สาระน่ารู้ประจำวันที่ 02 กันยายน 2567

รีเจกต์เรตพ่นพิษ!เสนาฯเบรกเหลือ13โครงการยกระดับร่วมทุนฮันคิวเสริมแกร่ง

พิษรีเจกต์เรตพุ่ง เสนาฯเบรกเปิดตัวโครงการใหม่จาก17โครงการเหลือ13โครงการ พร้อมประกาศยกระดับร่วมทุนฮันคิวเสริมแกร่ง ผุดบริษัท “เสนา เอชเอชพี” หวังเพิ่มความน่าเชื่อถือ ความมั่นคงด้านเงินทุนและประสิทธิภาพ ตั้งเป้าพัฒนาโครงการปีละ 4-7 โครงการตามภาวะเศรษฐกิจ

เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญปัญหาอัตราการปฏิเสธสินเชื่อ (Reject Rate)สูง70% ทำให้บริษัทปรับเป้าการเปิดตัวโครงการปีนี้ลดลงเหลือ 13 โครงการจากเดิมวางแผนที่เปิด17 โครงการ ส่งผลให้อาจต้องปรับเป้ารายได้และยอดขายให้สอดคล้องกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไป หากตลาดดีขึ้นอาจมีการปรับเพิ่มขึ้นได้

“หลังโควิดพฤติกรรมการซื้ออสังหาของคนเปลี่ยนไปจากเดิมซื้อช่วงพรีเซลเปลี่ยนมาเป็นซื้อโครงการพร้อมอยู่ เพราะไม่ต้องจ่ายเงินดาวน์นานถึง 20 เดือนเหมือนอดีต”

เกษรา  กล่าวว่า แนวโน้มครึ่งหลังปี สถานการณ์น่าจะดีกว่าช่วงครึ่งปีแรกโดยบริษัทมียอดขายที่รอรับรู้รายได้จากการโอน(Backlog)7,000 ล้านบาทที่จะทยอยรับรู้รายได้ 3,500 ล้านบาทในปลายปีนี้ส่วนที่เหลือจะรับรู้รายได้ในปี 2568 นอกจากนี้ยกระดับการร่วมทุนภายใต้บริษัท เสนา เอชเอชพี จำกัด เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายจากปัจจัยลบ 

เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ 3 ด้าน ซึ่งประกอบด้วย 1. Credibility คือ ความเชื่อมั่นจากความร่วมมือในระยะยาวกับบริษัทต่างชาติ การผสมผสานความร่วมมือ และการทำงานแบบมืออาชีพ 2. Financial คือความมั่นคงในด้านเงินทุน การบริหารจัดการต้นทุนที่จะมีประสิทธิภาพและโอกาสเข้าถึงแหล่งเงินทุน และ 3. Efficiency ที่จะช่วยยกระดับการทำงานให้รวดเร็วและยืดหยุ่นมากยิ่งขึ้นเพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคในปัจจุบัน

” เชื่อว่าบ้านที่อบอุ่นจะมีลูกดก มากกว่า7ปีที่ผ่านมาที่มีโครงการร่วมกันถึง66โครงการมูลค่า 83,000 ล้านบาท ครอบคลุมทุกเซกเมนต์ตั้งแต่ราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท-12 ล้านบาท แบ่งเป็น คอนโด 54 โครงการ และแนวราบ 12 โครงการ “

มาซะฮิโกะ โทดะ กรรมการบริหาร บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป กล่าวว่า ตั้งแต่ปี 2559 บริษัทได้นำเงินมาลงในไทย 25,000 ล้านเยน หรือประมาณ 6,300 – 6,500 ล้านบาทและในอนาคตจะใช้กำไรจากโครงการเดิมพร้อมกับเงินลงทุนเพิ่มปีละ 2,500 ล้านเยนหรือประมาณ 600 ล้านบาทเพื่อพัฒนาโครงการปีละ 4-7 โครงการตามความเหมาะสม  

ล่าสุดบริษัทจะเริ่มเปิดตัวโครงการใหม่จำนวน 4 โครงการ โครงการแรกอยู่ในทำเลอ่อนนุชมีมูลค่า 1,800 ล้านบาท โครงการที่สองอยู่ทำเลคู้บอน มูลค่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งในโครงการจะเน้นแนวคิดบ้านพลังงานเป็นศูนย์และคอนโด โลว์คาร์บอนพร้อมผสมผสานเทคโนโลยี และนวัตกรรมจากญี่ปุ่นเพื่อสร้าง Decarbonized Lifestyle ให้กับลูกบ้าน และสร้างสังคมการใช้ชีวิตที่ยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


มท.ประกาศ บ้านเดี่ยว ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว บ้านแฝด ต้องมีระบบบำบัดน้ำเสีย

กระทรวงมหาดไทยประกาศราชกิจจานุเบกษา มีผลทันที กำหนดให้ อาคารพักอาศัยประเภทบ้านเดียว ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว บ้านแฝด ต้องจัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสียที่ประกอบด้วยส่วนเกรอะ ส่วนบำบัด และส่วนระบายน้ำทิ้ง ตามรูปแบบที่กำหนด

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม 2567 เว็บไราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ ประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่อง ระบบบำบัดน้ำเสียของอาคารประเภท ง ตามข้อ ๓ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๔ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๖๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวงฉบับที่ ๕๑ (พ.ศ. ๒๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ และอาคารพักอาศัยประเภทบ้านเดียว ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว หรือบ้านแฝด

โดยที่เป็นการสมควรกำหนดหลักเกณฑ์ เรื่อง ระบบบำบัดน้ำเสียของอาคารประเภทแห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๔ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคารพ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๕๑ (พ.ศ. ๒๕๕๔๑) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๖ และอาคารพักอาศัยประเภทบ้านเดียว ห้องแถว ตึกแถวบ้านแถว หรือบ้านแฝด ซึ่งเป็นรายละเอียดด้านเทคนิคที่มีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว

อาศัยอำนาจตามความในมาตรา ๘ วรรคสอง แห่งพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร (ฉบับที่ ๕) พ.ศ. ๒๕๕๘ ประกอบกับข้อ ๗ แห่งกฎกระทรวง ฉบับที่ ๔๔ (พ.ศ. ๒๕๓๘) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยกฎกระทรวง ฉบับที่ ๗๑ (พ.ศ. ๒๕๖๖) ออกตามความในพระราชบัญญัติควบคุมอาคาร พ.ศ. ๒๕๒๒ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมอาคาร ออกประกาศไว้ ดังต่อไปนี้

ข้อ ๑ ประกาศนี้ให้ใช้บังคับนับแต่วันประกาศในราชกิจจานุเบกษาเป็นต้นไป

ข้อ ๒ ในประกาศนี้

“อาคารพักอาศัย” หมายความว่า อาคารซึ่งโดยปกติบุคคลใช้อยู่อาศัยได้ทั้งกลางวันและกลางคืน ไม่ว่าจะเป็นการอยู่อาศัยอย่างถาวร หรือชั่วคราว

“ปริมาตรใช้งาน” หมายความว่า ปริมาตรของส่วนเกรอะ หรือส่วนบำบัด หรือระบบบำบัดนำเสียที่คิดจากปริมาตรรวมของน้ำในส่วนเกรอะหรือส่วนบำบัดหรือระบบบำบัดน้ำเสีย ถึงระดับสูงสุดซึ่งเป็นระดับใช้งาน

“ระดับใช้งาน” หมายความว่า ระดับสูงสุดของน้ำในส่วนเกรอะ หรือส่วนบำบัดหรือระบบบำบัดน้ำเสีย จนถึงก้นท่อทางออกของส่วนเกรอะ หรือส่วนบำบัด หรือระบบบำบัดน้ำเสียนั้น

หมวด ๑ บททั่วไป

ข้อ ๓ ประกาศนี้กำหนดรายละเอียดด้านเทคนิคเกี่ยวกับการออกแบบระบบบำบัดน้ำเสีย

(๑) รูปแบบของระบบบำบัดน้ำเสีย ดังต่อไปนี้

(๒) ปริมาตรใช้งานขั้นต่ำแต่ละส่วนของระบบบำบัดน้ำเสีย

(๓) คุณลักษณะด้านความมั่นคงแข็งแรงของระบบบำบัดน้ำเสีย
ข้อ ๔ ประกาศนี้ให้ใช้กับการออกแบบระบบบำบัดน้ำเสียของอาคาร ดังต่อไปนี้

(๑) อาคารพักอาศัยประเภทบ้านเดียว ห้องแถว ตึกแถว บ้านแถว หรือบ้านแฝด

(๒) หอพักตามกฎหมายว่าด้วยหอพักที่มีจำนวนห้องนอนรวมกันทกชั้นในอาคารหลังเดียวกัน หรือหลายหลังรวมกันตั้งแต่ ๑๐ ห้อง แต่ไม่ถึง ๕๐ ห้อง

(๓) อาคารอยู่อาศัยรวมที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นในอาคารหลังเดียวกันหรือหลายหลังรวมกัน ไม่เกิน ๒,๐๐๐ ตารางเมตร

(๔) สถานบริการตามกฎหมายว่าด้วยสถานบริการที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นในอาคารหลังเดียวกัน หรือหลายหลังรวมกันไม่ถึง ๑,๐๐๐๐ ตารางเมตร

สถานศึกษาที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นในอาคารหลังเดียวกันหรือหลายหลังรวมกันไม่ถึง ๕,๐๐๐ ตารางเมตร

(๖) อาคารที่ทำการของราชการ รัฐวิสาหกิจ องค์การระหว่างประเทศหรือเอกชนที่มีพื้นที่ รวมกันทุกชั้นในอาคารหลังเดียวกันหรือหลายหลังรวมกันไม่ถึง ๕,๐๐๐๐ ตารางเมตร

(๗) ห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์การค้าที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นในอาคารหลังเดียวกันหรือหลายหลังรวมกันไม่ถึง ๑,๐๐๐ ตารางเมตร

(๘) ตลาดที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นในอาคารหลังเดียวกันหรือหลายหลังรวมกันตั้งแต่ ๕๐๐ ตารางเมตร แต่ไม่ถึง ๑,๐๐๐ ตารางเมตร

(๙) ภัตตาคารหรือร้านอาหารที่มีพื้นที่รวมกันทุกชั้นในอาคารหลังเดียวกันหรือหลายหลังรวมกันตั้งแต่ ๑๐๐ ตารางเมตร แต่ไม่ถึง ๒๕๐ ตารางเมตร

(๑๐) โรงพยาบาลของทางราชการ หรือสถานพยาบาลตามกฎหมายว่าด้วยสถานพยาบาล ที่มีจำนวนเตียงรับผู้ป่วยไว้ค้างคืนรวมกันทุกชั้นในอาคารหลังเดียวกันหรือหลายหลังรวมกันไม่ถึง ๑๐ เตียง 

กรณีห้องแถวหรือตึกแถวไม่ได้ใช้เพื่อการพักอาศัยให้พิจารณาตาม (๒) ถึง (๑๐) 

ข้อ ๕ อาคารตามข้อ ๔ ต้องจัดให้มีแบบแปลนและรายการประกอบแบบแปลนประกอบการยื่นขออนุญาตก่อสร้างหรือดัดแปลงอาคาร แบบแปลนต้องมีมาตราส่วนเหมาะสมเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นภาพรวมและรายละเอียดที่จำเป็นได้ครบถ้วน โดยมีรายละเอียดที่ต้องแสดง ดังต่อไปนี้                       

(๑) แบบแปลนแสดงตำแหน่งระบบบำบัดน้ำเสีย แนวท่อน้ำเสียเข้า แนวท่อระบายน้ำทิ้งที่สัมพันธ์กับตำแหน่งของที่ตั้งอาคารและขอบเขตพื้นที่โครงการ และตำแหน่งฝาของระบบบำบัดน้ำเสียที่ใช้เพื่อการดูแลและบำรุงรักษา

(๒) แบบแปลนต้องแสดงแบบแสดงระดับพื้นที่ตั้งสุขภัณฑ์ซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดนำเสียจากอาคารระดับกันท่อน้ำเสียเข้า ระดับที่ติดตั้งระบบบำบัดน้ำเสีย ระดับกันท่อน้ำทิ้งออก ระดับทางระบายน้ำ รองรับน้ำทิ้ง (ถ้ามี) และระดับพื้นผิวต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องทั้งหมด ซึ่งแสดงว่าน้ำเสียไหลจากแหล่งกำเนิดน้ำเสียผ่านระบบบำบัดน้ำเสียเป็นน้ำทิ้งที่ระบายสู่แหสู่แหล่งรองรับน้ำทิ้งได้

(๓) แบบแปลนแสดงรายละเอียดส่วนประกอบของระบบบำบัดน้ำเสีย และระบบระบายนำทิ้ง พร้อมรูปตัดที่จำเป็น
หมวด ๒ รูปแบบของระบบบำบัดน้ำเสีย

ข้อ ๖ อาคารตามข้อ ๔ (๑) (๒) (๓) (๔) (๕) (๖) (๗) (๘) และ (๙) ต้องจัดให้มีระบบบำบัดน้ำเสียที่ประกอบด้วยส่วนเกรอะ ส่วนบำบัด และส่วนระบายน้ำทิ้ง โดยต้องมีรูปแบบ ดังต่อไปนี้

(๑) มีขนาดของระบบบำบัดน้ำเสียที่สามารถรองรับปริมาณน้ำเสียที่เข้าสูงสุดในรอบวัน โดยต้องมีขนาดที่สามารถแยกและเก็บกากไขมันได้เพียงพอ โดยขนาดของระบบบำบัดนำเสียต้องไม่น้อยกว่าที่กำหนดไว้ในประกาศนี้

(๒) กำหนดระดับพื้นห้องน้ำ ห้องส้วม และสุขภัณฑ์ที่สูงเพียงพอให้สามารถระบายน้ำเสียเข้าระบบบำบัดนำเสียและระบายออกไปทางท่อน้ำทิ้งได้โดยแรงโน้มถ่วง โดยมีระยะระหว่างกันท่อน้ำเสียเข้า และก้นท่อนำทิ้งออกจากถังบำบัดน้ำเสียไม่น้อยกว่า ๕ เซนติเมตร และมีปริมาตรส่วนที่เป็นอากาศเหนือระดับก้นท่อออกไม่น้อยกว่าร้อยละสิบของปริมาตรใช้งานของระบบในส่วนนั้น

กรณีที่ไม่สามารถระบายนำเสียเข้าระบบบำบัดนำเสียและระบายออกไปทางท่อน้ำทิ้งได้โดยแรงโน้มถ่วงของโลก ต้องจัดให้มีระบบที่สามารถทำให้ระบายน้ำเสียหรือน้ำทิ้งได้ได้โดยสะดวก

(๓) ระบบบำบัดน้ำเสียอยู่ในตำแหน่งที่เหมาะสม ส่วนที่รับน้ำเสียจากห้องส้วม ต้องมีลักษณะมิดชิดมีช่องเปิดและฝาปิดมิดชิดป้องกันกลิ่น โดยมีขนาดช่องเปิดที่ใหญ่เพียงพอ และอยู่ในตำแหน่งที่ใช้ตรวจสอบ ดูแล และ บำรุงรักษาได้สะดวก ให้รถสูบสิ่งปฏิกูลที่มีใช้ในท้องถิ่นสามารถวางท่อดูดมาเก็บขนกากและไขมันได้ และให้มีช่องเปิด หรือ มีวิธีการทำความสะอาดตัวกลางเพื่อเลี้ยงฟิล์มชีวภาพที่เพียงพอ

(๔) ห้ามต่อท่อน้ำฝนกับท่อน้ำเสีย และมีการป้องกันไม่ให้น้ำไหลนองบนพื้นผิวไหลเข้าไปในระบบบำบัดน้ำเสีย
(๕) ต้องมีบ่อเพื่อตรวจคุณภาพน้ำทิ้งหลังการบำบัดก่อนระบายน้ำทิ้ง

(๖) มีวิธีการป้องกันกลิ่นรบกวนจากน้ำเสียและสภาพการเกิดก๊าซจากการบำบัด โดยต้องมีท่อระบายอากาศภายในถังบำบัดน้ำเสีย และมีท่อระบายก๊าซออกจากถังบำบัดนำเสียขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางไม่น้อยกว่า ๕๐ มิลลิเมตร 

ท่อระบายอากาศจากระบบบำบัดน้ำเสีย ให้ใช้เป็นท่อจากท่อระบายอากาศ ในระบบท่อระบายน้ำเสียและน้ำทิ้งของอาคาร ปลายท่ออยู่ในตำแหน่งเหมาะสม ที่จะไม่ก่อเหตุเดือดร้อนรำคาญ

(๗) ฝาปิดของระบบำบัดน้ำเสียต้องมีความแข็งแรงทนทาน สามารถรับน้ำหนักบรรทุกปลอดภัยตามการใช้สอยพื้นที่นั้น การติดตั้งฝาต้องป้องกันการเปิดโดยไม่ตั้งใจ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้2ก.ย. “อ่อนค่าหนัก” ที่ระดับ 34.08 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทและเงินดอลลาร์มีความเสี่ยงผันผวนสองทิศทาง ควรติดตามมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด รายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีน สถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศส ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาทั้งทองคำและน้ำมันดิบ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้2ก.ย.  2567  ที่ระดับ  34.08 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงหนัก” จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  33.88 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาททยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่อง เข้าใกล้โซนแนวต้าน 34.00-34.10 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในกรอบ 33.85-34.10 บาทต่อดอลลาร์) ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ที่ได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่กลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุระดับ 146 เยนต่อดอลลาร์

กดดันโดยส่วนต่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับบอนด์ยีลด์ 10 ปี ญี่ปุ่น ที่กว้างมากขึ้น หลังบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงในฝั่งตลาดการเงินสหรัฐฯ ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 3.90%

นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเข้าใกล้โซนแนวรับระยะสั้น 2,500 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ว่าเงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด ทว่าเงินบาทกลับไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก หนุนโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ แรงขายเงินดอลลาร์จากบรรดาผู้ส่งออก และจังหวะซื้อสินทรัพย์ไทยโดยนักลงทุนต่างชาติ

สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ พร้อมจับตา ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้งเฟด BOE และ ECB

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (ISM Manufacturing and Services PMIs) เดือนสิงหาคม รวมถึง ข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ

เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจกับ รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Nonfarm Payrolls) และอัตราการว่างงาน (Unemployment Rate) เป็นพิเศษ หลังถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ล่าสุด ได้สะท้อนว่า เฟดได้ให้ความสำคัญต่อภาวะตลาดแรงงานของสหรัฐฯ มากขึ้นชัดเจน

โดยเรามองว่า ข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ดังกล่าวจะสะท้อนถึงโอกาสที่เฟดจะเร่งลดดอกเบี้ยราว -50bps ในการประชุมเดือนกันยายน และโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ยราว -100bps ในปีนี้ โดยหากยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรมเพิ่มขึ้น 1.6 แสนตำแหน่ง

ส่วนอัตราการว่างงานก็ลดลงสู่ระดับ 4.2% ตามที่บรรดานักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ หรืออาจออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคลายกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ มากขึ้น และปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งอาจหนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น

ในทางกลับกัน หากยอดการจ้างงานเพิ่มขึ้นน้อยกว่า หรือใกล้เคียง 1 แสนต่ำแหน่ง อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 4.4% หรือสูงกว่า ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลต่อความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจชะลอตัวลงหนัก หรือ เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession)

ทำให้ผู้เล่นในตลาดคงคาดหวังว่า เฟดต้องเร่งลดดอกเบี้ย และอาจกดดันให้บรรยากาศในตลาดการเงินเข้าสู่ภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ได้ไม่ยาก ซึ่งในภาพดังกล่าว เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวลดลง ขณะที่หุ้นสหรัฐฯ อาจเผชิญแรงขายพอสมควร

▪ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) รวมถึง รอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนกรกฎาคม เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของทั้ง ECB และ BOE

ซึ่งล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยได้อีกราว 2-3 ครั้ง ส่วน BOE ก็อาจลดดอกเบี้ยได้เพียง 1-2 ครั้ง ในปีนี้ และนอกเหนือจากประเด็นแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB เรามองว่า ควรจับตาสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส หลังการจัดตั้งรัฐบาลผสม

รวมถึงการเลือกนายกรัฐมนตรีใหม่และการจัดตั้งคณะรัฐมนตรียังไม่เป็นที่เรียบร้อย แม้ว่าการเลือกตั้งจะจบลงไปตั้งแต่ต้นเดือนกรกฎาคม โดยเราประเมินว่า ความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส อาจเป็นปัจจัยที่กดดันตลาดทุนฝรั่งเศส และอาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงได้

▪ ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี Caixin PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ของจีนในเดือนสิงหาคม เพื่อประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน โดยดัชนีดังกล่าวจะสะท้อนภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจของบรรดาธุรกิจขนาดเล็ก-กลางเป็นหลัก พร้อมกันนั้น

ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของเวียดนาม อาทิ ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม รวมถึงอัตราเงินเฟ้อ CPI ส่วนในฝั่งนโยบายการเงินนั้น บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.00% ตามเดิม

ฝั่งไทย – ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนสิงหาคม โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ว่าจะมีทิศทางที่ชะลอตัวลงมากขึ้นหรือไม่ ซึ่งจะช่วยสะท้อนแนวโน้มความต้องการบริโภคในประเทศ พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิต และดัชนีความเชื่อมั่นภาคธุรกิจ (Business Sentiment) ในเดือนสิงหาคม

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทมีโอกาสทยอยอ่อนค่าลง แต่ก็มีความเสี่ยงผันผวนสองทิศทาง (Two-Way Volatility) ขึ้นกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด

นอกจากนี้ ควรจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีน ซึ่งอาจกระทบทิศทางเงินหยวนจีน (CNY) ทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ รวมถึงการเคลื่อนไหวของราคาสินค้าโภคภัณฑ์ทั้งทองคำและน้ำมันดิบ ซึ่งมีผลกับทิศทางเงินบาทได้เช่นกันในช่วงนี้

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์เสี่ยงผันผวนสองทิศทาง (Two-Way Volatility) ซึ่งจะขึ้นกับการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หลังรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ

ทั้งนี้ ควรจับตา สถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก เช่น ECB และ BOE ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อทิศทางสกุลเงินหลัก ทั้งเงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 33.75-34.50 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.95-34.15 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.13-34.15 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.35 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนที่ระดับ 33.86 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทอ่อนค่ากลับมา (หลังแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 13 เดือนที่ 33.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ เมื่อวัน ศ 30 ส.ค. ที่ผ่านมา) สอดคล้องกับหลายๆ สกุลเงินในเอเชีย และการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้นตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ

โดยมีแรงหนุนจากการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเพียง 0.25% (Probability ของการลด 0.50% ปรับลดลง) ในการประชุม FOMC เดือนก.ย.นี้ หลังจากที่ข้อมูลเงินเฟ้อที่วัดจากดัชนีราคา PCE/Core PCE เดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ออกมาสอดคล้องกับตัวเลขคาดการณ์ของตลาด  (US PCE Price Inflation +2.5% YoY ในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ +2.6% YoY

และทรงตัวจากระดับ +2.5% YoY ในเดือนมิ.ย. ส่วน Core PCE Price Inflation +2.6% YoY ในเดือนก.ค. ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ +2.7% YoY และทรงตัวจากระดับ +2.6% YoY ในเดือนมิ.ย.) ทั้งนี้ เงินเยนและเงินหยวนไม่ได้รับแรงหนุนมากนักแม้ดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนส.ค. จะออกมาดีกว่าที่คาดก็ตาม

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.95-34.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก รวมถึงตัวเลขดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนส.ค. ของอังกฤษ และยูโรโซน 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


โปรแกรมนักกีฬาไทย พาราลิมปิกเกมส์ 2024 วันที่ 2 ก.ย.67

โปรแกรมนักกีฬาไทย พาราลิมปิกเกมส์ 2024 วันที่ 2 ก.ย.67 “ปุ๊” สุจิรัตน์ ปุกคำ ดวลมือ1 ชาวญี่ปุ่นชิงทอง แบดมินตัน หญิงเดี่ยว เริ่ม 13.30 น. ส่วน วีลแชร์เรซซิ่ง 100 ม.ชาย คลาส T34 ชัยวัฒน์ รัตนะ ชิงทอง เริ่ม 16.24 น.

การแข่งขันกีฬา พาราลิมปิกเกมส์ 2024 ที่กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส ระหว่าง วันที่ 28 สิงหาคม – 8 กันยายน 2567 โดยทัพกีฬาไทยสามารถผ่านควอลิฟายเข้าร่วมการแข่งขันจำนวน 79 คน จาก 15 ชนิดกีฬา สำหรับโปรแกรมแข่งขันนักกีฬาไทยในพาราลิมปิกเกมส์ 2024 ประจำวันที่ 2 กันยายน 2567 ของนักกีฬาไทย ที่น่าสนใจ มีดังนี้ 

เริ่มจาก แบดมินตัน ประเภทหญิงเดี่ยว คลาส WH1 รอบชิงชนะเลิศ “ปุ๊” สุจิรัตน์ ปุกคำ พบ ซารินะ ซาโตมิ (ญี่ปุ่น)  เริ่ม 13.30 น. ,กรีฑา วีลแชร์เรซซิ่ง 100 ม.ชาย คลาส T34 ชัยวัฒน์ รัตนะ เริ่มเวลา 16.24 น.  โดยรอบแรก เจ้าตัว ทำลายสถิติพาราลิมปิก KTILA Walid จากตุรกี ที่ทำไว้ในพาราลิมปิก “โตเกียวเกมส์”  ด้วยเวลา 14.81 วินาที ไปแล้ว สถิติเดิม 15.01 วินาที

เทเบิลเทนนิส  ถิรายุ เชื้อวงษ์ (S2) แข่งขันรอบ 32 คน เวลา 00.15 น.,พิสิษฐ์ หวังผลพัฒนศิริ (S8) แข่งขันรอบ 32 คน เวลา 00.15 น.,ดารารัตน์ อาสายุทธ (S3) และปฐมวดี อินต๊ะนน (S3) แข่งขันรอบ 16 คน เวลา 00.15 น.,เฉลิมพงศ์ พันภู่ (S7) แข่งขันรอบ 16 คน เวลา 15.00 น.,รุ่งโรจน์ ไทยนิยม (S6) แข่งขันรอบ 16 คน เวลา 16.30 น.,วันชัย ชัยวุฒิ (S4) แข่งขันรอบ 16 คน เวลา 22.00 น.

แฟน ๆ กีฬา สามารถติดตามรับชมการถ่ายทอดสดและร่วมเป็นกำลังใจให้กับนักกีฬาพาราลิมปิกของไทยได้ทางดิจิทัลทีวี ช่อง T Sports 7 ,พีพีทีวี เอชดี ช่อง 36  และ AIS PLAY

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


หินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ” ตัวการร้ายทำเส้นเลือดหัวใจตีบ เสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลัน

“หินปูนเกาะเส้นเลือดหัวใจ” ตัวการร้ายเพิ่มความเสี่ยงเส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน เสี่ยงหัวใจวายเฉียบพลันอันตรายถึงชีวิต พร้อมเผยข้อมูลพบผู้เสียชีวิตจากโรคหัวใจ 70,000 คน/ปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 8 คน เตือนคนไทยหมั่นเช็คอัพร่างกายตรวจ “Calcium score” หยุดความเสี่ยงโรค “เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน” และ “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบเรื้อรัง” เพื่อหัวใจที่แข็งแรงและชีวิตที่ยืนยาว

นพ.เจษฎา ลักขณาวงศ์ แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านอายุรศาสตร์โรคหัวใจ โรงพยาบาลพระรามเก้า เปิดเผยข้อมูลว่า “หินปูนเกาะหลอดเลือดหัวใจ” คือ ภาวะที่หลอดเลือดหัวใจมีการสะสมของตะกอนไขมัน คล้ายกับสิวที่เกิดอยู่บนผนังเส้นเลือดหัวใจ โดยจะค่อย ๆ สะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ ใช้เวลาประมาณ 5-20 ปี และเมื่อชั้นไขมันมีการอักเสบ จะทำให้เกิด “หินปูน” เกิดขึ้นและหากมีการสะสมมากขึ้นเรื่อย ๆ จะทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดหัวใจตามมา ส่งผลให้เลือดจะไหลผ่านจุดนั้นได้ช้าลงหรือในปริมาณน้อยลง ทำให้เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจส่วนที่เส้นเลือดนั้นไปเลี้ยง ขาดออกซิเจนและเกิดกล้ามเนื้อหัวใจตาย ภาวะนี้คือ “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ” หรือ “โรคหลอดเลือดหัวใจ” (Coronary artery occlusion) เมื่อกล้ามเนื้อหัวใจตาย ส่งผลให้เกิดอาการแน่นหน้าอก และเมื่อการบีบตัวของหัวใจน้อยลง จะทำให้เกิด ภาวะน้ำท่วมปอด  ความดันตก วูบหมดสติ กรณีเลวร้ายอาจเกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะชนิดรุนแรง และหัวใจหยุดเต้นได้

นพ.เจษฎา ให้ข้อมูลต่อว่า “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ” แบ่งเป็น 2 ประเภทคือ “เส้นเลือดหัวใจตีบชนิดเรื้อรัง” ส่วนใหญ่มักจะไม่มีอาการให้เห็นชัดเจน อาจมีแน่นหน้าอกบ้างเป็น ๆ หาย ๆ เวลาออกแรงหรือออกกำลังกาย เนื่องจากมีการสะสมของตะกอนไขมันในเส้นเลือดอย่างช้า ๆ อาจใช้เวลานาน 10-20 ปี จึงจะรู้ว่า “เส้นเลือดหัวใจตีบ” คือ เมื่อเส้นเลือดตีบเยอะ ๆ เราจะมีอาการแน่นหน้าอก เหนื่อยง่าย หายใจถี่ วิงเวียนศีรษะ เนื่องจากเลือดผ่านไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจไม่เพียงพอ และอีกกลุ่มหนึ่งคือ “เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน” ผู้ป่วยอาจไม่สามารถรู้ล่วงหน้าได้เลย เนื่องจากอาการเกิดขึ้นรวดเร็ว ซึ่งเกิดจากการที่ชั้นไขมันหรือสิวในผนังเส้นเลือดเกิดการแตก (Plaque  rupture) และมีเกล็ดเลือดมาสะสมบริเวณแผลนั้น จนนูนขึ้นและอุดตันเส้นเลือดอย่างรวดเร็ว บางรายอาการรุนแรงถึงขั้นหมดสติหรือเกิดหัวใจวายเฉียบพลัน

สำหรับผู้ที่มีความเสี่ยงโรคนี้ คือ 1.ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง 2.สูบบุหรี่จัด 3.เป็นผู้ป่วยโรคเบาหวาน 4.มีภาวะเครียด 5.ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 6.ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากหรือเป็นโรคอ้วน 7.ผู้ที่มีประวัติครอบครัวป่วยด้วยโรคเส้นเลือดหัวใจ จากข้อมูลวิจัยพบว่า ผู้ชายจะมีความเสี่ยงเป็นโรคเส้นเลือดหัวใจตีบ มากกว่าผู้หญิง ประมาณ 3 เท่า และผู้ชายจะเกิดเร็วกว่าผู้หญิงประมาณ 7-10 ปี

“โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ” หรือ “โรคหลอดเลือดหัวใจ” เป็นภัยเงียบที่ทุกคนต้องระวัง เนื่องจากจะยังไม่แสดงอาการหากการตีบของเส้นเลือดยังไม่มาก โดยส่วนใหญ่ที่ตรวจพบจะเป็นอาการ “เส้นเลือดหัวใจตีบเรื้อรัง” ซึ่งอาการเหล่านี้ แพทย์สามารถทำการรักษาเพื่อป้องกันการเกิดเส้นเลือดตีบเฉียบพลันได้ และหากติดตามอาการอย่างต่อเนื่อง สามารถประเมินและวางแผนการรักษาได้ตามลำดับของโรค แต่ที่น่าเป็นห่วงที่สุดคืออาการ “เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน” อันนี้อันตรายมาก ๆ เพราะถ้าเป็นกลุ่มอาการเส้นเลือดตีบเรื้อรังจะใช้ระยะเวลานานในการเกิดโรค แต่อาการ “เส้นเลือดหัวใจตีบเฉียบพลัน” เป็นอาการที่ไม่สามารถรู้ล่วงหน้า และใช้เวลาไม่นานเส้นเลือดสามารถอุดตันได้ บางรายอาจไม่ถึง 10 นาที ยกตัวอย่างเคสนักกีฬาฟุตบอลหรือแบดมินตันซึ่งอายุไม่เยอะ  มีอาการหมดสติ  เป็นลมล้มฟุบขณะกำลังแข่งขัน ซึ่งสาเหตุหลักเกิดจากหัวใจวายเฉียบพลัน ซึ่งเป็นสาเหตุทำให้คนไข้เสียชีวิต

นพ.เจษฎา กล่าวปิดท้ายว่า ปัจจุบันแนวโน้มการเสียชีวิตจากโรคหัวใจน้อยลงเนื่องจากองค์ความรู้ในการป้องกันการเกิดโรคที่เพิ่มมากขึ้น รวมไปถึงมีอุปกรณ์ที่สามารถประเมินความเสี่ยงโรคต่าง ๆ ได้โดยเฉพาะความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดหัวใจ จากสถิติปี 2021 ประชากรทั่วโลก พบผู้ป่วย 1 ใน 3 เสียชีวิตจากโรคหัวใจ หรือประมาณ 20.5 ล้านคน ซึ่งในประเทศไทย  ปี 2565 คนเสียชีวิตจากโรคหัวใจ 70,000 คนต่อปี เฉลี่ยก็ชั่วโมงละ 8 คน สำหรับคนไข้ที่อายุเกิน 20 ปี มีโอกาสป่วยเป็นโรคหัวใจ ประมาณ 5% ในขณะที่คนอายุเกิน 65 ปี เสียชีวิตจากโรคหัวใจประมาณ 20% เพราะฉะนั้น โรคหัวใจเป็นสาเหตุการเสียชีวิตเบอร์ต้น ๆ ของโลกอยู่แล้ว และเพื่อป้องกันความเสี่ยงการเกิด “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ” หรือ “โรคหลอดเลือดหัวใจ” อยากแนะนำให้คนที่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป ที่มีความเสี่ยง 1.ผู้ที่ป่วยเป็นโรคความดันโลหิตสูง 2.ผู้ป่วยโรคเบาหวาน 3.ภาวะไขมันในเส้นเลือดสูง 4.ผู้ที่มีน้ำหนักตัวมากหรือเป็นโรคอ้วน 5.สูบบุหรี่จัด 6.ผู้ที่มีความเครียด 7.ผู้ที่มีประวัติครอบครัวป่วยด้วยโรคนี้ ให้เข้าตรวจ Calcium score” หรือการตรวจ Coronary artery calcium scan เพื่อประเมินและลดความเสี่ยง และอยากแนะนำให้ทุกคนปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เพื่อป้องกันการเกิดโรคอย่างเช่น งดสูบบุหรี่ ทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ ลดความเครียด ออกกำลังกายสม่ำเสมอ

สำหรับเทคโนโลยีการรักษาผู้ป่วย “โรคเส้นเลือดหัวใจตีบ” หรือ “โรคหลอดเลือดหัวใจ” แพทย์ผู้รักษาจะทำการประเมินอาการของคนไข้ หากอยู่ในเกณฑ์ที่ไม่มีความเสี่ยงมาก อาจรักษาด้วยการให้ยา เช่น ยาลดไขมัน ยาลดความดันในเส้นเลือด เพื่อควบคุมอาการ แต่หากพบว่าเส้นเลือดหัวใจตีบมากอย่างมีนัยสำคัญ จะรักษาด้วยการทำบอลลูนขยายหลอดเลือด ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่นิยมมากในปัจจุบัน คนไข้ไม่ต้องพักฟื้นนาน ใช้เวลาในการรักษาเพียง 48 ชั่วโมง คนไข้ก็สามารถกลับบ้านและใช้ชีวิตตามปกติได้ แต่ถ้าเส้นเลือดตีบเยอะมาก หรือลักษณะเส้นเลือดไม่เหมาะกับการทำบอลลูนขยายหลอดเลือด แพทย์จะรักษาด้วยการผ่าตัดบายพาสหัวใจแทน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


แต่งประโยคภาษาอังกฤษอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์

การแต่งประโยคในภาษาอังกฤษโดยยึดหลังไวยากรณ์ถือเป็นสิ่งจำเป็น หากแต่งประโยคไม่ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์อาจทำให้ประโยคไม่สมบูรณ์ ใจความของประโยคมีความคลาดเคลื่อน สามารถส่งผลให้เกิดการสื่อสารที่เข้าใจผิดได้ ในบทความนี้ มาเรียนภาษาอังกฤษไปด้วยกัน กับการแต่งประโยคภาษาอังกฤษอย่างไรให้ถูกต้องตามหลักไวยากรณ์ อธิบายพร้อมยกตัวอย่างประกอบ

โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐานประกอบด้วยอะไรบ้าง

โครงสร้างประโยคภาษาอังกฤษพื้นฐานที่จะทำให้ประโยคมีความสมบูรณ์ ประกอบด้วย ดังนี้

  • ประธาน (Subject)

ประธานหรือประธานในประโยค เป็นได้ทั้งคำนาม คำนามวลี คำสรรพนาม ซึ่งประธานสามารถเป็นได้ทั้งผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ

  • กริยา (Verb)

กริยามีหลายแบบ สามารถเป็นได้ทั้งคำหรือกลุ่มคำ ใช้แสดงการกระทำ หรือสถานะ

  • กรรม (Object)

กรรมเป็นได้ทั้งคำนาม คำนามวลี คำสรรพนาม หรือเป็นได้ทั้งคน สิ่งของ หรือเหตุการณ์ที่ถูกกระทำทั้งโดยตรงและโดยอ้อม

  • ส่วนเติมเต็ม หรือส่วนเสริม  (Complement)

ส่วนเติมเต็ม หรือส่วนเสริม เป็นคำคุณศัพท์ หรือคำนามที่วางอยู่หลังกริยา เพื่อเสริมความหมายให้กับประธานของประโยค

ตัวอย่างโครงสร้างประโยค

1. โครงสร้าง ประธาน (Subject) + กริยา (Verb)

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • He swims. (เขาว่ายน้ำ)
  • She sleeps. (เธอหลับ)
  • The cat wakes up. (แมวตื่นขึ้นมา)
  • The dog runs. (สุนัขวิ่ง)

2. โครงสร้าง ประธาน (Subject) + กริยา (Verb) + กรรม (Object)

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • He eats fruit. (เขากินผลไม้)
  • I read a book. (ฉันอ่านหนังสือ)
  • I see her. (ฉันเห็นเธอ)
  • The boy kicks the ball. (เด็กชายเตะบอล)

3. โครงสร้าง ประธาน (Subject) + กริยา (Verb) + กรรม (Object + กรรม (Object))

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • He gives shrimp to the cat. (เขาให้กุ้งกับแมว)
  • The young boy lifts the box into the car. (เด็กชายหนุ่มยกกล่องของเข้ารถ)
  • My friend sends a gift to me. (เพื่อนส่งของขวัญให้ฉัน)
  • You help me do homework. (คุณช่วยฉันทำการบ้าน)

4. โครงสร้าง ประธาน (Subject) + กริยา (Verb) + ส่วนเติมเต็ม (Complement)

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • The boy runs fast. (เด็กชายวิ่งเร็ว)
  • The puppy sleeps comfortably. (หมาน้อยนอนสบาย) 
  • The teacher teaches children with fun. (ครูสอนเด็กด้วยความสนุกสนาน)
  • The sun rises beautifully. (พระอาทิตย์ขึ้นอย่างสวยงาม)

5. โครงสร้าง ประธาน (Subject) + กริยา (Verb) + กรรม (Object)+ ส่วนเติมเต็ม (Complement)

ตัวอย่างประโยค เช่น

  • The student reads the book aloud. (นักเรียนอ่านหนังสือออกเสียงชัด)
  • My older sister cooks delicious food. (พี่สาวปรุงอาหารอร่อยมาก) 
  • The national team prepares well for the final competition. (ทีมชาติเตรียมตัวอย่างดีสำหรับการแข่งขันในที่สุด)
  • Mom does the housework thoroughly. (แม่ทำงานบ้านอย่างเต็มที่)
  • The teacher teaches students to draw animals. (ครูสอนนักเรียนวาดรูปสัตว์)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


เครื่องหมาย สี่เหลี่ยมซ้อน คืออะไร เครื่องหมายที่ควรมี ดูก่อนเสียบชาร์จยิ่งดี

หลังจาก Sanook Hitech พาทัวร์เกี่ยวกับข้อมูลฉลากบน Adapter ที่เยอะมากมาย วันนี้เราจะมาเจาะประเด็นกับหัวชาร์จมือถือ ด้วยเครื่องหมาย สี่เหลี่ยมซ้อนกัน มันคืออะไร วันนี้ได้คำตอบแน่นอน

ที่มาของเครื่องหมาย สี่เหลี่ยมซ้อนกัน

จริงๆ แล้วเครื่องหมายดังกล่าวคือ เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2 หรือ Class II appliances เป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่มีการออกแบบพิเศษเพื่อความปลอดภัยยิ่งขึ้น โดยมีคุณสมบัติดังนี้

  • ฉนวนป้องกันสองชั้น: เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2 จะมีฉนวนป้องกันสองชั้น ซึ่งหมายความว่าแม้ฉนวนชั้นแรกจะเกิดความเสียหาย ก็ยังมีฉนวนชั้นที่สองช่วยป้องกันผู้ใช้จากการสัมผัสกับกระแสไฟฟ้า
  • ไม่ต้องต่อสายดิน: เนื่องจากมีฉนวนป้องกันสองชั้น เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2 จึงไม่จำเป็นต้องต่อสายดินเพื่อความปลอดภัย
  • สัญลักษณ์: มักจะมีสัญลักษณ์เป็นรูปสี่เหลี่ยมซ้อนกัน เพื่อบ่งบอกว่าเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2

นอกจากจะอยู่นอกมือถือแล้วยังมีอุปกรณ์อื่นเช่น

  • ไดร์เป่าผม
  • เครื่องเล่นดีวีดี
  • โทรทัศน์
  • คอมพิวเตอร์
  • เครื่องถ่ายเอกสาร
  • สว่านไฟฟ้า
  • เครื่องปั่น

ข้อดีของเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2

  • ปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยตัวหัวแบบนี้จะมีฉนวนป้องกันไฟฟ้าสองชั้น ทำให้ลดความเสี่ยงจากการถูกไฟฟ้าดูด
  • สะดวก เพราะไม่ต้องต่อสายดิน จึงใช้งานได้ง่ายและสะดวกกว่า แต่ก็ยังแนะนำให้ติดสายดินไว้ก่อน เพื่อความปลอดภัยเสริมอีกชั้นนะครับ

ข้อควรระวัง

แม้ว่าเครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2 จะมีความปลอดภัยสูง แต่ก็ควรใช้งานอย่างระมัดระวังเช่น ถ้ากับเต้ารับที่ไม่ได้มาตรฐานก็อาจจะเกิดปัญหาได้, หากเสียไม่ควรซ่อนแซมเองควรให้ช่างตรวจสอบมากกว่า และ ควรดูหัวเต้ารับเป็นประจำ หากเสียงชำรุด หยุดใช้ทันที

ซึ่งสรุปแล้วเครื่องหมาย เครื่องใช้ไฟฟ้าประเภท 2 คือสิ่งที่ใกล้ตัวเราเพราะเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าที่อำนวยความสะดวก ใครที่กำลังมองหาเครื่องใช้ไฟฟ้าหรือที่ชาร์จมือถือ อย่าลืมสังเกตเครื่องหมายนี้นะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ประโยชน์ของ “แมกนีเซียม” หาได้จากอาหารชนิดใดบ้าง

แมกนีเซียมเป็นแร่ธาตุสำคัญที่ช่วยให้อวัยวะส่วนต่างๆ ของร่างกาย เช่น หัวใจ กระดูก กล้ามเนื้อ เส้นประสาท ทำงานได้อย่างราบรื่น แต่เนื่องจากร่างกายไม่สามารถผลิตแมกนีเซียมเองได้ จึงควรเลือกรับประทานอาหารที่มีแมกนีเซียมสูงเพื่อให้ได้รับแร่ธาตุชนิดนี้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายในแต่ละวัน แหล่งอาหารที่มีแมกนีเซียม อาจพบได้ในพืชตระกูลถั่ว เมล็ดพืช ธัญพืชเต็มเมล็ด ผักใบเขียว ปลาบางชนิด นม โยเกิร์ต ผลิตภัณฑ์จากนม ดาร์กช็อกโกแลต เป็นต้น

ประโยชน์ของแมกนีเซียมต่อสุขภาพ

แมกนีเซียม (Magnesium) เป็นแร่ธาตุที่มีความจำเป็นต่อการทำงานของระบบต่าง ๆ ในร่างกาย ช่วยให้กล้ามเนื้อและเส้นประสาททำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดและความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ทั้งยังใช้เสริมสร้างโปรตีน กระดูก และดีเอ็นเอให้สมบูรณ์แข็งแรงด้วย

หากร่างกายขาดแมกนีเซียมเป็นเวลานานอาจทำให้ระดับแคลเซียมและโพแทสเซียมน้อยลงตามไปด้วย เนื่องจากแมกนีเซียมมีหน้าที่ช่วยดูดซึมแร่ธาตุสองชนิดนี้เข้าสู่ร่างกายและลำเลียงแคลเซียมและโพแทสเซียมเข้าและออกจากเซลล์ต่าง ๆ อีกทั้งการขาดแมกนีเซียมยังอาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ ไม่อยากอาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรง เป็นต้น หากมีภาวะขาดแมกนีเซียมรุนแรง อาจทำให้เกิดอาการชา ปวดกล้ามเนื้อ ชัก บุคลิกเปลี่ยนแปลง และหัวใจเต้นผิดจังหวะได้

ผู้ที่มีภาวะขาดแร่ธาตุแมกนีเซียม อาจมีความเสี่ยงในการเกิดภาวะต่อไปนี้

  • ระดับความดันโลหิตสูง
  • อาการไมเกรน
  • โรคหัวใจ
  • โรคหลอดเลือดสมอง
  • โรคเบาหวานชนิดที่ 2
  • โรคกระดูกพรุน

ปริมาณแมกนีเซียมที่ร่างกายต้องการต่อวัน

ปริมาณแมกนีเซียมที่ร่างกายต้องการต่อวันของคนในแต่ละช่วงวัย อาจแบ่งได้ดังนี้

  • อายุ 1-3 ปี ควรได้รับแมกนีเซียม 80 มิลลิกรัม/วัน
  • อายุ 4–8 ปี ควรได้รับแมกนีเซียม 130 มิลลิกรัม/วัน
  • อายุ 9–13 ปี ควรได้รับแมกนีเซียม 240 มิลลิกรัม/วัน
  • อายุ 14-18 ปี ผู้ชายควรได้รับแมกนีเซียม 410 มิลลิกรัม/วัน และหญิงควรได้รับแมกนีเซียม 360 มิลลิกรัม/วัน
  • อายุ 19-30 ปี ผู้ชายควรได้รับแมกนีเซียม 400 มิลลิกรัม/วัน และหญิงควรได้รับแมกนีเซียม 310 มิลลิกรัม/วัน
  • อายุ 31 ปีขึ้นไป ผู้ชายควรได้รับแมกนีเซียม 420 มิลลิกรัม/วัน และหญิงควรได้รับแมกนีเซียม 320 มิลลิกรัม/วัน

คนส่วนใหญ่จะได้รับแมกนีเซียมที่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายจากการรับประทานอาหารทั่วไปอยู่แล้วจึงไม่ต้องรับประทานแมกนีเซียมในรูปแบบอาหารเสริม และแม้ว่าร่างกายจะได้รับแมกนีเซียมจากอาหารมากเกินไป ก็สามารถขับแมกนีเซียมส่วนเกินออกจากร่างกายได้ผ่านปัสสาวะ

แมกนีเซียม อาหาร มีอะไรบ้าง

อาหารที่อุดมไปด้วยแมกนีเซียมที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย อาจมีดังนี้

ถั่วและเมล็ดพืช

ถั่วและเมล็ดพืช เช่น อัลมอนด์ ถั่วลิสง เม็ดมะม่วงหิมพานต์ เมล็ดแฟลกซ์ เป็นแหล่งแมกนีเซียมชั้นดี ทั้งยังมีฤทธิ์ต้านอักเสบ ดีต่อสุขภาพหัวใจ และมีส่วนช่วยลดความอยากอาหารเมื่อรับประทานเป็นของว่าง

ตัวอย่างปริมาณแมกนีเซียมจากถั่วและเมล็ดพืช เช่น

  • เมล็ดฟักทอง ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 592 มิลลิกรัม
  • เม็ดมะม่วงหิมพานต์ ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 292 มิลลิกรัม
  • อัลมอนด์ ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 258 มิลลิกรัม
  • เมล็ดแฟลกซ์ ปริมาณ 1 ช้อนโต๊ะ มีแมกนีเซียมประมาณ 40 มิลลิกรัม

ปลา

ปลาที่มีกรดไขมันโอเมก้า 3 เช่น ปลาทูน่า ปลาแมคเคอเรล ปลาแซลมอน ปลาอินทรี มักมีปริมาณแมกนีเซียมสูง มีส่วนช่วยในการลดความเสี่ยงของการเกิดโรคเรื้อรังบางชนิด โดยเฉพาะโรคหัวใจ

ตัวอย่างปริมาณแมกนีเซียมจากปลา เช่น

  • ปลาแซลมอน ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 95 มิลลิกรัม
  • ปลาอินทรี ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 33 มิลลิกรัม
  • ปลาทูน่า ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 22.7 มิลลิกรัม

นมและผลิตภัณฑ์จากนม

นมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น โยเกิร์ต เป็นแหล่งรวมสารอาหารและแร่ธาตุหลายชนิด เช่น แมกนีเซียม แคลเซียม ที่ช่วยเสริมสร้างการทำงานของร่างกาย ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ทั้งยังเป็นแหล่งโปรตีนที่มีกรดอะมิโนซึ่งช่วยรักษาเนื้อเยื่อและเสริมสร้างกล้ามเนื้อ นอกจากนี้ ในโยเกิร์ตยังอุดมไปด้วยโพรไบโอติกส์ (Probiotics) ที่ช่วยบำรุงระบบขับถ่ายด้วย

ตัวอย่างปริมาณแมกนีเซียมจากนมและผลิตภัณฑ์จากนม เช่น

  • นมไม่มีไขมัน ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 12.5 มิลลิกรัม
  • โยเกิร์ต ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 11.4 มิลลิกรัม
  • คอทเทจชีส ไขมันต่ำ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 8.9 มิลลิกรัม

ผักใบเขียว

ผักใบเขียว เช่น ปวยเล้ง ผักคะน้า กะหล่ำปลี มีวิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น วิตามินเอ วิตามินซี วิตามินเค ธาตุเหล็ก รวมไปถึงแมกนีเซียม ที่มีคุณสมบัติต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดความเสียหายของเซลล์จากการถูกอนุมูลอิสระทำลาย และอาจลดความเสี่ยงในการเกิดโรคมะเร็งได้

ตัวอย่างปริมาณแมกนีเซียมจากผักใบเขียว เช่น

  • ปวยเล้ง ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 79 มิลลิกรัม
  • ผักคะน้า ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 32.7 มิลลิกรัม
  • กะหล่ำปลี ปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 27 มิลลิกรัม

ดาร์กช็อกโกแลต

ดาร์กช็อกโกแลตปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 31 มิลลิกรัม และมีแร่ธาตุอื่น ๆ ที่เป็นประโยชน์ เช่น แคลเซียม ธาตุเหล็ก ฟอสฟอรัส อีกทั้งยังมีพรีไบโอติกส์ (Prebiotics) ที่เป็นแหล่งอาหารของแบคทีเรียในลำไส้ ช่วยให้ระบบขับถ่ายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อะโวคาโด

อะโวคาโดปริมาณ 100 กรัม มีแมกนีเซียมประมาณ 29 มิลลิกรัม และมีวิตามินและแร่ธาตุอื่น ๆ เช่น วิตามินเอ วิตามินบี วิตามินเค โพแทสเซียม แมงกานีส ทองแดง ทั้งยังอุดมไปด้วยไขมันไม่อิ่มตัวเชิงเดี่ยวซึ่งเป็นประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและสมอง นอกจากนี้ อะโวคาโดยังมีใยอาหารสูง จึงมีส่วนช่วยในการขับถ่าย เหมาะสำหรับผู้ที่กำลังควบคุมน้ำหนัก

ข้อควรระวังในการบริโภคแมกนีเซียม

ข้อควรระวังในการบริโภคแมกนีเซียม มีดังนี้

  • การรับประทานอาหารเสริมแมกนีเซียมเพื่อบรรเทาอาการปวดกล้ามเนื้อร่วมกับการใช้ยารักษาโรคบางชนิด เช่น ยาขับปัสสาวะ ยารักษาโรคหัวใจ ยาปฏิชีวนะ อาจส่งผลให้ยาออกฤทธิ์ได้ไม่เต็มที่ จึงควรปรึกษาคุณหมอทุกครั้งก่อนใช้ยาร่วมกับอาหารเสริมแมกนีเซียม
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน โรคเกี่ยวกับลำไส้ โรคหัวใจ ภาวะที่หัวใจเต้นช้าลงหรือมีจังหวะผิดปกติ (Heart block) โรคไต โรคลำไส้อุดตัน (Intestinal Obstruction) โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง (Myasthenia gravis) ควรหลีกเลี่ยงการใช้อาหารเสริมแมกนีเซียม
  • ควรรับประทานอาหารเสริมแมกนีเซียมในปริมาณที่เหมาะสม เพราะหากร่างกายได้รับแมกนีเซียมมากเกินไป อาจทำให้มีแมกนีเซียมส่วนเกินสะสมในร่างกาย และส่งผลให้เกิดอาการไม่พึงประสงค์ เช่น คลื่นไส้ ตะคริว ท้องเสีย หัวใจเต้นผิดปกติ ความดันโลหิตต่ำ กล้ามเนื้ออ่อนแรง โดยปริมาณอาหารเสริมแมกนีเซียมสูงสุดที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน มีดังนี้ 
    • เด็กอายุ 1-3 ปี ไม่ควรเกิน 65 มิลลิกรัม/วัน
    • เด็กอายุ 4-8 ปี ไม่ควรเกิน 110 มิลลิกรัม/วัน
    • เด็กอายุ 9 ปีขึ้นไปและผู้ใหญ่ ไม่ควรเกิน 350 มิลลิกรัม/วัน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 02/09/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,300.0040,400.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,610.0039,567.6040,900.00
ทองรูปพรรณ 90%2,349.0035,610.84n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,088.0031,654.08n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,175.0017,813.00n/a
ทองรูปพรรณ 40%914.0013,856.24n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,705.0041,007.80n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/09/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.3536.3536.6536.3536.3536.3536.3536.3536.3536.35
แก๊สโซฮอล์ 9135.9835.9836.2835.9835.9835.9835.9835.9835.9835.98
แก๊สโซฮอล์ E2034.2434.2434.5434.2434.2434.2434.2434.2434.24
แก๊สโซฮอล์ E8533.9933.9933.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.9449.8449.8449.8444.94
เบนซิน 9544.2449.8144.7444.3944.24
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV19.5919.5919.59


About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า