อสังหาฯเร่งปรับตัว กระจายพอร์ตลงทุน ลุ้นลดดอกเบี้ย-ผ่อน LTV
บิ๊กดีเวลลอปเปอร์-3 สมาคมอสังหาฯ ฟันธงไตรมาส 4 ถึงต้นปีหน้าฟื้นหลังผ่านจุดต่ำสุด ชี้เร่งปรับตัว พลิกวิกฤตเป็นโอกาส กระจายพอร์ตลงทุน เจาะหาน่านน้ำใหม่ รับมาตรการรัฐ เบิกจ่ายงบประมาณ ดันแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว หวังธปท.ลดดอกเบี้ย ปลดล็อก LTV ช่วยฟื้นตัวเร็วขึ้น
ตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในช่วงโค้งสุดท้ายของปี 2567 ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทาย ทั้งภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา ราคาที่อยู่อาศัยปรับสูงขึ้นสวนทางกับรายได้ของประชาชน อย่างไรก็ตาม มีการประเมินกันว่าหากรัฐบาลเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ อัดฉีดมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง
รวมถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยนโยบายลง และผ่อนปรนการคุมเข้ม สินเชื่อที่อยู่อาศัย ของสถาบันการเงิน หรือ LTV ( Loan to Value) จะช่วยฟื้นตลาดในปีหน้ากลับมาคึกคักขึ้น
ขณะเดียวกันผู้ประกอบการต่าง ปรับตัวมองหาตลาดใหม่ กระจายพอร์ตการลงทุนในต่างจังหวัดและต่างประเทศ นอกจากนี้หลายค่ายพลิกวิกฤตเป็นโอกาส จากเทรนด์การเช่า ลดการเปิดตัวโครงการ มองหากลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนมากขึ้น
ดร.ประทีป ตั้งมติธรรม ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) (SPALI) เปิดเผยกับ “ฐานเศรษฐกิจ” ว่าภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปีนี้ถึงปีหน้า มองว่าสถานการณ์จะดีขึ้น จากการเบิกจ่ายงบประมาณรัฐ เกิดนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ
รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟดปรับลดดอกเบี้ยลง ส่งผลให้ประเทศอื่นๆลดตาม เป็นการกดดันไทยลดตามเช่นเดียวกันการลงทุนต่างๆ ทั้งรัฐ เอกชน ต่างชาติ เริ่มเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4
ทั้งนี้หากไทยมีการลดดอกเบี้ย หนี้ครัวเรือนที่มีอยู่มาก คนที่มีหนี้จะผ่อนค่างวดสบายขึ้น เพราะดอกเบี้ยน้อยลง ธนาคารลดต้นทุน เพิ่มวงเงินสำหรับกู้ซื้อบ้านง่ายขึ้น เศรษฐกิจจะเติบโตแน่นอน แต่ถ้าหากเงินบาทแข็งค่าต่างชาติก็จะยังไม่เข้ามา
ด้านนโยบายรัฐมีหลายประเด็นที่เห็นผล เช่น ชวนคนมาลงทุน BOI นิคมอุตสาหกรรมต่างๆ การส่งออกเริ่มดีขึ้น เพียงแต่ ช่วงนี้เป็นปัญหาเรื่องการเงิน เงินบาทแข็งค่า กลุ่มผู้บริโภครายได้ปานกลางไปถึงรายได้น้อยถูกปฏิเสธสินเชื่อ
ขณะศุภาลัย เองมีการปรับตัว กระจายความเสี่ยง ขยายไปหัวเมืองต่างจังหวัด ต่างประเทศ ออสเตรเลียยอดขายเพิ่มขึ้น 70% ภาพรวมเปิดโครงการใหม่ 40 โครงการ ศุภาลัยในครึ่งปีหลังดีขึ้นอย่างชัดเจน
“ในปีหน้าการกระตุ้นเศรษฐกิจจะส่งผลกับตลาดอสังหาฯ เพราะถ้าอสังหาฯไม่โตก็สะท้อนถึงเศรษฐกิจที่ซบเซา เนื่องจากอสังหาฯเป็นสินค้าอุปโภคราคาแพง และยังเป็นปัจจัยสี่ ซึ่งจะหมายถึงผู้บริโภคไม่มีกำลังที่จะซื้อ”
นายประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) และนายกสมาคมอาคารชุดไทย สะท้อนว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ไทยในไตรมาสสุดท้ายของปี 2567 ยังคงเผชิญกับความท้าทาย
หากที่กำลังซื้อต่างประเทศลดลงจะกระทบกับอสังหาริมทรัพย์โดยตรง ทั้งคนไทย และต่างชาติ จึงต้องมีการควบคุมการแข็งค่าของเงินบาท เนื่องจากเมื่อต่างชาติเข้ามาซื้อ ก็ทำให้อสังหาริมทรัพย์มีราคาแพงขึ้น บางรายอาจจองไว้เมื่อ 2-3 ปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันเงินบาทแข็งค่า ทำให้มีภาระเพิ่มขึ้น 7-8% ซึ่งอาจทำให้มีการพิจารณาชะลอการโอนกรรมสิทธิ์ไว้ก่อน
แม้ในภาพรวมของทั้งปี 2567 นี้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังพอทรงตัวได้ และมีแนวโน้มฟื้นตัวที่ดีขึ้นในไตรมาสสุดท้าย ทั้งนี้ นายกทั้ง 3 สมาคมอสังหาฯ ยังมีความเห็นตรงกันว่าแนวโน้มในต้นปี 2568 จะมีการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่ชัดเจนขึ้น
จากปัจจัยการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมและการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน เช่น รถไฟความเร็วสูง รถไฟรางคู่ และรถไฟฟ้าเชื่อมต่อสามสนามบิน ซึ่งจะช่วยกระตุ้นการเติบโตของอสังหาริมทรัพย์ในพื้นที่ต่างๆ ทั่วประเทศ
พร้อมทั้งมองว่าความร่วมมือจากทุกภาคส่วน โดยเฉพาะการออกนโยบายทางการเงิน เช่น ลดดอกเบี้ย ผ่อนปรนมาตรการ LTV เพื่อเป็นการกระตุ้นในระยะสั้น จะเป็นตัวเร่งที่ทำให้อสังหาริมทรัพย์ไทยฟื้นตัวได้เร็วและมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น
สำหรับแผนกระตุ้นอสังหาริมทรัพย์ไทยในระยะยาว ทั้ง 3 สมาคมอสังหาฯ เสนอให้ดึงกำลังซื้อต่างชาติ และยังเป็นการจัดระเบียบนอมินีทุนต่างชาติที่เข้ามาซื้อบ้านอย่างไม่ถูกกฎหมาย
โดยกำหนดกฎเกณฑ์ต่างๆ เช่น การเช่าระยะยาว 60-80 ปี จำกัดประเภทเฉพาะที่อยู่อาศัย จำกัดในบางพื้นที่ สิทธิ์ในการโหวตนิติบุคคล เพื่อปกป้องสิทธิ์ของคนไทย รวมถึงมีการจัดเก็บค่าธรรมเนียมหรือภาษีที่มากกว่าคนไทย เป็นต้น
ขณะเดียวกันผู้ประการยังได้มีการปรับตัว โดยอนันดาฯ ยังคงเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าทำเลใจกลางเมือง และนำโครงการโรดโชว์ลูกค้าต่างชาติซึ่งส่วนใหญ่เป็นโครงการคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ และเจาะกลุ่มระดับบนมากขึ้น
ทางด้าน บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ปักหมุดเรือธงธุรกิจใหม่ ตั้ง เอสซีเอ็กซ์ คอร์ปอเรชัน ขับเคลื่อนธุรกิจ Engine 2 หรือ Recurring Income (ธุรกิจสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ) วางโรดแมป 5 ปี (2025-2029) ลงทุน 20,000 ล้านบาท รุก 3 กลุ่มธุรกิจหลักทั้ง คลังสินค้า โรงแรม ออฟฟิศเช่า
ทั้งนี้ นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SC สะท้อนว่า ตั้งแต่โควิดจบสิ้นลง ธุรกิจที่ยังคงเติบโตต่อเนื่อง คือโลจิสติก ท่องเที่ยว และโรงแรม ทั้งยังมีการเร่งกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านภาคท่องเที่ยวจากภาครัฐ
นั่นจึงเป็นที่มาให้ เอสซี แอสเสท ตั้งเรือธงธุรกิจใหม่ รับเทรนด์ที่กำลังเติบโต โดยได้ก่อตั้ง SCX Corporation Co., Ltd.หรือ SCX ขับเคลื่อนธุรกิจ “Engine 2” หรือ “Recurring Income” ธุรกิจสร้างรายได้ประจำสม่ำเสมอ พร้อมได้แต่งตั้งนายรชฎ นันทขว้าง ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการเป็นผู้นำคนสำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจของ SCX
ด้านนางเกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) ระบุว่า ปีหน้า เสนา เน้นทำตลาดเช่าซื้อ โดยนำคอนโดมิเนียมที่มีอยู่มูลค่า 7,000 ล้านบาท เปิดให้เช่า ซึ่งมองว่าตลาดนี้ดีเกินคาดนำโครงการที่มีอยู่ สร้างโอกาสให้ผู้บริโภคสามารถเป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยด้วยการเช่าก่อนซื้อหรือ “RENT TO OWN” (เช่าซื้อ)
เป็นการให้เช่ากลุ่ม GenX, Y ที่ซื้อไม่ได้ ให้สามารถเช่ากับเสนาฯโดยตรงในตลาดกลาง-ล่าง สำหรับคอนโดมิเนียม ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี มีผู้เช่าเต็ม หลังดำเนินการมา 8 เดือนที่ผ่านมาอย่างไรก็ตามต้องการให้รัฐบาลมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจระยะยาว ลดดอกเบี้ยนโยบายลง รวม เป็นต้น
นางสาวพิชญา ตันโสด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ริชี่เพลซ 2002 จำกัด (มหาชน) หรือ RICHY ระบุว่า บริษัทได้ปรับตัว โดยนำสต๊อกผันเป็นห้องพักสำหรับเช่า-ซื้อ รวมถึงการมองหาธุรกิจใหม่ อย่าง โรงแรม รีเทล พลังงาน เวลเนส ฯลฯ ในอนาคตเพื่อลดความเสี่ยงอย่างไรก็ตามในส่วนอสังหาริมทรัพย์ ต้องการให้รัฐบาลใช้ยาแรง เพื่อให้เกิดกำลังซื้อที่ดีขึ้นในปีหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
คืบหน้า! The Residences at Dusit Central Park คอนโดหรูกลางกรุง คาดพร้อมเปิด 68
หลังเผยโฉมใหม่โรงแรมดุสิตธานี ล่าสุด ดุสิต เปิด Sales Gallery ของ The Residences at Dusit Central Park คอนโดมิเนียมระดับอัลตร้าลักชัวรีทำเล Super Core CBD คาดพร้อมเปิดปลายปี 2568
โครงการมิกซ์ยูส “ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค” (Dusit Central Park) โครงการอสังหาริมทรัพย์ร่วมทุนระหว่าง บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาาชน) และบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ที่มีมูลค่าโครงการรวม 46,000 ล้านบาท ได้ประกาศความคืบหน้าล่าสุด ด้วยการเปิด Sales Gallery ในโรงแรมดุสิตธานีโฉมใหม่ สำหรับเปิดตัว The Residences at Dusit Central Park
นางสาวละเอียด โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ผู้พัฒนาโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค กล่าวว่า ทั่วโลกมีทิศทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในรูปแบบมิกซ์ยูสขนาดใหญ่เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีการสร้างความเชื่อมโยงของการใช้ประโยชน์พื้นที่อย่างหลากหลาย ทำให้ในแต่ละโครงการล้วนส่งผลต่อชุมชนและผู้อยู่อาศัยในเมืองนั้นๆ
โดยโครงการ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นตัวแทนของการสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ ผ่านการผสมผสาน “Legacy meets Luxury” ที่นำเสนอมุมมองใหม่ของไลฟ์สไตล์หรูหราระดับไฮเอนด์ พร้อมรักษาคุณค่ามรดกจากโรงแรมดุสิตธานีดั้งเดิม ซึ่งเป็นแลนด์มาร์กของกรุงเทพฯ มากว่า 50 ปี
โดยโครงการนี้ไม่เพียงมุ่งพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบมิกซ์ยูสขนาดใหญ่ แต่ยังเชื่อมต่อความเป็นเมืองกับการพัฒนาที่ยั่งยืน และนวัตกรรมร่วมสมัย ที่ตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนเมืองอย่างครบวงจร
The Residences at Dusit Central Park เมื่อแล้วเสร็จจะกลายเป็นเป็นหนึ่งในอาคารสูง 5 อันดับแรกของประเทศไทย ด้วยความสูง 299 เมตร ที่ประกอบไปด้วย Branded Residence ทั้ง 2 โครงการ อย่าง ดุสิต เรสซิเดนเซส (Dusit Residences) และ ดุสิต พาร์คไซด์ (Dusit Parkside) ซึ่งเป็นที่พักอาศัยระดับอัลตราลักชัวรีบนทำเลใจกลางกรุงเทพฯ
โดยจุดเด่นของโครงการได้เน้นการออกแบบที่คำนึงถึงหลักฮวงจุ้ย ซึ่งช่วยส่งเสริมพลังงานบวกและการใช้ชีวิตที่เป็นสุข ห้องพักทุกห้องถูกจัดวางให้รับแสงแดดยามเช้า มีแสงธรรมชาติและลมธรรมชาติอย่างเพียงพอ ช่วยเสริมสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดีให้กับผู้อยู่อาศัย
ภายใน The Residences at Dusit Central Park ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวก เช่น Co-Kitchen ที่รองรับการจัดปาร์ตี้เล็กๆ หรือ Chef’s Table เพื่อรองรับความต้องการของผู้อยู่อาศัย
โครงการที่อยู่อาศัยนี้มีขนาดตั้งแต่ 55 ตารางเมตรไปจนถึง 170 ตารางเมตร ซึ่งขณะนี้มีจำนวนเหลืออยู่ประมาณ 10% หรือประมาณ 70-80 ยูนิต โดยเป็นสัดส่วนลูกค้าชาวไทย 80% และต่างชาติ 20%
นอกจากนี้ยังมีเพนต์เฮ้าส์หรูจำนวน 7 ยูนิต ซึ่งมีห้องที่ขนาดใหญ่สุดถึง 900 ตารางเมตร เพียงยูนิตเดียว ทั้งนี้ มีการจำหน่ายไปแล้วประมาณ 50% โดยราคาเฉลี่ยของที่พักทั้งโครงการอยู่ที่ประมาณ 380,000-390,000 บาทต่อตารางเมตร
ทั้งนี้ ทางโครงการคาดว่า ส่วนอื่น ๆ ของดุสิต เซ็นทรัล พาร์คจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 2568 โดยในส่วนของที่อยู่อาศัย The Residences at Dusit Central Park คาดว่าจะสามารถโอนกรรมสิทธิ์แล้วเสร็จได้ในปี 2569 ซึ่งนับว่าโครงการนี้จะเป็นอีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญใจกลางกรุงเทพฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 9ต.ค. “อ่อนค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 33.55 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจอ่อนค่าค่อยเป็นค่อยไป ยังโซนแนวต้านใหม่แถว 33.60 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนหนึ่งมาจากผู้เล่นในตลาดและผู้ส่งออกทยอยขายทำกำไรเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 9ต.ค. 2567 ที่ระดับ 33.55 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย” จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.49 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายังคงประเมินว่า แม้โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ ทว่า การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
โดยเงินบาทยังคงติดโซนแนวต้านใหม่แถว 33.60 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นผลมาจากการทยอยขายทำกำไรการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาด (รวมถึงการทยอยขายเงินดอลลาร์จากฝั่งผู้ส่งออก) อีกทั้ง ราคาทองคำก็ยังมีจังหวะรีบาวด์สูงขึ้น ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่ โดยเรายังคงเห็นแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ขณะเดียวกัน ความผันผวนของตลาดการเงินจีน หลังล่าสุดผู้เล่นในตลาดก็เริ่มผิดหวังต่อรายละเอียดใหม่ๆ ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน ทำให้เงินหยวนจีน (CNY) เสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง ซึ่งอาจกดดันบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้เช่นกัน
นอกจากนี้ เราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดอาจยังไม่รีบปรับสถานะถือครองสินทรัพย์อย่างชัดเจน จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในช่วงวันพฤหัสฯ นี้ได้ ทำให้โดยรวม เงินบาทก็อาจแกว่งตัว sideways ในกรอบ 33.40-33.65 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน
เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.40-33.65 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยอ่อนค่าลง (กรอบการเคลื่อนไหว 33.40-33.61 บาทต่อดอลลาร์) ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เข้าใกล้โซน 4.05%
หลังผู้เล่นในตลาดยังคงกังวลว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายนได้ (โอกาสราว 14% จาก CME FedWatch Tool) นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
รวมถึงการปรับสถานะถือครองสินค้าโภคภัณฑ์ของผู้เล่นในตลาดหลังราคาน้ำมันดิบก็ดิ่งลงแรง ได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงเกือบ -50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อทองคำ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ยังคงถูกจำกัดอยู่แถวโซนแนวต้านใหม่ 33.60 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าวบ้าง อีกทั้งราคาทองคำก็ทยอยรีบาวด์ขึ้นเกือบ +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยชะลอการอ่อนค่าลงของเงินบาท
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หลังผู้เล่นในตลาดเดินหน้าซื้อบรรดาหุ้นเทคฯ อาทิ Nvidia +4.1% ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นการเข้าซื้อก่อนรับรู้ผลประกอบการของหุ้นกลุ่มดังกล่าว ที่ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังการเติบโตที่ดีของผลประกอบการอยู่
ขณะที่การปรับตัวลดลงหนักของราคาน้ำมันดิบ หลังผู้เล่นในตลาดผิดหวังกับรายละเอียดใหม่ๆ ของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางการจีน ได้กดดันให้หุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลง อาทิ Exxon Mobil -2.7% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.97%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลดลง -0.55% กดดันโดยแรงขายหุ้นธีม China Recovery ทั้งหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม กลุ่มเหมืองแร่ และกลุ่มพลังงาน อย่าง LVMH -3.6%, Rio Tinto -4.8%, Shell -2.4%
หลังผู้เล่นในตลาดต่างผิดหวังว่า ทางการจีน (NDRC) ไม่ได้เปิดเผยรายละเอียดเพิ่มเติมเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ทั้ง SAP +2.4%, ASML +0.6%
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวในกรอบ sideways แถวโซน 4.00% โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 4.05% ก่อนที่จะย่อตัวลงเล็กน้อย ตามแรงซื้อ “Buy on Dip’ ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะปรับตัวขึ้นต่อเนื่องได้ หากผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดทั้งในปีนี้ และปีหน้า เช่น เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยกว่าที่ระบุไว้ใน Dot Plot ซึ่งอาจต้องเห็นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
โดยเฉพาะในส่วนของข้อมูลตลาดแรงงาน ที่ออกมาสดใส/ดีกว่าคาด รวมถึงแนวโน้มอัตราเงินเฟ้อที่อาจไม่ได้ชะลอลงชัดเจนนัก นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นต่อได้
หากสุดท้าย สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าวทวีความรุนแรงขึ้น จนส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลาง ทำให้ราคาน้ำมันดิบพุ่งสูงขึ้นเกินระดับ 100 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และอยู่ในระดับสูงดังกล่าวได้เป็นเวลานานไม่น้อยกว่า 3 เดือน ซึ่งภาพดังกล่าวอาจทำให้ เฟดมีความกังวลต่อแนวโน้มเงินเฟ้อและอาจชะลอแผนการลดดอกเบี้ยได้
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มกังวลว่าเฟดอาจไม่ลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในการประชุมเดือนพฤศจิกายนนี้ รวมถึงความต้องการถือเงินดอลลาร์จากความไม่แน่นอนของสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินดอลลาร์ยังเป็นไปอย่างจำกัด หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอทยอยขายทำกำไรเงินดอลลาร์/ปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์อยู่ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 102.5 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.3-102.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงการปรับสถานะถือครองสินค้าโภคภัณฑ์ของผู้เล่นในตลาดได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.)
ปรับตัวลงหนักสู่โซน 2,620- 2,630 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่ราคาทองคำจะรีบาวด์ขึ้นบ้างสู่ระดับ 2,640 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามความต้องการถือทองคำ ท่ามกลางความกังวลต่อสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงรายงานการประชุมเฟดล่าสุด (FOMC Meeting Minutes) ซึ่งจะรับรู้ในช่วงราว 01.00 น. ของเช้าวันพฤหัสฯ นี้ เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด
โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดก็เริ่มไม่แน่ใจว่า เฟดจะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายนได้ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานยอดสต็อกน้ำมันดิบคงคลังสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบในระยะสั้นได้
ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางนิวซีแลนด์ (RBNZ) และธนาคารกลางอินเดีย (RBI) โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า RBNZ มีโอกาสลดดอกเบี้ย –50bps สู่ระดับ 4.75% หลังอัตราเงินเฟ้อได้ชะลอลงต่อเนื่อง
ขณะเดียวกันภาพรวมเศรษฐกิจก็ชะลอลงพอสมควร ส่วน RBI อาจคงดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 6.50% แต่ก็อาจเริ่มมีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ ตามแนวโน้มการชะลอลงของทั้งเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการตอบโต้อิหร่านของทางการอิสราเอล ว่าจะเป็นไปในลักษณะใดและจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลางหรือไม่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.44-33.46 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.14 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.49 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินเอเชียอื่นๆ ในช่วงเช้านี้ ขณะที่ แรงหนุนเงินดอลลาร์ฯ ชะลอลงบางส่วน เนื่องจากตลาดกลับมารอติดตามบันทึกการประชุมเฟด และตัวเลขอัตราเงินเฟ้อ (CPI inflation) ของสหรัฐฯ ที่จะเปิดเผยออกมาในคืนนี้ และวันพรุ่งนี้ ตามลำดับ เพื่อประเมินแนวโน้มและจังหวะการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟดในระยะข้างหน้า
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.42-33.63 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค รายงานการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 17-18 ก.ย. รวมถึงสัญญาณจากถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ใช้กติกาแบบนี้! ครั้งแรกในชีวิต “บัวขาว” ดวล “โคจิ” ศึก Japan Martial Arts ที่ญี่ปุ่น
แถลงข่าวอย่างเป็นทางการสำหรับ ศึก Japan Martial Arts EXPO ที่จะจัดขึ้นที่ บันไต โยโกฮาม่า ประเทศญี่ปุ่น ในวันเสาร์ที่ 19 ตุลาคม นี้
โดยสิ่งที่แฟนๆ จับตามองก็คือการเจอกันของ “ดำดอตคอม” บัวขาว บัญชาเมฆ นักชกขวัญใจชาวไทย กับ โคจิ ทานากะ คิกบ็อกซิ่งชาวญี่ปุ่น
ซึ่งไฟต์พิเศษนี้จะชกกันภายใต้พิกัดน้ำหนัก 70 กิโลกรัม และ กติกาพิเศษ คือจะชกกัน 3 นาที ทั้งหมด 3 ยก ไม่มีการตัดสิน หากไม่มีการน็อกเกิดขึ้น รวมทั้งจะเป็นชกกันในกติกาแบบมวยสากล (ห้ามเตะ และห้ามฟันศอก)
สำหรับ โคจิ ทานากะ นักสู้วัย 35 ปี มีดีกรีเป็นถึงอดีตแชมป์โลก ISKA รุ่นไลต์เวต มีประสบการณ์ชกในกติกามวยสากลมาแล้ว 4 ครั้ง แถมยังเคยเบนเข็มไปชกในกติกา MMA มาแล้ว
ขณะที่ บัวขาว บัญชาเมฆ ในวัย 42 ปี ดีกรีแชมป์ K-1 World MAX สองสมัย ในปี 2004 และ ปี 2006 จะถือเป็นการสู้ในรูปแบบมวยสากลครั้งแรกในชีวิต
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 อาหารที่ไม่ควรกินคู่กับ “แอลกอฮอล์”
จริงๆ แล้วเราไม่อยากแนะนำให้ ดื่มแอลกอฮอล์ สักเท่าไร แต่หากคุณมีความจำเป็นต้องไปงานปาร์ตี้ หรือ ต้องสังสรรค์กับเพื่อนฝูงพร้อมแอลกอฮอล์อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ นอกจากเราจะแนะนำให้ดื่มในปริมาณน้อยแล้ว เราอยากพูดถึงอาหารที่หลายคนอาจจะสั่งมากินคู่กับแอลกอฮอล์ แต่จริงๆ แล้วอาจทำลายสุขภาพในอนาคตได้
อาหารที่ไม่ควรกินคู่กับ แอลกอฮอล์
- อาหารรสเค็ม
อาหารรสเค็ม เช่น กับแกล้ม ขนมขบเคี้ยวต่างๆ ทำให้ร่างกายเราได้รับโซเดียมมากขึ้น โซเดียมทำให้เรากระหายน้ำมากขึ้น จึงอาจทำให้เราเผลอดื่มแอลกอฮอล์มากขึ้นไปด้วย ดังนั้นควรเปลี่ยนกับแกล้มเป็นผัก เนื้อสัตว์รสไม่จัด ถั่วต่างๆ (ไม่โรยเกลือ) จะดีกว่า
- อาหารรสเปรี้ยว
ผลไม้ตระกูลซีตรัส เช่น มะนาว ส้ม รวมถึงอาหารรสเปรี้ยว อาจเร่งอาการของโรคกรดไหลย้อนได้ ใครที่มีความเสี่ยง หรือกำลังเป็นโรคนี้อยู่ ควรหลีกเลี่ยง
- ขนมปัง
ในกรณีที่แอลกอฮอล์ที่คุณดื่มเป็นเบียร์ ขนมปัง และเบียร์ทำจากยีสต์ทั้งคู่ การบริโภคอาหารที่ทำจากยีส์เข้าไปในครั้งเดียวกันมากเกินไป อาจทำให้เกิดอาการท้องอืด ท้องเฟ้อ หรืออาหารไม่ย่อยได้
- น้ำอัดลมไม่มีน้ำตาล
น้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลที่หลายคนนำมาเป็นมิกเซอร์ ผสมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ อาจทำให้เราเมาเร็วกว่าน้ำอัดลมสูตรที่มีน้ำตาลตามปกติ เพราะน้ำตาลจะทำให้แอลกอฮอล์ดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดช้าลง ซึ่งจะทำให้เราเมาช้ากว่าน้ำอัดลมไม่มีน้ำตาลเล็กน้อย (แต่ไม่ได้หมายความว่าน้ำอัดลมสูตรไม่มีน้ำตาลไม่ทำให้เมานะ แค่เร็วกว่าเล็กน้อย)
- อาหารไขมันสูง
เช่น อาหารทอด อาหารมันต่างๆ ทำให้กล้ามเนื้อหูรูดหลอดอาหารส่วนล่างคลายตัว จึงอาจส่งผลให้เร่งอาการของโรคกรดไหลย้อนได้ และยังชะลอการทำงานของกระเพาะอาหาร ทำให้อาหารไม่ย่อยได้อีกเช่นกัน
หากจะดื่มแอลกอฮอล์ ควรรับประทานอาหารให้เรียบร้อย ดื่มแอลกอฮอล์ไม่เกินลิมิตของตัวเอง ดื่มน้ำเปล่าให้เพียงพอเพราะอาจปัสสาวะบ่อย และอย่าลืมเมาไม่ขับด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เทียบชัดๆ จุดดี –จุดด้อย 3 บริการ Google Drive- OneDrive- iCloud
ข้อมูล มีความสำคัญและปริมาณเพิ่มขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะข้อมูลส่วนตัวในสมาร์ทโฟน ทั้งรูปภาพ วิดีโอ ไฟล์งาน เชื่อว่าพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ของผู้ใช้มือถือส่วนใหญ่ไม่เพียงพอ และถูกแจ้งให้ซื้อพื้นที่เก็บข้อมูลเพิ่มขึ้น ทั้งบนสมาร์ทโฟนที่เป็น iOS และแอนดรอยด์
พื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนคลาวด์ (Cloud Storage) น่าจะเป็นทางออกที่ดีสุดตอนนี้สำหรับผู้ที่มีพื้นที่จัดเก็บข้อมูลบนสมาร์ทโฟนไม่เพียงพอ เพราะสะดวกง่าย สามารถดึงข้อมูลมาใช้งานที่ไหนก็ได้ที่มีอินเตอร์เน็ต และใช้งานได้ตลอด 24 ชั่วโมง เช่นเดียวกับการแชร์ข้อมูลให้กับผู้อื่นสะดวก รวดเร็ว และมีความปลอดภัยสูง
“ฐานเศรษฐกิจ” จึงได้อัพเดทข้อมูลบริการพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ยอดนิยม 3 รายใหญ่ เพื่อเป็นข้อมูลเลือกใช้บริการ
เทียบบริการพื้นที่เก็บข้อมูลบนคลาวด์ 3 ค่าย
Google Drive:
พื้นที่เก็บไฟล์ฟรี: 15GB
เริ่มต้น: 30 GB
สูงสุด: 5 TB
ค่าบริการเริ่มต้น: 113.50 – 681 บาท ต่อปี/เดือน
จุดเด่น: สร้างเอกสาร แก้ไขและทำงานร่วมกันได้แบบเรียลไทม์
กู้คืนไฟล์ที่ลบไป: ภายใน 30 วัน
ระบบที่รองรับ: Android, iOS, Windows, macOS
ข้อจำกัด: จำกัดปริมาณข้อมูลที่อัปโหลดขึ้นไปบน Cloud ต้องไม่เกิน 750 GB
OneDrive:
พื้นที่เก็บไฟล์ฟรี: 5GB
เริ่มต้น: 100GB
สูงสุด: 6TB (สำหรับผู้ใช้งาน 6 คน)
ค่าบริการรายปีเริ่มต้น: 689 – 2,899 บาท ต่อปี
จุดเด่น: เหมาะสำหรับผู้ที่ใช้งาน Word, PowerPoint, Excel เป็นประจำ หรือใช้งาน Outlook เป็นหลัก
กู้คืนไฟล์ที่ลบไป: ภายใน 30 วัน
ระบบที่รองรับ: Android, iOS, Windows, macOS
ข้อจำกัด: จำกัดการอัปโหลด 250 GB และไฟล์รูปต้องมีขนาดไม่เกิน 100 MB
iCloud:
พื้นที่เก็บไฟล์ฟรี: 5GB
เริ่มต้น: 50GB
สูงสุด: 12TB
ค่าบริการ: 35 – 2,390 บาท ต่อปี/เดือน
จุดเด่น: เหมาะกับผู้ที่ใช้อุปกรณ์ของ Apple ช่วยให้การ Sync ข้อมูลเสียงกว่าคู่แข่ง
กู้คืนไฟล์ที่ลบไป: ภายใน 30 วัน
ระบบที่รองรับ: iOS, Windows, macOS
ข้อจำกัด: Sync ข้อมูลได้ยากถ้าไม่ใช้อุปกรณ์ของ Apple
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วิธีการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ หรือแบบสุภาพ Formal Language
หลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ Formal Language
การใช้ภาษาอังกฤษในทางธุรกิจและการทำงาน มีส่วนสำคัญในการสร้างประสิทธิภาพและความมั่นใจระหว่างการติดต่อสื่อสาร โดยจำเป็นต้องมีการใช้ภาษาอังกฤษที่ถูกต้องตามหลักการ มีความจริงจัง และเป็นแบบแผน เพื่อช่วยป้องกันการสื่อสารที่ผิดพลาด ทำให้มีความสุภาพเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
โดยจะมีหลักการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการอย่างไรบ้าง วอลล์สตรีท อิงลิช จะพาไปรีวิวกัน
เข้าใจว่าสถานการณ์ไหนควรใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการ
ก่อนอื่นเราจำเป็นต้องวิเคราะห์ก่อนว่าสถานการณ์การใดบ้างที่เราควรใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการ
- การนำเสนองาน
- การสัมภาษณ์งาน
- การพูดในที่สาธารณะ
- งานเขียนเชิงวิชาการ
- เอกสารทางการ
- เอกสารทางกฏหมาย
- อีเมลธุรกิจ
การใช้ภาษาที่ชัดเจนสื่อความหมายอย่างตรงไปตรงมา
ในการใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการควรเลือกใช้คำศัพท์ และเรียบเรียงประโยคที่สื่อความหมายได้ชัดเจนไม่เกิดความสับสนให้แก่ผู้ฟัง หลีกเลี่ยงคำศัพท์เฉพาะกลุ่มเป้าหมาย
รูปแบบการใช้แกรมม่าในประโยค
ในการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทางการการใช้แกรมม่าโดยทั่วไปจะมีความซับซ้อนและยาวกว่าการใช้ภาษาอังกฤษรูปแบบทั่วไป
- Have you seen my glasses? [Formal]
Seen my glasses? - I am sorry to have kept you waiting [Formal]
Sorry to keep you waiting
วิธีการเลือกใช้สรรพนามในประโยค
ภาษาอังกฤษทางการจะใช้คำที่มีความเป็นส่วนบุคคลน้อยลง เช่น เราจะเลือกใช้ “ We ” เป็นสรรพนามแทนที่ “ I ”
- We can assist in the resolution of this matter. Contact us on our help line number [Formal]
I can help you solve this problem. Call me! - We regret to inform you that……[Formal]
I’m sorry, but….
รูปแบบคำศัพท์ที่เลือกใช้
การใช้ภาษาอังกฤษแบบทางการจะมีการเลือกใช้คำศัพท์ที่มีระดับภาษาสูงขึ้น ตัวอย่าง เช่น
- เลือกใช้คำว่า Discuss แทนคำว่า talk
- เลือกใช้คำว่า Generate แทนคำว่า make
- เลือกใช้คำว่า Inform แทนคำว่า tell
- เลือกใช้คำว่า Illustrate แทนคำว่า show
- เลือกใช้คำว่า Provide แทนคำว่า give
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
10 วิธีทำความสะอาดลำไส้ใหญ่แบบธรรมชาติ
การล้างลำไส้ใหญ่ หรือ การดีท็อกซ์ลำไส้ใหญ่ คือ กระบวนการทำความสะอาดลำไส้ใหญ่ โดยการชำระล้างสิ่งสกปรกหรือของเสียที่ค้างอยู่ในลำไส้ใหญ่ โดยปกติแล้วจะทำโดยผู้เชี่ยวชาญที่เรียกว่านักสุขอนามัยลำไส้ใหญ่ ถึงแม้ว่ายังไม่มีงานวิจัยที่เพียงพอมาสนับสนุนประโยชน์ของการสวนล้างลำไส้ใหญ่ แต่จุดประสงค์หลักของการทำเช่นนี้ก็คือ การขจัดของเสียที่ค้างอยู่และเชื่อว่าเป็นพิษ ซึ่งเกาะติดอยู่ตามผนังลำไส้ใหญ่
10 วิธีล้างลำไส้ใหญ่แบบธรรมชาติ
1. การดื่มน้ำปริมาณมากและให้ร่างกายไม่ขาดน้ำเป็นวิธีที่ง่ายที่สุดในการควบคุมการย่อยอาหาร แนะนำให้ดื่มน้ำอุ่น 6-8 แก้วต่อวันเพื่อทำความสะอาดลำไส้ นอกจากนี้การรับประทานผักและผลไม้สดที่มีน้ำในปริมาณมาก เช่น แตงโมและมะเขือเทศก็ช่วยได้เช่นกัน
2. การผสมเกลือทะเลหรือเกลือสีชมพูสองช้อนชากับน้ำอุ่นแล้วดื่มในขณะท้องว่างจะมีประโยชน์ ช่วยกระตุ้นการเคลื่อนไหวของลำไส้ใหญ่ภายในไม่กี่นาที ซึ่งอาจทำได้วันละสองครั้ง
3. การบริโภคไฟเบอร์ ไฟเบอร์เป็นสารอาหารที่จำเป็นที่มีอยู่ในอาหารจากพืชที่ดีต่อสุขภาพ เช่น ผลไม้ ผัก ธัญพืช ถั่ว เมล็ดพืช และอื่นๆ เส้นใยช่วยเพิ่มปริมาณสารส่วนเกินในลำไส้ใหญ่ พวกเขาสามารถควบคุมอาการท้องผูกและลำไส้ที่โอ้อวดได้ นอกจากนี้ยังช่วยเพิ่มแบคทีเรียที่เป็น
4. น้ำมะนาวและน้ำผึ้ง ผสมน้ำมะนาวสด น้ำผึ้งหนึ่งช้อนชา และเกลือเล็กน้อยกับน้ำอุ่น แล้วดื่มขณะท้องว่างในตอนเช้า
5. น้ำผลไม้และสมูทตี้ รวมถึงน้ำผักและผลไม้ที่อดอาหารและทำความสะอาด น้ำผลไม้ที่ทำจากแอปเปิ้ล มะนาว และว่านหางจระเข้ช่วยในการทำความสะอาดลำไส้ อีกทั้งยังมีสารอาหารที่เป็นประโยชน์ต่อร่างกายอีกด้วย
6. โปรไบโอติก โปรไบโอติกช่วยทำความสะอาดลำไส้และเพิ่มแบคทีเรียที่ดีในลำไส้ อาหารเช่นโยเกิร์ต ผักดอง น้ำส้มสายชูแอปเปิ้ลไซเดอร์ และอาหารหมักอื่นๆ ถือเป็นโปรไบโอติกที่ดี
7. ชาสมุนไพร การลองชาสมุนไพรบางชนิดอาจช่วยให้ระบบทางเดินอาหารมีสุขภาพที่ดีผ่านทางลำไส้ใหญ่ได้ สมุนไพรระบาย เช่น ไซเลี่ยม ว่านหางจระเข้ และรากมาร์ชแมลโลว์ อาจช่วยแก้อาการท้องผูกได้
8. ขิง ช่วยกระตุ้นการย่อยอาหาร สามารถเติมลงในน้ำผลไม้อื่นๆ ชา หรือรับประทานโดยตรงได้ คุณสามารถผสมน้ำขิงและน้ำผึ้งหนึ่งช้อนชากับน้ำอุ่นหนึ่งถ้วยได้ สามารถบริโภคได้วันละครั้งหรือสองครั้ง
9. น้ำมันปลา น้ำมันปลาอาจใช้เป็นอาหารเสริมได้เช่นกัน ประกอบด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งมีประสิทธิภาพในการทำความสะอาดลำไส้
10. การอดอาหาร หรือ Intermittent Fasting (IF) การไม่กินอะไรเลยเป็นวิธีการล้างลำไส้ ช่วยให้ไตและตับกำจัดสารพิษที่เป็นอันตรายออกจากร่างกาย การดื่มน้ำ น้ำผักสด หรือน้ำผลไม้สดขณะอดอาหารสามารถช่วยได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/10/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 41,250.00 | 41,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,672.00 | 40,507.52 | 41,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,404.80 | 36,456.77 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,137.60 | 32,406.02 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,202.00 | 18,222.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 935.00 | 14,174.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,769.00 | 41,978.04 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/10/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.65 | 35.65 | 35.95 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.28 | 35.28 | 35.58 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.54 | 33.54 | 33.84 | 33.54 | 33.54 | – | 33.54 | 33.54 | 33.54 | 33.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.29 | 33.29 | – | – | – | – | – | – | – | 33.29 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.24 |
เบนซิน 95 | 43.84 | – | – | – | 49.81 | – | 44.34 | 43.99 | – | 43.84 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |