สิงห์เอสเตทรับมือ‘ปีแห่งการเฝ้าระวัง’ชูแผนลดเสี่ยงจับลูกค้าหลากหลาย
แม่ทัพสิงห์เอสเตท เผยแผนรับมือ ‘ปีแห่งการเฝ้าระวัง’ในปี 2567 งัดกลยุทธ์กระจายลูกค้าหลากหลาย ลดเสี่ยงธุรกิจ ท่ามกลางเศรษฐกิจไทยที่ยังมีความผันผวนและฟื้นตัวช้า จากปัจจัยลบกำลังซื้อในประเทศเปราะบาง หนี้ครัวเรือนสูงมีผลต่อการตัดสินใจซื้อของผู้บริโภค
ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) ประเมินว่า ภาพรวมเศรษฐกิจทุกภูมิภาคทั่วโลกเผชิญปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ (Geopolitics) จากเดิมคาดการณ์ว่ามีแค่สงครามรัสเซีย-ยูเครน แต่กลับมีอิสราเอล-ฮามาส เป็นช็อต2! ซึ่งผู้เชี่ยวชาญยังไม่ได้ปรับฉากทัศน์ (Scenario) เนื่องจากไม่แน่ใจว่าสถานการณ์ใหม่ที่เกิดขึ้นจะขยายวงหรือไม่
“เมื่อเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ กระทบต่อเศรษฐกิจมหภาคทั้งการผลิตและบริโภค โดยเฉพาะภูมิภาคที่เป็นแกนกลางของเหตุการณ์อย่างยุโรป แม้ว่าประเทศไทยจะไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า เอฟเฟกต์ จากภูมิรัฐศาสตร์ ได้ลุกลามไปทั่วโลก”
ปี 2567 เป็นปีแห่งการเฝ้าระวัง ธุรกิจต้องเตรียมความพร้อมรับมือกับสถานการณ์การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นให้ทันเวลา
“เราไม่ประเมินสถานการณ์ต่ำหรือว่าดีจนเกินไป ในฐานะซีอีโอ สายการเงิน มีสกิลความไวในการประเมินสถานการณ์ที่เกิดขึ้น โดยวางแผนเป็นซินาริโอ 1 ซินาริโอ 2 ซินาริโอ 3 ซินาริโอ 4 ไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นแนวทางจัดการปัญหาและสถานการณ์ต่างๆ ได้ทันเวลา ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการบริหาร”
ที่ผ่านมาเศรษฐกิจไทย ”ชะลอตัว” จากเหตุการณ์ต่างๆ ซึ่งเซ็กเมนต์ที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับต่างประเทศก็คือ “ท่องเที่ยว” ดังนั้นการที่รัฐบาลเข้ามากระตุ้นภาคท่องเที่ยว ถือว่าถูกต้องและต้องทำ! เพราะอยู่ในช่วงไฮซีซันของธุรกิจท่องเที่ยวจึงต้องทำอะไรก็ได้ให้เร็วที่สุด จากสถิตินักท่องเที่ยวที่เดินทางเข้ามาประเทศไทยเดือน ธ.ค. เฉลี่ย 6.7 แสนคนต่อสัปดาห์ ซึ่งเทียบสัปดาห์ต่อสัปดาห์สูงขึ้น 10% จากเป้าหมายปี 2566 ที่ 28 ล้านคน ทั้งนักท่องเที่ยวจีน ยุโรป เข้ามามากขึ้นทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวฟื้นตัว
ทั้งนี้ ธุรกิจท่องเที่ยว มีสัดส่วนจีดีพีประมาณ 17% และประเทศไทยเป็น “Dream Destination” ของนักท่องเที่ยวต่างชาติ ไม่ว่าจะกรุงเทพฯ หรือเมืองรอง ด้วยความครบทุกองค์ประกอบ ไม่ว่าจะเป็นการเดินทางที่สะดวกสบาย อาหารการกินอุดมสมบูรณ์ ค่าครองชีพต่ำ โรงแรมดี บริการดี หัวใจสำคัญ คือ มีภูมิประเทศที่สวยงาม ทำให้ธุรกิจท่องเที่ยวค่อยๆ กลับมา
สำหรับ “สิงห์ เอสเตท” มีหลากหลายธุรกิจ พอร์ตใหญ่สุดคือโรงแรม รองลงมาเป็น ธุรกิจที่พักอาศัย ตามด้วยอาคารสำนักงานและธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม โดยสัดส่วนรายได้มากสุดมาจากธุรกิจ “โรงแรม” ที่กระจายอยู่ใน 5 ประเทศ ได้แก่ ไทย สหราชอาณาจักร สาธารณรัฐมอริเชียส สาธารณรัฐมัลดีฟส์ และสาธารณรัฐหมู่เกาะฟิจิ รวมทั้งสิ้น 38 แห่ง ภายใต้แบรนด์ สันติบุรี, เนเบอร์, Outrigger, Castaway, Hard Rock, SAii, Holiday Inn และ Mercure SO/Maldives
“ประเทศหลักมัลดีฟส์และไทยมีความเป็น Destination ซีกตะวันออก ซึ่งเป็นเป้าหมายของซีกตะวันตก เพราะไม่มีภูมิประเทศแบบนี้ในซีกตะวันตก ดังนั้นเมื่อเกิดการชะลอตัวของธุรกิจทางยุโรปก็มีผลกระทบไม่มากก็น้อย แต่โรงแรมของสิงห์ เอสเตท เป็นโรงแรมและรีสอร์ทระดับบน Upscale และ Upper Upscale หรืออยู่ในลักชัวรีเซ็กเตอร์ ฉะนั้นความอ่อนไหวไม่สูงมากเทียบระดับแมส”
ประกอบกับหลังโควิด-19 ผู้คนเดินทางมากขึ้น ต้องการ Experience Journey ซึ่งโรงแรมของสิงห์ เอสเตท อยู่ในประเภทนั้น ไม่ใช่ ซิตี้โฮเทล ผลกระทบจึงไม่สูงมาก การวางกลยุทธ์ในภาวะที่ธุรกิจเริ่มฟื้นตัวเน้นการเติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งปัจจุบันคนจีนที่กลับมาเป็นกลุ่มคนรวย โรงแรมในมัลดีฟส์ ของ สิงห์ เอสเตท สามารถรองรับนักท่องเที่ยวจีนช่วงวันหยุดยาวด้วยกิจกรรมที่หลากหลาย
“แต่ละช่วงเวลาสถานที่ท่องเที่ยวแต่ละแห่งจะเหมาะกับกลุ่มลูกค้าที่แตกต่างกัน เป็นเรื่องปกติของการทำธุรกิจที่ต้อง Keep Competitive ตลอดเวลา ต้องไม่คิดว่าคุณเหนือฟ้า ไม่ว่าจะอยู่ตรงไหน ฉะนั้นต้องมองหาทางเลือก มีความไว เตรียมตัวรับมือกับความเสี่ยงที่เกิดขึ้นเสมอ”
เป็นเหตุผลที่ สิงห์ เอสเตท พยายามกระจายกลุ่มลูกค้าหลากหลายเพื่อลดความเสี่ยงในทุกธุรกิจไม่ว่าเป็น บ้าน อาคารสำนักงาน หรือโรงแรม เมื่อมีการหายไปของลูกค้าบางธุรกิจ บางเซ็กเมนต์ ยกตัวอย่าง ช่วงที่คนจีนไม่มาก็มีกลุ่มลูกค้าอื่นเข้ามาทดแทน
ส่วนธุรกิจที่อยู่อาศัยเป็นขาที่ 2 ก็โมเดลธุรกิจเช่นเดียวกับโรงแรม ในการเพิ่ม “โอกาส” เข้าถึงลูกค้าใหม่ โดยจะมีแบรนด์ต่างระดับที่ตอบโจทย์กลุ่มลูกค้าตรงจุดและหลากหลาย เน้นเจาะตลาดบน เช่น คอนโดมิเนียมโครงการ ดิ เอส สุขุมวิท 36 ทองหล่อ และ ดิ เอ็กซ์โทร พญาไท-รางน้ำ
ส่วนบ้านแนวราบเน้นกระจายตัวตาม geographic demand เพราะครอบครัวคนไทยเป็นครอบครัวขยาย มีความต้องการตามทำเลในแต่ละพื้นที่ ปัจจุบัน สิงห์ เอสเตท มีบ้าน 4 เซ็กเมนต์ บนสุดแบรนด์ สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส สนนราคา 250 ล้านบาท ล่าสุด แบรนด์ ลาซัวว์ เดอ เอส ราคา 550 ล้านบาทต่อหลัง สูงกว่าเซ็กเมนต์อัลต้าลักชัวรี
ขณะที่ “อัลตราลักชัวรี” ราคาเฉลี่ย 100 ล้านบาท ภายใต้แบรนด์ สมิทธ์ “ชูเปอร์ลักชัวรี” ราคา 50-100 ล้านบาท แบรนด์ ศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส “พรีเมียมลักชัวรี” ระดับราคา 30-50 ล้านบาท แบรนด์สริน “ลักชัวรี” ราคา 10-20 ล้านบาท แบรนด์ ฌอน ทั้ง 4 เซ็กเมนต์ สะท้อนภาพจำของสิงห์ เอสเตท ถึงความเชื่อมั่นที่อยู่ในใจของผู้บริโภคกับสินค้า
“แม้ภาพรวมเศรษฐกิจชะลอตัว แต่เรามี 2 ธุรกิจในเซ็กเมนต์ที่อ่อนไหวต่อเศรษฐกิจน้อย บวกกับการกระจายตัวของทำเลทั้งบ้านและโรงแรมในแต่ละภูมิภาครองรับดีมานด์หลากหลายจึงได้รับผลกระทบน้อย”
ขาที่ 3 ของ สิงห์ เอสเตท คือ ธุรกิจอาคารสำนักงาน ซึ่งการใช้พื้นที่อาคารสำนักงานเปลี่ยนไป ต้องการพื้นที่จำกัด แต่ต้องการพื้นที่ส่วนกลางมากขึ้นเพื่อพบปะสังสรรค์ ระดมสมอง ซึ่งอาคารสำนักงานสิงห์ เอสเตทอยู่ใน 3 ทำเลยุทธศาสตร์สำคัญ ได้แก่ อาคารซัน ทาวเวอร์ บนถนนวิภาวดี เป็นอาคารเกรดบี อาคาร สิงห์ คอมเพล็กซ์ เป็นมิกซ์ยูสระดับแฟลกชิป ย่านอโศก-เพชรบุรี อาคาร เอส เมโทร ย่านพร้อมพงษ์ และ เอส โอเอซิส อาคารสำนักงานเกรดเอ บนถนนวิภาวดีรังสิต
กลยุทธ์การบริหารจัดการอาคารสำนักงานนอกเหนือจากโลเคชั่น คือ ความ “ยืดหยุ่น” ในการทำสัญญาจากเดิม 3 ปี ลดลงหรือยาวขึ้น กรณีบริษัทขนาดใหญ่ที่ต้องการลดต้นทุนสามารถเซ็นสัญญาระยะยาวมากกว่า 3 ปี ตั้งแต่ 15 ปี ขึ้นไป บนพื้นที่ขนาดใหญ่ 2,000 ตร.ม. ขณะที่กลุ่มเอสเอ็มอี สตาร์ทอัพ เช่าพื้นที่ในรูปแบบ Ready to Move ได้
ส่วนขาที่ 4 ของสิงห์ เอสเตท คือ นิคมอุตสาหกรรม เอส อ่างทอง ภายใต้แนวคิดนิคมอุตสาหกรรมเชิงนิเวศ หรือ Eco Factory & Green industry สำหรับเกษตร อาหาร และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง ตอบโจทย์เอสเอ็มอี ทำธุรกิจอาหาร ตามเป้าหมาย “Food Valley” เน้นกลุ่มอาหารไม่น้อยกว่า 30% อีก 70% ไม่ใช่อาหารแต่ต้องเป็นธุรกิจที่ไม่กระทบอาหาร
“ที่ผ่านมาโควิดส่งผลกระทบต่อเอสเอ็มอี ชะลอการลงทุน แต่ข้อได้เปรียบต้นทุนราคาที่ดินถูกกว่าของอยุธยา จูงใจกลุ่มเป้าหมาย และได้แรงงานท้องถิ่นจากจังหวัดใกล้เคียง ลพบุรี สิงห์บุรี ขณะที่แรงงานจากอยุธยา เป็นแรงงานเคลื่อนย้านมาจากอีสาน นอกจากนี้ยังมีแหล่งน้ำ 300 ไร่ มีโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วม 3 โรง กำลังการผลิตรวมกว่า 400 เมกะวัตต์ รองรับผู้ประกอบการที่มีความต้องการไฟฟ้าในปริมาณมาก และมีเสถียรภาพสูง”
ฐิติมา กล่าวว่า ในฐานะผู้บริหาร มองว่า ความกังวลจะหมดไปถ้าเข้าใจปัญหาทั้งหมด ฉะนั้นต้องเข้าใจปัญหา เพื่อพร้อมจัดการปัญหาที่เกิดขึ้น เชื่อมั่นว่า “สิงห์ เอสเตท” จะควบคุมและรับมือกับความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นได้ ถ้าไม่มีปัจจัยลบใหม่เข้ามาซ้ำเติม ผลักดันธุรกิจเติบโตต่อไปได้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ชาญอิสสระ กางแผนธุรกิจ ปักหมุดบิ๊กโปรเจ็กต์อสังหาฯ โรงแรม 123 ไร่ 2หมื่นล้าน
“กลุ่มชาญอิสสระ” กางแผนยุทธศาสตร์ ปักหมุดบิ๊กโปรเจ็กต์อสังหาฯ-โรงแรมหรู พื้นที่รวม 123 ไร่ 2หมื่นล้านบาท บนทำเล กทม. ชะอำ-หัวหิน และภูเก็ต รับท่องเที่ยวบูม ประเดิมไตรมาสแรกปี67
กลุ่มชาญอิสสระ บริษัทอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ซึ่งสร้างชื่อเสียงระดับโลก จากแบรนด์ศรีพันวา อาณาจักรโรงแรมหรูหาดส่วนตัวบนเกาะภูเก็ต ที่ได้รับความนิยมในกลุ่มคนไทยและต่างชาติ และขยายการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ควบคู่กับธุรกิจโรงแรม ต่อเนื่องทั้งในกรุงเทพมหานครและหัวเมืองท่องเที่ยวสำคัญ ล่าสุดกลับมาเขย่าวงการอสังหาฯครั้งใหญ่ ลุยพัฒนา 4 บิ๊กโปรเจ็กต์อสังหาฯ-มิกซ์ยูส-โรงแรม2หมื่นล้านบาท
ในกรุงเทพมหานคร ชะอำ-หัวหิน และภูเก็ต บนพื้นที่ดินรวม 123 ไร่ ประเดิม The Sky Series ภูเก็ต พูลวิลล่าสุดหรูบนที่ดินผืนสุดท้ายของศรีพันวาโครงการซาซ่าส์ หัวหิน คอนโดฯ วิวทะเล สนามกอล์ฟ,โครงการบ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury วงแหวน-พระราม 9เดินหน้าลุยตลาดมิกซ์ยูสภูเก็ตเจาะกลุ่มลูกค้าไทย-เทศ ขึ้นแท่น แบรนด์-โปรดักส์หรู ครองตลาดที่อยู่อาศัย พร้อมเตรียมโอน 2 บิ๊กโปรเจ็กต์ โครงการดิ อิสสระ สาทร และศศรา หัวหิน มูลค่า 2,500 ล้านบาท
นายสงกรานต์ อิสสระ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ชาญอิสสระดีเวล็อปเมนท์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจจากนี้ว่ากลุ่มชาญอิสสระ มีแผนลงทุนในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ-มิกซ์ยูสและโรงแรม รวม 4 โปรเจกต์ยักษ์ บนที่ดินรวม 123 ไร่มูลค่าโครงการร่วม 2หมื่นล้านบาทประกอบด้วยโครงการทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด ประเดิมโครงการบ้านพักตากอากาศพูลวิลล่าสุดหรู The Sky Seriesสไตล์ Modern Natural มูลค่าโครงการ 900 ล้านบาท บนที่ดิน 6 ไร่ซึ่งเป็นที่ดินผืนสุดท้ายของโครงการศรีพันวา ภูเก็ต โครงการซาซ่าส์ หัวหิน (SASA Hua Hin)
ลักชัวรีคอนโดมิเนียม บนที่ดินกว่า 3 ไร่วิวทะเล และสนามกอล์ฟ มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาทซึ่งเปิดตัวไปแล้วเมื่อช่วงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา ต่อด้วยโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Ultra Luxury วงแหวน-พระราม 9ซึ่งจะเปิดตัวในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567และอีกหนึ่งโครงการที่ถือเป็นเมกะโปรเจกต์ซึ่งเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่มีทั้งคอมเมอร์เชียลโซนเรสซิเดนซ์เชียล และโฮเทลแอนด์รีสอร์ท บนทำเลศักยภาพในจังหวัดภูเก็ตบนที่ดินกว่า 70 ไร่ มูลค่าโครงการกว่า 10,000 ล้านบาทโดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 นี้เช่นกัน
เพื่อเป็นการรองรับการกลับมาของภาคธุรกิจอสังหาฯ-ท่องเที่ยวที่มีทิศทางเติบโตอย่างเห็นได้ชัด ภาพรวมธุรกิจท่องเที่ยวไทยและธุรกิจโรงแรมในปี 2566ยังคงคึกคักต่อเนื่องจากช่วงไตรมาส 4มาถึงปัจจุบันโดยเฉพาะสถานที่ท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากชาวต่างชาติ อย่างจังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีอัตรานักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น 90%จากช่วงเดียวกันของปีก่อน อย่างเห็นได้ชัดเจนโดยในส่วนของโรงแรมในเครือทั้ง 3 แห่ง โรงแรมศรีพันวา ภูเก็ต,โรงแรมบาบาบีช คลับ นาใต้ และ โรงแรมบาบาบีช คลับ หัวหินสามารถทำรายได้ช่วงไฮซีซั่นได้อย่างต่อเนื่อง โดยรายได้ของปี 2566 ทั้งปีจะเพิ่มขึ้นประมาณ 50%
เมื่อเปรียบเทียบกับปีก่อนและคาดการณ์ธุรกิจท่องเที่ยวของประเทศไทยจะปรับตัวดีขึ้นเป็นลำดับโดยมีปัจจัยบวกมาจากจำนวนนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นและมีการเพิ่มขึ้นของนักท่องเที่ยวกลุ่ม Middle East อย่างมากอีกด้วย ทั้งนี้จากทิศทางการเติบโตของกลุ่มตลาดลักชัวรีและกระแสการตอบรับที่ดีของโครงการในกลุ่มชาญอิสสระ
โดย เตรียมโอน 2 บิ๊กโปรเจ็กต์ อย่างโครงการ ดิ อิสสระ สาทรซึ่งมียอดขายแล้วประมาณ 55% และโครงการศศรา หัวหินมียอดขายประมาณ 75% ซึ่งปัจจุบันทั้งสองโครงการมียอดขายรอโอน(Backlog) รวมประมาณ 2,500 ล้านบาท
อย่างไรก็ตามจากแผนการพัฒนาโมเดลธุรกิจดังกล่าวของกลุ่มชาญอิสสระ ที่จะพัฒนาในก้าวต่อจากนี้ไปจะเป็นแกนสำคัญในการผลักดันเป้ารายได้ และสร้าง Brand Awarenessที่แข็งแกร่งให้กับชาญอิสสระ ไปสู่ระดับโลกผ่านการขับเคลื่อนกลยุทธ์ที่สำคัญของการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตในทุกๆ ด้านมีความครบวงจรในด้านการให้บริการในระดับพรีเมี่ยมพร้อมขึ้นแท่นแบรนด์หรูครองความเป็นผู้นำด้านตลาดลักชัวรีในประเทศไทย
นายสงกรานต์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังประสบความสำเร็จ หลังจากที่บริษัทเสนอขายหุ้นกู้ 2 ชุดใหม่ไปเมื่อปลายเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา ประกอบด้วยหุ้นกู้รุ่นที่ 1 อายุ 1 ปี 6 เดือน อัตราดอกเบี้ย 6.70% ต่อปี และหุ้นกู้รุ่นที่ 2 อายุ 2 ปี 9 เดือน อัตราดอกเบี้ย 7.10% ต่อปี ให้แก่ผู้ลงทุนทั่วไป และผู้ลงทุนสถาบัน (เฉพาะบุคคลธรรมดา โดยให้บุคคลธรรมดาที่เป็นผู้ลงทุนสถาบันจองซื้อทั่วไปเท่านั้น ผ่านบริษัทหลักทรัพย์ 5 แห่ง วงเงินเสนอขาย 950 ล้านบาท ได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน โดยสามารถปิดการขายได้ 100%
สะท้อนความเชื่อมั่น จากนักลงทุน ที่จะนำไปขยายงานที่เปิดตัวไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา อาทิ โครงการ Sasa Hua Hin และ Sri panwa, The Sky Series นอกจากนี้ยังมีแผนที่ลงทุนเพิ่มเติมทั้งในกรุงเทพฯ และภูเก็ตด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 4ธ.ค. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าแต่อาจยังไม่ทะลุแนวต้าน34.50บาท/ดอลลลาร์ คาดว่าวันนี้จะอยู่ที่ระดับ 34.30-34.60 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 4ธ.ค. 2567 ที่ระดับ 34.45 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.32 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงได้ หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มไม่มั่นใจต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทั้งประเด็นว่า เฟดอาจเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ (จากถ้อยแถลงของประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ล่าสุด) และ เฟดอาจไม่รีบลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดได้คาดการณ์ไว้ โดยภาพดังกล่าว ได้หนุนให้เงินดอลลาร์ยังมีโอกาสทยอยแข็งค่าขึ้นต่อได้ โดยเฉพาะหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในคืนนี้ ออกมาดีกว่าคาด สะท้อนว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งอยู่
นอกจากนี้ การปรับฐานของราคาทองคำในช่วงนี้ ก็อาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง ขณะเดียวกัน สถานการณ์ในตะวันออกกลางที่ร้อนแรงอยู่ และแนวโน้มอุปทานน้ำมันดิบที่อาจตึงตัวระยะสั้น จากการปิดบ่อน้ำมันในลิเบีย ก็อาจหนุนให้ราคาน้ำมันดิบมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น ซึ่งในจังหวะดังกล่าว เงินบาทก็อาจถูกกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันของผู้เล่นในตลาดได้
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทยได้ไม่ยาก ทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของตลาดหุ้นไทยรอบล่าสุดได้บ้าง ทั้งนี้ แรงขายหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติอาจถูกชะลอลงได้บ้าง จากโฟลว์ซื้อบอนด์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่ยังเชื่อว่า เงินบาทจะมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้นได้
โดยเฉพาะในจังหวะที่เงินบาทได้อ่อนค่าเข้าใกล้โซนแนวต้านสำคัญ 34.50 บาทต่อดอลลาร์ ทำให้เราประเมินว่า เงินบาทอาจยังไม่ได้อ่อนค่าทะลุแนวต้านดังกล่าวไปได้ไกลมากนัก จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ อย่าง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในคืนวันศุกร์นี้
ในช่วงนี้ เราพบว่า ความผันผวนของเงินบาทยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.30-34.60 บาท/ดอลลาร์
ในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงตามที่เราได้ประเมินไว้ (แกว่งตัวในช่วง 34.31-34.55 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวขึ้น ตามความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด จากถ้อยแถลงของ Thomas Barkin ประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ที่ส่งสัญญาณว่า
เฟดยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อให้สำเร็จ นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลงหลุดโซนแนวรับที่เราประเมินไว้ อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังบรรยากาศในตลาดการเงินกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) มากขึ้น โดยโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
ความกังวลแนวโน้มเฟดขึ้นดอกเบี้ยจากถ้อยแถลงของประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ได้กดดันให้ ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างเดินหน้าขายหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth เพิ่มเติม อาทิ Tesla -4.0%, Nvidia -1.2% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน Chevron +1.9%, Exxon Mobil +0.8% หลังราคาน้ำมันดิบพุ่งขึ้นกว่า +4.3% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.80%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.86% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของเฟด รวมถึงความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงเดินหน้าขายหุ้นเทคฯ หุ้นสไตล์ Growth และหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม อาทิ ASML -2.9%, LVMH -3.8% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่ม Defensive อย่าง กลุ่ม Healthcare เช่น Roche +4.4%
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4.00% จากถ้อยแถลงของประธานเฟดสาขาริชมอนด์ ที่ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มกังวลว่า เฟดยังมีโอกาสเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ หากอัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจนตามที่เฟดต้องการ อย่างไรก็ดี รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน (ดัชนี ISM ภาคการผลิต ออกมาดีกว่าคาด แต่ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ หรือ Job Openings ออกมาแย่กว่าคาด)
รวมถึงภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 3.90% อนึ่ง แม้เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ได้เข้าสู่แนวโน้มขาลงแล้ว แต่ยังมีความผันผวนอยู่บ้าง
โดยเฉพาะในจังหวะที่ผู้เล่นในตลาดเริ่มไม่แน่ใจต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด อย่างที่เพิ่งเกิดขึ้นในคืนก่อนหน้า ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip และไม่ไล่ราคา โดยพยายามคำนึงถึง จุดคุ้มทุน หรือ Break-even เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนรวม หรือ Total Return ที่จะได้จากการถือครองบอนด์
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก จากความกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟดและความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) ในช่วงตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นเข้าสู่ระดับ 102.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.2-102.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ทยอยปรับตัวลดลง สู่ระดับ 2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (หลุดโซนแนวรับที่เราประเมินไว้) ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อทองคำในโซนดังกล่าว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้างในคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ที่อาจสะท้อนถึงแนวโน้มของยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ได้ รวมถึง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) โดยเฉพาะยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Jobless Claims)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทอ่อนค่ามาที่ระดับ 34.48-34.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.25 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.34 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ได้รับแรงหนุนกลับมา หลังรายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 12-13 ธ.ค. 2566 และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด สะท้อนว่า สัญญาณการปรับลดดอกเบี้ยไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็ว และอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ จะยังคงอยู่ในระดับสูงต่อไปอีกระยะหนึ่งเพื่อให้เฟดมั่นใจว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ จะชะลอตัวลงอย่างต่อเนื่องกลับมาสู่ระดับเป้าหมาย
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.35-34.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจต่างประเทศที่สำคัญ ได้แก่ ตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนของ ADP เดือนธ.ค. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ รวมถึงดัชนี PMI ภาคบริการเดือนธ.ค. ของจีน ยูโรโซน อังกฤษ และสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สวยฉ่ำไปเลย! “ชมพู่ พรพรรณ” สุดปังได้ขึ้นปกนิตยสารดังเกาหลีใต้
กลายเป็นหนึ่งในขวัญใจแฟนกีฬาวอลเลย์บอลเกาหลีใต้ไปเรียบร้อยแล้ว สำหรับ “ชมพู่” พรพรรณ เกิดปราชญ์ นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ของ ไอบีเค อัลโทส ทีมในศึกวอลเลย์บอลโคโว วี-ลีก
เมื่อล่าสุด มือเซตวัย 30 ปี เฉิดฉายสุดๆ ด้วยการขึ้นปกนิตยสารกีฬาลูกยางชื่อดังเกาหลีใต้อย่าง The Spike แบบเดี่ยวๆ ฉบับเดือนมกราคม ซึ่งก่อนหน้านี้ พรพรรณ เพิ่งได้รับเลือกให้เป็น 1 ใน 7 ผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำรอบ 3 (ระหว่างวันที่ 2 ธ.ค. – 25 ธ.ค. 66) ในตำแหน่งเซตเตอร์นั่นเอง
นอกจากจะมีกิจกรรมนอกสนามแล้ว พรพรรณ ก็ยังเอาใจแฟนคลับทั้งชาวไทยและชาวเกาหลี ด้วยการใส่ชุดฮันบก ชุดประจำชาติของเกาหลีใต้ ถ่ายรูปและคลิปขณะลุยหิมะเพื่อสวัสดีปีใหม่ 2024 ผ่านอินสตาแกรม guedpardhoy ด้วย
สำหรับโปรแกรมต่อไปของ ไอบีเค อัลโทส มีคิวดวลกับทีมดังอย่าง พิงค์ สไปเดอร์ส ของ คิม ยอน-คยอง มือตบซุปตาร์อันดับ 1 แห่งแดนกิมจิ ในวันที่ 4 ม.ค. 67 เวลา 17:00 น.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
10 ท่าบริหารกายสำหรับคนขับรถไกล คลายเมื่อย แก้ง่วง ลดเสี่ยงอุบัติเหตุ
คนขับรถทางไกล ใช้เวลานานจนเกิดอาการเมื่อยล้า แนะ 10 ท่า ยืดเหยียดผ่อนคลาย บริหารใบหน้าบรรเทาอาการง่วงนอน ลดเสี่ยงอุบัติเหตุ
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า ในช่วงเทศกาลปีใหม่ ประชาชนที่เดินทางกลับภูมิลำเนาหรือไปเที่ยวต่างจังหวัด โดยรถยนต์ส่วนตัว ก่อนขับรถทางไกล ควรพักผ่อนให้เพียงพอ อย่างน้อย 6 – 8 ชั่วโมง เตรียมผ้าเย็นเวลาง่วง สวมแว่นตากันแดดขณะขับรถ และสิ่งสำคัญควรตรวจสภาพ ของรถยนต์ให้พร้อมใช้งาน ปรับการนั่งขับรถให้ถูกต้อง โดยเลื่อนเบาะที่นั่งให้อยู่ในระดับเหมาะสมกับตนเอง หลังพิงพนักพอดี ไม่นั่งห่างหรือชิดพวงมาลัยมากเกินไปเพราะจะทำให้หลังโค้ง พิงพนักไม่ได้หรือพิงได้แต่เวลาขับต้องเหยียดแขนและเข่ามากขึ้นเป็นสาเหตุทำให้เกิดอาการปวดหลัง
ซึ่งหากปวดหลังเป็นเวลานานและ ไม่มีการดูแลอย่างถูกวิธี อาจทำให้เสี่ยงปวดหลังถาวรได้และควรคาดเข็มนัดนิรภัยทุกครั้งเพื่อความปลอดภัย ขณะขับรถทั้งผู้ขับขี่แลผู้โดยสาร
ทั้งนี้ ระหว่างการเดินทาง ผู้ขับรถยนต์สามารถลดอาการเมื่อยล้าได้แม้อยู่ในรถ ขณะที่รถหยุดนิ่ง หรือในช่วงรถติดได้ด้วยการบริหารร่างกายง่ายๆ เช่น
ท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อคอ ให้เอียงคอลงมาด้านข้าง เข้าหาหัวไหล่ให้ฝั่งตรงข้ามรู้สึกตึง ทำค้างไว้ประมาณ 15 วินาที จากนั้นสลับปฏิบัติด้านตรงข้าม ท่ายืดเหยียดกล้ามเนื้อคอด้านหลังให้ค่อยๆ ก้มศีรษะเข้าหาลำตัวจนรู้สึกตึงบริเวณลำคอด้านหลัง ลำตัวตรง ค้างไว้ประมาณ 15 วินาที
ท่ายืดไหล่ ทำได้โดยนั่งยืดตัว แล้วบีบไหล่ยกขึ้นไปหาใบหู ค้างไว้ นับ 1-2 แล้วเอาลง จากนั้นทำซ้ำ 5 ครั้ง ท่าบิดตัว ทำได้โดยนั่งยืดตัวตรงขึ้น มือจับที่ขอบเบาะแล้วบิดตัวไปข้างใดข้างหนึ่งค้างไว้ นับ 1-5 จากนั้นสลับ ปฏิบัติอีกข้างทำประมาณ 5 ครั้ง ก็จะช่วยให้รู้สึกกระชุ่มกระชวยขึ้น
10 ท่าบริหารกายสำหรับคนขับรถไกลแก้เมื่อย
นายแพทย์อุดม อัศวุตมางกุร ผู้อำนวยการกองกิจกรรมทางกายเพื่อสุขภาพ กล่าวเสริมว่า ผู้ขับรถทางไกล ควรจอดรถพักเป็นระยะๆ เพื่อผ่อนคลายอาการเมื่อยล้า ด้วยการยืดเหยียดกล้ามเนื้อให้กับตนเอง ด้วยวิธีการง่ายๆ โดยเริ่มจาก
ท่าที่ 1 ยืนตรง มือท้าวเอว ยื่นคางไปด้านหน้าจนใต้คางตึง ทำค้างไว้ 15 วินาที กลับสู่ท่าเริ่มต้นศีรษะตรง แล้วก้มศีรษะจนตึงบนบริเวณคอด้านหลังค้างไว้ 15 วินาที กลับสู่ท่าเดิม (ห้ามกลั้นหายใจขณะบริหารกาย)
ท่าที่ 2 ยืนตัวตรง วางมือซ้ายบนศีรษะ แล้วเอียงคอมาด้านขวา จนรู้สึกด้านซ้ายตึง ค้างไว้ 15 วินาที ทำซ้ำใหม่ด้านตรงข้ามเหมือนเดิม
ท่าที่ 3 ยืนตรงแยกเท้าเท่าหัวไหล่มือวางที่ขอบรถ และก้มตัวลงจนรู้สึกตึงที่ไหล่และหลังส่วนบน แขนตึงค้างไว้ 15 วินาที
ท่าที่ 4 ยืนตรง ยกแขนขวาพับลงๆไว้กลางหลัง มือซ้ายจับศอกขวาดึงมาทางด้านซ้ายจนตึงต้นแขนด้านหลัง ค้างไว้ 15 วินาที ทำซ้ำใหม่ด้านตรงข้ามเหมือนเดิม
ท่าที่ 5 ยืนตรง ยกแขนขวาไปด้านหน้าระดับไหล่ ปลายนิ้วตั้งขึ้น ใช้มือซ้ายวางที่ฝ่ามือขวา แล้วดันเข้าหาตัวจนรู้สึกตึงปลายแขนด้านใน ค้างไว้ 15 วินาที ทำซ้ำใหม่ด้านตรงข้ามเหมือนเดิม
ท่าที่ 6 ยีนตรงยกแขนขวาไปด้านหน้าระดับไหล่ คว่ำมือลง ใช้มือซ้ายวางที่หลังมือขวา แล้วดันเข้าหาตัวจนรู้สึกตึงปลายแขนด้านใน ค้างไว้ 15 วินาที ทำซ้ำใหม่ด้านตรงข้ามเหมือนเดิม
ท่าที่ 7 ยืนตรงประสานมือขึ้นเหนือศีรษะ แขนตรงแล้วเอียงตัวไปด้านซ้ายจนรู้สึกลำตัวด้านขวาตึงค้างไว้ 15 วินาที ทำซ้ำใหม่ด้านตรงข้ามเหมือนเดิม
ท่าที่ 8 ยืนตรงเท้าห่างกันเท่าหัวไหล่ ค่อยๆก้มตัวลง จนรู้สึกตึงที่หลัง หรือใช้มือแตะที่ปลายเท้าค้างไว้ 15 วินาที
ท่าที่ 9 ยืนตรง มือซ้ายจับขอบประตูรถยนต์พับขาขวาขึ้น มือขวาจับปลายเท้าขวาแล้วดึงขึ้นจนตึงต้นขาด้านหน้า ค้างไว้ 15 วินาที ทำซ้ำใหม่ด้านตรงข้ามเหมือนเดิม
ท่าที่ 10 ยืนตรง มือจับท้ายรถยนต์ ก้าวเท้าซ้ายไปด้านหน้า แล้วย่อเข่าซ้ายไปข้างหน้า จนน่องที่ขาขวาตึง ค้างไว้ 15 วินาที ทำซ้ำใหม่ด้านตรงข้ามเหมือนเดิม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รถมีเสียงดังขณะปลดเกียร์ P ทำตามนี้รับรองเสียงหายทันที
เชื่อว่าหลายคนเคยประสบปัญหารถมีเสียงดังและมีอาการกระตุก เมื่อปลดเกียร์ออกจากตำแหน่ง ‘P’ ซึ่งเรามีวิธีป้องกันง่ายๆ มาฝากชาว Sanook! Auto กันครับ
เสียงที่เกิดขึ้นเมื่อเปลี่ยนจากตำแหน่งเกียร์ P มาเป็นตำแหน่งเกียร์ R (เกียร์ถอยหลัง) เกิดขึ้นจากชุดเกียร์จะมีการเข้าสลักเพื่อป้องกันไม่ให้รถไหลระหว่างจอดรถทิ้งไว้ ซึ่งหากรถมีการขยับระหว่างที่อยู่ในตำแหน่งเกียร์ P ก็จะทำให้ชุดสลักเกียร์มีแรงกดมากขึ้น ดังนั้น เมื่อดึงคันเกียร์ออกจากตำแหน่ง P ไปยังตำแหน่ง R จึงเกิดเสียงดังขึ้น และอาจมีอาการกระตุกอย่างรุนแรงควบคู่กันไปด้วย ซึ่งกรณีแบบนี้พบได้บ่อยเมื่อจอดรถบนทางลาดชัน
วิธีการป้องกันสามารถทำได้ง่ายๆ ไม่ว่าจะจอดรถบนทางลาดชันหรือทางราบก็ตาม ดังนี้
1.จอดรถให้สนิท เหยียบเบรกค้างไว้ก่อน
2.ผลักคันเกียร์ไปตำแหน่ง N
3.ดึงเบรกมือขึ้นจนสุด แล้วค่อยๆ ปล่อยเบรก
4.จากนั้นจึงผลักคันเกียร์ไปตำแหน่ง P
เพียงเท่านี้ น้ำหนักของตัวรถก็จะไม่ไปสร้างแรงกดให้กับชุดเกียร์ เนื่องจากเบรกมือจะเป็นตัวรับภาระดังกล่าวแทน ดังนั้น เมื่อผลักคันเกียร์ออกจากตำแหน่ง P ตัวรถก็จะไม่มีเสียงหรืออาการกระตุกให้น่ารำคาญใจอีกต่อไปนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เรียนภาษาอังกฤษ กริยา 3 ช่อง พร้อมคําแปล
Verb คำกริยา
กริยา 3 ช่อง ภาษาอังกฤษ ท่องเพลิน จำง่าย ใช้บ่อยในชีวิตประจำวัน
Verb คืออะไร?
คำกริยา (verb) ใช้บ่งบอกเหตุการณ์หรือการกระทำ เกิดขึ้นในช่วงเวลาใด โดยมีการใช้แตกต่างตามช่วงเวลานั้นๆ ใน อดีต, ปัจจุบัน, อนาคต เพื่อให้ผู้รับสาร สามารถเข้าใจถึงช่วงเวลาที่เกิดเหตุการณ์ได้อย่างถูกต้อง โดยสรุป อย่างง่ายๆ ดังนี้
หลักการใช้ Verb กริยา 3 ช่อง
กริยาช่องที่ 1 (Base Form) ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ทั่วไปหรือเหตุการณ์ปัจจุบัน
กริยาช่องที่ 2 (Past Simple) ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีต
กริยาช่องที่ 3 (Past Participle) ใช้เล่าถึงเหตุการณ์ในอดีตที่สิ้นสุดลงแล้ว
คำศัพท์ กริยา 3 ช่อง
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
Top 5 ผัก ผลไม้น้ำสูงปรี๊ด ตัวช่วยเติมน้ำให้ร่างกาย แบบไม่พึ่งแค่การดื่มน้ำ
รู้หรือไม่ว่าการดื่มน้ำสะอาดเพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอต่อความต้องการของร่างกายการทานอาหารบางชนิด ก็ช่วยเติมน้ำให้ร่างกายได้เช่นกันโดยเฉพาะ 5 ผัก ผลไม้เหล่านี้น้ำสูงปรี๊ดดดดด ที่จะช่วยให้ร่างกายได้รับน้ำ ที่ไม่จำเป็นต้องพึ่งพาการดื่มน้ำเพียงอย่างเดียว
5 ผัก ผลไม้น้ำสูง ตัวช่วยเติมน้ำให้ร่างกาย
ผักกาดหอม แทบไม่อยากเชื่อส่วนใหญ่จะได้ทานในเมนูสลัด หรือเป็นผักตกแต่งในเมนูยำต่างๆ ผักกาดหอมเป็นผักที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบสูง ทั้งยังอุดมไปด้วยสารอาหารและไฟเบอร์ เหมาะสำหรับเติมเต็มความสดชื่นให้ร่างกาย ผักกาดหอมประมาณ 1 ถ้วยหรือประมาณ 72 กรัม มีน้ำมากกว่า 1/4 ถ้วย หรือประมาณ 59 มิลลิลิตร ช่วยให้รู้สึกอิ่มท้องโดยไม่ต้องรับแคลอรี่มาก เพราะผักกาดหอมมีแคลอรี่เพียง 10 แคลอรี่ต่อถ้วยเท่านั้น นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งไฟเบอร์ โฟเลทที่ดี วิตามินเค วิตามินเอ ช่วยบำรุงกระดูก และเสริมภูมิคุ้มกัน รวมทั้งยังมีวิตามินซี แมกนีเซียม แมงกานีส โพแทสเซียม และสารอาหารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย
แตงกวา ราชาผักน้ำ ช่วยเติมน้ำ คุมแคลอรี่ บำรุงร่างกาย สำหรับแตงกวานั้นเป็นอีกผักที่ควรค่าแก่การช่วยดับกระหาย แถมยังมีสารอาหารอย่างวิตามินเค โพแทสเซียม และแมกนีเซียมอีกด้วย สิ่งที่ทำให้แตงกวายอดเยี่ยมกว่าผักน้ำอื่นๆ คือแคลอรี่ต่ำเพียง 8 แคลอรี่ต่อครึ่งถ้วย เหมาะสำหรับคนควบคุมน้ำหนัก สามารถทานได้ในปริมาณมากโดยไม่ต้องกังวลเรื่องแคลอรี่เกิน
บวบ เป็นผักที่มีส่วนประกอบของน้ำเป็นจำนวนมากถึง 94 % ช่วยให้อิ่มท้อง แม้ทานในปริมาณมาก อีกทั้งแคลอรี่ต่ำเพียง 20 แคลอรี่ นอกจากนี้ยังเป็นผักที่มีวิตามินซีถึง 35 % ของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวัน เสริมภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรค โดยสามารถนำบวบไปผัด แกง เป็นเครื่องเคียงได้
คึ่นช่าย เป็นผักที่มีน้ำเป็นส่วนประกอบเกือบครึ่งถ้วย ช่วยดับกระหาย อิ่ม้อง แถมแคลอรี่ต่ำเพียง 16 กิโลแคลอรี่ต่อถ้วย เหมาะสำหรับคนควบคุมน้ำหนัก อีกทั้งยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ ช่วยระบบขับถ่ายดี รวมทั้งสารอาหารยังเพียบ มีวิตามินเค โพแทสเซียม ช่วยป้องกันโรคหัวใจ มะเร็ง และกระดูกพรุน
แตงโม ผลไม้เนื้อแดงสด ฉ่ำน้ำ หวานละมุน ยกให้เป็นราชาผลไม้แห่งฤดูร้อน ดับกระหาย คลายร้อนได้อย่างดีเยี่ยมมากกว่าความสดชื่น แตงโมยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ แตงโมประกอบไปด้วยน้ำกว่า 90 % ช่วยเติมน้ำให้ร่างกายชุ่มฉ่ำ สดชื่น โดยไม่ต้องพึ่งน้ำเปล่าเพียงอย่างเดียว แตงโมอุดมด้วยวิตามินซี วิตามินเอ มีไลโคปีนช่วยลดความเสียงโรคหัวใจ เบาหวาน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 04/01/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,300.00 | 33,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,157.00 | 32,700.12 | 33,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,941.30 | 29,430.11 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,725.60 | 26,160.10 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 971.00 | 14,720.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 755.00 | 11,445.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,235.00 | 33,882.60 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 04/01/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.25 | 35.25 | 35.55 | 35.25 | 35.25 | 35.25 | 35.25 | 35.25 | 35.25 | 35.25 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 33.48 | 33.48 | 33.78 | 33.48 | 33.48 | 33.48 | 33.48 | 33.48 | 33.48 | 33.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.14 | 33.14 | 33.44 | 33.14 | 33.14 | – | 33.14 | 33.14 | 33.14 | 33.14 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.29 | 33.29 | – | – | – | – | – | – | – | 33.29 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.64 | 47.24 | 48.24 | 47.24 | – | – | – | – | – | 42.64 |
เบนซิน 95 | 43.14 | – | – | – | 44.31 | – | 43.64 | 43.29 | – | 43.14 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 45.94 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |