‘อสังหาฯไทยผนึกญี่ปุ่น’ร่วมทุนทะยานกว่า2แสนล้าน!
10 กว่าปีที่ผ่านมาผู้ประกอบการอสังหาฯไทยและญี่ปุ่นร่วมทุนมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท เอฟเฟกต์!ปัญหาระดมทุนพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ในประเทศยากขึ้นจากสถาบันการเงินเข้มงวดในการปล่อยกู้โครงการและหุ้นกู้ขายยากขึ้นส่งผลให้แนวโน้มการร่วมทุนเพิ่มขึ้น
สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด ระบุว่า ช่วง 10 กว่าปีที่ผ่านมา การลงทุนร่วมกันของผู้ประกอบการไทยและญี่ปุ่นมีมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท! เฉพาะการร่วมทุนระหว่างยักษ์ใหญ่ “เอพี” กับ “มิตซูบิชิ เอสเตท” เกินกว่า 100,000 ล้านบาท ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา รวมทั้ง “อนันดาฯ” และ “มิตซุย ฟูโดซัง” มีการลงทุนร่วมกันเกิน 100,000 ล้านบาทเช่นกัน
อีกรายที่มีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นมายาวนาน มีโครงการและเงินลงทุนร่วมกันจำนวนมาก นั่นคือ “เสนาฯ” กับ “ฮันคิว ฮันชิน” ร่วมลงทุนกันไม่ต่ำกว่า 50,000 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังมี “ออริจิ้น” กับ “โนมูระ เรียลเอสเตท” ร่วมกันพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมูลค่ารวมกว่า 40,000 ล้านบาท ทั้งมีการร่วมทุนกับผู้ประกอบการญี่ปุ่นหลายราย เช่น เอสคอน เจแปน (ประเทศไทย), โตคิว แลนด์, โซเท็ตซึ เรียล เอสเตท และ CI:Z Limited Liability Partnership เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม โรงแรม และมิกซ์-ยูส ร่วมกัน
สุรเชษฐ ขยายความต่อว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต้องใช้เงินลงทุนจำนวนมาก อีกทั้งยังมีความผันแปรไปตามภาวะเศรษฐกิจ ความไม่แน่นอนต่างๆ ซึ่งผลต่อความเชื่อมั่นในการซื้อที่อยู่อาศัย ที่จะต้องมีการขอสินเชื่อธนาคาร และเป็นการสร้างภาระหนี้สินในระยะยาว
“เมื่อไม่มั่นใจในสถานะทางการเงินของตนเอง หรือไม่มีความเชื่อมั่นต่อภาวะเศรษฐกิจระยะยาว ก็มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ ยิ่งการขอสินเชื่อในภาวะเศรษฐกิจถดถอย ทำได้ยาก เพราะสถาบันการเงินเข้มงวดในการคัดกรองการปล่อยกู้ทั้งสินเชื่อโครงการและสินเชื่อส่วนบุคคลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดหนี้เสียในอนาคต”
ปัจจุบัน ฝั่งของผู้ประกอบการไม่ว่าจะเป็นโครงการบ้านหรือคอนโดมิเนียมเริ่มติดขัดในหลายปัญหา ที่ชัดเจน คือ “เงินลงทุนหมุนเวียน” ได้ผลกระทบจากรายได้ จากการขายโครงการที่อยู่อาศัย “ลดลง” ทำให้การขอสินเชื่อโครงการในภาวะเศรษฐกิจถดถอยยากขึ้น รวมทั้งการออกหุ้นกู้เพื่อนำเงินมาพัฒนาโครงการก็ไม่ใช่ทางออกในการแก้ปัญหาได้เหมือนเดิม เพราะนักลงทุนขาดความเชื่อมั่น!
ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์ทั้งรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ รายกลางและรายเล็กมองหา “ผู้ร่วมทุน” ไม่ว่าจะเป็นในประเทศ และต่างประเทศ เพื่อร่วมกันพัฒนาโครงการ แม้ว่าการร่วมทุนนั้นอาจทำให้ได้รับผลตอบแทนที่ลดลง! แต่ก็ใช้เงินลงทุนลดลงด้วยเช่นกัน
ในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมา ส่วนใหญ่จะเป็นการร่วมทุนเพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมระหว่างผู้ประกอบการไทยและนักลงทุนต่างชาติ ซึ่งที่เห็นได้ชัดเจนในช่วงที่ผ่านมามีทั้งกลุ่มทุนสัญชาติญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน ฮ่องกง เกาหลี และประเทศอื่นๆ แต่ไม่มากนัก
“การลงทุนของดีเวลลอปเปอร์จากญี่ปุ่นเข้ามาในรูปแบบของการร่วมทุนไม่ใช่เข้ามาลงทุนด้วยตนเองเหมือนกับจีน ซึ่งที่ผ่านมามีการร่วมทุนระหว่างผู้ประกอบการไทยกับญี่ปุ่นจัดตั้งบริษัทให้ผู้ประกอบการไทยถือหุ้นในสัดส่วน 51% ของมูลค่าโครงการพร้อมทั้งบริหารภายใต้ความเชี่ยวชาญตลาดประเทศไทย”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
แบงก์เข้มปล่อยกู้โครงการ-หุ้นกู้ขายยากอสังหาชูโมเดลร่วมทุนกระจายเสี่ยง
ท่ามกลางข้อจำกัดมากมายในภาคอสังหาฯทั้งปัญหาธนาคารคุมเข้มการปล่อยสินเชื่อโครงการ วิกฤติหุ้นกู้ ทำให้ความเชื่อมั่นลดลง การระดมทุนยากขึ้นส่งผลให้โมเดลการร่วมลงทุน (Joint Venture)ระหว่างดีเวลลอปเปอร์ต่างชาติและไทยเพิ่มขึ้น
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงครึ่งหลังปี 2567 ธุรกิจอยู่ในสถานการณ์ต้องเฝ้าระวัง เพราะภาพรวมเศรษฐกิจและปัญหาหุ้นกู้
“ตลาดการเงินอยู่ในภาวะที่เปราะบาง ทุกบริษัทต้องระมัดระวังมากขึ้น การเข้าถึงแหล่งสินเชื่อ เข้าถึงตลาดเงินยากขึ้น ทำให้เกิดข้อจำกัดในการลงทุน อีกทั้งกระแสข่าวหลายเรื่องไม่เอื้อต่อการลงทุน ผลกระทบเริ่มลามจากคนซื้อมายังคนขาย”
สำหรับแนวทางการปรับตัวของเสนาฯ เน้นคุมเข้มการลงทุน ดูแลกระแสเงินสดให้ดี ลงทุนร่วมกับพันธมิตร ไม่ลงทุนคนเดียว ซึ่งช่วยแบ่งเบาภาระลดความเสี่ยงได้ดี ถือเป็นปัจจัยบวก ซึ่งช่วงที่ผ่านมา เสนาฯ ให้ความสำคัญในเรื่องพาร์ตเนอร์ การบริหารการเงิน การบริหารจัดการพอร์ตโฟลิโออย่างมีประสิทธิภาพ จะเห็นได้ว่า เสนาฯ มีความร่วมมือ กับ ฮันคิว ฮันชิน พร็อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ร่วมลงทุนในโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง
“กลยุทธ์นี้เป็นการมองในระยะยาว เพื่อกระจายความเสี่ยง และลดการลงทุน ขณะเดียวกันอัตราหนี้สินต่อทุนหรือ Net IBD/E Ratio ต่ำลง สะท้อนถึงการเติบโตของธุรกิจบนพื้นฐานทางการเงินที่ดี”
ทางด้าน นฑา กิตติอักษร รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมีนโยบายลดความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการด้วยการร่วมทุนกับพันธมิตรในทุกโครงการเพื่อสร้างการเติบโต โดยจะพิจารณาว่าแต่ละพันธมิตรเชี่ยวชาญด้านไหนเพื่อลงทุนตามความเชี่ยวชาญนั้นๆ
ซึ่งที่ผ่านมามีการร่วมทุนกับพันธมิตรหลายชาติ อาทิ สิงคโปร์ อิสราเอล เกาหลี ล่าสุด กลุ่มทุน “โมริ ทรัสต์” ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่จากประเทศญี่ปุ่น จำนวน 2 โครงการ มูลค่ากว่า 3,000 ล้านบาท โครงการแรกมอลตัน เกทส์ กรุงเทพกรีฑา 2 มูลค่า 2,100 ล้านบาท คาดเริ่มดำเนินการก่อสร้างไตรมาส 3 ปี 2567 อีกโครงการมูลค่ากว่า 1,000 ล้านบาท
“โครงการแรกที่ร่วมกัน ถือเป็นโปรเจกต์แรกของโมริ ทรัสต์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยใช้การลงทุนในสัดส่วนเท่ากันในแต่ละโครงการ ซึ่งโมเดลร่วมลงทุนดังกล่าวจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจลดความเสี่ยง และเสียอัตราดอกเบี้ยน้อยลง จากการมีผู้ร่วมทุนมากขึ้น เมื่อเทียบการขอสินเชื่อโครงการจากสถาบันการเงิน”
นอกจากนี้ บริษัทยังมีกลุ่มทุนอสังหาริมทรัพย์จากญี่ปุ่นอีก 2 ราย ที่อยู่ระหว่างรอเซ็นสัญญาร่วมทุน เป็นกลุ่มที่เคยร่วมทุนกับดีเวลลอปเปอร์รายอื่นในประเทศไทยมาแล้ว
บุญ ชุน เกียรติ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ชีวาทัย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทได้ตกลงทำความร่วมมือขยายธุรกิจเพื่อต่อยอดแผนการลงทุนภายใต้การร่วมทุนกับ บริษัท นิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท จำกัด หรือ NSKRE ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำจากญี่ปุ่น โดยบริษัทถือหุ้น 51% และ นิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท ถือหุ้น 49% เพื่อพัฒนาโครงการร่วมกัน โครงการแรก คอนโดมิเนียม “ชีวาทัย ฮอลล์มาร์ค เอกมัย-รามอินทรา” จำนวน 413 ยูนิต และอาคารพาณิชย์ 2 ยูนิต มูลค่า 1,014 ล้านบาท
อิตารุ อิชิฮาร่า ผู้อำนวยการสายงานธุรกิจองค์กรและธุรกิจต่างประเทศ บริษัท นิปปอน สตีล โควะ เรียล เอสเตท จำกัด หรือ NSKRE กล่าวว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยมีความน่าสนใจ เนื่องจากการเติบโตทางเศรษฐกิจที่ยังคงได้รับแรงหนุนจากอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวทำให้ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยเติบโตต่อเนื่อง
“ที่ผ่านมามีการขยายตัวอย่างรวดเร็วของระบบขนส่งสาธารณะ ทั้งรถไฟฟ้า BTS และ MRT ช่วยส่งเสริมการขยายตัวของเมืองได้อย่างรวดเร็ว กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่มีโอกาสด้านการพัฒนาของตลาดที่อยู่อาศัยเพื่อต่อยอดธุรกิจอสังหาริมทรัพย์นอกญี่ปุ่น จากที่บริษัทได้มีการลงทุนแล้วในสหรัฐก่อนหน้านี้”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8ส.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 35.60 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังผันผวน มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.45-35.70 บาท/ดอลลาร์ เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways มีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8ส.ค. 2567 ที่ระดับ 35.60 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.66 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงมุมมองเดิมว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นมีกำลังมากขึ้น
ดังจะเห็นได้จากในวันก่อนหน้าที่เงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.65 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ได้ โดยเฉพาะในช่วงหลังตลาดรับรู้คำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญในคดียุบพรรคก้าวไกล (มติเอกฉันท์ ให้ยุบพรรคก้าวไกล)
ทำให้เราประเมินว่า ในเชิงเทคนิคัลนั้น สำหรับ Time Frame Daily ค่าเงินบาท (USDTHB) อาจเกิดรูปแบบ Bullish Reversal Pattern สะท้อนโอกาสที่จะทยอยผันผวนอ่อนค่าลงได้ สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอทยอยขายเงินดอลลาร์ หากเงินบาทสามารถทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง (Sell on Rally)
นอกจากนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนจากการทยอย Unwind JPY Carry Trade หรือ สถานะ Short JPY (มองเงินเยนอ่อนค่า) เพิ่มเติม หลังเงินเยนญี่ปุ่นได้ผันผวนอ่อนค่าลงเกือบแตะระดับ 148 เยนต่อดอลลาร์ ตามถ้อยแถลงของทางธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ที่สะท้อนว่า BOJ จะระมัดระวังในการดำเนินนโยบายการเงินมากขึ้น โดยแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายอาจมีการเปลี่ยนแปลงได้ หากความปั่นป่วนในตลาดการเงิน
ส่งผลกระทบต่อคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจ รวมถึงความเสี่ยงและโอกาสที่ BOJ จะบรรลุคาดการณ์ดังกล่าว โดยในช่วงเช้านี้ เราเห็นการทยอยลดสถานะ Short JPY หรือ Unwind JPY Carry Trade ของผู้เล่นในตลาดเพิ่มเติม ส่งผลให้ เงินเยนญี่ปุ่นทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นต่ำกว่าโซน 146 เยนต่อดอลลาร์ อีกครั้ง กดดันให้เงินดอลลาร์ผันผวนอ่อนค่าลง ดังนั้น ความผันผวนของค่าเงินเยนในช่วงนี้ ก็อาจส่งผลกระทบมายังค่าเงินบาทได้ไม่ยาก
ทั้งนี้ แม้เงินบาทอาจมีจังหวะแข็งค่าขึ้นได้บ้างจากปัจจัยข้างต้น ทว่า การแข็งค่าก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดเช่นกัน โดยเบื้องต้น เราคงประเมินโซนแนวรับเงินบาทแถว 35.50 บาทต่อดอลลาร์ และหากเงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้จริง สวนทางกับที่เราประเมินไว้ ก็อาจแข็งค่าทดสอบโซน 35.30 บาทต่อดอลลาร์ได้
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะ JPY Carry Trade/Short JPY
ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.45-35.70 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 35.52-35.66 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้นของราคาทองคำ (XAUUSD)
อย่างไรก็ดี เงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหลุดโซนแนวรับ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ หลัง บรรยากาศในตลาดการเงินสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off)
กดดันโดยแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ตามการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จนเกือบแตะระดับ 4.00% โดยภาพดังกล่าวได้หนุนให้เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง
ขณะเดียวกัน ราคาทองคำก็พลิกกลับมาปรับตัวลดลงกลับสู่โซนแนวรับ 2,380 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันค่าเงินบาท
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ถูกกดดันจากแรงขายหุ้นในธีม AI/Semiconductor นำโดย Nvidia -5.1% ซึ่งอาจมาจากทั้งการทยอยลดความเสี่ยงของผู้เล่นในตลาด ในส่วนของการลงทุนที่เป็น Crowded Trades (หุ้นธีม AI/Semiconductor) และ
แรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จนเกือบแตะระดับ 4.00% ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นๆ ทยอยปรับตัวขึ้นกันได้บ้าง อาทิ กลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวขึ้น ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ลดลง -1.05% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.77%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พุ่งขึ้นกว่า +1.54% หลังผู้เล่นในตลาดเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม ท่ามกลางรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ออกมาสดใส
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปถูกกดดันอยู่บ้าง หลังหุ้นบริษัทยายักษ์ใหญ่ อย่าง Novo Nordisk ดิ่งลง -6.7% จากรายงานผลประกอบการที่แย่กว่าคาด และยอดขายยาลดน้ำหนักยอดฮิต อย่าง Wegovy ก็ออกมาน่าผิดหวัง
ในส่วนตลาดบอนด์ แม้ว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่กล้าเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นชัดเจนในฝั่งสหรัฐฯ ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด
รวมถึง ผลการประมูลบอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่มีความต้องการลดลงจากช่วงก่อนหน้า ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง จนเกือบแตะระดับ 4.00% ซึ่งเป็นโซนแนวต้านระยะสั้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก่อนที่จะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะย่อตัวลงบ้างกลับสู่ระดับ 3.90%
ทั้งนี้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงมีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงขึ้น หากผู้เล่นในตลาดทยอยลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม โดยล่าสุด จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดมีโอกาส 72% ที่จะลดดอกเบี้ยถึง 50bps ในการประชุมเดือนกันยายน
ทำให้เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยลดความคาดหวังเพิ่มเติมได้ไม่ยาก หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้าไม่ได้แย่ลงต่อเนื่องไปมาก ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจสามารถปรับตัวขึ้นทดสอบหรือเหนือกว่าโซนแนวต้าน 4.00% ได้ ทั้งนี้ เราคงแนะนำใช้กลยุทธ์ Buy on Dip รอจังหวะบอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ ตามเดิม
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ Sideways โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) ที่ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของตลาดหุ้นยุโรป ก่อนที่เงินดอลลาร์จะรีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง
ตามการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงภาพตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ยังคงผันผวนและอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถว 103.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103-103.3 จุด)
อย่างไรก็ดี เรามองว่า ควรระวังความผันผวนจากการทยอย Unwind JPY-Carry Trade หลังเงินเยนมีจังหวะอ่อนค่าลงเหนือโซน 147 เยนต่อดอลลาร์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยลดสถานะ Short JPY หรือ Unwind JPY-Carry Trade หนุนให้เงินเยนสามารถแข็งค่าขึ้นได้ไม่ยาก
ในส่วนของราคาทองคำ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ยังคงไม่สามารถปรับตัวขึ้นเหนือโซน 2,450 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น พร้อมกับการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
อีกทั้งผู้เล่นในตลาดต่างก็รอขายทำกำไรทองคำในโซนดังกล่าว ทำให้ราคาทองคำทยอยปรับตัวลดลง สู่โซน 2,420 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมา
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ อย่าง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึงถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด (Thomas Barkin ซึ่งจะรับรู้ในช่วงราว 02.00 น. ของวันศุกร์ ตามเวลาประเทศไทย) เพื่อประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางดอกเบี้ยนโยบายของเฟด
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ธนาคารกลางอินเดีย (RBI) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 6.50% จนกว่าจะมั่นใจว่า ทาง RBI จะสามารถคุมสถานการณ์เงินเฟ้อได้อย่างแน่นอน (ปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อของอินเดียยังคงสูงกว่าเป้าหมายพอสมควร) และค่าเงินรูปี (INR) มีเสถียรภาพมากขึ้น
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดก็จะรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งเป็นปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้ในช่วงนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“เทนนิส พาณิภัค” สร้างประวัติศาสตร์คว้าเหรียญทองโอลิมปิก 2 สมัยซ้อน
“เทนนิส” พาณิภัค วงศพัฒนกิจ สร้างประวัติศาสตร์เป็นนักกีฬาไทยคนแรกที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ได้ 2 สมัย หลังเตะย้ำแค้น ฉิง กั๋ว คู่ปรับเก่าจากศึกเอเชียนเกมส์หนล่าสุดไปในเกมสุดบีบหัวใจกองเชียร์ชาวไทย 2-1 ยก ปิดฉากเส้นทางนักกีฬาเทควันโดได้อย่างสวยงามและยิ่งใหญ่
การแข่งขันเทควันโด โอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่แกรนด์ พาเลซ กรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส เมื่อช่วงดึกวันที่ 7 ส.ค.ที่ผ่านมา จอมเตะสาว “เทนนิส” พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ แชมป์เก่า ที่ฝ่าด่านคู่แข่งทั้ง โมร็อคโก ในรอบ 16 คน, ซาอุดิอาระเบีย ในรอบก่อนรองชนะเลิศ และ โครเอเชีย ในรอบรองชนะเลิศ ขึ้นสังเวียนดวลกับ ฉิง กั๋ว คู่ปรับจากจีน ที่เคยเจอกันมาในรอบชิงชนะเลิศ เอเชียนเกมส์ และมีประเด็นดราม่าเรื่องสกอร์
เปิดฉากยกแรก เป็น ฉิง กั๋ว ที่ชิงเตะเข้าหัวได้ก่อน นำ 3-0 ก่อนที่ในช่วง 30 วินาทีสุดท้าย พาณิภัค จะมาชิงจังหวะต่อยลำตัวและเตะหัว แซงนำ 4-3 ก่อนมา และเตะเข้าลำตัวช่วงปลายยก เอาชนะไปก่อน 6-3 ขึ้นนำ 1-0
มายกสอง ทั้งคู่ต่างดึงจังหวะ ไม่กล้าเดินเกมบุกเข้าใส่ เพราะต่างก็กลัวเพลี้ยงพล้ำ โดยสาวจีนดักต่อยได้ก่อน แต่พาณิภัค เอาคืน ไล่ตามเสมอ 1-1 อย่างไรก็ตาม พาณิภัค พลาดโดนเตะลำตัว ตาม 1–3 ช่วงปลายยก และก็ไล่ไม่ทัน แพ้ยกนี้ 2-3 ทำให้เสมอกัน 1-1 ยก ต้องดวลยกสาม เพื่อตัดสินหาผู้ชนะ
ยกตัดสิน เกมและบรรยากาศในสนามตึงเครียดสุดๆ เพราะทั้งคู่ต่างก็ไม่อยากพลาด โดยเป็น พาณิภัค ที่มาได้ 3 คะแนนในการเตะหัว จากจังหวะขอชาเลนจ์ถึง 2 หนในช่วง 29 วินาทีสุดท้าย และ 16 วินาทีสุดท้าย นำ 6-0 จากนั้นเจ้าตัวประคองเกม และคุมสถานการณ์เอาไว้ได้ ครบยก ชนะไป 6–2 ทำให้ พาณิภัค ชนะไป 2-1 ยก (6-3, 2-3, 6–2) ซึ่งหลังจบแมตช์ พาณิภัค ถึงกับกลั้นน้ำตาแห่งความกดดันและดีใจเอาไว้ไม่อยู่ ก่อนจะวิ่งเข้ามาสวมกอดกับ “โค้ชเช” ชัชชัย เช ท่ามกลางเสียงปรบมือและเสียงเฮของกองเชียร์ชาวไทยที่ตามมาให้กำลังใจจำนวนมาก และวิ่งโบกสะบัดธงชาติไทยไปรอบสนามแข่งขัน
ชัยชนะแมตช์นี้ ทำให้ ”พาณิภัค“ ปิดฉากเส้นทางนักเทควันโดอย่างสมบูรณ์และยิ่งใหญ่ตามที่เคยประกาศไว้ว่าจะเลิกเล่นทันทีหลังจบศึกโอลิมปิกเกมส์ โดย “เทนนิส” กลายเป็นนักกีฬาไทยคนแรก ในประวัติศาสตร์ที่คว้าเหรียญทองโอลิมปิกเกมส์ได้ 2 สมัย และยังเป็นคนแรกด้วย ที่ได้เหรียญรางวัลในโอลิมปิกเกมส์ 3 สมัย
ด้านเหรียญทองแดง ทั้ง 2 เหรียญในรุ่นนี้ ตกเป็นของ โมบิน่า เนเมตซาเดห์ จอมเตะดาวรุ่งจากอิหร่าน ที่เอาชนะดุนยา อาลี อาบูลทาเลบ จาก ซาอุดิอาระเบีย 2-0 ยก (3-0, 4-2) กับ เลน่า สตอยโควิช จากโครเอเชีย ที่เอาชนะ เมอร์ฟ ดินเซล จากตุรกี 2-0 ยก (1-0, 5-3)
สำหรับนักกีฬาที่คว้าเหรียญทองได้ จะได้รับเงินอัดฉีดจากกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติตามกฏเกณฑ์ด้วย โดยนักกีฬาสามารถเลือกรับได้ 2 แบบ หากรับแบบก้อนเดียว จะได้รับ 10 ล้านบาท แต่หากรับแบ่งแบ่งจ่าย จะได้รวม 12 ล้านบาท โดยจะแบ่งจ่าย 2 งวด ซึ่งงวดแรก จ่ายก่อน 50 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีก 50 เปอร์เซ็นต์ที่เหลือจะแบ่งจ่ายในระยะเวลา 4 ปี ซึ่งก็จะทำได้เพิ่มจากเดิม 20 เปอร์เซ็นต์ ทำให้เหรียญทองจะได้รับ 12 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
การมองเข้าไปใน “ไมโครเวฟ” ระหว่างเปิดใช้งาน อันตรายแค่ไหน
ด้วยความกังวลเรื่องมะเร็งที่เพิ่มขึ้นในปัจจุบัน หลายคนจึงเคยได้ยินคำเตือนว่าห้ามมองเข้าไปในไมโครเวฟขณะทำงาน
จากการศึกษาและทดสอบเตาไมโครเวฟมาอย่างยาวนานของ UL บริษัทรับรองมาตรฐานความปลอดภัยของเครื่องใช้ไฟฟ้า จอห์น ดเรงเกนเบิร์ก วิศวกรไฟฟ้า ยืนยันว่ายังไม่เคยมีหลักฐานยืนยันว่าการมองเข้าไปในไมโครเวฟขณะทำงานจะทำให้ดวงตาได้รับบาดเจ็บแต่อย่างใด
เป็นเรื่องปกติที่จะรู้สึกกลัว เพราะเรากำลังพูดถึงเครื่องจักรที่ทำงานโดยการยิงรังสีใส่อาหารของคุณ และดวงตา รวมถึงอวัยวะสืบพันธุ์ เป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ไวต่อรังสีประเภทนี้ ดร. ดเรงเกนเบิร์ก กล่าว เหตุผลสำคัญประการหนึ่งคือ เตาไมโครเวฟทำงานโดยกระตุ้นโมเลกุลน้ำในอาหารให้สั่นสะเทือน จนเกิดความร้อนที่ทำให้สุก และดวงตาของคุณก็เหมือนลูกโป่งน้ำเล็กๆ ที่มองเห็น ยิ่งไปกว่านั้น เลนส์ของดวงตาไวต่อความเสียหายเป็นอย่างมาก การสัมผัสรังสี รวมถึงรังสีไมโครเวฟ เป็นเวลานาน อาจนำไปสู่การพร่ามัวของเลนส์ ซึ่งเรียกว่า ต้อกระจก
แต่เตาไมโครเวฟถูกออกแบบมาเพื่อกักเก็บรังสีไว้ภายใน ดังนั้นจึงไม่มีอันตรายจากการสัมผัสรังสีเลย ตรงบริเวณประตูจะมีซีลยางปิดสนิท และเตาไมโครเวฟจะไม่ทำงานหากประตูไม่ได้ปิดสนิท นอกจากนี้ บานหน้าต่างของเตาไมโครเวฟยังมีตะแกรงโลหะที่มีรูเล็กมากจนคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถผ่านออกไปได้ ตราบใดที่ประตูอยู่ในสภาพดีและซีลยางยังแน่นสนิท รังสีก็จะไม่สามารถรั่วไหลออกมาได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วิธีสร้างความมั่นใจเมื่อต้องพูดนำเสนองาน Speak Out ยังไงให้ปัง
Speak out คือการพูดออกไปในที่สาธารณะ หรือ พูดต่อหน้าหมู่คนเยอะ ๆ อย่างการนำเสนองาน เป็นต้น หากว่าพูดภาษาไทยยากแล้ว หลายคนอาจจะคิดว่า นําเสนองาน ภาษาอังกฤษ นั้นยากกว่า แต่ไม่ต้องกังวลไป เพราะวันนี้เราจะมาบูสต์สร้างความมั่นใจกับวิธีการพูดนำเสนองาน Speak Out ยังไงให้ปัง ลื่นไหล ไม่มีสะดุด ถ้าพร้อมแล้วมาลุยกันเลย
ขั้นตอนการ นําเสนองาน ภาษาอังกฤษ
เมื่อต้องนำเสนองาน เพื่อ Speak out แบบมือโปร เราจำเป็นต้องลิสต์ขั้นตอนอย่างชัดเจน โดยส่วนประกอบของการนำเสนองานนั้นเหมือนกับการเขียนบทความ หรือ essay โดยประกอบไปด้วย 3 หัวข้อใหญ่ดังต่อไปนี้
- Introduction หรือ Beginning (การเกริ่นนำเพื่อดึงดูดความสนใจ แนะนำสิ่งที่ต้องการนำเสนอ)
การเกริ่นนำเสนอจะต้องมีการเสนอจุดประสงค์ของการนำเสนอครั้งนี้ พร้อมกล่าวต้อนรับผู้ฟัง อีกทั้งยังเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องรวมความสนใจของผู้ชมมาไว้ที่เราให้ได้ ด้วยการสบตา (eye contact) การใช้โทนเสียงที่น่าฟัง ไม่ดังไม่เบาจนเกินไป สร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังตั้งแต่แรกเห็น ก็จะช่วยให้พวกเขาติดตามการนำเสนองานของเราได้มากถึง 90%
- Middle (ใจความสำคัญ แก่นของสิ่งที่ต้องการนำเสนอ)
หลังจากที่เกริ่นนำแล้ว ขั้นตอนต่อไปก็มานำเสนอกันเลย! อย่างที่เรารู้กันว่าส่วนนี้คือพระเอกของเรื่องเลย ดังนั้นการนำเสนอช่วงกลางนี้ก็ยังควรจะแบ่งออกเป็น 3-5 หัวข้อย่อย เพื่อให้แต่ละหัวข้อไม่สันสนปนกันและเป็นระบบมากขึ้น โดยอาจใช้คำเพื่อลำดับหัวข้อต่าง ๆ อย่าง firstly, secondly, thirdly …. จนไปถึง finally นั่นเอง
- Conclusion (สรุปสิ่งที่ได้นำเสนอมา เพื่อให้ผู้ฟังเข้าใจองค์ประกอบสำคัญโดยรวม)
เราจะตบท้ายด้วยการสรุปสิ่งที่ได้พูดมาในข้อสรุป โดยเราอาจจะต้องการ Feedback หรือการตอบรับจากผู้ฟังไปด้วย เช่นการถามว่า Any questions? มีคำถาม หรือ ข้อสงสัยไหม เพื่อเป็นการเปิดให้ผู้ฟังมีส่วนร่วมกับการนำเสนอ แล้วก็อย่าลืมกล่าวขอบคุณในตอนท้ายด้วย Thank you for your listening. ขอบคุณที่รับฟัง หรือ Thank you for your time. ขอบพระคุณที่สละเวลา
ประโยคที่มักใช้ นำเสนองาน ภาษาอังกฤษ
Introduction การเกริ่น นําเสนองาน ภาษาอังกฤษ
Good morning/afternoon/evening everyone.
สวัสดียามเช้า / ยามบ่าย / ตอนเย็นทุก ๆ ท่าน
Today, I’m here to discuss about …..
ในวันนี้ ดิฉันมาเพื่อพูดคุยเกี่ยวกับ ….
It’s a pleasure to be here today to talk about…
เป็นเกียรติมากที่ได้มาในวันนี้เพื่อพูดเกี่ยวกับ …
Let’s begin with a look at …
มาเริ่มกันด้วยการดูไปที่ …
I’d like to introduce you to …
เราอยากจะแนะนำให้คุณรู้จักกับ …. (อาจเป็นผลิตภัณฑ์ หรือ โปรเจกต์)
It will take about …. minutes to cover these issues.
งานนำเสนอจะใช้เวลาราว …. นาทีเพื่อครอบคลุมเนื้อหาเหล่านี้
Middle การ นําเสนองาน ภาษาอังกฤษ
I’ve divided my presentation into (จำนวน) sections
เราจะแบ่งการนำเสนอออกเป็น …. ส่วนด้วยกัน
Firstly, secondly, thirdly …. finally
ใช้ในการไล่ลำดับแต่ละหัวข้อ 1…2…3…4 ต่าง ๆ
Next, I’ll focus on…..and then we’ll consider….
ต่อไปเราจะไปโฟกัสกันที่ … และค่อยมาดู …. กัน
Then I’ll go on to highlight what I see as the main points of …
จากนั้นเราจะไปเน้นกันที่ที่เป็นจุดสำคัญของ …
I’d like to discuss in more depth the implications of …
ฉันอยากจะพูดถึงความหมายของ … ให้ลึกมากยิ่งขึ้น
Conclusion สรุปการ นำเสนองาน ภาษาอังกฤษ
I’d like to recap the main points.
ฉันขอสรุปใจความที่พูดไปสั้น ๆ
I appreciate the opportunity to speak with you today.
ฉันยินดีที่ได้มีโอกาสมาพูดคุยกับทุกคนในวันนี้
If you need any further information, feel free to contact me at ….
หากคุณต้องการข้อมูลเพิ่มเติมนอกเหนือจากนี้ โปรดติดต่อฉันได้ที่ …
I hope you found this presentation informative/useful/insightful.
ฉันหวังว่าการนำเสนอครั้งนี้จะให้ข้อมูล/มีประโยชน์/มอบข้อมูลเชิงลึกได้
Does anyone have any questions or comments?
มีใครมีคำถาม หรือ ข้อติชมหรือไม่
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
สทน. จับมือ กฟผ. ดันเทคโนโลยีพลาสมา-ฟิวชัน รับนวัตกรรมพลังงานสะอาด
สทน.-กฟผ. จับมือลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือต่อ 5 ปี ลุยพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมา-ฟิวชัน เฟส 2 หวังยกระดับนวัตกรรมพลังงานสะอาด ลดปล่อยมลพิษ หนุนเป้าหมาย Net Zero
รศ.ดร. ธวัชชัย อ่อนจันทร์ ผู้อำนวยการสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ สทน.เปิดเผยว่า หลังจากที่ สทน. และ กฟผ. ลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ (MOU) เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน ครั้งที่ 1 เมื่อเดือนเมษายน 2562 มีระยะเวลาความร่วมมือ 5 ปี (ปี 2562 – ปี 2566) ซึ่งระยะแรกจะมุ่งเน้นการพัฒนาระบบประกอบของเครื่องโทคาแมคซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในการกักเก็บพลาสมาด้วยสนามแม่เหล็กเพื่อเป็นเครื่องต้นแบบของไทย ระยะเวลาความร่วมมือดังกล่าวได้สิ้นสุดแล้ว แต่เพื่อเป็นการสนับสนุนและผลักดันให้มีการพัฒนา และประยุกต์ใช้เทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้สทน. และ กฟผ. จึงเห็นพ้องร่วมกันเพื่อลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือด้านการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน ระยะที่ 2 มีกำหนดระยะเวลา 5 ปี (ปี 2567 – ปี 2571) นับตั้งแต่วันที่ 24 เมษายน 2567 ความร่วมมือในครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ ดังนี้
1.ร่วมกันศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และเทคโนโลยีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง เพื่อนำไปสู่การสร้างนวัตกรรม เทคโนโลยี ผลิตภัณฑ์ และงานบริการอื่นที่เป็นประโยชน์ต่อสังคมและเศรษฐกิจ
2.สนับสนุนการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และเทคโนโลยีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง ทั้งในแบบพื้นฐานและการประยุกต์เพื่อยกระดับขีดความสามารถของบุคลากรในสาขาวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และสาขาอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้องของประเทศไทย
3. สนับสนุนการพัฒนาเครื่องโทคาแมคของประเทศไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้น และเครื่องเร่งพลาสมาเชิงเส้น (Plasma Linear Device) ตลอดจนอุปกรณ์สนับสนุนอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการศึกษาและพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันของประเทศไทยและภูมิภาคใกล้เคียง
4. ร่วมกันจัดอบรมและถ่ายทอดความรู้ทางวิชาการด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันแก่บุคลากรของทั้งสองฝ่าย บุคลากรทางการศึกษา เยาวชน นักเรียน นักศึกษา ตลอดจนประชาชนทั่วไป เพื่อเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับประโยชน์ของเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน
5. ร่วมกันสร้างเครือข่ายผู้เชี่ยวชาญ เพื่อเสริมสร้างความรู้ในการพัฒนาด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีเฉพาะทางดังกล่าว ตลอดจนเทคโนโลยีสาขาอื่นที่เกี่ยวข้อง
และนำไปใช้ประโยชน์ในเชิงสาธารณะ อันเป็นประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม รวมทั้งศึกษาความเป็นไปได้ในการพัฒนาเทคโนโลยีใหม่ และศึกษาพัฒนาเพื่อยกระดับขีดความสามารถเครื่องโทคาแมคของประเทศไทย
นายธวัชชัย สำราญวานิช รองผู้ว่าการยุทธศาสตร์ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) กล่าวว่า ความร่วมมือนี้จะมุ่งเน้นการส่งเสริม และสนับสนุนการพัฒนาเครื่องโทคาแมคของประเทศไทยให้มีศักยภาพสูงขึ้น
ด้วยการรวมทรัพยากรและความเชี่ยวชาญของทั้งสองหน่วยงาน มุ่งมั่นที่จะผลักดันนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ส่งเสริมบุคลากรทางด้านเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันและแสวงหานวัตกรรมพลังงานที่ยั่งยืนและล้ำสมัย
โดยเฉพาะเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชันที่เป็นนวัตกรรมพลังงานสะอาด ปลอดภัย และปลดปล่อยมลพิษเป็นศูนย์ นำไปสู่เป้าหมาย Net Zero ด้วยศักยภาพและประสบการณ์ของทั้งสองหน่วยงาน จะช่วยผลักดันการพัฒนาเทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน และความสามารถของเครื่องโทคาแมคของประเทศไทย
“กฟผ. เชื่อว่าการพัฒนาและการใช้เทคโนโลยีพลาสมาและฟิวชัน จะเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับการเติบโตนวัตกรรมพลังงานสะอาด เพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทางด้านเศรษฐกิจ สังคมและสิ่งแวดล้อมของประเทศไทยต่อไปในอนาคต” นายธวัชชัย กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
7 ผักผลไม้วิตามินซีสูงปรี๊ดที่นักกำหนดอาหารชาวญี่ปุ่นแนะนำ! กินแทนมะนาวเหลืองได้
วิตามินซีเป็นวิตามินที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากตั้งแต่ไวรัสโควิด-19 เริ่มระบาด เพราะช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกายให้แข็งแรงเพื่อต่อสู้กับเชื้อไวรัสได้ และเมื่อพูดถึงแหล่งวิตามินซี คนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ก็มักนึกถึงมะนาวเหลืองและคนไทยก็มักถึงมะนาวและผลไม้รสเปรี้ยวหลากหลายชนิด อย่างไรก็ดี มีผักและผลไม้อีกหลายชนิดที่มีปริมาณวิตามินซีมากกว่ามะนาวเหลือง มารู้ประโยชน์ของวิตามินซีและแหล่งอาหารที่มีวิตามินซีสูงจากนักกำหนดอาหารชาวญี่ปุ่นกันค่ะ
ประโยชน์ของวิตามินซีมีมากว่าที่คิด
- ช่วยชะลอความแก่และป้องกันโรคต่างๆ
วิตามินซีเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพจึงช่วยชะลอความแก่และช่วยป้องกันโรคที่เกิดจากการดำเนินชีวิตประจำวัน เช่น มะเร็ง โรคหัวใจและหลอดเลือด ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง โรคหลอดเลือดสมอง และกล้ามเนื้อหัวใจตาย เป็นต้น - ช่วยคงความงาม
วิตามินซีเป็นวิตามินที่จำเป็นสำหรับการสร้างคอลลาเจนซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญของผิวหนัง จึงช่วยป้องกันรอยเหี่ยวย่นก่อนวัย ช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินซึ่งเป็นตัวการสำคัญที่ทำให้เกิดกระและฝ้า อีกทั้งยังมีผลในการป้องกันผิวไหม้แดดเนื่องจากรังสียูวีด้วย - เสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย
วิตามินซีช่วยเสริมหน้าที่การทำงานของเซลล์เม็ดเลือดขาว คอยจู่โจมทำลายเชื้อไวรัสและแบคที่เรียที่เข้าสู่ร่างกาย และช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกันที่แข็งแรงของร่างกาย - บรรเทาความเครียด
วิตามินซีมีส่วนร่วมในการสังเคราะห์สารสื่อประสาท เช่น โดพามีนและและฮอร์โมนต่อต้านความเครียด นอกจากนี้ วิตามินซียังเป็นวิตามินที่ร่างกายใช้ต่อสู้กับความเครียดได้ที่ดีที่สุด เมื่อร่างกายมีความเครียด ต่อมหมวกไตจะใช้วิตามินซีในปริมาณมากช่วยปรับสมดุลร่างกายเพื่อรับมือกับผลเสียต่อร่างกายที่เกิดจากกลุ่มฮอร์โมนความเครียด
ผักและผลไม้ที่มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่ามะนาวเหลือง
มะนาวเหลือง 100 กรัมมีปริมาณวิตามินซี 100 มิลลิกรัม ซึ่งสูงกว่ามะนาวที่มีวิตามินซีเพียง 29.1 มิลลิกรัม คนส่วนใหญ่คิดว่าวิตามินซีมีมากในผลไม้ที่มีรสเปรี้ยว แต่ในความเป็นจริงแล้วมีผักและผลไม้หลายชนิดที่มีปริมาณวิตามินซีสูงกว่ามะนาวเหลือง ได้แก่ ผักและผลไม้ดังต่อไปนี้ในปริมาณ 100 กรัม
- กีวี่มีปริมาณวิตามินซี 140 มิลลิกรัม
- พริกหวานสีแดง (ดิบ) มีปริมาณวิตามินซี 170 มิลลิกรัม
- กะหล่ำดาว (ดิบ) มีปริมาณวิตามินซี 160 มิลลิกรัม
- พริกหวานสีเหลือง (ดิบ) มีปริมาณวิตามินซี 150 มิลลิกรัม
- พริกหวานสีส้ม (ดิบ) มีปริมาณวิตามินซี 150 มิลลิกรัม
- บรอกโคลี (ดิบ) มีปริมาณวิตามินซี 140 มิลลิกรัม
- พาร์สลีย์ (ดิบ) มีปริมาณวิตามินซี 120 มิลลิกรัม
ตั้งแต่อายุ 12 ปี ขึ้นไปร่างกายคนเราต้องการวิตามินซีวันละประมาณ 85-100 มิลลิกรัม แต่อาจรับประทานเพิ่มขึ้นตามสถานการณ์ เช่น อยู่ในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อหรือทำงานที่มีความเครียดสูง
หากใส่ใจถึงปริมาณวิตามินซีที่รับประทานในแต่ละวันและไม่ชอบรสเปรี้ยวจากมะนาวก็ลองมองหาผักและผลไม้ทางเลือกตามข้างต้นดูค่ะ ทั้งนี้ผักบางชนิด เช่น บรอกโคลีและกะหล่ำดาวอาจไม่เหมาะกับการรับประทานแบบดิบ ควรเตรียมแบบให้ความร้อนในเวลาสั้นๆ เช่น เพียง 2-3 นาที เพื่อคงปริมาณวิตามินซีไว้ให้มากที่สุด นอกจากนี้ วิตามินซีเป็นวิตามินที่ละลายน้ำได้ง่าย จึงควรหลีกเลี่ยงการหั่นและแช่ผักผลไม้ในน้ำเป็นเวลานานค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 08/08/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,200.00 | 40,300.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,604.00 | 39,476.64 | 40,800.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,343.60 | 35,528.98 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,083.20 | 31,581.31 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,172.00 | 17,767.52 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 911.00 | 13,810.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,698.00 | 40,901.68 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/08/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.35 | 37.35 | 37.85 | 37.35 | 37.35 | 37.35 | 37.35 | 37.35 | 37.35 | 37.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.98 | 36.98 | 37.48 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 | 36.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.24 | 35.24 | 35.84 | 35.24 | 35.24 | – | 35.24 | 35.24 | 35.24 | 35.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.99 | 34.99 | – | – | – | – | – | – | – | 34.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 45.94 |
เบนซิน 95 | 45.24 | – | – | – | 49.81 | – | 45.74 | 45.39 | – | 45.24 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |