สาระน่ารู้ประจำวันที่ 04 มกราคม 2568

บริทาเนียผนึกโซเท็ตซึ รุกตลาดบ้านลักชัวรีทำเลราชพฤกษ์-พระราม5

บริทาเนียจับมือโซเท็ตซึ กรุ๊ป บิ๊กคอร์ปจากญี่ปุ่น รุกตลาดบ้านลักชัวรี เปิดตัวโครงการ “เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม5″มูลค่า 1,400 ล้าน มีจำนวน 35 ยูนิตชูดีไซน์สไตล์อังกฤษ ราคาเริ่มต้น 39 ล้าน

ศุภลักษณ์ จันทร์พิทักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) เผยว่า ตลอดระยะเวลา 8 ปี ของบริษัทให้ความสำคัญกับการวางรากฐานเพื่อการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนของทั้งบริษัทและผู้บริโภคภายใต้กลยุทธ์ต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง รวมถึง ความร่วมมือกับพาร์ทเนอร์เพื่อร่วมทุนพัฒนาโครงการ โดยล่าสุด ได้ร่วมทุนกับ บริษัท โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท จำกัด (โซเท็ตซึ ฟุโดซัง) ในเครือ โซเท็ตซึ กรุ๊ป  ยักษ์ใหญ่จากญี่ปุ่นที่ดำเนินธุรกิจด้านคมนาคมขนส่งหรือรถไฟฟ้า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ และธุรกิจด้านค้าขายสินค้าหรือค้าปลีก เพื่อพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวราบ 

นำร่องโครงการแรก เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ ราชพฤกษ์-พระราม 5 มูลค่า 1,400 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการบ้านเดี่ยวระดับลักชัวรีจำนวน 35 ยูนิต ราคาเริ่มต้น 39 ล้านบาท ภายใต้บริษัทเบลกราเวีย ราชพฤกษ์ นครอินทร์ จำกัด ด้วยทุนจดทะเบียน 424 ล้านบาท โดย บริทาเนีย ถือหุ้นในสัดส่วน 51% ขณะที่ โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท ถือหุ้นในสัดส่วน 49%
 

สำหรับโซเท็ตซึ เรียล เอสเตท เป็นดีเวลอปเปอร์ชั้นนำจากญี่ปุ่นมีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในธุรกิจอสังหาฯ มามากกว่า  70 ปี ในการพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งคอนโดมิเนียมและบ้าน รวมทั้งยังเป็นพาร์ตเนอร์กับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด(มหาชน) มาตั้งแต่ปี 2566 เจาะตลาดกรุงเทพฯตอนเหนือ ด้วยการพัฒนาคอนโดฯ Pet Lover โครงการ ดิ ออริจิ้น พหลโยธิน 57  มูลค่า 1,040 ล้านบาท และครั้งนี้ขยายแผนการลงทุนสู่โครงการแนวราบเป็นครั้งแรก

มาซามูเนะ ซูซูกิ ประธานบริษัท โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท กล่าวว่า โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท ต้องการขยายการลงทุนพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง การร่วมทุนกับ บริทาเนีย พัฒนาโครงการใหม่ภายใต้แบรนด์ “เบลกราเวีย”  บ้านเดี่ยวลักชัวรีระดับราคา 20-50 ล้านบาท ในทำเลย่านราชพฤกษ์-พระราม 5 ทำเลที่มีศักยภาพการเติบโตสูงจากกำลังซื้อของผู้บริโภคที่แข็งแกร่ง และเป็นทำเลที่แวดล้อมไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกที่ตอบโจทย์ ทั้งสถานพยาบาลชั้นนำ โรงเรียนชื่อดัง แหล่งไลฟ์สไตล์ และการเดินทางที่สะดวก

“การร่วมทุนดังกล่าว จึงตอกย้ำถึงความเชื่อมั่นที่มีต่อ บริทาเนีย ในการพัฒนาโครงการแนวราบ ขณะเดียวกันยังเป็นการสร้างองค์ความรู้และความเชี่ยวชาญด้านอสังหาฯของทั้ง 2 บริษัท ในด้านต่าง ๆ รวมถึงเพิ่มความแข็งแกร่งด้านเงินทุนรองรับแผนการขยายการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยแนวราบในอนาคต”

บ้านเดี่ยวในโครงการ “เบลกราเวีย เอ็กซ์คลูซีฟ” ถือเป็นบ้านสำหรับผู้ที่ต้องการทั้งความสะดวกสบาย และความหรูหรา โดยมีขนาดที่ดินเริ่มต้นที่ 81 ตารางวา สำหรับแบบบ้าน “เลสเตอร์” และ 100 ตารางวาสำหรับแบบบ้าน “ทราฟัลการ์” ซึ่งออกแบบมาให้ตอบสนองการใช้ชีวิตที่หรูหราและสะดวกสบาย ครบทุกฟังก์ชันที่ครอบครัวต้องการ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ORI โชว์ Backlog แตะ 47,329 ล้าน เตรียมขายหุ้นกู้ชุดใหม่ ดอกเบี้ย 4.50-5.15%

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ (ORI) เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ 3 รุ่น ดอกเบี้ยคงที่ 4.50-5.15% ระหว่างวันที่ 10-11 และ 13 ก.พ. นี้ ผ่าน 9 สถาบันการเงิน พร้อมเผย Backlog แข็งแกร่ง 47,329 ล้านบาท รอรับรู้รายได้ต่อเนื่อง 5 ปี มั่นใจเติบโตยั่งยืนจากธุรกิจใหม่

บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ประกาศเสนอขายหุ้นกู้ชุดใหม่แก่ผู้ลงทุนทั่วไปและสถาบัน 3 รุ่น ระหว่างวันที่ 10-11 และ 13 กุมภาพันธ์ 2568 โดยให้อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.50-5.15% ชำระดอกเบี้ยทุก 3 เดือน

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า หุ้นกู้ครั้งนี้เป็นหุ้นกู้ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ได้รับการจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ระดับ “BBB+” จากทริสเรทติ้ง โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรีไฟแนนซ์หุ้นกู้เดิมที่จะครบกำหนดในเดือนเมษายน 2568

หุ้นกู้ทั้ง 3 รุ่น มีรายละเอียดดังนี้

  • รุ่นที่ 1 อายุ 2 ปี 1 เดือน 8 วัน อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.50% ต่อปี
  • รุ่นที่ 2 อายุ 3 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 4.85% ต่อปี
  • รุ่นที่ 3 อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ยคงที่ 5.15% ต่อปี

นักลงทุนที่สนใจสามารถจองซื้อขั้นต่ำ 100,000 บาท และทวีคูณของ 100,000 บาท ผ่าน 9 สถาบันการเงิน เช่น ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย, บล.เอเซีย พลัส, บล.ยูโอบี เคย์เฮียน, บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) และบล.เมอร์ชั่น พาร์ทเนอร์ เป็นต้น

นอกจากนี้ นายพีระพงศ์ ยังเปิดเผยว่า บริษัทมี Backlog มูลค่ารวม 47,329 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้เป็นรายได้ต่อเนื่องในอีก 5 ปีข้างหน้า พร้อมแผนโอนกรรมสิทธิ์โครงการใหม่ 13 โครงการในปี 2568 รวมมูลค่า 17,180 ล้านบาท

ซึ่งในปี 2567 ที่ผ่านมา ORI สามารถทำยอดขาย (Presale) ได้ 35,435 ล้านบาท แบ่งเป็นคอนโดมิเนียม 28,891 ล้านบาท เป็นสัดส่วน 82% และบ้านจัดสรร 6,544 ล้านบาท คิดเป็น 18% นอกจากนี้ ยังมีโครงการร่วมทุนใหม่อีก 14 โครงการ ทั้งคอนโด บ้านจัดสรร โรงแรม และคลังสินค้า รวมมูลค่า 186,960 ล้านบาท

อีกทั้ง ORI ยังได้เพิ่มศักยภาพผ่านการขยายฐานลูกค้าต่างชาติผ่าน Origin Agent Club ซึ่งร่วมมือกับเอเจนต์กว่า 300 ราย ส่งผลให้ยอดขายจากกลุ่มลูกค้าต่างชาติปี 2567 อยู่ที่ 5,700 ล้านบาท มีการเติบโตอย่างก้าวกระโดดที่ 225%

ในส่วนของกลุ่มธุรกิจใหม่ของบริษัทฯหรือ New S Curve ที่ครอบคลุมธุรกิจโรงแรม คลังสินค้า และบริการอสังหาริมทรัพย์แบบครบวงจร ปัจจุบันบริหารโรงแรม 11 แห่ง อย่างเช่น สเตย์บริดจ์ สวีท แบงค็อก ทองหล่อ, ฮอลิเดย์ อินน์ แอนด์ สวีทส์ ศรีราชา-แหลมฉบัง, อินเตอร์คอนติเนนตัล กรุงเทพ สุขุมวิท รวม 2,657 ห้อง อัตราการเข้าพักเฉลี่ยเดือน ธ.ค. 2567 สูงถึง 76%

สำหรับธุรกิจคลังสินค้ามีพื้นที่เช่ากว่า 403,447 ตร.ม. กระจายใน 10 ทำเลยุทธศาสตร์ อาทิ สมุทรปราการ ปทุมธานี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี เป็นต้น โดยมีอัตราเช่าคลังสินค้าทะลุ 90%

และธุรกิจบริการอสังหาฯ ภายใต้ บริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PRI ให้บริการตั้งแต่วบคุมงานก่อสร้าง บริหารนิติบุคคล บริหาร Investment Property บริการออกแบบและตกแต่งภายใน ไปจนถึงบริการด้านความสะอาด ซึ่งครอบคลุม 229 โครงการ คิดเป็นทั้งหมด 44,650 ครอบครัว

ทั้งนี้ มองว่ากลุ่มธรุกิจใหม่ของบริษัทฯ เหล่านี้จะสามารถสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับบริษัทฯได้ในระยะยาว โดยไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการสร้างอสังหาริมทรัพย์เพื่อขายเพียงอย่างเดียว

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 4ก.พ.“แข็งค่าขึ้น” ที่ระดับ 33.86 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatilityเงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศชะลอการเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าเม็กซิโกและแคนาดา มองกรอบในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 4ก.พ.2568ที่ระดับ  33.86 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ  34.04 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท การทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินบาทจนทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ อีกครั้ง

ทำให้หากประเมินตามกลยุทธ์ Trend Following เงินบาทก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแนวโน้มเป็นการอ่อนค่าลง และเงินบาทมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นได้บ้าง หรืออย่างน้อยก็แกว่งตัวในกรอบ Sideways ตราบใดที่เงินบาทไม่ได้กลับมาอ่อนค่าลงชัดเจน เหนือโซนแนวต้าน 34.10 บาทต่อดอลลาร์

อย่างไรก็ดี เงินบาทเสี่ยงเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility ขึ้นกับความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 โดยหากรัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศเดินหน้าขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากยุโรป

หรือประเทศอื่นๆ (อาจจะเพื่อเป็นการเจรจาต่อรอง ให้สหรัฐฯ บรรลุวัตถุประสงค์ที่ต้องการแบบที่ทำกับเม็กซิโกและแคนาดา) ก็อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เสี่ยงอ่อนค่าลงหนัก ได้ หนุนให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ส่วนเงินบาทก็มีโอกาสอ่อนค่าลงทะลุโซน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง

ทว่า หากรัฐบาลสหรัฐฯ เริ่มเจรจากับทางการจีน จนนำไปสู่การชะลอเก็บภาษีนำเข้าที่ได้ประกาศไปล่าสุด ก็อาจหนุนให้ เงินหยวนจีน (CNY) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ส่งผลดีต่อบรรดาสกุลเงินเอเชียได้ไม่ยาก แต่เรามองว่า โอกาสเกิดภาพดังกล่าวอาจไม่ง่ายนัก และสิ่งที่ต้องระวังคือ แนวโน้มที่สหรัฐฯ อาจเดินหน้าทยอยขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจีน ทว่าสิ่งที่อาจพอเป็นไปได้ คือ การปรับมาตรการเก็บภาษีนำเข้า โดยอาจยกเว้นสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ อย่าง Smartphone เนื่องจากการประกาศมาตรการภาษีล่าสุดจะกระทบต่อบริษัทสหรัฐฯ อย่าง Apple ได้พอสมควร

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ ซึ่งยังคงเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อเงินบาทได้พอสมควร รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ที่อาจยังมีความผันผวนอยู่ในช่วงนี้ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ

อนึ่ง เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ อย่าง ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) และยอดคำสั่งซื้อภาคโรงงาน (Factory Orders) ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วงราว 22.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาท (USDTHB) เสี่ยงผันผวนโดยเฉลี่ย +/-0.20% ภายในช่วง 30 นาที หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.75-34.00 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐฯ)

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นในลักษณะ Sideways Down (แกว่งตัวในกรอบ 33.81-34.05 บาทต่อดอลลาร์)

หนุนโดยการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังการเจรจารระหว่างผู้นำของสหรัฐฯ กับเม็กซิโกและแคนาดา เป็นไปอย่างราบรื่นส่งผลให้ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ตัดสินใจเลื่อนกำหนดการขึ้นภาษีนำเข้ากับสินค้าจากเม็กซิโกและแคนาดาออกไปอีก 30 วัน

ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 นอกจากนี้ การอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ยังได้หนุนให้ราคาทองคำ (XAUUSD) รีบาวด์สูงขึ้นเหนือโซน 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง

อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง หลังรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ในเดือนมกราคม ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 50.9 จุด ดีกว่าที่ตลาดคาด

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงถูกกดดันจากความกังวลผลกระทบจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0 ในช่วงวันหยุดที่ผ่านมา ทว่า ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็เริ่มรีบาวด์สูงขึ้นบ้าง

หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศชะลอการเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าเม็กซิโกและแคนาดา ที่ได้ประกาศก่อนหน้า หลังการเจรจากับผู้นำทั้งสองประเทศเป็นไปอย่างราบรื่น ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.76%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงกว่า -0.87% ท่ามกลางความกังวลผลกระทบจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาลสหรัฐฯ ล่าสุด ทำให้บรรดาหุ้นกลุ่มยานยนต์

และสินค้าแบรนด์เนม ต่างปรับตัวลดลงพอสมควร อาทิ Volkswagen -4.1%, LVMH -1.9% นอกจากนี้ หุ้นกลุ่มการเงินต่างก็ปรับตัวลงหนักเช่นกัน ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซนที่อาจเผชิญแรงกดดันจากนโยบายกีดกันทางการค้าของรัฐบาล Trump 2.0

ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์นั้น บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนในลักษณะ Sideways แม้จะมีจังหวะปรับตัวลงตามภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ทว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ได้แรงหนุนบ้าง

จากรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตของสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงการประกาศชะลอมาตรการเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าเม็กซิโกและแคนาดาโดยประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทำให้โดยรวมบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงอยู่แถว 4.56%

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาทยอยอ่อนค่าลง หลังประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ประกาศชะลอการเก็บภาษีนำเข้าต่อสินค้าเม็กซิโกและแคนาดา ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลผลกระทบจากการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าของสหรัฐฯ บ้าง

โดยผู้เล่นในตลาดเพิ่มโอกาสเฟดเดินหน้าลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง หรือ 50bps ในปีนี้ เป็น 62% ส่งผลให้โดยรวมเงินดอลลาร์ปรับตัวลงสู่โซน 108.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 108.4-109.5 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน และการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ได้พอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย. 2025) รีบาวด์สูงขึ้นเข้าใกล้ระดับ 2,870 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะเผชิญแรงขายทำกำไรกดดันให้ย่อตัวลงบ้าง สู่โซน 2,850 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนค่าของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา

สำหรับในช่วง 24 ชั่วโมงหลังจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด ผ่านรายงานยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน (Durable Goods Orders) ยอดคำสั่งซื้อสินค้าภาคโรงงาน (Factory Orders) และยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ในเดือนธันวาคม พร้อมกับรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ในช่วงเช้าของวันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ ราว 6.30 น. ตามเวลาประเทศไทย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานอัตราการเติบโตของค่าจ้าง (Wage Growth) ในเดือนธันวาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อและทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ)

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน รวมถึงรอติดตามท่าทีของรัฐบาลสหรัฐฯ ในการดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้า (รอจับตาว่า ทางการสหรัฐฯ จะมีการเจรจากับทางการจีน จนอาจนำไปสู่การชะลอมาตรการเก็บภาษีนำเข้าได้หรือไม่) ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญ 

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.85-33.87 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.09 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.03 บาทต่อดอลลาร์ฯ

โดยเงินบาทแข็งค่าหลุดแนว 34.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ เงินดอลลาร์ฯ เผชิญแรงขายกลับมา หลังปธน. โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเลื่อนการขึ้นภาษีกับแคนาดาและเม็กซิโกออกไป 30 วัน

อย่างไรก็ดี กรอบการแข็งค่าของเงินบาทอาจยังเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากการปรับขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจากจีนยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันนี้ (4 ก.พ.) 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.80-34.05 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่สัญญาณตึงเครียดในประเด็นสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ตัวเลขการเปิดรับสมัครงานและอัตราการหมุนเวียนของแรงงาน (JOLTS) และยอดสั่งซื้อภาคโรงงานเดือนธ.ค.

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สาวแฮนด์อินแฮนด์ ควง หนุ่มสองแคว ตบเก็บชัยวอลเลย์ไทยแลนด์ลีก

สาวแฮนด์อินแฮนด์ รือเสาะ เป็นฝ่ายตบเอาชนะ นครปฐม ไป 3-0 เซต แซงขึ้นรั้งอันดับ 4 ด้าน ทีมหนุ่ม พิษณุโลก วีซี ตบชนะ ปลูกปัญญา ขามทะเลสอไป 3-1 เซต แซงขึ้นที่ 4 เช่นกัน

การแข่งขันวอลเลย์บอลอาชีพ ไทยแลนด์ ลีก เลกที่ 2 เมื่อวันที่ 2 ก.พ. 2568 สัปดาห์ที่ 11 ที่ MCC HALL ชั้น 3 เดอะมอลล์ไลฟ์สโตร์ บางกะปิ กรุงเทพ ประเภททีมหญิง นครปฐม เอสเอสอาร์ยู ที่นำโดย ชนกนันท์ เเสบงบาล, อรกานต์ สิงห์ขันธุ์, อรทัย อินทรศรี, นุชนาธ หอมพิทักษ์, ปพัชญา พลทำ, กาญจนา ศรีใสแก้ว และ จิราภา วงศ์แก้ว เจอกับ แฮนด์อินแฮนด์ รือเสาะ ราชมงคลธัญบุรี วีซี ที่นำโดย สุทัตตา เชื้อวู้หลิม, นารีรัตน์ บุตรเครือ, นริศรา แก้วมะ, นันท์นภัส มูลจะคำ, นครินพร บุดดา และ อชิรญาภรณ์ กำใจบุญ 

ผลปรากฎว่า ทีมสาวแฮนด์อินแฮนด์ รือเสาะ ราชมงคลธัญบุรี วีซี เป็นฝ่ายตบเอาชนะไป 3-0 เซต (25-19, 25-17, 25-19) ส่งผลให้ ทีมสาวรือเสาะ ทำผลงาน ชนะ 4 แพ้ 7 มีเพิ่มเป็น 12 คะแนน แซงนครปฐมขึ้นมาอยู่อันดับ 4 โดยสาวนครปฐม ทำผลงาน ชนะ 4 แพ้ 7 มี 11 คะแนน หล่นมาอยู่ที่ 5 

ด้าน ทีมชาย วิทยาลัยนครราชสีมา ปลูกปัญญา ขามทะเลสอ นำมาโดย นำมาโดย จักรวาล ผาสุก , คริสโตเฟอร์ อาลิ อุปคำ,  สิทธิชัย โพชะกะ , เอกภพ นามวิจิตร , มอหหมัด เชนจัง , กิตติพงษ์ สังศักดิ์ และ พงศกร ศรีพลกรัง ลงสนามพบกับ พิษณุโลก วีซี ที่นำมาโดย ณรงค์ฤทธิ์ จันภิรมย์, นครินทร์ อินธนู, รัชชานนท์ วงศ์น้อย, อนุตร พรมจันทร์, กิตติธัช นุวัตดี และ ชยุตม์ คงเรือง ผลปรากฎว่า ทีมหนุ่ม พิษณุโลก วีซี เป็นฝ่ายตบชนะไป 3-1 เซต (26-24, 20-25, 25-16, 25-18) โดย พิษณุโลก วีซี ทำผลงาน ชนะ 5 แพ้ 6 มีเพิ่มเป็น 16 แต้ม แซงขึ้นมาอยู่อันดับ 4 ขณะที่ หนุ่มขามทะเลสอ ทำผลงาน ชนะ 4 แพ้ 7 มี 13 คะแนน หล่นมาอยู่อันดับ 5

สำหรับสัปดาห์ที่ 12 สัปดาห์สุดท้ายของเลก 2 จะไปแข่งขันที่ เทอร์มินอล 21 โคราช จ.นครราชสีมา วันที่ 8-9 ก.พ.นี้

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


สู้ตาย! ไล่ง่วงตอนทำงาน ฉบับคนง่วงง่าย

ใครบ้างที่ไม่เคยเผชิญกับอาการง่วงเหงาหาวนอนระหว่างวัน ยิ่งคนที่ต้องทำงานหน้าคอมพิวเตอร์นานๆ หรืออยู่ในห้องแอร์เย็นฉ่ำ ยิ่งต้องพบเจอกับศัตรูตัวร้ายที่ชื่อว่า “ความง่วง” เป็นประจำ แต่เดี๋ยวก่อน! อย่าเพิ่งยอมแพ้ให้กับความง่วง เพราะเรามีทริคเด็ดๆ ที่จะช่วยให้คุณ สู้ตาย! ไล่ง่วงตอนทำงาน ให้กลับมาสดชื่น พร้อมลุยงานต่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ 

1. ปรับพฤติกรรม เสริมความสดชื่น

  • นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ: ข้อนี้สำคัญที่สุด! การนอนน้อย ส่งผลโดยตรงต่อความง่วงในระหว่างวัน ดังนั้น ควรนอนหลับให้ได้อย่างน้อย 7-8 ชั่วโมงต่อคืน
  • ดื่มน้ำเยอะๆ: การดื่มน้ำน้อย ทำให้ร่างกายขาดน้ำ ส่งผลให้รู้สึกอ่อนเพลีย ง่วงซึม ควรจิบน้ำบ่อยๆ ตลอดทั้งวัน
  • ทานอาหารเช้า: มื้อเช้าเป็นมื้อสำคัญ ช่วยเติมพลังงานให้ร่างกาย ลดอาการง่วงนอน
  • ออกกำลังกาย: การออกกำลังกายช่วยให้ร่างกายสดชื่น กระปรี้กระเปร่า และหลับสบายขึ้น
  • จัดระเบียบโต๊ะทำงาน: โต๊ะทำงานที่รก ทำให้รู้สึกอึดอัด ไม่สบายตา และง่วงนอนได้ง่าย
  • ปรับอุณหภูมิห้อง: อุณหภูมิที่เย็นเกินไป ทำให้ร่างกายต้องการพักผ่อน

2. กระตุ้นร่างกาย ให้ตื่นตัว

  • ลุกขึ้นยืดเส้นยืดสาย: การนั่งทำงานนานๆ ทำให้ร่างกายเกิดความเมื่อยล้า ลองลุกขึ้นเดิน หรือยืดเส้นยืดสายบ้าง
  • ล้างหน้า: น้ำเย็นๆ ช่วยให้รู้สึกสดชื่น ตื่นตัว
  • ฟังเพลง: เพลงจังหวะสนุกๆ ช่วยเพิ่มความกระปรี้กระเปร่า
  • เปลี่ยนอิริยาบถ: การนั่งทำงานในท่าเดิมนานๆ ทำให้รู้สึกง่วง ลองเปลี่ยนอิริยาบถบ้าง เช่น ยืนทำงาน หรือนั่งบนลูกบอลโยคะ
  • หาอะไรทานเล่น: ของว่าง เช่น ผลไม้ ถั่ว ช่วยเพิ่มพลังงาน ลดอาการง่วงนอน

3. เลือกเครื่องดื่ม ตัวช่วยคนง่วง

  • กาแฟ: ช่วยให้ตื่นตัวได้เร็ว แต่ควรดื่มในปริมาณที่พอเหมาะ
  • ชา: มีคาเฟอีนน้อยกว่ากาแฟ ช่วยให้รู้สึกผ่อนคลาย และตื่นตัวได้นาน
  • น้ำผลไม้: มีวิตามินและแร่ธาตุ ช่วยเพิ่มพลังงาน
  • เครื่องดื่มชูกำลัง: ช่วยให้รู้สึกตื่นตัว แต่ไม่ควรดื่มบ่อยๆ เพราะมีน้ำตาลสูง

4. เทคนิคพิเศษ แก้ง่วงแบบเร่งด่วน

  • สูดหายใจเข้าลึกๆ: ช่วยเพิ่มออกซิเจนในเลือด ทำให้รู้สึกสดชื่น
  • นวดขมับ: ช่วยผ่อนคลาย ลดอาการตึงเครียด
  • กลิ่นหอม: เช่น กลิ่นเปปเปอร์มินต์ ช่วยให้รู้สึกสดชื่น
  • มองสีเขียว: เช่น ต้นไม้ ช่วยผ่อนคลายสายตา

อย่าปล่อยให้ความง่วง มาขัดขวางการทำงานของคุณ! ลองนำทริคเหล่านี้ไปปรับใช้ รับรองว่าคุณจะกลับมาสดชื่น พร้อมลุยงานต่อได้อย่างแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เริ่มเขียนภาษาอังกฤษ อย่างไร? ให้งานเขียนของคุณดี และประสิทธิภาพ

การเริ่มเขียนภาษาอังกฤษที่ดี

หลายคนที่กำลังเริ่มฝึกเขียนเรียงความหรือบทความเป็นภาษาอังกฤษกันอยู่นั้น แต่ติดปัญหา “ไม่รู้เริ่มเขียนภาษาอังกฤษอย่างไร?” ให้งานเขียนดี หรือเราจะพัฒนาการเขียนของเราให้ดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง

ในการเขียนภาษาอังกฤษนั้น ไม่ใช่เพียงแค่การเก่งในเชิงของหลักไวยากรณ์และจำนวนคำศัพท์ แต่ความเป็นจริงแล้ว การเริ่มต้นการเขียนที่ดี จะช่วยให้คุณมีชัยไปกว่าครึ่ง ถ้าพร้อมแล้วเอ็ด ดู เฟิร์สท์จะพาคุณไปเรียนรู้ถึงกระบวนการเขียน Writing ที่จะช่วยให้คุณพัฒนาการเขียนไปถึงขั้นสูงได้ไม่ยากดังนี้

6 ข้อที่ควรรู้ ในการเริ่มต้นเขียนภาษาอังกฤษ

1. ระดมสมอง (Brainstorming)

คือ การระดมความคิดของคุณจากหัวข้อ (Topic) ต่างๆ จากนั้นกำหนดแนวคิด หัวข้อหลัก, หัวข้อย่อย ที่คุณได้เลือกไว้ เพื่อทำการค้นหาไอเดียสำหรับการเขียนเรื่องนั้นๆ

สามารถหาไอเดียจากรอบตัวคุณ ยิ่งการพูดออกมาเป็นคำพูดจะช่วยให้คุณคิดไอเดียดีๆ ได้ง่ายขึ้น เพราะการเขียนต้องอาศัยหลายส่วนประกอบ ดังนั้นจึงควรเริ่มจากไอเดียที่หลากหลาย

2. การเชื่อมโยง (Mapping)

คือ การเชื่อมโยงเรื่องราวตามไอเดียที่คุณได้ทำการวางแผนมาเบื้องต้นแล้ว ให้สามารถเชื่อมโยงต่อกัน จนสามารถมาเรียบเรียงเป็นเรื่องราว ที่คุณจะทำการเขียนได้

3. วางโครงเรื่อง (Making a list)

วางโครงเรื่องก่อนที่คุณจะเริ่มทำการเขียน โดยเรียงตามลำดับก่อนหลัง หรือที่เรียกกันว่า “ลำดับความคิด” ก่อนที่จะลงมือเขียนจริง เพื่อให้ผู้อ่านได้เข้าใจเรื่องราวของคุณได้ง่ายขึ้น

4) เริ่มลงมือเขียน (Start writing)

หลังจากที่วางโครงเรื่องแล้วและพร้อมที่จะเขียนแล้ว ก็ลงมือเริ่มเขียนจริงเลย และอย่ากังวล คิดว่าการเขียนของคุณแย่ ทำการเขียนออกมาให้ได้มากที่สุด ยิ่งคุณเขียนมากก็เท่ากับคุณได้ฝึกฝนมาก

5) ตรวจสอบและแก้ไข (Editing)

เมื่อเขียนเสร็จแล้ว อย่าลืมทำการแก้ไขในจุดผิดต่างๆ เช่น ไวยากรณ์ที่ผิดพลาด คำศัพท์ที่เหมาะสม การขึ้นย่อหน้า การวรรคตอน ในทุกบรรทัด และทำการตรวจซ้ำอีกรอบ

6. นำไปเผยแพร่ (Publishing)

เมื่อคุณได้ปรับแต่งและแก้ไขงานเขียนของคุณแล้ว คุณสามารถส่งให้อาจารย์หรือนักเขียนที่มีประสบการณ์ ได้อ่านงานเขียนของคุณ เพื่อการได้รับคำแนะนำในการพัฒนาการเขียนที่ดีเพิ่มเติม หรืออาจได้รับคำชมเชยงานเขียนได้อย่างภาคภูมิใจ

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


เผยผลสำรวจอากาศ ASIA-AQ ชึ้ชัด “ฝุ่น PM2.5 ภาคเหนือ เกิดจากการเผาชีวมวล

ภารกิจสำรวจอากาศ ASIA-AQ ระบุ “ฝุ่น PM2.5 ในภาคเหนือ ส่วนใหญ่เกิดจากการเผาชีวมวล” ทีมนักวิทย์ไทยร่วมกับ​ NASA เตรียมแถลงผลฯ ปลาย​ ก.พ.นี้

หลังเสร็จสิ้นภารกิจบินสำรวจและเก็บข้อมูลคุณภาพอากาศภายใต้โครงการ ASIA-AQ เมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว ทีมประเทศไทยโดย GISTDA และหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เดินหน้าศึกษาวิจัยข้อมูลและปัจจัยที่เกี่ยวข้องร่วมกับ NASA อย่างต่อเนื่อง 

ล่าสุดได้จัดงาน ASIA-AQ Science Team Meeting โดยมีทีมนักวิทยาศาสตร์จากมหาวิทยาลัยและสถาบันวิจัยต่างๆ ในประเทศไทย รวมถึง GISTDA เข้าร่วมและได้มีพบกับทีมนักวิทยาศาสตร์จาก NASA นำโดย James H. Crawford และนักวิทยาศาสตร์จากประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมโครงการ ASIA-AQ เพื่อร่วมหารือเกี่ยวกับข้อมูลที่วิเคราะห์ได้ในเบื้องต้น ณ ประเทศมาเลเซีย

ผลการวิเคราะห์เบื้องต้นดังกล่าวได้ถูกนำเสนอในการประชุม ASIA-AQ Science Team ซึ่งพบว่า การเผาชีวมวล (Biomass Burning) เป็นปัจจัยสำคัญที่ก่อให้เกิดมลพิษจากฝุ่น PM 2.5 ในภาคเหนือของประเทศไทย

ซึ่งข้อสรุปนี้ได้รับการสนับสนุนจากหลักฐานหลายประการ รวมถึงปริมาณละอองลอยอินทรีย์ (Organic Aerosol) ปฐมภูมิและทุติยภูมิที่วัดได้จากอุปกรณ์บนเครื่องบินของ NASA ตลอดจนสารประกอบในบรรยากาศที่เกี่ยวข้องกับการเผาไหม้ รวมถึงการข้อมูลการตรวจวัดภาคพื้นดินที่ดำเนินการโดยนักวิจัยจากสหพันธ์สาธารณรัฐเกาหลีในจังหวัดเชียงใหม่ในช่วง ASIA-AQ Campaign

ขณะที่มลพิษทางอากาศในกรุงเทพฯ เกิดจากกิจกรรมของมนุษย์ร่วมกับการเผาชีวมวล ซึ่งความแตกต่างกันของแหล่งที่มาเหล่านี้ เน้นย้ำให้เห็นความจำเป็นในการเข้าใจถึงความแตกต่างของการเกิดมลพิษทางอากาศในระดับภูมิภาค เพื่อเป็นแนวทางวางกลยุทธ์ป้องกันและบรรเทาผลกระทบ

ที่มาของมลพิษทางอากาศต้องมีความระมัดระวังในการแยกแยะละอองลอยจากแหล่งกำเนิดโดยตรง และละอองลอยทุติยภูมิ ซึ่งเบื้องต้นในช่วง ASIA-AQ Campaign พบว่าฝุ่น PM2.5 ส่วนใหญ่เป็นละอองลอยที่ผ่านปฏิกิริยาเคมีในชั้นบรรยากาศ ซึ่งเกิดจากกิจกรรมของมนุษย์และควันเก่าจากการเผาชีวมวล เน้นย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเข้าใจและให้ความสำคัญกับผลกระทบที่เกิดขึ้นทั้งหมดจากการเผาไหม้ 

ด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า ตลอดระยะเกือบ 1 ปีที่ผ่านมา GISTDA ได้ร่วมมือกับทีมนักวิทยาศาสตร์ไทยที่มาจากหลายหน่วยงาน และได้ทำงานกับ NASA อย่างใกล้ชิด เพื่อให้ได้ข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับปัจจัยที่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศในประเทศไทย โดยผลการวิจัยเหล่านี้จะอยู่ในรายงานที่ GISTDA-NASA จัดทำร่วมกัน และมีกำหนดจะเผยแพร่ต่อสาธารณชนในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2568 และในระหว่างนี้การตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ยังต้องดำเนินการไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้สาธารณะเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับพลวัตของมลพิษทางอากาศในประเทศไทยที่มาจากหลักฐานทางวิทยาศาสตร์และผลการวิจัยที่ได้มาตรฐานและเชื่อถือได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


6 ผลไม้เพื่อสุขภาพ โปรตีนสูง ทางเลือกที่คนไม่กินเนื้อสัตว์ต้องลอง

การเลือกอาหารที่มีโปรตีนสูงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ การได้รับโปรตีนจากแหล่งอื่น ๆ จึงเป็นทางเลือกที่ดี และผลไม้บางชนิดก็สามารถเป็นแหล่งโปรตีนที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูงได้ ซึ่งไม่เพียงแต่มีโปรตีน แต่ยังเต็มไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุที่จำเป็นต่อร่างกายด้วยค่ะ สำหรับสาว ๆ ที่เลือกไม่ทานเนื้อสัตว์ การรับประทานผลไม้เหล่านี้ จะช่วยเสริมสร้างพลังงานและรักษาสุขภาพได้เป็นอย่างดี

6 ผลไม้เพื่อสุขภาพ โปรตีนสูง

1.อะโวคาโด

อะโวคาโดเป็นผลไม้ที่มีคุณค่าทางโภชนาการสูง มีโปรตีนประมาณ 2 กรัม ในทุก ๆ 100 กรัม ซึ่งนอกจากโปรตีนแล้ว ยังอุดมไปด้วยไขมันดีที่มีประโยชน์ต่อร่างกายคุณผู้หญิง ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือดได้ นอกจากนี้ ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระ วิตามิน E และไฟเบอร์สูง ช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและการรักษาสุขภาพผิวได้ดี

2.มะม่วงสุก

มะม่วงสุกเป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานและอร่อย อีกทั้งยังมีโปรตีนประมาณ 1 กรัมต่อเนื้อมะม่วง 100 กรัม ช่วยเสริมสร้างพลังงานให้กับร่างกาย นอกจากนี้ ยังเป็นแหล่งวิตามิน C ที่สำคัญ ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและเพิ่มการดูดซึมของธาตุเหล็กจากอาหารอื่น ๆ การกินมะม่วงสดหรือใส่ในสลัด จึงเป็นทางเลือกที่ดีในการเพิ่มโปรตีนและวิตามินให้ร่างกายของสาว ๆ ค่ะ

3.มะละกอ

มะละกอมีโปรตีนประมาณ 0.5 กรัม ต่อเนื้อมะละกอ 100 กรัม ซึ่งอาจจะดูน้อย แต่การรับประทานมะละกอก็ยังมีประโยชน์หลายด้าน เพราะมะละกออุดมไปด้วยวิตามิน C และวิตามิน A ที่ช่วยบำรุงผิวพรรณและการมองเห็น อีกทั้งยังมีเอนไซม์ที่ช่วยย่อยโปรตีนและทำให้ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีขึ้น นอกจากนี้ มะละกอยังเป็นผลไม้ที่ย่อยง่าย เหมาะสำหรับคนที่มีระบบย่อยอาหารที่บอบบางอีกด้วย

4.กล้วย

กล้วยเป็นผลไม้ที่หาง่ายและสามารถรับประทานได้ตลอดเวลา โดยมีโปรตีนประมาณ 1.1 กรัม ต่อกล้วย 100 กรัม  พร้อมเป็นแหล่งของโพแทสเซียมที่ช่วยควบคุมความดันโลหิต และเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับกล้ามเนื้อ เป็นแหล่งพลังงานที่ดี  เหมาะสำหรับการรับประทานหลังการออกกำลังกาย หรือใช้ทดแทนขนมหวานที่ไม่ดีต่อสุขภาพด้วยค่ะ

5.ลูกแพร์

ลูกแพร์เป็นผลไม้ที่มีรสชาติหวานและมีเนื้อกรอบ เมื่อตัดแต่งออกมา จะเห็นได้ว่าในลูกแพร์มีโปรตีนประมาณ 0.4 กรัมต่อ 100 กรัม นอกจากนี้ยังมีไฟเบอร์สูง ซึ่งช่วยในกระบวนการย่อยอาหารและป้องกันอาการท้องผูก ลูกแพร์ยังมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยปกป้องร่างกายจากการเกิดโรคเรื้อรังต่าง ๆ การรับประทานลูกแพร์ จึงเป็นวิธีที่ดีในการดูแลสุขภาพระยะยาว

6.เชอร์รี่

เชอร์รี่เป็นผลไม้ที่มีโปรตีนประมาณ 1 กรัม ในเชอร์รี่ทุก 100 กรัม และยังมีวิตามิน C สูง ซึ่งช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันและการซ่อมแซมเซลล์ต่าง ๆ ในร่างกาย เชอร์รี่ยังเป็นแหล่งของแอนตี้ออกซิแดนท์ ที่ช่วยชะลอการเกิดริ้วรอยและป้องกันการเสื่อมของเซลล์ในร่างกาย การทานเชอร์รี่ยังช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจและลดการอักเสบในร่างกายได้

การเลือกผลไม้ที่มีโปรตีนสูงและคุณค่าทางโภชนาการดี เป็นทางเลือกที่ดีสำหรับสาว ๆ ที่ไม่ทานเนื้อสัตว์ โดยผลไม้ที่แนะนำทั้ง 6 ชนิด ล้วนมีโปรตีนที่สามารถเสริมสร้างร่างกายของคุณผู้หญิงได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ ยังเต็มไปด้วยสารอาหารที่สำคัญ เช่น วิตามินและแร่ธาตุ ที่ช่วยบำรุงร่างกายให้แข็งแรง โดยไม่ต้องพึ่งพาเนื้อสัตว์ สาว ๆ ทุกคนจึงสามารถเลือกผลไม้เหล่านี้ มาเป็นส่วนหนึ่งของมื้ออาหารได้อย่างง่ายดายและรสชาติอร่อยแน่นอน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 04/02/2568

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a45,100.0045,200.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,921.0044,282.3645,700.00
ทองรูปพรรณ 90%2,628.9039,854.12n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,336.8035,425.89n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,314.0019,920.24n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,022.0015,493.52n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,027.0045,889.32n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 04/02/2568



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.7535.7536.2535.7535.7535.7535.7535.7535.7535.75
แก๊สโซฮอล์ 9135.3835.3835.8835.3835.3835.3835.3835.3835.3835.38
แก๊สโซฮอล์ E2033.5433.5434.0433.5433.5433.5433.5433.5433.54
แก๊สโซฮอล์ E8532.5932.5932.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม44.3449.8449.8449.8444.34
เบนซิน 9544.0449.8144.5444.1944.04
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า