จับตาเซ็นทรัลปิดดีลซื้อที่ดินติดเซ็นทรัลชิดลมกว่า4ลบ.ต่อตร.ว.ทุบสถิติ!
จับตาปิดดีลซื้อที่ดินผืนสุดท้ายทำเลทองใจกลางกรุงเทพฯ “ชิดลม” บริเวณ “ลานจอดรถมรกต” ของตระกูลกมลสุโกศลทุบสถิติ! สูงกว่าตารางวาละ 4 ล้าน “คอลลิเออร์ส” เผยที่ดินย่านซีบีดีราคาพุ่ง เผย10 อันดับราคาที่ดินสูงสุดปี 2567 ทำเลทอง “วิทยุ” ยืนหนึ่งตารางวาละ 3.5 ล้านบาท
- จากประกาศกระทรวงมหาดไทยเรื่องการเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2567 ที่จะถูกเก็บในอัตรา 100% ไม่มีลดหย่อนเหมือนปี 2566 ที่ลดให้ 15% และกรณีที่ดินหรือสิ่งปลูกสร้างที่ทิ้งไว้ว่างเปล่าหรือไม่ได้ทำประโยชน์ 3 ปี ติดต่อกัน ในปีที่ 4 จะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นอีก 0.3% หรือเพิ่มเท่าตัว แต่ได้ขยายเวลาชำระอีก 2 เดือน จากเดิมที่ผู้เสียภาษีจะต้องเสียภาษีภายในเดือน เม.ย. เป็นภายในเดือนมิ.ย.2567
ลุ้นปิดดีลประวัติศาสตร์ ทุบสถิติ!
แหล่งข่าวในวงการอสังหาริมทรัพย์ กล่าวว่า จากแรงกดดันการจัดเก็บภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในปี 2567 ที่จะถูกเก็บในอัตรา 100% ทำให้บรรดาเจ้าของที่ดิน หรือ แลนด์ลอร์ด ตัดสินใจนำที่ดินออกมาขายให้กับผู้ประกอบการอสังหาฯ ซึ่งต้องการที่ดินมาพัฒนาโครงการ โดยเฉพาะพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ
ล่าสุดที่ดินทำเลทองแปลงที่อยู่ระหว่างเจรจา คือ ที่ดินทำเลชิดลม เพลิตจิต บริเวณลานจอดรถมรกต ติดกับ “เซ็นทรัล ชิดลม” ซึ่งเป็นที่ดินของตระกูลกมลสุโกศลขนาด 3 ไร่ มีผู้ประกอบการอสังหาฯ รายใหญ่สนใจซื้อในราคาตารางวาละ 4 ล้านบาท และมีความเป็นไปได้ว่าราคาจะขยับไปมากกว่าตารางวาละ 4 ล้านบาท!
“หากดีลสำเร็จหมายความว่าจะเป็นการทุบสถิติการซื้อที่ดินขนาด 3 ไร่บนถนนชิดลมในราคา 4 ล้านบาทต่อตารางวาหรือไร่ละ 1,600 ล้านบาท จากก่อนหน้านี้แสนสิริซื้อที่ดินขนาด 1 ไร่ บนถนนสารสิน ในราคาตารางวาละ 3.9 ล้านบาท หรือไร่ละ 1,560 ล้านบาท เมื่อกลางปี 2563 โดยมีแผนจะพัฒนาเป็นคอนโดมิเนียมระดับไฮเอนด์ที่มีราคาต่อตารางเมตรไม่ต่ำกว่า 1 ล้านบาท”
แหล่งข่าวกล่าวต่อว่า ย่านชิดลมเป็นที่ดินทำเลศักยภาพสูง (Prime Area) ที่มีดีมานด์ความเป็นลักชัวรี ทั้งโรงแรม ที่อยู่อาศัยเกรดเอ อาคารสำนักงานพรีเมียมอย่าง “โอซีซี” เป็นแรงผลักดันให้ราคาย่านนี้ทะยานสูงขึ้นกว่าที่ดินสารสิน จากความได้เปรียบของที่ดินติดรถไฟฟ้าบีทีเอส วิวดี ติดเซ็นทรัลชิดลม มีดีมานด์กลุ่มลูกค้าลักชัวรีอย่างแท้จริง
ดังนั้นหากปิดดีลได้จะกลายเป็นดีลประวัติศาสตร์ที่ทุบสถิติราคาซื้อขายที่ดินอีกครั้ง ซึ่งจะเป็นโครงการที่สร้างสถิติใหม่ ที่มีราคาที่สูงที่สุดในประเทศทั้งราคาที่ดินและราคาขาย แน่นอนว่า “กลุ่มเซ็นทรัล“ เป็นหนึ่งในผู้สนใจในดีลนี้
“ต้นทุนที่ดินสูง”หนุนมิกซ์ยูสคำตอบสุดท้าย
ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย ประเมินว่า หากมีการซื้อขายที่ดินในการพัฒนาโครงการสูงถึง 4 ล้านบาทต่อตารางวา หรือไร่ละ 1,600 ล้านบาท รูปแบบโครงการจะต้องทำให้เกิดความคุ้มค่ามากที่สุด ซึ่งหนีไม่พ้น “โครงการมิกซ์ยูส” ที่มีทั้งที่พักอาศัย สำนักงาน หรือโรงแรม เพราะที่ดินมีขนาดใหญ่ สามารถทำอาคารสูงได้ หมายความว่าราคาขายย่อมสูงตามไปด้วย!
“จะทำคอนโดลักชัวรีก็ได้ หรืออาคารสำนัก ส่วนรีเทลเป็นแค่ส่วนเสริม หรือจะทำโรงแรมหรูก็ได้หมด ขึ้นอยู่ว่าราคาระดับไหน ขั้นต่ำ 7 แสนบาทต่อตารางเมตรไปจนถึงล้านกว่าบาทเพราะเป็นพื้นที่ไพร์มแอเรีย”
จากข้อมูลมูลค่าการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั่วประเทศของธนาคารแห่งประเทศไทยช่วง 3 ไตรมาสแรกปี 2566 มีมูลค่า 779,500.01 ล้านบาท ปรับสูงขึ้น 26% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าซึ่งมีมูลค่าอยู่ที่ 618,518.33 ล้านบาท โดยพบว่ารอบ 5 ปีที่ผ่านมา มูลค่าการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั่วประเทศยังคงมีมูลค่าการซื้อขายที่สูงกว่า 1 ล้านล้านบาทต่อปี ยกเว้นปี 2565 มีมูลค่าการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งประเทศอยู่ที่ 790,215.04 ล้านบาท ถือเป็นมูลค่าการซื้อขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้างทั้งประเทศต่ำที่สุดในรอบ 10 ปี จากปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัว เนื่องจากวิกฤติการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
แนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเนื้อหอม
ภัทรชัย กล่าวต่อว่า แนวโน้มการซื้อขายที่ดินปีนี้ยังคงคึกคัก ส่วนใหญ่เป็นภาพการซื้อขายที่ดินในพื้นที่รอบใจกลางเมือง หรือแนวรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากเทรนด์การพัฒนาของดีเวลลอปเปอร์ยังคงมุ่งเน้นไปสู่การพัฒนาโครงการแนวราบ หรือโครงการคอนโดระดับราคาไม่สูงมากเป็นส่วนใหญ่
แต่สำหรับที่ดินในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ ก็ยังคงเป็นที่จับตามองของดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่อย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน เพียงแค่ดีลที่ดินใจกลางเมืองเหล่านี้ค่อนข้างใช้เวลาในการพิจารณา ส่งผลให้การปิดดีลในแต่ละครั้งใช้เวลาที่ค่อนข้างนานเพราะราคาที่ดินบางแปลงในพื้นที่ย่านเศรษฐกิจสำคัญมีราคาเสนอขายที่สูง
ที่ดินย่านซีบีดีราคาแรงพุ่งไม่หยุด
ในทำเลย่านศูนย์กลางธุรกิจสำคัญ ประกอบด้วยทำเลหลังสวน สีลม สาทร สุขุมวิท พบว่า แลนด์ลอร์ดที่ถือครองที่ดินในพื้นที่เหล่านี้ บางรายนำที่ดินออกมาเสนอขายหรือเช่า ซึ่งพบว่าราคาเสนอเช่ายังอยู่ในเกณฑ์ค่อนข้างสูงอย่างต่อเนื่อง
“โซนสาทรหลังมีการปิดดีลการซื้อขายสถานทูตออสเตรเลียเฉลี่ยตารางวาละ 1.45 ล้านบาทก่อนหน้านี้ และช่วงปลายปี 2565 มีการปิดดีลที่ดินบางแปลงในราคาตารางวาละกว่า 2 ล้านบาท ส่วนโซนสุขุมวิทมีการซื้อขายตารางวาละ 2 ล้านบาท แทบทุกพื้นที่ในช่วงที่ผ่านมามีการปรับราคามากถึง 10% ต่อปี”
โดยเฉพาะย่านทองหล่อมีการปิดดีลที่ดินบางแปลงทำสถิติใหม่ตารางวาละกว่า 2.86 ล้านบาท ปัจจุบันริมถนนสุขุมวิททุกแปลงราคาขายสูงกว่า 2.5 ล้านบาท ส่วนย่านสีลม-สาทร ที่ดินที่มีศักยภาพสามารถพัฒนาเป็นอาคารสูงได้มีเสนอขายต่อตารางวามากกว่า 1.6-2.5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมาก
“ราคาที่ดินที่พุ่งสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องกลายเป็นปัญหาในการพัฒนาโครงการ เพราะที่ดินเป็นต้นทุนสำคัญ มีผลต่อราคาสินค้าที่จะพัฒนาออกมามีราคาสูงจนเกินกว่าผู้บริโภคจะสเข้าถึงได้ ส่งผลให้โอกาสซื้อขายแบบโอนกรรมสิทธิ์เปลี่ยนมือค่อนข้างใช้ระยะเวลาในการศึกษาและตัดสินใจค่อนข้างนาน”
เปลี่ยนจากขายเป็นเช่าหรือร่วมทุน
ขณะเดียวกันเจ้าของที่ดินเริ่มมองหาวิธีการในการสร้างรายได้จากที่ดินแทนการขาย เปลี่ยนมาให้เช่าแทน เนื่องจากมองเห็นถึงมูลค่าที่เพิ่มขึ้นของที่ดินเฉลี่ยราคาขึ้นมากกว่าปีละ 10% เฉพาะทำเลศักยภาพ ในรูปแบบของการการเช่าหรือลีสโฮลด์ (leasehold) หรือร่วมลงทุนแทนขายกรรมสิทธิ์หรือฟรีโฮลด์ (freehold)มากขึ้น เพื่อสร้างรายได้ โดยคาดการณ์ว่า ในปี 2567 ราคาเสนอขายที่ดินในพื้นที่ใจกลางกรุงเทพฯ มีการปรับขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เปิด 10 ทำเลราคาที่ดินสูงสุดปี 67
จากการรวบรวมของฝ่ายวิจัยและการสื่อสาร คอลลิเออร์ส ประเทศไทย พบว่า 10 ทำเลที่มีราคาเสนอขายที่ดินสูงที่สุดในปี 2567 ได้แก่ 1.วิทยุ ตารางวาละ 3,500,000 บาท 2.สยาม ตารางวาละ 2,900,000 บาท 3.ชิดลม ตารางวาละ 2,800,000 บาท 4.สุขุมวิท-ทองหล่อ ตารางวาละ 2,600,000 บาท 5.สุขุมวิท- อโศก ตารางวาละ 2,550,000 บาท 6.เพลินจิต ตารางวาละ 2,500,000 บาท 7.สาทรตารางวาละ 2,500,000 บาท 8.สีลม ตารางวาละ 2,000,000 บาท 9.สุขุมวิท-เอกมัย ตารางวาละ 1,800,000 บาท และ 10.เยาวราช ตารางวาละ 1,700,000 บาท
“ปัจจุบันมีที่ดินหลายแปลงมีการซื้อขายในระดับราคาที่สูงกว่าราคาเสนอขายในตลาด เนื่องจากผู้พัฒนาบางส่วนมองเห็นโอกาสหลังจากเข้าพัฒนาที่ดินดังกล่าวว่าสามารถสร้างผลตอบแทนที่ดีได้ ทำให้เราเห็นภาพการซื้อขายที่ดินไพร์มแอเรียในราคาสูงออกมาเป็นระยะๆ”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
แอสเซทไวส์ จัดงานฉลอง เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา ขอบคุณเอเจนท์ กวาดยอดขายกว่า 80%
แอสเซทไวส์ หรือ ASW จัดงาน The Colours of Phuket : The Title’s Agent Thank You Party ที่ Carpe Diem บีชคลับในภูเก็ต เพื่อขอบคุณเอเจนท์ทุกคนที่ทำยอดขายได้กว่า 80% หลังจากเปิดขายได้เพียงเดือนกว่าๆ เท่านั้น
อสังหาฯ ภูเก็ตยังไม่แผ่ว “แอสเซทไวส์” ส่งโครงการ The Title Legendary Bang-Tao หรือ เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา คอนโดมิเนียมหรูลงทำเลใจกลางหาดบางเทา ที่เพียบพร้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกระดับพรีเมียมเต็มรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้งกลุ่มลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัยรวมทั้งเพื่อการลงทุน โดยล่าสุดสามารถทำยอดขายได้แล้วกว่า 80% หลังจากเปิดขายได้เพียงเดือนกว่าๆ ด้วยความสำเร็จนี้ทางแอสเซทไวส์ หรือ ASW จึงได้ปิดบีชคลับจัดปาร์ตี้ในธีม The Colours of Phuket : The Title’s Agent Thank You Party เพื่อเป็นการขอบคุณเอเจนท์ทุกคนที่ร่วมสร้างปรากฏการณ์การขายโครงการ เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา
The Title Legendary Bang-Tao หรือ เดอะ ไทเทิล เลเจนดารี บางเทา พัฒนาโดย ร่มโพธิ์ พร็อพเพอร์ตี้ ในเครือ ASW มูลค่าโครงการ 4,500 ล้านบาท ด้านการท่องเที่ยวหาดบางเทา เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในชายหาดที่สำคัญของภูเก็ต เนื่องจากเป็นแหล่งไลฟ์สไตล์ที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว รายล้อมด้วยโรงแรมบีชคลับ ที่เป็นแหล่ง Hangout สนามกอล์ฟ ลากูน่า นอกจากนี้มีหาดทรายขาวละเอียดทอดยาวถึง 8 กิโลเมตร จึงเหมาะสำหรับการพักผ่อน โครงการออกแบบภายใต้แนวคิด “A LUXURIOUS LIFE IN THE HEART OF BANG-TAO” พร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกเต็มรูปแบบ ตอบโจทย์ทุกความต้องการทั้งกลุ่มลูกค้าชาวไทยและชาวต่างชาติ ที่ต้องการซื้อเพื่ออยู่อาศัย รวมทั้งเพื่อการลงทุน
นอกจากสิ่งอำนวยความสะดวกที่พรั่งพร้อมแล้ว ยังมีบริการ “THE ESQUIRE” ที่มอบประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เหนือระดับและเติมเต็มสิ่งใหม่ๆ ให้กับลูกบ้านเดอะไทเทิลได้อย่างสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น อาทิ ทีมงานดูแลบริหารโครงการที่มีประสบการณ์ พร้อมดูแลผู้อยู่อาศัยและให้ความใส่ใจในทุกรายละเอียดเสมือนคนในครอบครัว นอกจากนี้ยังมีบริการ Rental Service ที่หาผู้เช่าให้กับทางลูกบ้าน และยังช่วยดูแลรักษาสภาพห้องให้ดูใหม่อยู่เสมอ, Laundry Service และ Cleaning Service รวมถึงยังได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ ในช่วงเทศกาล เพื่อให้ทางลูกบ้านได้พบปะ และร่วมแชร์โมเมนต์ความประทับใจด้วยกัน รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อสังคมในโอกาสต่างๆ อีกด้วย
โครงการพร้อมเปิดให้ชมห้องตัวอย่างแล้ววันนี้ โดยมีห้องตัวอย่างให้ชมถึง 4 รูปแบบ 4 สไตล์ ที่มาพร้อมการตกแต่งในสไตล์ Modern Luxury เปิดให้เข้าชมทุกวันจันทร์ ถึงเสาร์ ตั้งแต่ 9.00 – 18.00 น. สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ ที่นี่ หรือสอบถามเพิ่มเติมโทร. 076 – 602 – 889
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 1ก.พ.”อ่อนค่า”ที่ระดับ 35.57 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways หลังผลการประชุมเฟดล่าสุดกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.35-35.65 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 1ก.พ.2567ที่ระดับ 35.57 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.47 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุนธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways หลังผลการประชุมเฟดล่าสุด ก็ไม่ได้ต่างจากที่ผู้เล่นในตลาดคาดหวัง
นอกจากนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด รวมถึงความกังวลปัญหาธนาคารภูมิภาคของสหรัฐฯ ที่เริ่มกลับเข้ามา ก็ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่า 3 ครั้ง ที่ระบุไว้ใน Dot Plot
อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวผันผวนได้พอสมควร และมีโอกาสอ่อนค่าลงบ้าง ตามแรงขายสินทรัพย์เสี่ยงของไทย หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) แต่โดยรวมเรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบกลับมาเพิ่มสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง) จนกว่าจะรับรู้รายงานยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ ทำให้เงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.70 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ง่ายนัก
ทั้งนี้ ควรจับตาผลการประชุม BOE อย่างใกล้ชิด เพราะหาก BOE กลับส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ เร็วกว่าเฟด ก็อาจยิ่งกดดันให้ เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ผันผวนอ่อนค่าลง และหนุนให้เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นต่อได้
นอกจากนี้ เงินบาทก็ยังขาดปัจจัยหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่ในช่วงนี้ ทำให้การแข็งค่าของเงินบาทจะเป็นไปอย่างจำกัด และเราคงประเมินให้ โซน 35.30 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับหลักในช่วงนี้ จนกว่าจะมีปัจจัยสนับสนุนเงินบาทที่แข็งค่าชัดเจน
ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เรายังคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว
การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.35-35.65 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนสูงและโดยรวมอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 35.27-35.62 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะผันผวนแข็งค่าในช่วงก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุมเฟด หลังรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP และดัชนีต้นทุนการจ้างงาน (Employment Cost Index) ออกมาต่ำกว่าคาด
อย่างไรก็ดี เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังเฟดมีมติคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.25%-5.50% ตามคาด และย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม จนกว่าจะมั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับเข้าสู่เป้าหมาย 2% ได้อย่างยั่งยืน ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้หนุนให้ เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ
อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังรับรู้ผลการประชุมเฟด ก็มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลง และทำให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงเล็กน้อย ซึ่งช่วยชะลอแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง ทำให้เงินบาทยังไม่ได้อ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์ ไปไกลนัก
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) สอดคล้องกับการปรับตัวลงของสัญญาฟิวเจอร์สก่อนหน้า หลังผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังกับรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทเทคฯ ใหญ่ ทั้ง Alphabet -7.5% และ Microsoft -2.7%
นอกจากนี้ การย้ำจุดยืน “ไม่รีบลดดอกเบี้ย” จนกว่าจะมั่นใจว่าคุมปัญหาเงินเฟ้อได้สำเร็จของเฟด รวมถึงความกังวลต่อปัญหาธนาคารภูมิภาค (Regional Bank) ที่บางธนาคารได้รายงานผลประกอบการที่ขาดทุนหนัก ก็มีส่วนกดดันตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลง -2.23% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -1.61%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นเล็กน้อย +0.01% โดยตลาดหุ้นยุโรปเผชิญแรงกดดันจากแรงขายหุ้นเทคฯ ที่ปรับตัวลดลงตามหุ้นเทคฯ ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากหุ้นส่วนใหญ่ที่รายงานผลประกอบการหรือคาดการณ์ผลประกอบการที่สดใส โดยเฉพาะหุ้นกลุ่ม Healthcare เช่น Novo Nordisk +3.6%, GSK +2.0%
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่าเฟดจะย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย ทว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็ยังคงคาดหวังว่า ถ้าเฟดเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนพฤษภาคม เฟดก็อาจทยอยลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องในทุกครั้งการประชุม
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทอ่อนค่าทะลุแนว 35.50 ในช่วงเช้า แต่ก็ปรับตัวกลับมาเคลื่อนไหวที่ระดับประมาณ 35.45-35.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.43 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.47 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชียอ่อนค่าลง
ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นรับสัญญาณจากประธานเฟดที่สะท้อนว่า เฟดจะยังไม่ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนมี.ค. ที่จะถึงนี้ อย่างไรก็ดี ช่วงขาขึ้นของเงินดอลลาร์ฯ ยังจำกัด เพราะเฟดยังมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยในรอบการประชุมที่เหลือของปี
สำหรับผลการประชุมเฟดนั้น แม้เฟดจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่กรอบ 5.25-5.50% ตามการคาดการณ์ของตลาด อย่างไรก็ดี เฟดยังคงมีท่าทีกังวลต่อสถานการณ์เงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่แม้จะชะลอลง แต่ก็ยังอยู่สูงกว่าระดับเป้าหมายของเฟด และเงินเฟ้อน่าจะยังไม่เข้าสู่ระดับที่สามารถควบคุมได้ภายในเดือนมี.ค.นี้ ซึ่งทำให้เฟดไม่สามารถระบุอย่างเจาะจงลงไปได้ว่า จะปรับลดดอกเบี้ยในเดือนมี.ค.นี้…จากผลการประชุมดังกล่าว กระตุ้นให้ตลาดทยอยปรับลดโอกาสความเป็นไปได้ที่จะเห็นเฟดปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุม FOMC วันที่ 19-20 มี.ค. นี้ ลงมาที่ 35% และกลับไปเพิ่มโอกาสของการลดดอกเบี้ยในรอบการประชุม 30 เม.ย. – 1 พ.ค. แทน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.40-35.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ การตอบรับต่อผลการประชุมเฟด ผลการประชุม BOE อัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค. ของยูโรโซน ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโรโซน และอังกฤษ รวมถึงดัชนี ISM/PMI ภาคการผลิตเดือนม.ค. และตัวเลขจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เมย์ รัชนก” นำทัพขนไก่ไทยเข้ารอบสองแบดมินตันไทยแลนด์ มาสเตอร์ส
3 นักแบดมินตันไทยอย่าง “เมย์” รัชนก อินทนนท์ , “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ และ “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย ผ่านเข้ารอบสองแบดมินตันปรินเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024 ไปได้อย่างยอดเยี่ยม
การแข่งขันแบดมินตันรายการใหญ่ระดับนานาชาติในศึก “ปรินเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024” (Princess Sirivannavari Thailand Masters 2024) ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา ทัวร์นาเมนต์เก็บคะแนนสะสม ระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 210,000 เหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 7,240,000 บาท ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร เมื่อวันพุธที่ 31 ม.ค.67 เป็นการแข่งขันในเมนดรอว์รอบแรก
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มือวางอันดับ 1 ของรายการ มืออันดับ 13 ของโลก พบกับ คารูพาเทวาล เลสชาน่า มืออันดับ 57 ของโลกจากมาเลเซีย
เกมนี้ เมย์ รัชนก โชว์ฟอร์มได้อย่างยอดเยี่ยม ตบเอาชนะไปได้แบบง่ายดาย 2-0 เกม 21-13 และ 21-9 “เมย์” รัชนก ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ โทโมกะ มิยาซากิ มืออันดับ 40 ของโลกจากญี่ปุ่น
เมย์ รัชนก เปิดใจหลังผ่านเข้ารอบ 2 แบดมินตัน ไทยแลนด์ มาสเตอร์ 2024 ได้ว่า “ในช่วงของการทดสอบสนาม ตนไม่ได้เดินทางมาฝึกซ้อม เนื่องจากติดธุระ ทำให้พอตอนแข่งขันจริงก็พยายามประคองทุกอย่างให้เข้าที่เข้าทางมากที่สุด ช่วงแรกอาจจะยังจับจังหวะการเล่นได้ไม่ดี มีช้าไปบ้าง ช่วงหลังๆจึงปรับความเร็วในการเล่นเพิ่มขึ้น ออกลูกเร็วขึ้น เพื่อให้คู่แข่งไม่ทันกับเกมการเล่นของเรา สำหรับตนอยากโฟกัสไปที่ละรอบ แมตช์ต่อไปจะเจอใครก็ประมาทไม่ได้ และก็เตรียมทำการบ้านเพื่อรอรับมือ”
“การได้กลับมาแข่งขันในประเทศไทย ยอมรับว่ามีความตื่นเต้นเหมือนกัน และกดดันนิดหน่อย ซึ่งก็ถือเป็นเรื่องปกติที่จะเกิดขึ้นกับสิ่งที่ตัวเราคาดหวังกับความสำเร็จ ซึ่งเมย์ ก็พยายามสนุกกับเกมการเล่นให้มากที่สุด ส่วนเรื่องสภาพร่าง
กายที่ต้องพักไป 3 เดือน ถือว่าดีขึ้นเรื่อยๆค่ะ ก็พยายามไม่เร่งตัวเองและไม่ได้กดดันตัวเองกับเป้าหมายที่ว่าต้องเรียกฟอร์มเก่งให้กลับมาไวๆ หรือต้องเข้ารอบลึกๆให้ได้ตลอด เมย์รู้สึกว่า ตอนนี้เราเพิ่งอยู่ในช่วงที่เราเพิ่งกลับมาจากอาการบาดเจ็บ
และการกลับมาลงเล่นได้อีกครั้ง เมย์รู้สึกว่าอยากจะให้ตัวเองเล่นอย่างเป็นธรรมชาติมากที่สุด”
ด้าน “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มือวาง 5 ของรายการ มืออันดับ 19 ของโลก เอาชนะ ไอมัด ซามิย่า มืออันดับ 74 ของโลกจากอินเดีย 2-0 เกม 21-14 ,21-18 ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ มัลวิกา บันโสด มืออันดับ 55 ของโลกจากอินเดีย
ประเภทคู่ผสม รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มือวาง 1 ของรายการ คู่มืออันดับ 6 ของโลก พบกับ ชุง ฮอนเจียน กับ โก เพ่ยคี คู่มืออันดับ 50 ของโลกจากมาเลเซีย แมตช์นี้ บาส กับ ปอป้อ โชว์ฟอร์มแบบไม่ยากเอาชนะไปแบบสบายมือ 2-0 เกม 21-7 และ 21-14 “บาส” เดชาพล กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ เฉิน ซิง กับ จาง ชิ คู่มืออันดับ 138 ของโลกจากจีน
ขณะที่ “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 16 ของโลก เอาชนะ วิลสัน ชิว กับ เจนนี่ ไก คู่มืออันดับ 31 ของโลกจากสหรัฐ 2-1 เกม 21-13,20-22,21-13 “เอ็ม” สุภัค กับ “เฟม” ศุภิสรา ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ เคียวเฮอิ ยามาชิตะ กับ นารุ ชิโนยะ คู่มือวาง 7 ของรายการ คู่มืออันดับ 19 ของโลกจากญี่ปุ่น
ประเภทชายคู่ “พี” พีรัชชัย สุขพันธ์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล คู่มืออันดับ 76 ของโลก เอาชนะ ดาเนียล ลุนการ์ด กับ แมทร์ เวสเตอร์การ์ด คู่มืออันดับ 35 ของโลกจากเดนมาร์ก 2-1 เกม 21-13,16-21,21-13 , “ปุ้น” ธนดล พันธ์พานิช กับ “อเล็กซ์” วชิรวิทย์ โสทน คู่มืออันดับ 89 ของโลก แพ้ให้กับ รามัด ฮิดดายัด กับ เยมีเรีย อีริค ยาคอบ รัมบิตัน คู่จากอินโดนีเซีย 0-2 เกม 15-21,19-21 , “ภีม” ภรัณยู ขาวสำอางค์ กับ “ทีม” วรพล ทองสง่า คู่มืออันดับ 39 ของโลก แพ้ให้กับ โค ซุนฮุน กับ ชิน เบ็คชอย คู่มืออันดับ 160 ของโลกจากเกาหลีใต้ ไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 15-21,21-17,19-21
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
Social Addiction โรคติดสื่อสังคมออนไลน์ เสี่ยงก่อภาวะ ซึมเศร้า
ในปัจจุบันเทคโนโลยี เข้ามามีบทบาทสำคัญในชีวิตประจำวันของผู้คนมากขึ้น ในบางครั้งสมาร์ทโฟเปรียบเสมือนเป็นปัจจัยที่ 5 ของมนุษย์เลยก็ว่าได้ ทั้งนี้เพราะ สมาร์ทโฟนสามารถทำให้เราเข้าถึงข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่ายและรวดเร็ว ทั้งนี้รวมถึงการเข้าถึงสื่อสังคมออนไลน์ (Social media) เช่น Facebook Twitter Instagram และ Instant messaging อื่น ๆ ด้วย
ร.อ.หญิง พญ.กานติ์ชนิต ผลประไพ จิตแพทย์ โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า เดิมทีมนุษย์เป็นสัตว์สังคมซึ่งต้องการการยอมรับจากผู้คนรอบข้าง ดังนั้นการที่เราสามารถเข้าถึงโซเชียลมีเดียได้ง่ายขึ้นมากในปัจจุบัน ทำให้มีความเสี่ยงในการเสพติดสื่อสังคมออนไลน์ได้ง่ายขึ้นมากตามไปด้วย โดยเราสามารถสังเกตตนเองว่ามีอาการของโรคติดสื่อสังคมออนไลน์นี้ได้จากลักษณะอาการหลายประการที่มีความเป็นไปได้สูงที่จะพบ
ปัญหาการติด Social media และอาจก่อให้เกิดภาวะของโรคซึมเศร้า โรคเครียด วิตกกังวล สมาธิสั้น และไบโพลาร์ได้เนื่องจากการจดจ่ออยู่กับสมาร์ทโฟนหรือโซเชียลมีเดียเป็นเวลานานตลอดวันจะทำให้มีเวลาในการพักผ่อนน้อยลง และเกิดการฝั่งตัวเองในโลกออนไลน์มากเกินไปจนตัดขาดจากผู้คนรอบข้าง ผู้ป่วยบางรายใช้ชีวิตในโลกสมมติมากกว่าโลกแห่งความเป็นจริงเสียอีก เริ่มต้นเช็กอาการกันได้ดังนี้
- อยู่กับโซเชียลมีเดีย มากกว่าที่ตั้งใจไว้
- ช่วงเวลาที่ไม่ได้ใช้โซเชียลมีเดีย มักจะมีอาการกระวนกระวายใจหรือหงุดหงิด
- หากเราพยายามที่จะควบคุมการเข้าถึงโซเชียลมีเดียของตัวเองแต่ไม่สามารถควบคุมได้
- คิดถึงโซเชียลมีเดีย อยู่เรื่อย ๆ ไม่ว่ากำลังทำอะไรอยู่ก็ตาม
- เวลาที่เครียดมักจะใช้โซเชียลมีเดียเพื่อคลายเครียด
- มีการโกหกหรือปิดบัง เพื่อที่จะได้เล่นโซเชียลมีเดีย
- โซเชียลมีเดียเป็นสาเหตุให้เกิดปัญหาการทำงานหรือเกิดปัญหาความสัมพันธ์กับคนใกล้ชิด
ลักษณะอาการเหล่านี้ เป็นตัวชี้บอกได้ว่าสื่อสังคมออนไลน์เริ่มมีผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจำวันแล้ว ซึ่งตัวเราเองสามารถป้องกันและแก้ไขปัญหาโรคติดสื่อสังคมออนไลน์ได้ในเบื้องต้น ได้แก่ พยายามจำกัดเวลาการใช้โซเชียลมีเดียให้ลดลงหรือกำหนดเวลาให้แน่ชัด โดยสามารถใช้การตั้งเตือนก่อนที่จะครบเวลาที่กำหนดช่วยด้วย และพยายามหากิจกรรมอื่นทำ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ เช่น งานอดิเรกที่สนใจ การออกกำลังกาย การพบปะเพื่อนหรือญาติ การไปท่องเที่ยว การหากิจกรรมคลายความเครียด
ดังนั้นหากพบว่าตนเองหรือคนรอบข้างมีอาการของ Social Addiction ดังกล่าวข้างต้น แล้วไม่สามารถจัดการกับตัวเองด้วยวิธีเบื้องต้นได้ ก็ควรนัดหมายเข้าพบจิตแพทย์เพื่อคัดกรอง วินิจฉัย และรักษาปัญหา Social addiction และโรคร่วมอื่น ๆ ทางจิตเวชต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
อัปเดตข้อหา “เมาแล้วขับ” ปี 2567 มีโทษอย่างไรบ้าง?
อัปเดตข้อหา “เมาแล้วขับ” ปี 2567 มีโทษปรับ-จำคุกอย่างไรบ้าง?
โทษข้อหาเมาแล้วขับ
มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับตั้งแต่ 5,000 – 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และพักใช้ใบอนุญาตขับรถไม่ต่ำกว่า 6 เดือน
เมาแค่ไหนถึงจะเรียกว่าเมาแล้วขับ
- ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 50 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 5,000-20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และถูกพักใช้ใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน
- ปริมาณแอลกอฮอล์ในเลือด 20 มิลลิกรัมเปอร์เซ็นต์ กรณีผู้ขับขี่ที่มีอายุน้อยกว่า 20 ปีบริบูรณ์ หรือมีใบอนุญาตขับรถชั่วคราว (แบบ 2 ปี) ถือเป็นผู้เมาสุรา
ไม่เป่า = เมาแล้วขับ
การปฏิเสธเป่าวัดแอลกอฮอล์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี ปรับ 10,000 – 20,000 บาท ระงับใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน และศาลสามารถสั่งพักใบอนุญาตขับรถ หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ และสามารถยึดรถไว้ไม่เกิน 7 วัน
โทษเมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ-เสียชีวิต
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บ
จำคุกตั้งแต่ 1-5 ปี ปรับ 20,000-100,000 บาท และถูกสั่งพักใช้ใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 6 เดือน หรือเพิกถอนใบอนุญาตขับรถ
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นบาดเจ็บสาหัส
จำคุกตั้งแต่ 2-6 ปี ปรับ 40,000-120,000 บาท ระงับใบอนุญาตขับรถไม่น้อยกว่า 2 ปี
เมาแล้วขับจนทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
จำคุกตั้งแต่ 3-10 ปี ปรับตั้งแต่ 60,000-200,000 บาท และเพิกถอนใบอนุญาตขับรถทันที
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
น้ำมะนาวลดน้ำหนัก ดื่มก่อนนอนทุกวัน หุ่นสวยสุขภาพแข็งแรงทุกวัน
น้ำมะนาว ไม่ได้มีเพียงแค่รสชาติเปรี้ยวจี๊ดสะใจที่จะคอยปลุกคืนความสดชื่นให้แก่ร่างกายแต่เพียงเท่านั้น แต่การดื่มน้ำมะนาวยังสามารถบำรุงร่างกายให้แข็งแรง และยังเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับสาวๆ ที่ต้องการลดน้ำหนักอีกด้วย
ประโยชน์ของน้ำมะนาว
การดื่มน้ำมะนาวไม่ว่าจะดื่มตอนเช้าหรือก่อนนอนก็ล้วนมีดีต่อสุขภาพร่างกายทั้งสิ้น เพราะมะนาวเป็นผลไม้ที่อุดมไปด้วยวิตามินซีสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระ นอกจากนี้ ยังมีวิตามินบี แร่ธาตุ แคลเซียม แมกนีเซียม ฟอสฟอรัส ไฟเบอร์และโปรตีนอยู่ในตัวด้วยเช่นเดียวกัน
น้ำมะนาวยังมีกรดซิตริก และกรดมาลิกเป็นส่วนประกอบ ซึ่งเมื่อกรดดังกล่าวได้ผ่านกระบวนการย่อยของร่างกายไปแล้วก็จะแปรเปลี่ยนสภาพมาเป็นด่างที่ให้ประโยชน์กับร่างกาย โดยจะช่วยคงความสมดุลของค่า pH ในร่างกายคนเรา และหากสาวๆ ดื่มน้ำมะนาวก่อนนอนอยู่เป็นประจำ สารอาหารดีๆ จากน้ำมะนาวก็จะบำรุงร่างกายให้แข็งแรงยิ่งขึ้น ช่วยสร้างเสริมระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง ไม่เจ็บป่วยเป็นหวัดได้ง่ายและยังช่วยบำรุงกระดูกให้แข็งแรงด้วยเช่นเดียวกัน เรียกว่าจะช่วยบำรุงสุขภาพโดยรวมให้ดีขึ้นได้อย่างแน่นอนค่ะ
ดื่มน้ำมะนาวก่อนนอนจะช่วยลดน้ำหนักได้จริงหรือไม่?
หลายคนย่อมเคยได้ยินเกี่ยวกับมะนาวลดน้ำหนัก ลดความอ้วนกันมาไม่น้อย ซึ่งหลายคนก็ยังอาจค้างคาใจกันอยู่ว่าการดื่มน้ำมะนาวจะสามารถช่วยลดน้ำหนักลงได้จริงหรือไม่ อันที่จริงแล้ว ผลไม้รสเปรี้ยวชนิดดังกล่าวสามารถช่วยลดพุงในสาวๆ ได้เป็นอย่างดีทีเดียว ซึ่งวิธีการดื่มน้ำมะนาวลดน้ำหนัก ลดความอ้วนหรือลดพุงก็ทำได้ง่ายดายอย่างมาก เพียงผสมน้ำมะนาว 1 ลูกกับน้ำอุ่น 1 แก้ว คนให้เข้ากัน จากนั้นดื่มเป็นประจำทุกวันหลังจากตื่นนอนหรือเข้านอน เพียงเท่านี้กรดจากน้ำมะนาวก็จะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของระบบขับถ่าย ทำให้คุณขับถ่ายคล่อง น้ำมะนาวจึงเป็นเครื่องดื่มดีท็อกซ์ที่จะคอยกำจัดสารพิษตกค้างออกจากลำไส้ และนี่ก็คือวิธีลดน้ำหนักด้วยตัวเองที่แสนทำง่ายและได้ผลดีจริงๆ
ดื่มน้ำมะนาวลดพุงและช่วยกระตุ้นการขับถ่าย
สำหรับใครที่มีปัญหาท้องผูกหรือขับถ่ายยากอยู่เป็นประจำ แนะนำให้ใช้สูตรน้ำมะนาวแก้อาการท้องผูกตามนี้เลยค่ะ เพียงใช้น้ำมะนาว 1 1/2 ลูก ผสมกับน้ำอุ่น 2 แก้วกาแฟ คนให้เข้ากันแล้วนำมาดื่มเป็นประจำทุกคืนก่อนนอน น้ำมะนาวอุ่นๆ ที่เราดื่มเข้าไปจะเข้าไปกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ในขณะที่กรดและไฟเบอร์จากมะนาวจะช่วยกำจัดสิ่งสกปรกที่ตกค้างอยู่ในลำไส้ให้หลุดออกไปในยามขับถ่ายตอนเช้า เมื่อสาวๆ ขับถ่ายเป็นประจำ ไร้ปัญหาท้องผูก แน่นอนว่าหน้าท้องก็ย่อมแบนเรียบขึ้น คราวนี้ก็หมดกังวลปัญหาพุงย้วยได้อย่างง่ายดายแล้ว
เห็นหรือยังคะว่าประโยชน์จากการดื่มน้ำมะนาวนั้นมีดีเพียงใด มะนาวลดน้ำหนัก ลดความอ้วน ลดพุงและลดความเสี่ยงในการเกิดโรคได้ สาวๆ คนไหนอยากสุขภาพแข็งแรง มีหุ่นดีพร้อมๆ กัน ต้องหันมาดื่มน้ำมะนาวก่อนนอนทุกวันแล้วนะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 01/02/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 34,250.00 | 34,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,219.00 | 33,640.04 | 34,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,997.10 | 30,276.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,775.20 | 26,912.03 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 999.00 | 15,144.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 777.00 | 11,779.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,299.00 | 34,852.84 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 01/02/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.55 | 37.55 | 38.05 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 | 37.55 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.78 | 35.78 | 36.58 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.44 | 35.44 | 36.24 | 35.44 | 35.44 | – | 35.44 | 35.44 | 35.44 | 35.44 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.59 | 35.59 | – | – | – | – | – | – | – | 35.59 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.54 | 49.54 | 49.54 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 45.44 | – | – | – | 46.61 | – | 45.94 | 45.59 | – | 45.44 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 46.94 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |