คอนโดภูเก็ตฮอต! คนนิยมซื้อปล่อยเช่า ผลตอบแทนสูงกว่ากทม.8-10%
ซีบีอาร์อี เผยคอนโดภูเก็ตฮอต ครึ่งแรกปี67ยอดขายเท่าปี66ทั้งปี คนนิยมซื้อปล่อยเช่า ผลตอบแทนสูงกว่ากทม.8-10% ‘แค๊ปสโตน’ สบช่องเปิดตัวโครงการ”เพย์ลา ภูเก็ต บางเทา” บนพื้น 11 ไร่ 3 อาคาร จำนวน 408 ยูนิต มูลค่า3,400ล้าน รองรับดีมานด์ไทยและต่างชาติ
นางสาวอาทิตยา เกษมลาวัณย์ หัวหน้าแผนกซื้อขายโครงการที่พักอาศัย บริษัท ซีบีอาร์อี (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากศักยภาพของภูเก็ต ที่รัฐบาลมีแผนการขยายสนามบินภูเก็ตเป็น 12.5 ล้านคน ขยายสนามบินเฟส 2 ที่สามารถรองรับผู้โดยสารในอนาคต 18 ล้านคน รวมทั้งมีแผนการลงทุนสนามบินอันดามัน จ.พังงาทำให้สามารถรองรับผู้โดยสารเพิ่มขึ้นเป็น 22.5 ล้านคน และในช่วง5ปี่ที่ผ่านมามีการขยายตัวของโรงเรียนนานาชาติเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ล่าสุดมีจำนวนถึง 16 โรงเรียน และจำนวนนักเรียนเพิ่มขึ้น17% จากปี 2566
นอกจากนี้จ.ภูเก็ตยังเป็นจุดหมายปลายทางที่นักท่องเที่ยวทั่วโลกต้องการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวมากที่สุดในโลกเมื่อเทียบกับเมืองอื่นๆ ขณะที่นักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาภูเก็ตมากที่สุด 5 อันดับแรก รัสเซีย จีน อินเดีย คาซัค และเยอรมัน โดยเฉพาะ หาดบางเทา จ.ภูเก็ต ซึ่งเป็นหาดที่มีความยาวเป็นอันดับ 2 ของภูเก็ตได้รับความนิยมสูง
“ในแง่ของผลตอบแทนจากการเช่าพบว่า คอนโดในกรุงเทพมีผลตอบแทนจากค่าเช่าอยู่ที่ 7.9-8% ขณะที่อัตราผลตอบแทนค่าเช่าในภูเก็ตอยู่ที่ 8-10% สูงกว่าคอนโดในกรุงเทพ”
โดยเฉพาะทำเลบางเทาได้รับความนิยมสูงสุด สังเกตได้จากยอดขายคอนโดในจ.ภูเก็ต ตั้งแต่ปี 2557-2567 เฉลี่ยปีละ 1,148 ยูนิต ในปี 2566 มียอดขายคอนโดกว่า 3,000 ยูนิตโตถึง 151% ทว่าในครึ่งแรกปีนี้มียอดขายแล้ว 3,000 ยูนิตเท่ากับยอดขายปีที่แล้วทั้งปีสะท้อนเห็นดีมานด์ที่มีอย่างต่อเนื่องจากข้อมูล CBRE พบว่า ราคาคอนโดที่มีการซื้อขายมากสุดราคาต่ำ 8 ล้านบาทมีสัดส่วนการขายถึง 69% ขณะที่ 8-15 ล้านบาท มีสัดส่วน 25% และ มากกว่า 15 ล้านบาทมีสัดส่วน 5% โดยครึ่งแรกปี 2567 ราคาต่ำกว่า 8 ล้านบาท มีสัดส่วน 63% ระดับราคา 8-15 ล้านบาท มีสัดส่วน 17% และ มากกว่า 15 ล้านบาทเพิ่มขึ้นเป็น 10%
นายฐิติวัฒน์ คูวิจิตรสุวรรณ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แค๊ปสโตน แอสเสท จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเห็นโอกาสการลงทุนในจ.ภูเก็ต จึงได้พัฒนาโครงการ “เพย์ลา ภูเก็ต บางเทา” บนพื้น 11 ไร่ ซึ่งประกอบด้วยอาคารพักอาศัยสูง 7 ชั้น จำนวน 3 อาคาร จำนวนห้องชุดพักอาศัยทั้งหมด 408 ยูนิต มูลค่า 3,400ล้านบาท โดยมีการออกแบบให้เหมาะกับการอยู่อาศัยและเหมาะกับการลงทุน ซึ่งอาคารทั้ง 3 ออกแบบให้ล้อมรอบลานขนาดใหญ่ที่ครอบคลุม 40% ของพื้นที่โครงการทั้งหมดโดยกำหนดเปิดขายในวันที่ 9 ธ.ค.นี้
ขณะที่สำนักงานขายจะเปิดในไตรมาส 2 ปี 2568 พร้อมกับจะเริ่มงานก่อสร้างโครงการในช่วงเวลาเดียวกัน และจะแล้วเสร็จพร้อมเข้าอยู่กลางปี 2570 อีกทั้งบริษัทมีแผนทำงานร่วมกับผู้ให้บริการด้านบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์มืออาชีพเข้ามาดูแลด้านการเช่า เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าทั้งคนไทย และต่างชาติในสัดส่วนเท่ากัน ขณะที่ราคาเริ่มที่ 5.5 ล้านบาท เฉลี่ย 1.5 แสนบาท/ตร.ม.
“หาดบางเทา เป็นทำเลที่มีความหลากหลายทั้งร้านอาหาร ไลฟ์สไตล์ ชอปปิ้ง โรงเรียนนานาชาติ บริการด้านสุขภาพ ซึ่งถือว่าเป็นทำเลที่เติบโตเร็ว ปัจจุบันการลงทุนคอนโดในภูเก็ต เป็นที่นิยมเพราะผลตอบแทนจากการปล่อยเช่าได้ในระดับ 8-10% เพราะราคาคอนโดในภูเก็ตยังไม่สูงเมื่อเทียบกับกรุงงเทพฯ แต่ให้ผลตอบแทนค่าเช่าค่อนข้างดี เนื่องจากกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อสูง เมื่อเทียบการลงทุนคอนโดในกรุงเทพฯ ขณะนี้หาผลตอบแทนในระดับ 10% เป็นไปได้ยาก”
นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนลงทุนต่อเนื่องบนพื้นที่กว่า 2 ไร่ ในพื้นที่ติดกับโครงการเพย์ลา ภูเก็ต บางเทา พัฒนาเป็นไลฟ์สไตล์มอลล์ และโรงแรมระดับอัพเปอร์อัพสเกล ไลฟ์สไตล์ บูทีคมูลค่า 1,200 ล้านบาท และยังมีแผนลงทุนโรงแรม ที่นาใต้ จ.พังงา ขนาดที่ดิน 23 ไร่ ในรูปแบบการร่วมทุนกับกลุ่มนักลงทุนไทยทั้งนี้เนื่องจาก เชื่อมั่นว่า ตลาดที่อยู่อาศัยและโรงแรมระดับลักชัวรียังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“ซีคอน” เร่งเกมปลายปี! ส่ง Your Home Series ดันยอดตามเป้า 1.2 พันล้าน
ซีคอนเผยผลงาน 3 ไตรมาสแรกเดินตามเป้า แม้เผชิญความท้าทาย ส่ง Your Home Series ปิดท้ายปี มุ่งกลุ่มข้าราชการไทย ราคาเข้าถึงได้-ดอกเบี้ยต่ำ หวังเพิ่มยอดขายและตอบโจทย์ตลาดยุคเศรษฐกิจรัดเข็มขัด ย้ำแนวทางดำเนินธุรกิจยั่งยืน
หลังจากผลการดำเนินธุรกิจในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 ที่ใกล้เคียงกับปีที่ผ่านมา โดยมียอดจองรวมกว่า 1,060 ล้านบาท และสร้างกระแสตอบรับจากการเปิดตัวแบบบ้าน Greenery Series ในช่วงต้นปี บริษัท ซีคอน จำกัด ยังคงรักษาแนวทางการเติบโตได้ดีในปีนี้
ท่ามกลางสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังคงมีความท้าทาย โดยเฉพาะในเรื่องของต้นทุนการก่อสร้างที่สูงขึ้น รวมถึงค่าแรงที่เพิ่มขึ้นในภาคอสังหาริมทรัพย์ แต่ด้วยการควบคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพผ่านการใช้วัสดุและเทคโนโลยีที่ประหยัดพลังงาน ทำให้บริษัทสามารถรักษาระดับราคาที่เป็นมิตรกับผู้บริโภคได้
นายมนู ตระกูลวัฒนะกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซีคอน จำกัด เปิดเผยว่า แม้เศรษฐกิจในปัจจุบันจะยังเผชิญกับความท้าทายจากปัจจัยต่างๆ ทั้งจากผลกระทบด้านนโยบายภูมิรัฐศาสตร์และการเพิ่มขึ้นของราคาวัสดุก่อสร้างโดยเฉลี่ย 5% และความไม่แน่นอนของค่าแรงขั้นตํ่า
แต่ซีคอนยังสามารถรักษาสมดุลทางการเงินและการเติบโตได้อย่างแข็งแกร่ง ซึ่งโดยปกติของธุรกิจรับสร้างบ้านส่วนใหญ่แล้วจะมีการเติบโตแบบออร์แกนิก และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการการเข้าตลาดหลักทรัพย์
ด้านผลการดำเนินงานในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปี 2567 มียอดเซ็นสัญญารวมประมาณ 1,060 ล้านบาท ซึ่งลดลงจากช่วงเวลาเดียวกันในปีก่อนราว 10% ที่อยู่ที่ 1,170 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม ซีคอนได้รับความสำเร็จจากกลยุทธ์พัฒนาแบบบ้านที่ตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ โดยแบบบ้าน Greenery Series ซึ่งเปิดตัวช่วงต้นปีที่ผ่านมา ได้รับกระแสตอบรับดีเยี่ยม สร้างยอดขายถึง 100 ล้านบาทภายใน 2 เดือนแรก
นอกจากนี้ ธุรกิจโรงงานผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูป SEACON Precast Factory ยังสร้างรายได้รวมกว่า 100 ล้านบาท จากการผลิตชิ้นส่วนกว่า 20,000 ชิ้น รองรับความต้องการของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่ยังเติบโตอย่างต่อเนื่อง
“ซีคอนมีเป้าหมายที่ชัดเจน เราไม่รอฟ้ารอฝนหรือโชคชะตา แต่ใช้กลยุทธ์ปรับตัวเพื่อส่งมอบบ้านที่ตรงตามความต้องการของลูกค้า และเพื่อเสริมแรงกระตุ้นตลาดปลายปี ซีคอนจึงได้เปิดตัวแคมเปญพิเศษ Your Home Series (Your Home: Your Family) เจาะกลุ่มอาชัพที่มั่นคง คือข้าราชการไทยซึ่งเป็นฐานลูกค้าหลักมานานกว่า 60 ปี”
นายมนูกล่าวว่า แคมเปญนี้เน้นส่งเสริมให้กลุ่มข้าราชการสามารถมีบ้านได้ง่ายขึ้น ด้วยแบบบ้านที่หลากหลายถึง 6 แบบ ครอบคลุมทั้งบ้านชั้นเดียวและบ้านสองชั้น ราคาเริ่มต้นเพียง 1.399 ล้านบาท ไปจนถึง 2.29 ล้านบาท พร้อมโปรโมชันดอกเบี้ยพิเศษ 2.50% สำหรับผู้จองภายในวันที่ 1 ธันวาคม 2567 ถึง 28 กุมภาพันธ์ 2568 เท่านั้น
โดยตั้งเป้าหมายของแคมเปญนี้อยู่ที่จำนวนหน่วยประมาณ 50 หลัง เป็นมูลค่าราว 100 ล้านบาทภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ซึ่งหากได้รับผลตอบรับดีอาจจะมีการต่อยอดต่อไปในอนาคต
นายมนู ยังเสริมว่า ผู้บริโภคยุคปัจจุบันมีพฤติกรรมเน้นความคุ้มค่าและระมัดระวังการใช้จ่ายมากขึ้น ซีคอนจึงมุ่งควบคุมต้นทุนการก่อสร้างอย่างเข้มงวดผ่าน 3 กลยุทธ์หลัก ได้แก่
- การผลิตชิ้นส่วนสำเร็จรูปคุณภาพสูงในโรงงานของบริษัทที่ลดการพึ่งพาวัสดุภายนอก
- การคงราคาเดิมที่สามารถแข่งขันได้เพื่อช่วยเหลือลูกค้าท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจ
- การใช้สิทธิประโยชน์ลดหย่อนภาษีสำหรับบ้านสั่งสร้าง ซึ่งช่วยลดต้นทุนให้ผู้บริโภคอย่างเป็นรูปธรรม
นอกจากนี้ ซีคอนยังให้ความสำคัญกับการดำเนินธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม โดยนำแนวคิด “ลดเพื่อรักษ์” มาปรับใช้ในหลากหลายมิติ เช่น การติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ในโรงงานเพื่อลดการใช้พลังงานจากเชื้อเพลิง การใช้วัสดุก่อสร้างที่ยั่งยืน เช่น อิฐมวลเบาและฉนวนกันความร้อนที่ช่วยประหยัดพลังงาน
รวมถึงการผลิตขวดนํ้าดื่มไร้ฉลาก C2 Water เพื่อสนับสนุนการรีไซเคิล 100% พร้อมเดินหน้าผลักดันนวัตกรรมใหม่ๆ เช่น การใช้สารเซอร์โคเนียมในอลูมิเนียมแทนโครเมียม เพื่อลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
ด้วยกลยุทธ์เหล่านี้ ซีคอนยังคงหวังที่จะสามารถทำยอดได้ตามเป้าหมาย 1,200 ล้านบาท ตามที่วางไว้สำหรับปี 2567 และตั้งเป้าขยายตลาดในปี 2568 ด้วยการรักษาโมเมนตัมการเติบโต
พร้อมต่อยอดแคมเปญที่ตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายหลักและสร้างความยั่งยืนในธุรกิจ ควบคู่กับการส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้บริโภคและชุมชนรอบข้าง ในขณะเดียวกันยังเตรียมปรับตัวรับมือความท้าทายจากเศรษฐกิจและพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3ธ.ค. “อ่อนค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.51 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทระหว่างวันอาจเป็นไปอย่างจำกัด หลังรับแรงหนุนจากนักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาซื้อบอนด์ไทย ส่วนแรงขายหุ้นไทยชะลอลงบ้าง ควรระวังความผันผวนของเงินบาท ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 3 ธ.ค.2567 ที่ระดับ 34.51 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.47 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่า เงินบาทอาจมีจังหวะอ่อนค่าลงเข้าใกล้โซน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ บ้าง แต่เรามองว่า เงินบาทก็อาจแกว่งตัวในกรอบ Sideways ไปก่อน
เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการปรับเปลี่ยนมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้ โดยเงินบาทก็อาจติดอยู่แถวโซนแนวต้าน 34.55-34.60 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ ก็อาจมีโซนแนวต้านถัดไปในช่วง 34.80 บาทต่อดอลลาร์
โดยเรามองว่า เงินบาทจะอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ หากข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดชัดเจน (คาดว่าผู้เล่นในตลาดจะรอยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม Nonfarm Payrolls ในวันศุกร์นี้เป็นหลัก) หนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นชัดเจน ตามการปรับลดโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ซึ่งอาจเห็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาทองคำด้วยเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เรามองว่า เงินบาทอาจพอได้แรงหนุนในช่วงนี้ หลังบรรดานักลงทุนต่างชาติก็เริ่มกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม โดยเฉพาะบอนด์ไทย ส่วนแรงขายหุ้นไทยก็ชะลอลงบ้าง ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงระหว่างวัน อาจเป็นไปอย่างจำกัด
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนของเงินบาท ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาทสามารถแกว่งตัวเกือบ +/-0.2% ได้ในช่วง 30 นาที หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว
ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.40-34.65 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยอ่อนค่าลงเล็กน้อย แต่โดยรวมยังคงเป็นการเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (กรอบการเคลื่อนไหว 34.40-34.56 บาทต่อดอลลาร์)
โดยเงินบาทมีจังหวะแข็งค่าขึ้น เข้าใกล้โซน 34.40 บาทต่อดอลลาร์ ตามจังหวะการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) กลับสู่โซน 2,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่เงินบาทก็แข็งค่าได้ไม่นาน ก่อนที่จะพลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังเงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง
ท่ามกลางการอ่อนค่าลงของสกุลเงินหลัก อย่าง เงินยูโร (EUR) ที่เผชิญแรงกดดันจากความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศส
อีกทั้ง รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตอุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน ก็ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 48.4 จุด ซึ่งแม้จะยังคงสะท้อนภาวะการหดตัวต่อเนื่องของภาคการผลิต แต่ก็ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ นอกจากนี้ การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ยังได้กดดันราคาสินค้าโภคภัณฑ์
ทั้งราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ทำให้เงินบาทเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าวด้วยเช่นกัน อย่างไรก็ตาม การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ถูกชะลอลงด้วยถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
อย่าง Christopher Waller ที่ส่งสัญญาณว่า พร้อมสนับสนุนการเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคม แต่การตัดสินใจดังกล่าวจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่ได้รับ
โดยความเห็นดังกล่าวของเจ้าหน้าที่เฟด ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่า เฟดมีโอกาสราว 74% ที่จะลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ นำโดย Tesla +3.5%, Meta +3.2% หลังผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสที่เฟดอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
อย่างไรก็ดี หุ้นในกลุ่มอื่นๆ ที่ปรับตัวขึ้นได้ดีหลังรับรู้ผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ก็เผชิญแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.97% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.24%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.66% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ SAP +2.7%, Hermes +4.8%
ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คงมั่นใจว่าธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องได้พอสมควร
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป โดยเฉพาะในส่วนของตลาดหุ้นฝรั่งเศสก็เผชิญแรงกดดันบ้าง จากความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศส
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยรวมเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways แถวโซน 4.20% โดยการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ถูกจำกัดจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เพิ่มโอกาสการเดินหน้าลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนธันวาคมนี้
ทว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ยังไม่สามารถปรับตัวลดลงต่อเนื่องได้มากนัก ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม อีกทั้งผู้เล่นในตลาดก็ยังไม่มั่นใจว่า เฟดจะเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot เดือนกันยายน
ทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้อย่างมีนัยสำคัญ
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ในลักษณะ Sideways Up โดยเงินดอลลาร์ได้แรงหนุนในช่วงแรกจากการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ท่ามกลางความวุ่นวายของการเมืองฝรั่งเศส อีกทั้งรายงานข้อมูลดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ก็ออกมาดีกว่าคาด
ทว่า เงินดอลลาร์ยังคงถูกกดดันจากการทยอยขายทำกำไรสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาด และยังถูกกดดันจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนธันวาคมนี้ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่โซน 106.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.1-106.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ โดยรวมราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ยังคงเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways ไปตามทิศทางของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ทว่ายังคงเห็นแรงซื้อจากผู้เล่นในตลาดอยู่บ้าง ในจังหวะที่ราคาทองคำย่อตัวลง ทำให้โดยรวมราคาทองคำสามารถแกว่งตัวในช่วง 2,660 ดอลลาร์ ได้
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (JOLTS Job Openings) รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด (ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงเช้าตรู่ของวันพุธนี้)
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา สถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสที่ยังคงมีความวุ่นวายอยู่ และอาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.51-34.53 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.09 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าทดสอบแนว 34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ สอดคล้องกับ Sentiment ที่อ่อนแอของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชียและเงินหยวน หลังจากนาย โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวเตือนว่าสหรัฐฯ อาจเรียกเก็บภาษีอัตรา 100% หากกลุ่ม BRICS ผลักดันแนวคิดหนุนสกุลเงินใหม่ หรือสกุลเงินอื่นๆ มาทดแทนเงินดอลลาร์ฯ
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.35-34.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สกุลเงินเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) เดือนต.ค. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ปิดฉากทางการ! “ซีพีเอฟ” คว้าถ้วยแชมป์ศึกหมากล้อมลุยไถ 2024
สมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทย ร่วมกับ บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (ซีพีเอฟ), บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด (พีซีจี) และ บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหาชน) จัดการแข่งขันขันกีฬาหมากล้อมศึกลุยไถ 2024
วัตถุประสงค์เพื่อแลกเปลี่ยนฝีมือและประสบการณ์เชื่อมความสัมพันธ์ให้กับนักหมากล้อม 3 บริษัท ชิงถ้วยเกียรติยศและเงินรางวัลรวมกว่า 650,000 บาท ระหว่างวันที่ 24 ตุลาคม – 1 ธันวาคม 2567
โดยทั้ง 3 บริษัท ได้ส่งตัวแทนนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขัน บริษัทละ 1 ทีม ทีมละ 8-17 คน รวมมีนักกีฬาเข้าร่วมการแข่งขันทั้งหมด 33 คน หากทีมใดเป็นฝ่ายชนะจะทำการแข่งขันต่อ ส่วนฝ่ายที่แพ้จะส่งนักกีฬากลุ่มใหม่เข้าทำการแข่งขันในรอบต่อไป รวมแข่งสูงสุด 23 รอบ
สำหรับผลการแข่งขันปรากฎว่าทีมซีพีเอฟ สามารถเอาชนะ 12 รอบ รับถ้วยเกียรติยศและเงินรางวัลรวมกว่า 500,000 บาท ไปครอง
โดยในพิธีมอบรางวัลและปิดการแข่งขันมี นายสุวิทย์ กิ่งแก้ว อุปนายกสมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทย พร้อมด้วย นายทนง ไทยวัฒนาพร ประธานชมรมหมากล้อม บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) , นายศุภกฤต อัศวชัยพร รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส สายงานลูกค้าสัมพันธ์ บริษัท เพอร์เฟค คอมพาเนียน กรุ๊ป จำกัด, คุณวสันต์ สินพิทักษ์สกุล รักษาการประธานคณะผู้บริหาร กลุ่มสายงานบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท ซีพี แอ็กซ์ตร้า จำกัด (มหชน) และ นายนัฐพล กิติไพศาลนนท์ กรรมการบริหารสมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทย ร่วมงานและแสดงความยินดีกับนักกีฬา ณ สมาคมกีฬาหมากล้อมแห่งประเทศไทย ถ.สีลม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สาเหตุของอาการ “แสบท้อง” เสี่ยงโรคอะไรบ้าง
แสบท้อง เป็นอาการที่พบได้บ่อย อาจเกิดจากการระคายเคืองบริเวณหลอดอาหาร ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างคอและกระเพาะอาหาร รวมถึงอาจเกิดจากการมีกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไป จนทำให้รู้สึกแสบร้อนในท้อง อาการปวดแสบท้องอาจรุนแรงขึ้นหลังรับประทานอาหาร หรือเมื่อนอนราบ แม้จะเป็นอาการที่พบได้ทั่วไป แต่หากเป็นบ่อยและรบกวนการประกอบกิจวัตรประจำวัน ควรไปพบคุณหมอเพื่อเข้ารับการตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างตรงจุด
อาการแสบท้อง เป็นอย่างไร
แสบท้อง คือ อาการแสบร้อนบริเวณท้องส่วนบน มักเกิดขึ้นเมื่อกรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดอาหาร ซึ่งเป็นท่อที่เชื่อมต่อระหว่างคอและกระเพาะอาหาร จนอาจส่งผลให้มีอาการปวดแสบท้อง หากมีอาการมากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์อาจเป็นสัญญาณของโรคกรดไหลย้อนที่ควรรักษาทันที นอกจากนี้ ปัจจัยอื่น ๆ เช่น อาหารบางชนิด เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ยาบางชนิด ก็อาจส่งผลให้เกิดอาการแสบท้องได้เช่นกัน
อาการอื่นๆ ที่อาจเกิดร่วมกับอาการแสบท้อง
เมื่อเกิดอาการแสบท้อง อาจเกิดอาการเหล่านี้ร่วมด้วย
- ปากมีรสขมหรือรสเปรี้ยว
- กลืนลำบาก
- เจ็บหน้าอกหลังรับประทานอาหาร
- อาการปวดแสบร้อนอาจหนักขึ้นเมื่อนอนราบ
อย่างไรก็ตาม หากมีอาการปวดเมื่อย หายใจลำบาก คลื่นไส้ อาเจียน มีปัญหาในการรับประทานอาหาร เบื่ออาหารหรือรับประทานอาหารลำบากจนทำให้น้ำหนักลด รักษาด้วยยาที่หาซื้อได้เองตามร้านขายยาแล้วอาการยังไม่ดีขึ้น หรือมีอาการแสบท้องมากกว่า 2 ครั้ง/สัปดาห์ ควรไปพบคุณหมอ
สาเหตุของอาการแสบท้อง
ปัจจัยเหล่านี้อาจส่งผลให้เกิดอาการแสบท้องได้
- กรดในกระเพาะอาหารไหลย้อนกลับเข้าไปในหลอดอาหาร
- การรับประทานอาหารบางชนิด เช่น อาหารเผ็ด อาหารมัน อาหารทอด กระเทียม หัวหอม ผลไม้รสเปรี้ยว ซึ่งอาจไปเพิ่มกรด จนมีกรดเกินในกระเพาะอาหาร
- การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน
- ผลข้างเคียงจากยาบางชนิด เช่น ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
- ความเครียด ความวิตกกังวล อาจส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ทำให้มีกรดในกระเพาะอาหารมากขึ้น หรือกรดไหลย้อน
- การสูบบุหรี่ อาจกระตุ้นการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร ทำให้กระเพาะอาหารบีบตัวช้าหรือน้อยลง จนอาจส่งผลให้กรดไหลย้อนขึ้นมาในหลอดอาหารได้
การวินิจฉัยอาการแสบท้อง
คุณหมออาจวินิจฉัยอาการแสบท้องด้วยวิธีดังต่อไปนี้
- การส่องกล้อง เพื่อตรวจหาความผิดปกติของระบบทางเดินอาหาร เช่น หลอดอาหาร กระเพาะอาหาร
- การเอกซเรย์ โดยผู้ป่วยต้องรับประทานสารละลายแบเรียมซัลเฟต (Barium sulfate) ก่อนเข้ารับการเอกซเรย์ระบบทางเดินอาหาร เพื่อช่วยให้เกิดภาพภายในระบบทางเดินอาหารที่คมชัดมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้คุณหมอสามารถวินิจฉัยอาการแสบท้องได้ง่ายขึ้น
- การตรวจวัดค่าความเป็นกรด-ด่าง (pH) ในหลอดอาหาร เพื่อวินิจฉัยว่าเป็นโรคกรดไหลย้อนหรือไม่
การรักษาอาการแสบท้อง
อาการแสบท้องอาจรักษาได้ด้วยยาที่จำหน่ายในร้านขายยา เช่น
- ยาลดกรด อาจช่วยลดกรดในกระเพาะอาหาร บรรเทาอาการแสบท้อง และอาจช่วยบรรเทาอาการปวดท้อง อาหารไม่ย่อยได้ด้วย
- ยายับยั้งการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เป็นยาที่ออกฤทธิ์โดยยับยั้งปริมาณการหลั่งกรดในกระเพาะอาหาร เช่น โอเมพราโซล (Omeprazole) แลนโซพราโซล (Lansoprazole)
การป้องกันอาการแสบท้อง
อาการแสบท้องอาจป้องกันได้ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ดังนี้
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารที่อาจกระตุ้นกรดไหลย้อน เช่น อาหารเผ็ด อาหารมัน เครื่องดื่มคาเฟอีน
- แบ่งมื้ออาหารเป็นมื้อเล็ก ๆ และรับประทานอาหารให้เป็นเวลา
- หลีกเลี่ยงการรับประทานอาหารมื้อดึก
- หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่
- ไม่นอนทันทีหลังรับประทานอาหาร ควรรออย่างน้อย 3 ชั่วโมงเพื่อให้อาหารย่อย หรือหากนอนควรนอนหนุนหมอนสูง
- สวมใส่เสื้อผ้าหลวมๆ ไม่รัดแน่นเกินไป
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ และพยายามไม่เครียด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สร้างความประทับใจให้ชาวต่างชาติ ด้วยภาษาอังกฤษสำหรับไกด์นำเที่ยว
ในการ ท่องเที่ยว ภาษาอังกฤษ มีความสำคัญอย่างยิ่ง ที่เห็นได้ชัดในปัจจุบันคือ มีนักท่องเที่ยวต่างชาติสนใจเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยเป็นจำนวนมาก เนื่องจากมีความหลากหลายทางธรรมชาติและอาหารการกิน ผู้คนเป็นมิตร ดั่งฉายา “สยามเมืองยิ้ม” มีประวัติศาสตร์และความเป็นมาทางวัฒนธรรม มีสถานที่ท่องเที่ยวให้เลือกหลายรูปแบบ รวมทั้งสภาพภูมิอากาศเป็นที่ถูกใจนักท่องเที่ยวจากประเทศเมืองหนาวที่หวังจะได้สัมผัสอากาศอุ่นสบายหรือมีโอกาสได้อาบแดด ด้วยค่าใช้จ่ายที่ไม่แพง ซึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่ไม่ควรพลาดสำหรับชาวต่างชาติ เช่น วัดพระแก้ว ตลาดนัดจตุจักร ถนนข้าวสาร เยาวราช ปาย แม่ฮ่องสอน ท่าแพ เชียงใหม่ พัทยา ภูเก็ต เกาะพีพี ดินเนอร์ล่องเรือแม่น้ำเจ้าพระยา ตลาดนัดรถไฟ ตลาดน้ำอัมพวา เกาะเกร็ด นนทบุรี อุทยานประวัติศาสตร์ พระนครศรีอยุธยา หมู่บ้านรักไทย แม่ฮ่องสอน เป็นต้น
แนะนำสถานที่ ท่องเที่ยว ภาษาอังกฤษ สำหรับชาวต่างชาติ
เมื่อมีนักท่องเที่ยวต่างชาติมาเยือนสถานที่ในไทย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนต่างชาติที่เรารู้จักหรือนักท่องเที่ยวที่เดินมาสอบถามข้อมูลการท่องเที่ยวหรือเดินทาง เราควรเตรียมพร้อมสำหรับการเป็นเจ้าบ้านที่ดี และสร้างความประทับใจให้ชาวต่างชาติด้วยสิ่งแรกคือ การสื่อสาร ซึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่าภาษาสากลคือ ภาษาอังกฤษ ที่สามารถสื่อสารได้กับผู้คนส่วนใหญ่ทั่วโลก วันนี้เราจะพาทุกท่านมาทำความรู้จักกับภาษาอังกฤษสำหรับไกด์นำเที่ยว ทั้งคำศัพท์ที่ควรรู้ และตัวอย่างประโยคสนทนากับชาวต่างชาติ ที่จะได้ใช้กันบ่อย ๆ
ยกตัวอย่างคำศัพท์ที่เกี่ยวข้อง
คำศัพท์ที่ควรรู้สำหรับการท่องเที่ยว สถานที่ การแนะนำสิ่งต่าง ๆ และการบอกทิศทาง เช่น
- the south (ทิศใต้)
- the east (ทิศตะวันออก)
- the north (ทิศเหนือ)
- the west (ทิศตะวันตก)
- outskirts (นอกเมือง)
- downtown/the center of the town (ใจกลางเมือง)
- ancient (เก่าแก่)
- heritage (มรดก, ประเพณี)
- customary (เป็นกิจวัตร เป็นธรรมเนียม)
- famous (มีชื่อเสียง)
- go straight (ตรงไป)
- turn right/left (เลี้ยวขวา/ซ้าย)
- the local cuisine (อาหารพื้นเมือง)
- guide post/sign (ป้ายบอกทาง)
- get in a car/get on a bus/train (ขึ้นรถ)
- get off (ลงรถ)
- bus stop (ป้ายรถประจำทาง)
- mountain (ภูเขา)
- waterfall (น้ำตก)
- cave (ถ้ำ)
- national park (อุทยานแห่งชาติ)
- beach (ชายหาด)
- art gallery (หอศิลป์)
- archaeological site (แหล่งทางโบราณคดี)
- palace (พระราชวัง)
- monument (อนุสรณ์สถาน)
- nightclub (ไนท์คลับ)
- shopping mall (แหล่งช้อปปิ้ง)
- floating market (ตลาดน้ำ)
- music festival (เทศกาลดนตรี)
ยกตัวอย่างประโยคสนทนากับชาวต่างชาติ
ส่วนตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษสำหรับไกด์นำเที่ยวซึ่งมักใช้บ่อยครั้ง มีดังนี้
1) เริ่มต้นด้วยคำทักทาย กล่าวต้อนรับ เช่น
- Hello / Good morning / afternoon. My name is……I am a guide from…… Welcome to……. (สวัสดี ฉันชื่อ (ตามด้วยชื่อเรา) ฉันเป็นไกด์มาจาก (ตามด้วยชื่อหน่วยงานหรือบริษัท) ยินดีต้อนรับสู่ (ตามด้วยชื่อสถานที่))
หรือหากเป็นบุคคลที่ต้องการความช่วยเหลือ ให้ถามว่า
- Would you like any help? / How can I help you? (คุณให้ฉันช่วยอะไรไหม)
- I am glad to be your guide. (ฉันยินดีที่จะเป็นไกด์ให้คุณ)
2) เริ่มชวนพูดคุย โดยการถามสารทุกข์และการเดินทาง เช่น
- How was your journey? (การเดินทางของคุณเป็นอย่างไร)
- Where are you from? (คุณมาจากที่ไหน / ประเทศอะไร)
- How long are you staying in Bangkok? (คุณจะอยู่ที่กรุงเทพฯ นานเท่าไหร่)
- ตามด้วย How do you do หรือ Pleased to meet you. (ยินดีที่ได้รู้จัก)
3) จากนั้นสอบถามความต้องการและความรู้สึกของนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติ เช่น
- Where would you like to go and What would you like to do? (คุณต้องการจะไปที่ไหน และคุณต้องการจะทำอะไร)
- Are you looking for anything specific? หรือ How do you like this journey? (คุณต้องการไปที่ไหนหรือทำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่? หรือ คุณชอบการเดินทางครั้งนี้หรือไม่?)
4) การเสนอเป็นทางเลือก เช่น
- Would you like to go to Jatujak Market? (คุณต้องการจะไปตลาดนัดจตุจักรหรือไม่)
โดยสามารถเปลี่ยนชื่อสถานที่ตามที่ต้องการสอบถาม ซึ่งไกด์ควรศึกษาข้อมูลสถานที่สำคัญไว้ล่วงหน้า เช่น ที่ตั้ง ระยะทาง และข้อมูลอื่น ๆ ที่น่าสนใจ เพื่อให้สามารถแนะนำข้อมูลแก่นักท่องเที่ยวได้อย่างถูกต้อง เช่น
- “Samut Prakan Crocodile Farm” is considered the largest farm in the world. It is a famous tourist attraction in Samut Prakan Province. It is situated near Bangkok which is approximately 30 kilometers from there. It is a breeding facility for more than 60,000 crocodiles of various sizes. There are extremely thrilling shows and various animals that we can see, such as gibbons, tigers, turtles, chimpanzees, elephants, birds, snakes, camels, deer, hippopotamuses, and many fish, etc. You can also visit dinosaur museum where dinosaur bones and models are displayed. (“ฟาร์มจระเข้สมุทรปราการ” ถือเป็นฟาร์มจระเข้ที่ใหญ่ที่สุดในโลก เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่มีชื่อเสียงของจังหวัดสมุทรปราการ ตั้งอยู่ใกล้กรุงเทพฯ ซึ่งห่างจากที่นั่นประมาณ 30 กิโลเมตร เป็นสถานที่เพาะพันธุ์จระเข้ขนาดต่าง ๆ มากกว่า 60,000 ตัว มีการแสดงสุดระทึกใจและยังมีสัตว์ต่าง ๆ ให้ชม เช่น ชะนี เสือ เต่า ลิงชิมแปนซี ช้าง นก งู อูฐ กวาง ฮิปโปโปเตมัส และปลานานาชนิด เป็นต้น นอกจากนี้ ยังสามารถเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์ไดโนเสาร์ที่มีการแสดงกระดูกและหุ่นจำลอง)
5) การนัดเวลา บอกกล่าวและสอบถามความต้องการต่าง ๆ การอำลา เช่น
- What time shall we begin? (เราควรเริ่มเดินทางกี่โมง/ตอนไหน)
- This is the van for our trip. (นี่คือรถตู้สำหรับการเดินทางของเรา)
- Could you take me a photo, please? (คุณช่วยถ่ายรูปฉันหน่อยได้ไหม)
- I hope you enjoy your staying in Thailand. (หวังว่าคุณจะอยู่ที่ไทยอย่างมีความสุข)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
‘อีเอสอาร์ไอ’ ดึง ‘เอไอ’ ผสาน GIS ปลุกโซลูชัน ESG รับเทรนด์ใหญ่โลก
“อีเอสอาร์ไอ” ดึงเทคโนโลยี “จีไอเอส” ผนวก “เอไอ” รุกแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ป้องกันภัยพิบัติ หนุนองค์กรวางแผน บริหารจัดการทรัพยากรได้มีประสิทธิภาพ ทั้งพัฒนาสมาร์ทซิตี้ การจัดการภัยพิบัติ พัฒนาพลังงานหมุนเวียน มั่นใจช่วยผลักดันธุรกิจในไทยทั้งรัฐ เอกชน เติบโตยั่งยืน
ดร.ธนพร ฐิติสวัสดิ์ ประธานบริษัท อีเอสอาร์ไอ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ยุทธศาสตร์บริษัทมุ่งเน้นด้านความยั่งยืน หรือ ESG เป็นหลัก เพราะบริษัทเป็นผู้เชี่ยวชาญเทคโนโลยี จีไอเอส (GIS) เทคโนโลยีวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่ช่วยในการพัฒนาด้านสิ่งแวดล้อมโดยตรง
“ยุทธศาสตร์ของเราในฐานะผู้พัฒนาเทคโนโลยี GIS คือ สนับสนุนนโยบายภาครัฐในการนำเทคโนโลยีดำเนินงานหลากหลายด้าน ตอบสนองต่อความต้องการของสังคม และดูแลความเป็นอยู่ แก้ไขปัญหาด้านต่างๆ ให้ประชาชนได้รวดเร็ว ทั้งนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม ภัยพิบัติ และด้านความยั่งยืน หรือการเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่จะเกิดขึ้น เช่น พ.ร.บ. Climate Change, Carbon Tax และ Carbon Credit”
ทั้งนี้ มองว่า ภาคเอกชนซึ่งตื่นตัวกับแนวทาง ESG มากขึ้น เทคโนโลยี GIS ของบริษัทมีบทบาทสำคัญ ช่วยให้องค์กรต่างๆ วางแผนและบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการติดตามการปล่อยก๊าซคาร์บอน การพัฒนาพลังงานหมุนเวียน หรืออุตสาหกรรมการเกษตร
“เทคโนโลยีของเราช่วยให้ภาคเอกชนสามารถประยุกต์ใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่ในการประเมินความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม วางแผนการใช้ทรัพยากรที่คุ้มค่า และพัฒนาโครงการที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้”
ในปีหน้า คาดหมายว่าจะมีเปอร์เซนต์เพิ่มขึ้นในโครงการด้านนี้อย่างน้อย 20% เชื่อมั่นว่าเทคโนโลยีของบริษัทจะมีส่วนสำคัญในการช่วงผลักดันให้ธุรกิจในเมืองไทย ทั้งภาครัฐ หรือเอกชน เติบโตตามแนวทาง ESG หรือความยั่งยืนได้มากขึ้น
4 โซลูชัน ผนึก AI หนุน ESG องค์กร เร่งสปีดเทรนด์ยั่งยืนรับอนาคต
สำหรับกลยุทธ์การพัฒนาเทคโนโลยี GIS เข้าไปช่วยในด้าน ESG ให้ภาคส่วนต่างๆ ผ่าน 4 โซลูชัน ดังนี้
- โซลูชันพัฒนาให้เป็นเมืองที่มีความยั่งยืน (Geo City Data Platform) ช่วยวางแผนพัฒนาเมืองผ่านการรวบรวมและเชื่อมโยงข้อมูลโครงสร้างพื้นฐานทั้งหมดภายในเมือง เพื่อบริหารจัดการในด้านต่าง ๆ เพื่อบริหารจัดการโครงสร้างพื้นฐานและทรัพยากรได้ย่างสมดุลและมีประสิทธิภาพ
- โซลูชันรับมือและแก้ปัญหาภัยพิบัติ (Disaster Management) GIS มีบทบาทสำคัญจัดการข้อมูลเกี่ยวกับภัยพิบัติต่าง ๆ เช่น น้ำท่วม ฝุ่น หรือไฟป่า ช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องติดตามข้อมูลภัยแบบเรียลไทม์ ประเมินความเสี่ยงและคาดการณ์แนวโน้มการเกิดภัยพิบัติในพื้นที่ต่างๆ ช่วยวางแผนการรับมือและการบรรเทาผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม พร้อมลดความสูญเสียทางเศรษฐกิจ
- โซลูชันการเกษตรเพื่อการผลิตอย่างยั่งยืน เทคโนโลยี GIS ช่วยเกษตรกรและผู้ประกอบการด้านการเกษตรสามารถวิเคราะห์สภาพพื้นที่เพาะปลูกได้อย่างละเอียด ช่วยบริหารจัดการทรัพยากรได้อย่างคุ้มค่าและลดการปล่อยสารเคมีที่อาจมีผลต่อสิ่งแวดล้อม
- โซลูชันพลังงานทดแทน (Renewable Energy) GIS ช่วยวิเคราะห์และประเมินพื้นที่ที่เหมาะสมในการพัฒนาพลังงานทดแทน เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์และกังหันลม การบริหารจัดการพลังงานสะอาด ช่วยให้การวางแผนการใช้พื้นที่มีประสิทธิภาพสูงสุด ส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาดที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
นอกจากนี้ อีเอสอาร์ไอ พร้อมเร่งเครื่องรับเทรนด์ยั่งยืน นำเทคโนโลยี GIS ผนวก AI หรือที่เรียกว่า GeoAI เข้ามาผสานเพื่อสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ ESG อย่างครบวงจร สอดรับเทรนด์ความยั่งยืนที่กำลังมาแรงทั่วโลก โดยเชื่อว่าจะเป็นเทคโนโลยีสำคัญในอีก 2-3 ปีข้างหน้า ด้วยความสามารถในการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ขนาดใหญ่จากหลากหลายแหล่ง รวมถึงวิเคราะห์ข้อมูลเชิงลึกที่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจที่รวดเร็วและมีประสิทธิภาพ เพื่อนำมาใช้ในการวางแผนและจัดการทรัพยากรอย่างยั่งยืน ผ่านการบูรณาการข้อมูลที่เชิงพื้นที่จำนวนมหาศาล ซึ่งอื่น ๆ GeoAI สามารถตรวจจับรูปแบบซ้ำ และคาดการณ์แนวโน้มเหตุการณ์ในอนาคตได้อย่างแม่นยำ ตอบโจทย์การดำเนินการด้านความยั่งยืนของทุกภาคส่วน
“สิ่งสำคัญที่เรามุ่งเน้นคือ การใช้ข้อมูลที่ครอบคลุม หลากหลายและน่าเชื่อถือ ผสานกับเทคโนโลยีที่มีประสิทธิภาพสูงจะช่วยให้การวิเคราะห์ การบริหารจัดการ และการคาดการณ์ล่วงหน้ามีความแม่นยำสูง ซึ่งถือเป็นหัวใจสำคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืน ซึ่งข้อมูลที่ถูกวิเคราะห์อย่างตรงจุดและแม่นยำช่วยให้องค์กรสามารถวางแผนล่วงหน้าและจัดการทรัพยากรได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวมไปถึงช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคมได้อย่างแท้จริง ตอบโจทย์การพัฒนาอย่างยั่งยืนและสอดคล้องกับแนวทาง ESG อย่างเต็มรูปแบบ”
ผ่าแพลตฟอร์ม ArcGIS Online
ดร.ธนพร ยังกล่าวถึงหนึ่งในเครื่องมือ GIS ที่นำไปใช้อย่างแพร่หลายปัจจุบัน คือ ArcGIS Online แพลตฟอร์มระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ (GIS) ระดับโลก เป็น SaaS ทำงานบนระบบคลาวด์ที่ยืดหยุ่น มาพร้อมกับ AI Model และข้อมูลแผนที่พร้อมใช้ที่หลากหลาย ช่วยสนับสนุนองค์กรในการดำเนินงานตามแนวทาง ESG ได้ครอบคลุมและครบวงจร ด้วยคุณสมบัติที่สามารถรวบรวม วิเคราะห์ และแสดงผลข้อมูลได้แบบ Interactive Dashboards ช่วยให้องค์กรเข้าใจข้อมูลเชิงลึกได้ง่าย และตอบสนองต่อความต้องการในสถานการณ์จริงได้อย่างรวดเร็ว
พร้อมทั้งตอบโจทย์การวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับ ESG ได้ เช่น ติดตามการปล่อยก๊าซคาร์บอนแบบเรียลไทม์ การประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และจัดการทรัพยากรธรรมชาติในรูปแบบที่คุ้มค่า พร้อมทั้งช่วยบริหารจัดการและวางแผนการดำเนินงานขององค์กรให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ดัน GIS หนุนสวล. + สมาร์ทซิตี้
ลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 80-85% เป็นหน่วยงานภาครัฐที่นำเทคโนโลยี GIS ไปใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการบ้านเมือง โดยที่ผ่านมาได้ดำเนินการพัฒนาเทคโนโลยี GIS เพื่อสนับสนุนหน่วยงานต่าง ๆ ดำเนินการตามกรอบแล้ว เช่น ในมิติสิ่งแวดล้อม ทำโครงการ “เตะฝุ่น” ร่วมกับ กรมอุตุนิยมวิทยาและสภาลมหายใจ โดยใช้เทคโนโลยี GIS ในการรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลคุณภาพอากาศ PM 2.5 ทั่วประเทศไทย รวมถึงคาดการณ์ค่าการระบายอากาศและจุดเผาไหม้ล่วงหน้าได้ถึง 10 วัน และแสดงข้อมูลเกี่ยวกับปริมาณฝนแต่ละพื้นที่และจำนวนจุดเผาไหม้ในแผนที่ดิจิทัล
- มิติด้านสังคม เทคโนโลยี GIS ช่วยประเมินผลกระทบที่โครงการต่างๆ ที่มีต่อชุมชน ช่วยให้องค์กรดำเนินการในลักษณะที่เสริมสร้างสังคมและสนับสนุนการอยู่ร่วมกันอย่างยั่งยืน เช่น Geo City Data Platform เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาขึ้นเพื่อยกระดับเทศบาลให้ก้าวสู่เมืองอัจฉริยะที่บูรณาการข้อมูลเมือง เช่น ถนน ประชากร และสาธารณูปโภค เข้าด้วยกันผ่าน GIS โดยข้อมูลนี้จะถูกวิเคราะห์ และบูรณาการออกมาเป็นภาพแผนที่ ช่วยให้เทศบาลและหน่วยงานรัฐบริหารจัดการเมืองได้อย่างมีประสิทธิภาพ
- มิติด้านการกำกับดูแล เทคโนโลยี GIS ช่วยหน่วยงานต่างๆ บริหารจัดการข้อมูลอย่างโปร่งใส และสามารถตอบสนองต่อข้อกำหนดด้านการกำกับดูแลอย่างมีประสิทธิภาพ โดยใช้ GIS ในการบริหารจัดการและประเมินราคาที่ดินทั่วประเทศ โดยบูรณาการข้อมูล เช่น การเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวก การพัฒนาพื้นที่ และปัจจัยทางสังคมและสิ่งแวดล้อม เพื่อให้การประเมินราคามีความแม่นยำ โปร่งใส และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงาน ยกระดับการให้บริการประชาชนได้อย่างรวดเร็ว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“เคพกูสเบอร์รี่” ผลไม้จากชาวดอย ต้านมะเร็ง-หลอดเลือดหัวใจตีบ
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่มีชื่อเสียงมานานว่ามีคุณประโยชน์มากมาย มีวิตามิน และสารอาหารดีๆ ที่ช่วยบำรุงร่างกายหลายอย่าง แถมรสชาติยังอร่อยสดชื่นอีกด้วย วันนี้ Sanook Health จะมาแนะนำให้รู้จักกับผลไม้ชื่อดังทางเหนือ ที่กำลังเริ่มเป็นที่นิยมในหมู่คนไทยทั่วไปมากขึ้น คือ เคพกูสเบอร์รี่ (Cape Gooseberry) หรือที่บางคนเรียกว่า “โทงเทงฝรั่ง” นั่นเองค่ะ
ลักษณะของเคพกูสเบอร์รี่
เป็นผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ ลูกกลมๆ เมื่อสุกแล้วจะมีสีเหลืองอมส้ม อยู่ภายใต้กลีบดอกบางๆ สีเหลืองอ่อนที่หุ้มลูกกลมๆ แต่ละลูกอยู่
นอกจากจะมีชื่อไทยว่า “โทงเทงฝรั่ง” แล้ว ยังมีอีกชื่อหนึ่งที่ตั้งขึ้นมาใหม่ว่า “ระฆังทอง” อีกด้วย
แหล่งผลิตเคพกูสเบอร์รี่
เคพกูสเบอร์รี่เป็นผลผลิตที่ได้จากการส่งเสริม และพัฒนาผลไม้ขนาดเล็ก มูลนิธิโครงการหลวงของเราเองนี่แหละค่ะ เป็นหน่งในพืชที่ทางโครงการสนับสนุนชาวบ้านให้ปลูกทดแทนไร่ฝิ่นนั่นเอง ดังนั้นชาวบ้าน หรือชาวเขาแถบภาคเหนือจึงเริ่มปลูกเคพกูสเบอร์รี่กันมาก
รสชาติของเคพกูสเบอร์รี่
เมื่อสุกเป็นสีเหลืองอมส้มแล้ว จะมีรสชาติหวานอมเปรี้ยว สามารถทานเดี่ยว จิ้มเกลือ หรือพลิกแพลงทานเป็นของว่างอย่างอื่นได้ เช่น ทานกับผักสลัด ทำสมูธตี้ ทำแยม เชื่อม อบแห้ง ชุบช็อคโกแลต ชุบน้ำผึ้ง ฯลฯ
6 ประโยชน์สุดอัศจรรย์ของ “เคพกูสเบอร์รี่” (Cape Gooseberry) หรือ “โทงเทงฝรั่ง”
- เคพกูสเบอร์รี่อุดมไปด้วยวิตามินซี ที่ช่วยบำรุงกระดูก และฟัน เสริมสร้างภูมิต้านทาน ป้องกันโรคหวัด ภูมิแพ้
- มีวิตามินเอ ช่วยบำรุงสายตา ช่วยในการมองเห็นทั้งในที่สว่าง และที่มืด
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
- ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งปอด
- เต็มไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ (Antioxidants) ช่วยบำรุงผิวพรรณให้เปล่งปลั่งสดใส
- ช่วยหยุดยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์เนื้องอก
ก่อนนี้เราจะหาทานเคพกูสเบอร์รี่ ได้เฉพาะในภาคเหนือ ตอนนี้มีการส่งผลไม้แสนอร่อยนี้มาขายต่อในภาคกลาง และตามจังหวัดใหญ่ๆ ในประเทศมากขึ้น และแน่นอนว่าในราคาย่อมเยา เหมาะกับเศรษฐกิจในบ้านเราอย่างแน่นอน หวังว่าทุกคนจะได้มีโอกาสลิ้มลองเคพกูสเบอร์รี่กันบ้างนะคะ ทั้งอร่อย ดี มีประโยชน์แบบนี้ ซื้อไปฝากคนที่เรารักด้วยก็ดีนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 03/12/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 43,000.00 | 43,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,785.00 | 42,220.60 | 43,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,506.50 | 37,998.54 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,228.00 | 33,776.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,253.00 | 18,995.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 975.00 | 14,781.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,886.00 | 43,751.76 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 03/12/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.05 | 36.05 | 36.65 | 36.35 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.68 | 35.68 | 36.28 | 35.98 | 35.68 | 35.68 | 35.68 | 35.68 | 35.68 | 35.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.94 | 33.94 | 34.54 | 34.24 | 33.94 | – | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.69 | 33.69 | – | – | – | – | – | – | – | 33.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.64 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.64 |
เบนซิน 95 | 44.34 | – | – | – | 49.81 | – | 44.84 | 44.49 | – | 44.34 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 17.90 | 17.90 | – | – | – | – | – | – | – | 17.90 |