“วัน แบงค็อก” ปักธงเปิดบริการ 25 ต.ค. จุดพลุพระราม4 แลนด์มาร์คใหม่ใจกลางกรุง
“วัน แบงค็อก” ปักธงให้บริการ 25 ต.ค.67 จุดพลุ ถนนพระราม4 แลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงยกระดับกรุงเทพฯ สู่มหานครระดับโลก
“พระราม4”ถนนสายประวัติศาสตร์ ย่านศูนย์กลางธุรกิจของไทย เริ่มคึกคักและมีสีสันเมื่อ “วัน แบงค็อก”พัฒนาโดย บริษัท ทีซีซี แอสเซ็ทส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โฮลดิ้งส์ (ประเทศไทย) จำกัด มีความพร้อมเตรียมเปิดให้บริการในเฟสแรก สร้างแลนด์มาร์คแห่งใหม่ใจกลางกรุงเทพมหานคร
ภายใต้แนวคิด “The Heart of Bangkok” เมืองกลางใจ ที่ใช้ใจสร้าง พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ของการใช้ชีวิตทุกรูปแบบของเมืองต้นแบบแห่งอนาคต ที่จะยกระดับกรุงเทพฯ ให้ก้าวสู่ความเป็นมหานครระดับโลกและเป็นจุดหมายปลายทางที่ผู้คนทั่วโลกต้องการมาเยือนอย่างแท้จริง
นายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ลิมิเต็ด กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าภาคเอกชนมีบทบาทสำคัญในการขับเคลื่อนและกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ พร้อมสร้างความเชื่อมั่นกับนักลงทุนให้มองเห็นถึงศักยภาพของเศรษฐกิจไทย โครงการ วัน แบงค็อก จะเป็นส่วนสำคัญในการยกระดับสถานะของกรุงเทพฯ สู่การเป็น “ศูนย์กลางไลฟ์สไตล์ครบวงจรระดับโลก” (Global Integrated Lifestyle Hub) โดยให้ความสำคัญกับผู้คน ชุมชน สังคม ตลอดจนความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม
“เราใช้เวลาร่วมทศวรรษในการมุ่งมั่นออกแบบและพัฒนาโครงการอย่างพิถีพิถัน ทุ่มเทใส่ใจในทุกขั้นตอนทุกรายละเอียด ตั้งแต่เริ่มต้นวางแผนโครงการให้มีความพร้อมในระยะยาว (Future-Proof) ไม่ว่าจะเป็นด้านการสร้างสรรค์นวัตกรรม และเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยโดยร่วมมือกับบริษัทชั้นนำทั่วโลก มุ่งสู่การเป็นต้นแบบเมืองอัจฉริยะแห่งอนาคตที่ยั่งยืน”
ล่าสุดวัน แบงค็อก พร้อมเปิดตัวในวันที่ 25 ตุลาคมนี้ โดยเตรียมผนึกกำลังร่วมกับคู่ค้า พันธมิตรทางธุรกิจ จัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ พร้อมโชว์พิเศษโดย Auditoire หนึ่งในทีมจัดพิธีเปิดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ปารีส 2024 และอีเวนต์ระดับโลกมากมาย ที่จะมารังสรรค์ไฮไลต์โชว์ หนึ่งเดียวในโลกเพื่องานนี้โดยเฉพาะ” นายปณต กล่าวเสริม
ขณะเดียวกันยัง เป็นหนึ่งในการการช็อปปิ้งและไลฟ์สไตล์ครบวงจรที่สุดในที่เดียวกับพื้นที่รีเทล 3 เดสติเนชั่น ภายใต้แนวคิด The Rhythmic Experience ประกอบด้วย Parade และ The Storeys ที่เริ่มเปิดให้บริการ 25 ตุลาคม นี้ รวมถึง POST 1928 มีแผนเปิดให้บริการในเฟสถัดไปบนพื้นที่เช่าสุทธิรวมกว่า 190,000 ตร.ม.นำเสนอคอนเซ็ปต์ที่แตกต่างและดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว เชื่อมเป็นหนึ่งเดียวอย่างไร้รอยต่อบน ‘Retail Loop’ กว่า 900 ร้านค้า โดย Parade และ The Storeys ที่จะมาเติมเต็มประสบการณ์กินดื่มที่สนุกและมีสีสันได้ทุกวัน ฯลฯ
นอกจากนั้นยังมีไฮไลต์ร้านค้าและแบรนด์ชั้นนำ ที่นำเสนอประสบการณ์หนึ่งเดียวในโลกที่รังสรรค์ขึ้นมาเฉพาะที่ วัน แบงค็อกเท่านั้น (Made in One Bangkok) ได้แก่ King Power City Boutique นำเสนอแนวคิด “AN EXPERIENTIAL SHOPPING JOURNEY IN THE CITYพื้นที่มากกว่า 5,000 ตารางเมตร ฯลฯ
ขณะเดียวกัน ในระยะอันใกล้ จะมี โรงแรมริทซ์-คาร์ลตัน กรุงเทพฯ โรงแรมหรูระดับ 6 ดาวแห่งแรกบนถนนพระราม 4 ซึ่งพร้อมเปิดให้บริการเดือน พฤศจิกายน 2567 และ โรงแรมแอนดาซ วัน แบงค็อก โรงแรมแบรนด์แอนดาซแห่งแรกในกรุงเทพฯ ซึ่งพร้อมเปิดให้บริการใน ปี 2568 และ เฟรเซอร์ สวีทส์ กรุงเทพ ที่คาดว่าจะเปิดให้บริการ ในปี 2569
สำหรับในส่วนอาคารสำนักงาน ในเฟสที่หนึ่ง จะประกอบไปด้วย Tower 3, Tower 4 และ Tower 5 ที่ขณะนี้มียอดจองพื้นที่สำหรับอาคาร Tower 4 อยู่ที่ 80% และ Tower 3 อยู่ที่ 30% โดยสำหรับ Tower 5 เปิดให้จองแล้วเช่นเดียวกัน ปัจจุบันมีบริษัทชั้นนำที่ได้ลงนามสัญญาเพื่อย้ายสำนักงานเข้ามาที่โครงการวัน แบงค็อก แล้ว
อาทิ บริษัท เบเคอร์ แอนด์ แม็คเค็นซี่ จำกัด, บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน), เอสเต ลอเดอร์ คอมพานีส์, บริษัท เอ. เมนารินี (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท ไลน์แมน วงใน และบีเอ็มดับเบิลยู กรุ๊ป ประเทศไทย เป็นต้น ในส่วนของ Residences at One Bangkok ที่พักอาศัยเหนือระดับบนทำเลดีที่สุดบนถนนวิทยุ พร้อมเปิดให้เข้าชมตั้งแต่ปลายปี 2567 เป็นต้นไป
นอกจากนี้ ยังจุดประกาย “Art Loop” เส้นทางแห่งศิลปะและวัฒนธรรมความยาวกว่า 2 กิโลเมตร ครอบคลุมทั่วทั้งโครงการ พร้อมชม One Bangkok Public Art Collection ผลงานศิลปะสาธารณะจากศิลปินระดับโลกและศิลปินท้องถิ่นที่น่าจับตามอง ที่ได้รับการคัดสรรและออกแบบให้เข้ากับบริบทของ วัน แบงค็อก
มีไฮไลต์คือประติมากรรม จาก อนิช คาพัวร์ (Anish Kapoor) และ โทนี แคร็กก์ (Tony Cragg) และยังเตรียมเผยโฉม The Wireless House One Bangkok นิทรรศการที่ชุบชีวิตประวัติศาสตร์อันทรงคุณค่าของสถานีวิทยุโทรเลขแห่งแรกของประเทศไทยกลับมาเล่าใหม่อย่างร่วมสมัย บนสถาปัตยกรรมที่จะพาคุณย้อนกลับในปี พ.ศ. 2456 ถือเป็นจุดหมายแรกในวัน แบงค็อก
การเปิดตัวอย่างเป็นทางการของ วัน แบงค็อก นับเป็นการเฉลิมฉลองช่วงเวลาอันสำคัญของการเปลี่ยนผ่านกรุงเทพฯ สู่การเป็นมหานครระดับโลก เป็นผลงานแห่งความสำเร็จที่น่าภาคภูมิใจจากวิสัยทัศน์แห่งความยั่งยืนสู่เมืองอัจฉริยะ “เมืองกลางใจ” ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการและเติมเต็มประสบการณ์การใช้ชีวิต ในทุกมิติไปพร้อม ๆ กัน ในวันที่ 25 ตุลาคม 2567 นี้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
กลุ่มสยามกลการ ผู้เล่นหน้าใหม่ บุก อาคารสำนักงานอัจฉริยะสีเขียวกลางกรุง
กลุ่มสยามกลการ จากอุตสาหกรรมรถยนต์ ดนตรี สู่ผู้เล่นหน้าใหม่ บุก อาคารสำนักงานอัจฉริยะสีเขียวใจกลางกรุงเทพ เปิดตัว ” สยามปทุมวัน เฮ้าส์” 3,500ล้านบาท
กลุ่มสยามกลการ ดำเนินธุรกิจอุตสาหกรรม รถยนต์ อะไหล่ชิ้นส่วนรถยนต์ เครื่องจักรกลหนัก รวมถึงการท่องเที่ยว บริการ การศึกษาและเครื่องดนตรี ฯลฯ ล่าสุด ก้าวสู่ผู้เล่นหน้าใหม่ในตลาดอาคารสำนักงานใจกลางเมือง
ที่ประเมินว่า การขยายตัวของนักธุรกิจต่างชาติเข้ามาในไทยจำนวนมาก ขณะเดียวกัน กลุ่มนักธุรกิจไทยรวมถึงคนรุ่นใหม่ต้องการอาคารสำนักงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม จึงมองเห็นโอกาสน่านน้ำใหม่ในการขยายธุรกิจสร้างรายได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว
ทั้งนี้กลุ่มสยามกลการ ได้เปิดตัว อาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์ อาคารสำนักงานอัจฉริยะระดับพรีเมียมเกรดเอแห่งแรกของบริษัทฯ ใจกลางย่านปทุมวัน อย่างเป็นทางการ ซึ่งเป็นเมกะโปรเจ็กต์มูลค่ากว่า 3.5 พันล้านบาท
ได้รับรองมาตรฐาน LEED ระดับโกลด์, Fitwel ระดับ 1 ดาว, WiredScore ระดับแพลตตินัม และ SmartScore ระดับโกลด์ ด้วยการออกแบบเพื่อสร้างมาตรฐานใหม่
สำหรับสภาพแวดล้อมการทำงานที่ทันสมัย มีชีวิตชีวา และสะดวกสบาย ที่ผสมผสานการทำงานเข้ากับไลฟ์สไตล์ได้อย่างลงตัว พร้อมรองรับผู้ประกอบการธุรกิจ สตาร์ตอัป และคนทำงานยุคใหม่ ภายใต้แนวคิด ‘A Home For The Future Of Work’
อาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์ เป็นโครงการใหม่ภายใต้กลุ่มธุรกิจการลงทุน ซึ่งเป็น 1 ใน 6 กลุ่มธุรกิจหลักของ กลุ่มสยามกลการ ได้แก่ อุตสาหกรรมรถยนต์ อะไหล่ชิ้นส่วนรถยนต์ อุตสาหกรรมและเครื่องจักรกลหนัก การท่องเที่ยวและบริการ การศึกษาและเครื่องดนตรี และการลงทุน
โครงการนี้ยังถือเป็นก้าวสำคัญของ SMG Next ซึ่งคือกลุ่มบริษัทที่เป็นธุรกิจใหม่ของ กลุ่มสยามกลการ ด้วยเช่นกัน โดยการก่อสร้างอาคารฯ เริ่มขึ้นด้วยพิธีวางศิลาฤกษ์ในเดือนเมษายน 2564 และดำเนินการก่อสร้างเสร็จสิ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ปี 2566 นับเป็นการเปิดศักราชใหม่ให้กับพื้นที่สำนักงานในกรุงเทพฯ
นายประกาสิทธิ์ พรประภา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท สยามกลการ จำกัด ระบุว่า อาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์ เป็นเครื่องยืนยันถึงวิสัยทัศน์ ‘SMG Next: Building Tomorrow, Today’ ของบริษัท
อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ของความมุ่งมั่นในการสรรสร้างพื้นที่การทำงานที่เปี่ยมไปด้วยแรงบันดาลใจ ยกระดับความเป็นอยู่ที่ดีทั้งในด้านการทำงานและชีวิตส่วนตัวด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะและการออกแบบสภาพแวดล้อมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ภายใต้ค่านิยม ที่กำหนดขึ้นคือ
Passion: การรักและมีความสุขในสิ่งที่ทำ, Adaptability: การปรับวันนี้เพื่อพรุ่งนี้ที่ดีกว่า และ Contribution: การเป็นผู้ให้อย่างสร้างสรรค์เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด กลุ่มสยามกลการ ไม่เพียงแต่มีเป้าหมายที่จะกำหนดอนาคตของการทำงานด้วยอาคารสำนักงานระดับพรีเมียมเกรดเอนี้เท่านั้น
แต่ยังมุ่งขับเคลื่อนการเติบโตของประเทศไทยผ่านบริษัทในเครือของเรากว่า 69 แห่งทั่วตลาดต่าง ๆ เรามีการขยายการดำเนินธุรกิจไปยัง 6 ประเทศทั่วอาเซียนด้วย ซึ่งจะช่วยสนับสนุนการเติบโตในภูมิภาคนี้เช่นเดียวกัน
“ในวันนี้ เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้แนะนำ อาคารสยามปทุมวัน เฮ้าส์ ให้ทุกท่านได้รู้จัก และหวังว่าอาคารนี้จะเป็นแบบอย่างให้กับอนาคตของพื้นที่สำนักงานที่ส่งเสริมนวัตกรรม ความยั่งยืน และสภาพแวดล้อมการทำงานที่สมดุลสำหรับทุกคน”
ทั้งนี้ อาคารสำนักงาน 33 ชั้นนี้มีความสูง 136 เมตร และมีพื้นที่ให้เช่าสำนักงานและพื้นที่ร้านค้าปลีกทั้งหมด 51,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่บนถนนพญาไทในพื้นที่ย่านสยามสแควร์ ซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางการเชื่อมต่อที่เพียบพร้อมด้วยตัวเลือกการเดินทาง
อาทิ ทางเชื่อมลอยฟ้าโดยตรงจากตัวอาคารไปยัง ONESIAM ลานเชื่อมแยกปทุมวัน, รถไฟฟ้าบีทีเอส, รถไฟฟ้าแอร์พอร์ต เรล ลิงก์, ท่าเรือ และทางด่วนหลายสายนอกจากนี้ ยังตั้งอยู่ใกล้กับสถานที่สำคัญทางการค้าและวัฒนธรรมอย่าง สยามพารากอน ศูนย์การค้าเอ็มบีเค เซ็นเตอร์ และหอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร
โดยทำเลชั้นเยี่ยมและการเชื่อมต่อชั้นยอดนี้จึงทำให้ผู้ใช้อาคารสามารถเข้าถึงสิ่งอำนวยความสะดวกและบริการต่าง ๆ ได้อย่างง่ายดาย เพิ่มดุลยภาพให้กับการทำงานและการใช้ชีวิต รวมถึงความสะดวกสบายโดยรวม เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8ต.ค. “อ่อนค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 33.48 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า หลังตลาดยังปรับลดความคาดหวังต่อการ “ลดดอกเบี้ย” ของเฟดลงบ้าง ซึ่งหนุนทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ กดดันบรรดาสกุลเงินหลัก ไม่ว่าเงินยูโร เงินปอนด์ เงินเยน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 8ต.ค. 2567 ที่ระดับ 33.48 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.46 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ ทว่า เงินบาทก็ยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน
ซึ่งก็สอดคล้องกับมุมมองของเราว่า “ตราบใดที่ราคาทองคำยังมีจังหวะปรับตัวสูงขึ้นได้ จากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง เงินบาทก็อาจไม่สามารถอ่อนค่าลงได้ต่อเนื่องอย่างชัดเจน”
นอกจากนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงรอจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หรือจังหวะการอ่อนค่าลงของเงินบาทใกล้โซนแนวต้าน ในการทยอยขายทำกำไรสถานะถือครองเงินดอลลาร์ หรือ สถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ส่วนฝั่งผู้ส่งออกก็อาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ด้วยเช่นกัน ทำให้การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
ทั้งนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ หลังผู้เล่นในตลาดไม่เพียงแต่ปรับลดความคาดหวังต่อการ “เร่งลดดอกเบี้ย” ของเฟด แต่ล่าสุดยังปรับลดความคาดหวังต่อการ “ลดดอกเบี้ย” ของเฟดลงบ้าง
ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ กดดันบรรดาสกุลเงินหลัก ไม่ว่าจะเงินยูโร (EUR) เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) และเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคาดหวังนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นจาก ECB, BOE ส่วน BOJ ก็อาจไม่เร่งรีบขึ้นดอกเบี้ย
ทว่า เราคงเชื่อว่า ตลาดจะเผชิญความผันผวนลักษณะ Two-Way Volatility โดยหากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอลงมากกว่าคาด หรือรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงมากขึ้นชัดเจน ก็อาจกดดันให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่าเฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยได้ตาม Dot Plot หรือมากกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ซึ่งอาจกดดันให้เงินดอลลาร์กลับมาอ่อนค่าลงได้
และนอกเหนือจากแนวโน้มเงินดอลลาร์ที่อาจพอได้แรงหนุนจากการปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง เรามองว่า เงินบาทก็ยังคงเผชิญแรงกดดันจากแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ
โดยในช่วงเดือนตุลาคมที่ผ่านมานั้น นักลงทุนต่างชาติได้ขายสุทธิหุ้นและบอนด์ไทยไปกว่า -3.1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเกือบจะใกล้เคียงกับยอดซื้อสุทธิสินทรัพย์ไทยในเดือนกันยายนราว +4 หมื่นบาท
เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.55 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยอ่อนค่าลงบ้าง ในลักษณะ sideways up (กรอบการเคลื่อนไหว 33.38-33.50 บาทต่อดอลลาร์) โดยแม้ว่า เงินดอลลาร์จะแกว่งตัว sideways เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม
ทว่า เงินบาทก็เผชิญแรงกดดันบ้าง หลังราคาทองคำมีจังหวะย่อตัวลง เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำ ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังคงร้อนแรงอยู่
อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังคงถูกจำกัดอยู่แถวโซนแนวต้าน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าวบ้าง แต่หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้ก็อาจเปิดโอกาสให้เงินบาทอ่อนค่าลงต่อเนื่องสู่โซนแนวต้านถัดไปแถว 33.65 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก
ความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางยังคงกดดันบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มกังวลว่า เฟดอาจคงดอกเบี้ย ณ การประชุมเดือนพฤศจิกายน (จาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 14% ที่เฟดจะคงดอกเบี้ย)
ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น กดดันบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ อาทิ Tesla -3.7%, Amazon -3.1% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ลดลง -1.18% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.96%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.18% โดยแม้ว่าบรรยากาศในตลาดหุ้นยุโรปจะถูกกดดันโดยความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทว่าความกังวลดังกล่าวยังคงหนุนให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวขึ้นต่อได้ อาทิ Shell +2.3%
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นธีม China Recovery อาทิ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม LVMH +2.7% ทว่าตลาดหุ้นยุโรปก็ถูกกดดันจากแรงขายบรรดาหุ้นเทคฯ เช่นกัน ASML -1.3% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นทะลุระดับ 4.00% หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง โดยล่าสุดจาก CME FedWatch Tool ผู้เล่นในตลาดให้โอกาสราว 14% ที่เฟดจะคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายน
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบในช่วงนี้ จากความกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็มีส่วนหนุนการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เช่นกัน
อนึ่ง ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินโดยรวม และมุมมองของผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่ที่ยังคงประเมินแนวโน้มการทยอยลดดอกเบี้ยของเฟด (รวมถึงบรรดาธนาคารกลางหลักอื่นๆ) ยังคงหนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างรอจังหวะบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อ (Buy on Dip) ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ไม่ได้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องชัดเจน
ซึ่งเราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดทั้งในปีนี้ และปีหน้า โดยอาจประเมินว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ซึ่งอาจต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาสดใส/ดีกว่าคาด รวมถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อาจไม่ได้ชะลอลงชัดเจนนัก
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ sideways โดยเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มเชื่อว่าเฟดอาจคงดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้
รวมถึงความต้องการถือในช่วงตลาดกังวลปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง อย่างไรก็ตาม เงินดอลลาร์ก็ยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ ท่ามกลางแรงขายทำกำไรหรือการปรับสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 102.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.3-102.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะถูกกดดันบ้างในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้น พร้อมกับการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ทว่าราคาทองคำก็ยังได้แรงหนุนจากความต้องการถือทองคำ ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ทำให้ราคาทองคำยังสามารถรีบาวด์ขึ้นบ้างและแกว่งตัวแถวโซน 2,660-2,670 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้
สำหรับวันนี้ แม้ว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจจะมีไม่มากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบาย หลังล่าสุดรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดไปมาก ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของ ECB เช่นกัน โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ECB อาจลดดอกเบี้ยได้อีกราว -50bps ในปีนี้
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลาม บานปลาย จนส่งผลกระทบในวงกว้างหรือไม่
โดยต้องจับตาอย่างใกล้ชิดว่า ความขัดแย้งดังกล่าวจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันดิบจากตะวันออกกลาง รวมถึงส่งผลกระทบต่อโฟลว์การขนส่งสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงานมากน้อยเพียงใด
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.44-33.46 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.53 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.45 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทยังคงเคลื่อนไหวเป็นกรอบ เพราะแม้จะมีแรงหนุนจากการฟื้นตัวกลับมาบางส่วนของราคาทองคำในตลาโลก และการขยับแข็งค่าขึ้นของเงินหยวนใน Offshore แต่เงินดอลลาร์ฯ ก็มีแรงประคองจากการทยอยปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ เนื่องจากตลาดยังคงปรับลดโอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมเดือนพ.ย. นี้ โดยบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ อายุ 10 ปี กลับขึ้นมาปิดที่ 4.03% (7 ต.ค.) ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในรอบกว่า 2 เดือน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.35-33.58 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค รวมถึงสัญญาณจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดเกี่ยวกับแนวโน้มอัตราดอกเบี้ยนโยบายของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“โค้ชเช” วางแผนเสริมเด็กรูปร่างสูงใหญ่-เทคนิคดีสู้จอมเตะต่างชาติ
“โค้ชเช” ชัชชัย เช หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมเทควันโดไทย เผยสมาคมต้องเร่งพัฒนาและเสริมนักกีฬาที่มีรูปร่างและสรีระสูงใหญ่เข้ามาสู่ทีมตั้งแต่ระดับเยาวชนเพื่อพัฒนาไปสู้กับชาติจากยุโรปและเอเชียหลายๆชาติ ที่ใช้เด็กรูปร่างสูงใหญ่และเทคนิคดีลงแข่งมากขึ้น มองทีมจอมเตะไทยชุดเยาวชนโลก 2024 มีหลายคนที่เทคนิคดี แถมรูปร่างดี และมีแววที่จะก้าวสู่ทีมชาติไทยชุดใหญ่
“โค้ชเช” ชัชชัย เช หัวหน้าผู้ฝึกสอนเทควันโดทีมชาติไทย เปิดเผยถึงผลงานของทีมเทควันโดเยาวชนไทย ในชุดทำศึกเยาวชนชิงแชมป์โลก 2024 ที่เกาหลีใต้ หลังทำผลงานคว้ามาได้ 1 เหรียญทองแดง จาก “อ้อน” กฤตยชญ์ พร้อมปัจจุ ในรุ่น 68 กก.ชาย ว่า “ในครั้งนี้เราส่งนักกีฬาเข้าร่วม 16 คน แบ่งเป็นชาย 8 คน และหญิง 8 คน ซึ่งในหลายๆรุ่นเราทำได้ดี แต่ก็น่าเสียดายที่เราพลาดไป ปกติตนจะดูนักกีฬารุ่นประชาชน แต่มารอบนี้มีโอกาสได้มาดูนักกีฬาดาวรุ่งของเรา รวมถึงดาวรุ่งจากหลายๆประเทศ ซึ่งทำให้เห็นว่าทุกชาตินั้นพัฒนาขึ้น”
“โค้ชเช” เผยว่า “สำหรับเด็กๆไทย เรื่องเทคนิคถือว่าใช้ได้ แต่ยังมีข้อแตกต่างกันเรื่องความสูง ซึ่งเด็กๆเราเป็นรองนักกีฬาจากชาติยุโรป กลับไปที่ไทยเราก็ต้องพยายามหานักกีฬาที่รูปร่างสูงๆมาเสริมทีม ควบคู่ไปกับการพัฒนาในเรื่องสรีระและความแข็งแรงด้วย เพื่อที่จะไม่ให้เด็กไทยเสียเปรียบมากนัก ซึ่งก็อาจจะต้องปรับในเรื่องของเกณฑ์การคัดตัวไปแข่งขันในแมตช์ระดับนานาชาติหลังจากนี้ ส่วนในทัวร์นาเมนต์นี้หลายคนแข่งเป็นปีสุดท้าย บางคนปีหน้าก็ยังมีโอกาสลงได้อีก หนนี้จอมเตะผู้ชาย 2-3 คน มีรูปร่างและผลงานที่ดี มีเทคนิคดีด้วย ก็มองว่ามีโอกาสพัฒนาขึ้นชุดใหญ่ได้”
“อย่างศึกเยาวชนโลกหนนี้ เราได้อันดับ 25 ร่วมในตารางเหรียญรางวัลรวม ส่วนอิหร่านทำผลงานดีมาก คว้าถึง 7 เหรียญทอง ได้เหรียญทองมากที่สุด ซึ่งต้องยอมรับว่าอิหร่านแข็งแกร่งจริงๆทั้งจอมเตะชายและหญิง ซึ่งจากที่ผมได้คุยกับนายกสมาคมกีฬาเทควันโดของอิหร่าน เขาเองก็บอกว่า ก็เน้นและโฟกัสในการเลือกนักกีฬาเข้ามาติดทีมชาติเช่นกัน ซึ่งก็เน้นไปที่นักกีฬาที่มีรูปร่างสูงใหญ่เป็นลำดับแรกๆด้วย”
“โค้ชเช” เผยอีกว่า สำหรับโปรแกรมของทีมเทควันโดไทยชุดใหญ่นั้น ยังมีแมตช์แข่งขันเหลืออยู่ โดยเดือนพ.ย.นี้ ก็จะมีรายการโครเอเชีย โอเพ่น ซึ่งเราจะส่งนักกีฬาทั้งชุดเอและชุดบีเข้าร่วมด้วย เพื่อประเมินความสามารถนักกีฬาในแต่ละรุ่น ซึ่งใครที่ทำผลงานได้ดี ก็มีโอกาสจะได้เป็นตัวแทนทีมชาติไปแข่งขันในแมตช์ระดับนานาชาติปีหน้า ซึ่งปี 2025 จะมีศึกซีเกมส์ที่บ้านเราเป็นเจ้าภาพด้วย
ส่วนทีมเยาวชนชุดนี้ที่มาแข่งขันเยาวชนชิงแชมป์โลกที่เกาหลีใต้ กลับไปไทยก็จะปล่อยให้นักกีฬาพักก่อน เพราะปีนี้ไม่มีแมตช์รุ่นเยาวชนแล้ว อย่างไรก็ตาม เดี๋ยวจะเรียกมาเก็บตัวอีกครั้ง เพื่อเตรียมทีมสำหรับศึกเยาวชนเอเชีย 2025
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
8 พฤติกรรมเสี่ยง “มะเร็งลำไส้ใหญ่” ที่คุณอาจไม่รู้ตัว
มะเร็งลำไส้ใหญ่ อาจไม่ใช่โรคมะเร็งชนิดแรกๆ ที่หลายคนนึกถึง เพราะส่วนใหญ่อาจจะเคยได้ยินแต่มะเร็งเต้านม มะเร็งปากมดลูก มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ หรือมะเร็งปอดกันเสียมากกว่า แต่อันที่จริงแล้ว มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นมะเร็งที่พบผู้ป่วยในไทยเป็นจำนวนมาก ในปี 2553 พบผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ที่เป็นเพศชายมากเป็นอันดับ 2 จากโรคมะเร็งทั้งหมด และเป็นอันดับ 3 ในเพศหญิงอีกด้วย
นอกจากสาเหตุจะไม่เป็นที่แน่ชัดเหมือนกับโรคมะเร็งอื่นๆ แล้ว ผู้ป่วยหลายคนกว่าจะรู้ตัวว่าเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็อาจจะสายเกินแก้ ดังนั้นหากทราบพฤติกรรมที่อาจเสี่ยงต่อโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ตั้งแต่เนิ่นๆ ก็จะช่วยลดโอกาสในการเป็นโรคนี้ได้มากเลยล่ะค่ะ
มะเร็งลำไส้ใหญ่ คืออะไร?
มะเร็งลำไส้ใหญ่ คืออาการที่พบก้อนเนื้อ หรือติ่งเนื้อที่เป็นเซลล์มะเร็งบริเวณผนังลำไส้ใหญ่ ที่ปกติทำหน้าที่แปรของเสียเหลว ที่ถูกดูดซึมเอาสารอาหารที่มีประโยชน์ออกไปเรียบร้อยแล้ว ให้เป็นอุจจาระแข็งเพื่อรอการขับถ่ายออกจากร่างกาย
มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีสาเหตุจากอะไร?
มะเร็งลำไส้ใหญ่ ก็เหมือนกับโรคมะเร็งชนิดอื่นๆ ที่ไม่อาจทราบถึงสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคได้อย่างแน่ชัด ทราบเพียงแต่ความเสี่ยงที่อาจทำให้มีโอกาสเป็นโรคนี้สูงกว่าปกติเท่านั้น
ใครมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่บ้าง?
- ผู้ที่มีสมาชิกครอบครัว หรือญาติ ที่เคยเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือโรคลำไส้ใหญ่อักเสบมาก่อน
- มีอายุมากกว่า 50 ปีขึ้นไป
พฤติกรรมเสี่ยง “มะเร็งลำไส้ใหญ่”
- รับประทานอาหารที่มีไขมันสูงมากเกินไป
- รับประทานอาหารประเภทเนื้อแดง ปิ้งย่าง ที่มีลักษณะไหม้เกรียมบ่อยๆ
- รับประทานอาหารที่มีกากใยน้อยเกินไป
- สูบบุหรี่
- ดื่มแอลกอฮอล์
- ขาดการออกกำลังกาย
- มีพฤติกรรมเนือยนิ่ง เช่น นักดูทีวีทั้งวัน นั่งติดเก้าอี้ นอนติดเตียง
- น้ำหนักเกินมาตรฐาน (อ้วน)
มะเร็งลำไส้ใหญ่ มีอาการอย่างไร?
ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่รู้ตัวว่ากำลังเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่อยู่ แต่จะแสดงสัญญาณเตือนที่เกี่ยวข้องกับการขับถ่าย เช่น ท้องผูกสลับท้องเสีย อุจจาระก้อนเล็กลง อุจจาระมีเลือดปน (ซึ่งหลายคนอาจคิดว่าเป็นโรคริดสีดวงทวาร) และอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ซีด หรือน้ำหนักตัวลดลงโดยไม่ทราบสาเหตุอีกด้วย
มะเร็งลำไส้ วินิจฉัยได้อย่างไร ?
หลังจากที่มีการวินิจฉัยแล้วระบุว่าเป็นมะเร็งลำไส้ หรือมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้วนั้น แพทย์ก็จะแบ่งระยะของมะเร็งชนิดนี้ได้ตามการแพร่กระจายของโรค ดังนี้
- Stage 0 / ระยะที่ 0 : มะเร็งลำไส้ในระยะนี้เป็นแค่เพียงระยะเริ่มต้น โดยเซลล์มะเร็งยังอยู่แค่เฉพาะบริเวณผนังของลำไส้
- Stage 1 / ระยะที่ 1 : ในระยะนี้ก็เช่นกันที่มะเร็งจะยังไม่แพร่กระจายออกจากผนังลำไส้
- Stage 2 / ระยะที่ 2 : มะเร็งได้แพร่ออกนอกลำไส้ แต่ยังไม่แพร่ไปสู่ต่อมน้ำเหลือง
- Stage 3 / ระยะที่ 3 : มะเร็งได้แพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลืองที่อยู่ใกล้เคียง แต่ยังไม่ได้แพร่ไปยังอวัยวะอื่นๆ
- Stage 4 / ระยะที่ 4 : มะเร็งได้แพร่กระจายออกไปยังอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย แต่จะแพร่ยังตับและปอดมากที่สุด
- Recurrent : ผู้ป่วยกลับมาเป็นมะเร็งซ้ำหลังจากที่ทำการรักษา
มะเร็งลำไส้ใหญ่ ป้องกันอย่างไร?
แม้ว่าดูเหมือนจะเป็นโรคร้ายแรงที่อันตราย เพราะไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่เราสามารถลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ง่ายๆ เพียงลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันสูง ลดจำนวนครั้งในการทานอาหารประเภทเนื้อแดง และปิ้งย่าง ทานอาหารที่มีกากใยอาหาร เช่น ผัก ผลไม้ ธัญพืชต่างๆ ให้มากขึ้น ลดการสูบบุหรี่ และดื่มแอลกอฮอล์ และที่สำคัญคือ ออกกำลังกายเป็นประจำสม่ำเสมอ รับรองว่าเคล็ดลับง่ายๆ เพียงเท่านี้ ก็ช่วยลดความเสี่ยในการเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้มากเลยทีเดียวค่ะ
แต่หากใครที่ประวัติครอบครัวเคยมีคนเป็นโรคมะเร็วลำไส้ใหญ่ และมีอาการผิดปกติในเรื่องของการขับถ่าย ควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการตรวจร่างกายโดยละเอียดจะดีกว่านะคะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ยกทัพบิ๊กเทค สะท้อนศักยภาพ AI-ดาต้าเซ็นเตอร์ จุดเปลี่ยนไทยฮับอาเซียน
บิ๊กเทค-โทรคม ชี้ชัดบทบาทสำคัญ AI – ดาต้าเซ็นเตอร์ ตัวแปรขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยและอาเซียน ลดความเหลื่อมล้ำ พัฒนาทักษะคน สู่หนทางสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่
การเสวนาในหัวข้อ “Development & Future of AI & Data Centers in ASEAN” ภายในงาน Asean Economic Outlook 2025 ที่จัดโดย “กรุงเทพธุรกิจ” เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2567 ได้เปิดเวทีแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับศักยภาพของเทคโนโลยี AI และการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์ในภูมิภาคอาเซียน โดยการเสวนาครั้งนี้นำเสนอวิสัยทัศน์จากผู้นำในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีและการสื่อสาร
เอไอเอส ชี้ ดาต้าเซ็นเตอร์ หัวใจการเติบโตเศรษฐกิจดิจิทัล
นายปรัธนา ลีลพนัง หัวหน้าคณะผู้บริหารกลุ่มลูกค้าทั่วไปของเอไอเอส มองว่า ดาต้าเซ็นเตอร์และศักยภาพการประมวลผลเปรียบเสมือนสมองของประเทศ การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์นั้นเป็นการเพิ่มขีดความสามารถของประเทศทั้งในด้านการให้บริการลูกค้าและการแข่งขันทางเศรษฐกิจ โดยการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์จะยิ่งทำให้ประเทศสามารถก้าวข้ามข้อจำกัดและสร้างโอกาสใหม่ได้มากขึ้น
AI ยังเข้ามามีบทบาทสำคัญในการลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารจัดการพลังงาน ซึ่งเอไอเอสพบว่าการใช้ AI ทำให้สามารถลดการใช้พลังงานได้ถึง 15% ขณะเดียวกัน การพัฒนา AI ยังช่วยส่งเสริมธุรกิจขนาดเล็กและกลาง (SMEs) กว่า 3 แสนรายในประเทศไทย ในการพัฒนาสินค้าและบริการ ตอบโจทย์ลูกค้าได้ดียิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการแข่งขันในตลาด
ไม่เพียงแค่ภาคธุรกิจเท่านั้น ภาคการศึกษาก็สามารถได้รับประโยชน์จาก AI เช่นกัน โดยการนำ AI มาใช้ในการจัดการเรียนการสอน ทำให้เด็กในพื้นที่ห่างไกลมีโอกาสเข้าถึงการศึกษาเทียบเท่ากับเด็กในเมือง ลดความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาและเพิ่มคุณภาพการเรียนรู้
ภาคการผลิตเองก็ได้รับประโยชน์ชัดเจนจาก AI ในการเพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน ลดการพึ่งพาแรงงาน และยกระดับประเทศไทยสู่การเป็นศูนย์กลางการผลิตและการกระจายสินค้าระดับภูมิภาค
ประเทศไทยมีความได้เปรียบในด้านโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะเครือข่าย 5G ที่มีความพร้อมในการรองรับการขยายตัวของดาต้าเซ็นเตอร์และการประมวลผลข้อมูล ซึ่งเอไอเอสได้ขยายเครือข่าย 5G ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้การเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและเทคโนโลยีการสื่อสารเป็นไปอย่างกว้างขวาง
ทรู เผยแนวทาง Responsible AI
นายชารัด เมห์โรทรา รองประธานคณะผู้บริหารกลุ่มทรู คอร์ปอเรชั่น ชี้ว่า AI และดาต้าเซ็นเตอร์มีบทบาทสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจและยกระดับคุณภาพชีวิตของคนไทย การลงทุนในดาต้าเซ็นเตอร์และการประมวลผลข้อมูลทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถลดต้นทุนและเพิ่มผลผลิตได้สูงขึ้น
กลุ่มทรูยังได้ริเริ่มแนวคิด “Responsible AI” เน้นการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบต่อสังคมและสิ่งแวดล้อม โดยการนำ AI มาประยุกต์ใช้ในธุรกิจต่าง ๆ ของกลุ่มทรู ทั้งการยกระดับประสบการณ์ของลูกค้าและการประหยัดพลังงาน ซึ่งสอดคล้องกับเป้าหมายในการลดก๊าซเรือนกระจกและบรรลุเป้าหมายความเป็นกลางทางคาร์บอนภายในปี 2573
อย่างไรก็ตาม แม้ประเทศไทยจะมีความพร้อมในด้านโครงสร้างพื้นฐานโทรคมนาคมและเครือข่าย 5G แต่นายปรัธนากล่าวเสริมว่า การพัฒนาดาต้าเซ็นเตอร์ในประเทศไทยยังต้องเร่งขยายให้มากขึ้น เพื่อให้สามารถรองรับการเติบโตของธุรกิจและการประมวลผลข้อมูลที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ ความสำคัญของการสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการลงทุนและกฎหมายที่ชัดเจนในการจัดการข้อมูลก็เป็นปัจจัยสำคัญที่จะดึงดูดนักลงทุนเข้าสู่ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน
ทั้ง เอไอเอส และ ทรู ต่างเห็นพ้องว่า AI และดาต้าเซ็นเตอร์มีศักยภาพในการเชื่อมโยงประเทศในอาเซียนเข้าด้วยกัน การใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบในระดับภูมิภาคไม่เพียงแต่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำทางสังคมและเศรษฐกิจ แต่ยังช่วยสร้างความยั่งยืนในด้านสิ่งแวดล้อมอีกด้วย
ในอนาคต การสร้างกรอบจริยธรรมด้าน AI ที่เข้มงวดและการคุ้มครองข้อมูลจะมีความสำคัญอย่างยิ่งในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคและภาคธุรกิจ ทั้งนี้ อาเซียนยังมีโอกาสในการใช้ AI เพื่อยกระดับเศรษฐกิจ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และการแก้ไขปัญหาในภาคส่วนต่าง ๆ เช่น การสาธารณสุข การศึกษา และการผลิต
กูเกิล ย้ำความสำคัญพัฒนาทักษะคน
นายอรรณพ ศิริติกุล Director, Google Cloud Thailand กล่าวว่า กูเกิลได้ประกาศลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลของประเทศไทยกว่า 3.6 หมื่นล้านบาท เพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในประเทศไทย (Infrastructure) พัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระบบคลาวด์ และศูนย์ข้อมูล (Data Center) ในกรุงเทพฯ และชลบุรี โดยมองว่าโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลและการพัฒนาทักษะของคนในภูมิภาคเป็นปัจจัยสำคัญในการขับเคลื่อนการเติบโตของอาเซียน
กูเกิลยังมุ่งเน้นการพัฒนาทักษะด้านเทคโนโลยีให้กับครูและพนักงานในภูมิภาค โดยในปีที่ผ่านมาได้เทรนบุคลากรกว่า 20,000 คน และมีแผนที่จะเทรนเพิ่มอีก 150,000 คนในปีถัดไป การพัฒนาทักษะเหล่านี้เป็นกุญแจสำคัญในการทำให้เทคโนโลยี AI และดาต้าเซ็นเตอร์สามารถสร้างประโยชน์ได้อย่างเต็มที่
และอีกหนึ่งสิ่งสำคัญคือการผลักดันให้รัฐบาลเป็น “รัฐบาลดิจิทัล” (Government Ecosystem) เช่น การมีระบบคลาวด์ที่เป็นสาธารณะ หรือพลับบลิคคลาวด์ คลาวด์ไพรเวท ตลอดจนคลาวด์เซ็นเตอร์ มีระบบความปลอดภัยสูงๆ เพื่อใช้รันข้อมูลภายในประเทศ
อย่างไรก็ดี อุปสรรคของการพัฒนาเอไอในประเทศอาเซียนคือ การมีกฎหมายที่ต่างกัน หรือบางประเทศก็ไม่มีกฎกติกาด้านเอไอที่รองรับธุรกิจ ทำให้ธุรกิจในประเทศที่ต้องการจะอินโนเวชันไม่สามารถทำได้ ดังนั้น ในเรื่องระเบียบการใช้งานด้านคลาวด์และเอไอ ประเทศอาเซียนจะต้องร่วมมือกันจัดทำขึ้นมาให้เป็นนโยบายทิศทางเดียวกัน เป็นบรรทัดฐานเดียวกัน เพื่อดึดดูดในนักลงทุนเกิดความเชื่อมั่นและแข่งขันระดับโลกได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คำคุณศัพท์ภาษาอังกฤษ (Adjective)
Adjective คำคุณศัพท์
สรุป Adjective คำคุณศัพท์ภาษาอังกฤษ ครบทุกชนิด ง่ายนิดเดียว
Adjective คืออะไร?
Adjective คือ คำคุณศัพท์ในภาษาอังกฤษ Adjective หรือ Adj. ทำหน้าที่ขยายคำนาม หรือ สรรพนามที่อยู่ในประโยค คือ คน สัตว์ สิ่งของ สถานที่ ทำหน้าที่ขยายเพื่อบอกให้เราเข้าใจคำนามหรือสรรพนามได้ดีมากยิ่งขึ้น ว่ามีลักษณะอย่างไร เช่น สูง, ต่ำ, ดำ, ขาว, ใหญ่, เล็ก, ฯลฯ คำคุณศัพท์มีอะไรบ้าง? เอ็ด ดู เฟิร์สท์สรุปมาให้แล้ว
สรุป Adjective คำคุณศัพท์ภาษาอังกฤษ
หลักการใช้ Adjective แบ่งออกเป็น 8 ประเภท ดังต่อไปนี้
1. คำคุณศัพท์บอกลักษณะ (Descriptive Adjective)
Descriptive Adjective คำคุณศัพท์ที่ใช้บอกลักษณะหรือคุณภาพของ คน, สัตว์, สิ่งของ และ สถานที่ เช่น clean, dirty, good, bad, fat, thin, red, white, smart, poor, pretty, agly, … etc.
2. คุณศัพท์บอกสัญชาติ (Proper Adjective)
Proper Adjective คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อบอกสัญชาติ เช่น Thai, Chinese, Japanese, German, English, American, Italian, Indian, … etc.
3. คำคุณศัพท์บอกปริมาณ (Quantitative Adjective)
Quantitative Adjective คำคุณศัพท์ที่ขยายนาม เพื่อบอกให้ทราบปริมาณของสิ่งเหล่านั้นว่า มีมากหรือน้อย (แต่ไม่บอกจำนวนที่แน่นอน) เช่น much, many, little, some, any, enough, half, great, all, whole, sufficent, empty, … etc.
4. คำคุณศัพท์บอกจำนวน (Numeral Adjective)
Numeral Adjective คุณศัพท์ที่บอกจำนวนนับ ลำดับที่และจำนวนที่ไม่แน่นอน จำนวนนับ หรือ ลำดับที่ เช่น one, two, three, first, second, third, single, double, triple, … etc.
5. คำคุณศัพท์แบ่งแยก (Distributive Adjective)
Distributive Adjective คำคุณศัพท์แบ่งแยก ทำหน้าที่ขยายนาม มีความหมายในลักษณะเพื่อแบ่งแยกนามออกจากกลุ่มก้อน เป็นอันหนึ่ง คนหนึ่ง ส่วนหนึ่ง ทั้งหมด หรือไม่มีเลย เช่น each, every, either, neither, any, both, …etc.
6. คำคุณศัพท์บอกคําถาม (Interrogative Adjective)
Interrogative Adjective คุณศัพท์ที่ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคําถาม โดยจะวางไว้ต้นประโยคและมีคำนามตามหลัง เช่น what, which, whose …etc.
7. คำคุณศัพท์ชี้เฉพาะ (Demonstrative Adjective)
Demonstrative Adjective คำคุณศัพท์ที่ชี้เฉพาะคำนาม เพื่อแสดงให้เห็นว่า ขยายคำนาม สิ่งไหน, อันไหน, คนไหน เช่น what, which, whose …etc.
8. คำคุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ (Possessive Adjective)
Possessive Adjective คำคุณศัพท์วางอยู่หน้าคำนามที่ต้องการแสดงความเป็นเจ้าของ my, your, our, his, her
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
“ใบบัวบก” กับผลข้างเคียง และความเสี่ยงที่ไม่มีใครเคยบอก
บัวบก (ภาษาอังกฤษ: Gotu Kola หรือ Centella asiatica ) เป็นสมุนไพรที่มีชื่อเสียงในเรื่องสรรพคุณมากมาย หลายคนเชื่อว่าบัวบกสามารถช่วยบำรุงสมอง เสริมสร้างความจำ การคิด และช่วยให้ระบบประสาททำงานได้ดียิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังมีข้อสันนิษฐานว่าบัวบกอาจมีประโยชน์ต่อสุขภาพในด้านอื่นๆ อีกมากมาย อย่างไรก็ตาม ข้อมูลทางวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับสรรพคุณของบัวบกยังคงมีอยู่อย่างจำกัด หลายคนอาจรับรู้ถึงประโยชน์ของบัวบก แต่อาจไม่ค่อยมีใครรับรู้ถึงผลข้างเคียงของบัวบกว่ามีอะไรบ้าง
บัวบกกับผลข้างเคียง และความเสี่ยงที่ไม่มีใครเคยบอก
การใช้บัวบกอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียงได้ในบางราย เช่น ปวดศีรษะ ปวดท้อง หรือเวียนหัว เพื่อลดความเสี่ยงต่อผลข้างเคียงเหล่านี้ ควรเริ่มต้นด้วยการใช้บัวบกในปริมาณน้อย ๆ และค่อย ๆ เพิ่มปริมาณขึ้นอย่างช้า ๆ การใช้บัวบกเป็นประจำติดต่อกันไม่ควรเกิน 2-6 สัปดาห์ต่อครั้ง ควรหยุดพักการใช้เป็นเวลา 2 สัปดาห์ก่อนกลับมาใช้ใหม่
สำหรับการใช้บัวบกแบบทาภายนอก อาจทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนังได้ ดังนั้นจึงควรทดสอบอาการแพ้ก่อนใช้โดยทาบัวบกในบริเวณผิวหนังเล็ก ๆ และสังเกตอาการแพ้เป็นเวลา 24-48 ชั่วโมง
อย่าใช้บัวบกหากคุณ
- กำลังตั้งครรภ์
- กำลังให้นมบุตร
- มีโรคตับอักเสบหรือโรคตับอื่น ๆ
- มีกำหนดการผ่าตัดภายในสองสัปดาห์ข้างหน้า
- มีอายุต่ำกว่า 18 ปี
- มีประวัติเป็นมะเร็งผิวหนัง
พูดคุยกับแพทย์ของคุณก่อนใช้บัวบกหากคุณ
- มีโรคตับ
- มีโรคเบาหวาน
- มีคอเลสเตอรอลสูง
- กำลังรับประทานยา เช่น ยาระงับประสาท เพื่อการนอนหลับหรือวิตกกังวล
- กำลังใช้ยาขับปัสสาวะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 08/10/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 41,800.00 | 41,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,708.00 | 41,053.28 | 42,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,437.20 | 36,947.95 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,166.40 | 32,842.62 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,219.00 | 18,480.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 948.00 | 14,371.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,806.00 | 42,538.96 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 08/10/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.65 | 35.65 | 35.95 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.28 | 35.28 | 35.58 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.54 | 33.54 | 33.84 | 33.54 | 33.54 | – | 33.54 | 33.54 | 33.54 | 33.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.29 | 33.29 | – | – | – | – | – | – | – | 33.29 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.24 |
เบนซิน 95 | 43.84 | – | – | – | 49.81 | – | 44.34 | 43.99 | – | 43.84 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |