้ตลาดฟื้นตัวเต็มที่ เพราะกำลังซื้อภายในประเทศยังอ่อนแรง ดอกเบี้ยต้นทุนยังสูง และผู้ซื้อระมัดระวังมากขึ้น ซ้ำยังต้องเผชิญกับความไม่แน่นอนในด้านเศรษฐกิจ และทั้งการเมืองทั้งในประเทศและนอกประเทศ จึงทำให้ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคลดลง

ข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่า ไตรมาส 1 ปี 2568 การโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศมีจำนวน 65,276 หน่วย ลดลง 10.5% เป็นมูลค่า 181,545 ล้านบาท ลดลง 13%  เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นการชะลอตัวในทุกภูมิภาค

การชะลอตัวของการโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศ ส่งผลให้ภาพรวมการปล่อยสินเชื่อที่อยู่อาศัยในช่วงไตรมาส 1 ปี 2568 ลดลงเช่นเดียวกัน โดยมีมูลค่าสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลปล่อยใหม่ทั่วประเทศ มูลค่า 109,368 ล้านบาท ลดลง 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) ซึ่งมีมูลค่า 121,529 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ลดลง

ยักษ์ไหญ่อย่าง แสนสิริ ยังคงดำเนินธุรกิจภายใต้ยุทธศาสตร์ Dynamic Growth บริษัทวางแผนเปิดทัพถึง 29 โครงการ มูลค่า 52,000 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นแนวราบ 14 โครงการ และคอนโดมิเนียม 15 โครงการ ตามแผนที่เคยประกาศไว้ พุ่งเป้าไปยังตลาดพรีเมียม–ลักชัวรี และเมืองท่องเที่ยวหลักอย่าง พัทยา ภูเก็ต ขอนแก่น โดยคาดยอดขายตลอดปีสูงถึง 53,000 ล้านบาท สะท้อนถึงการบริหารความเสี่ยงที่ไม่ได้จำกัดแค่การเงิน แต่รวมถึงการเลือกพอร์ตโครงการให้สอดคล้องกับฐานลูกค้าที่มีกำลังซื้อมั่นคง

อีกหนึ่งค่ายใหญ่ ศุภาลัย ในปี 2568 ได้วางแผนเปิดตัว 36 โครงการ มูลค่ารวม 46,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้ายอดขาย 32,000 ล้านบาท โดยโฟกัสทั้งแนวราบ 28 และคอนโดมิเนียม 8 โครงการ นอกเหนือจากการเดินหน้าในกรุงเทพฯ ยังขยายไปยังหัวเมืองรองอย่าง ลพบุรี สุพรรณบุรี เกาะสมุย และในต่างประเทศผ่าน Supalai Australia Holdings เพื่อกระจายความเสี่ยงและเสริมรายได้ในระยะยาว อีกทั้งยังทำให้ธุรกิจมี Economy of Scale ที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการบริหารจัดการต้นทุน

ส่วน เอสซี แอสเซท ภายใต้แคมเปญ “Rethink to Reform” ได้วางแผนเปิด 12–16 โครงการแนวราบใหม่มูลค่ารวมกว่า 18–28 พันล้านบาท พร้อมรุกธุรกิจโรงแรมและคลังสินค้าเพื่อสร้างรายได้ประจำและลดพึ่งที่อยู่อาศัยเพียงด้านเดียว โดยยังคงโฟกัสที่ตลาดบ้านลักชัวรี

นอกจากนี้ เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ ก็ได้ได้เปิดตัวโมเดล LivNex เช่าออมบ้าน โครงการสร้างเพื่อการเช่า-ออม-ซื้อในอนาคตจริง เพื่อแก้ปัญหาในเรื่องของกำลังซื้อผู้บริโภค และเจาะกลุ่มลูกค้ารายใหม่ที่ต้องการมีบ้านแต่ยังไม่พร้อมผ่อน

กลยุทธ์เหล่านี้ ชี้ให้เห็นว่า สถานการณ์ในปี 2568 แม้จะไม่ใช่ปีแห่งทำเลทอง แต่ตลาดอสังหาฯ ไทยระยะยาวต้องพึ่งพา กลยุทธ์บริหารความเสี่ยง และจะเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่าผู้ที่มีกลยุทธ์บริหารความเสี่ยงรอบด้าน จะเป็นผู้รอดในสมรภูมิตลาดที่ไม่แน่นอนและผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปได้สำเร็จ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 1ก.ค.”แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”ที่ระดับ 32.41 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังขึ้นอยู่กับปัจจัยภายนอกทั้งทิศทางเงินดอลลาร์และราคาทองคำ หากเงินดอลลาร์อ่อนค่าอาจเป็นเรื่องยากที่จะเห็งเงินบาทกลับมาอ่อนค่าแม้จะเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของการเมืองในประเทศ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 1ก.ค.2568ที่ระดับ  32.41 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ณ ระดับ  32.49 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา ถือว่ามากกว่าที่เราประเมินไว้บ้าง แต่ไม่เหนือความคาดหมายนัก

โดยนับตั้งแต่ช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า เงินบาทได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่า ตามการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำอย่างชัดเจน ก่อนที่จะได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นต่อของราคาทองคำในช่วงคืนที่ผ่านมา

อย่างไรก็ดี เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทอาจชะลอลงได้บ้าง แถวโซนแนวรับ 32.30-32.40 บาทต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นว่า ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้อง “ถอดถอนนายกฯ” หรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวอาจส่งผลกระทบต่อความไม่แน่นอนของการเมืองไทย และแนวโน้มเศรษฐกิจไทยได้

โดยเราประเมินว่า หากศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้รับคำร้องดังกล่าว แม้จะส่งผลดีต่อสถานการณ์การเมืองไทย ทว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจมองว่า ความไม่แน่นอนของการเมืองไทยที่ลดลง อาจทำให้ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ไม่จำเป็นต้องเดินหน้าลดดอกเบี้ยมาก

ล่าสุดผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ธปท. อาจลดดอกเบี้ยได้ถึงระดับ 1.00%-1.25% ภายใน 12 เดือน ข้างหน้า ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วน อย่าง ฝั่งนักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายทำกำไรสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาวไทยออกมาบ้างได้ แต่แรงขายก็อาจไม่มากนัก

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาท่าทีของทางการสหรัฐฯ ต่อแนวโน้มนโยบายการค้า ทำให้เรามองว่า ในกรณีนี้ เงินบาทก็อาจไม่ได้รับอานิสงส์ฝั่งแข็งค่ามากนัก และยังมีความเสี่ยงอ่อนค่าลงบ้าง ขึ้นกับแรงขายทำกำไรสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ

ในทางกลับกัน หากศาลรัฐธรรมนูญ รับคำร้องถอดถอนนายกฯ พร้อมให้นายกฯ หยุดปฏิบัติหน้าที่ชั่วคราว เรามองว่า ความไม่แน่นอนของการเมืองไทยที่สูงขึ้น อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้ โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกลดสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่า)

และลดการถือครองหุ้นไทยลง ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจถูกชะลอลงด้วยแรงซื้อบอนด์จากฝั่งนักลงทุนต่างชาติ เนื่องจากในกรณีดังกล่าวอาจทำให้ นักลงทุนต่างชาติมั่นใจมากขึ้นว่า ธปท. อาจลดดอกเบี้ยต่อได้ถึง 1.00% และมองว่าบอนด์ยีลด์ระยะยาวของไทยยังมีโอกาสปรับตัวลดลงต่อได้

ทั้งนี้ แม้ว่าเงินบาทจะเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของการเมืองไทย แต่เราคงมุมมองเดิมว่า ปัจจัยภายนอก Global Factors ทั้งทิศทางเงินดอลลาร์และราคาทองคำ ยังมีผลกับเงินบาทอยู่มาก และมากกว่าปัจจัยพื้นฐานเศรษฐกิจไทยที่ดูแย่ลง

ทำให้ แนวโน้มของเงินบาทในระยะข้างหน้าจะขึ้นกับปัจจัยภายนอก ซึ่งหากเงินดอลลาร์ยังมีแนวโน้มอ่อนค่าลง ก็อาจจะเป็นเรื่องยากที่จะเห็นเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ชัดเจน แม้จะเผชิญปัจจัยกดดันจากปัญหาการเมืองในประเทศก็ตาม

อนึ่ง เรามองว่า ในระยะสั้น เงินดอลลาร์มีโอกาสรีบาวด์แข็งค่าขึ้นได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด

โดยเราขอแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลักตั้งแต่ช่วง 20.30 น. ตามเวลาประเทศไทย

เรายังคงมีความกังวลเดิม คือ ความผันผวนของเงินบาทที่อาจกลับมาสูงขึ้นได้ โดยเฉพาะในช่วงสัปดาห์หน้าที่ ตลาดการเงินไทยอาจเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ Options เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down ทดสอบโซนแนวรับ 32.40 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 32.41-32.56 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าเงินบาทจะมีจังหวะอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 32.60 บาทต่อดอลลาร์

ทว่า เงินบาทก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด (ล่าสุด ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 66% ที่เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 3 ครั้ง ในปีนี้)

ซึ่งมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดยังได้กดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลง และการปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์ รวมถึงบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็หนุนให้ ราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทะลุโซน 3,300 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง

ซึ่งราคาทองคำก็ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ บรรดาประเทศคู่ค้า หลังใกล้ถึงช่วงครบกำหนดการพักมาตรการเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs)

บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึง การประกาศยกเลิกเก็บยภาษีบริการดิจิตอลของแคนาดาจากบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่ของสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.52% 

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลง -0.42% ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดในช่วงปิดไตรมาสที่ 2 ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจับตาแนวโน้มการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า หลังใกล้ถึงวันครบกำหนดพักมาตรการเรียเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ (Reciprocal Tariffs) 

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าตลาดการเงินสหรัฐฯ จะยังอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ทยอยเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟด ยังคงเป็นปัจจัยที่ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวลดลงสู่ระดับ 4.23%

ทั้งนี้ เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอควร และอยู่ในโซนที่ยังไม่น่าสนใจทยอยเข้าซื้อ (อาจเริ่มน่าสนใจในการทยอยขายทำกำไรบ้าง หากบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อ สำหรับผู้ที่มีสถานะลงทุนในบอนด์ระยะยาว ตั้งแต่ในช่วง บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สูงกว่าระดับ 4.50%)

ซึ่งเราคงคำแนะนำเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หรือ บอนด์ยีลด์ระยะยาวสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ เพื่อ Risk-Reward ที่น่าสนใจกว่า (โซน 4.50% หรือสูงกว่านั้น อาจไม่ได้เห็นได้ง่ายนัก หากไม่มีความเสี่ยงเสถียรภาพการคลังของสหรัฐฯ เข้ามากดดันตลาดบอนด์ และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ต้องออกมาดีกว่าคาดชัดเจน)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่กลับมาแข็งค่าทะลุโซน 144 เยนต่อดอลลาร์ ตามการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

และมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังมีความหวังต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 96.7 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 96.6-97.4 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวลดลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และความต้องการถือทองคำ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับ บรรดาประเทศคู่ค้า ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. 2025) ปรับตัวสูงขึ้น สู่โซน 3,320-3,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) ในเดือนมิถุนายน และยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) เดือนพฤษภาคม พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ในงานสัมนาของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่เมือง Sintra ประเทศโปรตุเกส

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนมิถุนายน พร้อมรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ในงานสัมนาของธนาคารกลางยุโรป (ECB Forum) ที่เมือง Sintra ประเทศโปรตุเกส ด้วยเช่นกัน

ทางฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี Caixin PMI ภาคการผลิตของจีน ในเดือนมิถุนายน ที่จะช่วยสะท้อนถึงกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคอุตสาหกรรมของบรรดาบริษัทขนาดเล็ก-กลางของจีน ท่ามกลางปัจจัยกดดันในช่วงที่ผ่านมา อย่าง นโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ

นอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม แนวโน้มการดำเนินนโยบายการค้าของสหรัฐฯ โดยเฉพาะการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า ส่วนในฝั่งไทย ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ การพิจารณาของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ว่าจะรับคำร้อง “ถอดถอนนายกรัฐมนตรี” ไว้พิจารณาวินิจฉัยหรือไม่

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า  เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.42-32.44 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.00 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทขยับแข็งค่าตามอานิสงส์จากการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ Sentiment ของค่าเงินดอลลาร์ฯ ยังเผชิญแรงกดดันจากหลายเรื่อง ทั้งความกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มการคลังที่เปราะบางมากขึ้นของสหรัฐฯ (หากร่างกฎหมายการปรับลดภาษีและเพิ่มการใช้จ่ายของปธน. ทรัมป์ผ่านคองเกรส)

โอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด และความไม่แน่นอนเกี่ยวกับดีลการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ กับอีกหลายคู่ค้าสำคัญ อย่างไรก็ดี กรอบการแข็งค่าของเงินบาทน่าจะยังเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากตลาดยังคงรอติดตามปัจจัยทางการเมืองในประเทศในวันนี้อย่างใกล้ชิด

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.30-32.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ปัจจัยการเมืองของไทย ทิศทางเงินทุนของต่างชาติและราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงประเด็นการเจรจาการค้าของสหรัฐฯ และคู่ค้า ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ประกอบด้วย ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนมิ.ย. ของจีน ยูโรโซน และอังกฤษ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือนมิ.ย. ของยูโรโซน และดัชนี PMI/ISM ภาคการผลิตเดือนมิ.ย. และตัวเลข JOLTS เดือนพ.ค. ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


จบรอบแบ่งกลุ่ม! “ลูกยางสาวไทย” แพ้ ไต้หวัน 1-3 เซต ศึก VTV Cup 2025

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง วีทีวี คัพ 2025 (VTV Cup 2025) รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่มบี ทีมชาติไทย ยู-21 ปี พบกับ ไต้หวัน ที่เมืองหวิญ ฟุค ประเทศเวียดนาม เมื่อวันจันทร์ที่ 30 มิถุนายน 2568

เซตแรก “นักตบลูกยางสาวไทย” เป็นฝ่ายออกนำได้ก่อนแต่มาพลาดโดนแซงในช่วงท้ายทำให้พ่ายไป 24-26 อย่างไรก็ตามในเซตสอง ทีมไทย แก้เกมมาได้ดีก่อนเอาชนะไปได้ 25-21 ทำให้ตีเสมอ 1-1 เซต

เซตสาม “สาวไต้หวัน” เป็นฝ่ายทำได้ดีกว่าเบียดเอาชนะไปได้อีก 25-21 ขึ้นนำ 2-1 เซต ก่อนที่ในเซตสี่ “สาวไทย” จะเริ่มเกมได้ดีออกนำก่อนแต่ก็มาโดนแซงในช่วงท้ายอีก 23-25 ทำให้แพ้ไป 1-3 เซต

ทำให้จบรอบแบ่งกลุ่ม หลังผ่าน 3 นัด “นักตบลูกยางสาวไทย” มีผลงานชนะ 1 และแพ้ 2 มี 4 คะแนน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ตากุ้งยิง: รักษาและป้องกันง่าย ๆ ได้ด้วยตัวเอง

อาการเจ็บๆ บวมๆ เป็นไตเล็กๆ ที่เปลือกตา พร้อมความรู้สึกระคายเคืองและปวดหน่วงๆ นั่นคือสัญญาณของ “ตากุ้งยิง” (Stye หรือ Hordeolum) ซึ่งเป็นการอักเสบของต่อมไขมันบริเวณเปลือกตาที่พบได้บ่อย ทำให้รู้สึกไม่สบายตาและอาจส่งผลต่อความมั่นใจในชีวิตประจำวัน แม้ตากุ้งยิงส่วนใหญ่มักจะหายได้เอง แต่ก็มีวิธีง่ายๆ ที่เราสามารถดูแลรักษาและป้องกันตากุ้งยิงไม่ให้เกิดขึ้นได้ด้วยตัวเอง

ตากุ้งยิงคืออะไร?

ตากุ้งยิงเกิดจากการอักเสบติดเชื้อแบคทีเรีย บริเวณต่อมไขมันเล็ก ๆ ที่โคนขนตา หรือต่อมไขมันในเปลือกตา เมื่อเกิดการอุดตันและติดเชื้อ ทำให้เกิดการบวมแดง เจ็บ และอาจมีหนองสะสมอยู่ภายใน

สาเหตุหลักของการเกิดตากุ้งยิง

  • มือไม่สะอาด: การขยี้ตาบ่อยๆ ด้วยมือที่ไม่สะอาดเป็นสาเหตุอันดับต้นๆ
  • เครื่องสำอาง: การใช้เครื่องสำอางบริเวณตาที่หมดอายุ ไม่สะอาด หรือล้างเครื่องสำอางไม่หมดจด
  • คอนแทคเลนส์: การใส่ ถอด หรือทำความสะอาดคอนแทคเลนส์อย่างไม่ถูกสุขลักษณะ
  • เปลือกตาอักเสบ: ผู้ที่มีภาวะเปลือกตาอักเสบเรื้อรัง (Blepharitis) มีความเสี่ยงสูงขึ้น
  • พฤติกรรมการใช้ชีวิต: ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ หรือการรับประทานอาหารที่ไม่มีประโยชน์อาจส่งผลด้วย

3 ขั้นตอนง่ายๆ ในการรักษาตากุ้งยิงด้วยตัวเอง

ตากุ้งยิงส่วนใหญ่มักยุบและหายไปเองได้ภายใน 1-2 สัปดาห์ การดูแลตัวเองเบื้องต้นจะช่วยบรรเทาอาการและเร่งให้หายเร็วขึ้น

  1. ประคบอุ่น (หัวใจหลักของการรักษา)ใช้ผ้าสะอาด เช่น ผ้าขนหนูผืนเล็ก หรือสำลีแผ่นใหญ่ ชุบน้ำอุ่นจัด (แต่อย่าร้อนจนลวกผิว) บิดพอหมาด ประคบวางผ้าอุ่น ๆ บนเปลือกตาที่เป็นตากุ้งยิงเบาๆ ครั้งละ 5-10 นาที ทำวันละ 3-4 ครั้ง หรือบ่อยเท่าที่ทำได้ประโยชน์: ความร้อนจะช่วยเพิ่มการไหลเวียนของเลือด ทำให้ต่อมที่อุดตันอ่อนตัวลง และช่วยให้หนองระบายออกมาได้ง่ายขึ้น ซึ่งจะทำให้ตากุ้งยิงยุบเร็วขึ้นและลดอาการเจ็บปวด
  2. รักษาความสะอาดอย่างเคร่งครัดล้างมือให้สะอาด: ก่อนสัมผัสหรือประคบดวงตาเสมอทำความสะอาดเปลือกตา: ใช้สำลีชุบน้ำอุ่น หรือใช้เบบี้แชมพูเจือจาง (ปราศจากน้ำหอม) เช็ดทำความสะอาดขอบเปลือกตาและโคนขนตาเบาๆ วันละ 1-2 ครั้งงดแต่งหน้า: งดใช้เครื่องสำอางบริเวณดวงตา เช่น มาสคาร่า อายไลเนอร์ จนกว่าตากุ้งยิงจะหายสนิทงดใส่คอนแทคเลนส์: เปลี่ยนมาใส่แว่นตาชั่วคราว เพื่อลดการระคายเคืองและป้องกันการติดเชื้อเพิ่ม
  3. หลีกเลี่ยงการบีบหรือเขี่ย ห้ามบีบตากุ้งยิงเด็ดขาด! การบีบอาจทำให้เชื้อแพร่กระจายไปยังส่วนอื่นของตา หรือทำให้เกิดการอักเสบที่รุนแรงขึ้น และอาจทิ้งรอยแผลเป็นได้

เมื่อไหร่ที่ควรไปพบแพทย์?

  • อาการไม่ดีขึ้น: หากประคบอุ่นและดูแลตัวเองแล้ว แต่อาการไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน หรือแย่ลง
  • ขนาดใหญ่ขึ้น: ตากุ้งยิงมีขนาดใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ หรือทำให้เจ็บปวดมาก
  • มีไข้: หรือมีอาการผิดปกติอื่นๆ ร่วมด้วย
  • กระทบการมองเห็น: ตากุ้งยิงที่เกิดขึ้นบดบังการมองเห็น หรือส่งผลต่อการมองเห็น
  • กลับมาเป็นซ้ำบ่อยๆ: หรือเป็นหลายครั้งในตำแหน่งเดิมๆ

ในกรณีเหล่านี้ จักษุแพทย์อาจพิจารณาการใช้ยาปฏิชีวนะ หรือการผ่าตัดระบายหนองเล็กน้อย เพื่อให้ตากุ้งยิงหายขาดและป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่อาจเกิดขึ้น

ตากุ้งยิงไม่ใช่เรื่องน่ากังวล หากเรารู้จักวิธีดูแลรักษาและป้องกันตากุ้งยิงอย่างถูกวิธี การหมั่นสังเกตและดูแลสุขอนามัยของดวงตาเป็นประจำ คือกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ดวงตาของคุณสุขภาพดีและสดใสอยู่เสมอ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ทีมวิจัย MIT พัฒนาแคปซูลรูปดาว กินสัปดาห์ละครั้ง คุมอาการนาน 7 วัน

สถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และสตาร์ตอัป Lyndra Therapeutics พัฒนาแคปซูลรูปดาวที่สามารถค้างอยู่ในกระเพาะอาหาร และปล่อยยาได้นาน 7 วัน เปลี่ยนวิธีการใช้ยาสำหรับผู้ป่วยจิตเวชที่ต้องพึ่งพาการกินยาทุกวัน ให้กลายเป็นการดูแลที่ต่อเนื่องมากกว่าเดิม

การกินยาทุกวัน ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับทุกคน โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคเรื้อรัง มันอาจไม่ใช่แค่เรื่องวินัย แต่เป็นเรื่องของพลังใจที่ค่อยๆ ร่อยหรอ เมื่อทุกวันคือการเริ่มต้นใหม่ และการกินยาคือเครื่องหมายของความเจ็บป่วยที่ยังอยู่

นั่นคือเหตุผลที่ทีมนักวิจัยจากสถาบันเทคโนโลยีแมสซาชูเซตส์ (MIT) และสตาร์ตอัป Lyndra Therapeutics ลงมือพัฒนา “ยาเม็ดเดียวต่อสัปดาห์” เพื่อให้การดูแลตัวเองไม่ต้องทำซ้ำซากทุกเช้า และไม่ใช่ภาระในทุกวัน

จิโอวานนี ทราเวอร์โซ  (Giovanni Traverso) หัวหน้าทีมวิจัยจาก MIT เปิดเผยว่า เทคโนโลยีนี้ตอบโจทย์ปัญหาใหญ่ของระบบสาธารณสุข คือ การที่ผู้ป่วยโรคเรื้อรังมักลืมกินยาหรือหยุดกินยาด้วยตนเอง ซึ่งส่งผลให้อาการกำเริบและต้องเข้ารักษาในโรงพยาบาลซ้ำ

แคปซูลดังกล่าวบรรจุยาริสเพอริโดน (Risperidone) ซึ่งเป็นยามาตรฐานในการรักษาโรคจิตเภท (Schizophrenia) เมื่อผู้ป่วยกลืนแคปซูลเข้าไป โครงสร้างพิเศษภายในจะกางตัวออกเป็นรูปดาวหกแฉกในกระเพาะอาหาร ทำให้แคปซูลไม่สามารถผ่านไปยังลำไส้เล็กได้ทันที โดยระหว่างที่ค้างอยู่ในกระเพาะ แคปซูลจะค่อยๆ ปล่อยยาออกมาในปริมาณคงที่ตลอด 7 วัน จากนั้นโครงสร้างดาวจะเริ่มสลายตัวและถูกขับออกจากร่างกายตามปกติ โดยไม่ก่อให้เกิดอันตรายใดๆ

ปกติแล้วยาริสเพอริโดน ผู้ป่วยจะต้องกินทุกวัน หรือไม่ก็ต้องเข้ารับการฉีดทุก 2 – 8 สัปดาห์ แต่การฉีดยาไม่ใช่ทางเลือกที่ทุกคนสะดวกใจ และการกินทุกวันก็ไม่ใช่เรื่องง่าย โดยเฉพาะในผู้ป่วยที่มีอาการด้านความจำ สมาธิ หรืออารมณ์ที่แปรเปลี่ยนไม่แน่นอน

การศึกษาทางคลินิกระยะสุดท้าย (Phase III) ดำเนินการกับผู้ป่วย 83 รายในสหรัฐ แสดงผลลัพธ์ที่น่าพอใจ โดยระดับยาในเลือดของผู้ป่วยคงที่ตลอด 5 สัปดาห์ของการติดตาม และอาการทางจิตเวชยังคงอยู่ในระดับที่ควบคุมได้

ผลข้างเคียงที่พบมีเพียงกรดไหลย้อนและอาการท้องผูกเล็กน้อยในช่วงแรก ซึ่งหายไปเองโดยไม่ต้องหยุดการรักษา สัดส่วนผู้ป่วยที่ปฏิบัติตามการรักษาเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับการกินยาแบบทุกวัน

ทีมวิจัยกำลังเตรียมเอกสารยื่นขออนุมัติจากองค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) คาดว่าจะได้รับอนุมัติภายในปี 2027 – 2028 หากผ่านกระบวนการตรวจสอบเรียบร้อย

นอกจากยารักษาโรคจิตเภทแล้ว Lyndra Therapeutics วางแผนพัฒนาเทคโนโลยีเดียวกันนี้กับยาประเภทอื่น รวมถึงยาคุมกำเนิด ยาต้านไวรัส และยารักษาโรคเรื้อรังต่างๆ เพื่อขยายตลาดให้ครอบคลุมผู้ป่วยกลุ่มอื่น

ตลาดยาจิตเวชขยายตัวต่อเนื่อง คาดโต 57% ในรอบ 8 ปี

ตามรายงานของ Straits Research บริษัทวิจัยตลาดและให้คำปรึกษา ระบุว่า ตลาดยาโรคจิตเภททั่วโลกกำลังเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมั่นคง เริ่มต้นที่ปี 2024 ตลาดมีมูลค่าอยู่ที่ 7.88 พันล้านดอลลาร์ และปี 2025 นี้ คาดว่าจะขยายตัวเป็น 8.28 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งเป็นการเติบโตประมาณ 5% ในหนึ่งปี

บริษัทวิจัยคาดว่าภายในปี 2033 ตลาดจะขยายตัวไปถึง 12.33 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งหมายความว่าในช่วง 8 ปีข้างหน้า ตลาดจะเติบโตเกือบ 57% จากขนาดปัจจุบัน

อัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปีอยู่ที่ 5.10% การเติบโตในระดับนี้สะท้อนให้เห็นถึงความต้องการยาที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจากจำนวนผู้ป่วยที่มากขึ้น การรับรู้และการเข้าถึงการรักษาที่ดีขึ้น รวมถึงการพัฒนายาใหม่ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


Business English VS General English ความแตกต่างที่ไม่รู้ไม่ได้

การ เรียนภาษาอังกฤษ ไม่ได้มีแค่การสื่อสารในชีวิตประจำวันโดยทั่วไปอย่างเดียว แต่การสื่อสารให้มีประสิทธิภาพและยกระดับให้ดูเป็นมืออาชีพยิ่งขึ้นก็เป็นส่วนสำคัญในการสื่อสารสำหรับการดำเนินธุรกิจ (Business English) ด้วยเช่นกัน สำหรับใครที่เป็นเจ้าของธุรกิจ หรือ ทำงานในองค์กรที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก วันนี้เรามา เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ และมาดูความแตกต่างระหว่าง Business English VS General English กัน เพื่อยกระดับการ เรียนภาษาอังกฤษด้วยตัวเอง กันดีกว่า 

ความต่างของ Business English VS General English ภาษาอังกฤษทั่วไปและสำหรับธุรกิจ

สำหรับภาษาอังกฤษทั่วไป คือ ภาษาอังกฤษที่ใช้ในการสื่อสารในชีวิตประจำวัน เช่น พูดคุยกับเพื่อน การท่องเที่ยว ดูหนัง ฟังเพลง หรืออ่านข่าวต่าง ๆ แต่สำหรับภาษาอังกฤษสำหรับธุรกิจ คือ การใช้ภาษาอังกฤษในบริบทของการทำงานและธุรกิจ เช่น เขียนอีเมลทางการ พูดคุยในการประชุม นำเสนองาน ต่อรองเจรจา เขียนรายงาน หรือ รวมไปถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งก็คือการสื่อสารกับบุคลากรที่ทำงานและลูกค้าที่เป็นชาวต่างชาติ

เพื่อเป็นการอัปสกิลสื่อสารภาษาอังกฤษในแง่ของเจ้าของธุรกิจและคนที่ทำงานในองค์ที่ต้องทำงานกับชาวต่างชาติ หรือ สื่อสารด้วยภาษาอังกฤษ นี่คือ 12 ตัวอย่างประโยคแบบทางการและไม่ทางการที่สามารถนำใช้สื่อสารในบริบทต่าง ๆ เพื่อเพิ่มทักษะการ เรียนภาษาอังกฤษ ความคล่องตัวและดูโปรมากขึ้นในการทำงานที่คุณควรรู้

12 ตัวอย่างประโยคแบบทางการและไม่ทางการเพื่อใช้สื่อสารในบริบทต่าง ๆ

  1. Shall we get started?

= เรามาเริ่มกันเลยดีไหม

เหมาะสำหรับเริ่มพูดคุยถึงประเด็นที่ต้องการพูดคุยในที่ประชุม / หารือหัวข้อต่าง ๆ

  1. I appreciate your presence here.

= ขอบคุณที่สละเวลามาอยู่ที่นี่

เหมาะสำหรับการนัดพบปะกับลูกค้าเมื่อมีนัดหมาย

  1. Keep me in the loop.

= อย่าลืมบอกข่าวหรือความคืบหน้าให้ฉันรู้นะ

เหมาะสำหรับการติดตามความคืบหน้าและอัปเดตต่าง ๆ เกี่ยวกับงาน

  1. Could you clarify that?

= คุณช่วยอธิบายให้ชุดเจนได้หรือไม่
เหมาะสำหรับการขอคำอธิบายเพิ่มเติมอย่างสุภาพ

  1. Let’s get the ball rolling.

= มาเริ่มกันเถอะ / ได้เวลาลงมือทำแล้ว

เหมาะสำหรับเริ่มต้นกิจกรรม โครงการ หรือกระบวนการบางอย่าง ให้มีเริ่มมีการขับเคลื่อน

  1. Let’s brainstorm some ideas.

= มาระดมสมองกันเถอะ

เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่ต้องการให้ทุกคนช่วยกัน คิดหาไอเดียหรือแนวทางใหม่ ๆ อย่างอิสระ

  1. We need to iron out the details.

= จัดการรายละเอียดให้เรียบร้อย

เหมาะสำหรับแก้ไข ปรับ หรือจัดการรายละเอียดเล็กน้อยหรือปัญหายิบย่อยให้เรียบร้อยก่อนดำเนินการทำงานั้น ๆ ต่อ

  1. Try to find a solution that works for both of us.

= มาพยายามหาวิธีแก้ไขที่เป็นประโยชน์กับทั้งสองฝ่ายกัน หรือ ลองหาทางออกที่เหมาะสมกับเราทั้งคู่

เหมาะสำหรับสถานการณ์ที่เน้นให้เกิดการตกลงกันแบบ win-win (ทั้งสองฝ่ายพอใจ) แสดงท่าที ประนีประนอม ในการเจรจา

และกระตุ้นให้อีกฝ่ายร่วมมือในการหาทางออกที่ สมดุลและยุติธรรม

  1. Does anyone have any comments on this point?

= มีใครมีความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็น / จุดนี้ไหม

เหมาะสำหรับเปิดโอกาสให้ผู้อื่นแสดงความคิดเห็นและเชิญให้ทีมมีส่วนร่วมในการพูดคุย

  1. I’ll be happy to help you with that.

= ฉันยินดีช่วยเหลือในเรื่องนั้น

เหมาะสำหรับแสดงความเต็มใจที่จะช่วยเหลือ หรือ ตอบรับคำขอความช่วยเหลือจากผู้อื่นอย่าง สุภาพและเป็นมิตร

  1. Don’t hesitate to reach out if you need anything.

= ถ้าหากคุณต้องการอะไร อย่าลังเลที่จะติดต่อมานะ

เหมาะสำหรับเมื่อต้องการ ปิดท้ายการสนทนาอย่างมืออาชีพ เมื่อพูดคุยกับลูกค้า เพื่อนร่วมงานและติดต่อกับคู่ค้า

  1. Great to meet you, let’s keep in touch.

= ยินดีที่ได้พบคุณนะ คอยติดต่อกันไว้นะ

เหมาะสำหรับการแสดงความเป็นมิตร และเปิดโอกาสให้มีความสัมพันธ์ต่อในอนาคตทางธุรกิจ

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


เชื่อหรือไม่ คาเฟอีนจาก “ชาเขียว” ช่วยกระตุ้นสมองและเผาผลาญไขมัน

เชื่อหรือไม่ คาเฟอีนจาก “ชาเขียว” ช่วยกระตุ้นสมอง เผาผลาญไขมัน ต้านอนุมูลอิสระ พร้อมบำรุงหัวใจได้ในแก้วเดียว

ชาเขียวเป็นเครื่องดื่มที่มีความนิยมอย่างแพร่หลายทั่วโลก โดยเฉพาะในแถบเอเชีย ที่ได้รับการยอมรับทั้งในแง่รสชาติและคุณประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย ไม่เพียงแค่เป็นเครื่องดื่มที่ช่วยให้ความสดชื่น แต่ยังเต็มไปด้วยสารอาหารและคุณสมบัติที่ดีต่อร่างกาย ทำให้ชาเขียวกลายเป็นตัวเลือกที่ได้รับความนิยมในการดูแลสุขภาพในปัจจุบัน

1.เต็มเปี่ยมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ

ชาเขียวมีสารคาเทชิน (Catechins) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง ช่วยป้องกันเซลล์ในร่างกายจากการทำลายของอนุมูลอิสระที่เป็นสาเหตุของโรคเรื้อรัง เช่น โรคหัวใจ โรคมะเร็ง และโรคหลอดเลือด การดื่มชาเขียวจึงเหมือนการเสริมสร้างเกราะป้องกันภายในร่างกาย

2.ช่วยในการควบคุมน้ำหนัก

การดื่มชาเขียวยังได้รับความนิยมในกลุ่มคนที่ต้องการควบคุมน้ำหนัก เพราะสารคาเทชินและคาเฟอีนในชาเขียวช่วยเพิ่มการเผาผลาญไขมันในร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยลดความอยากอาหาร ทำให้เรารู้สึกอิ่มนานขึ้น การดื่มชาเขียวจึงสามารถเป็นตัวช่วยในการลดน้ำหนักได้อย่างมีประสิทธิภาพ

3.ดีต่อสุขภาพหัวใจ

การดื่มชาเขียวเป็นประจำสามารถช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL) และไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้ยังช่วยลดการอักเสบในหลอดเลือด ทำให้ระบบไหลเวียนโลหิตทำงานได้ดีขึ้น และส่งผลให้สุขภาพหัวใจดีขึ้น

4.ส่งเสริมการทำงานของสมอง

ชาเขียวมีคาเฟอีนที่ช่วยกระตุ้นสมอง ทำให้เรารู้สึกตื่นตัว และมีสมาธิในการทำงาน แม้ว่าคาเฟอีนในชาเขียวจะมีปริมาณน้อยกว่ากาแฟ แต่ก็เพียงพอที่จะช่วยเพิ่มพลังสมอง นอกจากนี้ ชาเขียวยังมีกรดอะมิโนที่ชื่อว่าแอล-ธีอะนีน (L-Theanine) ซึ่งช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย ลดความเครียด และช่วยให้สมองทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

5.ช่วยให้ผิวพรรณสดใส

สารต้านอนุมูลอิสระในชาเขียวยังมีบทบาทสำคัญในการปกป้องผิวจากความเสียหายที่เกิดจากรังสี UV และมลภาวะ ซึ่งเป็นสาเหตุของริ้วรอยและผิวหมองคล้ำ การดื่มชาเขียวเป็นประจำจึงสามารถช่วยให้ผิวดูอ่อนเยาว์ สดใส และมีสุขภาพดี

ด้วยประโยชน์เหล่านี้ชาเขียวจึงไม่เพียงแค่เครื่องดื่มที่ช่วยให้ความสดชื่นเท่านั้น แต่ยังเป็นเครื่องดื่มที่มีประโยชน์ในการดูแลสุขภาพอย่างครบวงจร เหมาะสำหรับทุกคนที่มองหาวิธีดูแลร่างกายให้แข็งแรงจากภายใน

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 01/07/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a50,900.0051,000.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,290.0049,876.4051,800.00
ทองรูปพรรณ 90%2,961.0044,888.76n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,632.0039,901.12n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,480.5022,444.38n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,151.5017,456.74n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,409.3351,685.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/07/2568



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9533.1533.1533.6533.1533.1533.1533.1533.1533.1533.15
แก๊สโซฮอล์ 9132.7832.7833.2832.7832.7832.7832.7832.7832.7832.78
แก๊สโซฮอล์ E2030.9430.9431.4430.9430.9430.9430.9430.9430.94
แก๊สโซฮอล์ E8529.2929.2929.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.7449.8449.8449.8441.74
เบนซิน 9541.4449.8141.9441.5941.44
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV18.5518.5518.55
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า