ราคาที่ดินพุ่ง!หนุนบ้าน3ชั้นบูมตอบโจทย์ครอบครัวขยายยุคใหม่
แนวโน้มบ้าน 3 ชั้นได้รับความนิยมในกลุ่มครอบครัวขยายยุคนี้ เนื่องจากราคาที่ดินแพง การจะเพิ่มพื้นที่ใช้สอยในบ้านมากขึ้นนั้นต้องเป็นแนวสูง! เพราะสามารถตอบโจทย์ในแง่ความคุ้มค่าของทุกเจนเนอเรชันในครอบครัวด้วยฟังก์ชันที่หลากหลาย
สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า ขณะนี้บ้าน 3 ชั้น เริ่มมีให้เห็นมากขึ้นโดยเฉพาะในกรุงเทพฯ เพราะ ราคาที่ดินพุ่งสูงต่อเนื่อง การจะพัฒนาบ้านให้ตอบโจทย์ หรือตรงกับความต้องการของกลุ่มเป้าหมายในราคา “คุ้มค่า” อย่างไรก็ดี บ้าน 3 ชั้น มีจำนวนยังไม่มากนัก เมื่อเทียบกับบ้านชั้นเดียว หรือ บ้าน 2 ชั้น โดยสัดส่วนของบ้านเดี่ยว 3 ชั้น ในกรุงเทพฯอยู่ที่ 6% ของบ้านเดี่ยวทุกประเภท ซึ่งมีจำนวน 23,130 ยูนิต แต่ในต่างจังหวัดยังไม่เป็นที่นิยม
ปัจจุบันบ้าน 3 ชั้นในตลาดกรุงเทพฯ และปริมณฑล ที่เปิดขายก่อนปี 2560 บางส่วนยังขายไม่หมด เพราะเป็นโครงการที่พัฒนาโดยผู้ประกอบการรายเล็ก ส่วนกลุ่มที่พัฒนาบ้าน 3 ชั้นในกรุงเทพฯ ส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ฯ มีสัดส่วนกว่า 75% จากข้อมูลพบว่า บ้าน 3 ชั้น ในกรุงเทพฯ ระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป มีจำนวนมากกว่าระดับราคาอื่นคิดเป็นสัดส่วน 83% ของบ้าน 3 ชั้นทั้งหมดในกรุงเทพฯ ที่มีจำนวน 1,350 ยูนิต ขณะที่บ้านต่ำกว่า 3 ชั้น จะมีสัดส่วนของยูนิตที่มีราคาขายต่ำกว่า 15 ล้านบาทต่อยูนิต มากถึง 71%
โดยบ้าน 3 ชั้นส่วนใหญ่จะอยู่ในทำเลที่มีราคาที่ดินค่อนข้างสูง เพราะเมื่อพัฒนาเป็นบ้าน 3 ชั้นในราคาขายสูง ดูแล้วสมเหตุสมผล เพราะพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น สำหรับทำเลโครงการบ้าน 3 ชั้นส่วนใหญ่ เป็นทำเลเดียวกับบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ที่มีราคาสูงกว่า 10 ล้านบาทต่อยูนิตแต่จะอยู่ในทำเลที่ไม่ไกลจากเมืองชั้นในมากนัก หรือไม่ไกลจากแนวของเส้นทางรถไฟฟ้า ถนนวงแหวนรอบกรุงเทพฯ หรือทางพิเศษต่างๆ ที่ราคาที่ดินค่อนข้างสูง
“บ้านเดี่ยว 3 ชั้นอาจมีขนาดที่ดินเริ่มต้น 50 ตารางวา เหมือนบ้านเดี่ยว 2 ชั้น แต่พื้นที่ใช้สอยในบ้านเริ่มต้นที่ 200 ตารางเมตรขึ้นไป ซึ่งมากกว่าบ้านเดี่ยว 2 ชั้น เพราะราคาขายเริ่มต้นไม่ต่ำกว่า 7.5 ล้านบาทต่อยูนิต และส่วนใหญ่ขายราคาไม่ต่ำกว่า 20 ล้านบาทต่อยูนิต”
แม้ว่าบ้าน 3 ชั้นในกรุงเทพฯ ยังมีจำนวนไม่มาก แต่ก็ได้รับความสนใจจากผู้ซื้อ ดังนั้น ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จึงเปิดขายบ้านเดี่ยว 3 ชั้น เพื่อเป็น “ทางเลือก” ของกลุ่มผู้ซื้อแต่ยังไม่ได้พัฒนาเป็นสินค้าหลักเหมือนบ้านเดี่ยว 2 ชั้น ซึ่งมีดีมานด์มากกว่า
สอดคล้องกับแนวทางการทำตลาดของ “ศุภาลัย” ได้พัฒนาโครงการ “ศุภาลัย เอสเซ้นส์ สรงประภา-ดอนเมือง” บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์โฮมหรู 3 ชั้น บนพื้นที่ 14 ไร่ จำนวน 134 ยูนิต คอนเซปต์ “ใช้ชีวิตที่ลงตัว บนทำเลที่คุ้นเคย” กับ 3 แบบบ้าน ราคาเริ่มต้น 4.99 ล้านบาท 10.99 ล้านบาท และ 13 ล้านบาท
ขณะที่ “พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค” เปิดตัวโครงการ “วาวิล่า สุขุมวิท 77” บ้านหรู 3 ชั้น มูลค่า 750 ล้านบาท จำนวน 23 ยูนิต พร้อมลิฟท์ส่วนตัวทุกหลัง พื้นที่ใช้สอย 400 – 557 ตารางเมตร บนพื้นที่ 6 ไร่ ราคาเริ่มต้น 25-40 ล้านบาท มีจุดเด่นด้านดีไซน์ ได้แรงบันดาลใจจากย่าน น็อตติ้ง ฮิลล์ ประเทศอังกฤษ
วสันต์ ศรีรัตนพงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่กลุ่มพัฒนาธุรกิจ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทต้องการขยายฐานกลุ่มลูกค้าไปยังกลุ่มครอบครัวยุคใหม่ที่ผู้นำครอบครัวอยู่ในกลุ่ม Gen Y มีสมาชิกในครอบครัวขนาดกลางและขนาดใหญ่ มีช่วงอายุของสมาชิก 3 รุ่น จึงให้ความสำคัญกับการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ฟังก์ชันต้องรองรับความต้องการของทุกคนในครอบครัว มีความเป็นส่วนตัว มีดีไซน์ที่เป็นเอกลักษณ์ ต้องการเทคโนโลยีช่วยให้ชีวิตสะดวกสบาย และอยู่ในทำเลที่เดินทางสะดวก
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อาคารสำนักงานทำเลนอกเมือง มาแรงตอบรับเทรนด์รักษ์โลก
ไนท์แฟรงค์ เผยตลาดออฟฟิศไตรมาส3 ปี66 เทรนด์รักษ์โลก มาแรงโฟกัส แห่เช่าทำเลนอกเมือง ส่วนค่าเช่าออฟฟิศโซนกลางเมืองลดลงเหลือ 929 บาท/ตร.ม./เดือน อัตราครอบครองเหลือ 82% ดีมานด์ติดลบ 1.6 หมื่นตร.ม.
ผลสำรวจเทรนด์ความต้องการผู้บริโภคและผู้ประกอบการในช่วงไตรมาส 3 ความต้องการพื้นที่สำนักงานในย่านนอกศูนย์กลางธุรกิจ (non-CBD) เพิ่มขึ้น โดยมีสาเหตุหลักมาจากความต้องการอาคารใหม่ การดูดซับสุทธิสำหรับอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่นอกศูนย์กลางธุรกิจสูงถึง 17,200 ตร.ม.
นางสาวปัญญา เจนกิจวัฒนาเลิศ Executive Director of Office Strategy and Solutions บริษัท ไนท์แฟรงค์ ไทยแลนด์ ระบุว่า อาคารดังกว่างมีอัตราความต้องการเพิ่มขึ้น 70% จากไตรมาสก่อน นทางกลับกัน กิจกรรมภายในย่านศูนย์กลางธุรกิจมุ่งเน้นไปที่การย้ายอาคารและการใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่งผลให้จำนวนพื้นที่เช่าทั้งหมดลดลง และการดูดซับสุทธิติดลบ 6,200 ตร.ม.
ขณะตลาดอาคารเกรด B เป็นกลุ่มที่มีประสิทธิภาพดีที่สุดมีอัตราการครอบครองที่ดีขึ้น แม้ว่าจะมีการเปิดตัวพื้นที่ใหม่ก็ตาม อัตราการครอบครองตลาดลดลงเล็กน้อย -0.2% ไตรมาสต่อไตรมาส เหลือ 78% ในไตรมาส 3 เกรด A ลดลงมากที่สุด -0.6% ไตรมาสต่อไตรมาส และ -5.4% ปีต่อปี เหลือ 82% เกรด B เพิ่มขึ้นเล็กน้อย 0.1% ไตรมาสต่อไตรมาส แต่ลดลงเกือบ -3% จากปีก่อน เช่นเดียวกับเกรด A ส่วนเกรด C มั่นคงที่สุดเมื่อเทียบกับกลุ่มอื่นๆ โดยลดลง 0.4% ไตรมาสต่อไตรมาส และ 0.5% ปีต่อปี เหลือ 78%
อุปทานอาคารสำนักงานทั้งหมดในกรุงเทพฯในไตรมาส3เพิ่มขึ้น 25,000 ตร.ม. หรือ 0.4% ไตรมาสต่อไตรมาส เป็น 5.99 ล้านตร.ม. มีอาคารสำนักงานใหม่ 3 แห่งสร้างแล้วเสร็จ ได้แก่ อาคารควอนท์ – สุขุมวิท 25 หน้าปากซอยสุขุมวิท 25, พี 23 ในซอยสุขุมวิท 23 และสุขุมวิท ฮิลล์ ตั้งอยู่ระหว่างสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุชและบางจาก ส่วนพื้นที่ให้เช่าของอาคารสำนักงานสีเขียวไม่มีการเปลี่ยนแปลงในไตรมาสนี้ 1,344,000 ตร.ม. คิดเป็น 22% ของพื้นที่ให้เช่าทั้งหมดในตลาด
อุปทานในอนาคต มี 2 โครงการใหม่ในพื้นที่ศูนย์กลางธุรกิจ (CBD) แถวสุขุมวิทตอนบน เปิดตัวในไตรมาส3 นี้ ได้แก่ วันออริจิ้น สุขุมวิท 79 และ โปรเจคโอ ซึ่งอยู่ติดกับเทสโก้โลตัส สุขุมวิท 50 และอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโครงการแรก อุปทานใหม่ในช่วงปี 2566-2568 คาดว่าจะอยู่ที่ 345,000 480,000 และ 302,000 ตร.ม. ตามลำดับ ปริมาณรวมทั้งหมดของพื้นที่ให้เช่าในอนาคตที่ยังอยู่ระหว่างการพัฒนาคาดว่าจะแตะ 1.62 ล้าน ตร.ม. คิดเป็น 27% ของระดับอุปทานในปัจจุบันประมาณ 62% ของอุปทานใหม่จะกระจุกตัวอยู่ในย่านศูนย์กลางธุรกิจอุปสงค์
การดูดซับสุทธิของตลาดพื้นที่สำนักงานในไตรมาส3เท่ากับ 11,000 ตร.ม ตํ่ากว่าไตรมาสที่ 2 ปี 2566 ซึ่งอยู่ที่ 53,000 ตร.ม. การดูดซับสุทธิของพื้นที่สำนักงานสีเขียวยังคงเป็นบวกที่ 27,900 ตร.ม.ขณะที่พื้นที่สำนักงานที่ “ไม่ใช่” สำนักงานสีเขียวกลับติดลบ16,900 ตร.ม. แสดงให้เห็นว่าผู้เช่าหลายรายกำลังย้ายจากพื้นที่สำนักงานแบบเดิมๆ ไปยังพื้นที่สีเขียวดังกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 6 ธ.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 35.27 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง จากทั้งโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว รวมถึง ความผันผวนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังมีโอกาสทยอยขายสินทรัพย์ไทย
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 6 ธ.ค. 2566 ที่ระดับ 35.27 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.28 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง จากทั้งโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว รวมถึง ความผันผวนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ยังมีโอกาสทยอยขายสินทรัพย์ไทยได้บ้าง หลังผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจจีน และเลือกที่จะทยอยขายสินทรัพย์ในฝั่งตลาดเกิดใหม่ (EM)
อย่างไรก็ดี เรามองว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ ต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ในวันศุกร์นี้ โดยเรามองว่า โซน 35.30-35.40 บาทต่อดอลลาร์ อาจพอเป็นแนวต้านระยะสั้นได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ และมีโซน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวต้านสำคัญถัดไป ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าได้ชัดเจน จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนเพิ่มเติม ทำให้ เงินบาทก็อาจยังมีโซนแนวรับแถว 35.10-35.15 บาทต่อดอลลาร์ ในระยะสั้นนี้
อย่างไรก็ตาม ควรระวังความผันผวนในตลาดค่าเงิน ในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลยอดการจ้างงานภาคเอกชนโดย ADP ซึ่งผู้เล่นในตลาดอาจใช้มาประเมินทิศทางของยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในคืนวันศุกร์นี้ได้
ในช่วงนี้ ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.15-35.35 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในช่วง 35.09-35.34 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นทดสอบโซน 35.10 บาทต่อดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาผสมผสาน (ดัชนี ISM PMI ภาคการบริการ ออกมาดีกว่าคาด แต่ยอดตำแหน่งงานเปิดรับ กลับออกมาแย่กว่าคาดไปมาก)
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็พลิกกลับมาผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ตามการปรับตัวแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่ได้แรงหนุนจากความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินสหรัฐฯ ผันผวน นอกจากนี้ โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำได้ปรับตัวลดลงสู่โซนแนวรับระยะสั้น ก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงเช่นกัน
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน ทำให้ผู้เลนในตลาดบางส่วนกังวลต่อแนวโน้มการชะลอตัวของเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ภาพดังกล่าว กลับหนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ ใหญ่ (The Magnificent Seven)
อาทิ Nvidia +2.3%, Apple +2.1% ต่างปรับตัวขึ้นตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงเชื่อว่าเฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ตั้งแต่การประชุมเดือนมีนาคมปีหน้า ส่งผลให้ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.06% ขณะที่ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.31%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้น +0.40% หนุนโดยความเห็นของเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) บางส่วนที่ออกมาส่งสัญญาณว่า ECB ได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว สอดคล้องกับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า ECB ได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้วและจะทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีหน้า ส่งผลให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ที่อ่อนไหวต่อแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยและบอนด์ยีลด์ ต่างปรับตัวขึ้นได้ อาทิ LVMH +2.1%, ASML +2.0%
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่า รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด จะออกมาผสมผสาน ทว่า ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า เฟดมีแนวโน้มที่จะลดดอกเบี้ยลงได้ราว -1.25% ในปีหน้า และเฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมีนาคม นอกจากนี้ บรรยากาศในตลาดการเงินที่อยู่ในภาวะระมัดระวังตัว ก็มีส่วนทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงใกล้ระดับ 4.16%
ทั้งนี้ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่อาจผันผวนสูงขึ้นได้บ้าง หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ยอดการจ้างงานออกมาดีกว่าคาด อย่างไรก็ตาม หากบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น เรายังคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวได้ (เน้นกลยุทธ์รอจังหวะ Buy on Dip)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะออกมาผสมผสานและผู้เล่นในตลาดจะยังคงเชื่อว่าเฟดอาจทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีหน้า โดยเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนจากความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดการเงินผันผวน
และการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า ECB ก็จะลดดอกเบี้ยลงได้ในปีหน้าเช่นกัน ทำให้ล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 104 จุด (กรอบ 103.6-104.1 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยย่อตัวลง แต่การแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ก็ยังคงกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อได้ โดยราคาทองคำยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นโซนแนวรับระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนรอจังหวะทยอยเข้าซื้อทองคำในโซนดังกล่าวและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานยอดการจ้างงานภาคเอกชน โดย ADP ของสหรัฐฯ ซึ่งข้อมูลดังกล่าว อาจสามารถสะท้อนแนวโน้มยอดการจ้างงานนอกภาคเกษตรกรรม (Nonfarm Payrolls) ในคืนวันศุกร์นี้ได้
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ซึ่งอาจช่วยสะท้อนถึงแนวโน้มความต้องการใช้พลังงานในช่วงนี้ รวมถึง การปรับคาดการณ์อัตราการเติบโตเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 (GDPNow) โดย Atlanta Fed
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของยูโรโซน ในเดือนตุลาคม เพื่อช่วยประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจยูโรโซน ซึ่งอาจส่งผลต่อทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของ ECB
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กลับมาอีกครั้ง “CBD We Run 2023” งานวิ่งการกุศลครั้งยิ่งใหญ่สร้างพลังสีเขียวให้กทม.
มูลนิธิ แอสเสท เวิรด์ เพื่อการกุศล หรือ AWFC ภายใต้ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC รวมพลังกับ กรุงเทพมหานคร และพันธมิตร เดินหน้าจัดกิจกรรม “CBD We Run 2023” ต้อนรับการกลับมาของงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนการกุศลครั้งยิ่งใหญ่ใจกลางกรุง ภายใต้แนวคิด “CBD We Run ยืนหนึ่งงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนกลางเมืองรักสิ่งแวดล้อม” ในฐานะส่วนหนึ่งของโครงการ “GIVE GREEN CBD 2023” ซึ่งจัดต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 ด้วยคอนเซ็ปต์รักษ์โลกเพื่อร่วมสร้างกรุงเทพฯ ให้เป็นเมืองสีเขียว ที่ทุกการจำหน่าย Running Pack ทางโครงการจะร่วมบริจาคต้นไม้ 1 ต้นให้กับทางกรุงเทพมหานคร พร้อมร่วมสนับสนุนการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุดและไม่สร้างขยะตลอดเส้นทางวิ่งใจกลางกรุงเทพฯ โดยกิจกรรมดังกล่าวจะมีขึ้นวันอาทิตย์ที่ 28 มกราคม 2567 ระหว่างเวลา 04.00 – 07.00 น. ณ จุดปล่อยตัว อาคาร ‘เอ็มไพร์’ ผู้ที่สนใจสามารถสมัครได้ที่ www.CBDWeRun.com ตั้งแต่วันนี้ –15 มกราคม 2567
“CBD We Run 2023” เป็นงานวิ่งฮาล์ฟมาราธอนการกุศลที่จัดขึ้นเพื่อรณรงค์การร่วมสร้างคุณค่าให้เติบโตอย่างยั่งยืน ทั้งด้านสิ่งแวดล้อม ชุมชน และสังคม โดยเปิดรับผู้เข้าร่วมการแข่งขันในครั้งนี้จำนวน 3,000 คน แบ่งการแข่งขันออกเป็นทั้งหมด 3 ประเภท ได้แก่ “Fun Run” ระยะทาง 4.2 กิโลเมตร ราคา 550 บาท “Mini Marathon” ระยะทาง 10.5 กิโลเมตร ราคา 650 บาท และ “Half Marathon” ระยะทาง 21 กิโลเมตร ราคา 750 บาท กับเส้นทางวิ่งในแบบ City Run ผ่านใจกลางเมืองรับบรรยากาศของลมหนาวยามเช้าในช่วงปลายเดือนมกราคม พร้อมด้วยไฮไลท์สำคัญในเส้นทางวิ่ง อาทิ อาคาร ‘เอ็มไพร์’ อาคารสำนักงานที่มีพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ที่สุดในกรุงเทพฯ สวนสาธารณะคลองช่องนนทรี ถนนสาทร ก่อนลัดเลาะข้ามแม่น้ำเจ้าพระยาผ่านสะพานตากสิน และจุดกลับตัวที่อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (วงเวียนใหญ่)
นักวิ่งทุกท่านจะได้รับ Runner Pack เป็นไอเท็มวิ่งรักษ์โลกที่ควรค่าแก่การสะสม คือ เสื้อวิ่งที่ทำจากผ้า Recycle PET ขวดน้ำซิลิโคนพับได้ให้นักวิ่งพกพาไปรับน้ำดื่มได้ตลอดเส้นทาง และหมายเลขแข่งขันประจำตัว (BIB) พร้อมส่งเสริมการมีส่วนร่วมในการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมตามแนวคิดเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยการนำขวดพลาสติกเหลือใช้จากต้นคริสต์มาสรักสิ่งแวดล้อมในงาน “A Charity Christmas Tree” มาใช้ประโยชน์ต่อด้วยการนำมารีไซเคิลเหรียญรางวัลจากฝาขวดน้ำดื่มเมื่อเข้าเส้นชัย รวมถึงของที่ระลึกและสิทธิประโยชน์อื่นๆ ที่มาร่วมกับ Runner Pack ประกอบไปด้วย ประกันอุบัติเหตุ และซุ้มอาหารเช้าหลังเข้าเส้นชัยมากมายภายในงาน
กิจกรรมวิ่งการกุศล “CBD We Run 2023” ถือเป็นส่วนหนึ่งของโครงการ “GIVE GREEN CBD 2023” ของ AWFC ที่จัดขึ้นต่อเนื่องเป็นปีที่ 10 เพื่อรณรงค์ให้เกิดการมีส่วนร่วมในการทำประโยชน์ต่อสังคมในวงกว้าง โดยรายได้หลังหักค่าใช้จ่ายจากทุก 1 นักวิ่ง จะถูกนำไปสนับสนุนกรุงเทพมหานครในการซื้อกล้าไม้ 1 ต้น ให้แก่โครงการ “BangkokTree: โครงการปลูกต้นไม้ 1 ล้านต้น” เพื่อนำไปปลูกเพิ่มพื้นที่สีเขียวพร้อมปรับปรุงภูมิทัศน์สวนสาธรณะรอบกรุงเทพฯ และสบทบทุนใน โครงการ “ปันสุข” ของมูลนิธิฯ เพื่อส่งเสริมสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดีแก่ชุมชน โดยโครงการ “GIVE GREEN CBD 2023” ได้รับการสนับสนุนอย่างดีเยี่ยมจากพันธมิตรชั้นนำ ประกอบด้วย บริษัท ไทยเบเวอเรจ จำกัด (มหาชน) สำนักงานเศรษฐกิจและการค้าฮ่องกง ประจำกรุงเทพมหานคร อินเตอร์คอนติเนนตัล โฮเต็ล กรุ๊ป เคพีเอ็มจี ประเทศไทย บริษัท จาร์ดีน ชินด์เล่อร์ (ไทย) จำกัด บริษัท หลักทรัพย์บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) บริษัท เอเวอเรสต์ คอนซัลแทนซี่ จำกัด บริษัท บางกอก เดค-คอน จำกัด (มหาชน) บริษัท วีจีไอ จำกัด (มหาชน) และ บริษัท เมเจอร์ ซีนีเพล็กซ์ กรุ้ป จำกัด (มหาชน)
ผู้ที่สนใจสามารถตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติม พร้อมร่วมสมัครเข้าร่วมงานวิ่งการกุศล “CBD We Run 2023” ผ่านทางออนไลน์ได้ที่ www.CBDWeRun.com ตั้งแต่วันนี้ –15 มกราคม 2567 หรือสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เฟซบุ๊กอย่างเป็นทางการที่ www.facebook.com/CBDWeRun
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เลี้ยงลูกอย่างไร (ไม่) ให้เป็น: Toxic Parents
หากจะกล่าวถึง ‘การเลี้ยงลูก’ ถือเป็นงานใหญ่และสำคัญที่สุดของคนเป็นพ่อแม่ และด้วยความรัก ความปรารถนาดีที่ผู้เป็นพ่อแม่มอบให้ลูก มักจะมาพร้อมกับความคาดหวังที่มีต่อลูกโดยไม่รู้ตัว ในฐานะที่เราเป็นพ่อแม่ จะทำอย่างไรเพื่อไม่ให้ความปรารถนาดีนั้น กลายเป็นพิษ (Toxic) จนถูกมองว่าเป็น Toxic Parents หรือ พ่อแม่จอมบงการและพ่อแม่เผด็จการในสายตาลูก
แพทย์หญิงนิศารัตน์ วัชรีอุดมกาล จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ประจำศูนย์ Mind Center โรงพยาบาลพระรามเก้า กล่าวว่า ความคาดหวังของพ่อแม่ โดยทั่วไปแล้วเป็นเรื่องปกติที่มีได้ แต่การระวังเพื่อไม่ให้ความคาดหวังนั้นเป็นพิษต่อตัวลูกและตัวพ่อแม่เอง ต้องเริ่มต้นจากการพยายามสื่อสารกันในครอบครัว และการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือการสื่อสารแบบ 2 ทาง นั่นคือ การสื่อสารบอกลูก และการรับฟังว่า ในฐานะที่เขาเป็นลูก เขามีความคาดหวังต่อเราที่เป็นพ่อแม่อย่างไร และความคาดหวังที่ลูกมีต่อตัวเขาเองเป็นอย่างไร เขามีความฝัน มีความหวังอะไรเกี่ยวกับอนาคต ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเรียน การทำงาน ตลอดจนการใช้ชีวิตของเขาไว้อย่างไร ทั้งหมดที่กล่าวมานี้จะเกิดขึ้นได้จากการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงตั้งอยู่บนพื้นฐานของความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวด้วย
การเริ่มต้นในการสื่อสารกับลูกที่ดีที่สุด คือ การฟัง และต้องเป็นการฟังแบบตั้งใจ หรือที่เรียกว่า Active Listening เพราะพ่อแม่จะได้เริ่มรู้จัก และทำความเข้าใจกับตัวตนของลูก รู้ว่าลูกมีความคิดแบบไหน เขากำลังคิดอะไรอยู่ เขาสนใจเรื่องอะไร ชอบอะไร หลายครั้งที่การสื่อสารของพ่อแม่เริ่มต้น ด้วยการให้คำแนะนำ บอกหรือเริ่มที่จะชี้แนะซึ่งเกิดขึ้นจากความรัก ความหวังดีของคุณพ่อคุณแม่ กลับทำให้เด็กรู้สึกเหมือนคุณพ่อคุณแม่ยังไม่ได้ฟังเขาเลย
ดังนั้น การสื่อสารกับลูก โดยเฉพาะลูกวัยรุ่น ขอให้เริ่มต้นจาก การตั้งใจฟัง ฟังนิ่งๆ ฟังให้จบ แล้วหลังจากนั้น ค่อยซักถามเมื่อเราไม่เข้าใจ”
แพทย์หญิงนิศารัตน์ เล่าต่อว่า “ปัจจุบันคุณพ่อคุณแม่ในหลายบ้านพาลูกๆ มาพบจิตแพทย์เด็กและวัยรุ่น ซึ่งเริ่มจากการที่คุณพ่อคุณแม่ถามลูก รับฟังลูก ลูกเนี่ยแหละค่ะจะเป็นคนเข้าหาเราก่อน แล้วก็จะเป็นคนที่มาบอกพ่อแม่เองว่า ตอนนี้เขาไม่โอเค เขาต้องการมาพบจิตแพทย์
หลายครั้งที่ได้พบเจอเคสต่างๆ จึงเข้าใจเป็นอย่างดีว่ามันเป็นการยาก ในฐานะพ่อแม่ บางทีเรารู้สึกว่าเราทำดีที่สุดแล้ว แต่บางครั้งลูกเราเองก็ยังมีประเด็นปัญหาที่เราไม่สามารถช่วยเหลือ ปกป้องหรือว่าดูแลเขาได้ เพราะฉะนั้น ต้องขอบคุณคุณพ่อคุณแม่ที่เปิดใจ แล้วพาลูกของท่านมาหาความช่วยเหลือ หรือว่ารับฟังเขา”
“หลักการเลี้ยงลูกเพื่อไม่ให้คุณพ่อคุณแม่กลายเป็น Toxic Parents มีเทคนิคที่จำง่ายๆ คือ 3L (สาม-แอล)
LOVE คือ ความรักที่เราจะมีให้ลูก เป็นความรัก ความเอาใจใส่ ในแบบที่ต้องให้เกียรติ รับฟังเค้า รู้จักตัวตนของลูกในแบบที่เขาเป็นจริงๆ
LIMIT คือ การที่เรามีระเบียบวินัย ควบคู่ไปกับความรักที่เรามีต่อลูก ไม่ว่าจะเป็นการสอนให้เขารู้จักหน้าที่ เคารพกติกา กฎระเบียบของสังคม ในการที่จะใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับคนอื่น
LET THEM GROW คือ การที่คุณพ่อคุณแม่วางใจ ว่าสิ่งที่เราสอนและให้ความรักเขาจะนำพาให้เขาสามารถ เลือกและตัดสินใจในสิ่งที่เขาชอบ หรือมีความฝัน ความหวังได้
สำหรับตัวคุณพ่อคุณแม่เองในฐานะที่ได้ดูแลเขามาอย่างเต็มที่ ขอให้เป็นกองหลังที่ดี คอยสนับสนุนลูก ไม่ว่าเขาจะชนะหรือพ่ายแพ้กลับมา เขาก็จะได้รับรู้ว่า คุณพ่อคุณแม่จะอยู่ตรงนี้เพื่อเป็นกำลังใจ และคอยซัพพอร์ตเขาเสมอ”
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำศัพท์ภาษาอังกฤษ: สภาพอากาศ (Weather)
ในการสนทนาทั่วไป หัวข้อที่มักจะถูกยกมาเปิดประเด็นก็หนีไม่พ้นเรื่อง “ดินฟ้าอากาศ” สำหรับชาวต่างชาติเค้าจะค่อนข้างเคารพสิทธิส่วนตัว เลยไม่ซอกแซกถามเรื่องส่วนตัวกัน อีกอย่างบ้านเมืองเค้าสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยด้วย เลยนิยมพูดถึงเรื่องนี้เป็นพิเศษ คำถามสุดฮิตเกี่ยวกับดินฟ้าอากาศ ก็หนีไม่พ้น
How’s the weather today? อากาศวันนี้เป็นไงบ้าง
How’s the weather there? อากาศที่นั่นเป็นไงบ้าง
เวลาตอบก็ให้พูดว่า
It is ตามด้วย adjective ที่ใช้บรรยายถึงสภาพอากาศ
เช่น It is very hot. วันนี้อากาศร้อนมากเลยนะ
หรือใช้ There is ตามด้วย noun บอกสภาพอากาศ
เช่น There is a thunderstorm. ตอนนี้มีพายุฝนเข้านะ
cloudy คลาว-ดิ เมฆเยอะ
foggy ฟ็อก-กิ หมอกหนา
หรือจะใช้ hazy เฮ-ซี่ ก็ได้
hailing เฮล ลูกเห็บ
ถ้าเกิดขึ้นมากเข้าก็จะกลายเป็นพายุลูกเห็บ (hailstorm)
lightning ไล้ท-นิง สายฟ้า
คือฟ้าผ่าเบาๆ แต่ถ้าเกิดอย่างต่อเนื่องแถมมีฝนด้วยก็เรียกว่าพายุฝน (thunderstorm)
raining เรน-นิง ฝนตก
ถ้าตกไม่หนักมาก ฝนตกปรอยๆจะเรียกว่า drizzle
snowing สโนว-วิง หิมะตก
สำหรับพายุหิมะที่เกิดขึ้นตามภูเขา จะเรียกว่า snowstorm
sunny ซัน-นี่ แดดจ้า
ใช้คำว่า clear เคลียร์ ก็ได้ครับ อากาศปลอดโปร่ง ช่วงนี้อากศจะร้อนชื้น (humid หรือ muggy)
windy วิน-ดี้ ลมแรง
ถ้ารุนแรงกว่านี้ให้ใช้ stormy หรือพายุเข้า นั่นเอง
cyclone ไซ-โคลน hurricane เฮอร์-ริ-เคน typhoon ไท-ฟูน
เป็นชื่อของลมพายุ ซึ่งจะเรียกแตกต่างกันตามสถานที่ที่เกิดพายุนั้นๆ
cyclone = เกิดขึ้นใน South Pacific และ Indian Ocean
hurricane = เกิดขึ้นในเขต Atlantic กับ Northeast Pacific
typhoon = เกิดขึ้นใน Northwest Pacific
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
“AIS ผนึก CG” พาไปดู “หมู่บ้านคามิคัตสึ” เมืองต้นแบบ Zero Waste แดนปลาดิบ
สองยักษ์ใหญ่ธุรกิจมือถือ-ค้าปลีก “AIS ผนึก CG” ลงพื้นที่ “หมู่บ้านคามิคัตสึ” เมืองต้นแบบปลอดขยะ แห่งแดนปลาดิบที่มีประชากรเพียง 1,400 คน นำมาต่อยอดตั้งเป้าหมาย Net Zero เป็นศูนย์ในปี 2050
เป็นเพราะทั่วโลกให้ความสำคัญลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net-Zero) ทำให้องค์กรใหญ่ ๆ ให้ความสำคัญการรักษาสิ่งแวดล้อมโลก นั่นจึงเป็นที่มาที่ AIS หรือ บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) และ กลุ่มเซ็นทรัลกรุ๊ป หรือ CG ได้เชิญสื่อมวลชนมากกว่า 10 ชีวิต ร่วมทริป “AIS-CG INCLUSIVE GREEN TRIP IN JAPAN” ณ หมู่บ้านคามิคัตสึ (Kamikatsu) เมืองทางตะวันตกเฉียงใต้ที่เกาะชินโชกุประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน – 3 ธันวาคม 2566 ที่ผ่านมา ซึ่งหมู่บ้านคามิคัตสึ มีประชากรเพียง 1,401 คน จำนวน 737 ครัวเรือน เป็นเมืองขนาดเล็กที่ประสบความสำเร็จเมืองต้นแบบ Zero Waste
AIS-CG ตั้งเป้าหมาย Net Zero เป็นศูนย์ในปี 2050
เป็นที่น่าสนใจทำไมสองยักษ์ใหญ่แห่งวงการถึงให้ความสำคัญกับ Net Zero เรื่องนี้ได้รับคำตอบจาก นายสมชัย เลิศสุทธิวงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ AIS กล่าวว่า วัตถุประสงค์การศึกษาดูงานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืน ที่เมืองคามิคัตสึ ซึ่งเป็นเมืองต้นแบบปลอดขยะ (Zero Waste) เพื่อเป็นการซึมซับแนวคิด Zero Waste และกระบวนการจัดการขยะที่ทรงประสิทธิภาพและต่อเนื่องอย่างการแยกขยะมากถึง 45 ประเภท ผ่านหลักการพื้นฐานที่ทุกคนทำได้โดยการลดขยะ (Reduce) การใช้ซ้ำ (Reuse) และการรีไซเคิล (Recycle) จนกลายเป็นเมืองต้นแบบที่ปลอดขยะระดับโลก พร้อมนำมาต่อยอดการจัดการด้านสิ่งแวดล้อมในการสร้างโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) มุ่งสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050
นโยบายของ AIS นอกจากสร้างมาตรฐานของสินค้า บริการ นวัตกรรม และการดูแลลูกค้า ยังมีภารกิจในการดูแลสังคม สิ่งแวดล้อม สนับสนุนสู่ Sustainable Nation โดยเฉพาะด้านสิ่งแวดล้อม ใน 2 แกนหลัก
- ลดผลกระทบผ่านกระบวนการดำเนินธุรกิจ
- ลดและรีไซเคิลของเสียจากการดำเนินธุรกิจและส่งเสริมให้คนไทยร่วมกำจัด E-Waste อย่างถูกวิธี เพราะการมาถึงของ Digital ส่งผลให้เกิดขยะ E-Waste มากขึ้น จนกลายเป็นปัญหาระดับโลก เช่นกรณีมูลค่าขยะ E-Waste ที่ถูกเผาทำลายมีมากถึง 57,000 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่กลับมีการจัดเก็บอย่างถูกวิธีและรีไซเคิลได้เพียง 10,000 ล้านเหรียญสหรัฐเท่านั้น จะเห็นได้ว่า ปริมาณที่สูญหายในระหว่างทางนั้นมีอยู่มหาศาลและสามารถส่งผลกระทบกับสิ่งแวดล้อมหากกำจัดอย่างไม่ถูกต้อง
แจงที่มาภารกิจคนไทยไร้ e-waste
นั่นจึงเป็นที่มาของการขับเคลื่อนภารกิจคนไทยไร้ e-waste ในปี 2562 เพื่อสร้างความตระหนักถึงปัญหาขยะอิเล็กทรอนิกส์ โดยได้ร่วมมือกับกลุ่มเซ็นทรัลตั้งแต่ปี 2563 รณรงค์และเป็นช่องทางรับทิ้ง E-Waste ได้สะดวกกับประชาชนยิ่งขึ้น ผ่านศูนย์การค้าในกลุ่มเซ็นทรัลที่กระจายอยู่ทั่วประเทศ 37 สาขาทั่วประเทศ รวมถึงร้าน Power Buy ผู้นำธุรกิจค้าปลีกศูนย์รวมเครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าไอที มือถือ แก็ดเจ็ต อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ครบวงจร รวม 40 สาขาทั่วประเทศ และผ่าน Application E-Waste Plus ที่เพิ่มเติมเข้ามา อันเป็นการร่วมเสริมพลังกับ 190 องค์กร ขับเคลื่อน HUB of e-waste ศูนย์กลางการจัดการขยะอิเล็กทรอนิกส์อัจฉริยะแห่งแรกของไทย ที่มีทั้งความรู้ เครือข่ายที่มาช่วยกันแลกเปลี่ยนไอเดียใหม่ๆ การขยายจุดรับทิ้งให้ครอบคลุม การบริการด้านการขนส่ง และการรีไซเคิลสู่กระบวนการ Zero e-waste to landfill
ผนึกกำลังสร้างความเปลี่ยนแปลงรักษาสิ่งแวดล้อม
ขณะที่นายพิชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการบริหาร กลุ่มเซ็นทรัล กล่าวว่า การร่วมมือครั้งนี้เป็นการสานต่อจากโครงการ การทิ้งขยะ E-Waste อย่างถูกวิธี ซึ่งทาง กลุ่มเซ็นทรัล มุ่งมั่นสานต่อเจตนารมย์ที่จะสร้างคุณภาพชีวิตที่ดี ผ่านโครงการ “เซ็นทรัล ทำ – ทำด้วยกัน ทำด้วยใจ” โครงการเพื่อความยั่งยืนดำเนินการโดยกลุ่มเซ็นทรัล ผ่าน 6 แนวทางการขับเคลื่อนเพื่อความยั่งยืน
- ส่งเสริมเศรษฐกิจชุมชน สร้างอาชีพ และบรรเทาสาธารณภัย (Community & Social Contribution)
- ลดความเหลื่อมล้ำ สร้างความเสมอภาคในการเข้าถึงโอกาส อย่างเท่าเทียม (Inclusion) การศึกษา (Education)
- พัฒนาศักยภาพทรัพยากรมนุษย์ (Human Capital Development)
- ขับเคลื่อนเศรษฐกิจหมุนเวียนและการบริหารจัดการขยะมูลฝอย (Circular Economy & Waste Management)
- ลดการสูญเสียอาหารในกระบวนการผลิตและลดปริมาณขยะอาหาร (Food Loss & Food Waste Reduction)
- ฟื้นฟูสภาพอากาศ ลดมลภาวะ และผลักดันการใช้พลังงานหมุนเวียน (Climate Action) ทำให้เรามีส่วนสำคัญในการรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อมจากการดำเนินธุรกิจขององค์กร และขับเคลื่อนการลดการสร้างขยะให้เป็นศูนย์ผ่านแคมเปญ Journey to Zero เพื่อเดินหน้าสู่เป้าหมาย Net Zero ในปี 2050 เพื่อสร้างคุณภาพด้านสิ่งแวดล้อมที่ครอบคลุมทุกมิติ เป็นรีแทลแห่งแรกของไทยที่จะพัฒนาให้เป็นศูนย์ต้นแบบในด้านการจัดการขยะทั่วประเทศ เราพร้อมที่จะเร่งปรับและเปลี่ยนเพื่อโลกสีเขียวอย่างยั่งยืน
การเดินหน้าภารกิจศึกษาแนวคิด และกระบวนการจัดการขยะ ในครั้งนี้ ทั้ง 2 บริษัท เห็นพ้องตรงกันว่า เราจะร่วมมือกันทำ ร่วมกันสร้างการเปลี่ยนแปลงเพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมไปด้วยกัน เพราะเรามีเป้าหมายเดียวกัน ที่อยากเห็นประเทศไทยมีโมเดลต้นแบบในการ คัด แยก ทิ้งขยะ ได้อย่างถูกที่และถูกวิธี และยังเป็นการลดการฝังกลบขยะที่จะก่อให้เกิดปัญหาอีกมากมาย พร้อมสร้างพฤติกรรมการใช้สิ่งของอย่างคุ้มค่าให้เกิดประโยชน์สูงสุดเพื่อสร้างโลกที่น่าอยู่ให้กับคนรุ่นถัดไป
เผยจุดเริ่มต้นเมืองปลอดขยะ
นายซาโตชิ โนโนยามะ CEO บริษัท Pangaea เป็นบริษัทที่รับผิดชอบส่วนของ Academy การศึกษาดูงาน เรื่อง Zero waste ที่คามิคัตสึ เปิดเผยถึงจุดเริ่มต้นก่อนจะมาเป็นเมืองต้นแบบปลอดขยะที่หลายคนทั่วโลกอยากค้นหา ว่า ย้อนไปเมื่อปี 1997 หมู่บ้านไม่สามารถใช้เตาเผาขยะได้ เนื่องจากมีกฎหมายออกมาบังคับห้ามเผาขยะ ทำให้รูปแบบการกำจัดขยะต้องรวบรวมใส่ตู้คอนเทนเนอร์ไปกำจัดที่ จ.ยามากุจิ ซึ่งเป็นจังหวัดที่สามารถรับกำจัดขยะได้ ทว่า ด้วยต้นทุนในการขนส่งผ่านตู้คอนเทนเนอร์ที่มีค่าใช้จ่ายต่อตู้ถึง 170,000 เยน และใช้เวลาเพียง 2 วัน ตู้คอนเทนเนอร์ดังกล่าวก็เต็มแล้ว ทำให้หมู่บ้านต้องใช้งบประมาณรัฐในการกำจัดขยะปีละกว่า 30 ล้านเยน
เปลี่ยนขยะเป็นเงิน
ด้วยเหตุนี้ ทำให้ หมู่บ้านคามิคัตสึ ต้องมีการวางแผนในการกำจัดขยะให้มีปริมาณน้อยลง เริ่มด้วยการแยกขยะเป็น 33 หมวดหมู่ เพื่อทำขยะให้กลายเป็นเงิน มีการนำเงินของรัฐสนับสนุนให้ทุกครัวเรือนมีถังหมักปุ๋ยจากเศษอาหาร โดยประชาชนออกเงินเพียงบางส่วน ทั้งนี้เพื่อให้ขยะเหลือน้อยที่สุด และในปี 2003 จึงได้ออกปฏิญญาขยะเป็นศูนย์ (Zero Waste)
ปัจจุบันหมู่บ้านคามิคัตสึ สามารถแยกขยะได้ 45 ประเภท และสร้างรายได้ต่อปีอยู่ที่ประมาณ 880,000-2,000,000 เยน สามารถแยกขยะได้ 81% ส่วนอีก 19% ไม่สามารถกลับมาทำรีไซเคิลได้ คือ ขยะอันตราย เช่น ผ้าอ้อม หนังยาง และ รองเท้า เป็นต้น
เกี่ยวกับ เมืองคามิคัตสึ Kamikatsu
• คามิคัตสึ คือเมืองในจังหวัดโทคุชิมะ ที่ตั้งอยู่บนเกาะชิโกกุทางตะวันตกของประเทศญี่ปุ่น ที่มีจำนวนคนเพียง 1,401 คน (ตัวเลข ณ วันที่ 1 ต.ค. 2023) โดยมีสัดส่วนเป็นผู้สูงอายุ เป็น 52.25%
• เมืองคามิคัตสึ มีพื้นที่ขนาด 109.63 ตารางกิโลเมตร (พื้นที่ป่าไม้ 88% และ 80% เป็นป่าปลูก); สูงจากระดับน้ำทะเล 100-700 เมตร
• คามิคัตสึ เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องปลอดขยะและการจัดการขยะอันดับต้นๆของโลกและเป็นต้นแบบการดำรงชีวิตอย่างยั่งยืน จนกลายเป็นหนึ่งในสถานที่เรียนรู้ของคนที่รักสิ่งแวดล้อม.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
แชร์พิกัด ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ ฉบับ One Day Trip นั่งรถไฟปล่อยใจ
ปู๊น ๆ ฉึกฉัก ฉึกฉัก ขบวนรถไฟมาแล้วจ้า ??
หากใครที่กำลังมองหา ที่เที่ยวสำหรับพักผ่อนหย่อนใจในช่วงวันหยุด แต่ไม่อยากไปไกล ในบทความนี้ เราจะมาแชร์พิกัดที่เที่ยวฉบับ One Day Trip ด้วยการนั่งรถไฟเที่ยว เปลี่ยนบรรยากาศการเดินทางที่เร่งรีบให้ช้าลง ชมทิวทัศน์สองข้างทางสัมผัสกับธรรมชาติได้อย่างเต็มอิ่ม จะมีสถานที่ไหนบ้าง ตามมาดูกันเลยยย Go!!
อยุธยา
เริ่มต้นทริปนั่งรถไฟเที่ยว ที่ อยุธยา เมืองราชธานีเก่า อู่ข้าวอู่น้ำ เลิศล้ำกานท์กวี คนดีศรีอยุธยา เลอคุณค่ามรดกโลก เรียกได้ว่าเป็น อีกหนึ่งจุดหมายปลายทางอันดับต้น ๆ สำหรับคนที่ชอบเที่ยวด้วยรถไฟ เพราะอยู่ใกล้กรุงเทพฯ นั่งเพลิน ๆ แค่ชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงแล้ว อีกทั้งยังมีที่เที่ยวที่กินมากมาย โดยเฉพาะวัดวาอาราม โบราณสถานเก่าแก่ ตลาดน้ำอโยธยา และร้านกุ้งเผาอยุธยา ที่ไปกี่ที ๆ ก็ต้องไม่พลาด!
- สถานีต้นทาง : สถานีกรุงเทพ
- สถานีปลายทาง : สถานีอยุธยา
- ราคาตั๋ว : เริ่มต้น 15 บาท
หัวหิน
หากวันนี้หัวใจโซเซ นั่งรถไฟไปทะเลกันไหม ? เที่ยวทะเลใกล้กรุงเทพฯฉบับวันเดย์ทริป ที่หัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมืองตากอากาศที่มีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ และเป็นจุดหมายแห่งการพักผ่อนของใครหลายๆคนแถมการเดินทางก็สะดวกสบาย วันหยุดนี้ ใครที่ยังไม่มีแพลน แนะนำให้นั่งรถไฟเที่ยวแบบปล่อยใจ สัมผัสกับธรรมชาติแบบฟิน ๆ เป็นที่เที่ยวที่ควรค่าแก่การมาเช็กอินมาก ๆ เลย
- สถานีต้นทาง : สถานีกรุงเทพ
- สถานีปลายทาง : สถานีหัวหิน
- ราคาตั๋ว : เริ่มต้น 44 บาท
พัทยา
นั่งรถไฟไปลุยทะเลกันต่อที่ พัทยา จ.ชลบุรี อีกหนึ่งที่เที่ยวใกล้กรุงเทพยอดฮิตสำหรับคนที่อยากเที่ยวทะเลแต่ไม่อยากเดินทางไกล เมืองท่องเที่ยวที่นักท่องเที่ยวต่างพากันเทใจให้ เพราะเมืองพัทยา มีที่เที่ยวหลากหลายทั้งชายหาด เกาะ ที่เที่ยวถ่ายรูป และยังมีโรงแรมที่พัก ร้านอาหารอร่อยมากมาย เหมาะสำหรับทริปเที่ยววันหยุดแบบชิลล์ๆ จะเที่ยวแบบไปเช้าเย็นกลับ หรือค้างคืนก็สนุกไม่แพ้กัน
- สถานีต้นทาง : สถานีกรุงเทพ
- สถานีปลายทาง : สถานีบ้านพลูตาหลวง
- ราคาตั๋ว : เริ่มต้น 37 บาท
ฉะเชิงเทรา
ไปกันต่อที่ แปดริ้ว หรือ ฉะเชิงเทรา ที่เที่ยวใกล้กรุง ที่เดินทางง่ายแสนง่าย ใช้เวลาเดินทางเพียงไม่นาน ยิ่งนั่งรถไฟเที่ยว บอกเลยว่าได้ฟิลสุด ๆ สำหรับใครที่ไปเที่ยวจังหวัดนี้ ก็จะได้พบกับบรรยากาศของเมืองเก่าแก่ริมแม่น้ำบางปะกง นอกจากเดินสายทำบุญที่วัดดังแล้ว ยังสามารถช้อปเพลินเดินชิลล์กับตลาดต่างๆ เป็นที่เที่ยวที่ควรค่าแก่การไปเช็คอินสุดๆ Go!!
- สถานีต้นทาง : สถานีกรุงเทพ
- สถานีปลายทาง : สถานีชุมทางฉะเชิงเทรา
- ราคาตั๋ว : เริ่มต้น 13 บาท
นครปฐม
ทริปนั่งรถไฟเที่ยว ถัดมา เป็นอีกหนึ่งที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ เขตชานเมืองที่ นครปฐม เป็นอีกหนึ่งเมืองท่องเที่ยวที่มีครบ ทั้งที่เที่ยวทางประวัติศาสตร์ วัดวาอารามที่เป็นปูชนียสถานอันสำคัญของไทย พิพิธภัณฑ์ อีกทั้งยังมีตลาดน้ำให้ช้อปให้ชิลล์กันอีกด้วย เดินทางง่าย สะดวกสบาย ใครที่ไปเช็คอินแลนด์มาร์กเมืองนครปฐมแล้ว อย่าลืมมาอวดกันด้วยนะ
- สถานีต้นทาง : สถานีกรุงเทพ
- สถานีปลายทาง : สถานีนครชัยศรี
- ราคาตั๋ว : เริ่มต้น 14 บาท
สมุทรสงคราม
ที่เที่ยวใกล้กรุงเทพยอดฮิตอีกหนึ่งแห่งที่เราอยากชวนให้ทุกคนไปกันก็คือ สมุทรสงคราม เป็นอีกหนึ่งสถานที่ ที่เหมาะแก่การหนีบรรยากาศเมืองหลวงที่วุ่นวาย ไปสโลว์ไลฟ์ในเมืองเล็กๆ ที่จังหวัดแห่งนี้ เราจะได้สัมผัสกับวัฒนธรรมและวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวบ้าน ผ่านแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย ทั้งตลาดน้ำ ชุมชน วัดต่าง ๆ อีกทั้งที่นี่น่าจะถูกใจทั้งสายเที่ยว สายกินและสายถ่ายรูป เพราะมีจุดแลนด์มาร์กและอาหารการกินเพียบ ใครโหยหาความชิลล์ ลองนั่งรถไฟไปเมืองแม่กลองดูนะ ไม่ผิดหวัง
- สถานีต้นทาง : สถานีวงเวียนใหญ่
- สถานีปลายทาง : สถานีมหาชัย
- ราคาตั๋ว : เริ่มต้น 10 บาท
ราชบุรี
เยือนดินแดนแห่งวัฒนธรรมลุ่มแม่น้ำแม่กลอง ที่เที่ยวยอดฮิตใกล้กรุงเทพฯที่หลาย ๆ คนเลือกเป็นทริปรถไฟชิล ๆ กันค่อนข้างเยอะ เพราะที่แห่งนี้มีทั้งที่เที่ยวธรรมชาติ อากาศบริสุทธิ์ และยังโดดเด่นด้านศิลปวัฒนธรรม เรื่องราวทางประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจไม่น้อย จุดเช็คอินก็มีให้เลือกเที่ยวกันตามใจชอบ ไม่ว่าจะเป็น ริมแม่น้ำแม่กลอง,ตลาดน้ำดำเนินสะดวก หรือ จะสักการะพระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ของเมืองราชบุรีที่ วัดป่าพุทธาราม ก็ได้เหมือนกัน เหมาะกับการไปเที่ยวแบบ One Day Trip สุดๆ
- สถานีต้นทาง : สถานีกรุงเทพ
- สถานีปลายทาง : สถานีราชบุรี
- ราคาตั๋ว : เริ่มต้น 25 บาท
ลพบุรี
อีกหนึ่งที่เที่ยวใกล้กรุงเทพที่เต็มไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์ ไม่ว่าจะเป็น พระปรางค์สามยอด ,พระนารายณ์ราชนิเวศน์ อีกทั้งยังมี ทริป สุด Unseen ของไทย รถไฟลอยน้ำกลางเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์ ที่จะได้เห็นวิวของเขื่อนที่กว้างไกลสุดลูกหูลูกตา ท่ามกลางบรรยากาศที่โอบล้อมด้วยผืนน้ำและผืนป่าเขียวชอุ่มสองข้างทาง ถือเป็นที่เที่ยวใกล้กรุงเทพที่นอกจากจะได้ชมความงามของสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ยังได้รูปถ่ายสวยๆ อีกด้วยนะ
- สถานีต้นทาง : สถานีกรุงเทพ
- สถานีปลายทาง : สถานีลพบุรี
- ราคาตั๋ว : เริ่มต้น 28 บาท
กาญจนบุรี
ปิดท้ายทริปนั่งรถไฟเที่ยวที่ จังหวัด กาญจนบุรี ดินแดนแห่งสายน้ำและการผจญภัย สัมผัสธรรมชาติสีเขียวของป่าสองข้างทางรถไฟ ความอุดมสมบูรณ์ของแม่น้ำสายหลัก 2 สาย ซึ่งจังหวัดนี้มีไฮไลต์สำคัญอย่าง สะพานข้ามแม่น้ำแคว ,ถ้ำกระแซ ,น้ำตกไทรโยค นับว่าเป็นแลนด์มาร์คของเมืองกาญจน์ที่ห้ามพลาด เรียกได้ว่าเป็นที่เที่ยวที่มีเสน่ห์ไม่แพ้ที่ไหนๆเลย
- สถานีต้นทาง : สถานีธนบุรี
- สถานีปลายทาง : สถานีสะพานแควใหญ่
- ราคาตั๋ว : เริ่มต้น 25 บาท
และทั้งหมดนี้ก็เป็นที่เที่ยว แบบ One Day Trip ที่ทางเราได้คัดมาให้แล้ว แต่ยังมีอีกหลายจังหวัดในประเทศไทยที่สามารถใช้รถไฟเดินทางไปเที่ยวได้ ใครที่อยากเที่ยวแต่ไม่มีรถส่วนตัว ลองให้รถไฟเป็นตัวเลือกในการเดินทางดูนะ ถ้าเจอที่เที่ยวใกล้กรุงเทพ ที่ถูกใจก็อย่าได้รอช้า รีบแพลนแล้วตามไปเก็บกันเลย รับรองยังไงก็คุ้มค่ากับการพักผ่อนสุดๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 06/12/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,600.00 | 33,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,176.00 | 32,988.16 | 34,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,958.40 | 29,689.34 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,740.80 | 26,390.53 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 979.00 | 14,841.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 762.00 | 11,551.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,255.00 | 34,185.80 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 06/12/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.65 | 35.65 | 35.95 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 33.88 | 33.88 | 34.18 | 33.88 | 33.88 | 33.88 | 33.88 | 33.88 | 33.88 | 33.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.54 | 33.54 | 33.84 | 33.54 | 33.54 | – | 33.54 | 33.54 | 33.54 | 33.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.69 | 33.69 | – | – | – | – | – | – | – | 33.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.44 | 47.34 | 47.84 | 47.34 | – | – | – | – | – | 43.44 |
เบนซิน 95 | 43.54 | – | – | – | 44.71 | – | 44.04 | 43.69 | – | 43.54 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 44.94 | 43.64 | 42.94 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |