‘เอสบี บิลท์อิน’สบช่องดีมานด์โซนอีอีซีฟื้น ผุดสแตนอโลนแห่งแรกชลบุรี
เอสบี เฟอร์นิเจอร์ ปักธง‘เอสบี บิลท์อิน’สแตนอโลนแห่งแรกชลบุรี หวังรงรับดีมานด์อสังหาฯโซนอีอีซีฟื้นหลังภาครัฐและเอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาเมกะโปรเจกต์-พัฒนาเมืองใหม่
นายพิเดช ชวาลดิฐ กรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท เอสบี เฟอร์นิเจอร์ เปิดเผยว่า ภาพรวมตลาดเฟอร์นิเจอร์ภาคตะวันออกในปัจจุบันยังมีโอกาสเติบโตเพราะการขยายตัวของตลาดที่อยู่อาศัยที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ความต้องการเรื่องงานตกแต่งหรือบริการที่ครอบคลุมย่อมเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะ 3 จังหวัดในเขต EEC ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา มีการเติบโตทั้งในเชิงการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ
ประกอบกับเป็นจังหวัดที่ได้รับความนิยมในเรื่องของการท่องเที่ยว ที่สำคัญเมกะโปรเจกต์ต่างๆของรัฐ ที่ทุ่มงบลงทุนไปจำนวนหลายแสนล้านบาท และแผนล่าสุดมีการยกระดับโครงข่ายคมนาคม ส่งผลให้พื้นที่ EEC จะกลายเป็นศูนย์กลางสำคัญทางเศรษฐกิจ และเทคโนโลยีทั้งของไทยและภูมิภาคอาเซียนในอนาคต
บริษัทจึงได้ต่อยอดในการสร้างโอกาสทางการตลาดด้วยการเปิดแบรนด์ ‘เอสบี บิลท์อิน’ ที่พัฒนาขึ้นเพื่อเติมเต็มความต้องการของลูกค้าที่ต้องการตกแต่งบ้านหรือคอนโดมิเนียม รวมทั้งกลุ่มที่กำลังปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน โดยคาดว่ากลุ่มเป้าหมายของ ‘เอสบี บิลท์อิน’ สาขาแรกใน จ.ชลบุรีจะเป็นคนในพื้นที่ 70% และชาวต่างชาติ 30%
เอสบี บิลท์อิน ชลบุรี เป็นการนำเสนอแนวทางการออกแบบโดยจำลองพื้นที่จริงภายในบ้าน โดยจัดเป็นโซน Bedroom และโซน Living room เพื่อให้ลูกค้าเห็นงานตกแต่งจริงเพื่อใช้เป็นไอเดียในการสร้างแรงบันดาลใจในการแต่งบ้าน โดยได้นำกลุ่มเฟอร์นิเจอร์แบรนด์ต่างๆ ในเครือเอสบี ฯ มาจัดวางอย่างผสมผสานในลักษณะ Mix & Match ทำให้ได้งานออกแบบที่หลากหลายตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า
อาทิ SB FURNITURE การสร้างสรรค์งานดีไซน์ที่สวยงามที่ผสานรวมเข้ากับฟังก์ชันที่ลงตัวของเฟอร์นิเจอร์ เพื่อสะท้อนความแตกต่างและสไตล์ของแต่ละบุคคลอย่างเหนือระดับ สามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความต้องการของผู้ใช้มีดีไซน์ที่เป็น Timeless จัดวางได้ลงตัวในทุกพื้นที่, WARDROBE DECOR ศูนย์รวมตู้เสื้อผ้ามีให้เลือกทั้งแบบลอยตัว และแบบบิลท์อิน ให้ลูกค้าได้เลือก Mix & Match วัสดุที่ใช่และฟังก์ชันที่ชอบด้วยตัวเอง, KONCEPT FURNITURE เฟอร์นิเจอร์สไตล์มินิมอล ในราคาที่จับต้องได้ เฟอร์นิเจอร์ที่ตอบโจทย์ ครบทุกฟังก์ชันการใช้งานที่สะท้อนความเป็นตัวตน รวมทุกความต้องการไว้อย่างลงตัว
การดีไซน์บ้านในแบบฉบับของคน Gen Z, Maison & Co. แบรนด์น้องใหม่ที่เข้ามาเติมเต็มความสดใส ร่าเริง ฉีกกฎเกณฑ์การแต่งบ้านแบบเดิมๆ ด้วยพลังความคิดสร้างสรรค์ และเฟอร์นิเจอร์สั่งทำ อาทิ เตียง ตู้เสื้อผ้า โซฟา ชั้นวางทีวี ที่สามารถออกแบบได้ทั้งดีไซน์ ขนาด สี วัสดุ และฟังก์ชันการใช้งาน
ทั้งนี้ แบรนด์ ‘เอสบี บิลท์อิน’ พัฒนาขึ้นเพื่อเจาะกลุ่มคนวัยทำงานหรือลูกค้าระดับกลาง ที่มีความต้องการงานบิลท์อินที่ได้มาตรฐาน ไว้ใจได้ ไม่ต้องกังวลเรื่องโดนผู้รับเหมาทิ้งงาน มีความรวดเร็วในการผลิตและติดตั้งทันใจใน 30วัน ในราคาที่เอื้อมถึงได้เริ่มต้นเพียง 8,000บาทต่อเมตร มีรับประกันนานสูงสุดถึง 20ปี อีกทั้งยังสะดวกด้วย 4 ขั้นตอนการทำงานง่ายๆ 1.ปรึกษา 2.Survey 3.Ok 4.ติดตั้ง พร้อมทีมออกแบบ Interior Designer ที่จะช่วยคัดสรรเฟอร์นิเจอร์และให้บริการด้านงานออกแบบตกแต่งภายในแบบครบวงจร
นอกจากนี้ยังเสริมทัพด้วยบริการงานช่างที่พร้อมให้บริการครบครันเรื่องบ้าน ทั้งงานติดตั้ง ต่อเติม และปรับปรุงบ้าน รวมถึงงานบริการต่างๆ อาทิ บริการแม่บ้าน ซ่อมเฟอร์นิเจอร์ ขนย้ายเฟอร์นิเจอร์ ติดตั้งแอร์ ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ ฯลฯ ทั้งหมดนี้ดูแลโดยทีมช่างมืออาชีพที่มีหนังสือรับรองความรู้เฉพาะทาง สามารถช่วยไขข้อข้องใจและแก้ไขปัญหาเรื่องบ้านเพื่อช่วยให้ลูกค้าประหยัดงบประมาณและเวลาให้ได้มากที่สุด มั่นใจได้เลยว่าช่างจะไม่ทิ้งงาน
“ในปีนี้ เราวางแผนเชิงรุกด้วยการเปิดสาขาใหม่และดำเนินการปรับปรุงสาขาเดิมที่มีอยู่ให้มีภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเข้าถึงได้ง่ายยิ่งขึ้น เพื่อสร้างประสบการณ์และแรงบันดาลใจใหม่ๆ ให้แก่กลุ่มคนรุ่นใหม่ และยกระดับความเป็น Home Design Solutions ” นายพิเดช กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
โอกาสอสังหาฯตอบโจทย์ชีวิตคนโสดปล่อยเช่า- คอนโดเลี้ยงสัตว์ได้มาแรง
- สภาพัฒนาการเศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ (สศช.) และ Euromonitor ระบุว่า ปี 2566 มีจำนวนครัวเรือนที่อยู่เพียงลำพัง หรือ คนโสด จากทั่วโลก 400 ล้านครัวเรือนมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น3.3% ต่อปี
- ประเทศไทยในปีปี 2565 มีจำนวนครัวเรือนที่อยู่เพียงลำพัง กว่า 7 ล้านครัวเรือน หรือคิดเป็นสัดส่วน 26% เพิ่มขึ้นกว่า 10%
- ไทยถือเป็น 1 ใน 10 ประเทศ ที่มีค่าใช้จ่ายเพื่อการอุปโภคบริโภคของครัวเรือนที่อยู่เพียงลำพัง สูงที่สุดในเอเชียแปซิฟิกคิดเป็นค่าใช้จ่ายเฉลี่ย 1.4 ล้านล้านบาท ต่อปี
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่นส์ จำกัด บริษัท ในเครือ แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ แนะนำ 5 ธุรกิจบริการ ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบ “คนโสด” ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง จากผลสำรวจของ แอล. ดับเบิลยู. เอส.ฯ เมื่อเดือน พ.ค. ปี 2566 จากจำนวนผู้อยู่อาศัยใน โครงการอาคารชุดในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล 729 ตัวอย่าง พบว่า มีสัดส่วนของคนที่อยู่เพียงลำพัง คิดเป็นสัดส่วน 45% สูงขึ้นจากปี 2563 ถึง 10% และ มีสถานภาพโสดมากกว่า 75% เพิ่มขึ้นจากปี 2563 ประมาณ 5% โดยมีรายได้ต่อเดือนอยู่ในช่วง 20,000-40,000 บาท
จากแนวโน้มประชากร ไทยที่อยู่เพียงลำพัง หรือ คนโสด ที่เพิ่มขึ้น ทำให้การพัฒนาสินค้าและบริการ ที่ตอบโจทย์ กับความต้องการของประชากรในกลุ่มนี้ จึงเป็นโอกาส ของผู้ประกอบการ จากผลการสำรวจ ของ “แอล. ดับเบิลยู. เอส.ฯ” พบว่า 5 ธุรกิจบริการ ที่น่าสนใจ และ มีแนวโน้มของความต้องการที่เพิ่มขึ้น ของ “คนโสด” เป็นโอกาสสำหรับผู้ประกอบการ ที่จะพัฒนา และ สร้างธุรกิจในกลุ่ม เพื่อรองรับ กับ ความต้องการ ของตลาด ได้แก่
1. ธุรกิจการเช่าที่อยู่อาศัย
ปัจจุบันราคาที่อยู่อาศัย ที่ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตามต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทั้งต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้าง และภาระดอกเบี้ย ทำให้ ราคาที่อยู่อาศัย ปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่า ความสามารถในการซื้อที่อยู่อาศัย ของผู้ซื้อ ผนวกกับ ความต้องการของ คนรุ่นใหม่ และ คนโสด ที่มีพฤติกรรมการทำงานอาชีพ อิสระ มากขึ้น พร้อมที่จะย้ายที่อยู่อาศัย ให้ใกล้กับที่ทำงาน และ ให้ความสำคัญกับการเดินทางและท่องเที่ยวมากขึ้น ทำให้ ประชากรในกลุ่มนี้ ตัดสินใจที่จะ “เช่า” ที่อยู่อาศัย มากกว่า “ซื้อ”
จากการสำรวจพฤติกรรมการอยู่อาศัยในอาคารชุดพักอาศัย ของ แอล. ดับเบิลยู. เอส.ฯ ในปี 2566 พบว่า กลุ่มคนเช่าที่อยู่ตัวคนเดียวกว่า 30% มีความศักยภาพที่พร้อมจ่ายค่าเช่าตั้งแต่ 6,000-10,000 บาท/เดือน
โดยรูปแบบการพัฒนาอสังหาฯอย่าง อาคารชุดที่พร้อมปล่อยเช่า จำเป็นต้องมีความปลอดภัย, ความสะดวกสบาย, Facility ที่ครบครันสามารถใช้บริการได้ 24 ชั่วโมง รวมไปถึงบริการเสริมที่สามารถเรียกใช้บริการผ่าน Application เช่น
• บริการรถรับ-ส่งไปยังสถานีรถไฟฟ้าหรือจุดขึ้นรถสาธารณะ
• บริการทำความสะอาดแบบ Package
• บริการซ่อมแซม/ตกแต่ง/ต่อเติมในห้องชุด
• บริการขนย้ายสิ่งของ
2. อาคารชุดที่เลี้ยงสัตว์ได้
จากการสำรวจความสนใจซื้ออาคารชุดที่เลี้ยงสัตว์ได้ ของ แอล. ดับเบิลยู. เอส.ฯ ในปี 2566 พบว่า 3 ใน 4 ของคนที่สนใจซื้อ อาคารชุดเพื่อพักอาศัย เลือกพิจารณา โครงการที่สามารถเลี้ยงสัตว์ได้เป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณา โดยส่วนใหญ่มองว่า ในอนาคต ถ้าต้องการเลี้ยงสัตว์ จะได้ไม่เป็นปัญหาต่อการอยู่อาศัยหรือต้องย้ายที่พักอาศัย
ผลการสำรวจดังกล่าว สอดคล้องกับผลวิจัยของมหาลัยมหิดล (CMMU) และ The 1 Insight ที่ระบุว่า ปัจจุบัน คนไทย สัดส่วนมากกว่า 65% เลี้ยงสัตว์เหมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัว หรือที่เรียกว่า “Pet Parent” ในขณะที่ 33% เลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนคลายเหงา และ 2% เลี้ยงสัตว์เพื่อการบำบัดเยียวยาจิตใจ มีความสามารถรองรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงได้ 15,000 บาท/ปี ซึ่งการเลี้ยงสัตว์ในที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะตั้งแต่หลังการแพร่ระบาดของ โคโรน่าไวรัสสายพันธ์ใหม่ 2019 (Covid-19) เป็นต้นมา
การพัฒนาโครงการอาคารชุด ที่สามารถเลี้ยงสัตว์เลี้ยงได้ จำเป็นต้องมีบริการอำนวยความสะดวก ดังต่อไปนี้
• บริการฝากดูแล / พาสัตว์เลี้ยงเดินเล่น
• บริการทำความสะอาดห้องชุดที่มีสัตว์เลี้ยง
• บริการออกแบบและติดตั้งอุปกรณ์สำหรับสัตว์เลี้ยงในห้องชุด
• ร้านขายอาหารสัตว์และอุปกรณ์สัตว์เลี้ยง
• บริการสปา / อาบน้ำ / แต่งขนสัตว์เลี้ยง
3. ร้านอาหารสำหรับทานคนเดียว
ตั้งแต่ปี 2565 หลังสถานการณ์ Covid-19 เริ่มคลี่คลาย สิ่งที่เปลี่ยนไปและสังเกตได้ชัดเจนคือ การมีร้านอาหารทางเลือกสำหรับการรับประทานอาหารคนเดียวชัดเจนมากขึ้น เช่น ร้านอาหารที่ปรับรูปแบบให้เหมาะกับการนั่งคนเดียวโดยมีตุ๊กตาหมีนั่งเป็นเพื่อน, ร้านราเมงจำลองสถานที่สอบเพื่อการรับประทานอาหารคนเดียว หรือร้านปิ้งย่างที่ลดขนาดโต๊ะให้เหมาะกับการรับประทานคนเดียว
จากการผลสำรวจเป็นที่ยืนยันได้ว่า กลุ่มคนที่อาศัยอยู่คนเดียวกว่า 50% ชื่นชอบการทำกิจกรรมนอกบ้าน ไม่ว่าจะเป็นการรับประทานอาหาร หรือกิจกรรมอื่นๆคนเดียว ถ้าจะกล่าวว่าธุรกิจร้านอาหารสำหรับรับประทานคนเดียวเติบโตอย่างต่อเนื่อง คงไม่แปลกเพราะกำลังเป็นเทรนด์ที่ได้ผลตอบรับตามกระแสนิยมในปัจจุบัน
4. การท่องเที่ยวคนเดียว
ปัจจุบันแนวโน้ม การเดินทาง ท่องเที่ยวคนเดียว เพิ่มสูงขึ้นทั่วโลกอย่างมีนัยยะสำคัญ จากผลสำรวจของสำนักวิจัยการตลาด จากประเทศเยอรมัน Statista ระบุว่า ในปี 2566 60% ของนักท่องเที่ยวมีแผนออกเดินทางท่องเที่ยวคนเดียวในช่วง 12 เดือนข้างหน้า โดยเฉพาะในกลุ่มคนโสด ชื่นชอบการเดินทางคนเดียว ท่องเที่ยวมากกว่า 5 ครั้ง/ปี ที่สำคัญตัดสินใจเร็ว กล้าจ่ายแม้ไม่ใช่ช่วงโปรโมชั่น และในปัจจุบัน Application เป็นสิ่งที่สนับสนุนการเที่ยวคนเดียวออกมาให้ใช้งานกันอย่างแพร่หลาย เช่น Flush ไว้หาห้องน้ำ, Agoda ไว้จองห้องพัก ฯลฯ
5. บริการเพื่อนรับจ้าง
ปัจจุบันธุรกิจเช่าเพื่อนเริ่มเป็นที่นิยมอย่างมากของกลุ่มคนรุ่นใหม่ทั้งในรูปแบบออนไลน์ และออนไซต์ โดยเฉพาะในประเทศจีน และญี่ปุ่น จากข้อมูลสำนักงานข่าวนิกเคอิ เอเชีย และ กรุงศรี กูรู รายงานว่า ธุรกิจที่สร้างรายได้จากการให้เช่าเวลาของตัวเอง เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้า จากสถิติที่เก็บโดยเจ้าของธุรกิจ พบว่ากลุ่มลูกค้าที่ใช้บริการเช่าส่วนใหญ่เป็นผู้หญิง 70% เช่าเพื่อปรึกษาหรือหาคนรับฟังสิ่งที่เค้าพูด และอีก 30% เช่าเพื่อขอให้ช่วยงานบางอย่างหรือไปเที่ยว, กินข้าว ไปจนถึงพาไปโรงพยาบาลหรือฝากดูแลผู้สูงอายุ โดยมีอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 250-600 บาท/ชั่วโมง
เช่นเดียวกันกับในประเทศไทย มีบริการมาเติมเต็มในกลุ่มผู้สูงอายุอย่าง “บริการลูกรับจ้างหลานจำเป็น”ของบริษัท Joyride ที่คอยดูแล, รับ-ส่งถึงที่หมาย มีค่าบริการเริ่มต้น 500 บาท/ชั่วโมง และหากมองหาบริการที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตแบบคนโสด
โดยใช้รูปแบบบริการที่มีให้บริการในต่างประเทศมาปรับใช้ได้ไม่ยาก แน่นอนธุรกิจดังกล่าวเป็นบริการทางเลือกที่น่าสนใจ และคาดว่าจะมีมูลค่าตลาดที่สูง เมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนกลุ่มลูกค้าที่สามารถเข้าถึงบริการ
“จากแนวโน้มดังกล่าว การพัฒนาธุรกิจบริการที่ตอบโจทย์ การใช้ชีวิตเพียงลำพัง จึงเป็นโอกาส สำหรับผู้ประกอบการ ในทุกภาคธุรกิจ ที่จะพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์และบริการ ที่ตอบโจทย์กับ ลูกค้าในกลุ่มนี้ ที่มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น รวมทั้ง ผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ต้องพัฒนาทั้งผลิตภัณฑ์ และบริการ ที่สนองความต้องการของ ผู้ซื้อ และ ผู้เช่า ที่อยู่อาศัยในปัจจุบัน” นายประพันธ์ศักดิ์ กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5 มิ.ย. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 36.62 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideways เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยน ขณะแรงขายหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติยังคงมีอยู่
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 5มิ.ย. 2567 ที่ระดับ 36.62 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง เล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.59 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways ในกรอบ 36.50-36.70 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงก่อนตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ในคืนนี้
อย่างไรก็ดี ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าก็ยังคงมีอยู่ อาทิ โฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ในจังหวะย่อตัว โดยเฉพาะ น้ำมันดิบ หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงต่อเนื่องในช่วงนี้ เช่นเดียวกันกับโฟลว์ธุรกรรมทองคำ ที่ผู้เล่นในตลาดยังคงรอจังหวะทยอยเข้าซื้อในช่วงราคาทองคำย่อตัวลง
นอกจากนี้ แรงขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติก็ยังคงมีอยู่ จนกว่าบรรยากาศในตลาดการเงินจะกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นชัดเจน ขณะเดียวกัน หากเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น ก็อาจยังติดอยู่ในโซนแนวรับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจรอทยอยเข้าซื้อเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าวเช่นกัน
ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP และรายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ที่อาจทำให้ค่าเงินบาทผันผวนแข็งค่าขึ้น หรือ อ่อนค่าลงได้ราว 0.2% โดยเฉลี่ยจากข้อมูลสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.50-36.80 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา ค่าเงินบาทผันผวนในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.53-36.67 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้ว่า เงินดอลลาร์จะอ่อนค่าลง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ตามรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่ลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 8.059 ล้านตำแหน่ง แย่กว่าที่ตลาดคาด
ทว่า เงินบาทกลับไม่ได้แข็งค่าขึ้นมากนัก ท่ามกลางโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำมีจังหวะปรับตัวลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่ช่วงบ่ายของวันก่อนหน้า นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยเข้าซื้อเงินบาทในจังหวะแข็งค่า ทำให้โดยรวมเงินบาทยังคงไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหลุดแนวรับหลัก 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม เพื่อรอลุ้นยอดการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ก่อน แม้ว่า ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ล่าสุด จะออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพการชะลอลงของตลาดแรงงานและช่วยคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดลงบ้าง นอกจากนี้ บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน อย่าง Exxon Mobil -1.6% ก็ปรับตัวลงแรง ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบที่ลดลงต่อเนื่องในช่วงนี้ ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.15%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลงราว -0.54% ตามแรงขายทำกำไรในช่วงก่อนตลาดรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสฯ นี้ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวลงของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน
นำโดย BP -3.8%, TotalEnergies -2.4% ตามการปรับตัวลดลงต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ ท่ามกลางความกังวลว่า อุปทานน้ำมันในตลาดโลกอาจเพิ่มสูงขึ้น จากการทยอยยุติการปรับลดกำลังการผลิตโดยสมัครใจ
ในส่วนตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด จากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในช่วงนี้ที่พลิกกลับมาแย่กว่าคาด ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยย่อตัวลงสู่ระดับ 4.34%
อย่างไรก็ดี เราขอย้ำมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ (รอลุ้น ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ และยอดการจ้างงาน ในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้) ออกมาดีกว่าคาด แต่ทุกจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะเป็นโอกาสในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวที่น่าสนใจ
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลง หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ตามรายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับ (Job Openings) ที่ออกมาแย่กว่าคาด อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังมีจังหวะแข็งค่าทดสอบระดับ 154.6 เยนต่อดอลลาร์ ก่อนที่จะทยอยอ่อนค่าลงสู่ระดับ 155.40 เยนต่อดอลลาร์ หลังผู้เล่นในตลาดยังไม่มั่นใจว่า เงินเยนจะแข็งค่าต่อเนื่องได้ชัดเจน จนกว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะทยอยขึ้นดอกเบี้ยได้จริง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงบ้าง สู่ระดับ 104.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104-104.3 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซน 2,320-2,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ โดยราคาทองคำยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการปรับตัวลดลงของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังตลาดรับรู้รายงานยอดตำแหน่งงานเปิดรับของสหรัฐฯ ล่าสุด
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้ง ยอดการจ้างงานภาคเอกชน ที่สำรวจโดย ADP ซึ่งอาจช่วยสะท้อนถึง ยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในวันศุกร์นี้ได้ รวมถึง รายงานดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ เดือนพฤษภาคม ซึ่งหากออกมาแย่กว่าคาด เหมือนกับ ดัชนี ISM PMI ภาคการผลิตก่อนหน้า ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยิ่งคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด และมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้
และในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานดัชนี Caixin PMI ภาคการบริการของจีน ในเดือนพฤษภาคม เช่นกัน ซึ่งจะช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนได้
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า
เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.56-36.58 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.40 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.59 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย ขณะที่ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาอ่อนแอกว่าที่ตลาดคาด ยังจำกัดกรอบการฟื้นตัวของเงินดอลลาร์ฯ และกดดันบอนด์ยีลด์ให้ปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยตัวเลขการเปิดรับสมัครงานปรับตัวลงติดต่อกันเป็นเดือนที่ 2 มาที่ระดับ 8.06 ล้านตำแหน่งในเดือนเม.ย. (ต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี ต่ำกว่าที่ตลาดคาดที่ 8.35 ล้านตำแหน่ง และต่ำกว่า 8.36 ล้านตำแหน่งในเดือนมี.ค.)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.50-36.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนพ.ค. ของญี่ปุ่น จีน ยูโรโซน และอังกฤษ ดัชนี PMI และ ISM ภาคบริการ และตัวเลขจ้างงานภาคเอกชนเดือนพ.ค.จาก ADP ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“วิว กุลุวฒิ” พร้อมคู่”บาส-ปอป้อ” ฉลุยรอบสองแบดมินตันอินโดนีเซีย โอเพ่น
“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ชายเดี่ยวมือ 8 ของโลก ปิดจ๊อบอย่างรวดเร็วไล่ต้อน แชมป์โลกปี 2021 โลว เคียวยิว มือ 12 ของโลกจากสิงคโปร์ ไป 2 เกมรวด ด้านคู่ผสมอย่าง “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย มือ 6 ของโลก ก็ออกแรงเหนื่อยถึง 3 เกม ก่อนสยบรุ่นน้องอย่าง “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มือ 21 ของโลก ไปอย่างสนุก 2-1 เกม ผ่านเข้ารอบสองไปแบดมินตันอินโดนีเซีย โอเพ่น 2024 ไปได้สำเร็จ
การแข่งขันแบดมินตันรายการ อินโดนีเซีย โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 1000 ชิงเงินรางวัลรวม 1,350,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 49,950,000 บาท เมื่อวันอังคารที่ 4 มิ.ย.67 ที่อิสโตร่า เสนายัน ในกรุงจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย เป็นการแข่งขันในรอบแรก
ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 8 ของรายการ มืออันดับ 8 ของโลก พบกับ โลว เคียงยิว มืออันดับ 12 ของโลกจากสิงคโปร์
เกมนี้ วิว กุลวุฒิ โชว์ฟอร์มอย่างง่ายดาย เอาชนะไปได้ 2 เกมรวด 21-13 และ 21-10 วิว กุลวุฒิ ผ่านเข้ารอบสองไปรอพบผู้ชนะระหว่าง นักแบดมินตันจากอินเดียอย่าง เอช.เอส ปรานอย มืออันดับ 10 ของโลกจาก หรือ ปรียานชู ราชาวัต มืออันดับ 34 ของโลก
“กัน” กันตภณ หวังเจริญ มืออันดับ 51 ของโลก ไล่ตบเอาชนะ ชิโก้ ดาวี่ วาโดโย่ มืออันดับ 29 ของโลกจากอินโดนีเซีย ไปอย่างง่ายดาย 2-0 เกม 21-16,21-9 “กัน” กันตภณ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ แอนเดิร์ส แอนทอนเซ่น มือวางอันดับ 4 ของรายการ มืออันดับ 5 ของโลกจากเดนมาร์ก
ประเภทคู่ผสม รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มือวางอันดับ 6 ของรายการ คู่มืออันดับ 6 ของโลก พบกับ รุ่นน้องอย่าง “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 21 ของโลก
เกมนี้คู่บาส กับ ปอป้อ อาศัยเกมที่เหนียวแน่น ก่อนเฉือนชนะ ไปแบบสนุก 2-1 เกม 21-15, 18-21, 23-21 “บาส” เดชาพล กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ อัดนัน มัลลาน่ากับ นิต้า วิโอลิน่า มาร์วาห์ มืออันดับ 46 ของโลกจากอินโดนีเซีย
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “แครอท” พรพิชชา เชยกีวงศ์ มืออันดับ 40 ของโลก พบกับ มิเชล ลี มืออันดับ 36 ของโลกจากแคนาดา เกมนี้ แครอท พรพิชชา ทำผลงานได้ร้อนแรง เบียดเอาชนะจอมเก๋าอย่าง ไป 2-1 เกม 19-21,21-9 และ 23-21 “แครอท” พรพิชชา ผ่านเข้ารอบสองไปรอพบผู้ชนะระหว่าง อัน เซยอง มืออันดับ 1 ของโลกจากเกาหลีใต้ หรือ โทโมกะ มิยาซากิ มืออันดับ 24 ของโลกจากญี่ปุ่น
ด้าน “เม” ศุภนิดา เกตุทอง มืออันดับ 13 ของโลก ทำศึกสายเลือดกับ “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มืออันดับ 20 ของโลก เกมนี้ เม ศุภนิดา ซึ่งเกมนี้ทำได้ดีกว่า เบียดเอาชนะไปได้ 2-0 เกม 21-17 และ 21-18 ศุภนิดา ผ่านเข้ารอบ 2 ไปพบ เกรกอเรีย มาริสก้า ตุนจุง มืออันดับ 9 ของโลก จากอินโดนีเซีย
ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธรากุล กับ “วิว” รวินดา ประจงใจ คู่มืออันดับ 10 ของโลก แพ้ให้กับ อภิรานี่ ราฮายู กับ ซิตี้ ฟาเดีย รามัดฮานติ คู่มือวางอันดับ 8 ของรายการ คู่มืออันดับ 9 ของโลกจากอินโดนีเซีย ไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 17-21,21-16,14-21 , “มุก” อรณิชา จงสถาพรพันธุ์ กับ “แอนฟิลด์” สุกฤตา สุวะไชย คู่มืออันดับ 219 ของโลก แพ้ให้กับ หลัว ซูมิง กับ ลี ยี่จิง คู่มืออันดับ 22 ของโลกจากจีน 0-2 เกม 8-21 และ 7-21
ขอบคุณข้อมุลจาก siamsport.co.th
นอนกี่ชั่วโมง ถึงจะ “พอดี” กับ “อายุ”
เป็นเหมือนกันไหมคะ ยิ่งอายุมาก ก็ยิ่งนอนน้อย แต่วันไหนที่นอนมาก ก็อาจจะไม่ได้รู้สึกสดชื่นแจ่มใสร้อยเปอร์เซ็นต์เสมอไป เป็นเพราะเมื่อเราโตขึ้น ระยะเวลาในการนอนหลับของเราก็เปลี่ยนไปตามอายุของเราด้วย อายุเท่าไร ควรนอนกี่ชั่วโมงถึงจะเรียกได้ว่านอนอย่างเพียงพอ มาดูกัน
มูลนิธิการนอนหลับแห่งชาติ ในสหรัฐอเมริกา ระบุระยะเวลาในการนอนหลับที่เหมาะสม โดยแบ่งตามอายุ ดังนี้
- เด็กแรกเกิด (อายุ 0-3 เดือน) ควรนอน 14-17 ชั่วโมงต่อวัน
- เด็กทารก (อายุ 4-11เดือน) ควรนอน 12-15 ชั่วโมง
- เด็ก (อายุ 1-2 ปปี) ควรนอน 11-14 ชั่วโมง
- วัยอนุบาล (3-5 ปี) ควรนอน 10-13 ชั่วโมง
- วัยประถม (6-13 ปี) ควรนอน 9-11 ชั่วโมง
- วัยมัธยม (14-17 ปี) ควรนอน 8-10 ชั่วโมง
- วัยรุ่น (18-25 ปี): ควรนอน 7-9 ชั่วโมง
- วัยทำงาน (26-64 ปี): ควรนอน 7-9 ชั่วโมง เท่ากับตอนวัยรุ่น
- วัยชรา (65 ปีขึ้นไป) ควรนอน 7-8 ชั่วโมง
ทั้งนี้ทั้งนั้น นี่คือระยะเวลาที่แนะนำว่าดีต่อร่างกายมากที่สุด สามารถ บวกลบ 1 ชั่วโมงได้บ้างในบางกรณีค่ะ เช่น วัยรุ่น วัยทำงาน สามารถนอนได้ 6 หรือ 10 ชั่วโมง โดยที่ไม่ได้แปลว่านอนน้อย หรือมากจนเกินไป
จะเห็นได้ว่า ที่เราอาจจะเคยเรียนกันมาแต่ก่อนว่า นอน 6-8 ชั่วโมงจะเพียงพอ จริงๆ แล้วใครที่นอนต่ำกว่า 6 ชั่วโมงอยู่บ่อยๆ อาจจะกลายเป็นว่ากำลังจะนอนไม่เพียงพอ ยิ่งนอนไม่เพียงพอติดต่อกันนานๆ อาจส่งผลถึงสุขภาพในระยะยาวได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ไคโตซาน ความปังที่มาจากเปลือกสัตว์อาหารทะเล
คนจำนวนมากอาจไม่รู้ว่า ไคโตซาน ซึ่งเป็นส่วนผสมของอาหารเสริมหลายชนิด เป็นผลผลิตมาจากเปลือกของสัตว์อาหารทะเลของมนุษย์ ทั้งเปลือกกุ้ง กระดองปู ที่เหลือทิ้งในครัวเรือนหรือเป็นของเหลือจากกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมอาหารทะเลแปรรูป
ของเหลือเหล่านี้เมื่อนำมาสกัดเอาไคโตซานสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้อีกหลายร้อยเท่า จึงควรที่จะส่งเสริมผลิตภัณฑ์ที่มาจากชีวมวลแบบนี้ให้มากขึ้น ไปถึงขั้นพยายามให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตของโลก เพราะประเทศไทยขึ้นชื่อเรื่องส่งออกอาหารทะเลอยู่แล้ว ดีกว่าไปฝันลมๆ แล้งๆ กับการจะเป็นฮับโน่นนี่ที่ยากจะเป็นจริง
ในอุตสาหกรรมอาหารทะเล มีสัตว์ทะเลหลายชนิดที่มีเปลือกและคราบที่ต้องกำจัดออกก่อนการแปรรูป หนึ่งในนั้นคือ กุ้งขาวแวนนาไมและกุ้งกุลาดำ ซึ่งสร้างรายได้เข้าประเทศสูงมาก โดยในปี 2566 ประเทศไทยมีการส่งออกกุ้งปริมาณ 27,938.52 ตันคิดเป็นมูลค่าถึง 11,592.18 ล้านบาท จำนวนนี้อยู่ในรูปกุ้งปรุงแต่งมากที่สุด มีมูลค่าประมาณ 5,253.14 ล้านบาท
ในกระบวนการแปรรูปกุ้งนั้น จะต้องมีการแยกเนื้อกุ้งและเปลือกกุ้งออกจากกัน การศึกษาพบว่าปริมาณเปลือกกุ้งและหัวกุ้งเป็นถึง 45-48 เปอร์เซ็นต์ของน้ำหนักกุ้ง ซึ่งเป็นของเหลือที่มีมูลค่าสามารถนำไปใช้เป็นวัตถุดิบสำหรับการแปรรูปเป็นไคโตซานได้
ในปี 2024 คาดว่าตลาดไคโตซานจะมีมูลค่าตลาดถึง 2.06 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ และจะเพิ่มขึ้นถึง 3.74 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2029
ไคโตซาน (Chitosan) เป็นวัสดุชีวภาพหรือไบโอพอลิเมอร์ (Biopolymer) ชนิดพอลิแซคคาไรด์ (Polysaccharides) เป็นสารที่มีคุณค่าทั้งทางโภชนาการและทางการแพทย์ เนื่องจากคุณสมบัติทางเคมีและชีวภาพของไคโตซานที่ดีมีอย่างหลากหลายจากโครงสร้างทางเคมี ทำให้ไคโตซานมีประจุบวกที่สูง จึงมีคุณสมบัติที่น่าสนใจ
เช่น ความสามารถในการฆ่าเชื้อแบคทีเรียก่อโรค ความสามารถในการจับกับอนุภาคไขมัน ความสามารถในการจับธาตุโลหะหนักได้ เป็นต้น ทั้งไคโตซานยังเป็นสารที่ได้รับการรับรองว่าปลอดภัยโดยองค์การอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาในการใช้เป็นอาหารสำหรับคนและสัตว์
เมื่อกระแสการดูแลสุขภาพและบริโภคอาหารที่มีประโยชน์มาแรง ไคโตซานจึงถูกใช้เป็นส่วนผสมในอาหารเสริมเพื่อดักจับไขมันในทางเดินอาหารเพื่อการลดน้ำหนัก และยังถูกใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับสัตว์และพืชได้อีกเช่นกัน
ผลิตภัณฑ์ไคโตซานในรูปของเหลว ใช้รดต้นไม้เพื่อช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงและป้องกันโรคพืช สำหรับปศุสัตว์ ใช้ผสมในอาหารวัวเพื่อช่วยเพิ่มอัตราการแลกเนื้อและป้องกันโรคในวัว และสำหรับสัตว์น้ำไคโตซานใช้ผสมในอาหารเม็ดสำหรับปลาและกุ้ง เพื่อช่วยป้องกันโรคจากแบคทีเรียและกระตุ้นภูมิคุ้มกันได้
คุณสมบัติอีกอย่างที่น่าสนใจ และถูกนำมาใช้ในการศึกษาวิจัยอย่างกว้างขวางในปัจจุบันคือ การใช้ไคโตซานเป็นสารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย เนื่องจากไคโตซานสามารถเข้าไปรบกวนกระบวนการทางชีวเคมีของแบคทีเรีย ทำให้แบคทีเรียก่อโรคตายได้
นอกจากคุณสมบัติที่น่าสนใจและการใช้งานแล้ว ไคโตซานยังสามารถใช้ต่อยอดเป็นผลิตภัณฑ์ทางการแพทย์ได้อีกด้วย โดยเฉพาะการใช้ไคโตซานในรูปอนุภาคนาโน (Nanoparticles) ซึ่งนับเป็นผลิตภัณฑ์ไคโตซานที่มีมูลค่าทางเศรษฐกิจสูงมาก ในตลาดโลก
ปัจจุบันวัสดุนาโน (Nanomaterials) เป็นวัสดุที่มีมูลค่าสูงและมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายงานว่าขนาดของตลาดนาโนเทคโนโลยี (Nanotechnology) จะมีมูลค่า 91.18 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2024 และ 332.73 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในปี 2032 เพราะแรงหนุนจากปัจจัยโรคระบาดและการใช้ประโยชน์จากวัสดุนาโนอย่างกว้างขวาง
อนุภาคนาโน คือ วัสดุนาโนที่มีขนาดเล็กกว่า 100 นาโนเมตรตามมาตรฐาน ISO ISO/TR 18401:2017 ซึ่งด้วยขนาดที่เล็กจิ๋วระดับนาโนเมตรนั้น จะทำให้อนุภาคนาโนสามารถแพร่เข้าสู่ร่างกายมนุษย์และสัตว์ได้อย่างรวดเร็ว ฉะนั้น อนุภาคนาโนไคโตซานจึงถูกใช้ประโยชน์เป็นตัวนำส่งยาและสารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ
หลังจากเกิดโรคระบาด Covid-19 การศึกษาเทคโนโลยีการนำส่งสารพันธุกรรมหรือยีน (Gene delivery) มีการศึกษาค้นคว้าเพื่อหาวัสดุหรือตัวนำส่งที่ให้ประสิทธิภาพสูงในการกักเก็บและนำส่งยา สารออกฤทธิ์ทางชีวภาพ และสารพันธุกรรมอย่างกว้างขวาง เพื่อพัฒนาเป็นวัคซีนและยาสำหรับคนและสัตว์
ตัวอย่างเช่น การใช้ไคโตซานในสงครามยูเครนและรัสเซีย มีรายงานการใช้ผ้าพันแผลที่ผ่านการเคลือบด้วยไคโตซานสำหรับช่วยระงับเลือดให้กับทหาร
ปัจจุบันมีการศึกษาในระดับคลินิก โดยใช้ไคโตซานรักษาโรคอ้วนและการใช้เป็นตัวนำส่งสารพันธุกรรมเพื่อรักษาโรคในคนและสัตว์อีกด้วย อย่างไรก็ตามแม้ไคโตซานจะได้รับการยอมรับว่าเป็นสารที่ปลอดภัยในทางอาหาร แต่การใช้เป็นวัสดุทางการแพทย์นั้น ยังคงต้องเฝ้าติดตามต่อไปว่า จะได้รับการอนุมัติให้ใช้จริงได้เมื่อไร
ไคโตซาน แม้จะมีที่มาจากเปลือกหรือของเหลือในกระบวนการผลิตอาหาร แต่มีคุณสมบัติที่น่าสนใจและก่อให้เกิดประโยชน์กับมนุษยชาติอย่างมหาศาล สมควรจะได้รับการส่งเสริมจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะสนับสนุนให้เกิดการศึกษาในระดับนาโน ซึ่งจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มตามมาได้อีกมากมาย.
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
มือใหม่ต้องรู้! โครงสร้าง Essay พื้นฐานเรียนรู้ โครงสร้าง Essay พื้นฐาน การเขียนเรียงความ ประกอบด้วยอะไรบ้าง?
โครงสร้าง Essay พื้นฐาน (How to structure an essay)
โครงสร้างเรียงความ ภาษาอังกฤษ Essay ประกอบไปด้วยส่วนสำคัญทั้ง 4 ส่วน ต่อไปนี้
1.) Introduction (คำนำ) ประกอบด้วย
• General Information or Fact
พูดถึงข้อมูลทั่วไป หรือ ข้อเท็จจริงของปัญหาที่เราจะเขียน
• Thesis Statement
ใจความสำคัญของเรื่องราว ที่เราจะเขียนว่า ปัญหาคืออะไร? และวิธีแก้คืออะไร? อาจใช้เป็น Keyword หรือประโยคสั้น ๆ
2.) Body Paragraph 1 (เนื้อหาย่อหน้าที่ 1) ประกอบด้วย
• Topic Sentence 1
บอกว่าปัญหาข้อที่ 1 คืออะไร
• Supporting Idea
ข้อมูลที่มาสนับสนุน Topic Sentence 1 อาจเป็นได้ทั้งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เหตุผล และข้อเท็จจริง เช่น ข่าว ข้อมูลเชิงสถิติ งานวิจัยต่างๆ เพื่อให้ปัญหานั้นดูน่าเชื่อถือ
• Example
ยกตัวอย่างประกอบ
3.) Body Paragraph 2 (เนื้อหาย่อหน้าที่ 2) ประกอบด้วย
• Topic Sentence 2
บอกวิธีแก้ปัญหาข้อที่ 2
• Supporting Idea
ข้อมูลที่มาสนับสนุน Topic Sentence 2 อาจเป็นได้ทั้งข้อมูลที่น่าเชื่อถือ เหตุผล และข้อเท็จจริง เช่น ข่าว ข้อมูลเชิงสถิติ งานวิจัยต่างๆ เพื่อให้วิธีแก้ไขปัญหาดูน่าเชื่อถือ
• Example
ยกตัวอย่างประกอบ
4.) Conclusion (สรุป) ประกอบด้วยประกอบด้วย
• Restate Thesis Statement
ย้ำใจความสำคัญของเรื่องอีกครั้ง (นำ Thesis Statement ของ Introduction มาเขียนใหม่)
• Assuring your thoughts
ย้ำถึงปัญหา และวิธีแก้อีกครั้งเพื่อให้ผู้อ่านจดจำ
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
10 สุดยอดเมล็ดพืชดีต่อสุขภาพ ทานได้ทุกวัน ประโยชน์เพียบ
เมล็ดพืชเป็นส่วนผสมอเนกประสงค์ที่สามารถเติมเต็มรสชาติและคุณค่าทางโภชนาการให้กับมื้ออาหารของคุณได้อย่างง่ายดาย ตั้งแต่พุดดิ้งเมล็ดเจีย เมล็ดฟักทองย่าง ไปจนถึงเพสโต้ถั่วสน ยังมีวิธีมากมายในการเพิ่มเมล็ดพืชที่อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการให้กับมื้ออาหารของคุณ เพิ่มปริมาณโปรตีน ใยอาหาร และไขมันที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ
10 เมล็ดพืชที่ดีต่อสุขภาพ
1.เมล็ดแฟลกซ์ เมล็ดแฟลกซ์เป็นแหล่งโปรตีนและใยอาหารที่ยอดเยี่ยม อุดมไปด้วยจุลินทรีย์อาหารสำคัญ เช่น แมงกานีส ไทอามีน และแมกนีเซียม
2.เมล็ดเฮมพ์ หรือเมล็ดกัญชง เป็นแหล่งสารอาหารสำคัญ อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ แมงกานีส วิตามินอี และแมกนีเซียม
3.เมล็ดฟักทอง ไม่ได้มีเพียงไขมันและโปรตีนที่ดีต่อสุขภาพเท่านั้น แต่ยังอุดมไปด้วยแมงกานีส แมกนีเซียม และฟอสฟอรัสอีกด้วย
4.เมล็ดป๊อปปี้ แหล่งใยอาหารและแร่ธาตุ อุดมไปด้วยแมงกานีสและแคลเซียม
5.เมล็ดทานตะวัน การเพิ่มเมล็ดทานตะวันลงในอาหารของคุณ เป็นวิธีง่ายๆ ในการเพิ่มปริมาณวิตามินอี ไทอามีน และแมงกานีสในร่างกาย
6.เมล็ดเจีย เปรียบเสมือนราชาแห่งใยอาหาร เมื่อเทียบกับเมล็ดพืชชนิดอื่นๆ เมล็ดเจียอุดมไปด้วยใยอาหารมากกว่า นอกจากนี้ยังเป็นแหล่งแมงกานีส ฟอสฟอรัส และแคลเซียมชั้นยอด อีกทั้งยังอุดมไปด้วยโปรตีนและไขมันที่ดีต่อสุขภาพหัวใจ
7.เมล็ดงา อุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุสำคัญ เช่น ทองแดง แมงกานีส แคลเซียม และแมกนีเซียม
8.เมล็ดสนที่เอามาทำอาหารเกาหลี แม้จะมีชื่อเรียกว่าถั่ว แต่ไพน์นัทจัดเป็นเมล็ดพืชตามหลักพฤกษศาสตร์ ไพน์นัทอุดมไปด้วยวิตามินเค ทองแดง และแมกนีเซียม
9.เมล็ดควินัว มักถูกจัดอยู่ในกลุ่มเมล็ดพืชและธัญพืชที่ดีต่อสุขภาพ ด้วยวิธีการเตรียมและบริโภคที่คล้ายคลึงกับธัญพืช แต่แท้จริงแล้ว ควินัวจัดเป็นเมล็ดพืชชนิดหนึ่งที่สามารถรับประทานได้
10.เมล็ดทับทิม อัดแน่นด้วยคุณค่า เมล็ดทับทิมเปี่ยมไปด้วยใยอาหาร วิตามินเค และวิตามินซี ถึงแม้จะมีแคลอรี่ต่ำ แต่เต็มไปด้วยสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกาย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 05/06/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,400.00 | 40,500.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,617.00 | 39,673.72 | 41,000.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,355.30 | 35,706.35 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,093.60 | 31,738.98 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,178.00 | 17,858.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 916.00 | 13,886.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,712.00 | 41,113.92 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 05/06/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.85 | 37.85 | 38.75 | 37.85 | 37.85 | 37.85 | 37.85 | 37.85 | 37.85 | 37.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 37.48 | 37.48 | 38.18 | 37.48 | 37.48 | 37.48 | 37.48 | 37.48 | 37.48 | 37.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.74 | 35.74 | 36.64 | 35.74 | 35.74 | – | 35.74 | 35.74 | 35.74 | 35.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.49 | 35.49 | – | – | – | – | – | – | – | 35.49 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 46.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 46.44 |
เบนซิน 95 | 45.74 | – | – | – | 48.01 | – | 46.24 | 45.89 | – | 45.74 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |