สาระน่ารู้ประจำวันที่ 02 พฤศจิกายน 2564

ทุบทิ้ง “โรงหนังสกาลา” ปิดตำนานยักษ์เก่าแก่ คู่สยามสแควร์

ทุบทิ้ง "โรงหนังสกาลา" ปิดตำนานยักษ์เก่าแก่ คู่สยามสแควร์

ชาวเน็ตแห่แชร์ คลิป “โรงหนังสกาลา” ถูกทุบทิ้ง ปิดตำนานความทรงจำคู่สยามสแควร์ ถามจุฬา! ไหนว่าจะอนุรักษ์ไว้ ?

1 พ.ย.2564 – โลกโซเชียล แห่แชร์ “โรงหนังสกาลา” ถูกทุบทิ้ง ซึ่งมีต้นทางมาจากเพจ Foto_momo (เพจเกี่ยวกับภาพถ่ายสถาปัตยกรรมสมัยใหม่) โดยคลิปดังกล่าว แสดงให้เห็น ภาพรถแบคโฮขนาดใหญ่ กำลังเข้าขุดเจาะทุบทำลายส่วนบนของโรงหนังสกาล่า ซึ่งเป็นส่วนโครงสร้างสถาปัตยกรรมเอกลักษณ์เฉพาะตัวของโรงหนังเก่าแก่ คู่แหล่งช้อปปิ้งดังสยามสแควร์แห่งนี้มายาวนาน พร้อมมีการฉีดน้ำเลี้ยงระหว่างดำเนินการ คาดเพื่อสกัดเศษฝุ่นละอองที่พังทลายลงมา ตามแนวทางการรื้อทำลายสิ่งก่อสร้าง 

ทุบโรงหนังสกาลาทำไม ? 

ทั้งนี้ ชาวเน็ตจำนวนมาก ต่างแสดงความคิดเห็นและแชร์ข้อความต่อไปในทิศทางเดียวกัน ถาม ทำไมต้องทุบโรงหนังสกาล่า ? หลังก่อนหน้า ผู้พัฒนารายใหญ่ เซ็นทรัลพัฒนาจำกัด (มหาชน) หรือ CPN ซึ่งคว้าประมูลสิทธิ์พัฒนาโรงหนังสกาลา ที่ดินแปลงบล็อกAเนื้อที่ 7ไร่31ตารางวา ของสำนักงานจัดการทรัพย์สิน จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มา ระบุ จะปรับปรุงโครงสร้างของโรงหนังสกาลา เป็นศูนย์การค้าขนาดเล็กแทน ขณะจุฬาฯ ยืนยัน ไม่มีแผนทุบทิ้งโรงหนังสกาลา 

ทุบทิ้ง "โรงหนังสกาลา" ปิดตำนานยักษ์เก่าแก่ คู่สยามสแควร์

ทั้งนี้ ย้อนไปช่วงสถานการณ์การแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ปี2563 ผู้บริหารโรงหนังสกาลา เจ้าของสวนนงนุชผู้ เช่าที่ดินสำนักทรัพย์สินจุฬาฯ ประกาศบอกเลิกกิจการ ก่อนหมดอายุสัญญาเดือนธันวาคม2563 โดยวันที่5 กรกฎาคม 2563   “สกาลา”  ได้เปิดให้คอหนังเข้าชมภาพพยนต์เป็นวันสุดท้ายก่อนปิดถาวร


โดยโรงหนัง “สกาลา” เป็นโรงภาพยนตร์สแตนด์อะโลนขนาด 1,000 ที่นั่ง ที่เปิดให้บริการเคียงคู่สยามสแควร์มาตั้งแต่ปี 2512หรือกว่า50ปี  โดยภาพยนตร์ที่ฉายรอบปฐมทัศน์เมื่อวันที่ 31 ธันวาคมปีดังกล่าว เป็นภาพยนตร์เรื่อง “สองสิงห์ตะลุยศึก (The Undefeated)” 

ก่อสร้างตกแต่งสถาปัตยกรรมแบบคลาสสิกที่สวยงามโดดเด่น ผสมผสานระหว่างรูปแบบตะวันตกและตะวันออก มีเอกลักษณ์เป็นโคมแชนเดอเลียร์ระย้า 5 ชั้นขนาดยักษ์ที่สั่งตรงจากอิตาลีและเครื่องประดับอาคารที่ทางโรงภาพยนตร์สั่งทำขึ้นมาพิเศษ เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ศุภาลัย รุกตลาดบ้านหรู 20-30 ล้าน ประเดิม เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี

ศุภาลัย รุกตลาดบ้านหรู 20-30 ล้าน ประเดิม เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี

ศุภาลัย เชื่อมั่นตลาดอสังหาฯปลายปีฟื้นตัว รุกตลาดบ้านเดี่ยวสุดหรู 20-30ล้าน ประเดิมปักธงแบรนด์ใหม่ “ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121” มูลค่า 2,000 ล้าน

1 พ.ย.2564 – บมจ.ศุภาลัย ปั้นแบรนด์ใหม่ บ้านหรู ” ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 ” โดย นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2564 มีสัญญาณฟื้นตัวที่ดีขึ้น จากการที่ภาครัฐผ่อนคลายมาตรการล็อคดาวน์ในประเทศและเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 พ.ย. เป็นต้นมา 

ศุภาลัย รุกตลาดบ้านหรู 20-30 ล้าน ประเดิม เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี

ด้านธนาคารแห่งประเทศไทยออกประกาศมาตรการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ LTV เป็นแรงกระตุ้นเศรษฐกิจภาคอสังหาริมทรัพย์ อีกทั้งตลอดทั้งปียอดขายโครงการแนวราบของบริษัทฯ เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จึงมีความมั่นใจเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักซ์ชัวรี่ ภายใต้แบรนด์ใหม่ล่าสุด “เอเลแกนซ์” ปักหมุดทำเลแรกบนถนนบรมราชชนนี มูลค่าโครงการกว่า 2,000 ล้านบาท

นางสาวธัญวรัตน์ ปัญญารัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 เป็นโครงการบ้านหรูหราเหนือระดับด้วยแนวคิด Timeless Living Archetype ต้นแบบชีวิตเหนือกาลเวลาพร้อมให้ได้สัมผัสกับประสบการณ์ของบ้านดีไซน์ใหม่ จากสถาปัตยกรรมแบบ Modern Colonial ผสมผสานกับแนวคิดของการใช้ชีวิตจริง บนพื้นที่โครงการ 34 ไร่ มอบความเป็นส่วนตัวด้วยจำนวนบ้านเพียง 86 แปลง

ศุภาลัย รุกตลาดบ้านหรู 20-30 ล้าน ประเดิม เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี

สำหรับทุกรายละเอียดของโครงการศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 ได้รับการออกแบบอย่างพิถีพิถัน มีเอกลักษณ์และสมบูรณ์แบบ ให้บ้านเป็นเสมือนสถานที่พักผ่อนที่แท้จริง กับสุนทรียภาพในสถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียลผสมผสานระหว่างสไตล์โมเดิร์นและคลาสสิค มีการจัดส่วนของบ้านให้มีห้องที่กว้างและปลอดโปร่งด้วยเพดานสูง เน้นความสมดุล (Symmetrical Balance) เล่นระดับของฝ้าเพดานเพื่อเพิ่มมิติของห้อง ให้ความรู้สึกเรียบง่ายและสง่างาม อบอุ่นและหรูหราอย่างแท้จริง

ศุภาลัย รุกตลาดบ้านหรู 20-30 ล้าน ประเดิม เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี

การออกแบบตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ระดับลักซ์ชูรี่ด้วยแบบบ้านเดี่ยวสุดหรู 3 ชั้น บนที่ดินขนาด 100 ตร.วา ขึ้นไป ราคาเริ่มต้น 20 – 30 ล้านบาท โดยมี 3 แบบบ้านให้เลือกสรร คือ ศุภศิรินทร์ พื้นที่ 480 ตร.ม. 4 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ ศุภจรินทร์ พื้นที่ 399 ตร.ม. 2 ห้องนอนมาสเตอร์ 2 ห้องนอน 6 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ และศุภศรัณย์ พื้นที่ 380 ตร.ม. 2 ห้องนอนมาสเตอร์ 3 ห้องนอน 7 ห้องน้ำ 4 ที่จอดรถ 

ศุภาลัย รุกตลาดบ้านหรู 20-30 ล้าน ประเดิม เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี

โดยทุกแบบบ้านยังมีห้องอเนกประสงค์เพื่อให้สมาชิกในบ้านได้ใช้เวลาร่วมกัน และทั้ง 3 แบบบ้านยังได้รับประกาศเกียรติคุณรับรองฉลากประหยัดไฟฟ้าเบอร์ 5 ผ่านการประเมินเกณฑ์ประสิทธิภาพพลังงานในโครงการบ้านเบอร์ 5 ของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย อีกทั้งเติมเต็มทุกความสะดวกสบายอีกระดับภายในโครงการด้วยคลับเฮ้าส์ และพื้นที่สีเขียวในสวนสาธารณะขนาด 1 ไร่ พร้อมทัศนียภาพภายในโครงการที่สวยงามโปร่งตาด้วยระบบเดินสายไฟใต้ดิน ทางเข้าออกระบบบลูทูธ และระบบรักษาความปลอดภัย 24 ชั่วโมง พร้อมติดตั้งกล้อง CCTV ภายในโครงการ

ศุภาลัย รุกตลาดบ้านหรู 20-30 ล้าน ประเดิม เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี

โดดเด่นด้วยทำเลศักยภาพบนถนนบรมราชชนนี เดินทางสะดวกเพียง 6 นาทีจากทางคู่ขนานลอยฟ้าบรมราชชนนี และ 12 นาทีจากทางด่วนศรีรัช-วงแหวนรอบนอก ล้อมรอบด้วยแหล่งช้อปปิ้งชื่อดัง อาทิ เซ็นทรัล พลาซ่า ศาลายา โลตัส ศาลายา Foodland Brio Mall อีกทั้งอยู่ใกล้กับสถานศึกษา มหาวิทยาลัยมหิดล ศาลายา โรงเรียนสาธิตนานาชาติ มหาวิทยาลัยมหิดล โรงเรียนอัสสัมชัญธนบุรี 

ทั้งนี้ เริ่มเปิดจอง โครงการ ศุภาลัย เอเลแกนซ์ บรมราชชนนี 121 รอบ Soft Opening 6 – 7 พ.ย. นี้  www.supalai.com

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


 


บาทเปิด 33.27บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่า

บาทเปิด 33.27บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่า

เงินบาทเปิดตลาด 33.27บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่า หลังดอลลาร์อ่อน ให้กรอบวันนี้ 33.20-33.40 บาทต่อดอลลาร์

นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 33.27 บาท/ดอลลาร์ แข็งค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 33.36 บาท/ดอลลาร์เช้านี้เงินบาทแข็งค่า เนื่องจากเมื่อคืนนี้ดอลลาร์สหรัฐฯ กลับมาแข็งค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินส่วนใหญ่ เนื่องจากตลาดระมัดระวัง และจับตามองการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ช่วงกลางสัปดาห์นี้

นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 33.20 – 33.40 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com


จำกันได้มั้ย? ผ่านมา 17 ปี “วิว เยาวภา” อดีตเทควันโดสาวทีมชาติไทย

จำกันได้มั้ย? ผ่านมา 17 ปี "วิว เยาวภา" อดีตเทควันโดสาวทีมชาติไทย (ภาพ)

แม้เวลาจะผ่านมานานกว่า 17 ปี แต่ชื่อของ “วิว” เยาวภา บุรพลชัย อดีตนักกีฬาเทควันโดหญิง ยังคงเป็นที่กล่าวถึงจนทุกวันนี้เพราะว่าเธอคือเจ้าของเหรียญรางวัลแรกในประวัติศาสตร์ชาติไทยที่ได้จากกีฬาเทควันโด ในการแข่งขันโอลิมปิกเกมส์

โดยในครั้งนั้น จอมเตะสาวดาวรุ่งในวัยเพียง 20 ปี สามารถคว้าเหรียญทองแดง ในการแข่งขันกีฬา โอลิมปิกเกมส์ ที่กรุงเอเธนส์, ประเทศกรีซ เมื่อปี 2004 ทำให้เธอกลายเป็นคนดังเพียงชั่วข้ามคืนกลายเป็นที่รู้จักของทั้งประเทศ ถือเป็นการจุดกระแสในวงการเทควันโดบ้านเรา

ซึ่งตลอดการรับใช้ทีมชาติไทย เธอสร้างความสุขให้กับคนทั้งชาติด้วยการคว้าเหรียญรางวัล 3 รายการสำคัญมาครองได้หมด (เหรียญเงิน เอเชียนเกมส์ 2002, เหรียญทอง ซีเกมส์ 2003 และ เหรียญทองแดง โอลิมปิกเกมส์ 2004)

กับปัจจุบัน อดีตจอมเตะสาววัย 37 ปี ที่ตัดสินเลิกเล่นเทควันโดไปตั้งแต่ปี 2008 หันมาทำงานด้านโค้ชโดยเปิดโรงเรียนฝึกสอนเทควันโดเพื่อฝึกทักษะให้กับเยาวชนในชื่อ “วิว เทควันโด อคาเดมี” 2 แห่งที่ นครราชสีมา และจังหวัดกาญจนบุรี รวมถึงล่าสุดได้มาร่วมฝึกสอนกับ “เยี่ยมยิมส์คลับ” ที่ตั้งอยู่ในศูนย์กีฬาราชดำเนิน พุทธมณฑลสาย 3

สำหรับ เยาวภา บุรพลชัย นอกเหนือจากบทบาทการเป็นโค้ชสอนกีฬาแล้ว เธอยังเปลี่ยนสถานะตัวเองมาเป็นคุณแม่ของลูกๆ ทั้ง 4 คน เรียกได้ว่ามีครอบครัวแสนอบอุ่น ให้บรรดาแฟนคลับร่วมยินดีกัน หลังแต่งงานกับ เกรียงไกร เพิ่มทวี สามีที่ใช้ชีวิตร่วมกันมานานกว่า 10 ปี และมีลูก 4 คน ประกอบด้วย น้องวินดี้, น้องเรย์, น้องวอเตอร์ และ น้องเคลย์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


รู้จัก “คลูโรโฟเบีย” อาการกลัว “ตัวตลก”

รู้จัก "คลูโรโฟเบีย" อาการกลัว "ตัวตลก"

หน้าขาว จมูกแดง แต่งตัวด้วยชุดสีฉูดฉาด มาพร้อมรอยยิ้ม นี่คือภาพลักษณ์ของตัวตลกที่เราพบเห็นได้โดยทั่วไป และเชื่อว่าในวัยเด็กเราอาจจะเคยกลัวตัวตลกหรือตอนนี้บางคนก็ยังกลัวอยู่ อาการนี้เรียกว่า คลูโรโฟเบีย หรือ โรคกลัวตัวตลก 

Coulrophobia มีอาการอย่างไร

เข้าใจก่อนว่ามันก็คืออาการกลัวเหมือนกับการที่เรากลัวอื่นๆ อาการที่แสดงออกมานั้นก็มีทั้งทางร่างกายและจิตใจ เช่น 

  • ตื่นกลัว
  • ตกใจ
  • รู้สึกกังวล
  • เหงื่อออก 
  • สั่น 
  • รู้สึกกลัว
  • หายใจลำบาก หายใจเร็วขึ้น
  • หัวใจเต้นเร็วขึ้น
  • หากกลัวมากๆ ก็มีจะ อาการกรีดร้อง ร้องไห้ เวลาเห็นตัวตลก 

สาเหตุที่เรากลัวตัวตลก 

โรคกลัวตัวตลก มีที่มาจากหลายๆ สาเหตุ หลายประการ พอสรุปได้ดังนี้

  • หนังและภาพยนตร์ ตัวตลกถูกใช้เป็นตัวละครที่เกี่ยวข้องกับความสยองขวัญ การฆาตกรรม ตัวละครที่สร้างความกลัวให้กับผู้ชม ตรงนี้อาจสร้างความกลัวให้กับเราตั้งแต่ช่วงที่เราเด็ก ทำให้เราจำและกลัวมาจนถึงทุกวันนี้ 
  • มีประสบการณ์ที่กระเทือนจิตใจ ในช่วงของชีวิตอาจจะเคยเจอประสบการณ์ที่ไม่ดี แล้วกระทบกระเทือนจิตใจที่มีเรื่องเกี่ยวข้องกับตัวตลก ทำให้สมองและร่างกายจดจำและพยายามหนีจากตัวตลก 
  • โดนสอนมาว่าตัวตลกนั้นน่ากลัว เราอาจจะมีพ่อแม่ พี่น้องหรือคนที่ใกล้ชิดกับเราที่รู้สึกกลัวตัวตลก เลยบอกว่าตัวตลกคือสิ่งที่น่ากลัว ทำให้เราจำฝังใจมาตั้งแต่ตอนนั้นและเรียนรู้ไปว่ามันคือสิ่งที่น่ากลัวและไม่ควรไปยุ่ง 

มีอีกเรื่องที่น่าสนใจโดยเฉพาะในฝั่งอเมริกาหรือฝั่งยุโรปว่าทำไมพวกเขาถึงกลัว ตัวตลก กันเยอะ ตรงนี้เชื่อมโยงกับคดีดัง เช่นในฝั่งอเมริกาเหนือเคยมีเหตุสะเทือนขวัญของฆาตกรที่ลวงเด็กมาฆ่าถึง 33 คน โดยแต่งตัวเป็นตัวตลก หลังจากนั้นก็มีหนังออกมามากมายในโซนนั้นทำให้กลายเป็นภาพจำไปว่าตัวตลกคือสิ่งที่น่ากลัว 

แก้ปัญหาความกลัวนี้ยังไงดี

อาการเหล่านี้ส่วนใหญ่แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ โรคกลัวตัวตลกไม่ได้ถูกระบุว่าเป็นโรคอย่างเป็นทางการ ดังนั้นอาจจะต้องบำบัด ทานยา แล้วแต่อาการของแต่ละบุคคล หรือส่วนใหญ่พอโตขึ้นก็หายกลัวไปเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


มา Recap 3 Tense ภาษาอังกฤษที่อยากให้สะกดจิตตัวเองไว้

ต้องบอกก่อนเลยว่าสาเหตุที่มา Recap เพราะว่าการเรียนภาษาอังกฤษนั้นจำเป็นที่จะต้องใช้ซ้ำและเห็นบ่อย ดังนั้นจึงอยากจะมารวบรวมข้อมูลให้เพื่อนได้เข้าใจ และกระตุ้นสมองตัวเองได้ต่อยอดและนำไปใช้กัน

เริ่มต้นด้วย Tense ที่ง่ายๆ ไม่ซับซ้อนอย่าง Present Simple Tense โดย Tense นี้จะใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน หรือความสามารถเฉพาะตัวของบุคคลใดบุคคลหนึ่ง ประโยคอุทาน เรื่องทั่วไปที่เกิดขึ้นจริงขณะพูด การกระทำซ้ำจนเป็นนิสัย และใช้กับคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ที่แสดงเวลาหรือเหตุการณ์ในอนาคต หรือกำหนดเวลาที่แน่นอนแล้ว นอกจากนี้ยังสามารถมีคำวิเศษณ์เหล่านี้อยู่ด้วย เช่น sometimes, often, never, always เป็นต้น

Present Simple Tense

โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + V.1 (Verb ช่อง1) + O (Object)

หากคำนาม (noun) หรือประธาน (subject) เป็นเอกพจน์ กริยาช่อง1 (verb1) จะต้องเติม s หรือ es เช่น She eats rice in the morning.

หากคำนาม (noun) หรือประธาน (subject) เป็นพหูพจน์โดยรวมถึง I และ You ด้วย กริยาช่อง 1 (verb1) จะไม่ต้องเติม s หรือ es เช่น They/ I / You go to school.

ประโยคคำถาม

ใช้ verb to do/does นำหน้าประโยค
ถ้าต้องการทำเป็นคำถามที่ตอบ “Yes”, “No” ให้นำ Verb to be (is, am, are) ขึ้นต้นนำหน้าประโยค เช่น  Are you hungry? Yes, I’m so hungry.

Past Simple Tense

เป็น Tense ที่จะใช้สำหรับพูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีต และจบลงไปแล้วซึ่งปัจจุบันก็ไม่ได้ทำแล้ว รวมถึงยังใช้กับเหตุการณ์ที่ทำจนเป็นนิสัยในอดีตซึ่งมักจะมีคำว่า often, always อยู่ในประโยค และมีคำบ่งบอกเวลา เช่น yesterday, at the time, last night, last week, in 2018 เป็นต้น

โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + V.2 (Verb ช่อง2) + O (Object)

เช่น They danced last night. หรือ He bought a bicycle last Saturday.

ประโยคคำถาม (ในรูปแบบบอกเล่า)

ใช้ Verb to do (did) ขึ้นต้นประโยค และเป็นกริยาแท้ในประโยคให้เป็นช่องที่ 1
เช่น Did you go to Siam Paragon yesterday? Yes, I did / No, I didn’t.
หรือ Did two kittens born last month? Yes, they did / No, they didn’t.

Future Simple Tense

เป็น Tense ที่ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอนาคต ยังไม่ได้กระทำหรือเกิดขึ้นในขณะที่พูด แต่เป็นการคาดการณ์ว่าจะเกิดขึ้นในอนาคต โดยมักจะมีคำวิเศษณ์บอกเล่าอยู่ด้วย เช่น tomorrow, next year, next week เป็นต้น

โดยมีโครงสร้างคือ : S (Subject) + will, shall + V.1 (Verb ช่อง1) + O (Object)

เช่น We will go to Japan next year.

หรือการใช้ be going to จะใช้กับเหตุการณ์ที่ตั้งใจจะทำและกำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้

S (Subject) + be going to + V.1 (Verb ช่อง1) + O (Object)

เช่น I am going to Japan next week.

จบไปแล้วกับการทบทวน Tense ที่มีการใช้งานบ่อยในชีวิตประจำวันรวมถึงเวลาทำข้อสอบ หวังว่าเพื่อนๆ ที่ได้อ่านจะนำหลักการสำคัญไปใช้ในการสร้างประโยคได้อย่างถูกต้อง หรือทำข้อสอบเกี่ยวกับเรื่อง Tense ได้คะแนนเต็มกันไปเลย

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


เทคโนโลยีจะเปลี่ยนชีวิตการทำงานของเราอย่างไรในอนาคตอันใกล้

เทคโนโลยีจะเปลี่ยนชีวิตการทำงานของเราอย่างไรในอนาคตอันใกล้

ปัจจุบัน โลกของเราอยู่ในยุคโลกาภิวัตน์ แบบที่เทคโนโลยีเฟื่องฟูอย่างไร้ขีดจำกัด อะไรที่เราไม่เคยคิดว่ามันจะมีได้บนโลกนี้ มันก็มีให้เห็นแล้ว อะไรที่เราเคยพูดว่าเป็นไปไม่ได้ ทุกวันนี้ต้องพูดใหม่แล้วว่า “ไม่น่าเชื่อ” ซึ่งการมีอยู่ของเทคโนโลยี เราจะเห็นว่ามันทำให้ชีวิตของคนทั่วไปง่ายขึ้น แต่ในมุมของคนทำงาน มันเป็นดาบสองคม คมหนึ่งเทคโนโลยีเป็นตัวช่วยชั้นดี เป็นความอัจฉริยะที่ทำให้คนทำงานทำงานง่ายขึ้น แต่อีกด้านเทคโนโลยีก็ทำให้คนทำงานอยู่ยากขึ้นเช่นกัน

เทคโนโลยีที่เราเห็นว่ามันเข้ามามีบทบาทต่อชีวิตของคนทำงานมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นจะหนีไม่พ้นเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) และเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง (Internet of Things : IoT) ที่นับวันผู้พัฒนายิ่งทำให้เทคโนโลยีสองตัวนี้ฉลาดมากขึ้นเรื่อย ๆ ยิ่งถ้านำมันมาชนกัน ความอัจฉริยะก็จะคูณสอง แต่เราจะมองตื้น ๆ แบบนี้ไม่ได้ การพัฒนาที่ไม่เคยหยุดนิ่งจะทำให้โลกใบนี้มีเทคโนโลยีอีกมากมายสารพัด

เมื่อเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทกับการทำงานและอุตสาหกรรมต่าง ๆ ลักษณะงานหลาย ๆ อย่างมีความเสี่ยงสูงที่จะถูกเทคโนโลยีเข้ามาทำงานแทนที่ คือ ลักษณะงานที่ทำแบบกิจวัตร ทำซ้ำ ๆ วน ๆ ทุกวัน เพราะหัวใจการทำงานของเทคโนโลยี AI คือการที่ผู้พัฒนาใส่ข้อมูลให้มาก ๆ หลากหลายรูปแบบจนมันสามารถเรียนรู้ที่จะทำงานในลักษณะนั้นได้ เมื่อมันเรียนรู้แล้ว ก็จะทำวนไปตามรูปแบบซ้ำ ๆ เดิม ๆ ได้ และถ้ามันทดแทนแรงงานคนได้สมบูรณ์ หลายอาชีพจะต้องตกงาน เพราะเทคโนโลยีทำงานได้ดีกว่า และไม่จำเป็นต้องพึ่งมนุษย์อีกต่อไป

ความฉลาดของ AI และ IoT รวมถึงพวกหุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติต่าง ๆ มีประโยชน์มากมายต่ออุตสาหกรรมและหลากหลายสายงาน ทั้งเรื่องของกำลังการผลิต การปรับปรุงประสิทธิภาพการผลิต ช่วยลดต้นทุน ความเสถียรของคุณภาพ เป็นต้น เมื่อคุณได้เห็นความสามารถของสิ่งไม่มีชีวิตเหล่านี้แล้ว สิ่งที่ใครหลายคนกังวลก็ใกล้ความจริงขึ้นมาทุกที คือโลกการทำงานของมนุษย์จะเปลี่ยนไป คนจะถูกเทคโนโลยีแย่งงานกันหมด เร็วที่สุดก็ภายใน 5-10 ปีนี้ และคาดว่าจะแทนที่อย่างเต็มรูปแบบในอีกไม่เกิน 20 ปี

ถ้าอย่างนั้น เราลองมาดูกันว่าในอนาคตอันใกล้นี้ เทคโนโลยีจะเปลี่ยนแปลงชีวิตการทำงานของคนเราอย่างไร

เทคโนโลยีจะทำงานแทนคนได้อย่างสมบูรณ์

อีกไม่น่าเกิน 10 ปีต่อจากนี้ คำกล่าวที่บอกว่า AI จะแย่งงานคนนั้นไม่ไกลเกินจริงอีกต่อไป อย่างในปี 2021 เราก็ได้เห็นแล้วว่ามีอาชีพ หรือสายงานอะไรบ้างที่เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทจนคนจริง ๆ เริ่มร้อน ๆ หนาว ๆ เช่น อินฟลูเอนเซอร์ที่ทำหน้าที่แนะนำหรือโฆษณาสินค้า ยังมีอินฟลูเอนเซอร์เสมือนที่ไม่ใช่คนจริง ๆ เข้ามาตีตลาดแล้ว เราจึงต้องประเมินเรื่องการพัฒนาทางเทคโนโลยีไว้ให้มาก เพราะมันเติบโตเร็วและไปไกลกว่าที่เราคิด

ก็อย่างที่บอกว่าอีกไม่นาน ในบางสายงานอาจจะไม่จำเป็นต้องพึ่งคนทำงานอีกต่อไปแล้ว เพราะเทคโนโลยีเข้ามาทดแทนแรงงานคนได้อย่างสมบูรณ์ ก็มีแนวโน้มที่องค์กรจะเลือกใช้เทคโนโลยี เพราะมองว่ามันคุ้มค่ากว่าที่จะลงทุน ลงทุนแค่ครั้งเดียวแต่สามารถใช้งานได้หลายปี ทำงานได้ครบวงจร ปากเสียงก็ไม่มี ในขณะที่แรงงานคนต้องจ่ายค่าจ้างทุกเดือน ประสิทธิภาพการทำงานของคนก็ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามสภาวะจิตใจและสภาพแวดล้อม มีปัญหากับการทำงานร่วมกับผู้อื่น นั่นหมายความว่าเทคโนโลยีสามารถทำงานได้คุ้มทุนและรักษามาตรฐานการทำงานได้ดีกว่าแรงงานคน

หากระบบอัตโนมัติและความฉลาดของเทคโนโลยีมันยังไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้ ในวันที่เทคโนโลยีมันลดการพึ่งพาการทำงานจากมนุษย์ได้ถึงขีดสุด วันหนึ่งเราอาจจะรู้สึกตกใจและวิตกกังวลมากก็ได้ว่าอาชีพหรือสายงานตัวเองจะถูกเทคโนโลยีเข้ามาแย่งงานไหม คุณอาจไม่รู้ว่า AI ก็เขียนหนังสือได้ ไม่แน่ว่าต่อไปเราอาจได้เห็น AI แต่งนิยาย เขียนการ์ตูน หรือทำอะไรได้มากกว่านี้ก็ได้

คนต้องทำงานร่วมกับเทคโนโลยี

ด้วยข้อจำกัดบางอย่างที่ทำให้เทคโนโลยียังมีเงื่อนไขในการใช้งาน งานบางสายงานหรือบางตำแหน่งจำเป็นต้องมีคนทำงานร่วมกับเทคโนโลยีเหล่านี้ ในกรณีที่องค์กรนำจุดเด่นของเทคโนโลยีมาใช้งานแบบเอื้อประโยชน์ให้คนทำงานได้ คนที่มีความรู้ ความสามารถ มีฝีมือก็ยังได้แสดงศักยภาพในการทำงานต่อไป โดยมีเทคโนโลยีเป็นผู้ช่วยให้งานเดินหน้าไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่วนคนก็จะทำงานร่วมกับเทคโนโลยีต่าง ๆ ได้อย่างสงบสุขกว่าที่คิด

แต่นั่นหมายความว่าคุณต้องไม่ทำตัวเป็นภาระหรือได้งานที่ประสิทธิภาพต่ำกว่าที่เทคโนโลยีทำ เพราะถ้าคุณไร้ความสามารถ องค์กรก็จะไม่เอาคุณไว้เป็นทรัพยากรที่ไร้คุณค่า คนทำงานจึงจำเป็นต้องเตรียมตัวรับมือ โดยเฉพาะความรู้ความสามารถที่จะช่วยให้ทำงานเป็นคู่หูกับเทคโนโลยีได้ หากเรารู้ว่าข้อจำกัดเทคโนโลยีทำอะไรได้ไม่ได้ ก็ใช้ความสามารถของตนเองไปเติมเต็มจุดด้อยของมัน ทำงานอยู่กับเทคโนโลยีพวกนี้ให้ได้โดยที่ไม่ด้อยกว่าอุปกรณ์เหล่านี้

ต้องพัฒนาตนเองถึงจะอยู่รอด

ถ้าไม่อยากตกงานเพราะเทคโนโลยีที่สุดแสนจะทันสมัย ก็ต้องพัฒนาตนเองในทุก ๆ ด้าน ยกตัวอย่างที่เทคโนโลยี AI ซึ่งมันไม่ใช่เรื่องไกลตัว หรือเรื่องที่จะรู้เฉพาะคนที่มีการศึกษาสูง ๆ อีกต่อไป (แค่เล่นเฟซบุ๊กยังหนี AI ไม่พ้นเลย) คนกลุ่มแรก ๆ ที่จะถูก AI แย่งงาน คือแรงงานฝ่ายผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ที่งานตรงนั้นสามารถใช้เครื่องจักรที่ทันสมัยทำงานแทนได้เกือบทั้งกระบวนการผลิต แม้จะฟังดูสิ้นหวังแต่เราต้องไม่หมดหวัง ยังไม่สายที่จะพัฒนาตัวเอง ถึงจะฉลาดเท่าหรือมากกว่าไม่ได้ (เพราะเป็นไปได้ยาก) ก็ยังดีกว่าคนที่ไม่คิดจะปรับตัวอะไรเลย

หากประเมินตัวเองแล้วรู้ว่ายังไงก็สู้เทคโนโลยี คุณคงต้องมองหาลู่ทางใหม่ หรือเตรียมแผนสำรองไว้กรณีตกงานขึ้นมากะทันหัน โดยอาจมุ่งไปที่การพัฒนาตนเองไปในทิศทางที่ AI ยังมีข้อจำกัด เช่น การทำงานที่ต้องใช้ความละเอียดทางประสาทและการมองเห็น งานสร้างสรรค์ งานที่ใช้ความฉลาดทางสังคม ใช้อารมณ์ความรู้สึก งานละเอียดรอบคอบ งานใช้สมองซับซ้อน งานที่มีประสิทธิภาพสูง ๆ หรือการแก้ไขปัญหาแปลก ๆ AI ยังทำงานได้อย่างละเอียดลึกซึ้งแทนคนไม่ได้ในอนาคตอันใกล้ เพราะ AI ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก และมันแค่ทำงานตามคำสั่งที่คนป้อนเข้าไป

มนุษยสัมพันธ์ระหว่างกันถดถอย

แม้ว่าทุกวันนี้ เราจะใช้เทคโนโลยีเข้ามาเป็น “ตัวช่วย” ในการสื่อสารและทำงานระหว่างกัน อย่างในช่วงที่คนทำงานหลาย ๆ ออฟฟิศต้องทำงานจากที่บ้าน เราต่างไม่ได้เจอหน้ากันและกันด้วยตัวเอง โลกก็มีพวกเทคโนโลยีต่าง ๆ มาช่วยให้การทำงานร่วมกันง่ายขึ้นแม้จะอยู่กันคนละที่ กระนั้นก็ต้องไม่ลืมว่าสัญญาณของการห่างเหินและมนุษยสัมพันธ์ระหว่างคนนั้นมันเริ่มถดถอยลงตั้งแต่มีโซเชียลมีเดียเข้ามา เรามองหน้าจอโทรศัพท์มากกว่ามองหน้ากัน

ในอนาคต ลำพังแค่การทำงานกับพวกเครื่องจักร คอมพิวเตอร์ หรือเทคโนโลยีที่ทันสมัยอื่น ๆ อีกทั้งหลาย ๆ สายงานอาจมีการปรับลดจำนวนพนักงานลง มันก็คงทำให้การพูดคุยระหว่างเพื่อนร่วมงานลดลง หรือบางทีเราอาจไม่จำเป็นต้องคุยกับคนจริง ๆ เลยก็ได้ในวันนั้น ซึ่งการคิดและการทำงานโดยไม่จำเป็นต้องสื่อสาร ไม่จำเป็นต้องรับฟังความคิดเห็นของใคร ไม่จำเป็นต้องสนใจความรู้สึกใครด้วย อาจทำให้เกิดปัญหาทางด้านมนุษยสัมพันธ์ได้

ความสะดวกสบายคือสิ่งที่ทุกคนต้องการ

ประโยชน์ข้อหนึ่งของเทคโนโลยี คือ ให้มันช่วยทุ่นแรง และทำให้อะไรหลาย ๆ อย่างสะดวกสบายขึ้น หากมองในมุมของผู้บริโภค พวกอุปกรณ์เทคโนโลยีสุดอัจฉริยะต่าง ๆ จะช่วยเพิ่มความสะดวกสบายให้กับการดำรงชีวิต ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์คนยุคใหม่ ถูกใจคนที่ขี้เกียจหยิบจับอะไรเอง หลายคนจึงมองว่าถ้าเทคโนโลยีกำลังยึดครองโลกจริง ๆ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไรด้วยประโยชน์ข้อนี้

แต่นี่คือการมองในมุมของผู้บริโภค ในมุมของคนทำงาน การใช้เทคโนโลยีจะต้องเป็นไปในแบบพึ่งพิงกัน คนคุมเทคโนโลยีได้ และไม่ใช่การหวังใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อมาอำนวยความสะดวกให้ตัวเองเพียงอย่างเดียว เพราะถ้าคนทำงานรอใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีจนไม่ทำอะไรเอง มันก็จะบั่นทอนความรู้ความสามารถของคุณลงไปมาก สุดท้ายคุณก็เสพติดความสบายจากเทคโนโลยี จนอาจดูเหมือนคนที่ไม่มีความสามารถ หากเป็นเช่นนั้น คุณก็อาจจะไม่จำเป็นกับระบบการทำงานอีกต่อไปก็ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


12 สรรพคุณ…ประโยชน์ของดอกชมจันทร์ ดอกไม้ช่วยลดน้ำหนัก ยาระบายสำหรับคนท้องผูก

สรรพคุณ ประโยชน์ของดอกชมจันทร์

เอ่ยชื่อ “ดอกพระจันทร์” หรือ “ดอกบานดึก” อาจไม่มีใครรู้จักว่านี่คือดอกไม้ชนิดใด แต่หากเป็นชื่อ “ดอกชมจันทร์” คงมีคนจำนวนไม่น้อยที่พอจะรู้จักหน้าตาของมันบ้าง และถ้าใครที่อยู่ในกลุ่มคนรักษ์สุขภาพด้วยละก็ เชื่อว่าต้องยิ่งกว่ารู้จักแน่นอน เนื่องจากเจ้าดอกชมจันทร์นี้มีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายของคนเรามากมาย

สรรพคุณทางยา คุณค่าของ “ดอกชมจันทร์”

ดอกชมจันทร์เป็นไม้ประดับที่มีดอกสวยงามซึ่งมีลักษณะเป็นดอกเดี่ยวสีขาว มีกลิ่นหอม และจะบานในเวลากลางคืนตั้งแต่ช่วงประมาณหัวค่ำเป็นต้นไป และนี่จึงเป็นที่มาของเหล่าชื่อของดอกไม้ชนิดนี้นั่นเอง โดยในต่างประเทศจะนิยมปลูกดอกชมจันทร์เพื่อใช้เป็นไม้ประดับ แต่สำหรับในประเทศไทยกลับปลูกกันมากเพื่อใช้เป็นอาหาร เพราะดอกชมจันทร์นั้นสามารถใช้ทำอาหารได้หลากหลายเมนู ไม่ว่าจะเป็นต้ม ผัด แกง ทอด เดี๋ยวนี้ตามร้านอาหารก็นำดอกชมจันทร์มาเป็นเมนูอาหารกันมากขึ้น

นอกจากนี้ยังมีอีกเหตุผลที่คนไทยหันมาให้ความสนใจกับดอกชมจันทร์กัน นั่นเป็นเพราะประโยชน์และสรรพคุณเป็นยาที่ช่วยบำรุงร่างกายและรักษาโรคต่างๆ ได้หลายชนิด ในปัจจุบันจึงมีการวิจัยพัฒนาทำเป็นชาดอกชมจันทร์ซึ่งได้รับความนิยมไม่น้อยทั้งในเรื่องสี กลิ่น และรสชาติ

12 สรรพคุณของดอกชมจันทร์ ประโยชน์ในการรักษาโรค

1. ดอกชมจันทร์มีประสิทธิภาพในการต่อต้านอนุมูลอิสระ ที่เป็นตัวการทำร้ายระบบภูมิคุ้มกันโรคและเซลล์ต่างๆ ในร่างกาย เพราะอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระอย่างโคเอนไซน์คิว ช่วยลดความเสี่ยงจะเกิดโรคและไม่เจ็บป่วยง่าย ป้องกันไม่ให้อวัยวะต่างๆ เสื่อมเร็วกว่าเวลาอันควร

2. ดอกชมจันทร์เป็นสมุนไพรที่มีฤทธิ์ช่วยระบาย โดยเฉพาะการต้มน้ำหรือชงชาดื่มในตอนเช้าจะช่วยทำให้ระบบการขับถ่ายดีขึ้น รวมทั้งระบบการทำงานของลำไส้ก็ดีขึ้นด้วย ดอกชมจันทร์จึงดีต่อสุขภาพของคนที่มีปัญหาท้องผูก ป้องกันและบรรเทาอาการของโรคริดสีดวงทวาร

3. ดอกชมจันทร์มีคุณสมบัติเหมาะกับคนที่ต้องการควบคุมหรือกำลังลดน้ำหนัก เนื่องจากมีไขมันต่ำ มีสารต้านอนุมูลอิสระสูง และเป็นยาระบายอ่อนๆ ที่ปลอดภัยต่อสุขภาพมาก

4. ดอกชมจันทร์มีสรรพคุณเป็นยานอนหลับอ่อนๆ ช่วยทำให้ร่างกายนอนหลับได้สบายขึ้น บำรุงระบบประสาท ทำให้จิตใจผ่อนคลาย เหมาะกับผู้คนในสมัยนี้ที่เริ่มประสบกับปัญหานอนไม่ค่อยหลับซึ่งมักจะสร้างความรำคาญใจแก่ผู้ที่เป็นอยู่เสมอ

5. ประโยชน์ของดอกชมจันทร์ช่วยบำรุงเลือด สุขภาพเลือดแข็งแรงขึ้น ป้องกันโรคโลหิตจางและโรคดีซ่าน

6. ดอกชมจันทร์เสริมสร้างให้ภูมิคุ้มกันของร่างกายมีความสมบูรณ์ แข็งแรง ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

7. ดอกชมจันทร์ประกอบด้วยวิตามินบี 1 วิตามินบี 2 และวิตามินบี 3 ซึ่งมีความสำคัญเพราะคนเราต้องการทุกวัน เพื่อช่วยบำรุงร่างกาย เพื่อพลังกาย ดูแลสมองช่วยให้ความจำดี แก้อาการปวดหัวก็ได้ด้วย

8. สรรพคุณของดอกชมจันทร์ช่วยขับปัสสาวะ ทำให้ของเสียถูกขับออกจากร่างกายได้ง่ายขึ้น

9. ดอกชมจันทร์อุดมด้วยวิตามินซี ที่มีความสำคัญคอยปกป้องเซลล์ในร่างกายไม่ให้อ่อนแอ ช่วยชะลอความแก่ และป้องกันการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็ง ลดความเสี่ยงจะเกิดโรคมะเร็งได้

10. ดอกชมจันทร์มีสรรพคุณช่วยเพิ่มน้ำนมในหญิงหลังคลอดได้เป็นอย่างดี ทำให้มีน้ำนมมากพอและมีประโยชน์สำหรับทารก

11. ดอกชมจันทร์เป็นแหล่งของวิตามินเอ ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยบำรุงดวงตา ทำให้สายตาเป็นปกติ ป้องกันและรักษาโรคต้อหินได้ด้วย

12. ดอกชมจันทร์มีประโยชน์ต่อกระดูกและฟัน เพราะมีทั้งธาตุแคลเซียมและธาตุฟอสฟอรัสที่มีหน้าที่ในการช่วยเสริมสร้างให้กระดูกและฟันแข็งแรง

ต้นของดอกชมจันทร์เป็นพืชที่ปลูกได้ไม่ยาก เจริญเติบโตง่าย แถมยังมีแมลงมารบกวนน้อยมาก จึงไม่ต้องพึ่งพาการใช้สารเคมีใดๆ เลยก็ได้ ทำให้ไม่ว่าจะนำมาใช้ประโยชน์ในด้านไหนก็รู้สึกถึงได้ความปลอดภัย โดยเฉพาะการใช้เป็นยาสมุนไพรป้องกันและรักษาโรคต่างๆ นั้น ดอกชมจันทร์สามารถให้สรรพคุณและประโยชน์ที่เต็มร้อยแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก sukkaphap-d.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 02/11/2564

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a28,150.0028,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,823.0027,636.6828,750.00
ทองรูปพรรณ 90%1,640.7024,873.01n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,458.4022,109.34n/a
ทองรูปพรรณ 50%820.0012,431.20n/a
ทองรูปพรรณ 40%638.009,672.08n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%1,889.0028,637.24n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 02/11/2564


ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.5532.5534.0533.2533.7032.5532.8533.0533.2532.55
แก๊สโซฮอล์ 9132.2832.2833.7832.9833.4332.2832.5832.7832.9832.28
แก๊สโซฮอล์ E2031.0431.0432.5431.7432.1931.3431.5431.7431.04
แก๊สโซฮอล์ E8524.4424.4424.44
เบนซิน 9539.9641.5640.7640.4639.96
ดีเซล B729.6929.6930.5929.9430.0929.6929.8929.6929.9429.69
ดีเซล29.5429.5430.4429.7929.9429.5429.7429.5429.7929.54
ดีเซล B2029.4429.4430.3429.6429.6429.4429.44
ดีเซลพรีเมี่ยม34.6635.0637.0436.3134.66
แก๊ส NGV15.5915.5915.59

About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า