เศรษฐกิจฉุดรายได้โตไม่ทันบ้านเดี่ยวดันตลาด ‘บ้านแฝด-ทาวน์โฮม’ บูม
- ผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว ส่งผลให้รายได้หดตัว
- สวนทางกับราคาบ้านที่ขยับสูงขึ้นต่อเนื่อง โดยเฉพาะบ้านเดี่ยวที่สูงขึ้นทุกปี
- กลายเป็นตัวแปรสำคัญต่อการเปลี่ยนแปลงการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัยจากบ้านเดี่ยวมาเป็นบ้านแฝด
- กลุ่มที่มีกำลังซื้อจำกัดหันไปซื้อทาวน์โฮมทำเลอุตสาหกรรมแทนส่งผลให้ตลาดบ้านแฝดและทาวน์โฮมพลิกกลับมาบูมอีกครั้ง
เมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจ กลุ่มสินค้าบ้านแฝดและทาวน์โฮม บริษัท เอพี ไทยแลนด์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มตลาดอสังหาฯ คึกคักขึ้นมาจากมาตรการรัฐ ที่มีผลต่อการตัดสินใจซื้อ โดยเฉพาะตลาดบ้านแฝดและทาวน์โฮม สังเกตได้จากยอดขายไตรมาส 1/67 ดีกว่าไตรมาส 4/66 แต่อย่างไรก็ตามสุดท้ายต้องรอดูการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน
ทั้งนี้แนวโน้มยอดขายแต่ละสัปดาห์เพิ่มขึ้น และโครงการใหม่ที่เปิดตัว 2 โครงการในไตรมาสที่ผ่านมา ช่วงสัปดาห์แรกที่เปิดตัวยอดขายเป็นไปตามเป้าหมาย เช่น โครงการพลีโน่ สุขสวัสดิ์-ประชาอุทิศ60 ราคา 2.99-5.99ล้านบาท ยอดขาย 300 ล้านบาท ส่วนพลีโน่ ทาวน์ เพชรเกษม 81 ราคา 1.89-3.49 ล้านบาท ยอดขาย 200 ล้านบาท
“ตัวเลขยอดขายสะท้อนให้เห็นว่าตลาดบ้านแฝดและทาวน์โฮมดีขึ้น แม้ว่ายอดปฏิเสธสินเชื่อหรือกู้ไม่ผ่านแนวราบของเอพีสูงขึ้น 40% ช่วงไตรมาส 1/67 ส่วนหนึ่งเป็นเพราะอัตราดอกเบี้ยสูงก็ตาม”
ส่วนทิศทางของเอพีปีนี้มีที่ดินพร้อมพัฒนาโครงการแล้ว ปัจจุบันเตรียมซื้อที่ดินรองรับการพัฒนาโครงการไตรมาส 1/68 ในทำเลที่ไม่มีซัพพลายหรือซัพพลายหมด เนื่องจากบริษัทได้เปลี่ยนแนวทางการทำงานใหม่เพื่อลดความเสี่ยงในการพัฒนาโครงการในไตรมาส 4 เหมือนทุกปีที่ผ่านมา หลังเผชิญปัญหาการพัฒนาโครงการไม่ทันตามกำหนด จึงเปลี่ยนมาพัฒนาโครงการตั้งแต่ไตรมาสแรก เพราะหากมีปัญหาจะสามารถแก้ไขได้ทัน
ล่าสุดในไตรมาส 2/67 เปิดบ้านแฝดและทาวน์โฮม 13 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 10,560 ล้านบาท ซึ่งเป็นการกระจายพอร์ตสินค้าครอบคลุมทุกเซกเมนต์ความต้องการของตลาด ตั้งแต่ราคาที่คุ้มค่าจนถึงโครงการระดับลักชัวรี เจาะทุกทำเลคุณภาพทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล แบ่งเป็นบ้านแฝด 5 โครงการ มูลค่า 3,670 ล้านบาท ทาวน์โฮม 8 โครงการ มูลค่า 6,890 ล้านบาท
เมธา กล่าวต่อว่า ปัจจุบันตลาดบ้านแฝดมีศักยภาพ เนื่องจากลูกค้ายอมรับมากขึ้น และกลุ่มที่มีรายได้ไม่พอซื้อบ้านเดี่ยวหันมาซื้อบ้านแฝดมากขึ้นส่งผลให้ตลาดเติบโตขึ้นต่อเนื่อง เอพีจึงหันมาโฟกัสมากขึ้น ส่วนตลาดทาวน์โฮม ให้ความสำคัญกับทำเลนิคมอุตสาหกรรม อาทิ ลาดกระบัง -ฉลองกรุง , บางปู, เพชรเกษม-สาย 4 เนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป็นพนักงานประจำที่มีฐานเงินเดือนที่สามารถกู้ได้ และอนาคตมีแผนจะขยายไปยังนิคมนวนคร
ปัจจุบันทาวน์โฮมราคา 2-3 ล้านบาทของเอพีมียอดโอนไตรมาสแรกเกือบ 100 ล้านบาท อัตราการปฏิเสธสินเชื่อต่ำ เพราะลูกค้ามีรายได้ประจำ ถือเป็น ”ช่องว่าง” ทางตลาดที่ค้นพบจากเดิมที่ไม่เคยสนใจ ล่าสุดได้ทำแคมปญเปลี่ยนค่าเช่าเป็นค่าผ่อนซึ่งได้รับการตอบรับที่ดี ภายใต้แบรนด์พลีโน่ ทาวน์ในโซนอุตสาหกรรมมากขึ้น
“สมัยก่อนที่ดินต่ำกว่า 10 ไร่ เราไม่สนใจแต่ปัจจุบัน 8 ไร่ทำเลดี สามารถพัฒนาพัฒนาขายได้ในราคาต่ำกว่า เช่น คู่แข่งขาย 40-50 ล้านบาท เราขาย10 ล้านบาท ก็น่าสนใจที่เข้าไปพัฒนาโครงการ หรือโลเคชันโซนนิคมฯ ที่มีขนาดใหญ่พอจะพัฒนาโครงการได้ก็ทำ 30 ไร่ เปิดเป็นเฟสๆ”
ปัจจุบันตลาดทาวน์โฮม ไม่ค่อยมีใครลงมาเล่นโดยเฉพาะรายใหญ่เน้นบ้านเดี่ยวราคาแพง แต่จากประสบการณ์การพัฒนาทาวน์โฮมมานานเอพีได้เปรียบมากกว่าทั้งในเรื่องของโลเคชัน ราคาและคุณภาพที่แข่งขันได้ และปัจจุบันเอพีมีส่วนแบ่งตลาดบ้านแฝดและทาว์โอมอันดับ1
ธัญวรัตน์ ปัญญารัตน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการตลาดและการขาย บริษัทศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า บริษัทนำผลการศึกษาความต้องการลูกค้าโดยเฉพาะกลุ่มครอบครัว New Gen ที่มองหาบ้านหลังแรก หรือบ้านหลังใหม่ มาใช้เจาะตลาดบ้านแนวราบราคา 3-5 ล้านบาท โซนรามอินทราภายใต้แบรนด์ “พรีโม่” กับโครงการศุภาลัย พรีโม่ รามอินทรา 117 มีทั้งบ้านแฝด และทาวน์โฮม 120 ยูนิต บนพื้นที่กว่า 15 ไร่ มูลค่า 485 ล้านบาท มีแบบบ้านให้เลือก 3 แบบ ราคา 2.88 -4.75 ล้านบาท
โดยเฉพาะบ้านแฝดดีไซน์ใหม่มีความกว้างและฟังก์ชันเทียบเท่าบ้านเดี่ยว พื้นที่ใช้สอย 163 ตารางเมตร จำนวน 4 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ 2 ที่จอดรถ พร้อมห้องนอน ขนาดใหญ่ ชั้น 2 และห้องนอนล่างสำหรับผู้สูงวัยหรือปรับเปลี่ยนการใช้งานได้ตามความต้องการ ห้องครัวพร้อมประตูบานเลื่อนแบ่งกั้นเป็นสัดส่วน ก่อสร้างแบบรักษ์โลกผ่านแนวคิดกรีนคอนเซ็ปต์
ขณะที่ก่อนหน้านี้ค่ายแสนสิริได้เปิดตัว “สิริ เพลส ลาดพร้าว 101” ทาวน์โฮมคอนเซ็ปต์ Dream Destination ที่มีแรงบันดาลใจจากมหานคร “นิวยอร์ก” ราคาเริ่มต้น 4.5 ล้านบาท กวาดยอดขายกว่า 100 ล้านบาท ในวันเปิดตัววันแรก และปิดโครงการในเฟสแรกที่เปิดขาย
ส่วนพร็อพเพอร์ตี้ เพอร์เฟค พัฒนาเพอร์เฟค พาร์ค แจ้งวัฒนะ-ราชพฤกษ์ ราคา 5.29-7 ล้านบาท ภายใต้คอนเซ็ปต์ Urban Life & Dream Ville ชีวิตในเมือง บนทำเลศักยภาพ มีฟังก์ชันที่ตอบรับความต้องการได้ครบถ้วน ในคอนเซ็ปต์ Modern Classic ดีไซน์ทันสมัยบรรยากาศแบบยุโรป เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่สำหรับบ้านหลังแรกและโครงการ เพอร์เฟค พาร์ค บางใหญ่ โครงการใหม่ ราคาเริ่มต้น 3.79 ล้าน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ถนนวิทยุทำเลฮอต ฮ่องกงแลนด์Xโนเบิล ปักหมุด ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส 10,990 ล้าน
ถนนวิทยุเดือด ฮ่องกงแลนด์จับมือโนเบิล ปักหมุดคอนโดดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส คอนโดหรู ‘The Embassy Wireless’ โครงการร่วมทุน มูลค่ากว่า 10,990 ล้านบาท ใจกลางกรุงเทพฯ ตรงข้ามเซ็นทรัล เอ็มบาสซี แม่เหล็กดึงกำลังซื้อ
ถนนวิทยุทำเลศักยภาพศูนย์กลางธุรกิจในกรุงเทพมหานคร ปัจจุบันมีโครงการขนาดใหญ่เกิดขึ้นจำนวนมาก อย่างศูนย์การค้าเซ็นทรัลเอ็มบาสซี และโครงการในอนาคตของ บริษัทเซ็นทรัลพัฒนาจำกัด(มหาชน) รวมถึงโครงการวันแบงค็อก ทำเลหัวมุมถนนวิทยุตัดกับถนนพระราม4 ส่งผลให้ที่ดินมีราคาสูงโดยเฉพาะที่ดิน ฟรีโฮลด์
ล่าสุด ฮ่องกงแลนด์ (Hongkong Land) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำระดับโลก และโนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศไทย สร้างปรากฎการณ์ครั้งใหม่ บนถนนวิทยุ ร่วมมือในโครงการร่วมทุนโครงการ “ดิ เอ็มบาสซี ไวร์เลส (The Embassy Wireless)” คอนโดมิเนียม พร้อมกรรมสิทธิ์ Freehold แห่งใหม่ใจกลางถนน วิทยุตรงข้ามศูนย์การค้า เซ็นทรัล เอ็มบาสซี มีมูลค่าโครงการกว่า 10,990 ล้านบาท
จากวิสัยทัศน์จากผู้นำในตลาดหลักทรัพย์ที่ดำเนินธุรกิจด้านการลงทุน พัฒนาและบริหารจัดการอสังหาริมทรัพย์ระดับโลกของฮ่องกงแลนด์ ผนวกกับโนเบิล ผู้มีประสบการณ์กว่า 30 ปีด้านการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บนทำเลชั้นนำในประเทศไทย ส่งผลให้การร่วมมือกันในครั้งนี้เป็นการพัฒนาโครงการที่มีมาตรฐานสูงสุดบนทำเลชั้นนำของกรุงเทพฯ
นายวิลเลียม ไบรท์ ผู้อำนวยการ บริษัท ฮ่องกงแลนด์ (ประเทศไทย) กล่าวว่า ความร่วมมือในครั้งนี้ได้ความเชี่ยวชาญของโนเบิลในฐานะผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของไทย และฮ่องกงแลนด์ที่มีความเชี่ยวชาญอย่างยาวนานในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีในเมืองสำคัญต่าง ๆ ในเอเชีย ที่จะผนึกกำลังให้เกิดความสำเร็จในการส่งมอบโครงการระดับพรีเมี่ยม และส่งเสริมคุณภาพชีวิตของผู้อยู่อาศัย ทั้งยังเป็นการลงทุนที่คุ้มค่า สร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ผู้ครอบครอง พร้อมส่งต่อสินทรัพย์จากรุ่นสู่รุ่น
“การลงทุนในทำเลถนนวิทยุ เปรียบได้กับการลงทุนบนทำเลอันทรงคุณค่าในเมืองใหญ่ รายล้อมด้วยมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่า โดดเด่นด้านสิ่งอำนวยความสะดวกชั้นนำ ใจกลางศูนย์กลางการค้าระดับโลก รวมถึงมีมูลค่าและการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์อย่างมีนัยสำคัญ โดยเฉพาะการถือครองกรรมสิทธิ์ที่ดินแบบ Freehold บนถนนวิทยุนั้นถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากทำเลนี้เป็นที่ต้องการสูงในกลุ่มนักลงทุน และในอนาคตพื้นที่ตรงข้ามโครงการมีแผนการพัฒนาห้างเซ็นทรัล เอ็มบาสซีส่วนต่อขยาย ซึ่งจะช่วยเพิ่มศักยภาพในการลงทุนในย่านนี้ให้โดดเด่นยิ่งขึ้นไปอีกด้วย”
The Embassy Wireless มีมูลค่าโครงการกว่า 10,990 ล้านบาท ตั้งอยู่บนทำเลที่มีสถิติราคาที่ดินสูงที่สุดในกรุงเทพฯ ประกอบด้วยยูนิตพักอาศัยพร้อมกรรมสิทธิ์ Freehold จำนวน 757 ยูนิต ความสูง 41 ชั้น ที่โดดเด่นด้วยทัศนียภาพอันงดงามของพื้นที่สีเขียวโดยรอบโครงการ พร้อมการออกแบบที่ผสมผสานความเป็นตะวันออกและตะวันตก (East-Meets-West) ได้อย่างประณีต ให้ผู้พักอาศัยหลบหลีกจากความพลุกพล่านในเมืองเข้าสู่ความสงบที่สะท้อนผ่านสถาปัตยกรรมที่สง่างามในทุกองค์ประกอบของโครงการ
พื้นที่ส่วนกลางของโครงการออกแบบมาเพื่อมอบประสบการณ์การอยู่อาศัยที่ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ ด้วยพื้นที่สีเขียวกว่า 2,900 ตารางเมตร เสมือนเป็นโอเอซิสส่วนตัวใจกลางเมือง เริ่มตั้งแต่ The Embassy Garden โซนพักผ่อนอันเงียบสงบบริเวณชั้นล่างของโครงการ Playscape พื้นที่สำหรับเด็กที่ได้รับแรงบันดาลใจจากธรรมชาติโดยรอบ และ Sky Garden พื้นที่สีเขียวสำหรับกิจกรรมกลางแจ้งที่จะช่วยสร้างความเพลิดเพลินให้แก่สมาชิกทุกคนในครอบครัว อีกหนึ่งไฮไลท์ของส่วนกลางคือ The Embassy Club พื้นที่สังสรรค์ที่ตั้งอยู่บนชั้นสูงสุดของอาคาร ให้ผู้พักอาศัยได้ดื่มด่ำกับทัศนียภาพของเส้นขอบฟ้าที่งดงามในกรุงเทพฯ
ในด้าน Wellness โครงการนี้ยังตอบโจทย์ด้วย The Energy Club ที่มีทั้งโซนออกกำลังกายแบบครบครัน, Hydrotherapy Room, Treatment Room และ Salon ที่ถูกออกแบบมาเพื่อส่งเสริมคุณภาพชีวิตแบบองค์รวมในทุกมิติ ยกระดับประสบการณ์การใช้ชีวิตที่เหนือระดับให้ผู้พักอาศัยได้อย่างเต็มที่
นายศิระ อุดล ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการ กลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บมจ.โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ กล่าวว่า “โนเบิลมีความคุ้นเคยกับย่านเพลินจิต-วิทยุเป็นอย่างดี ย่านนี้รายล้อมไปด้วยศูนย์กลางการค้าระดับเวิลด์คลาส อาคารสำนักงานชั้นนำ รวมถึงอีกหลากหลายธุรกิจที่จะพัฒนาขึ้นตามแผนในอนาคต ส่งผลให้ถนนย่านนี้เป็นทำเลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประเทศ การพัฒนาโครงการ The Embassy Wireless พร้อมกรรมสิทธิ์ Freehold บนถนนวิทยุที่หาได้ยากนั้น ถือเป็นความมุ่งมั่นในการสร้างประสบการณ์การอยู่อาศัยที่เหนือระดับ พร้อมส่งต่อมูลค่าเพิ่มในสินทรัพย์ที่ล้ำค่าต่อไปในอนาคตให้แก่ผู้ครอบครอง”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้9 พ.ค. “ทรงตัว” ที่ระดับ 36.96 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัย ไฮไลท์สำคัญวันนี้ควรจับตาการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคตของธนาคารกลางอังกฤษ ผลการประชุมธนาคารกลางมาเลเซีย และลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้าของจีน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้9 พ.ค. 2567 ที่ระดับ 36.96 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัว ไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจยังคงแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 37.00 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากเงินดอลลาร์ก็ยังไม่มีปัจจัยหนุนการแข็งค่าที่ชัดเจน โดยผู้เล่นในตลาดอาจรอลุ้นผลการประชุม BOE และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ก่อน ทั้งนี้ ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังพอมีอยู่ ทั้ง โฟลว์ธุรกรรมจ่ายเงินปันผลให้กับนักลงทุนต่างชาติ
รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน (ล่าสุดราคาทองคำก็แกว่งตัวใกล้โซนแนวรับ) ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทก็อาจยังพอมีแนวต้านระยะสั้น แถวโซน 37.00-37.10 บาทต่อดอลลาร์ ตามแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
อีกทั้ง เราเริ่มเห็นสัญญาณการทยอยกลับเข้าซื้อสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะบอนด์ระยะยาว จากฝั่งนักลงทุนต่างชาติมากขึ้น หลังจากบอนด์ยีลด์ไทยได้ปรับตัวขึ้นมาพอสมควรในช่วงที่ผ่านมา
ทั้งนี้ เราขอเน้นย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ในช่วงเวลาราว 18.00 น. ตามเวลาประเทศไทย เพราะหาก BOE ส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ย ได้เร็วกว่าที่ตลาดคาด (ตลาดมอง BOE จะเริ่มลดดอกเบี้ยในไตรมาสที่ 3)
อาจกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ผันผวนอ่อนค่าลง ซึ่งในเชิงเทคนิคัล สัญญาณจาก RSI และ MACD ต่างชี้ว่า โมเมนตัมการรีบาวด์แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาของเงินปอนด์อังกฤษ ได้แผ่วลง และเสี่ยงที่จะย่อตัวลงได้ไม่ยาก ซึ่งภาพดังกล่าวจะยิ่งหนุนให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นได้
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูง ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.85-37.10 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.91-37.00 บาทต่อดอลลาร์) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ อาทิ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ช่วงเย็นวันพฤหัสฯ นี้ และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า
ขณะที่เงินดอลลาร์โดยรวมก็แกว่งตัว sideways หลังถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็ไม่ได้การส่งสัญญาณใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยส่วนใหญ่ยังคงมุมมองเดิมว่า เฟดยังไม่รีบลดดอกเบี้ยจนกว่าจะมั่นใจแนวโน้มเงินเฟ้อ ซึ่งเป็นสิ่งที่ตลาดรับรู้ไปเรียบร้อยแล้ว (fully priced-in) ทั้งนี้ เงินบาทอาจผันผวนไปตามโฟลว์ธุรกรรมทองคำบ้าง หลังราคาทองคำมีทั้งจังหวะปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับและจังหวะรีบาวด์ขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้น
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมยังคงอยู่ในภาวะระมัดระวังตัว เพื่อรอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ขณะที่บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ บางส่วนก็ปรับตัวลดลงจากปัจจัยเฉพาะตัว เช่น Tesla -1.7% หลังมีรายงานข่าวว่า คณะอัยการของสหรัฐฯ กำลังตรวจสอบทาง Tesla เกี่ยวกับพฤติกรรมชี้นำในส่วนของความสามารถระบบขับขี่รถอัตโนมัติ ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ย่อตัวลง -0.18% ส่วนดัชนี S&P500 ย่อตัวลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง -0.03 จุด (-0.00058%)
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.34% ยังคงหนุนโดยรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาดีกว่าคาด รวมถึงแนวโน้มที่บรรดาธนาคารกลาง โดยเฉพาะธนาคารกลางในฝั่งยุโรปยังมีโอกาสทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในช่วงไตรมาส 2-3 ของปีนี้
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นแตะระดับ 4.50% อีกครั้ง ท่ามกลางถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดซึ่งย้ำจุดยืนไม่รีบลดดอกเบี้ย หากยังไม่มั่นใจแนวโน้มเงินเฟ้อ ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดโอกาสที่เฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้ง ในปีนี้ลงเล็กน้อย (ล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 71% จาก CME FedWatch Tool)
ทั้งนี้ การเคลื่อนไหวของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจยังอยู่ในกรอบ sideways แถวระดับ 4.50% ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ซึ่ง เราคงมองว่า บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นมีความน่าสนใจในทุกจังหวะการปรับตัวขึ้น
โดยเฉพาะหากปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 4.50% ได้อีกครั้ง (เน้นกลยุทธ์ทยอย Buy on Dip) โดยมี Risk-Reward ที่คุ้มค่าเมื่อประเมินจากคาดการณ์ผลตอบแทนรวมในอีก 1 ปี ข้างหน้า และความเสี่ยงในกรณีที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจกลับไปแตะระดับ 5.00% ได้อีกครั้ง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์โดยรวมแกว่งตัว sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยเฉพาะผลการประชุม BOE ในวันพฤหัสฯ นี้ และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) แกว่งตัวแถวระดับ 105.5 จุด อีกครั้ง (แกว่งตัวในกรอบ 105.4-105.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ เนื่องจากตลาดทองคำยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามากระทบ ทำให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ก็เคลื่อนไหวไปตามการทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยราคาทองคำยังคงติดโซนแนวต้าน 2,330 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างรอทยอยเข้าซื้อในช่วงโซนแนวรับแถว 2,310-2,320 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ราคาทองคำยังพอพยุงตัวแถวโซนดังกล่าวได้
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญ จะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเราคาดว่า BOE อาจยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25% เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อ แม้จะมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่อง ทว่าก็ยังอยู่ในระดับสูงกว่าเป้าหมายพอสมควร
อย่างไรก็ดี ควรจับตาการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มนโยบายการเงินในอนาคต ว่า BOE จะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้เร็วที่สุด ในการประชุมเดือนมิถุนายน หรือ ไม่ เนื่องจากปัจจุบัน ผู้เล่นในตลาดต่างประเมินว่า BOE อาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยได้ในช่วงไตรมาสที่ 3
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา ผลการประชุมธนาคารกลางมาเลเซีย (BNM) ซึ่งเราคาดว่า BNM จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 3.00% แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อจะมีแนวโน้มเข้าใกล้เป้าหมายมากขึ้น
ทว่า ความกังวลต่อเสถียรภาพของเงินริงกิต (MYR) ก็อาจทำให้ BNM เลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยไว้ก่อนได้ จนกว่าจะเริ่มเห็นสัญญาณการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดที่ชัดเจน นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานยอดการส่งออกและนำเข้า (Exports & Imports) ของจีน ในเดือนเมษายน ซึ่งจะช่วยสะท้อนแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ชมเต็มอิ่ม 60 แมตช์ 3 พันธมิตร ร่วมยิงสด วอลเลย์บอลหญิงไทย ศึกเนชันส์ ลีก 2024
นายพัฒนพงค์ หนูพันธ์ กรรมการผู้จัดการช่อง 7HD พร้อมด้วย มร.ไบรอัน ลินด์เซ มาร์การ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ.เทโร เอ็นเทอร์เทนเม้นท์ และนายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ร่วมผนึกกำลังพันธมิตรแถลงข่าวการถ่ายทอดสดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชันส์ลีก 2024 (VNL 2024) มหกรรมศึกลูกยางระดับโลกจาก Volleyball World ที่ช่อง 7HD ได้ลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดทุกแพลตฟอร์ม ที่สตูดิโอ 8 สถานนีช่อง 7 เมื่อวันที่ 8 พฤษภาคม 2567
นอกจากนั้นภายใน ยังได้รับเกียรติจาก “โค้ชยะ” ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค หัวหน้าผู้ฝึกสอน และ “กิ๊ฟ” วิลาวัณย์ อภิญญาพงศ์ ผู้ช่วยผู้ฝึกสอนทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย พร้อมด้วย 15 นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย เข้าร่วมในงานแถลงข่าว และก่อนงานแถลงข่าวจะเริ่มขึ้นมีการแสดงเปิดตัวเพลงเชียร์จาก ศิลปิน วง FLI:P (ฟลิป) ใน เพลง สู้เด้ (CHICKA BOOM) เชียร์สุดฮิต ประจำการแข่งขันเนชันส์ ลีก (VNL)
นายพัฒนพงค์ หนูพันธ์ กล่าวว่า ช่อง 7HD ได้รับสิทธิ์ถ่ายทอดสดเนชันส์ลีกทุกแพลตฟอร์ม แมตช์ระดับโลกทั้งทีมชาย และทีมหญิง คัดเลือกรวม 60 แมตช์ ทั้งทางหน้าจอ ออนไลน์ เว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น และพาร์ตเนอร์ เทโร เอเชีย พร้อมด้วยรายการพิเศษเกาะติดความเคลื่อนไหวของทีมสาวไทยตลอดการแข่งขัน
นายสมพร ใช้บางยาง กล่าวว่า การเตรียมทีมสาวไทยที่ผ่านมาแบ่งเป็น 2 ช่วงคือ ช่วงแรกนักกีฬารุ่นน้องที่จบการแข่งขันลีกในประเทศ มารวมตัวซ้อมกันช่วงต้นเดือนมีนาคม และช่วงสองนักกีฬารุ่นพี่ที่เล่นในต่างประเทศ เดินมากลับมารวมตัวซ้อมเมื่อช่วงสิ้นเดือนเมษายน เพื่อเสริมศักยภาพของทีม ยืนยันว่าทุกคนจะสู้เต็มที่เพื่อชาติ
“การแข่งขันสัปดาห์แรกที่บราซิล วันที่ 14 -19 พฤษภาคม 2567 ไทยจะไม่มีตัวหลักคือ “เพียว” อัจฉาพร คงยศ ที่บาดเจ็บ แต่จะอยู่ไทยเพื่อทำสภาพร่างกายให้สมบูรณ์สำหรับสัปดาห์ต่อไป เช่นเดียวกับนักกีฬาที่เหลือก็จะฝึกซ้อมต่อ เพื่อสลับเปลี่ยนหมุนเวียนผู้เล่นในสนามต่อๆ ไป ส่วนเป้าหมายเรายังไม่ทิ้งการทำอันดับโลกไปโอลิมปิกเกมส์ 2024 ที่ฝรั่งเศส เรายังมีความหวังอยู่แม้ไม่มากนัก แต่เราจะทำให้ดีที่สุด เราจะสู้อย่างเต็มที่แม้ว่าคู่แข่งจะแข็งแกร่งกว่า แต่เราก็เคยเอาชนะมาได้แล้ว และยังหวังว่าจะเอาชนะมาได้อีกครั้ง แม้ว่าเราจะทำไม่ได้ก็จะเล่นให้ดีที่สุด เล่นให้โลกประทับใจ
นายสมพรกล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านความพร้อมของไทยในการจัดรอบไฟนอล ในวันที่ 20-23 มิถุนายน 2567 ที่อินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก ได้เตรียมพร้อมเรื่องสถานที่ และด้านเทคนิค โดยได้ประชุมร่วมกับ Volleyball และ เทโร ทุกสัปดาห์ ตอนนี้ไม่มีปัญหา และด้วยประสบการณ์ที่เคยจัดเวิลด์กรังปรีซ์ รอบชิงมาแล้ว ยืนยันว่าจะไม่ทำให้เสียชื่อเสียงแน่นอน ส่วนเรื่องบัตรชมการแข่งขัน ได้กำหนดฝังไว้แล้ว เหลือเพียงรอรายละเอียดทีมที่แข่งขัน คาดว่าช่วงปลายเดือนพฤษภาคมจะเปิดจำหน่ายตั๋วได้ และราคาจะไม่แพงมากกว่าเมื่อปีก่อนแน่นอน
ด้าน “โค้ชยะ” ณัฐพนธ์ ศรีสมุทรนาค หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมวอลเลย์บอลสาวไทย กล่าวว่า ทีมยังคงมุ่งมั่นในการคัดโอลิมปิกเกมส์ 2024 โดยทีมได้ฝึกซ้อมกันมาเป็นอย่างดี แต่คู่แข่งมีความแข็งแกร่ง โดยทีมวอลเลย์บอลหญิงไทยแม้ว่าเราจะเสียเปรียบเรื่องรูปร่าง แต่ก็จะเอาระบบการเล่นสู้ด้วยทีมเวิร์ก โดยวางเป้าหมายอยากให้ลูกทีมคว้าชัยชนะให้ได้ 2 นัดในแต่ละสัปดาห์
สำหรับการแข่งขันวอลเลย์บอล เนชันส์ลีก 2024 จะแข่งระหว่างวันที่ 14 พฤษภาคม-30 มิถุนายน รวมทั้งสิ้น 60 แมตช์ที่ช่อง 7HD ได้สิทธิ์ถ่ายทอดการแข่งขันทุกแพลตฟอร์มแต่เพียงผู้เดียว นัดแรก วันอังคารที่ 14 พฤษภาคม 2567 เริ่มตั้งแต่เวลา 20.45 น. บัลแกเรีย พบ เนเธอร์แลนด์ เชียร์สดทางเว็บไซต์ แอพพลิเคชั่น Ch7HD และ Bugaboo.tv
ขณะที่นัดแรกของทีมนักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย นำโดย ทัดดาว นึกแจ้ง กัปตันทีมจะลงสนามประกาศศักดิ์ศรีประเดิมทัวร์นาเมนต์แรกของปีนี้ พบกับ สหรัฐอเมริกา ในคืนวันพุธที่ 15 พฤษภาคม 2567 (วันพฤหัสที่ 16 พฤษภาคม 2567) ถ่ายทอดสดจากริโอ เด จาเนโร ประเทศบราชิล เริ่มตั้งแต่เวลา 03.00 น. เป็นต้นไป ทางช่อง 7HD กดหมายเลข 35
นอกจากจะได้ร่วมเชียร์ทีมลูกยางสาวไทยแล้ว ยังจะได้พบกับทีมวอลเลย์บอลหญิงระดับโลกมากมายในการลงแข่งขันเก็บคะแนนรอบแรก จากสนามแข่งขันทั้ง 6 สนาม สัปดาห์แรก วันที่ 14 พฤษภาคม-19 พฤษภาคม 2567 ที่ตุรกี และบราซิล ขณะที่สัปดาห์ที่ 2 วันที่ 28 พฤษภาคม-2 มิถุนายน 2567 ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา และมาเก๊า จากนั้นสัปดาห์ที่ 3 วันที่ 11-16 มิถุนายน 2567 ที่ญี่ปุ่น และฮ่องกง
สำหรับการแข่งขันในสนามสุดท้ายของทีมหญิง ช่อง 7HD พร้อมถ่ายทอดสดจากสนามในประเทศไทย ให้กองเชียร์มีโอกาสสัมผัสฝีมือ ร่วมเชียร์นักกีฬระดับโลกอย่างใกล้ชิด ระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายน 2567 ที่อินดอร์ สเตเดี้ยม หัวหมาก พร้อมร่วมเชียร์รอบรองชนะเลิศ และรอบชิงชนะเลิศ ของทีมชาย ซึ่ง ช่อง 7HD ถ่ายทอดสดส่งตรงจากโปแลนด์ วันที่ 29-30 มิถุนายน 2567 ซึ่งแฟนลูกยางจะได้ชมและเซียร์เกมการแข่งขันทางช่อง 7HD จำนวน 26 แมตช์ บันทึกการแข่งขันทาง ช่อง 7HD จำนวน 17 แมตช์ และถ่ายทอดสดทางออนไลน์ 17 แมตช์รวมทั้งสิ้น 60 แมตช์
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
เลิกดื่ม “กาแฟ” ทำให้ “ปวดหัว” จริงหรือ?
คนที่ติดกาแฟ ต้องดื่มกาแฟทุกเช้า หรืออาจจะวันละหลายแก้ว แต่ก็น่าจะทราบกันดีว่าการดื่มกาแฟมากๆ อาจส่งผลเสียต่อร่างกาย เลยพยายามเลิกดื่ม แต่การเลิกดื่มกาแฟหลังจากที่ดื่มติดต่อกันมานาน อาจทำให้ร่างกายเกิดอาการผิดปกติได้
เลิกดื่มกาแฟ ส่งผลอย่างไรต่อร่างกายบ้าง?
สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ให้ข้อมูลว่า กาแฟมีสารตัวหนึ่งที่ชื่อว่า คาเฟอีน (Caffeine) โดยคาเฟอีนมีฤทธิ์ในการกระตุ้นประสาท ทำให้ร่างกายกระปรี้กระเปร่า รู้สึกตื่นตัว แต่หากดื่มกาแฟเป็นประจำจนติดเป็นนิสัย อาจส่งผลให้ขาดกาแฟไม่ได้ และอาจมีอาการที่เกิดจากการขาดคาเฟอีนหากเลิกดื่มกาแฟอย่างฉับพลัน
ภาวะการขาดคาเฟอีนอย่างเฉียบพลัน มักเกิดในช่วง 12-24 ชั่วโมงหลังการบริโภคคาเฟอีนครั้งสุดท้าย อาการจะรุนแรงที่สุดในช่วง 20-48 ชั่วโมง และอาการนี้อาจคงอยู่ภายใน 7 วัน ซึ่งอาการที่พบบ่อยมากที่สุด คือ ปวดศีรษะ นอกจากนี้แล้ว อาจเกิดภาวะ อ่อนเพลีย ง่วงซึม หดหู่ ไม่มีสมาธิได้ แต่ถ้าหากร่างกายได้รับคาเฟอีนเข้าไปอาการจะดีขึ้นภายในครึ่งชั่วโมง
วิธีลดกาแฟอย่างปลอดภัย
- ค่อยๆ ลดปริมาณการบริโภคลงภายในระยะเวลา 7-14 วัน เพื่อป้องกันอาการขาดคาเฟอีนที่อาจจะเกิดขึ้นได้
- จำกัดปริมาณในการดื่มเช่น การลดขนาดของถ้วยกาแฟ และจํากัดจํานวนครั้งในการดื่มต่อวัน
- เปลี่ยนไปใช้เครื่องดื่มชนิดอื่นซึ่งมีส่วนผสมของคาเฟอีนในปริมาณที่ต่ำกว่า เข่น ชา โกโก้ เครื่องดื่มเกลือแร่ เป็นต้น
ดื่มกาแฟแล้วทำไมหายปวดหัว
การดื่มกาแฟและความรู้สึกที่หายปวดหัวนั้นมีความเชื่อมโยงกันผ่านสารคาเฟอีนที่อยู่ในกาแฟ คาเฟอีน เป็นสารกระตุ้นที่มีผลต่อระบบประสาทส่วนกลาง ช่วยให้รู้สึกตื่นตัวและลดอาการเหนื่อยล้า
อาการปวดหัวบางประเภท เช่น ปวดหัวจากการขาดคาเฟอีนหรือปวดหัวจากความเครียด สามารถบรรเทาได้ด้วยการดื่มกาแฟ เพราะคาเฟอีนช่วยในการขยายหลอดเลือดที่อาจช่วยลดความดันภายในหัวและบรรเทาอาการปวดหัว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 อาชีพ ใช้ภาษาอังกฤษดี การันตีอนาคตสดใสแน่นอน
Programmer(โปรแกรมเมอร์)
หนึ่งในอาชีพที่มาแรงที่สุดในยุคปัจจุบัน จำเป็นจะต้องมีทักษะการ coding ระดับสุดยอด ซึ่งการ coding จำเป็นจะต้องใช้ภาษาอังกฤษ รวมไปถึงในการหาแหล่งความรู้ส่วนใหญ่สำหรับงานนี้ก็มักจะเป็นรูปแบบสากลซึ่งใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลัก การที่มีทักษะภาษาอังกฤษที่ดีจะช่วยสนับสนุนการทำงานของอาชีพให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
Content Writer(นักเขียนคอนเท้น)
นักเขียนคอนเท้น ทำหน้าที่หลักคือการเขียนคอนเท้นเนื้อหาสำหรับนำเสนอบน เว็บไซต์ บล็อค โซเชียลมีเดีย ซึ่งหากเราพัฒนาเนื้อหาของเราเป็นภาษาอังกฤษได้อย่างดีเยี่ยมได้ จะเป็นการยกระดับเนื้อหาของเราให้มีความอินเตอร์มากยิ่งขึ้น เพิ่มการเข้าถึงจากกลุ่มผู้ที่ใช้ภาษาอังกฤษได้อีกเพียบ
Social media manager(ผู้จัดการด้านโซเชียลมีเดีย)
ผู้ที่ทำหน้าที่ดูแลจัดการสื่อโซเชียลมีเดียต่างๆทั้ง Facebook Intragram Tiktok Youtube เป็นต้น ต้องคอยจัดการคอนเทนต์ต่างๆเพื่อให้เกิดผลลัพท์ต่อแบรนด์สูงสุด จึงจำเป็นต้องมีทักษะทางภาษาอังกฤษเพื่อช่วยในเรื่องของการเลือกคอนเทนต์มีที่มีความสากล เพื่อให้เข้าถึงคนจากทั่วโลก
Hotel Manager (ผู้จัดการโรงแรม)
ผู้จัดการโรงแรม มีหน้าที่ในการดูแลจัดการแผนกต่างๆในโรงแรม ต้องคอยรักษาความเรียบร้อยของโรงแรมให้เป็นไปตามมาตรฐาน และต้องใช้ทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่ดีมากในการ ช่วยเหลือเหล่าแขกที่มาพักที่จากทั่วโลก และต้องเป็นหน้าเป็นตาให้กับโรงแรมอีกด้วย ทักษะภาษาอังกฤษจึงสำคัญกับอาชีพในตำแหน่งนี้มาก
International Business Manager (นักจัดการธุรกิจระหว่างประเทศ)
ต้องการทักษะการสื่อสารภาษาอังกฤษที่มีประสิทธิภาพ ในการเจรจา ประสานงาน และนำเสนองานกับคู่ค้า หรือการร่วมมือกันกับบริษัทในต่างประเทศ การใช้ภาษาอังกฤษจึงเป็นหนึ่งในหัวใจหลักของอาชีพนี้
Air hostess (พนักงานต้อนรับบนเครื่องบิน)
อาชีพในฝันของสาวๆหลายคน มีหน้าที่คอยต้อนรับและให้บริการบนเครื่องบิน ต้องพบปะกับเดินทางที่มาจากทั่วโลก จึงจำเป็นที่จะต้องใช้ภาษาอังกฤษในการสื่อสารที่ดีเยี่ยม เป็นหนึ่งในอาชีพที่ยังเป็นที่นิยมตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน
Tour guide (ไกด์นำเที่ยว)
อาชีพสำหรับผู้มีใจรักในการบริการ มีความชื่นชอบในการท่องเที่ยว ต้องพานักท่องเที่ยวที่มาจากทั่วทุกมุมโลกไปชมสถานที่ต่าง มีความเข้าใจในวัฒนธรรมและประวัติความเป็นมาของสถานที่ท่องเที่ยว ที่สำคัญที่สุดคือต้องมีทักษะในการสื่อสารโดยเฉพาะอย่างยิ่งภาษาอังกฤษ เพื่อที่จะสามารถถ่ายทอดให้กับสมาชิกทัวร์ได้ รวมถึงการเอ็นเตอร์เทนสร้างความสนุกสนานได้อีกด้วย
ESL teacher (ครูสอนภาษาอังกฤษ)
หรือชื่อเต็มคือ English as a Second Language Teacher ทำหน้าที่ในการสอนภาษาอังกฤษให้กับผู้ที่ไม่ได้มีภาษาแม่เป็นภาษาอังกฤษ โดยจะสอนไปในเรื่องการใช้ภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร การทำงาน การศึกษาต่อในต่างประเทศ
Editor(บรรณาธิการ)
อาชีพที่มีหน้าที่ในการตรวจสอบปรับปรุงเนื้อหา ก่อนการเผยแพร่ ต้องมีการแก้ไขเนื้อหาการใช้ภาษาให้เหมาะสม ตรวจสอบแก้ไขคำผิด จึงต้องมีผู้มีความรู้ในด้านภาษาโดยเฉพาะ
Brand Strategist (นักวางกลยุทธ์พัฒนาแบรนด์)
ทำการหน้าที่วางกลยุทธ์ ออกแบบ และกำหนดทิศทางในการพัฒนาแบรนด์ให้พัฒนายิ่งขึ้น ต้องมีทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษทั้งในเรื่องของการสื่อสาร และการนำเสนอ
พัฒนาทักษะภาษาอังกฤษเพื่อการทำงานกับ วอลล์สตรีท อิงลิช
จะเห็นได้ว่าการที่เรามีทักษะทางภาษาอังกฤษที่ดีจะช่วยเพิ่มโอกาสและทางเลือกของอาชีพให้กับตัวเราได้อย่างมาก เราควรต้องหมั่นฝึกฝนและหาโอกาสเรียนรู้ภาษาอังกฤษอย่างสม่ำเสมอ โดยวันนี้ทาง วอลล์สตรีท อิงลิช เปิดโอกาสให้ทดลองเรียนคอร์สเรียนภาษาอังกฤษเพื่อการทำงาน ฟรี! เพียงลงทะเบียนที่แบบฟอร์มด้านล่างนี้ได้เลย แล้วมาเรียนด้วยกันเยอะๆน้าเพื่อนๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
4 สิ่ง “คาดไม่ถึง” ห้ามเก็บในรถช่วงหน้าร้อนเด็ดขาด
หลายคนทราบดีอยู่แล้วว่าสิ่งของจำพวกอิเลกทรอนิกส์หรือวัตถุไวไฟ เช่น พาวเวอร์แบงก์ ไฟแช็ก สเปรย์ปรับอากาศ ฯลฯ ไม่ควรเก็บไว้ในรถเมื่อจำเป็นต้องจอดทิ้งไว้กลางแดดช่วงฤดูร้อน แต่ยังมีอีก 4 สิ่งที่อาจสร้างความเสียหายได้อย่างไม่คาดคิดหากทิ้งไว้ในรถที่ร้อนจัด จะมีอะไรบ้างไปดูกันเลย
1. ผลิตภัณฑ์นมบรรจุขวดแก้ว – เนื่องจากผลิตภัณฑ์นมมีโอกาสเน่าเสียได้ง่าย ไม่ว่าจะเป็นนมวัวหรือนมถั่วเหลืองก็ตาม อาจก่อให้เกิดแรงดันมหาศาลภายในขวดแก้วจนกระทั่งระเบิดออกอย่างรุนแรง ซึ่งนอกจากนมที่เน่าเสียจะกระจายไปทั่วทั่งรถส่งกลิ่นเหม็นคละคลุ้งยากต่อการทำความสะอาดแล้ว แรงดันอันมหาศาลอาจทำให้กระจกรถถึงขั้นแตกด้วยซ้ำไป
2. น้ำอัดลมบรรจุขวดและกระป๋อง – น้ำอัดลมและเครื่องดื่มอัดก๊าซต่างๆ หากได้รับความร้อนสะสมต่อเนื่องเป็นระยะเวลานาน ก็จะเกิดแรงดันในบรรจุขวดหรือกระป๋องจนทำให้เกิดการระเบิดได้เช่นกัน หากจำเป็นต้องจอดรถทิ้งไว้กลางแดดก็อย่าลืมน้ำกระป๋องหรือขวดน้ำอัดลมที่ยังไม่เปิดออกจากรถด้วย
3. แว่นสายตาหรือแว่นตากันแดด – เลนส์ของแว่นตาอาจทำให้เกิดการรวมแสงไปยังจุดในจุดหนึ่งภายในห้องโดยสาร กระทั่งเกิดความร้อนสูงจนสร้างความเสียหายแก่อุปกรณ์ภายในรถได้ แม้ว่าโอกาสจะเกิดขึ้นได้น้อยมาก แต่ทางที่ดีควรเก็บแว่นตาไว้ในกล่องเก็บของหน้ารถ หรือช่องเก็บแว่นโดยเฉพาะจะดีที่สุด
4. สีเทียนหรือสีชอล์ก – สีเทียนมีจุดหลอมละลายต่ำ การทิ้งสีเทียนหรือสีชอล์กของลูกๆ ไว้ในรถที่จอดกลางแดดอาจสร้างความเสียหายแก่ชิ้นส่วนภายในห้องโดยสาร โดยผู้ผลิตสีเทียนและอุปกรณ์ศิลปะชั้นนำอย่าง Crayola ระบุว่าสีเทียนจะเริ่มอ่อนตัวลงที่อุณหภูมิ 40 องศาเซลเซียส และจะเปลี่ยนสถานะเป็นของเหลวที่อุณหภูมิ 49 องศาเซลเซียสขึ้นไป
เมื่อทราบเช่นนี้แล้วก็อย่าลืมนำสิ่งของเหล่านี้ออกจากรถในวันที่จำเป็นต้องจอดทิ้งไว้กลางแดดด้วยนะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ผักผลไม้ 6 ชนิดช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้เส้นผม ลดการขาดร่วงได้ดี
สาวๆ คนไหนที่มีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผม ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผมร่วง ผมบาง หรือเส้นผมไม่แข็งแรง วันนี้เราจะชวนมารู้จักผักผลไม้ 6 ชนิดที่อุดมด้วยสารอาหารที่ช่วยในการเสริมสร้างความแข็งแรงให้กับเส้นผมโดยเฉพาะ ซึ่งผักผลไม้เหล่านี้จะช่วยลดปัญหาเส้นผมขาดร่วงได้ดีมากๆ มาดูกันค่ะว่ามีผักผลไม้ชนิดใดบ้าง
ผักผลไม้ 6 ชนิดช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้เส้นผม
1.มันเทศ
มันเทศอุดมด้วยสารเบต้าแคโรทีน ซึ่งเป็นสารอาหารที่มีส่วนช่วยในการดูดซึมวิตามินเอ โดยวิตามินเอจัดเป็นสารอาหารที่มีความสามารถในการช่วยทำให้เส้นผมมีความหนาและแข็งแรงมากขึ้น อีกทั้งวิตามินเอยังช่วยในการผลิตซีบัม ซึ่งช่วยให้เส้นผมมีความชุ่มชื้นและสุขภาพดีอย่างเป็นธรรมชาติ
2.ปวยเล้ง
ปวยเล้งอุดมด้วยวิตามินเอ วิตามินซี โฟเลต และธาตุเหล็ก โดยสารอาหารเหล่านี้ส่งผลดีต่อการเจริญเติบโตของเส้นผม และยังช่วยป้องกันไม่ให้เส้นผมขาดร่วงได้ง่าย ทั้งนี้หากร่างกายของสาวๆ ขาดธาตุเหล็ก ย่อมเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ผมร่วงได้ง่าย ดังนั้นหากมีปัญหาเกี่ยวกับเส้นผมขาดร่วงง่ายกว่าปกติ แนะนำให้กินปวยเล้ง เพื่อให้ร่างกายได้รับธาตุเหล็กและสารอาหารอื่นๆ เพื่อลดปัญหาการขาดร่วงของเส้นผมบ่อยๆ
3.แครอท
แครอทอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ซึ่งสารอาหารชนิดนี้มีความสามารถช่วยในการทำให้เส้นผมมีความนุ่มและเงางามอย่างเป็นธรรมชาติ นอกจากนี้ในแครอทยังมีวิตามินเอและวิตามินอี ซึ่งเป็นวิตามินที่ช่วยในเรื่องของการเจริญเติบโตของเส้นผม และช่วยเสริมความแข็งแรงให้กับรากผม จึงทำให้เส้นผมไม่หลุดร่วงได้ง่าย
4.อะโวคาโด
อะโวคาโดอุดมด้วยวิตามินอี ซึ่งเป็นสารอาหารที่ช่วยให้เส้นผมแข็งแรงและยาวเร็วขึ้น อีกทั้งในอะโวคาโดยังมีวิตามินซี ไบโอติน และน้ำมันจากอะโวคาโด ซึ่งเป็นสารอาหารที่ล้วนช่วยให้เส้นผมแข็งแรงและช่วยลดการขาดร่วง โดยเฉพาะน้ำมันจากอะโวคาโดช่วยลดการอุดตันของรูขุมขน พร้อมทั้งช่วยเพิ่มการไหลเวียนของโลหิต และช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผมได้ดีมากๆ เลยทีเดียว
5.กีวี
กีวีอุดมด้วยวิตามินซี ซึ่งวิตามินชนิดนี้ช่วยให้ร่างกายสามารถดูดซึมธาตุเหล็ก ซึ่งเป็นสารอหารที่ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม พร้อมทั้งช่วยลดการหลุดร่วงของเส้นผมได้ดีมากๆ นอกจากนี้วิตามินซียังช่วยผลิตคอลลาเจน ซึ่งเป็นสารที่มีความจำเป็นต่อการลำเลียงสารอาหารไปที่หนังศีรษะ ดังนั้นจึงทำให้เส้นผมเจริญเติบโตและแข็งแรงสุขภาพดีได้
6.ลูกพรุน
ลูกพรุนอุดมด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งธาตุเหล็กถือเป็นสารอาหารสำคัญที่ช่วยลดการขาดร่วงของเส้นผมได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ในลูกพรุนยังมีวิตามินบีและวิตามซี ซึ่งวิตามินทั้งสองชนิดนี้ช่วยกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม ทำให้เส้นผมมีความหนานุ่มและแข็งแรงมากขึ้นอีกด้วย
สำหรับสาวๆ ที่กำลังเจอกับปัญหาเส้นผมขาดร่วง หรือรู้สึกว่าเส้นผมไม่แข็งแรง แนะนำให้หมั่นกินผักผลไม้ 6 ชนิดนี้บ่อยๆ กันดูค่ะ เชื่อว่าจะช่วยลดปัญหาการขาดร่วงของเส้นผมได้ดี แถมยังช่วยให้ร่างกายของสาวๆ ได้รับสารอาหารที่จำเป็นต่อร่างกายได้หลากหลายอีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/05/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,300.00 | 40,400.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,610.00 | 39,567.60 | 40,900.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,349.00 | 35,610.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,088.00 | 31,654.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,175.00 | 17,813.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 914.00 | 13,856.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,705.00 | 41,007.80 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/05/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 39.35 | 39.35 | 40.35 | 39.35 | 39.35 | 39.35 | 39.35 | 39.35 | 39.35 | 39.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.78 | 38.78 | 39.78 | 38.78 | 38.78 | 38.78 | 38.78 | 38.78 | 38.78 | 38.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.24 | 37.24 | 38.24 | 37.24 | 37.24 | – | 37.24 | 37.24 | 37.24 | 37.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.99 | 36.99 | – | – | – | – | – | – | – | 36.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 47.54 | 49.84 | 49.94 | 49.84 | – | – | – | – | – | 47.54 |
เบนซิน 95 | 47.24 | – | – | – | 48.41 | – | 47.74 | 47.39 | – | 47.24 |
ดีเซล | 30.94 | 30.94 | 31.24 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 | 30.94 |
ดีเซลหมุนเร็ว | 30.94 | – | – | – | 30.94 | – | – | – | – | 30.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 42.94 | 45.14 | 46.94 | 45.14 | 45.14 | – | – | – | – | 42.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |