LPN ‘คอนโดลุมพินี’ ปรับโครงสร้าง วางเป้า 5 ปี ผุดใหม่ 70 โครงการ
อสังหาฯใหญ่ LPN คอนโดฯดัง ลุมพินี ลุยปรับภาพลักษณ์แบรนด์ เปลี่ยนโครงสร้างองค์กร เดินหน้าฟื้นรายได้ วางเป้าหมายใหญ่ ปี 2565-2569 เปิดโครงการใหม่ร่วม 70 โครงการ หวังตุนยอดขายสะสมไม่น้อยกว่า 5 หมื่นล้านบาท ประเมินตลาดอสังหาฯปีนี้ ฟื้นตัว 5-15%
8 ก.พ.2565 – นายโอภาส ศรีพยัคฆ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวล ลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) เปิดเผยถึงแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2565 ว่า จากการวางแผนยุทธศาสตร์ 3 ปี (2564-2566) ในการขับเคลื่อนองค์กรให้มีการเติบโตอย่างยั่งยืน (Turnaround) ในปี 2564 แต่เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโคโรนาไวรัสสายพันธุ์ใหม่ 2019 (Coronavirus Disease 2019: COVID-19) ทำให้บริษัทต้องมีการปรับตัวเพื่อรองรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
โดยการปรับโครงสร้างภายใน และปรับแผนยุทธศาสตร์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์โดยปรับเปลี่ยนแผนจาก 3 ปี เป็น 5 ปี โดยนับเริ่มต้นในปี 2565-2569 ซึ่งยังคงเป้าหมายการเติบโต ทั้งด้านรายได้ กำไร ผ่านการบริหารต้นทุนให้มีประสิทธิภาพโดยการใช้ข้อมูล (Big Data) มาวิเคราะห์ความต้องการของลูกค้า (Customer Insight) เพื่อการพัฒนาทั้งบ้านพักอาศัย และอาคารชุดพักอาศัย ให้มีฟังก์ชันการใช้งาน ที่ตอบโจทย์ทุกความต้องการของลูกค้าในทุกมิติให้เป็นที่พักอาศัยภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (Livable Home) ในระดับราคาที่เหมาะสม (Affordable Price) ต่อยอดจากแนวคิด “ชุมชนน่าอยู่” เพื่อให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยเหมาะสมกับการขยายกลุ่มลูกค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ (Young Generation)
“เพื่อให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้ บริษัทได้มีการเปลี่ยนโครงสร้างองค์กร รวมไปถึงการปรับแนวคิดในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์กับความต้องการของผู้ซื้อ โดยนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาใช้ในการปรับปรุงกระบวนการทำงาน (Digital Transform) เพื่อให้การทำงานมีความคล่องตัวในการตัดสินใจ เพิ่มประสิทธิภาพในการบริหารค่าใช้จ่าย และต้นทุนในการดำเนินงาน ยกระดับบริหารประสบการณ์ลูกค้า (Customer Experience) เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร โดยมีเป้าหมายในการสร้างรายได้ไม่น้อยกว่า 16,000 ล้านบาทในปี 2569 หลังจากที่เราสามารถก้าวข้ามผ่านความเสี่ยงทางธุรกิจที่เกิดขึ้นในปี 2564 สามารถรักษาความสามารถในการสร้างรายได้และกำไรไว้ได้ในอัตราที่เหมาะสม ถึงแม้จะเผชิญกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 ที่ทำให้ทุกภาคธุรกิจต้องปรับตัวรวมทั้งธุรกิจอสังหาริมทรัพย์”
LPN ปรับ 5 ด้าน ฟื้นเติบโต
ปี 2565 จึงเป็นปีของการเปลี่ยนแปลง (Year of Business Transformation) ที่สำคัญใน 5 ประเด็นคือ
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ (Corporate Transformation)
- การบริหารจัดการ (Management Transformation)
- การเปลี่ยนแปลงรูปแบบการพัฒนาโครงการ (Project Development Transformation)
- การปรับปรุงระบบเทคโนโลยีดิจิทัล (Digital Transformation)
- การสร้างแบรนด์ (Brand Transformation)
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างธุรกิจ
ปี 2565 บริษัทมีการปรับโครงสร้างธุรกิจโดยแยกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ กับธุรกิจบริการ ออกจากกันเพื่อให้มีความชัดเจนในการบริหารจัดการ และเพื่อประโยชน์ในการขยายธุรกิจในอนาคต ภายใต้โครงสร้างธุรกิจใหม่ บริษัท แอล. พี. เอ็น. ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) (LPN) มุ่งเป็นนักพัฒนาที่อยู่อาศัยทั้งอาคารชุดพักอาศัย และบ้านพักอาศัย รายได้หลักมาจากการขายที่อยู่อาศัย ในขณะที่ธุรกิจบริการ บริหารจัดการโครงการ ดำเนินการโดย บริษัท แอล พี พี พรอพเพอร์ตี้ มาเนจเมนท์ จำกัด (LPP) มีนายสุรวุฒิ สุขเจริญสิน เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ของ LPP
การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างดังกล่าว LPN ยังคงถือหุ้นใน LPP 100% ขณะที่ LPP สามารถที่จะบริหารงานได้อย่างอิสระ โดยเฉพาะการสร้างโอกาสในธุรกิจบริการใหม่ๆ โดยกลุ่มบริษัท LPN ทั้งในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจบริการ ตั้งเป้าหมายการเติบโตต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี ทั้งในส่วนของธุรกิจอสังหาฯ และธุรกิจบริการ
“การปรับโครงสร้างธุรกิจดังกล่าวจะทำให้ธุรกิจอสังหาฯ สามารถที่จะขยายงานและสร้างพันธมิตรธุรกิจใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกันด้านงานบริหารโครงการอสังหาริมทรัพย์โดย LPP ก็สามารถที่จะขยายขอบเขตงานบริการและฐานลูกค้า รวมทั้งสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ ได้เพิ่มขึ้น”
- การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการบริหาร
บริษัทปรับโครงสร้างการบริหารในส่วนของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ จากโครงสร้างการทำงานตามหน้าที่ (Functional Organization) สู่การบริหารงานในรูปแบบของหน่วยธุรกิจ (Business Unit) ซึ่งเป็นการปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่องจากปี 2564 โดยแบ่งออกเป็น 3 หน่วยธุรกิจ ประกอบด้วย หน่วยธุรกิจรับผิดชอบการพัฒนาอาคารชุดพักอาศัย หน่วยธุรกิจรับผิดชอบในการพัฒนาบ้านพักอาศัยราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท และหน่วยธุรกิจรับผิดชอบในการพัฒนาบ้านพักอาศัยราคาเกิน 10 ล้านบาท
การปรับโครงสร้างการบริหารดังกล่าวเป็นการปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่องจากปี 2564 และเริ่มมีการทำงานอย่างชัดเจนในปี 2565 เพื่อให้การพัฒนาโครงการอสังหาฯ ในแต่ละหน่วยธุรกิจรับผิดชอบมีความคล่องตัวในการทำงาน ทั้งเรื่องการออกแบบและการพัฒนาโครงการ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้ซื้อในแต่ละกลุ่ม (Segment) ได้อย่างรวดเร็วและตรงกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้มากขึ้น
- ปี 2565 LPN เปิดใหม่ 11,000 ล้านบาท
แผนพัฒนาโครงการที่พักอาศัย ทั้งอาคารชุดพักอาศัย และบ้านพักอาศัยในปี 2565 ให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการเพื่อตอบโจทย์กับความต้องการของคนรุ่นใหม่ ที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว (Uniqueness) โดยการพัฒนาโครงการที่มีขนาดเล็กลง มีการออกแบบภายใต้แนวคิดของ “LPN Design” เพื่อให้ได้ที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (Livable Home) เหมาะกับคนรุ่นใหม่ และคนทุกวัยในครอบครัว
แผนการพัฒนาดังกล่าว นำมาใช้ในการเปิดตัวโครงการในปี 2565 โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวโครงการใหม่ 16 โครงการ มูลค่ารวม 11,000 ล้านบาท เป็นโครงการอาคารชุดพักอาศัย 5 โครงการมูลค่า 7,000 ล้านบาท เน้นความมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว กระจายไปในทำเลต่างๆ หลากหลายทำเล และโครงการบ้านพักอาศัยระดับราคาไม่เกิน 10 ล้านบาท จำนวน 10 โครงการ มูลค่า 3,300 ล้านบาท และโครงการบ้านพักอาศัยระดับราคาเกิน 10 ล้านบาท 1 โครงการ มูลค่า 700 ล้านบาท โดยมีงบลงทุนซื้อที่ดิน 4,000 ล้านบาทเพื่อพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในปี 2565-2566
และภายใต้แนวคิดดังกล่าวบริษัทวางแผนการพัฒนาโครงการใหม่ตั้งแต่ปี 2565-2569 จำนวนไม่น้อยกว่า 70 โครงการ มูลค่ารวมไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท ยอดขายรวมสะสม 5 ปี ไม่น้อยกว่า 50,000 ล้านบาท โดยบริษัทมีเป้าหมายยอดขายในปี 2565 ที่ 13,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 46 % เมื่อเทียบกับยอดขายที่ 8,900 ล้านบาท ในปี 2564
- การเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี
จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ตั้งแต่ปลายปี 2562-ปัจจุบัน บริษัทได้มีการปรับโครงสร้างการทำงาน โดยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล มาเป็นเครื่องมือในการทำงานเพื่อลดขั้นตอนการทำงาน และลดค่าใช้จ่าย เพิ่มความคล่องตัวในการบริหารจัดการ และรวบรวมข้อมูลของลูกค้าใช้เป็นฐานข้อมูลในการพัฒนาที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์กับทุกความต้องการของลูกค้า ต่อเนื่องมาถึงปี 2565 เป็นปีที่บริษัทต่อยอดในการนำเทคโนโลยีดิจิทัลเข้ามาช่วยสนับสนุน
ด้านการตลาดและการขาย เพื่อสร้างประสบการณ์ใหม่ในการเข้าเยี่ยมชมโครงการแบบไร้สัมผัสผ่าน 3-D Virtual ในแบบ 360 องศา โดยเริ่มทดลองใช้ในปี 2564 และจะนำมาใช้เพิ่มขึ้นในปี 2565 ร่วมถึงการนำข้อมูลความต้องการของลูกค้า (Big Data) มาวิเคราะห์และพัฒนาโครงการและงานบริการที่ตอบโจทย์และตรงกับความต้องการของลูกค้าในปัจจุบันและลูกค้าที่เป็นคนรุ่นใหม่ในอนาคต
การปรับภาพลักษณ์ของแบรนด์
ปี 2565 บริษัท ให้ความสำคัญกับการสร้างการรับรู้แบรนด์ของ LPN ในฐานะผู้พัฒนาที่อยู่อาศัยภายใต้แนวคิด “น่าอยู่” (Livable Home) ในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่มีอายุประมาณ 25-35 ปี (Gen Y) ซึ่งเป็นกลุ่มคนที่เริ่มต้นทำงาน (First Jobber) สร้างธุรกิจเอง (Entrepreneur) รวมไปถึงกลุ่ม Startups โดยมีแผนที่จะเปิดตัวแบรนด์ใหม่ทั้งอาคารชุดพักอาศัย และบ้านพักอาศัย ในปี 2565
นายโอภาส กล่าวว่า การปรับเปลี่ยนใน 5 ประเด็นการดำเนินธุรกิจดังกล่าว มีเป้าหมายสำคัญเพื่อสร้างความแข็งแกร่งในการขับเคลื่อนองค์กรของ LPN ในปัจจุบันและอนาคต ทำให้การบริหารงานมีความคล่องตัว และสามารถรักษาอัตราการเติบโตได้อย่างต่อเนื่องโดยตั้งเป้าหมายการเติบโตไม่น้อยกว่า 10% ต่อปี ถึงแม้ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์จะเผชิญหน้ากับความเสี่ยงที่ไม่สามารถควบคุมได้ในอนาคต
คาดตลาดอสังหฯ ปี 2565 ฟื้นตัว 5-15%
ในขณะที่แนวโน้มของตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 นายโอภาส กล่าวว่า ตลาดอสังหาฯ ได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในปี 2564 ในขณะที่ในปี 2565 เป็นปีที่ตลาดอสังหาฯ จะฟื้นตัวหลังจากที่มีอัตราการเปิดตัวโครงการใหม่ติดลบต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2562-2564 เนื่องจากจำนวนสินค้าคงเหลือในระบบลดลงจากแคมเปญทางการตลาดที่กระตุ้นกำลังซื้อในช่วงที่ผ่านมา ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องเร่งเปิดตัวโครงการใหม่ในปี 2565 เพื่อทดแทนกับสินค้าที่มีจำนวนที่ลดลง
ในขณะที่มาตรการของรัฐบาลทั้งการลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองและการโอนเหลือ 0.01% รวมถึงการที่ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ได้ประกาศมาตรการการผ่อนคลายหลักเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย (Loan-to-Value: LTV) เป็นการชั่วคราว โดยกำหนดให้เพดานอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV ratio) เป็น 100% ซึ่งมีผลจนถึงสิ้นปี 2565 และอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่ยังต่ำ เป็นปัจจัยกระตุ้นในตลาดอสังหาฯ ในปี 2565 มีแนวโน้มที่จะเติบโต 5-15% เมื่อเทียบกับปี 2564
อย่างไรก็ตามในปี 2565 ยังคงมีปัจจัยเสี่ยงที่ภาคธุรกิจอสังหาฯ ต้องระมัดระวัง อาทิ ภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงแตะระดับ 90% ต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ที่จะกระทบกับกำลังซื้อ และความสามารถในการกู้เพื่อซื้อที่อยู่อาศัยกับสถาบันการเงิน ความระมัดระวังในการอนุมัติสินเชื่อของสถาบันการเงิน รวมไปถึงการแพร่ระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์ “โอมิครอน(Omicron)” ที่จะกระทบต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ยากจะคาดการณ์ได้
“ถึงแม้จะมีปัจจัยเสี่ยงที่ไม่สามารถที่จะควบคุมได้เป็นตัวแปรในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจและภาคอสังหาฯ แต่การปรับเปลี่ยนโครงสร้างองค์กรของ LPN ตั้งแต่ปี 2564 ต่อเนื่องมาถึงปี 2565 ทำให้บริษัทมีความมั่นใจว่า บริษัทจะสามารถขับเคลื่อนองค์กรให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้” นายโอภาส กล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ผ่ามุมคิดGEN4 “จิราธิวัฒน์” ปั้นแฟล็กชิพลักชัวรี่แบรนด์ เซ็นทารา รีเซิร์ฟ
แบรนด์เซ็นทารา หลายคนจะติดภาพความเป็นโรงแรมไทยๆดูแฟมิลี่มากๆ การสร้างแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี่ อย่าง “เซ็นทารา รีเซิร์ฟ” ที่สมุยเป็นแห่งแรกเพิ่มเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ จะมีทิศทางอย่างไร GEN4 “พิมพิศา จิราธิวัฒน์” (คุณแพร) มีคำตอบ
ภาพจำของแบรนด์เซ็นทารา หลายคนจะติดภาพความเป็นโรงแรมไทยๆดูแฟมิลี่มากๆ ดังนั้นการสร้างแบรนด์ใหม่ระดับลักชัวรี่ อย่าง “เซ็นทารา รีเซิร์ฟ” ที่สมุยเป็นแห่งแรกเพิ่มเข้ามาในพอร์ตโฟลิโอ จะมีทิศทางอย่างไร เมื่อได้คนรุ่นใหม่ GEN4 อย่าง “พิมพิศา จิราธิวัฒน์” (คุณแพร) ผู้อำนวยการฝ่ายออกแบบและงานบริการด้านเทคนิค โรงแรมและรีสอร์ทในเครือเซ็นทารา เข้ามารับบทบาทสำคัญในการพัฒนาส่วนงานดีไซน์และออกแบบคอนเซ็ปต์ให้กับโรงแรมแฟล็กชิพแห่งนี้
จากทักษะที่คุณแพรเรียนจบทางด้านสถาปัตยกรรมศาสตร์ สาขาตกแต่งภายในจากจุฬาลงกรณ์มา ทำให้มีสกิลด้านดีไซน์เป็นพื้นฐาน และเป็นคนชอบเที่ยวอยู่แล้ว การลุยงานออกแบบโรงแรม ทั้งที่มีการรีโนเวทใหม่และสร้างใหม่ของเครือเซ็นทารา จึงมี Flow การทำงานที่สะดวกและง่ายขึ้น ในฐานะโปรเจ็ค แมนเนจเม้นท์ที่ต้องประสานงานร่วมกับดีไซเนอร์ ,มาร์เก็ตติ้ง ในการออกแบบโรงแรมให้ตอบโจทย์ลูกค้าและสร้างแบรนด์ให้มีความเข้มแข็งในตลาด
ปักหมุดสู่ลักชัวรี โฮเทล
ปัจจุบันคุณแพรรับผิดชอบในหลายโปรเจ็ค ไม่ว่าจะเป็น โรงแรมเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย,เซ็นทารา โอซาก้า ที่ได้ร่วมทุนกับทางญี่ปุ่น ,โครงการลงทุนแห่งที่ 3 ของเซ็นทาราที่มัลดีฟส์ เป็นต้น โดย เซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย เป็นโปรดักซ์แรกที่เซ็นทาราอยากเปิดตัวในตลาดเซ็กเม้นท์โรงแรมในกลุ่มลักชัวรี่
ทำให้ใช้เวลากว่า 3 ปีในการเปลี่ยนโรงแรมเซ็นทาราแกรนด์สมุย ให้กลายเป็นเซ็นทารา รีเซิร์ฟ แห่งแรก ที่จะเปิดให้บริการในวันที่ 1 ธ.ค.นี้
การปรับโฉมให้เป็นเซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย มีความยากในเชิงการออกแบบมาก เพราะด้วยโครงสร้างของตึกสไตล์โคโรเนียลสร้างมากว่า 23 ปี ขนาดของห้องสมัยก่อนมีความแคบและเล็กกว่าในโปรดักซ์ที่เป็นลักชัวรี ทำให้ต้องรวมห้อง เพื่อลดจำนวนห้องพักจาก200 กว่าห้องเหลือ 184 ห้อง การมีข้อจำกัดในการรับน้ำหนักของผนัง ไม่สามารถทุบได้ ต้องใช้การดีไซน์มาช่วยปรับ ซึ่งมีการทำงานร่วมกันกับบริษัทอาฟโรโค่ จากนิวยอร์ค ในการออกแบบแลนด์สเคป ทำให้มีความเป็นโมเดิร์น นำความเป็นไทยมาทำให้เข้าใจง่ายขึ้น ทำให้ลูกค้ารู้สึกถึงความเป็นไทยทัชได้ รวมไปถึงมีการทำงานร่วมกับทีมโอเปอเรชั่น ที่ช่วยคิดกิมมิกต่างๆให้โปรดักซ์มีความแตกต่างจากลักชัวรีโฮเทลอื่นๆในแง่ของบริการและเซอร์วิสที่มีให้กับลูกค้า
“โจทย์ของแบรนด์ ความลักชัวรี่ ไม่ใช่ต้องใช้ของแพง แต่หลักยึดคือการดีไซน์ให้ลูกค้าได้ใช้ประโยชน์จากการใช้สเปซเต็มที่ ทำยังไงช่วยยกระดับและพัฒนาคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น”
คอนเซ็ปต์ของเซ็นทารา รีเซิร์ฟ จะเน้นต้นแบบการให้บริการของรีเซิร์ฟ 4 เรื่อง คือ “Reserve Time” ทำให้มีช่วงเวลาอันล้ำค่าในแบบฉบับเฉพาะคุณ เช่น อิสระในการเลือกเวลาเช็คอินและเช็คเอาท์ หรือเลือกเวลารับประทานอาหารเช้าสุดโปรดในไทม์โซนของคุณเอง “Reserve Space” มุมต่างๆในรีสอร์ทถูกปรับแต่งให้เหมาะกับทุกช่วงเวลาพิเศษของคุณ เช่น อาหารกลางวันเสิร์ฟในรูปแบบของปิคนิคสุดโรแมนติกบนชายหาดส่วนตัว หรือเนรมิตระเบียงห้องสวีทให้เป็นงานปาร์ตี้ค็อกเทลส่วนตัว “Reserve Culture” เสมือนตัวกลางเชื่อมความสัมพันธ์ระหว่างลูกค้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่น “Reserve Touch” การให้บริการแบบเฉพาะตัวและเหนือความคาดหมาย
เซ็นทารา รีเซิร์ฟ สมุย จะเป็นโปรเจคแรกที่รวมทุกอย่างเข้ามาไว้ และจะนำไปปรับใช้กับโรงแรมอื่นๆที่จะเป็นแบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟในที่จะเกิดขึ้นอีกหลายแห่ง ซึ่งไม่มีเพียงแต่แบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟ เท่านั้น ยังจะมีการขยายแบรนด์มิราจ ซึ่งเป็นแบรนด์ธีมโฮเทลสำหรับครอบครัวที่แข็งแรงมากของเซ็นทารา ซึ่งนอกจากจะมีพัทยาแล้ว ก็กำลังขยายไปที่ดูไบ ซึ่งแบรนด์มิราจ ถือเป็นชาเล้นท์ใหม่ๆที่ท้าทาย เพราะด้วยตัวโปรเจ็คไม่ได้เป็นตัวเรา เพราะเป็นแนวครอบครัวพาลูกไปเที่ยว แต่เหมือนให้เราได้ฝึกสกิล ให้เราได้ทำการบ้านมากขึ้น
ท่องเที่ยวโดนดีสรัปท์น้อย
โลกหลังโควิด การท่องเที่ยวคงเหมือนคนอัดอั้น ทุกคนอยากเที่ยว เชื่อว่าโรงแรมในเครือเราต้องปรับตัว เน้นเรื่องสุขอนามัย ที่เราก็มีโปรแกรมเซ็นทารา คอมพลีท แคร์ พนักงานมีการฉีดวัคซีนและตรวจATK สม่ำเสมอเพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยว การใช้เทคโนโลยีมาทำงานในระบบหลังบ้าน เพื่อมาเสริมบริการทำให้ลูกค้าได้รับความสะดวกสบายเพิ่มขึ้น และการออกแบบโรงแรมอนาคตทำให้การที่เราจะออกแบบหรือรีโนเวทโครงการใหม่ๆเรื่องวัสดุต่างๆที่เลือกใช้ในโครงการต้องคำนึงถึงเรื่องการทำความสะอาดการบำรุงรักษา ดูสวยงามด้วย แพรมองว่าเป็นการท้าทายสำหรับคนออกแบบเหมือนมีโจทย์ให้เรามาแก้เสมอๆ
ทั้งเรายังมองว่าเรื่องท่องเที่ยวเป็นอะไรที่ไม่น่าจะโดนดีสรัปท์มาก ทั้งจากโควิดและเทคโนโลยีต่างๆเพราะการท่องเที่ยวเป็นเอ็กซ์พีเรียนที่เราต้องเอาตัวเราไปประสบพบเจอประสบการณ์ต่างๆ ไม่เหมือนช้อปปิ้งออนไลน์กับร้านรีเทล ออนไลน์ซื้อได้ง่ายกว่า และเรายังมองว่าคนรุ่นใหม่หรือเด็กว่าแพร กล้าจ่าย เพราะทุกคน ทำงานหนัก เวลาไปเที่ยวขออยู่ดีๆพักผ่อนเต็มที่มากกว่า จึงไม่ได้ห่วงเรื่องการดัมพ์ราคา แต่เราต้องมีโปรดักซ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มต่างๆและการสร้างความมั่นใจให้แก่ลูกค้า
เรามั่นใจว่าข้อดีของเซ็นทาราคือโรงแรมเยอะ ตอบโจทย์นักท่องเที่ยวหลายแบบ และลูกค้า หลายๆแบบ มีแต่ลักชัวรีอันนี้ที่เรายังไม่ได้ก้าวเข้าไปเต็มตัว ก็จะมีแบรนด์เซ็นทารา รีเซิร์ฟ ที่สมุยแห่งแรก ซึ่งก็ได้รับการตอบโจทย์จากลูกค้าที่ดีมากจากยอดจองที่มีเข้ามาตั้งแต่คริสมาสต์ไปจนถึงต้นปีหน้าแล้ว ส่วนใหญ่เป็นคนไทย โดยเฉพาะการใช้สิทธิเราเที่ยวด้วยกันเฟส3 ส่วนตลาดต่างชาติก็เริ่มเข้ามาหลังเปิดประเทศ แต่ตลาดต่างชาติบางประเทศยังมีข้อจำกัดเรื่องของการกักตัวอยู่
แพรอยากทำโปรเจคไม่ใช่แค่สวยจบแล้วคนมาถ่ายก็บอกว่าสวย แต่ไม่ได้รู้สึกว่าครั้งหน้าไม่มาล่ะ อยากทำให้รู้สึกว่าเป็นที่ที่คนอยากกลับมาทุกครั้ง แพรว่าหาลูกค้าใหม่หาง่าย แต่หาลูกค้าที่จะอยู่กับเราประจำมันหายาก การพัฒนาโปรดักซ์จึงต้องทำให้คนเข้าถึงและประทับใจที่จะกลับมาใช้บริการ และในฐานะผู้ประกอบการรุ่นใหม่มองว่าการท่องเที่ยว จะเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลมากขึ้น มีความรู้สึกจับต้องได้เพราะเดี๋ยวนี้ด้วยความที่ทุกคนมีโซเชี่ยล มีเดีย ทุกคนจะโพสต์ ไปเขียนอะไรก็ได้ การออกแบบนวัตกรรมหรือดีไซน์ในอนาคต จะมีความเป็นปัจเจกบุคคลมากขึ้นในแง่ของการบริการด้วย จะมีโปรเจกต์ในแบรนด์ลักชัวรี่ ในแบบเอ็กซ์คลูซีพเพิ่มมากขึ้นในอนาคตด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
บาทเปิด 32.86 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่า
เงินบาทเปิดตลาด 32.86 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่ารับเม็ดเงินไหลเข้าหนุน ตลาดรอดูความเห็นกนง.บ่ายนี้
นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ 32.86 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 32.96 บาท/ดอลลาร์ เนื่องจากเมื่อวานนี้มีกระแสเงินทุนต่างประเทศไหลเข้ามาลงทุนจำนวนมาก โดยเข้าในตลาดพันธบัตร 1.6 หมื่นล้านบาท และตลาดหุ้นอีก 6.6 พันล้านบาท ขณะที่ดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าเมื่อเทียบกับเงินเยนและเงินยูโร แต่ปรับตัวอ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินสกุลอื่น
“บาทแข็งค่าจากเย็นวานนี้หลังมี Fund Flow เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและพันธบัตรกว่า 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งต้องระมัดระวังเพราะซื้อพันธบัตรระยะสั้น” นักบริหารเงิน กล่าว
นักบริหารเงินประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 32.80 – 33.00 บาท/ดอลลาร์
วันนี้จะมีการประชุม กนง.ซึ่งตลาดคาดการณ์ว่าจะมีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงดอกเบี้ย และต้องดูการประเมินภาวะเงินเฟ้อ
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
คาด 2 หมื่นคนร่วม “วิ่งผ่าเมือง” ครั้งที่ 4 “รมว.พิพัฒน์” การันตีพร้อมเต็มพิกัด
“กระทรวงท่องเที่ยวและกีฬา” จับมือ “ททท.-กกท.-สธ.-กทม.” และภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง แถลงข่าวยืนยันความพร้อมจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยว “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน แบงค็อก พรีเซ็นต์ บาย โตโยต้า” หรือ “วิ่งผ่าเมือง” ครั้งที่ 4 ชิงถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าพัชรกิติตยาภาฯ พร้อมเงินรางวัลรวม 1,729,500 บาท หลังจากที่ได้รับการอนุมัติจาก ผู้ว่าฯ กรุงเทพมหานคร ให้จัดแข่งขันได้ แต่ต้องปฏิบัติตามมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดฯ อย่างเคร่งครัด โดยในปีนี้ กำหนดจัดงาน 2 วัน ในวันเสาร์ที่ 26 ก.พ. 65 แข่งระยะ 10 กม. 5 กม. ปล่อยตัว ณ โลหะปราสาท ถนนราชดำเนิน และวันอาทิตย์ที่ 27 ก.พ. 65 แข่งระยะ 42 กม. 21 กม. ปล่อยตัว ณ ราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก คาดมีนักวิ่งร่วมแข่งขันรวม 2 หมื่นคน ด้านผู้อำนวยการสมาคมกรีฑาโลก ทำเซอร์ไพร์สด้วยการวิดีโอคอล ระหว่างงานแถลงข่าว เผยเตรียมผลักดันให้รายการนี้ได้ขึ้นแท่นเป็นมาราธอนแห่งเอเชียในครั้งต่อไป
เมื่อวันที่ 8 ก.พ. ที่ห้องประชุม ชั้น 25 การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.) นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานแถลงข่าวความพร้อมในการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก รายการ “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์มาราธอน แบงค็อก พรีเซ็นต์ บาย โตโยต้า” ครั้งที่ 4 หรือ “วิ่งผ่าเมือง” โดยมี นายยุทธศักดิ์ สุภสร ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.), นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม รองผู้ว่าการ ฝ่ายกีฬาอาชีพและกีฬามวย การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท.), พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล, นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข, นายสุชาติ แจสุรภาพ ประธานกรรมการมาตรฐานการวิ่ง สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยฯ, นายกอบเกียรติ แสงวนิชย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ไทยแลนด์ไตรลีก และผู้แทนภาคเอกชน ร่วมงานอย่างคับคั่ง
นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ กล่าวว่า ตนรู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่ง ที่ได้มีโอกาสมาเป็นประธานในงานแถลงข่าวความพร้อมของการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ได้รับการรับรองจากสมาคมกรีฑาโลก ให้เป็น 1 ในการแข่งขันมาราธอนในเมืองหลวงระดับต้นๆ ของโลก รายการ “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน แบงค็อก พรีเซ็นต์ บาย โตโยต้า” ครั้งที่ 4 หรือ “วิ่งผ่าเมือง” ถือเป็นรายการวิ่งมาราธอนที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นผู้ริเริ่มก่อตั้งในปี 2559 โดยได้มอบหมายให้ ททท. เป็นแม่งานหลัก ซึ่งตนขอชมเชยแก่ท่านผู้ว่าการ ททท. และคณะกรรมการอำนวยการจัดการแข่งขันทุกท่าน ที่สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ ของการจัดงานวิ่งในเมืองหลวงได้ด้วยดี จนทำให้รายการนี้ได้รับการยอมรับจาก World Athletics ให้เป็นรายการมาราธอนที่จัดขึ้นในเมืองหลวงระดับต้นๆ ของทวีปเอเชีย
“การแข่งขันครั้งนี้มีวัตถุประสงค์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นให้กับทุกภาคส่วน ทั้งภาครัฐและภาคเอกชน รวมถึงเหล่านักวิ่ง อาสาสมัคร เจ้าหน้าที่ตำรวจ และเจ้าหน้าที่อื่นๆ ที่มีส่วนเกี่ยวข้อง ด้วยการร่วมกันมาประกาศความพร้อมของการจัดงานในวันนี้ ผมขออวยพร ให้การดำเนินการจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนส่งเสริมการท่องเที่ยวระดับโลก “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์มาราธอน แบงค็อก พรีเซ็นต์ บาย โตโยต้า” ครั้งที่ 4 ประสบความสำเร็จไปด้วยดี สามารถสร้างพลังขับเคลื่อนของกลุ่มผู้รักการออกกำลังกาย ให้หันกลับมาใส่ใจในสุขภาพของตัวเอง ซึ่งถือเป็นภูมิคุ้มกันโรคภัยไข้เจ็บได้ดีกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง อีกทั้งยังเป็นการประกาศสู่ทั่วโลกว่าประเทศไทยสามารถที่จะจัดงานอีเว้นท์ระดับโลกได้ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19″ นายพิพัฒน์กล่าว
ทางด้าน นายยุทธศักดิ์ สุภสร ในฐานะประธานอำนวยการคณะกรรมการจัดการแข่งขัน กล่าวว่า การแข่งขันรายการนี้ จัดขึ้นเป็นครั้งที่ 4 ซึ่งได้เลื่อนมาจากกำหนดการเดิม คือ วันที่ 14 มี.ค.64 เนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ในขณะนั้นที่ยังมีอัตราการแพร่ระบาดในขั้นสูง คณะกรรมการอำนวยการจัดการแข่งขันฯ จึงมีมติให้เลื่อนการจัดการแข่งขันมาเป็นวันที่ 26-27 ก.พ.นี้ โดยครั้งนี้กำหนดจัดขึ้น 2 วัน แบ่งเป็นวันเสาร์ จะจัดแข่งขันในประเภท 10 กม. และ 5 กม. ส่วนวันอาทิตย์ จะจัดแข่งขันในประเภทมาราธอน และฮาล์ฟมาราธอน โดยสาเหตุที่คณะกรรมการฯ ตัดสินใจ แบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 วัน เนื่องมาจากได้มีการหารือร่วมกับทางกรุงเทพมหานคร โดยผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พล.ต.อ.อัศวิน ขวัญเมือง และคณะกรรมการควบคุมโรคของกรุงเทพมหานคร ได้มีข้อแนะนำให้ลดจำนวนผู้เข้าร่วมแข่งขันในแต่ละวัน ไม่ให้เกิน 15,000 คน ดังนั้น คณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ จึงแบ่งการแข่งขันออกเป็น 2 วัน และได้รับมติเห็นชอบให้จัดงานนี้ ภายใต้ข้อกำหนดที่ต้องให้ฝ่ายจัดการแข่งขันปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด
“ผมจึงได้กำชับไปยังคณะกรรมการฝ่ายต่างๆ ให้เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน และปฏิบัติตามข้อกำหนดของทาง ศบค. กระทรวงสาธารณสุข และ กรุงเทพมหานคร อย่างเคร่งครัด ขณะนี้ตนคิดว่าคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ มีความพร้อมเกินกว่า 85% แล้ว จากนี้ไปเหลือเวลาอีก 18 วัน ฝ่ายต่างๆ จะเริ่มเก็บรายละเอียดในส่วนที่เหลือ ซึ่งตนจะนัดประชุมเพื่อสรุปความคืบหน้าของการเตรียมงานในช่วงสุดท้าย โดยจะรายงานให้ท่านรัฐมนตรีฯ ทราบอีกครั้งในช่วงก่อนวันจัดงาน” นายยุทธศักดิ์ กล่าว
ขณะที่ นายทนุเกียรติ จันทร์ชุม กล่าวว่า ปัจจุบันในประเทศไทยมีการแข่งขันมาราธอนเพียง 3 รายการ ที่ได้รับการรับรองจาก World Athletics ซึ่งทั้ง 3 รายการนี้ การกีฬาแห่งประเทศไทยได้มีส่วนร่วมในการผลักดันทั้งหมด โดยในแต่ละรายการ ก็มีจุดขายที่แตกต่างกันไป อาทิ บุรีรัมย์มาราธอน ขายความมีส่วนร่วมของประชาชนในท้องถิ่น สร้างเสน่ห์ของเมืองให้สามารถดึงดูดนักวิ่งจากทั่วประเทศได้ ส่วนรายการ “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน แบงค็อก พรีเซ็นต์ บาย โตโยต้า” ก็มีอีกจุดขายที่ถือว่าเป็นจุดเด่นในระดับโลก นั่นคือ เป็นมาราธอนที่จัดขึ้นในเมืองหลวง ซึ่ง ณ ปัจจุบัน การจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวง ถือว่าเป็นงานที่มีความยากเป็นอย่างมาก ตนคิดว่า หากสามารถจัดการแข่งขันวิ่งมาราธอนในเมืองหลวงให้ได้ตามมาตรฐานการจัดงานของ World Athletics อย่างต่อเนื่อง ก็จะมีนักวิ่งจากทั่วโลกให้ความสนใจ เดินทางมาร่วมการแข่งขันเป็นจำนวนมากในอนาคตอย่างแน่นอน
“รายการนี้ เกิดจากความร่วมมือระหว่าง 2 องค์กรหลัก ที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา นั่นคือ ททท. และ กกท. โดยทั้ง 2 องค์กร ต่างมีเป้าหมายเดียวกัน นั่นคือ การพยายามผลักดันให้เกิดการจัดกิจกรรมกีฬาส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อสร้างเศรษฐกิจของประเทศ หรือ Sports Tourism สำหรับรายการนี้ กกท. จะให้การสนับสนุนด้านฝ่ายเทคนิคการแข่งขัน อาทิ การจับเวลา ผลการแข่งขัน และควบคุมสารกระตุ้น (Doping Control) โดยจะทำงานควบคู่ไปกับสมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทยฯ ให้เป็นไปตามข้อกำหนดของสมาคมกรีฑาโลก นอกจากนี้ตนยังได้อนุมัติให้ใช้ ราชมังคลากีฬาสถาน เป็นสถานที่ในการปล่อยตัว ซึ่งถือว่าเป็น “ไฮไลท์” ประจำการแข่งขันรายการนี้ นอกจากนี้ทางท่านรัฐมนตรี ยังต้องการที่จะผลักดันไปสู่การวิ่งระดับ โกลด์ ลาเบล ในอนาคต ซึ่งก้ต้องร่วมมือกันเพื่อสนับสนุน ผลักดันให้ไปสู่เป้าหมายในอนาคต” รองผู้ว่าการ กกท. กล่าว
พล.ต.ต.จิรสันต์ แก้วแสงเอก รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล กล่าว “สำนักงานตำรวจนครบาลได้รับมอบหมายให้ดูแลความเรียบร้อยทางด้านการรักษาความปลอดภัยและงานจราจร ซึ่งหลังจากที่ได้มีการประชุมและหารือถึงแผนการปฏิบัติด้านการจราจร ร่วมกับคณะกรรมการอำนวยการแข่งขันแล้ว ตนเห็นว่าการแข่งขันรายการนี้เป็นการแข่งขันวิ่งมาราธอนในระดับโลก ที่จัดขึ้นโดยภาครัฐ และภาคเอกชนร่วมมือกัน สำนักงานตำรวจนครบาลมีความพร้อมที่จะให้การสนับสนุนทางด้านการจราจรอย่างเต็มความสามารถ นอกจากนี้ ตนได้กำชับให้เจ้าหน้าที่ตำรวจทุกคนที่ได้รับมอบหมายในการปฏิบัติงานในช่วงการจัดการแข่งขันทั้ง 2 วัน ให้เข้ารับการตรวจ ATK จากฝ่ายแพทย์และพยาบาลของคณะกรรมการจัดการแข่งขันฯ เพื่อความปลอดภัยของผู้ปฏิบัติงานและผู้ร่วมแข่งขันทุกท่าน”
นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า “ตนพร้อมที่จะให้การสนับสนุนในการจัดการแข่งขันในครั้งนี้อย่างเต็มที่ ทั้งการให้คำแนะนำหรือการสนับสนุนทางด้านบุคลากรผู้เชี่ยวชาญทางการแพทย์ ให้มาเป็นคณะกรรมการฝ่ายการแพทย์และพยาบาล ทั้งนี้มีภารกิจสำคัญยิ่ง คือ การให้บริการตรวจคัดกรองเชื้อโควิด -19 กับผู้เข้าร่วมการแข่งขัน จำนวนมากกว่า 20,000 คน และเจ้าหน้าที่อาสาสมัครต่างๆ อีก 5,000 ราย โดยจะใช้สถานที่ตรวจ ATK และรับอุปกรณ์การแข่งขันที่ พารากอน ฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน ระหว่างวันที่ 24-26 ก.พ. เวลา 11.00 – 19.00 น. นอกจากการตรวจคัดกรองอย่างเข้มงวดแล้ว ตนยังช่วยกำหนดแนวทางปฏิบัติด้านสาธารณสุข ตามมาตรการ Covid Free Setting ภายใต้ข้อกำหนดของ ศบค. รวมถึงแนวทางการปฏิบัติเพื่อสื่อสารกับนักวิ่งทั้งก่อน/ระหว่าง/หลัง การแข่งขัน”
นายสุชาติ แจสุรภาพ ประธานกรรมการมาตรฐานการวิ่ง สมาคมกีฬากรีฑาแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กล่าว ตนขอแสดงความยินดีกับรายการ “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน แบงค็อก” ที่จัดได้อย่างมีมาตรฐานสากล เป็นไปตามข้อกำหนดของสมาคมกรีฑาโลก จนทำให้รายการนี้เป็นรายการเดียวในทวีปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการรับรองจากสมาคมกรีฑาโลกให้ได้รับ World Athletics Label ทั้ง 3 ระยะแข่งขัน ในรายการเดียวกัน และเท่าที่ตนได้มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงของสมาคมกรีฑาโลก ทราบว่า ขณะนี้ทางสมาคมกรีฑาโลก กำลังพิจารณาให้ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดงานของสมาคมกรีฑาโลก 2 งานใหญ่ ในปีนี้ คือ การจัดการประชุมสัมมนาของสมาคมกรีฑาโลก World Athletics Global Summit 2022 โดยจะมีการจัดการประชุมในสัปดาห์เดียวกับการจัดการแข่งขัน “อะเมซิ่ง ไทยแลนด์ มาราธอน แบงค็อก” ช่วงปลายปี นอกจากนี้ประเทศไทย จะได้รับเกียรติสูงสุดในการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันวิ่งเทรลชิงแชมป์โลก World Mountain and Trail Running Championships ในเดือน พ.ย.อีกด้วย ซึ่งทั้งสองกิจกรรมระดับโลกนี้ ทาง World Athletics จะมีการประกาศไปทั่วโลกในระยะเวลาอีกไม่นาน” นายสุชาติกล่าวทิ้งท้าย
นายกอบเกียรติ แสงวนิชย์ ในฐานะผู้อำนวยการจัดงาน กล่าวถึงรายละเอียดของการแข่งขันว่า รายการนี้ได้รับพระมหากรุณาธิคุณจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ พระราชทานถ้วยรางวัลของรายการจำนวนทั้งสิ้น 8 ถ้วย ได้แก่ ถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จำนวน 2 ถ้วย
สำหรับผู้ชนะในประเภทบุคคลทั่วไปชาย และบุคคลทั่วไปชายไทย ระยะมาราธอน, ถ้วยสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี จำนวน 2 ถ้วย สำหรับผู้ชนะในประเภทบุคคลทั่วไปหญิง และบุคคลทั่วไปหญิงไทย ระยะมาราธอน และถ้วยสมเด็จพระเจ้าลูกเธอเจ้าฟ้าพัชรกิติยาภาฯ จำนวน 4 ถ้วย สำหรับผู้ชนะในประเภทบุคคลทั่วไป ชายและหญิง ระยะฮาล์ฟมาราธอน และผู้ชนะในประเภทบุคคลทั่วไป ชายไทยและหญิงไทย ระยะฮาล์ฟมาราธอน
นอกจากนี้การแข่งขันยังเป็นรุ่นกลุ่มอายุต่างๆ โดยมีถ้วยรางวัลให้ชิงชัยกันทั้งสิ้น จำนวน 200 รางวัล มีเงินรางวัลรวมเป็นเงิน 1,729,500 บาท คาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมการแข่งขัน ทั้งสิ้นประมาณ 20,000 คน จากยอดผู้สมัคร 26,500 คน โดยแบ่งเป็นระยะ 10 กม. และ 5 กม. ในวันเสาร์ที่ 26 ก.พ. จำนวน 7,000 คน และระยะ 42.195 กม. และระยะ 21.1 กม. ในวันอาทิตย์ที่ 27 ก.พ. อีกจำนวน 13,000 คน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ซึมเศร้าซ่อนเร้น” ซึมเศร้าแต่ไม่แสดงอาการ คุณกำลังเป็นอยู่หรือเปล่า
นอกจากโรคซึมเศร้าจะอันตรายและควรรีบรักษาแล้ว การเป็นโรคซึมเศร้าโดยไม่รู้ตัวยิ่งอันตรายกว่าเดิม ทางการแพทย์เราอาจเรียกอาการนี้ว่า “ซึมเศร้าซ่อนเร้น”
ภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น คืออะไร
นายแพทย์ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย จิตแพทย์ และกรรมการผู้จัดการ โรงพยาบาลมนารมย์ ระบุว่า “ภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น” (Masked Depression) มักไม่พบอาการซึมเศร้าที่ชัดเจน ผู้ป่วยโรคนี้หลายคนยังรับผิดชอบหน้าที่การงานได้ พูดจาทักทาย ยิ้มแย้มกับคนใกล้ชิดได้เหมือนไม่มีปัญหาอะไร แต่มัก มีความวิตกกังวล ไม่มีความสุข พูดถึงหรือแสดงอาการเจ็บป่วยทางกายให้เห็นบ่อยๆ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง คลื่นไส้ แตกต่างจากผู้ป่วยโรคซึมเศร้า (Major Depressive Disorder) ตรงที่ผู้ป่วยจะมีอาการซึมเศร้าชัดเจน เช่น เบื่อหน่าย ท้อแท้ หมดกำลังใจ ขาดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ เบื่ออาหาร น้ำหนักลด นอนไม่หลับ รู้สึกไร้ค่า คิดอยากตาย
อาการที่สังเกตได้ ของผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น
- พูดถึงหรือแสดงอาการเจ็บป่วยทางกายให้เห็นบ่อยๆ เช่น ปวดหัว ปวดหลัง ปวดท้อง เจ็บหน้าอก หายใจไม่อิ่ม คลื่นไส้ ปั่นป่วนในท้อง
- ไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุอาการป่วยทางกายที่เกิดขึ้น แต่หาสาเหตุที่แท้จริงไม่ค่อยได้ ได้แต่รักษาไปตามอาการที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ
- ยังทำงาน เรียน หรือทำกิจกรรมปกติประจำวันได้เหมือนเดิม แต่ประสิทธิภาพด้อยลงเพราะมีความเครียด และความกังวลมากเกินไป ต่างจากผู้ป่วยโรคซึมเศร้าที่อาจมีอาการมากเกินไปจนไม่สามารถเรียนหรือทำงาน หรือรับผิดชอบในสิ่งที่เคยทำได้ดีเหมือนเดิม
- อาจมีพฤติกรรมย้ำคิดย้ำทำเพื่อให้ได้มาซึ่งความสมบูรณ์แบบ (Perfectionist) หมกมุ่นกับการทำให้ทุกอย่างออกมาดีที่สุด ต้องเรียนได้เกรดดี สอบได้คะแนนดี ทำงานไม่ผิดพลาด ผลงานต้องออกมาน่าพอใจ เพราะลึกๆ ในใจมีความไม่มั่นใจในตัวเอง ไม่มั่นคงทางอารมณ์ จึงพยายามเพื่อให้ตัวเองเป็นที่ยอมรับของคนอื่น และหากทำไม่ได้ดั่งใจหวังจะเสียใจ และผิดหวังค่อนข้างรุนแรง ไปจนถึงโทษตัวเอง โกรธตัวเองที่ทำไม่ได้ รวมถึงหงุดหงิดง่ายกับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มีความแปรปรวนทางอารมณ์สูง
- อาจมีพฤติกรรมบ้างาน (Workaholic) คือการทุ่มเทในการเรียนหรือทำงานมากเกินไปจนเผลอฝืนร่างกายของตัวเองโดยไม่รู้ตัว กดดันตัวเองว่าต้องทำให้ได้ พยายามอ่านหนังสือหรือนั่งทำงานแบบหามรุ่งหามค่ำจนลืมใส่ใจสุขภาพตัวเอง
- ในบางราย ความคาดหวังหมกมุ่นเหล่านี้ ก่อให้เกิดความเครียดสะสมหรือปัญหาการนอนไม่หลับ จนต้องแก้ปัญหาด้วยการใช้เหล้า สุรา ยานอนหลับ หรือสารเสพติด
อันตรายของภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น
ผู้มีภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้นมีสุขภาพจิตไม่แข็งแรง ทำให้ความสามารถในการรับมือกับปัญหา ความผิดหวังจากเหตุการณ์ที่คาดไม่ถึงที่เข้ามาในชีวิตจะทำได้ไม่ดี นำไปสู่การป่วยทางจิตใจต่อไป อาจถึงขั้นเป็นโรคซึมเศร้าได้ และหากไม่สามารถปรับตัวได้อีกก็อาจเกิดภาวะแทรกซ้อนถึงการฆ่าตัวตายก็เป็นได้
การรักษาผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น
การรักษาผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้นอาจมีความยุ่งยากตรงที่ผู้ป่วยกลุ่มนี้จำนวนมากมักไม่ยอมรับว่าตัวเองป่วย จะมองหาแต่อาการป่วยทางกายภาพเท่านั้น และเมื่อเห็นว่าร่างกายของตัวเองปกติดี จึงไม่คิดว่าตัวเองกำลังป่วยทางสภาพจิตใจ จึงไม่เข้าพบจิตแพทย์และเก็บปัญหาเครียดสะสม ความไม่มั่นใจในตัวเอง ความไม่มั่นคงทางอารมณ์ และอื่นๆ เอาไว้กับตัวเอง ดังนั้นก่อนอื่นผู้ป่วยต้องยอมรับตัวเองก่อนว่ากำลังมีปัญหา และเปิดใจเข้ารับการปรึกษากับจิตแพทย์
สำหรับวิธีการรักษาผู้ป่วยภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้น มักไม่มีวิธีการรักษา 1 2 3 4 ที่ตายตัว เพราะอาการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ดังนั้นจิตแพทย์จึงอาจพิจารณาให้ความรู้ ความเข้าใจ ทำจิตบำบัด บำบัดด้วยวิธีอื่นๆ เข้ามาช่วย เช่น ศิลปะบำบัด ฝึกผ่อนคลาย ฝึกสมาธิ รวมถึงการช่วยให้ผู้ป่วยเข้าใจตัวเอง ปรับเปลี่ยนมุมมองต่อปัญหาที่เกิดขึ้นในชีวิต เลือกใช้วิธีแก้ปัญหาที่สร้างสรรค์กว่าเดิม ไม่ทำร้ายตัวเอง มองเห็นคุณค่าในตัวเอง หรือในบางรายอาจพิจารณายาแก้อาการซึมเศร้าได้บ้าง
ถ้าหากทุกคนมีความรู้เกี่ยวกับภาวะซึมเศร้าซ่อนเร้นมากขึ้น สามารถแนะนำ ช่วยเหลือผู้ที่ประสบภาวะดังกล่าวให้ได้รับการดูแลรักษาที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหาสุขภาพจิตในประเทศไทยได้อีกมาก ประชากรที่มีความสุขทางจิตใจก็มีมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ตัวอย่างประโยคการยอมรับผิดในภาษาอังกฤษ
คนเราถ้าทำความผิด หรือทำอะไรผิดพลาดต่อผู้อื่นไป ก็ควรที่จะรู้จักยอมรับผิดใช่มั้ยคะ ปกติเราจะรู้แค่คำว่า “ขอโทษ” แต่เดี๋ยววันนี้เรามาดูประโยคตัวอย่างการยอมรับผิดในภาษาอังกฤษกันดีกว่าค่ะ ไปดูกันเลย
1. It’s me.
= ผมเอง
2. That was me.
= ฉันทำเอง
3. That’s my fault.
= เป็นความผิดของผมเอง
4. Sorry. I know this was my fault.
= ขอโทษครับ ผมรู้ว่ามันเป็นความผิดของผมเองครับ
5. I admit what I’ve done is wrong.
= ผมยอมรับในสิ่งที่ผมทำผิดไปนะครับ
6. It’s my mistake.
= มันเป็นความผิดของฉันเอง
7. I have made a mistake.
= ดิฉันทำผิดพลาดเองคะ
8. That’s my mistake.
เป็นความผิดของผมเอง
9. I’m wrong.
= ผมทำผิดเอง
10. I have to admit that I was wrong.
= ฉันยอมรับว่าฉันผิดเอง
11. I did.
= ผมเอง
12. I was the one to blame.
= คงต้องโทษที่ฉันคนเดียว
13. I’m sorry. I shouldn’t have done that.
= ผมขอโทษนะครับ ผมไม่น่าทำแบบนั้นเลย
14. I never intended it that way.
= ฉันไม่ได้ตั้งใจให้มันเป็นแบบนั้นเลย
15. I take full responsibility for my mistake.
= ฉันจะรับผิดชอบอย่างเต็มที่สำหรับความผิดของฉัน
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
2C2P แจงถูกมือดีอ้างชื่อหลอกลวงประชาชนให้ลงทุน-กู้เงิน
2C2P ร่อนจดหมาย แจงถูกมิจฉาชีพออนไลน์อ้างชื่อหลอกลวงประชาชน ให้ลงทุน หรือโน้มน้าวให้กู้ยืมเงิน โดยให้โอนเป็นเงินประกันเพื่อแลกกับการได้เงินกู้กลับมาในจำนวนที่สูงขึ้น รวมถึงการอ้างให้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการ ต่างๆ ผ่านช่องออนไลน์ เผยแจ้งความดำเนินคดีแล้ว
นายปิยชาติ รัตน์ประสาทพร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัทฯ ได้รับรายงานเกี่ยวกับกรณีที่มีมิจฉาชีพแอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่จากทาง 2C2P และได้มีการนำชื่อบริษัทไปใช้ เพื่อให้ได้มาซึ่งข้อมูลส่วนตัวของลูกค้าหรือหลอกลวงเงินจากเหยื่อผู้เสียหาย บนแพลตฟอร์มออนไลน์ ทั้งเว็บไซต์และโซเชียลมีเดียต่างๆ
โดยใช้วิธีการ เช่น การเปิดเว็บไซต์หรือหน้าโซเชียลมีเดียขึ้นมาในชื่อ “2C2P” และนำข้อมูลทางธุรกิจของ 2C2P ที่เปิดเผยต่อสาธารณะไปใช้ หวังสร้างความน่าเชื่อถือในการหลอกลวงประชาชนให้ลงทุน หรือโน้มน้าวให้กู้ยืมเงิน โดยให้โอนเป็นเงินประกันเพื่อแลกกับการได้เงินกู้กลับมาในจำนวนที่สูงขึ้น รวมถึงการอ้างให้ชำระเงินค่าสินค้าและบริการ ต่างๆ ผ่านช่องออนไลน์ ซึ่งทางบริษัท 2C2P ได้มีการแจ้งความดำเนินคดีแล้ว นั้น
บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด หรือ 2C2P ขอชี้แจงว่า
1. บริษัทได้ดำเนินการแจ้งความ ร้องทุกข์ ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อดำเนินคดีจับกุมผู้กระทำความผิดดังกล่าว พร้อมทั้งประชาสัมพันธ์ชี้แจ้งทางหน้าเว็บไซต์และสื่อของบริษัท ให้ลูกค้าทราบ URL ที่ถูกต้อง รวมทั้งแจ้งเตือนภัย เกี่ยวกับ วิธีการและลักษณะแพลตฟอร์มออนไลน์ของมิจฉาชีพ
2. บริษัท และบริษัทในเครือ (เช่น บริษัท123 Service จำกัด) ไม่มีบริการการให้สินเชื่อแก่ลูกค้า และไม่มีการขอเงินประกันเพื่อแลกกับวงเงินกู้
2. อย่าหลงเชื่อมิจฉาชีพที่นำชื่อบริษัท 2C2P ไปแอบอ้างเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในลักษณะข้างต้น โดย บริษัทขอให้ท่านติดต่อมายังบริษัทที่ บริษัท ทูซีทูพี (ประเทศไทย) จำกัด เลขที่ 9 ตึกจีทาวเวอร์ แกรนด์รามาไนน์ ชั้น 17 ฝั่งใต้ ถนนพระราม 9 เขตห้วยขวาง กรุงเทพมหานคร 10310 โทร. 02 026 3000 เพื่อตรวจสอบความถูกต้องให้แน่ใจก่อนที่จะทำธุรกรรม ชำระเงิน หรือการให้ข้อมูลส่วนบุคคลใดๆ
4. ขอให้ผู้ใช้บริการตรวจสอบความปลอดภัยของเว็บไซต์ เว็บไซต์ควรมีความปลอดภัยตามมาตรฐานของ SSL เพื่อการรักษาข้อมูลผู้ใช้งานให้ปลอดภัย ยืนยันความเป็นเจ้าของเว็บไซต์ ป้องกันการโจมตีจากการสร้างเว็บไซต์ปลอม และเพื่อยให้แน่ใจว่า เจ้าของเว็บไซต์ดังกล่าวว่ามีตัวตน
อย่างไรก็ตามทางบริษัทขอให้ทุกท่าน ระมัดระวังและป้องกันตัวเองจากการหลอกลวงต่างๆ และขอให้ทุกท่านพึงระวังข้อตกลงเงื่อนไขที่ดีอย่างไม่น่าเชื่อ เช่น ข้อตกลงที่ให้ผลตอบแทนจากการลงทุนสูงเกินจริง หรือการขอให้ท่านฝากเงินก่อนที่จะจ่ายเงินจำนวนมากคืนกลับมาให้ โดยให้สันนิษฐานไว้ก่อนว่าเป็นการหลอกลวง
ทั้งนี้ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการหลอกลวงต่างๆ ได้ที่ ศคง.(ศูนย์คุ้มครองผู้ใช้บริการทางการเงิน) ธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งให้คำปรึกษา และดูแลเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับบริการทางการเงิน โทร. 1213 จันทร์ – ศุกร์ 08.30 – 12.00 น. และ 13.00 – 16.30 น. นอกเวลาทำการ บริการตอบรับอัตโนมัติ 24 ชม.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง” เสี่ยงมะเร็งเต้านม จริงหรือ?
อาหารที่เรารับประทานกันในชีวิตประจำวัน มีส่วนประกอบของผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองเป็นจำนวนมาก เช่น เต้าหู้ น้ำเต้าหู้ ซอสปรุงรส เต้าเจี้ยว เป็นต้น ดังนั้นคงยากที่จะเลี่ยงอาหารเหล่านี้ แต่ถ้าเราเลี่ยงไม่ได้ แล้วการรับประทานทุกๆวันจะอันตรายกับเต้านมสาวๆ อย่างเราหรือไม่?
“ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง” เสี่ยงมะเร็งเต้านม จริงหรือ
แพทย์หญิง ตรีทิพย์ เกิดสินธ์ชัย แพทย์เฉพาะทางศัลยกรรมเต้านม โรงพยาบาลเวิลด์เมดิคอล ระบุว่า มีคนไข้จำนวนมากที่ถามหมอมาเรื่องน้ำเต้าหู้ หรือผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลืองว่าจะเพิ่มโอกาสการเป็นมะเร็งจริงหรือ เนื่องจากถั่วเหลืองมีสารที่ชื่อว่า isoflavones ซึ่งมีฤทธิ์เป็นฮอร์โมนเอสโตรเจนและจากงานวิจัยที่ทดลองในหนูพบว่าสามารถเพิ่มความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านมได้ แต่จากข้อมูลในปัจจุบัน ถั่วเหลืองมีเอสโตรเจนที่เป็นเอสโตรเจนจากพืช (Phytoestrogens) ดังนั้นในมนุษย์ยังไม่มีงานวิจัยไหนที่ชี้ชัดเรื่องเพิ่มความเสี่ยงมะเร็งเต้านม ในทางกลับกันบางงานวิจัยพบว่าหากรับการทานในปริมาณที่มากขึ้น อาจจะยังช่วยลดความเสี่ยงของการเป็นมะเร็งเต้านมอีกด้วย และสำหรับผู้ป่วยมะเร็งเต้านม การรับประทานถั่วเหลือง มีแนวโน้มช่วยลดอัตราการตายจากมะเร็งเต้านม
รับประทาน “ผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง” ปริมาณเท่าไหร่ดี
โดยปกติตามคำแนะนำของ FDA แนะนำให้รับประทานถั่วเหลือง 15-25 กรัม/วัน หรือเทียบเป็นปริมาณเต้าหู้ประมาณ 1-2 ถ้วย หรือน้ำเต้าหู้ประมาณ 1-2 แก้ว ทั้งนี้คนทั่วไปและคนไข้มะเร็งเต้านมสามารถรับประทาน น้ำเต้าหู้ และผลิตภัณฑ์จากถั่วเหลือง ได้อย่างปลอดภัย และปริมาณที่แนะนำคือ เต้าหู้ประมาณ 1-2 ถ้วย หรือน้ำเต้าหู้ประมาณ 1-2 แก้ว
ทั้งนี้ความเสี่ยงเป็นมะเร็งเต้านม มีหลากหลายปัจจัย ทั้งอายุ พันธุกรรม และพฤติกรรมการใช้ชีวิต การป้องกันที่ดีคือหมั่นสำรวจความผิดปกติของร่างกายและเต้านมสม่ำเสมอ หากพบสัญญาณเตือนมะเร็งเต้านม ควรรีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาตั้งแต่ระยะเริ่มต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/02/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 28,350.00 | 28,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,836.00 | 27,833.76 | 28,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,652.40 | 25,050.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,468.80 | 22,267.01 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 826.00 | 12,522.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 643.00 | 9,747.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,903.00 | 28,849.48 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/02/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.05 | 35.05 | 35.35 | 35.05 | 35.25 | 35.05 | 35.35 | 35.05 | 35.05 | 35.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.78 | 34.78 | 35.08 | 34.78 | 34.98 | 34.78 | 35.08 | 34.78 | 34.78 | 34.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.94 | 33.94 | 34.24 | 33.94 | 34.14 | – | 34.24 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 27.24 | 27.24 | – | – | – | – | – | – | – | 27.24 |
เบนซิน 95 | 42.46 | – | – | – | 43.11 | – | 43.26 | 42.96 | – | 42.46 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 31.54 | 30.44 | 30.74 | 29.94 | 30.44 | 30.64 | 30.44 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | 31.54 | 30.44 | 30.74 | 29.94 | 30.44 | 30.64 | 30.44 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | 31.54 | – | 30.74 | – | 30.44 | 30.64 | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 35.96 | 35.96 | 37.99 | 36.96 | 37.49 | – | – | – | – | 35.96 |
แก๊ส NGV | – | – | – | – | – | – | – | – | – | – |