สาระน่ารู้ประจำวันที่ 02 ตุลาคม 2567

“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” ชี้ชัด 3 ปัจจัยสำคัญ พัฒนาคอนโดฯ เพื่อผู้หญิงยุคใหม่

“แอล ดับเบิลยู เอสฯ” ระบุ ความปลอดภัย สภาพแวดล้อมที่ดี และพื้นที่สีเขียว เป็น 3 ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้ออาคารชุดของผู้หญิงยุคใหม่ ที่มีกำลังซื้อสูงและมีบทบาทสำคัญในสังคมไทยปัจจุบัน

สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยชะลอตัว ผู้ประกอบการต่าง มองหาน่านน้ำใหม่เจาะกลุ่มเป้าหมายเฉพาะที่มีกำลังซื้อสูง  อย่างคอนโดมิเนียมสำหรับผู้หญิงยุคใหม่

นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผย ผลสำรวจความต้องการอาคารชุดพักอาศัย

สำหรับผู้หญิงในปัจจุบัน ณ สิ้นปี 2566 จากจำนวนผู้ตอบแบบสอบถามที่เป็นผู้หญิงทั้งสิ้น 438 คน พบว่า 90% ของผู้ตอบแบบสอบถาม ถ้าเลือกซื้ออาคารชุดที่อยู่ในทำเล และราคาเดียวกัน ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจซื้อในอันดับแรกคือความปลอดภัย

ที่ต้องมีระบบการรักษาความปลอดภัยที่ดูแลตลอด 24 ชั่วโมง และมีระบบ CCTV พร้อมมีมาตรการควบคุมความปลอดภัยที่รัดกุม เช่น การมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยหญิง และบริการช่างที่มีนิติบุคคลอาคารชุดที่เป็นผู้หญิงมาอยู่เป็นเพื่อน

ปัจจัยถัดมาที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้ออาคารชุดคิดเป็นสัดส่วน85% คือบรรยากาศและความเป็นส่วนตัวรวมถึงสภาพแวดล้อมที่ดีเหมาะสำหรับการอยู่อาศัย และ 78% ของผู้หญิงที่ตอบแบบสอบถามชื่นชอบการมีพื้นที่สีเขียวขนาดใหญ่สร้างความร่มรื่นภายในโครงการ

จากสถิติข้อมูลจำนวนประชากรโลกของ Statistics times ปี 2566 ระบุว่าประชากรโลกมีจำนวนกว่า 8,000 ล้านคน โดยมีสัดส่วนผู้ชายและผู้หญิงที่ใกล้เคียงกัน 101:100 คน ในขณะที่ข้อมูลจำนวนประชากรไทย

จากกรมการปกครองกระทรวงมหาดไทยพบว่า ในช่วงปี 2556-2566 สัดส่วนประชากรผู้หญิง มากกว่าผู้ชายเฉลี่ยคิดเป็น 4%

ในขณะเดียวกัน ผู้หญิงมีบทบาทในการเป็นผู้ประกอบการมากขึ้นจากข้อมูลของสำนักงานบริหารและพัฒนาองค์ความรู้ (องค์การมหาชน) (Office of Knowledge Management and Development (Public Organization); OKMD) ระบุว่า

ปัจจุบันมีผู้หญิงสร้างธุรกิจกว่า 120 ล้านคนทั่วโลก และในจำนวนนี้เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงกว่า 98 ล้านคน โดย OKMD  คาดการณ์ว่าในปี 2568 ผู้ประกอบการหญิงจะสามารถสร้างงานใหม่ที่เป็นธุรกิจ SME กว่า 9.7 ล้านตำแหน่งทั่วโลก

และรายงานฉบับดังกล่าว ยังระบุว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 6 ประเทศ ที่มีผู้ประกอบการผู้หญิงใกล้เคียงกับผู้ชาย ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากระดับการศึกษาของผู้หญิงไทยที่สูงขึ้นกว่าในอดีต สังเกตได้จากการศึกษาในระดับอุดมศึกษา

นักศึกษาผู้หญิงมีโอกาสสำเร็จการศึกษาสูงกว่านักศึกษาชายประมาณ 52% และเมื่อสำรวจตลาดงานในแง่ตำแหน่งงาน ผู้หญิงอยู่ในตำแหน่งงานระดับสูงถึง 34% และเป็นระดับ CEO ถึง 24% จากการสำรวจในหลายๆอุตสาหกรรม เช่น อสังหาฯ, ค้าปลีก, เครื่องสำอาง ฯลฯ

นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า จากผลการสำรวจ ทำให้ปัจจุบันผู้หญิงมีกำลังซื้อสูงและมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกรวมทั้งประเทศไทย จากผลการศึกษาของ OKMD พบว่า 

ในปี 2565 ผู้หญิงจากทั่วโลกมีอำนาจการใช้จ่ายสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท และคาดว่าในปี 2573 จะเพิ่มสูงถึงราวๆ 1.8 ล้านล้านบาท ขยายตัวเฉลี่ยปีละ 6% (CAGR)

โดย Population pyramid ระบุว่า ผู้หญิงในกลุ่ม Millennials (ช่วงอายุ 27-42 ปี) ที่อยู่ในช่วงวัยทำงานเป็นกลุ่มที่มีศักยภาพหนุนให้การใช้จ่ายโดยรวมของผู้หญิงทั่วโลก

เช่นเดียวกับในประเทศไทย ผู้หญิงกลุ่ม Millennials (ช่วงอายุ 27-42 ปี) ปี 2565 มีจำนวนอยู่ที่ประมาณ 9 ล้านคน คิดเป็น 22% ของประชากรผู้หญิงทั้งหมดในไทย คาดว่าในปี 2573

จะมีสัดส่วนมากถึง 31% และสินค้าที่คุณผู้หญิงชื่นชอบ และยินดีจ่ายสูงกว่าคุณผู้ชายถึง 20% คือ ผลิตภัณฑ์ด้านสุขภาพ อีกทั้งในภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาแค่ไหน “ธุรกิจสายมู” กลับเติบโตอย่างมากในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา

ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ (Department of Business Development : DBD) เปิดเผยว่าธุรกิจที่เกี่ยวกับความเชื่อเป็นเทรนด์ที่กำลังมาแรงโดยกลุ่มที่มีความเชื่อ และกำลังซื้อที่ค่อนข้างสูงคือ GenZ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงเกือบ 100%

จากความสามารถในการทำงาน และรายได้ของผู้หญิงที่สูงขึ้น ทำให้เราเห็นผู้หญิงเป็นหัวหน้าครอบครัว และมีสัดส่วนที่จะอยู่เป็นโสดมากขึ้น ทำให้มีความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์กับการอยู่อาศัยเพียงลำพังมากขึ้น

โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (TDRI) ระบุว่าตลอด 10 ปีที่ผ่านมาพบว่าสิทธิการครอบครองทรัพย์สินประเภทรถและบ้านส่วนใหญ่นั้นเป็นชื่อของผู้หญิงทั้งหมด โดยเพิ่มขึ้นมาที่ 6.5 ล้านครัวเรือน จากเดิมที่ 5.2 ล้านครัวเรือน สะท้อนถึงอำนาจในครัวเรือนที่เปลี่ยนไปตามยุคสมัย

สอดคล้องกับข้อมูลผลสำรวจของบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด ผู้หญิงเป็นเจ้าของห้องคอนโดกว่า 58% และเป็นผู้หญิงช่วง GEN Millennials หรือวัยทำงานกว่า 30% ที่มีรายได้เฉลี่ยต่อเดือนสูงกว่า 6 หมื่นบาท

ทำให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของผู้หญิง จึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ในการพัฒนาโครงการที่ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อที่เป็นผู้หญิงมากขึ้น

นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าวว่า ถึงแม้หัวใจสำคัญในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย “ทำเล” จะเป็นหัวใจสำคัญแต่ในทำเลเดียวกัน การเลือกที่จะพัฒนาที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้อยู่อาศัยเฉพาะกลุ่มเป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น

โดยปัจจุบันมีทั้งการออกแบบที่อยู่อาศัยเพื่อตอบโจทย์คนในแต่ละอาชีพ รวมไปถึงการพัฒนาอาคารชุดที่เจาะความต้องการของคนเฉพาะกลุ่ม เช่น อาคารชุดที่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ อาคารชุดเพื่อตอบโจทย์ด้านสุขอนามัย หรือ Wellness เป็นต้น

“ต่อไปการพัฒนาอาคารชุดเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้หญิงที่เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง เป็นสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย จากผลสำรวจของบริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัดพบว่า ผู้หญิงมีสัดส่วนการอยู่อาศัยคนเดียวสูงถึง 60% และสิ่งที่ผู้หญิงให้ความสำคัญสำหรับการเลือกซื้อคอนโดที่มากกว่าทำเล คือความปลอดภัย บรรยากาศความเป็นส่วนตัว และพื้นที่สีเขียวภายในโครงการเพื่อการพักผ่อน จึงเป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่จะพัฒนารูปแบบของโครงการให้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อในกลุ่มนี้ เป็นน่านน้ำใหม่สำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่กำลังมองหาตลาดใหม่ ท่ามกลางกระแสการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


How to วิธียื่นขออนุญาตสร้างบ้านในกทม. ผ่านระบบออนไลน์ BMA OSS

How to วิธีการและขั้นตอนการยื่นขออนุญาตสร้างบ้านในกทม. ผ่านออนไลน์ ระบบของศูนย์ BMA OSS รับคำขออนุญาตของกรุงเทพมหานคร สำหรับบ้านขนาดไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร และไม่เกิน 5 ชั้น

กรุงเทพมหานครเปิดให้บริการ “การขอใบอนุญาตก่อสร้างผ่านระบบออนไลน์” สำหรับบ้านขนาดไม่เกิน 2,000 ตารางเมตร และไม่เกิน 5 ชั้น ได้แล้วตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 67 เป็นต้นไป

นายเอกวรัญญู อัมระปาล โฆษกของกรุงเทพมหานคร เปิดเผยว่า กทม. ตั้งเป้าให้ระบบสามารถขยายบริการไปยังอาคารขนาดอื่น ๆ ภายในเดือนตุลาคม 2567 หลังจากที่ได้ทดลองให้บริการสำหรับบ้านขนาดไม่เกิน 300 ตารางเมตรมาก่อนหน้านี้

ผู้ที่ต้องการยื่นขออนุญาตสร้างบ้านออนไลน์สามารถทำได้ผ่านเว็บไซต์ bmaoss.bangkok.go.th หรือดาวน์โหลดแอปพลิเคชัน “BMA OSS” ทั้งในระบบ iOS และ Android เพื่อลงทะเบียนและติดตามสถานะของคำขอออนไลน์ได้แบบเรียลไทม์ โดยกรุงเทพมหานครเน้นย้ำว่า ระบบใหม่นี้ออกแบบมาเพื่อความโปร่งใสและลดขั้นตอนที่ยุ่งยากของประชาชน

บริการของระบบ One Stop Service (BMA OSS) ครอบคลุมการขออนุญาตหลายรูปแบบ เช่น การก่อสร้าง ดัดแปลง รื้อถอน และเคลื่อนย้ายอาคาร นอกจากนี้ยังมีบริการขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจ และการขึ้นทะเบียนเพื่อรับเงินช่วยเหลือต่าง ๆ โดยเน้นความรวดเร็วและโปร่งใสเพื่อลดการติดต่อระหว่างเจ้าหน้าที่และประชาชน

3 ขั้นตอนง่ายๆ ในการลงทะเบียน

  1. เข้าสู่ระบบ ผ่านทางเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน BMA OSS
  2. ระบุข้อมูลส่วนบุคคล และรายละเอียดที่เกี่ยวข้องกับการขออนุญาต
  3. ยืนยันตัวตน ด้วยหมายเลขบัตรประชาชนและ OTP ผ่านอีเมลหรือโทรศัพท์

6 ขั้นตอนขออนุญาตออนไลน์

  1. เข้าสู่ระบบ ที่ bmaoss.bangkok.go.th
  2. ระบุข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับคำขออนุญาต
  3. แนบเอกสาร ที่จำเป็นสำหรับการขออนุญาต
  4. ติดตามสถานะ ผ่านเมนูติดตามสถานะในเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน
  5. ชำระค่าธรรมเนียม ผ่าน Mobile Banking หรือที่สำนักงานเขต
  6. รับใบอนุญาตออนไลน์ โดยสามารถดาวน์โหลดผ่านเว็บไซต์ได้ทันที

โฆษกฯ กทม. กล่าวด้วยว่า จากเดิมการยื่นขอใบอนุญาตด้วยเอกสารใช้เวลาพิจารณา 45 วัน และอาจต่อเวลาเพิ่มได้อีก 30 วัน แต่หลังจากวันที่ 1 ต.ค. 67 เป็นต้นไป ตั้งเป้าให้การขอใบอนุญาตออนไลน์ใช้เวลาพิจารณา 14 วัน ซึ่ง กทม. มีการปรับระบบให้ผู้ยื่นขอใบอนุญาตออนไลน์เข้าใจง่ายมากขึ้น และแก้ปัญหาจากการทดลองใช้ที่ผ่านมา เน้นความสะดวกของผู้ใช้งานจริง เช่น เพิ่มคู่มือการใช้งานในระบบให้อ่านเข้าใจง่าย เพิ่มตัวอย่างเอกสารยื่นขออนุญาตออนไลน์ตามกฎหมายกำหนด

โดยระบบขออนุญาตก่อสร้างออนไลน์ เป็นหนึ่งในบริการของศูนย์รับคำขออนุญาตของกรุงเทพมหานคร (Bangkok Metropolitan Administration One Stop Service หรือ BMA OSS) ให้บริการรับคำขออนุญาตผ่านช่องทางออนไลน์

  • เพื่อความโปร่งใส
  • ลดการพบกันโดยตรงระหว่างเจ้าหน้าที่พิจารณาใบอนุญาตกับประชาชน
  • แก้ปัญหาเรียกรับเงินและช่องโหว่ในการทุจริต
  • ระบบจะเชื่อมโยงข้อมูลคำขอที่ประชาชนยื่นผ่าน BMA OSS มายังระบบคำขออนุญาตก่อสร้าง (UHA e-Permit) ซึ่งเป็นระบบสารสนเทศที่พัฒนาขึ้นเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานของสำนักงานควบคุมอาคาร ช่วยวิเคราะห์ข้อมูลประกอบการอนุญาต
  • ลดขั้นตอนและระยะเวลาในการขออนุญาตให้สะดวกรวดเร็วขึ้น

ทั้งนี้ ระบบ e-Permit เป็นระบบพิจารณาการขออนุญาตก่อสร้างอาคาร เพื่อให้สามารถติดต่อหน่วยงานภาครัฐทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้แบบเบ็ดเสร็จในจุดเดียว โดยไม่ต้องส่งเอกสารซ้ำซ้อน สะดวก รวดเร็ว และโปร่งใส ไม่เสียเวลาเดินทางไปติดต่อขออนุญาตการให้บริการจากภาครัฐหน่วยงานต่าง ๆ สามารถกรอกข้อมูลในแบบฟอร์ม ยื่นเอกสารผ่านศูนย์รับคำขออนุญาตเพียงจุดเดียวเบ็ดเสร็จ (One Stop Service)

รวมถึงประชาชนยังสามารถติดตาม (Monitoring/Tracking) การออกใบอนุญาต พร้อมรับระบบแจ้งเตือน (Alert) เพื่อทราบสถานะการดำเนินการและผลการพิจารณาขอรับใบอนุญาต ช่วยยกระดับการให้บริการประชาชน โดยเฉพาะขั้นตอนการอนุญาตก่อสร้างและใบอนุญาตอื่น ๆ ให้มีความสะดวก รวดเร็วมากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 2ต.ค. 67 แข็งค่าที่ระดับ 32.55 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าอย่างจำกัด ตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้ วันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 2 ต.ค. 2567ที่ระดับ  32.55 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  32.59 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังพอมีกำลังอยู่ หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด

รวมถึงบรรยากาศของตลาดการเงินที่กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด ตราบใดที่ราคาทองคำยังสามารถทยอยปรับตัวสูงขึ้นได้ จนกว่าผู้เล่นในตลาดจะคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจใช้เวลาหลายวัน จนถึงระดับ 1-2 สัปดาห์ได้

 โดยต้องจับตาท่าทีของทางการอิสราเอลในการตอบโต้ การโจมตีรอบล่าสุดจากทางอิหร่าน เพราะหากอิสราเอลตอบโต้กลับในลักษณะที่ไม่ต่างจากช่วงก่อนหน้า ก็อาจสะท้อนว่า ความขัดแย้งในตะวันออกกลางจะไม่ได้ทวีความรุนแรงและลุกลาม บานปลายมากขึ้น

อนึ่ง ในระยะสั้น ความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงความหวังการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อาจหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นได้ในระยะสั้น ซึ่งต้องระวังความเสี่ยงของการเกิด Short Squeeze  หลังในช่วงที่ผ่านมาผู้เล่นในตลาดมีการสะสมสถานะ Net Short น้ำมันดิบไว้พอสมควร ซึ่งการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบในช่วงระยะสั้นก็อาจเป็นหนึ่งในปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้

จากโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทในระยะสั้น รวมถึงมุมมองของเราที่คงเชื่อว่า ผู้เล่นในตลาดจะทยอยปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงความเสี่ยงที่ราคาทองคำอาจกลับมาย่อตัวลงบ้าง หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางทยอยคลี่คลายลงได้

ทำให้เรามองว่า เงินบาทอาจผ่านจุดแข็งค่าสุดไปแล้วในระยะสั้น (Call Bottom USDTHB แถว 32.00 บาทต่อดอลลาร์) แต่เราจะมั่นใจมากขึ้นว่า เงินบาทจะสามารถทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้จริง หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 32.80 บาท ต่อดอลลาร์ และโซน 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน ซึ่งอาจจะต้องรอลุ้น รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ของสหรัฐฯ  ซึ่งอาจทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้บ้าง

เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า ในเชิง Valuation การแข็งค่าของเงินบาทมากกว่าโซน 32.50 บาทต่อดอลลาร์นั้น ถือว่า เป็นระดับที่ Overvalued มากขึ้น (Z-Score ของดัชนีค่าเงินบาท REER เกินระดับ +1.0 หากเงินบาทแข็งค่าหลุด 32.00 บาทต่อดอลลาร์)

ซึ่งหากปัจจัยพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญ เงินบาทก็ไม่ควรแข็งค่าเกินระดับดังกล่าวไปมากนัก ทำให้ผู้ประกอบการอย่างฝั่งผู้นำเข้าควรเตรียมพร้อมปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

นอกจากนี้ เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.35-32.65 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย ในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 32.50-32.65 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด

รวมถึงบรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น หลังอิหร่านเปิดฉากโจมตีอิสราเอล ซึ่งสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น ก็มีส่วนหนุนให้

ราคาทองคำทยอยปรับตัวสูงขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยลดทอนแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทจากการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ในช่วงคืนที่ผ่านมา

แม้ว่ารายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ จะออกมาดีกว่าคาด ทว่าบรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น

โดยผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะขายทำกำไรหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Nvidia -3.7%, Apple -2.9% อย่างไรก็ดี สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวได้หนุนให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้น และช่วยให้บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้น อาทิ Exxon Mobil +2.3% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.93%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อ -0.38% หลังบรรยากาศในตลาดการเงินถูกกดดันจากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ร้อนแรงขึ้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะเดินหน้าขายทำกำไรบรรดาหุ้นธีม China Recovery อย่าง LVMH -3.6%, BMW -1.8% ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็ยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ Shell +2.2% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ  

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ sideways แถวระดับ 3.73% โดยแม้ว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะมีจังหวะปรับตัวขึ้นบ้าง ตามรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมันดิบ จากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง

ทว่า บรรยากาศของตลาดการเงินที่กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางดังกล่าว ก็มีส่วนกดดันให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ยาก

ทั้งนี้ เรามองว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจมีผลกระทบต่อตลาดการเงินเพียงในระยะสั้น ตราบใดที่ความขัดแย้งดังกล่าวไม่ได้ลุกลามไปสู่การเผชิญหน้าโดยตรงระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล ที่ไม่ใช่เพียงการตอบโต้โดยการยิงขีปนาวุธหรือโดรน โดยปัจจัยที่จะมีผลต่อตลาดการเงิน

โดยเฉพาะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) เดือนกันยายน อย่างไรก็ตาม เรามองว่า สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังมีความไม่แน่นอนอยู่ และควรเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิดเช่นกัน

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น หนุนโดยรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่ออกมาดีกว่าคาด และภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ของตลาดการเงินจากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 101.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.0-101.4 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า เงินดอลลาร์จะทยอยแข็งค่าขึ้น แต่ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ก็สามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,680 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามความต้องการถือทองคำในช่วงตลาดกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงมากขึ้น

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ที่สำรวจโดย ADP ในเดือนกันยายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดจะใช้ประกอบการประเมินแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ที่จะรายงานในวันศุกร์นี้ พร้อมกันนั้นผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

ส่วนฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB 

และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลาม บานปลาย จนส่งผลกระทบในวงกว้างหรือไม่ โดยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ความขัดแย้งดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง รวมถึงส่งผลกระทบต่อโฟลว์การขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงานมากน้อยเพียงใด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 32.51-32.53 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.45 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 32.59 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยแม้เงินบาทจะขยับแข็งค่าขึ้นจากระดับปิดในวันก่อนหน้า แต่กรอบการแข็งค่าอาจเป็นไปอย่างจำกัดตาม Sentiment ของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค เนื่องจากเงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนจากการปรับมุมมองเรื่องขนาดการปรับลดดอกเบี้ยของเฟด และแรงซื้อในฐานะสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางจากกรณีระหว่างอิหร่านกับอิสราเอล

นอกจากนี้ การย่อตัวลงกลับมาบางส่วนของราคาทองคำในตลาดโลกและสัญญาณขายสุทธิพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติในช่วงเช้าวันนี้ ก็น่าจะเป็นปัจจัยลบที่จำกัดกรอบการแข็งค่าของเงินบาทด้วยเช่นกัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 32.35-32.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด และตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนก.ย.จาก ADP ของสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ณัฐวัฒน์ พ่ายอาเซอร์ไบจานหวิว พลาดเหรียญทองแดงเทควันโดเยาวชนโลก

การแข่งขันเทควันโดเยาวชนชิงแชมป์โลก 2024 รายการ “ชุนชอน 2024 เวิลด์ เทควันโด จูเนียร์ แชมเปี้ยนชิพ” ซึ่งกำหนดแข่งขันระหว่างวันที่ 1-6 ต.ค.2567 ที่เมืองชุนชอน ประเทศเกาหลีใต้ โดยปีนี้มีจอมเตะกว่า 1 พันคน จาก 200 ประะเทศทั่วโลกร่วมดวลฝีเท้า ซึ่งนับว่ามากที่สุดตั้งแต่เคยมีการแข่งขันมา โดยเมื่อ 1 ต.ค.67 ทำการแข่งขันเป็นวันแรก มีชิง 3 เหรียญทอง ไทยส่งจอมเตะลงลุ้นเหรียญรางวัลครบทั้ง 3 รุ่น 

รุ่น 63 กก.ชาย  “บูม” ณัฐวัฒน์ บุญช้าง จอมเตะดีกรีเหรียญทองแดงยุวชนโลก 2023 ที่บอสเนีย ประเดิมรอบแรก (64 คน) ได้อย่างร้อนแรง เตะทำคะแนนชนะ  คาลีด อัลฮูนาอิฟ จากคูเวต ไปแบบขาดลอยชนิดแข่งไม่ครบยกทั้งสองยก (13-0, 13-0) เข้ารอบสองเจอกับ กุสตาโว อันเดรส การ์เซีย ดาวิญ่า จากเปอร์โตริโก้ ผลปรากฎว่า “เจ้าบูม” ยังโชว์ฟอร์มเตะได้อย่างดุดัน เอาชนะ 2-0 ยก (4-0, 12-0) ก่อนที่รอบ 16 คนสุดท้าย จะอาศัยความเร็วและการออกอาวุธที่แม่นยำ เตะชนะ การาน ลันด้า จากสหราชอาณาจักร 2-0 ยก (6-1, 5-0) ทะลุสู่รอบ 8 คน

รอบก่อนรองชนะเลิศ ซึ่งใครชนะรอบนี้การันตีเหรียญทองแดงเป็นอย่างน้อย “เจ้าบูม“ ลงดวลกับ วาซิฟ ซาลีมอฟ จากอาเซอร์ไบจาน ยกแรก ”เจ้าบูม“ พลาดโดนดักเตะหัวและลำตัว พ่ายก่อน 0-6 เข้ายกสองจอมเตะไทยพยายามดักเตะสลับชิงเข้าทำ  โดยขึ้นนำ 3-2 แต่มาพลาดโดนเตะลำตัวช่วง 3 วินาทีสุดท้าย ทำให้ไล่ไม่ทัน พ่ายหวุดหวิด 3-4 ทำให้พลาดเหรียญทองแดงไปอย่างน่าเสียดาย 

ด้านรุ่น 52 กก.หญิง “บัว” ปานบัว โมรมัต เจ้าของแชมป์เยาวชนเอเชีย 2023 ทำผลงานในรอบแรก (64 คน) ยอดเยี่ยม เอาชนะซากุระ โอชินเดน จากญี่ปุ่น 2-0 ยก (3-0, 3-0) ก่อนที่รอบสอง หรือรอบ 32 คน จะชนะ รัมดิงเลียนี่ จากอินเดีย 2-0 ยก (6-4, 12-0) เข้ารอบ 16 คน มาพบกับ ปาร์เนียน นูห์รี่ จอมเตะอิหร่าน แมตช์นี้ ปานบัว เก็บยกแรกได้ก่อน 9-7 แต่ด้วยรูปร่างและส่วนสูงที่เป็นรอง จึงหาจังหวะบุกเข้าทำลำบาก แพ้ใน 2 ยกถัดมา ก่อนพ่ายไป 1-2 ยก (9-7, 0-13, 3-15) จอดป้ายรอบ 16 คน

ขณะที่รุ่น 59 กก.หญิง ”หนมเส้น“ ณัฐณิชา สายเมือง ดาวรุ่งดีกรีเหรียญทองแดง ศึกโคเรีย โอเพ่น 2024 เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ลงเล่นรอบแรก (64 คน) พ่ายให้กับ แอนนา โซเฟีย กูเอวาร่า รามิเรซ จากเม็กซิโก ไป 0-2 ยก (3-7, 3-10)ตกรอบแรกไปอย่างน่าเสียดาย 

ส่วนโปรแกรมแข่งขันในวันที่ 2 ต.ค. เรามีลงสนาม 2 คน รุ่น 46 กก.หญิง “ไออุ่น” ไอยริสสา สุขสวัสดิ์ และ รุ่น 45 กก.ชาย “ภูมิ” นิติภูมิ ไชยโยธา เริ่มแข่งเวลาไทย 07.00 น. เป็นต้นไป  

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


ทำความเข้าใจผู้ป่วยโรคไบโพลาร์ หรือคนสองบุคลิก ให้ชัดเจนขึ้น

ระยะหนึ่งแล้วที่คนไทยเริ่มรู้จักกับโรค “ไบโพลาร์” หรือบางคนอาจเรียกว่าโรค คนสองบุคลิก ที่เมื่อเสียใจก็เสียใจสุดๆ แต่เมื่อดีใจก็ดีใจเสียโอเวอร์ แต่ถึงแม้ผู้ป่วยโรคไบโพลาร์จะมีจำนวนมากขึ้นในสังคมไทยก็จริง แต่ก็ไม่ใช่ทุกคนที่มีอาการเหล่านี้จะถูกเรียกว่าเป็นโรคไบโพลาร์กันเสียหมด

Sanook Health ทำข้อมูลดีๆ จาก เฟซบุ๊คเพจ สมาคมจิตแพทย์แห่งประเทศไท ที่จะมาอธิบายถึงโรคไบโพลาร์ให้ชัดเจนขึ้น ให้คนทั่วไปเข้าใจถึงโรคนี้ และทำความเข้าใจผู้ป่วยโรคนี้ให้มากขึ้นด้วยค่ะ

ขอเพียงความเข้าใจ “ไบโพลาร์”

ปัจจุบันหากได้มีโอกาสติดตามข่าวในโทรทัศน์หรือหนังสือพิมพ์ คงได้มีโอกาสได้ยินเกี่ยวกับโรคไบโพลาร์ สิ่งที่น่าเป็นห่วงก็คือ เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่า สังคมมักจะมีความคิดประมาณว่า ถ้าใครมีลักษณะผิดปกติอะไรสักอย่าง ต้องถามขึ้นมาเลยว่า “นี่เป็นไบโพลาร์รึเปล่าเนี่ย!?!” ซึ่งคงไม่ยุติธรรมกับคนไข้ที่เป็นไบโพลาร์เท่าไหร่นัก แล้วในความเป็นจริง ไบโพลาร์คือโรคอะไรกันแน่

* ที่แน่ๆ มันไม่ใช่อารมณ์ร้ายเพียงเพราะไม่ได้ดั่งใจ ไม่ใช่คนนิสัยเอาแต่ใจหรือเห็นแก่ตัว *

โรคอารมณ์สองขั้ว หรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Bipolar Disorder นั้น จากงานวิจัยพบว่า คนเรามีโอกาสป่วยเป็นโรคอารมณ์สองขั้วได้ประมาณ 1% การที่มีความเข้าใจเรื่องโรคนี้ก็น่าจะมีประโยชน์ในการป้องกันและดูแลคนรอบข้างที่มีความเสี่ยงหรือสงสัยว่าจะเป็นโรคได้ โรคอารมณ์สองขั้ว ลักษณะทั่วไปก็เป็นตามชื่อ ก็คือ มีลักษณะของอารมณ์และพฤติกรรมเปลี่ยนแปลงอย่างแตกต่าง 2 แบบ

  1. ช่วงซึมเศร้า (Depressive episode) ที่เป็นนานอย่างน้อย2สัปดาห์ (รายละเอียดในบทความโรคซึมเศร้า)
  2. มีลักษณะ คึกคักพลุ่งพล่าน ที่เรียกว่าเมเนีย (Mania หรือ Manic episode)

คนที่เป็นโรคไบโพลาร์นี้อารมณ์จะเปลี่ยนแปลงเป็นช่วงๆ

  • ช่วงที่ว่านี้คือเป็นสัปดาห์ ไม่ใช่เป็นชั่วโมงหรือวันสองวัน
  • โดยอาจเป็นลักษณะซึมเศร้า ตามด้วยช่วงเวลาที่เป็น “ปกติ” ดี เป็นคนเดิมของเขา จากนั้นอาจเกิดอาการแบบเมเนียขึ้นมา
  • โรคไบโพลาร์ ต้องมีช่วงเมเนีย (ขั้วบวก = เมเนีย และ ขั้วลบ = ซึมเศร้า) แต่อาจจะมีช่วงซึมเศร้าหรือไม่ก็ได้
  • บางคนแสดงอาการซึมเศร้าก่อน ต่อมาค่อยแสดงอาการเมเนีย การวินิจฉัยจึงเปลี่ยนจากโรคซึมเศร้า เป็นโรคไบโพลาร์
  • ซึ่งส่วนใหญ่จะแสดงอาการซึมเศร้าก่อนมากกว่า

อาการหลักๆคือ “เยอะ” ไม่ว่าความคิด ความมั่นใจ การพูด ”ล้น” ไปหมด (โดยที่แต่ก่อนไม่ได้เป็นแบบนี้) แต่มักไม่เกิดผลดี เพราะมาจากสมองที่กำลังปั่นป่วน

เราอาจเคยเห็นเพื่อนๆหรือคนที่อยู่รอบข้าง ที่อยู่ดีๆก็ขยันทำงานไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย บางคนดูเหมือนมีแผนการและความคิดสร้างสรรค์มากมาย เวลาพูดคุยด้วยจะสังเกตว่าพูดมาก พูดเร็ว แต่ดูกระจัดกระจายไม่ปะติดปะต่อ เปลี่ยนเรื่องเร็วจนตามไม่ทัน มีพลังงานเหลือเฟือในการทำงาน วางแผนโครงการต่างๆมากมาย บางคนไปดาวน์รถ จองคอนโดหลายที่ ต้องมาตามใช้หนี้ตอนหลัง รวมทั้งดูมีความมั่นใจในตัวเองมาก คิดว่าตัวเองมีความสามารถสูง เช่น ถ้าลงเลือกตั้งต้องได้ตำแหน่งแน่ๆ

บางคนเป็นมากอาจมีความคิดหลงผิด (delusion) ว่าตัวเองเป็นผู้วิเศษ มีพลังอำนาจวิเศษเหนือธรรมชาติ หากค่อนข้างสนิทจะเห็นว่ามีลักษณะใช้จ่ายเกินตัวผิดปกติ ถ้าเป็นคนประหยัดจะใช้เปลืองมากขึ้น ถ้าเป็นคนใช้เงินอยู่แล้วก็จะมากขึ้นอีก บางคนบริจาคเงินมากมาย บางทีเอาเงินมาแจกเพื่อน ถ้าเป็นระดับหัวหน้างานก็อาจแจกเงินลูกน้อง พาลูกน้องไปเลี้ยงใหญ่ทุกวัน นอนดึกมากขึ้น (ไม่ใช่นอนไม่หลับ) แต่ไม่ง่วงไม่อยากนอน มีพลังเหมือนสังเคราะห์แสงได้ อารมณ์อาจเป็นลักษณะดีผิดปกติ ดูไม่สมเหตุสมผล หรืออาจเป็นอารมณ์หงุดหงิดก็ได้ ความอดทนต่ำ หุนหันพลันแล่น ทำให้มีเรื่องกับใครได้ง่ายๆ อาจถึงขั้นอาละวาดทำร้ายคนหรือสิ่งของ 

ผลกระทบสำหรับคนที่เป็นโรคไบโพลาร์

อาการต่างๆจะส่งผลเสียต่อการทำงาน การใช้ชีวิตส่วนตัว ครอบครัวและคนรอบข้าง

การดูแลรักษาคนที่เป็นโรคไบโพลาร์

มีความจำเป็นจะต้องให้ยาปรับอารมณ์ให้คงที่ (mood stabilizer) ดังนั้นหากสงสัยว่าเพื่อนๆหรือคนรอบข้างมีอาการที่เข้าได้กับโรคอารมณ์สองขั้ว ก็ควรหาทางให้เขาไปพบจิตแพทย์เพื่อการวินิจฉัยที่ถูกต้องและรักษา เพราะอาการเช่นนี้ อาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆก็ได้ เช่น ยาเสพติด ยาลดน้ำหนัก หรือโรคทางกายบางอย่าง ดังนั้นจึงต้องพบจิตแพทย์เพื่อหาสาเหตุก่อน

คนที่เป็นโรคอารมณ์สองขั้ว ส่วนใหญ่เมื่อได้รับประทานยา อาการจะดีขึ้นจนเป็นปกติ และสามารถทำงาน ใช้ชีวิตปกติได้เหมือนไม่เคยมีช่วงป่วยมาก่อน ที่สำคัญคือระวังการกำเริบของโรค เพราะคนไข้ไบโพลาร์ ช่วงเมเนียมักไม่คิดว่าตัวเองป่วย หากอาการดีขึ้นก็มักหยุดยาเอง ซึ่งโรคจะกำเริบได้หากรับประทานยาไม่สม่ำเสมอ การพักผ่อนไม่เป็นเวลา การดื่มแอลกอฮอล์และความเครียดที่มากระทบ

ดังนั้นผู้ที่เป็นโรคนี้จึงไม่ควรทำงานที่พักผ่อนไม่เป็นเวลา เช่น งานที่ต้องอยู่เวรเป็นกะ และควรหลีกเลี่ยงการทำงานที่สร้างความเครียดหรือกดดันมากเกินไป อย่างไรก็ตาม อาการต่างๆที่กล่าวมาข้างต้น บางครั้งอาจเกิดจากโรคอื่นๆที่ไม่ใช่โรคอารมณ์สองขั้วก็ได้ ดังนั้นการไปพบจิตแพทย์จึงมีความจำเป็น

การกลับมาเป็นคนปกติของคนที่เป็นโรคไบโพลาร์

คนที่มีโรคไบโพลาร์ หรือเป็นโรคทางจิตเวชใดๆก็ตาม สามารถรักษาให้ดีขึ้นและใช้ชีวิตเป็นปกติได้ได้ เขาต้องการความเข้าใจ ไม่ต่างจากคนไข้โรคทางกายอื่นๆ ว่าสิ่งที่เขาทำไปนั้นเกิดจากความเจ็บป่วย ที่ต้องการการดูแลรักษา แต่น่าเศร้าที่หลายครั้งคนในสังคมมาองคนไข้จิตเวชด้วยอคติ ทั้งการขาดความรู้และความไม่สนใจจะรู้ อย่างที่เราอาจจะพบเห็นบ่อยๆในสื่อสังคมออนไลน์ปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นใครก็มีสิทธิเจ็บป่วยทางสมองได้ ไม่ว่าจะเป็นมหาเศรษฐี ยาจก เชื้อชาติไหน ภาษาใดๆ คนเหล่านั้นล้วนต้องการความเข้าใจและยอมรับ

มีคนมากมายในสังคมเราที่ไม่ได้มีอาการเจ็บป่วยทางจิต แต่ก็สร้างความเดือดร้อนให้สังคม ซึ่งคนเหล่านั้นจิตแพทย์หรือใครๆก็รักษาไม่ได้ ตรงนี้หมอว่าน่าเหนื่อยใจกว่ามาก แต่คนไข้ไบโพลาร์ หรือคนไข้โรคทางจิตเวช ซึ่งเกี่ยวกับสมดุลของสารเคมีตัวต่างๆในสมองนั้น รักษาให้หายได้ และอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขได้ ถ้าทุกคนในสังคมให้โอกาส

ถ้าเลือกได้คงไม่มีใครจะเจ็บป่วย โดยเฉพาะป่วยทางสมอง ที่มีผลกระทบต่อความคิด อารมณ์ และพฤติกรรม แต่ชีวิตคนเราก็ไม่ได้ง่ายพอที่จะเลือกได้ทุกเรื่อง และไม่แน่ว่าในอนาคต อาจจะเป็นตัวเราเองหรือคนที่เรารักก็ได้ ที่จะต้องประสบกับโรคเหล่านี้

ขอเพียงความเข้าใจ ไบโพลาร์

จาก… หมอมินบานเย็น และหมอมีฟ้า

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เปิดหลักเกณฑ์วิธีอนุญาตใช้สิทธิวงโครจรดาวเทียม ตำแหน่ง 50.5 องศาตะวันออก

เปิดหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตใช้สิทธิวงโครจรดาวเทียม ตำแหน่ง 50.5 องศาตะวันออก หลังประกาศลงในราชกิจจานุเบกษาเป็นทางการแล้ว เปิดให้ยื่นขอคำรับอนุญาต ดีเดย์ 7 ตุลาคม เท่านั้น

วันนี้ 1 ตุลาคม 2567 รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ภูริวิกรัยพงศ์  กรรมการกสทช. ด้านกิจการโทรคมนาคม เปิดเผยว่า หลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตฯ ให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโครจรดาวเทียม ณ ตำแหน่ง 50.5 ซึ่งจะสิ้นสุดรักษาสิทธิวงโครจร ในวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567 ได้ประกาศหลักเกณฑ์และวิธีการอนุญาตฯ ประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2567 ที่ผ่านมา สารสำคัญของประกาศดังกล่าวได้กำหนดไว้ดังนี้

การอนุญาตให้ใช้สิทธิในการเข้าใช้วงโครจรดาวเทียมตามตำแหน่งวงโคจรดาวเทียม โดยจะไม่จัดชุดของข่ายงานดาวเทียมที่จะนำมาอนุญาตสิทธิ และ ไม่กำหนดราคาขั้นต่ำ ส่วนวิธีการอนุญาตพิจารณาเปรียบเทียบจากข้อเสนอของผู้รับขออนุญาต

รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ยังกล่าวเพิ่มเติมอีกว่า เกณฑ์การพิจารณาอนุญาต แต่ละราย ต้องได้ไม่น้อยกว่าร้อยละ 50 ต้องมีความพร้อมในการรักษาสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียม กำหนดน้ำหนักเท่ากับร้อยละ 40 ประสบการณ์ในการประกอบกิจการ หรือดำเนินโครงการที่เกี่ยวข้อง กำหนดน้ำนักเท่ากับร้อยละ 25 การเสนอหลักประกันการรักษาสิทธิในการเข้าใช้วงโคจรดาวเทียมกำหนดน้ำหนักเท่ากับร้อยละ 20

ในส่วนของข้อเสนออัตราผลตอบแทนให้แก่รัฐ ไม่น้อยกว่าร้อยละ 0.25 สำหรับการรักษาสิทธิ ผู้ได้รับอนุญาตมีหน้าที่จัดให้มีดาวเทียมเป็นของตัวเองหรือดำเนินการอื่นใดเพื่อรักษาสิทธิขั้นสมบูรณ์ตลอดระยะเวลาการอนุญาต

“ผู้ประกอบการไม่จำเป็นต้องมีดาวเทียมก็มีสิทธิยื่นความจำนงได้ หรือ จะลากดาวเทียมเข้ามาที่ตำแหน่งวงโคจรดังกล่าว เพราะนโยบายของ กสทช. ต้องการที่จะรักษาสิทธิวงโคจรดาวเทียมเท่านั้น”

รองศาสตราจารย์ ดร.สมภพ ยังกล่าวต่ออีกว่า สำหรับขั้นตอนกระบวนการคัดเลือก ได้กำหนดระยะเวลาดังนี้ เปิดยื่นคำขอรับอนุญาต ในวันที่ 7 ตุลาคม 2567 ขั้นตอนต่อมา คือ การตรวจสอบคุณสมบัติ และ ข้อเสนอของผู้ขอรับอนุญาต กรอบระยะเวลา 8-10 ตุลาคม 2567 ถัดจากนั้น คณะกรรมการประเมินเจรจาต่อรองข้อเสนอของผู้ขอรับอนุญาต ในวันที่ 11 ตุลาคม 2567  หลังจากนั้น คณะกรรมการประเมินนำเสนอผลการตรวจสอบคุณสมบัติและผลการตัดสินผู้ได้รับอนุญาตให้ กสทช. พิจารณา ในวันที่ 16 ตุลาคม 2567 และ ประกาศรายชื่อผู้ได้รับอนุญาต ในวันที่ 17 ตุลาคม 2567.

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


วิธีเจรจาต่อรองโดยใช้ภาษาอังกฤษ เพิ่มโอกาสสำเร็จแบบมืออาชีพ

การเจรจาต่อรองเป็นส่วนสำคัญของโอกาสต่างๆในการทำงาน และยังสามารถแสดงถึงความเป็นมืออาชีพได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะการเจรจาต่อรองที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการเจรจากับคนทั่วโลก

จะมีเทคนิคในการต่อรองโดยใช้ภาษาอังกฤษอย่างไรบ้าง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาไปรีวิวกัน

ใช้ประโยคเปิดเริ่มต้นการเจรจาต่อรองแบบมืออาชีพ

First Impression เป็นสิ่งสำคัญ การที่เราใช้ประโยคในการเปิดบทสนทนาเพื่อการเจรจาต่อรองที่มีความเป็นมืออาชีพและเป็นทางการ จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับคู่เจรจาของเราได้อย่างมาก

  • I appreciate the opportunity to discuss this topic with you.
  • Thank you for taking the time to join me as we embark on these negotiations.
  • Let’s explore how we can find common ground on this issue.

นำเสนอแนวทางในการหาทางออก หรือข้อตกลงให้กับการเจรจาในครั้งนี้ ในมุมมองของคุณ

  • Allow me to outline our perspective on this matter.
  • I’d like to propose a solution that benefits both parties.
  • From my point of view, it’s important to consider this topic.

พร้อมที่จะรับฟังความคิดเห็นอยู่เสมอ

ในการเจรจาต่อรอง คุณต้องแสดงให้เห็นว่าคุณพร้อมที่จะรับฟังคู่สนทนาของคุณอยู่เสมอ เพื่อเป็นการให้เกียรติ และยังทำให้คุณสามารถมองภาพรวมได้กว้างขึ้นผ่านมุมมองของอีกฝ่าย

  • Could you share your thoughts on this issue?
  • I’m interested in hearing your perspective.
  • How do you see us moving forward to find a resolution?

สร้างความเข้าใจให้ตรงกันอยู่เสมอ 

ระหว่างการเจรจา คุณควรพยายามรีเช็คความเข้าใจของคุณ และคู่เจรจาอย่างต่อเนื่องเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการหลุดประเด็น ซึ่งจะช่วยให้ระยะเวลาในการพูดคุยต่อรองกระชับยิ่งขึ้น

  • I want to make sure I understand your position correctly.
  • Can you clarify your expectations regarding this matter?
  • Let’s ensure we are on the same page before moving forward.

ใช้ประโยคในการส่งเสริมความร่วมมือและความตกลง

เลือกใช้ประโยคที่แสดงถึงการส่งเสริมความร่วมมือซึ่งกันและกันจะช่วยให้การเจรจาเป็นไปในทิศทางบวกมากยิ่งขึ้น และเป็นการแสดงถึงการให้ความร่วมมือที่ดี

  • Working together on this matter will benefit both sides.
  • Let’s finalize the details and move towards a successful resolution.
  • I believe a collaborative approach will lead to a more favorable outcome.

การสรุปหลังการพูดคุย และการใช้ประโยคสำหรับปิดการเจรจา 

หลังจากการพูดคุยเจรจาแล้วจำเป็นต้องมีการสรุปเนื้อหาหรือข้อตกลงกันในทุกครั้ง และควรเลือกใช้ประโยคปิดการสนทนาอย่างมืออาชีพ

  • Thank you for a productive discussion, and I look forward to our agreement.
  • I appreciate your time and effort in reaching a resolution.
  • Let’s formalize our agreement and move forward with confidence.

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


8 สรรพคุณของจิงจูฉ่าย สมุนไพรจีนสรรพคุณล้ำ บำบัดอาการป่วยได้ผล

จิงจูฉ่าย หรือ White Mugwort เป็นสมุนไพรจีนที่มีถิ่นกำเนิดอยู่ที่มณฑลกุ้ยโจว มีลักษณะคล้ายกับขึ้นฉ่ายฝรั่ง แต่มีขนาดต้นที่เล็กกว่า ใบสีเข้ม มีกลิ่นหอมคล้ายกับตั้งโอ๋ โดยเฉพาะใครที่ชื่นชอบการทานเกาเหลาเลือดหมู จะคุ้นเคยกับสมุนไพรชนิดนี้มาก เพราะมีสรรพคุณช่วยดับกลิ่นคาวได้ดี วันนี้เราจึงขอนำ 8 สรรพคุณที่ได้จากจิงจูฉ่ายมาบอกให้คุณได้ทราบกันเพิ่มเติม จะมีอะไรบ้างนั้น ตามไปอ่านพร้อมๆ กันเลยค่ะ


1.ขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหาร
จิงจูฉ่ายเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยขับลมในลำไส้และกระเพาะอาหารได้เป็นอย่างดี อีกทั้งยังมีส่วนกระตุ้นการทำงานของระบบย่อยอาหาร ดังนั้นใครที่รู้สึกแน่นท้อง จุกเสียด แนะนำให้นำจิงจูฉ่ายมาต้มเป็นชาดื่มง่ายๆ จะช่วยรักษาอาการดังกล่าวได้


2.ช่วยบำรุงปอดและฟอกเลือด
จิงจูฉ่ายเป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์เย็น ดังนั้นจึงมีความสามารถในการบำรุงปอด ฟอกเลือก และกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตได้ดี นอกจากนี้ ยังช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกัน และช่วยปรับสมดุลร่างกายให้แข็งแรง ทำให้ไม่ป่วยง่ายอีกด้วย

3.ดับพิษและแก้อาการอักเสบ
จิงจูฉ่ายมีสารต้านอนุมูลอิสระ สารฟลาโวนอยด์ เบต้าแคโรทีน ไรโบฟลาวิน และวิตามินซี ซึ่งสารสำคัญเหล่านี้ล้วนมีส่วนช่วยแก้อาการอักเสบ ดับพิษ รักษาอาการผื่นคัน และแก้ผิวหนังที่เป็นฝีตุ่มได้ดี


4.ยับยั้งการเติบโตของเซลล์มะเร็ง
ถึงแม้ว่าการวิจัยเกี่ยวกับการใช้จิงจูฉ่ายรักษามะเร็งจะยังคงอยู่ในห้องทดลอง แต่ก็มีงานวิจัยหลายชิ้นได้ค้นพบว่า สารที่อยู่ในจิงจูฉ่ายมีความสามารถป้องกันและช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งได้ แต่ทั้งนี้ก็ไม่แนะนำให้หันมาทานสมุนไพรชนิดนี้เพื่อหวังรักษามะเร็ง แต่ควรปรึกษาและรับการรักษาที่ถูกต้องจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะดีที่สุด

5.ปรับสมดุลความดันโลหิต
ในส่วนของลำต้นและใบของจิงจูฉ่ายจะมีน้ำมันหอมระเหยที่ประกอบไปด้วยสารไลโมนีน ชิลนีน และสารกลัยโคไซด์ ซึ่งมีชื่อว่า อะปิอิน ซึ่งสารสำคัญเหล่านี้ล้วนมีสรรพคุณช่วยในการปรับสมดุลความดันโลหิตได้เป็นอย่างดี


6.แก้ประจำเดือนมาไม่ปกติ
เนื่องจากจิงจูฉ่ายมีสรรพคุณช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิต และยังช่วยในเรื่องของการฟอกเลือด นั่นจึงมีผลต่อการช่วยรักษาอาการมาประจำเดือนไม่ปกติของสาวๆ ได้เช่นกัน

7.กระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกาย
ในจิงจูฉ่ายอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลากหลายชนิด ซึ่งสารเหล่านี้มีส่วนช่วยกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้สามารถทำงานได้ดียิ่งขึ้น และยังช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ในร่างกายได้อีกด้วย


8.รักษาโรคมาลาเรียอย่างมีประสิทธิภาพ
สารสำคัญที่ชื่อ อาร์ทีมิซินิน ที่อยู่ในจิงจูฉ่ายนั้นมีสรรพคุณช่วยในการเพิ่มประสิทธิภาพในการรักษาโรคไข้มาลาเรียได้


สำหรับใครที่ชื่นชอบการทานอาหารที่มีส่วนผสมของสมุนไพรจีนอย่างจิงจูฉ่าย ไม่ว่าจะเป็นเมนูแกงส้ม แกงจืด ไข่เจียว หรือเกาเหลาเลือดหมู ขอบอกเลยว่าร่างกายได้รับสรรพคุณที่หลากหลายอย่างน่าเหลือเชื่อ โดยเฉพาะสาวๆ ที่มีปัญหาการมาประจำเดือนที่ผิดปกติ ลองหาจิงจูฉ่ายมาทานกันดูนะคะ เชื่อว่าสมุนไพรจีนชนิดนี้ช่วยคุณได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 02/10/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,850.0040,950.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,646.0040,113.3641,450.00
ทองรูปพรรณ 90%2,381.4036,102.02n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,116.8032,090.69n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,191.0018,055.56n/a
ทองรูปพรรณ 40%926.0014,038.16n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,742.0041,568.72n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/10/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9534.9534.9535.2534.9534.9534.9534.9534.9534.9534.95
แก๊สโซฮอล์ 9134.5834.5834.8834.5834.5834.5834.5834.5834.5834.58
แก๊สโซฮอล์ E2032.8432.8433.1432.8432.8432.8432.8432.8432.84
แก๊สโซฮอล์ E8532.5932.5932.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.5449.8449.8449.8443.54
เบนซิน 9543.1449.8143.6443.2943.14
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV18.5918.5918.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า