ส่อง1ทศวรรษธุรกิจศุภาลัยในออสเตรเลียจากกระจายเสี่ยงบูมลงทุน1.3แสนล้าน
- ศุภาลัย ถือเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่ประสบความสำเร็จในการสยายปีกการลงทุนออกต่างประเทศตั้งแต่ปี2557
- หลังเห็นสัญญาณอสังหาฯในกรุงเทพฯและปริมณฑลเริ่มส่งสัญญาณ“อิ่มตัว ”
- หากต้องการขยายส่วนแบ่งตลาดต้องไปแย่งมาจากคู่แข่ง ซึ่ง”ไม่ใช่”เรื่องง่าย จึงตัดสินใจลงทุนในออสเตรเลียร่วมกับพาร์ทเนอร์
ประศาสน์ ตั้งมติธรรม กรรมการ บริษัทศุภาลัย ออสเตรเลีย โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า หลังจาก 10 ปีที่ผ่านมาศุภาลัยได้เข้ามาพัฒนาโครงการในออสเตรเลียส่งผลให้ปัจจุบันมี 12โครงการมูลค่า 50,000 ล้านบาท ใน 4 เมืองร่วมกับพันธมิตรหลายราย โดยศุภาลัยถือหุ้นอยู่มูลค่า 24,500 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อช่วยกระจายความเสี่ยงจากตลาดประเทศไทย ล่าสุดตลาดออสเตรเลียเริ่มให้ผลตอบแทนใกล้เคียงกับไทยมากขึ้นจากก่อนหน้านี้ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า
“ที่ผ่านมาทุกโครงการที่ลงไปให้ผลตอบแทนตามเป้าหมาย IRR ที่18 เป็นตัวเลขที่น่าพอใจ ”
ด้วยพื้นฐานรายได้ของประชากรที่สูงกว่าคนไทย ขณะที่ราคาบ้านโตต่ำกว่ารายได้ประชากรทำให้ตลาดอสังหาฯในออสเตรเลียน่าลงทุนในระยะยาวบริษัทเตรียมร่วมทุนกับสต็อกแลนด์ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ ในออสเตรเลีย เพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศออสเตรเลียเพิ่มอีก 12 โครงการใหม่ใน 4 รัฐ 5 เมือง
ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นเมืองที่ศุภาลัยไม่เคยขยายตลาดมาก่อน อาทิ ซิดนีย์ และวูลลองกอง ในรัฐนิว เซาท์ เวลล์ ด้วยมูลค่าโครงการรวม 5,785 ล้านเหรียญออสเตรเลีย หรือกว่า 137,700 ล้านบาท เพื่อจับกลุ่มลูกค้าระดับบน คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน 7 ปี
อธิป พีชานนท์ กรรมการ บริษัท ศุภาลัย ออสเตรเลีย โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า 10ปีที่ผ่านมาเรามองว่า ตลาดอสังหาฯเมืองไทยเริ่มอิ่มตัวจึงต้องกระจายการลงทุนตรงนี้ต้องให้เครดิตคุณประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหารเป็นผู้ตัดสินใจว่า น่าจะลงทุน ส่วนคนที่เข้ามาดูผมกับดร.ประสานประศาสน์ ตั้งมติธรรม
จากก่อนหน้านี้ได้ตระเวนไปหาแหล่งที่จะเข้าไปลงทุนไม่ว่าจะเป็น เมียนมา เวียดนาม เขมร ศรีลังกา ซึ่งจากการประเมินพบว่า มีปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้ไม่น่าลงทุนไม่ว่าเรื่องภาษี กฎหมาย และพาร์ทเนอร์
“แต่เมื่อมาดูออสเตรเลียพบว่ากฎหมายเขาดี พาร์ทเนอร์โปร่งใส ระบบบัญชีโปรงใส โดยบริษัทที่เข้ามาร่วมทุนส่วนหนึ่งอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ “
ที่ผ่านมาตลาดอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลีย หลายคนมองว่า มีจำนวนประชากรน้อยแต่บริษัทจับลูกค้าในเซกเมนต์กลุ่มรายได้ปานกลางค่อนข้างสูงดังนั้น ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีหรือไม่ดี ดีมานด์ยังไปต่อได้ เพราะมีกำลังซื้อ แม้ว่าบางจังหวะตลาดอสังหาริมทรัพย์ในออสเตรเลียตกลง แต่ไม่ได้ตกลงทั้งตลาด
ยกตัวอย่างปัจจุบันตลาดที่เพิร์ทดีขณะที่เมลเบิร์น”ชะลอตัว”เนื่องจากแต่ละเมืองมีภาวะเศรษฐกิจแตกต่างกันประกอบกับว่า “โอกาส”ในการหางานของคนย้ายไปตามสภาพเศรษฐกิจไม่ได้ยึดติดกับที่เหมือนในประเทศไทย
โดยล่าสุด บริษัทมีแผนที่เข้าไปพัฒนาโครงการในซิดนีย์ ทั้งนี้เนื่องจากต้องการขยายธุรกิจให้ครอบคลุมในทุกพื้นที่ที่มีศักยภาพ โดยใช้เม็ดเงินจากกำไรที่ได้การลงทุนในช่วงที่ผ่านมา และส่วนหนึ่งใส่เม็ดเงินใหม่เข้ามาเพื่อพัฒนาโครงการใหม่ เพราะธนาคารไม่ได้ปล่อยสินเชื่อ 100% สามารถกู้ได้เฉลี่ย50%
อย่างไรก็ตาท ปัจจุบันตลาดอสังหาฯไทยเผชิญปัจจัยลบรอบด้านทั้งภาวะหนี้ครัวเรือน ดอกเบี้ย ส่งผลต่อกำลังซื้อผู้บริโภค รวมถึงการถูกปฎิเสธสินเชื่อจากสถาบันการเงิน ดังนั้นรัฐบาลใหม่ควรทึ่จะมีนโยบายหรือมาตราการออกมากระตุ้นเศรษฐกิจ
เพราะภาคอสังหาฯ เป็นธุรกิจหนึ่งที่สามารถช่วยขับเคลื่อน GDPเนื่องจาอสังหาริมทรัพย์มีมูลค่าการขายต่อปีประมาณ7-8ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน4-5%จาก GDP รวมทั้งประเทศ
จากประสบการ์การทำธุรกิจในออสเตรเลียพบว่า ช่วงที่เศรษฐกิจและอสังหาฯ“ชะลอตัว”รัฐบาลจะออกมาตราการกระตุ้นด้วยการให้เงินอุดหนุน 3หมื่นเหรียญออสเตรเลียสำหรับการซื้อบ้านมูลค่า 7แสนเหรียญออสเตรเลีย เพื่อกระตุ้นการตัดสินซื้อบ้านหลังปรกสำหรับกลุ่มผู้มีรายได้น้อย
“ที่ผ่านในประเทศไทยเคยมีมาตรการบ้านดีมีดาวน์ออกมาช่วยกระตุ้นตลาด หวังว่ารัฐบาลจะออกมาอีกครั้งในวงเงินเพิ่มขึ้น1แสนบาทจากเดิมที่ขอไว้ที่5 หมื่นบาทสำหรับผู้ซื้อที่อยู่อาศัยไม่เกิน5ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนไม่เกิน1%”
ทั้งนี้ เนื่องจากเป็นกลุ่มคนที่ยังพอมีกำลังซื้อ สามารถกู้เงินจากธนาคารได้ เพราะถ้าต่ำกว่านี้จะกู้ยาก หากสูงกว่าจะกลายเป็นว่าไปช่วยคนรวย
นอกจากนี้อยากให้ลดภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างเพื่อช่วยลดภาระแก่ผู้ประกอบการและประชาชนมีต้นทุนเพิ่มขึ้น ทำให้เกิดการชะลอพัฒนาโครงการ จึงหวังว่ารัฐบาลใหม่ที่เข้ามาจะนำมาตรการที่กล่าวมากระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงปลายปีนี้
โดยใช้มาตราการที่ไม่จำเป็นต้องแก้กฎหมายก่อนเพราะต้องใช้เวลานาน เช่น เช่าระยะยาว99ปี แม้ว่าการขยายระยะเวลาเช่าให้นานขึันจะช่วยกระตุ้นกำลังซื้อแต่ไม่ใช่ทัังหมด
ขณะเดียวกันอยากให้ทางทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย และสินเชื่อที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย(LTV) เนื่องจากเห็นว่าภาคอสังหาริมทรัพย์ไทยยังไม่ฟื้นตัว เพื่อช่วยเหลือคนที่อยากจะมีบ้านหลังแรกและหลังที่2
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อสังหาชี้ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี ขจัดนอมินี จูงใจ แต่ไม่บูรณาการ แนะรอบคอบ
บิ๊กคอร์ป-สมาคมอสังหาฯ ยอมรับนโยบาย “ต่างชาติเช่าที่ดิน 99 ปี” ตามรอยอังกฤษ สิงคโปร์ กระตุ้นลงทุนขนาดใหญ่ จูงใจต่างชาติปักหลักไทยมากขึ้น ทั้งแก้ปัญหานอมินี ชี้ขาดบูรณาการรอบด้าน ต้องศึกษาผลกระทบจริงจังทุกมิติ กำกับดูแลให้เหมาะสม
เป็นกระแสร้อนอย่างต่อเนื่อง สำหรับแนวทางเปิดให้ชาวต่างชาติสามารถ เช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี ในประเทศไทย ซึ่งอยู่ในความสนใจในวงกว้างมาโดยตลอด
นางสาวเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวคิดในการขยายระยะเวลาเช่า 99 ปี เป็นโมเดลเหมือนประเทศอังกฤษ สิงคโปร์ การซื้อขายที่อยู่อาศัยเท่ากับเช่า 99 ปี ส่วนหนึ่งจะทำให้การขายดีขึ้น จากเดิมเจ้าของที่ดินไม่ค่อยอยากขายที่ดิน แต่หากสามารถปล่อยเช่าระยะยาวจะทำให้การตัดสินใจง่ายขึ้น
ปัจจุบัน การพัฒนาและทำตลาดอสังหาริมทรัพย์มี 3 รูปแบบ ได้แก่ ซื้อขาด เช่า 30 ปี และ เช่ารายเดือน ซึ่งการเช่าระยะยาว 99 ปี เป็นภาวะที่จะทำให้เกิดการปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ (Flexibility) และเกิดการศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ (Feasibility)
“ไม่กระทบตลาดของเสนาฯ แต่จะกระทบตลาดที่จากเดิมเช่า 30 ปี คนอาจไม่ชอบ เพราะระยะเวลาเช่าสั้นไป ถ้าสามารถให้เช่า 99 ปีทำให้คนรู้สึกอยากเป็นเจ้าของมากขึ้น ซึ่งหากเรามีทางเลือกให้เช่ามากกว่า 30 ปี ก็เป็นการเพิ่มออปชั่นให้ธุรกิจ แต่ก็ต้องมองผลกระทบอื่นๆ ด้วย กฎหมายเปลี่ยนอย่างเดียว แต่การเงินไม่เปลี่ยน ไม่ได้”
ยกตัวอย่าง กรณีให้เช่า 60 ปี แต่เงื่อนไขการปล่อยสินเชื่อไม่เปลี่ยน ไม่มีประโยชน์ เช่น กู้ซื้อบ้านได้ 90% จากมาตรการ LTV ถ้าเช่า 30 ปี น่าจะกู้ได้แค่ 60% ดังนั้นถ้าจะเปลี่ยนเช่า 99ปี กู้ซื้อบ้านก็ต้องใกล้เคียงกับราคาซื้อขายจะดีมาก ดังนั้นแนวคิดการปล่อยเช่า 99 ปี น่าจะดีกับการลงทุนขนาดใหญ่มากกว่า
ทุนญี่ปุ่นมองเช่ายาวคืนทุนช้า
นายมาซะฮิโกะ โทดะ กรรมการบริหาร บริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป กล่าวว่า หากมีการให้สิทธิการเช่าระยะยาว 99 ปี ในเชิงการลงทุน หมายความว่า งบประมาณในการลงทุนจากชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อหรือทำโครงการจะต้องมากขึ้นด้วย หากเป็นผู้ประกอบการขนาดไม่ใหญ่มากจะมีต้นทุนสูง เมื่อเทียบกับการเช่า 30 ปี เงินที่เข้ามาลงทุนก่อสร้างหรือลงทุนเช่าที่ดินจะสั้นกว่า
ดังนั้นแม้ว่าจะได้เช่าระยะยาวขึ้นแต่การคืนทุนก็ยาวขึ้นเช่นเดียวกัน เมื่อเปรียบเทียบแล้วสำหรับนักลงทุนระยะเวลาเช่า 30 ปี อาจจะน่าลงทุนมากกว่า เพราะสามารถคืนทุนได้เร็วกว่า
ย้ำไม่ใช่เรื่องใหม่ ที่สำคัญต้อง “บูรณาการ”
นายธนูศักดิ์ พึ่งเดช ประธานกิตติมศักดิ์หอการค้าจังหวัดภูเก็ต มองว่า แนวคิดเช่าระยะยาวรองรับต่างชาติเข้ามาอาศัยอยู่นั้น ภาคเอกชนนำเสนอประเด็นดังกล่าวมานับร้อยครั้งพันครั้งในหลายรัฐบาล โดยเฉพาะ 10 ปีที่ผ่านมา ยกตัวอย่างในจังหวัดภูเก็ต ธุรกิจมี 2 โมเดลด้วยกัน โมเดลแรก รายได้มาจากการท่องเที่ยว อีกโมเดลหนึ่งมีรายได้จากอสังหาริมทรัพย์ ยิ่งหลังจากเกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ทำให้ชาวต่างชาติอยากย้ายมาอยู่อาศัยในประเทศไทยมากขึ้น โดยเฉพาะ “ภูเก็ต” เป็นทำเลหลัก ทั้งการอยู่อาศัยและเข้ามาลงทุนเพื่อปล่อยเช่าได้ผลตอบแทนที่ดี
“สิ่งเหล่านี้สอดคล้องกับภาคเอกชนผลักดันนโยบายการให้เช่าระยะยาว สมัยก่อนเราคุยกันที่ระยะเวลา 60-70ปี แต่อดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร พูดถึง 99 ปี หากถามภาคเอกชนในมุมมองของผมในฐานะอดีตประธานหอการค้าจังหวัดภูเก็ต อดีตนายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต ระยะเวลาไม่ใช่ประเด็น เพราะอย่างไรต่างชาติเป็นเพียงผู้เช่า แค่เช่านานขึ้นจากเดิม และเปลี่ยนมือ เหมือนกับการซื้อบ้าน เพียงแต่เราไปเพิ่มคนที่ซื้อที่ไม่ใช่คนไทย”
นายธนูศักดิ์ ย้ำว่า สิ่งที่จะต้องคิดต่อก็คือ จะต้องสร้าง “บูรณาการ” ในมิติต่างๆ เพื่อรองรับดีมานด์ที่เข้ามา และให้ทันกับผู้เช่าระยะยาว 99 ปี ประการสำคัญ ไม่ทำให้คนในพื้นที่ “เดือดร้อน” อาจต้องมองข้ามช็อตมากกว่าเพียงดึงดูดต่างชาติเข้ามา
“แม้จะมีแนวคิดขยายระยะเวลาเช่ายาวขึ้น แต่ไม่ได้ทำให้ตลาดชะลอ หรือรอให้กฎหมายออกมาก่อน เพราะแม้เช่าวันนี้แล้วกฎหมายใหม่ออกมาก็เชื่อว่าจะสามารถเปลี่ยนสิทธิได้ หรือปัจจุบันผู้ให้เช่าเซ็นสัญญา 30 ปี บวก 30 ปี บวก 30 ปี ไว้ ก็ทำได้ ไม่ต้องรอ”
เชื่อช่วยแก้ปัญหานอมินีเก็บภาษีเข้ารัฐ
ทางด้าน นายเมธาพงศ์ อุปัติศฤงศ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวว่า แนวทางการเปิดต่างชาติเช่าที่ดินระยะยาว 99 ปี เชื่อว่าดีมานด์ขณะนี้ไม่ชะลอ และหากกฎหมายนี้ออกมาจะยิ่งเป็นผลบวก
“ดีมานด์ต่างชาติที่เข้ามาเช่า 99 ปี เป็นการแก้ปัญหานอมินีที่เกิดขึ้น ทำให้ทุกอย่างขึ้นมาอยู่บนโต๊ะหมด ทำให้รัฐสามารถเก็บภาษีได้เต็มเม็ดเต็มหน่วยถือเป็นเรื่องที่ดี ทำให้เกิดความโปร่งใส จากปัจจุบันเช่า 30 บวกอีก 30 ปี 2รอบ เมื่อถึงเวลาที่ต่อสัญญาบริษัทไม่อยู่แล้วซึ่งกลายเป็นปัญหาสำหรับผู้เช่า”
พลิกเกมใต้โต๊ะสู่จ่ายภาษีบนดิน
นายอุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด(มหาชน) กล่าวว่าการเปิดทางต่างชาติเช่าระยะยาว 99 ปี เป็นหนึ่งในนโยบายที่รัฐบาลพยายามผลักดันให้เกิด ซึ่งทุกวันนี้ต้องยอมรับว่าไทยมีปัญหาเรื่องชาวต่างชาติซื้อที่ดินโดยเฉพาะในภูเก็ตผ่านนอมินี นำเงินออกนอกประเทศโดยที่ประเทศไทยไม่ได้ภาษีอะไร
“มาตรการ 99 ปี ได้ประโยชน์หลายอย่าง เพราะทุกอย่างอยู่บนดินจ่ายภาษีถูกต้อง และที่ดินยังคงเป็นของคนไทยเหมือนอังกฤษทำสัญญาเช่าเป็นระยะเวลา 99 ปี หรือ ฮ่องกง สร้างความเจริญให้กับพื้นที่นั้น แต่ทั้งหมดขึ้นอยู่กับรายละเอียด กรรมวิธีในการบริหารจัดการการกำกับดูแลให้เหมาะสม อย่างล่าสุดที่มีแนวคิดเช่า 99 ปีผ่านกรมธนารักษ์ ผมไม่รู้วิธีการ ถามว่า อยากให้เกิดไหม อยากให้เกิด แต่ไม่รู้ว่าเป็นไปได้ไหม”
มาตรการระยะยาวขจัดนอมินี
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมบ้านจัดสรร กล่าวว่า เชื่อว่า ต่างชาติ รอดูนโยบายนี้อยู่ โดยเฉพาะในมุมที่อยู่อาศัยไม่เกิน 1 ไร่ ไม่เกี่ยวกับการพาณิชย์และเกษตรกรรม
“เป็นแนวคิดในการจัดระเบียบที่อยู่อาศัยต่างชาติ โดยเราไม่ขายแต่ให้เช่า อนาคตต่างชาติซื้อบริษัท 1 ไร่ เพื่อสร้างบ้านแล้วพอผ่านไป 99 ปีแล้วอย่างไรต่อ เป็นความคิดที่น่าสนใจ ที่มีหน่วยงานภาครัฐถือโฉนดต่อ เช่น กรมธนารักษ์”
ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของกรรมาธิการสภาผู้แทนราษฎรศึกษาเรื่องนี้อยู่ โดยรับฟังผู้ประกอบการ ผู้บริิโภค และ เอ็นจีโอ เพื่อเปรียบเทียบระยะเวลาเช่าที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 1 ไร่ 99ปี หน่วยงานไหนจะดูแล กรมธนารักษ์ หรือกรมที่ดิน และต่อ 2 ก๊อก ไม่เกิน 50 ปีและต่ออีกไม่เกิน 50 ปี ซึ่งต้องมองในแง่ของการบริหารจัดการฝ่ายคนไทยว่าต่างชาติเห็นอย่างไร เทียบประเทศต่างๆ ที่มีนโยบายให้เช่าระยะยาว 50, 70 และ 90 ปี หรืออย่างอังกฤษเช่ายาวถึง 999 ปี
“แนวคิดดังกล่าวไม่ใช่มาตรการระยะสั้น เป็นมาตรการระยะยาว ที่จะต้องตรวจสอบความถูกต้องทั้งระยะสั้นและระยะยาว เพื่อไม่เกิดกระบวนการสบคบคิดระหว่างต่างชาติและคนไทยในการจัดตั้งนอมินี และทำให้ต่างชาติเกิดความมั่นใจในการเช่าจากวิธีที่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้3ก.ย. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.19 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ระหว่างวันอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้3ก.ย. 2567 ที่ระดับ 34.19 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.22 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways แถวโซน 34.20 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ที่จะรายงานในช่วงวันศุกร์นี้ อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำยังคงแกว่งตัวใกล้โซนแนวรับระยะสั้น
นอกจากนี้ บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายทำกำไรสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นไทยเพิ่มเติมได้ ดังจะเห็นได้จากในช่วงสองวันทำการที่ผ่านมา นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิหุ้นไทยมาอย่างต่อเนื่อง
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าอยู่บ้าง ตามการทยอยขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน โดยเฉพาะฝั่งผู้ส่งออก ทำให้เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจมีโซนแนวต้านแถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์ (แนวต้านถัดไปจะอยู่แถว 34.50 บาทต่อดอลลาร์) ส่วนโซนแนวรับก็จะอยู่ในช่วง 34.10 บาทต่อดอลลาร์ (แนวรับสำคัญจะอยู่ในช่วง 34.00 บาทต่อดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิต ของสหรัฐฯ เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ อาจส่งผลให้เงินบาทผันผวนแข็งค่า หรือ อ่อนค่าลงได้ราว 0.2% โดยเฉลี่ย หลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว
เรายังคงมองว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.10-34.30 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในกรอบ 34.17-34.23 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมานั้น เป็นวันหยุด Labor Day ของตลาดการเงินสหรัฐฯ ส่งผลให้ทั้ง เงินดอลลาร์ และราคาทองคำต่างเคลื่อนไหวในกรอบ sideways
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ต่างก็รอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ที่จะทยอยประกาศในช่วงวันอังคาร (ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรม เดือนสิงหาคม) รวมถึงรอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่จะประกาศในช่วงวันศุกร์นี้ ก่อนที่จะปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ที่ชัดเจนอีกครั้ง
แม้ว่าตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะปิดทำการเนื่องในวันหยุด Labor Day ทว่าสัญญาฟิวเจอร์สดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลดลงราว -0.2% ในช่วงเช้าวันอังคาร ได้สะท้อนว่า ผู้เล่นในตลาดอาจต้องการทยอยลดความเสี่ยงลงบ้าง ก่อนที่จะรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ โดยเฉพาะข้อมูลการจ้างงานในวันศุกร์นี้
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ย่อตัวลงเล็กน้ยอ -0.02% หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงหนักของหุ้น Rolls Royce -6.5% และ Airbus -1.4% หลังสายการบิน Cathay Pacific เริ่มตรวจสอบฝูงบิน A350 ทั้งพบปัญหาเกี่ยวกับชิ้นส่วนเครื่องยนต์ที่ผลิตโดย Rolls Royce
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ อย่างข้อมูลการจ้างงานก่อนที่จะปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ที่ชัดเจน
อีกทั้งในช่วงคืนที่ผ่านมาก็เป็นช่วงวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทำให้ธุรกรรมในตลาดการเงินนั้นเบาบาง โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 101.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.5-101.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดของตลาดการเงินสหรัฐฯ ทำให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ sideways แถวโซนแนวรับ 2,530 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรม (ISM Manufacturing PMI) ของสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ดัชนี ISM PMI อาจยังคงอยู่ในระดับต่ำกว่า 50 จุด
สะท้อนถึงภาวะหดตัวอย่างต่อเนื่องของกิจกรรมทางเศรษฐกิจในภาคการผลิตของสหรัฐฯ ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะให้ความสนใจกับ ดัชนีการจ้างงาน (Employment Sub-Index) ในภาคการผลิตเป็นพิเศษ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มการจ้างงานสหรัฐฯ ในเดือนสิงหาคม
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ผ่านถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ ECB
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.24-34.26 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.27 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.22 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทยังอ่อนค่าต่อเนื่อง
สอดคล้องกับ Sentiment โดยรวมของสกุลเงินเอเชียอื่นๆ และการร่วงลงของราคาทองคำในตลาดโลก ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงประคองตามการปรับโพสิชั่นของตลาดในช่วงระหว่างรอการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญในคืนนี้ (PMI และ ISM ภาคการผลิตเดือนส.ค.)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.15-34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ตัวเลขดัชนี PMI และ ISM ภาคการผลิตเดือนส.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ทั่วโลกรู้จัก! สื่อนอกยก “บิว ภูริพล” ติดทำเนียบนักวิ่งดีสุด 4 อันดับแรกของโลกยุคนี้
ก้าวขึ้นมาเป็นนักวิ่งแถวหน้าประดับวงการเรียบร้อยสำหรับ “บิว” ภูริพล บุญสอน นักวิ่งทีมชาติไทย ที่เดินทางเข้าแข่งขันในเวทีโอลิมปิก 2024 รวมถึงในรายการ กรีฑาเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 20 ปี ชิงแชมป์โลก 2024 ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู
โดย ลมกรดชาวไทยวัย 18 ปี สามารถคว้าเหรียญเงิน วิ่ง 100 เมตร และ เหรียญทองแดง ทีมวิ่งผลัด 4×100 เมตร มาครองได้สำเร็จ ถือเป็นความสำเร็จอีกครั้งในเวทีระดับโลก
ล่าสุด exeathletics สื่อดังในโลกออนไลน์ของต่างประเทศ ได้จัดอันดับนักวิ่งที่มีการวิ่งสปรินท์ ในช่วงระยะ 100 เมตร และ 200 เมตร ที่ดีที่สุดในโลก 4 คนแรกของยุคนี้ (4 best sprint talents in the world right now)
ปรากฏว่า ภูริพล บุญสอน นักวิ่งชาวไทย มีชื่อติดกับเขาด้วยเช่นกันร่วมกับ เลตซิเล เตโบโก นักวิ่งหนุ่มจากบอตสวานา เจ้าของเหรียญทอง วิ่ง 200 เมตร โอลิมปิก 2024
ขณะที่อีก 2 รายที่ได้รับกายกย่องก็คือ เออร์ริยอน ไนท์ตัน จากสหรัฐอเมริกา เจ้าของเหรียญเงิน วิ่ง 200 เมตร รายการชิงแชมป์โลก 2023 และ คริสติน เอ็มโบมา นักวิ่งหญิงจากนามิเบีย เจ้าของเหรียญเงิน วิ่ง 200 เมตร โอลิมปิก 2020 ที่กรุงโตเกียว
สำหรับ “บิว” ภูริพล บุญสอน ปัจจุบันถือเป็นนักวิ่งเบอร์ 1 ของประเทศไทย เจ้าของเหรียญเงิน วิ่ง 100 เมตร เอเชียนเกมส์ 2022 และเป็นเจ้าของสถิติวิ่ง 100 เมตร ด้วยเวลา 10.02 วินาที และ วิ่ง 200 เมตร เวลา 20.19 วินาที
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำอย่างไร ไม่ให้ “ไหลตาย”?
ทุกครั้งที่อ่านข่าวเจอ หรือแม้กระทั่งพบว่าคนที่รู้จักต้องเสียชีวิตด้วยการ “ไหลตาย” เป็นเรื่องที่น่าสลดใจเป็นอย่างยิ่ง เพราะเป็นการเสียชีวิตฉับพลัน หรืออย่างที่ทุกคนทราบดีว่ามันคือ การนอนหลับแล้วก็เสียชีวิตไปเสียเฉยๆ ดูเหมือนจะเป็นการเสียชีวิตที่สบาย ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน แต่ครอบครัว ญาติพี่น้อง เพื่อนฝูงต่างก็เศร้าเสียใจมากกว่าเดิม เพราะเป็นการจากไปอย่างกะทันหันเกินกว่าจะได้มีการสั่งเสียร่ำลากัน
ดูๆ ไปแล้ว อาการไหลตาย จู่ๆ ก็เกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัวแบบนี้ จะมีวิธีป้องกันหรือไม่ มาดูกันค่ะ
ไหลตาย คืออะไร?
อาการไหลตาย หรือที่ใครหลายคนเข้าใจว่ามันคือโรค จริงๆ แล้วมันคืออาการของโรคหัวใจวายเฉียบพลัน ที่มีสาเหตุสำคัญมาจากภาวะที่เกิดลิ่มเลือดอุดตันในหลอดเลือดหัวใจเฉียบพลัน ซึ่งไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าจะเกิดขึ้นเมื่อไร ในบางรายอาจมีสุขภาพปกติ แข็งแรง แต่อยู่ๆ ก็กลับมีอาการผิดปกติ เช่น แน่นหน้าอก รู้สึกอึดอัด เหนื่อยง่าย
วิธีป้องกันภาวะไหลตาย
ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะลิ่มเลือดเข้าไปอุดตันหลอดเลือดในหัวใจมีอยู่หลายอย่างด้วยกัน เราสามารถป้องกันภาวะไหลตายได้ง่ายๆ ด้วยการลดปัจจัยเสี่ยงทีละข้อ
1. ลดความเครียด
หลายครั้งที่ร่างกายอ่อนแอ เหนื่อยล้าจากการใช้งานร่างกาย และสมองหนักจนเกินไป ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหนัก อ่านหนังหนังสือหนัก จนทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอสะสม อาจรวมถึงสารเคมีที่หลั่งออกมาจากอาการเครียด ที่เป็นสาเหตุทำให้หัวใจล้มเหลวเฉียบพลันได้เช่นกัน ดังนั้นจึงควรแบ่งเวลาให้ชัดเจน และอย่าลืมว่าไม่ว่าจะทำอะไร ร่างกายต้องแข็งแรงอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้ร่างกายทรุดโทรมเป็นอันขาด
2. ลดการทานอาหารเค็มจัด อาหารหมักดอง แอลกอฮอล์
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าอาหารที่มีรสชาติเค็มจัด รวมถึงอาหารหมักดอง เช่น ปลาร้า หน่อไม้ดอง น้ำปลา หรือเหล้า เบียร์ ก็มีส่วนที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน หรือไหลตายได้เช่นกัน เพราะอาหารหมักดองมีสารไทรามีน ไปยับยั้งสารนอร์อะเปนเน็บฟิน หรือ อะเปนเน็บฟิน ซึ่งกระตุ้นการทำงานของกล้ามเนื้อหัวใจ ไปอุดกั้น ทำให้สารเคมีที่จะไปกระตุ้นกล้ามเนื้อหัวใจให้ทำงานหยุดชั่วขณะหนึ่ง ทำให้หัวใจล้มเหลวได้ทันที
3. ดื่มน้ำก่อนนอน
ใครที่มีโรคประจำตัวอย่าง ไขมันอุดตันเส้นเลือด หลอดเลือดหัวใจตีบ ควรดื่มน้ำก่อนนอนเพื่อไม่ให้เลือดข้นหนืดจนเกินไป จนทำให้ลิ่มเลือดเข้าไปอุดกั้นการทำงานของหัวใจในการสูบฉีดของโลหิตได้
4. ตรวจการเต้นของหัวใจ
ใครที่มีประวัติครอบครัวเคยเสียชีวิตจากการไหลตาย หรือภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน ควรเข้ารับการตรวจการเต้นของหัวใจทุกปี หรือเมื่อมีอาการผิดปกติ เช่น หัวใจเต้นเร็วและแรงอย่างไม่มีสาเหตุ วูบ หรือหน้ามืดบ่อย อาจจะมาจากการเต้นของหัวใจที่ผิดจังหวะ หากตรวจพบตั้งแต่แรกๆ อาจได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที
5. ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ
กฎพื้นฐานของการป้องกันทุกโรค คือ การทำให้ร่างกายของตัวเองแข็งแรงอยู่เสมอ ซึ่งก็ทำได้ง่ายๆ ด้วยกฎ 3 ข้อ คือ ทานอาหารที่ถูกสุขลักษณะ สารอาหารครบครัน หรือจะเน้นอาหารที่ช่วยบำรุงหัวใจอย่าง ผลไม้ต่างๆ มะเขือเทศ ผักกวางตุ้ง ผักชี หัวใจหมู ข้าวโพด รากบัว กระชาย โหระพา โสม ลดอาหารที่มีไขมัน แป้ง และน้ำตาลสูง รวมถึงออกกำลังกายอย่างน้อย 3-4 ครั้งต่อสัปดาห์ และนอนหลับพักผ่อนให้ได้อย่างน้อย 6-8 ชั่วโมงต่อวัน เท่านี้ก็ช่วยลดโอกาสในการเกิดภาวะไหลตายได้แล้วล่ะค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ทำไมหลายคนเปลี่ยนจากรถ EV กลับมาใช้รถน้ำมัน
การที่หลายคนตัดสินใจเปลี่ยนจากรถยนต์ไฟฟ้า (EV) กลับมาใช้รถยนต์ที่ใช้น้ำมันนั้น เป็นเรื่องที่น่าสนใจและมีปัจจัยหลายอย่างที่เกี่ยวข้อง แม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้าจะมีข้อดีมากมาย เช่น เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ประหยัดค่าใช้จ่ายในการเติมเชื้อเพลิงในระยะยาว และมีเทคโนโลยีที่ทันสมัย แต่ก็ยังมีข้อจำกัดบางประการที่อาจทำให้ผู้บริโภคบางกลุ่มยังคงเลือกที่จะใช้รถยนต์น้ำมันอยู่
5 เหตุที่ทำให้บางคนเปลี่ยนจาก EV กลับมาเป็นรถน้ำมัน
1. โครงสร้างพื้นฐานการชาร์จ
จำนวนสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้ายังมีไม่เพียงพอและกระจายตัวไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะในพื้นที่ห่างไกลหรือเส้นทางเดินทางไกล ทำให้ผู้ขับขี่ EV รู้สึกไม่มั่นใจและกังวลเรื่องการหมดแบตเตอรี่ระหว่างทาง อีกทั้งการชาร์จแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ายังใช้เวลานานกว่าการเติมน้ำมัน ทำให้ไม่สะดวกสำหรับผู้ที่ต้องการเดินทางไกลหรือเร่งรีบ
2. ราคาและต้นทุนที่ต้องจ่าย
ราคาแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้ายังค่อนข้างสูง ทำให้ราคาของรถยนต์ไฟฟ้าโดยรวมยังสูง ยิ่งเมื่อพิจารณาถึงการครอบครองระยะยาว หากแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ การเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่จะมีค่าใช้จ่ายสูง ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ผู้บริโภคต้องพิจารณา
3. ระยะทางในการขับขี่
แม้ว่าเทคโนโลยีแบตเตอรี่จะพัฒนาขึ้น แต่ระยะทางที่รถยนต์ไฟฟ้าสามารถวิ่งได้ต่อการชาร์จหนึ่งครั้งยังอาจไม่เพียงพอสำหรับการเดินทางไกลในบางกรณี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับรถน้ำมันที่ใช้ระยะเวลาในการเติมน้ำมันเร็วกว่าการชาร์จไฟมาก
4. ตัวเลือกยังคงจำกัด
แม้ว่าปัจจุบันจะมีการเปิดตัวรถยนต์ไฟฟ้าลงสู่ตลาดเรื่อยๆ แต่ส่วนใหญ่ยังคงเป็นรถที่มาจากประเทศจีน ขณะที่แบรนด์รถยนต์จากญี่ปุ่นที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าชาวไทยมากกว่านั้น กลับมีตัวเลือกน้อยมาก และมีราคาจำหน่ายเข้าถึงไม่ง่ายนัก ส่งผลให้ปัจจุบันมีตัวเลือกรุ่นและยี่ห้อของรถยนต์ไฟฟ้าที่ค่อนข้างจำกัด
5. ความคุ้นเคยและความสะดวกสบาย
การเปลี่ยนไปใช้รถยนต์ไฟฟ้าอาจไม่เหมาะกับผู้ใช้ทุกรายเสมอไป หลายคนไม่สามารถปรับตัวให้คุ้นชินกับลักษณะการใช้งานของรถยนต์ไฟฟ้าที่ต้องอาศัยการวางแผนการชาร์จ (กรณีขับรถทางไกล) เทียบกับการเติมน้ำมันแบบดั้งเดิมแล้วยังมีความสะดวกมากกว่านั่นเอง
การเลือกใช้รถยนต์ไฟฟ้าหรือรถยนต์น้ำมันนั้นขึ้นอยู่กับความต้องการและความเหมาะสมของแต่ละบุคคล ปัจจุบันเทคโนโลยีของรถยนต์ไฟฟ้ากำลังพัฒนาไปอย่างรวดเร็ว และคาดว่าในอนาคตข้อจำกัดต่างๆ จะได้รับการแก้ไข ทำให้รถยนต์ไฟฟ้าเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจมากยิ่งขึ้น
หากคุณกำลังพิจารณาเปลี่ยนมาใช้รถยนต์ไฟฟ้า ขอแนะนำให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับรุ่นรถต่างๆ สถานีชาร์จ และนโยบายส่งเสริมของภาครัฐ เพื่อให้คุณตัดสินใจได้อย่างถูกต้องที่สุดครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำถามฮิต “สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ” พร้อมคำตอบที่ดีที่สุด
สัมภาษณ์งาน ภาษาอังกฤษ (Job Interview)
สัมภาษณ์งานทีไร กังวลทุกทีเลย เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จะเผยเคล็ดลับ “ตอบคำถามสัมภาษณ์งานอย่างไร” ให้ถูกคัดเลือก ไม่ใช่คัดออก
การสัมภาษณ์งาน HR ถือว่าเป็นด่านแรก ที่จะพิจารณา เราในด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นทัศนคติ คุณสมบัติในการทำงาน มุมมองในการทำงาน และบุคลิกภาพ เราจึงควร ยิ้มแย้มแจ่มใส รอยยิ้มที่ดูจริงใจและผ่อนคลายทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกอยากร่วมงานด้วย และแสดงให้เห็นว่าคุณก็อยากร่วมงานกับเขาเช่นกัน
และที่สำคัญคุณจำเป็นต้องเตรียมความพร้อมกับการตอบคำถาม สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ เอ็ด ดู เฟิร์สท์ ได้รวบรวมคำถาม สัมภาษณ์งานสุดฮิต มาให้แล้ว
คำถามฮิต สัมภาษณ์งานภาษาอังกฤษ พร้อมคำตอบที่ดีที่สุด
(Job interview questions and best answers)
Please introduce yourself?
แนะนำตัวเองให้ฟังหน่อย?
My name is (…ชื่อจริง…).
I’m (…อายุ…) years old.
I graduated from (…คณะที่จบ…)
from (…มหาวิทยาลัยที่จบ…)
I am (a / an …งานที่เคยทำ…)
Can you tell me about your career?
เล่าเกี่ยวกับการทำงานของคุณได้ไหม
I used to be (a / an …อาชีพ…). I have an experience in (…ทักษะที่ใช้ทำงาน…) for a (…ระยะเวลาที่ทำงาน… years / month).
ถ้ายังไม่เคยทำงาน ให้พูดถึงประสบการณ์ฝึกงาน หรือใน มหาวิทยาลัย
What is your strength?
จุดแข็งของคุณคืออะไร?
I have an extremely strong (…ทักษะที่ถนัด…) skills. หรือ My greatest strength is a / an ……. .
พูดถึงทักษะที่ถนัดแล้วอธิบายต่อว่า เราถนัดเพราะอะไร
ตัวอย่าง
My greatest strength is my problem-solving skills.
จุดแข็งฉัน คือ ทักษะการแก้ปัญหา
What is your weakness?
จุดอ่อนของคุณคืออะไร?
For my weakness, I can speak English but I think I have to learn more.
การพลิกจุดอ่อนให้เป็นข้อดี เช่น ฉันพูดภาษาอังกฤษได้ แต่ฉันคิดว่าต้องเรียนเพิ่มมากกว่านี้
What do you know about our company?
คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง?
I know that your company is (…..ข้อมูลบริษัท…..)
ข้อนี้ต้องศึกษาข้อมูลบริษัทเยอะๆ เลย ว่าบริษัทที่เราสมัครทำธุรกิจเกี่ยวกับอะไร มีคู่แข่งเป็นใครบ้าง
Why do you want this job?
ทำไมคุณถึงอยากได้งานนี้?
I want this job because (…เหตุผลที่อยากได้งาน….).
อาจจะพูดต่อว่าอาชีพนี้จะสามารถเพิ่มทักษะของเราอย่างไร ให้ผู้ฟังรู้สึกว่าเหมาะกับตำแหน่งนี้ที่สุด
Why should we hire you?
ทำไมเราถึงต้องจ้างคุณ?
I believe that my experience with (…ทักษะที่มี….) and …… skills to be an asset to your company.
*ถ้ายังไม่เคยทำงาน ให้พูดถึงประสบการณ์ฝึกงาน หรือใน มหาวิทยาลัย
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
“เสาวรส” กับข้อควรระวังในการรับประทาน และมักไม่ค่อยมีใครเคยบอก
เสาวรส ราชินีแห่งผลไม้สุขภาพ ใครจะรู้ว่าผลไม้ลูกกลมๆ เปลือกสีม่วงอมม่วงนี้ จะซ่อนสรรพคุณอันน่าทึ่งเอาไว้มากมาย เสาวรสไม่ได้โดดเด่นแค่รสชาติเปรี้ยวอมหวานที่ชวนให้ลิ้มลองซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่ยังอุดมไปด้วยคุณประโยชน์มากมายที่ส่งผลดีต่อสุขภาพของเรา จนกลายเป็นผลไม้คู่ใจของคนที่รักสุขภาพไปแล้ว
“เสาวรส” กับข้อควรระวังก่อนทาน
แม้เสาวรสจะเป็นผลไม้ที่มีรสชาติอร่อยและมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ก็มีข้อควรระวังที่เราไม่ควรมองข้ามนั่นคือ
1.น้ำยางธรรมชาติ ที่พบในเสาวรส ซึ่งอาจเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการแพ้ในบางคนได้
ทำไมเสาวรสถึงก่อให้เกิดอาการแพ้ได้?
จากงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Allergy เมื่อปี 2540 พบว่าผลไม้หลายชนิด เช่น เสาวรส มะละกอ อะโวคาโด กล้วย และอื่นๆ มีโครงสร้างทางเคมีของโปรตีนที่คล้ายคลึงกับโปรตีนในน้ำยางธรรมชาติ ทำให้ผู้ที่แพ้ยางธรรมชาติอาจเกิดอาการแพ้เมื่อรับประทานผลไม้เหล่านี้ด้วย โดยอาการแพ้ที่พบบ่อย ได้แก่ คัน คอแห้ง หายใจลำบาก หรืออาการรุนแรงถึงขั้นช็อก
หากคุณมีอาการแพ้ยางธรรมชาติ ควรระวังการรับประทานผลไม้ต่อไปนี้:
- เสาวรส
- มะละกอ
- อะโวคาโด
- กล้วย
- เกาลัด
- มะเดื่อ
- แตงโม
- มะม่วง
- กีวี
- สับปะรด
- พีช
- มะเขือเทศ
หากคุณสงสัยว่าตนเองมีอาการแพ้เสาวรสหรือผลไม้ชนิดอื่น ควรปรึกษาแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัยและคำแนะนำที่ถูกต้อง
2.ไซยาโนเจนิคไกลโคไซด์ สารประกอบที่มีความเป็นพิษตามธรรมชาติ
ไซยาโนเจนิคไกลโคไซด์คืออะไร ทำไมถึงเป็นอันตราย?
ไซยาโนเจนิคไกลโคไซด์เป็นสารประกอบที่พบได้ในพืชหลายชนิด เช่น เสาวรส ผักโขม มันสำปะหลัง หน่อไม้ และอัลมอนด์ เมื่อเราบริโภคพืชเหล่านี้เข้าไป โดยเฉพาะในปริมาณมาก หรือในสภาพที่ยังไม่สุกดีพอ สารประกอบนี้จะถูกย่อยสลายในร่างกายและเปลี่ยนเป็น ไซยาไนด์ ซึ่งเป็นสารพิษที่อันตรายต่อระบบประสาทและหัวใจ หากได้รับไซยาไนด์ในปริมาณมาก อาจทำให้เกิดอาการปวดศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน และในกรณีที่รุนแรงอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
งานวิจัยยืนยันถึงความเสี่ยง
งานวิจัยหลายชิ้น รวมถึงงานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร Food Additives & Contaminants เมื่อปี 2556 พบว่าไซยาโนเจนิคไกลโคไซด์ในพืชสามารถก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว นอกจากอาการเฉียบพลันที่กล่าวมาแล้ว การได้รับไซยาไนด์ในปริมาณน้อยแต่ต่อเนื่อง อาจส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพเรื้อรัง เช่น หัวใจเต้นผิดปกติ หัวใจเต้นช้าลง และโรคผิวหนังได้
วิธีลดความเสี่ยงจากการบริโภคไซยาโนเจนิคไกลโคไซด์
- เลือกเสาวรสสุก: เสาวรสที่สุกงอมจะมีปริมาณไซยาโนเจนิคไกลโคไซด์น้อยกว่าเสาวรสดิบ
- ปรุงอาหารให้สุก: การปรุงอาหารด้วยความร้อนจะช่วยลดปริมาณไซยาโนเจนิคไกลโคไซด์ได้
- บริโภคในปริมาณที่พอเหมาะ: ไม่ควรรับประทานเสาวรสหรือพืชที่มีไซยาโนเจนิคไกลโคไซด์ในปริมาณมากเกินไป
- หลีกเลี่ยงการรับประทานพืชที่ยังไม่สุก: โดยเฉพาะเมล็ดและใบของพืช
- หมุนเวียนอาหาร: ไม่ควรรับประทานอาหารชนิดใดชนิดหนึ่งเป็นประจำ ควรบริโภคอาหารหลากหลายชนิด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 03/09/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,400.00 | 40,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,617.00 | 39,673.72 | 41,000.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,355.30 | 35,706.35 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,093.60 | 31,738.98 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,178.00 | 17,858.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 916.00 | 13,886.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,712.00 | 41,113.92 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 03/09/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.35 | 36.35 | 36.65 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 | 36.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.98 | 35.98 | 36.28 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 | 35.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.24 | 34.24 | 34.54 | 34.24 | 34.24 | – | 34.24 | 34.24 | 34.24 | 34.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.99 | 33.99 | – | – | – | – | – | – | – | 33.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.94 |
เบนซิน 95 | 44.24 | – | – | – | 49.81 | – | 44.74 | 44.39 | – | 44.24 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |