อสังหาฯ EEC ส่งสัญญาณบวก ผุดโครงการสูงสุดรอบ 4 ปี ดันดีมานด์ฟื้น
อสังหาฯ อีอีซีสัญญาณบวกผุดโครงการสูงสุดรอบ4ปี! เม็ดเงินทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาเมกะโปรเจกต์-พัฒนาเมืองใหม่ดันดีมานด์ฟื้น ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ เผย ไตรมาส 3 ปี 2566 มีหน่วยเสนอขาย 5.1หมื่นหน่วยมูลค่า 1.7 แสนล้านบาท
Key Points:
- ความร้อนแรงของพื้นที่เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) กลับมาอีกครั้ง! เมื่อมีเม็ดเงินทั้งภาครัฐและเอกชนเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงสร้างพื้นฐาน เส้นทางคมนาคม เมกะโปรเจกต์ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง
- มีการแจ้งเกิดโครงการขนาดใหญ่ทั้งศูนย์การศึกษา ศูนย์ดูแลสุขภาพ แหล่งท่องเที่ยว โรงพยาบาล โครงการที่อยู่อาศัย ฯลฯ ครอบคลุมพื้นที่ทั้งจังหวัดชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา
- สอดคล้องตัวเลขของ ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่ามีการเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่อีอีซี 3 จังหวัด จำนวน 8,078 หน่วย เพิ่มขึ้น 96.2% มีมูลค่า 29,445 ล้านบาท!! นับเป็นความหวังของอสังหาริมทรัพย์ภาคตะวันออก
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ หรือ REIC กล่าวว่า ปี 2567 คาดการณ์ว่าสถานการณ์อสังหาริมทรัพย์โดยภาพรวมของพื้นที่เขตเศรษฐกิจอีอีซีทั้ง 3 จังหวัด ยังคง “ทรงตัว” โดยมีที่อยู่อาศัยเปิดขายใหม่เข้ามาในตลาดจำนวนรวม 16,073 หน่วย มูลค่า 47,806 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 8,112 หน่วย มูลค่า 29,359 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 7,961 หน่วย มูลค่า 18,447 ล้านบาท
คาดว่าจะมีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่จำนวน 26,133 หน่วย มูลค่า 83,961 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการบ้านจัดสรร 16,476 หน่วย มูลค่า 51,089 ล้านบาท และโครงการคอนโดมิเนียม 9,657 หน่วย มูลค่า 32,872 ล้านบาท อัตราการขายภาพรวมเพิ่มขึ้น 12.5% ส่งผลให้พื้นที่ 3 จังหวัดอีอีซี มีที่อยู่อาศัยคงค้างรอการขายรวมทั้งสิ้น 28,124 หน่วย คิดเป็นมูลค่า 94,316 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านจัดสรร 13,822 หน่วย มูลค่า 42,272 ล้านบาท โครงการคอนโดมิเนียม 14,302 หน่วย มูลค่า 52,044 ล้านบาท
“หากเป็นไปตามที่ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯ คาดการณ์ไว้สถานการณ์โดยรวมของตลาดกำลังปรับตัวเข้าสู่สภาวะที่ดีขึ้น เนื่องจากสินค้าคงค้างในตลาดลดลง 26.3% ถือว่าเป็นการลดลงมากสุดในรอบ 3 ปี”
ทั้งนี้ หากย้อนภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยโซนอีอีซีตั้งแต่ไตรมาส 2-3 ปี 2566 คึกคักขึ้นต่อเนื่อง ครึ่งหนึ่งของหน่วยเปิดตัวใหม่เป็นคอนโดมิเนียมในจังหวัดชลบุรี ส่งผลให้ยอดขายในพื้นที่อีอีซีเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ และคอนโดมิเนียมที่ขายได้ดีมักจะเป็นโครงการที่เปิดตัวไม่เกิน 2 ไตรมาสก่อนหน้า
ที่สำคัญในไตรมาส 3 ปี 2566 เป็นไตรมาสที่มีหน่วยเปิดตัวใหม่สูงสุดที่สุดในรอบ 4 ปีที่ผ่านมา ทั้งคอนโดมิเนียมและบ้านจัดสรร ส่วนใหญ่ 53.5% เป็นคอนโดมิเนียมเปิดใหม่ในจังหวัดชลบุรี ขณะที่บ้านจัดสรรที่เปิดใหม่กระจายอยู่ในชลบุรี 46% และอยู่ในจังหวัดระยองและฉะเชิงเทราจังหวัดละ 27% ของหน่วยที่เปิดใหม่ในอีอีซี
ขณะที่หน่วยขายได้ใหม่มีจำนวน 6,767 หน่วย เพิ่มขึ้น 0.4 % มีมูลค่า 22,505 ล้านบาท โดยพบว่า เป็นการขายคอนโดมิเนียม 2,431 หน่วย เพิ่มขึ้น 50.3% มีมูลค่า 8,678 ล้านบาท ซึ่งคอนโดมิเนียมเกือบทั้งหมดที่ขายได้ใหม่อยู่ในชลบุรี ซึ่งเป็นโครงการที่เปิดตัวใหม่ในช่วง 3 ไตรมาสแรก และเป็นการขายบ้านจัดสรร 4,336 หน่วย ลดลง15.4% มีมูลค่า 13,826 ล้านบาท
ผลจากที่หน่วยของคอนโดมิเนียมเปิดใหม่มากกว่าที่ขายได้ใหม่มากได้ทำให้สิ้นไตรมาส 3 ปี 2566 อสังหาริมทรัพย์ในโซนอีอีซี ทั้ง 3 จังหวัด ประกอบด้วย ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา มีจำนวนหน่วยอาคารชุดเหลือขาย 18,184 หน่วย เพิ่มขึ้น 11% คิดเป็นมูลค่ารวม 66,905 ล้านบาท ขณะที่บ้านจัดสรรที่แม้ว่าจะมียอดขาย “ลดลง” เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ยังมีจำนวนหน่วยที่ขายได้มากกว่าหน่วยที่เปิดตัวใหม่มากพอสมควร จึงทำให้มีหน่วยเหลือขาย 26,599 หน่วย ลดลง 13.7 % เมื่อเทียบกับปีก่อน มีมูลค่า 84,219 ล้านบาท
วิชัย ระบุว่า ที่ผ่านมาผู้ประกอบการจากทั้งส่วนกลาง ในพื้นที่ และภูมิภาคอื่นได้ให้ความสนใจในการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในจังหวัดชลบุรีเป็นจำนวนมาก
“ชลบุรีเป็นจังหวัดที่มีฐานเศรษฐกิจทั้งจากการท่องเที่ยวและอุตสาหกรรม ประกอบกับในช่วงปี 2563-2565 การเปิดตัวโครงการใหม่มีน้อย และตลาดได้มีการดูดซับอุปทานพอสมควร ทำให้ไตรมาส 2-3 ในปี 2566 มีการเปิดโครงการอาคารชุดจำนวนมาก และได้ดึงยอดขายอาคารชุดในชลบุรีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ยอดขายอาคารชุดยังคงน้อยกว่ายอดเปิดตัวใหม่ส่งผลให้ เกิดหน่วยเหลือขายสะสมของอาคารชุดเพิ่มขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง”
สำหรับบ้านจัดสรรมีการเปิดโครงการใหม่น้อยลงเพื่อให้สอดคล้องกับความต้องการซื้อที่อยู่อาศัยประเภทบ้านจัดสรรที่ลดลง โดยจะเห็นได้ว่า ในช่วง 3 ไตรมาสแรกในปี 2566 ยอดขายในแต่ละไตรมาสลดลงต่อเนื่อง แต่ด้วยหน่วยเปิดตัวใหม่มีการเปิดตัวน้อยลงจึงทำให้หน่วยเหลือขายของบ้านจัดสรรในภาพรวมลดลงอย่างต่อเนื่อง
“การพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในชลบุรี มักอยู่ในโซนท่องเที่ยวหลักและโซนนิคมอุตสาหกรรมหลัก สังเกตว่า โซนเหล่านี้แม้ว่าเป็นทำเลที่มีศักยภาพ มีโครงการที่อยู่อาศัยเสนอขายมากและมีการแข่งขันที่สูง ทำให้เกิดหน่วยเหลือขายมาก และหากมียอดขายช้าในช่วงเริ่มตัวโครงการ ก็มีโอกาสอย่างมากที่เกิดหน่วยขายไม่หมดและเป็นภาระต้นทุนของผู้ประกอบการต้องระมัดระวัง”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
“แหลมฉบังเฟส 3” เนื้อหอม “4 บิ๊กเอกชน” ชิงซองประมูล 1.1 แสนล้านบาท
“กทท.” เปิดแผนคืบหน้าสร้าง “ท่าเรือแหลมฉบัง เฟส 3” วงเงิน 1.14 แสนล้านบาท เร่งกิจการร่วมค้า CNNC ส่งมอบถมทะเลภายในเดือนมิ.ย.นี้ เผยบิ๊กเอกชน 4 ราย ชิงซองประมูลงานส่วนที่ 2 คาดได้ข้อสรุปปลายม.ค.-ก.พ.67
นายเกรียงไกร ไชยศิริวงศ์สุข ผู้อำนวยการการท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) เปิดเผยว่า ความคืบหน้าติดตามการก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 จังหวัดชลบุรี มูลค่าโครงการรวมประมาณ 114,000 ล้านบาท แบ่งเป็น กทท. 47% และเอกชน 53% โดยเป็นการพัฒนาและดำเนินการในส่วนของท่าเทียบเรือ F เป็นลำดับแรก ระยะเวลาสัมปทาน 5 ปี
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า โครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบังระยะที่ 3 งานก่อสร้างทางทะเลในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา (พฤศจิกายน – ธันวาคม 2566) โดยเดือนพฤศจิกายน 2566 ตามแผนการปฏิบัติงานปัจจุบัน 1.90% ต่อเดือน ทำได้ 2.08% ต่อเดือน ส่วนเดือนธันวาคม 2566 ตามแผนการปฏิบัติงานปัจจุบัน 1.99% ต่อเดือน ทำได้ 2.00% ต่อเดือน นับเป็นสัญญาณที่ดีขึ้นที่การก่อสร้างมีความคืบหน้ามากกว่าแผนงานประจำเดือน
ขณะที่ความคืบหน้าของโครงการฯ ณ เดือนธันวาคม 2566 กิจการร่วมค้าฯ สามารถดำเนินงานได้แล้วที่ 17.34% ซึ่งล่าช้ากว่าแผนในภาพรวมโครงการอยู่ 1.67%
อย่างไรก็ตามทางกิจการร่วมค้า CNNC ได้ติดตามเร่งรัดดำเนินงานให้แล้วเสร็จเพื่อให้สามารถส่งมอบงานพื้นที่ถมทะเลพื้นที่ 3 ให้ กทท.ได้ภายในเดือนมิถุนายน 2567 ตามที่กำหนด โดยกิจการร่วมค้าฯ ได้นำเครื่องจักรทางน้ำเข้ามาปฏิบัตงานเพิ่มเติมอีกจำนวน 30 ลำ จากเดิมที่มีอยู่แล้วจำนวน 37 ลำ รวมเป็นจำนวนทั้งสิ้น 67 ลำ
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ส่วนงานที่ 2 งานก่อสร้างอาคารท่าเทียบเรือระบบถนนและระบบสาธารณูปโภค วงเงิน 7,387 ล้านบาท ปัจจุบันกทท.อยู่ระหว่างตรวจสอบเอกสารรายละเอียดตามพ.ร.บ.จัดจ้างฯ ภายหลังจากกทท.ประกาศประกวดราคาหาผู้รับจ้าง ขณะนี้ได้ปิดรับซองการประมูลแล้ว พบว่ามีเอกชนสนใจ จำนวน 4 ราย ได้แก่
- บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD,
- บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR
- บริษัท ไชน่า ฮาร์เบอร์ เอ็นจิเนียริ่ง จำกัด
- บริษัท ยูนิค เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ UNIQ
“งานที่ 2 ของโครงการ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในปลายเดือนมกราคม-ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2567 หากได้ผู้ชนะการประมูลแล้วจะเริ่มลงนามสัญญาและดำเนินการให้ผู้รับเหมาเข้าพื้นที่ก่อสร้างประมาณภายในเดือนเมษายน 2567 ระยะเวลาการก่อสร้างราว 3 ปีกว่า หรือ 1,260 วัน โดยจะเร่งรัดให้ทันต่อการส่งมอบพื้นที่ให้กิจการร่วมค้า GPC ไม่เกินพฤศจิกายน 2568 ตามสัญญา”
นายเกรียงไกร กล่าวต่อว่า ในปัจจุบันซึ่งได้มีการเริ่มปฏิบัติงานตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 ที่ผ่านมารวมถึงกิจการร่วมค้าฯ ได้นำบุคลากรเข้ามาปฏิบัติงานเพิ่มเติมอีก จำนวน 120 คน จากเดิมมีบุคลากรจำนวน 400 คน รวมมีบุคลากรปฏิบัติงานทั้งสิ้นจำนวน 520 คน
ทั้งนี้เมื่อพัฒนาโครงการแล้วเสร็จจะเพิ่มขีดความสามารถในการรองรับตู้สินค้าจาก 11 ล้าน ทีอียูต่อปี เป็น 18 ล้าน ทีอียูต่อปี เพิ่มสัดส่วนสินค้าผ่านท่าทางรถไฟของ ทลฉ. จากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 30 เพิ่มขีดความสามารถในการรองรับรถยนต์จาก 2 ล้านคันต่อปี เป็น 3 ล้านคันต่อปี ช่วยสนับสนุนการลดต้นทุน การขนส่งโดยรวมของประเทศจากร้อยละ 14 ของ GDP เหลือร้อยละ 12 ของ GDP ประหยัดค่าขนส่งประมาณ 250,000 ล้านบาท
นอกจากนี้กทท.ยังเร่งรัดให้เอกชนเพิ่มจำนวนเครื่องจักรทางน้ำและบุคลากรแล้ว กทท. ยังได้มีการเร่งรัดให้ผู้รับจ้างนำเรือขุดลอกลำที่เป็นเจ้าของ (Owner) เข้ามาปฏิบัติงานทันที อีกทั้งยังให้ทำการสรุปข้อมูลความคืบหน้ารายวัน รายสัปดาห์ และวางแผนปฏิบัติงานรายวัน เพื่อให้เป็นไปตามมาตรฐาน EHIA โดยให้รายงานต่อผู้ควบคุมงานและคณะทำงานติดตามการก่อสร้างของโครงการฯ
อย่างไรก็ตามหากมีปัญหาไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนในแต่ละวันทางผู้รับจ้างมีหน้าที่เสนอแนวทางการแก้ไขปัญหา และแจ้งให้ผู้ควบคุมงานและ กกท. ทราบว่าจะมีแนวทางการแก้ไขปัญหาอย่างไรเพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพ
รวมถึง กทท. ยังคงเน้นย้ำกำชับติดตามให้กลุ่มกิจการร่วมค้าฯ และผู้ควบคุมงานให้ดำเนินการตามแผนปฏิบัติงานอย่างเคร่งครัดเพื่อให้การทำงานเป็นไปด้วยความสอดคล้องต่อเนื่องเพื่อให้สามารถส่งมอบงานตามแผนที่กำหนด เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 9ม.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.97 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังคงผันผวนในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งปัจจัย โฟลว์ธุรกรรมทองคำ และฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ เริ่มมีความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม ลุ้นถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟดของเช้าวันพุธ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 9ม.ค. 2567 ที่ระดับ 34.97 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.04 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทยังคงมีอยู่ หลังวันก่อนหน้าเงินบาทได้อ่อนค่าเร็วและแรงมากกว่าที่เราคาดไว้ จนไปทดสอบโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นกรอบบนที่เราประเมินไว้ในสัปดาห์นี้ (ทำให้เราขยับกรอบบนของค่าเงินบาทในสัปดาห์นี้ขึ้นเป็น 35.30 บาทต่อดอลลาร์)
อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า แนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ยังเป็นแนวต้านที่อาจผ่านไปได้ยาก เนื่องจากบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์ในโซนดังกล่าว ส่วนผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่มีมุมมองว่า เงินบาทอาจมีแนวโน้มทยอยแข็งค่าขึ้น ก็รอจังหวะเพิ่มสถานะ Long THB ได้
ทั้งนี้ เรามองว่า ปัจจัยที่อาจสร้างความผันผวนต่อเงินบาทได้ในช่วงตลาดยังขาดรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ คือ โฟลว์ธุรกรรมทองคำ รวมถึง ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งในส่วนของฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ เรามองว่า เริ่มมีความเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม ทำให้ เงินบาทก็ยังไม่สามารถกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ จนกว่าจะเห็นการกลับมาซื้อสินทรัพย์ไทยสุทธิของนักลงทุนต่างชาติ
นอกจากนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งอาจส่งผลให้ ทั้งเงินดอลลาร์ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และราคาทองคำเคลื่อนไหวผันผวน จนกระทบต่อทิศทางเงินบาทได้
ในช่วงนี้ เราพบว่า ความผันผวนของเงินบาทยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ
นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.75-35.00 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวทยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 34.86-35.07 บาทต่อดอลลาร์) ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และจังหวะการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ได้หนุนให้ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซนแนวรับเกือบ +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ของราคาทองคำและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาท ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าเหนือระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ของเงินบาท ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะผู้ส่งออกบางส่วน ทยอยเข้ามาขายเงินดอลลาร์เพิ่มเติม ทำให้เงินบาทยังไม่สามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญไปได้ไกล
จังหวะการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ต่ำกว่าระดับ 4.00% ได้ช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวขึ้นแรง อาทิ Nvidia +6.4%, Amazon +2.7% ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +2.20% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.41%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.38% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ตามจังหวะการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ระยะยาว ASML +1.4% นอกจากนี้ ข่าวการระงับการบินของเครื่องบิน Boeing 737MAX9 โดย FAA สหรัฐฯ ที่กดดันราคาหุ้น Boeing -8% ก็ได้หนุนให้ หุ้น Airbus ปรับตัวขึ้นกว่า +2.5%
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปกลับถูกกดดันจากการปรับตัวลงแรงราว -3% ของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลงแรงอีกครั้ง จากความกังวลการปรับลดราคาขายน้ำมันของซาอุฯ และการทยอยเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะย่อตัวลงหลุดระดับ 4.00% ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และรายงานอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์โดยเฟดสาขานิวยอร์ก ที่ชะลอตัวลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ภาพตลาดหุ้นสหรัฐฯ ที่ทยอยกลับมาเปิดรับความเสี่ยงเพิ่มเติม และท่าทีของผู้เล่นในตลาดบางส่วนที่เริ่มระมัดระวังต่อรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในวันพฤหัสฯ นี้ ได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้นสู่ระดับ 4.01% อีกครั้ง
อนึ่ง เรายังคงแนะนำว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นออกมาดีกว่าคาดในช่วงนี้ ซึ่งผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip และไม่ไล่ราคา โดยพยายามคำนึงถึง จุดคุ้มทุน หรือ Break-even เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนรวม หรือ Total Return ที่จะได้จากการถือครองบอนด์
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนไปตามทิศทางของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงในช่วงแรก ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นบ้างเล็กน้อย หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวขึ้นบ้าง โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 102.2 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102-102.5 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถรีบาวด์ขึ้นเหนือระดับ 2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำในโซนดังกล่าว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
สำหรับวันนี้ แม้ว่าจะไม่มีรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญมากนัก ทว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด Michael Barr ในช่วงเวลา 0.00 น. ของเช้าวันพุธ ตามเวลาในประเทศไทย เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด หลังผู้เล่นในตลาด รวมถึงบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ต่างได้รับรู้รายงานข้อมูลการจ้างงานล่าสุดเป็นที่เรียบร้อย
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.81-34.83 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.03 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.03 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทแข็งค่ากลับมา (หลังแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 สัปดาห์เมื่อวานนี้)
ขณะที่แรงหนุนของเงินดอลลาร์ฯ ยังไม่มีความต่อเนื่อง และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ เริ่มย่อตัวกลับลงมาในระหว่างที่ตลาดรอติดตามตัวแปรสำคัญของสัปดาห์นี้ ซึ่งก็คือตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค. ของสหรัฐฯ ที่จะประกาศในวันพฤหัสบดีนี้อย่างใกล้ชิด
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.75-35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณเงินทุนต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก การเคลื่อนไหวของค่าเงินหยวน และการคาดการณ์เกี่ยวกับแนวโน้มดอกเบี้ยของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เอฟเอ คัพ รอบ 4 สุดซี้ด! แมนซิตี้ ดวล สเปอร์ส, เชลซี ฟัด วิลล่า
แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แชมป์เก่า เจองานไม่ง่ายในศึก เอฟเอ คัพ รอบสี่ หลังถูกจับสลากดวลกับ ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ ขณะที่ เชลซี แชมป์ 8 สมัย จะต้องเจอกับของแข็งอย่าง แอสตัน วิลล่า
สำหรับ ลิเวอร์พูล จ่าฝูง พรีเมียร์ลีก ถือว่าไม่ยาก โดยรอฟัดกับ นอริช ซิตี้ หรือ บริสตอล โรเวอร์ส ที่ แอนฟิลด์ ส่วน แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หากผ่าน วีแกน แอธเลติก ได้ ก็มีโอกาสลิ่วต่อแบบไม่ยากเย็น
สรุปผลการจับสลากประกบคู่ เอฟเอ คัพ รอบสี่ (32 ทีมสุดท้าย) เมื่อคืนวันจันทร์ที่ 8 มกราคม ซึ่งมีขึ้นก่อนเกมรอบสาม คู่ระหว่าง วีแกน แอธเลติก พบ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด
– วัตฟอร์ด (แชมเปี้ยนชิพ) VS เซาธ์แฮมป์ตัน (แชมเปี้ยนชิพ)
– แบล็คเบิร์น โรเวอร์ส (แชมเปี้ยนชิพ) VS เร็กซ์แฮม (ลีก ทู)
– บอร์นมัธ (พรีเมียร์ลีก) VS สวอนซี ซิตี้ (แชมเปี้ยนชิพ)
– เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน (แชมเปี้ยนชิพ) VS เบรนท์ฟอร์ด (พรีเมียร์ลีก) หรือ วูลฟแฮมป์ตัน วันเดอเรอร์ส (พรีเมียร์ลีก)
– เวสต์แฮม ยูไนเต็ด (พรีเมียร์ลีก) หรือ บริสตอล ซิตี้ (แชมเปี้ยนชิพ) VS น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ (พรีเมียร์ลีก) หรือ แบล็คพูล (ลีก วัน)
– เลสเตอร์ ซิตี้ (แชมเปี้ยนชิพ) VS ฮัลล์ ซิตี้ (แชมเปี้ยนชิพ) หรือ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ (แชมเปี้ยนชิพ)
– เชฟฟิลด์ เว้นส์เดย์ (แชมเปี้ยนชิพ) VS โคเวนทรี ซิตี้ (แชมเปี้ยนชิพ)
– เชลซี (พรีเมียร์ลีก) VS แอสตัน วิลล่า (พรีเมียร์ลีก)
– อิปสวิช ทาวน์ (แชมเปี้ยนชิพ) VS เมดสโตน ยูไนเต็ด (นอกลีก)
– ลิเวอร์พูล (พรีเมียร์ลีก) VS นอริช ซิตี้ (แชมเปี้ยนชิพ) / บริสตอล โรเวอร์ส (ลีก วัน)
– ท็อตแน่ม ฮ็อทสเปอร์ (พรีเมียร์ลีก) VS แมนเชสเตอร์ ซิตี้ (พรีเมียร์ลีก, แชมป์เก่า)
– ลีดส์ ยูไนเต็ด (แชมเปี้ยนชิพ) VS พลีมัธ อาร์ไกล์ (แชมเปี้ยนชิพ)
– คริสตัล พาเลซ (พรีเมียร์ลีก) หรือ เอฟเวอร์ตัน (พรีเมียร์ลีก) VS ลูตัน ทาวน์ (พรีเมียร์ลีก) หรือ โบลตัน วันเดอเรอร์ส (ลีก วัน)
– นิวพอร์ต เค้าน์ตี้ (ลีก ทู) หรือ อีสต์ลีห์ (นอกลีก) VS แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด (พรีเมียร์ลีก) หรือ วีแกน แอธเลติก (ลีก วัน)
– เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด (พรีเมียร์ลีก) VS ไบรท์ตัน แอนด์ โฮฟ อัลเบี้ยน (พรีเมียร์ลีก)
– ฟูแล่ม (พรีเมียร์ลีก) VS นิวคาสเซิ่ล ยูไนเต็ด (พรีเมียร์ลีก)
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
6 วิธีป้องกันเชื้อหวัด แพร่กระจายในที่ทำงาน
ช่วงนี้เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ ในออฟฟิศต่างก็มีอาการไอ จามกันคนละทีสองที สลับกันไอเป็นพักๆ เพราะช่วงปลายปีแบบนี้ อากาศเปลี่ยนทีไร เชื้อไวรัสก็เริ่มทำงานทุกที จริงๆ แล้วถ้าป่วยก็ควรนอนพักรักษาตัวอยู่ที่บ้าน แต่ถ้าจำเป็นต้องมาทำงานจริงๆ ก็ควรป้องกันการแพร่เชื้อหวัดของตัวเอง เพื่อความปลอดภัยของสุขภาพเพื่อนร่วมงาน และตัวเองด้วย
เป็นหวัด เมื่อไรถึงควรหยุดงาน?
เรามาเริ่มกันที่สิ่งนี้ก่อน นั่นคือ ป่วยมากแค่ไหนถึงควรจะต้องหยุดงาน เอาอะไรเป็นมาตรฐาน ตามความเห็นของแพทย์แล้ว หากพบว่าตัวเองมีไข้ ก็ควรพักผ่อนอยู่ที่บ้านจนกว่าไข้จะลดลงจนถึงอุณหภูมิปกติมากกว่า 24 ชั่วโมง การมาทำงานทั้งๆ ที่ยังมีไข้ นอกจากจะเป็นการทรมานตัวเองไปเปล่าๆ ทำให้ไข้ลดลงช้ากว่าเดิม ใช้เวลาในการรักษาตัวนานกว่าเดิมแล้ว ยังเสี่ยงต่อการติดเชื้อไวรัสอื่นๆ เพิ่ม อาจทำให้อาการแย่ลงไปกว่าเดิมอีกด้วย แทนที่จะเป็นไข้หวัดธรรมดาๆ อาจเป็นไข้หวัดใหญ่จนอาจต้องเข้าโรงพยาบาล เสียเงินเสียเวลาเยอะกว่าเดิมก็ได้
ไม่อยากแพร่เชื้อหวัดให้เพื่อนร่วมงาน ควรทำอย่างไร?
- ปิดปากตัวเองเวลาไอ หรือจาม ด้วยข้อศอก ไม่ใช่มือ เพราะหากไอ หรือจามใส่มือ แล้วใช้มือจับสิ่งของต่างๆ อย่างลูกบิดประตู คีย์บอร์ดคอมพิวเตอร์ที่ต้องใช้ร่วมกัน เครื่องถ่ายเอกสาร เครื่องกดน้ำ ก๊อกน้ำ ฯลฯ อาจเป็นการแพร่เชื้อหวัดไปสู่ผู้อื่นได้โดยไม่รู้ตัว
- ลดการพบปะพูดคุยกับผู้อื่นในระยะใกล้ หรือหากงดการอยู่กับคนอื่นในพื้นที่จำกัดอย่างในห้องประชุมเล็กๆ เป็นเวลานานได้ก็จะดี
- งดการจับมือทักทายกับผู้อื่น หากไม่จำเป็น
- พกกระดาษทิชชูเปียกที่มีสารฆ่าเชื้อโรค หรือเจลล้างมือตลอดเวลา เริ่มไอเริ่มจามเมื่อไร ก็ให้รีบเช็ดทันที หรือถ้าจาม หรือไอใส่สิ่งของ เช่น คีย์บอร์ด หน้าจอคอมพิวเตอร์ โต๊ะทำงาน ก็ควรรีบเช็ด
- ใส่หน้ากากอนามัยตลอดเวลา
- อย่าลืมทานยาให้ตรงเวลา ห้ามขาดยาเด็ดขาด
สิ่งสำคัญคือระหว่างที่กำลังป่วย ควรงดกิจกรรมที่ต้องอยู่ร่วมกับคนเยอะๆ เช่น การไปออกกำลังกายที่ฟิตเนส ทานข้าวกับเพื่อนๆ การที่เรามีจิตสาธารณะที่ดี พยายามไม่ทำให้คนอื่นต้องเดือดร้อนไปด้วย ถือว่าเป็นการกระทำที่เราพึงปฏิบัติ แล้วอย่าลืมดื่มน้ำอุ่น ทานอาหารอ่อนๆ และพักผ่อนเยอะๆ ด้วยนะคะ ขอให้หายไวๆ กลับมาแข็งแรงเร็วๆ ค่ะ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เป๊ะแกรมม่าและการเขียนกับการอ่านด้วย Grammar Translation Method
Grammar-Translation Method เป็นวิธีการเรียนรู้(หรือสอน)ภาษาที่ช่วยพัฒนาแกรมม่า การเขียน และการอ่านไปได้พร้อมๆ กัน ในบทความนี้ ผมจะอธิบายให้คุณผู้อ่านเข้าใจกันว่า Grammar-Translation Method นั้นเขาทำกันอย่างไร และเราจะใช้วิธีนี้ให้เกิดประโยชน์สูงสุดในการพัฒนาแกรมม่า การเขียน และการอ่านของเราได้อย่างไร
ทักษะ 3 อย่าง ได้แก่ ทักษะด้านแกรมม่า (Grammar Skill) ทักษะการเขียน (Writing Skill) และทักษะการอ่าน (Reading Skill) เป็นทักษะที่พัฒนาไปพร้อมๆ กันได้โดยตรง โดยในบรรดาทักษะทั้ง 3 อย่างนี้ ทักษะที่เป็นรากฐานสำคัญก็คือทักษะด้านแกรมม่า เพราะแกรมม่าคือการทำความเข้าใจโครงสร้างในภาษาหนึ่งๆ ว่าคำต่างๆ ที่เราเห็นนั้นมาร้อยเรียงกันจนเกิดเป็นกลุ่มคำหรือประโยคขึ้นมาได้อย่างไร เมื่อเราเข้าใจโครงสร้างแล้ว เราก็สามารถอ่านทำความเข้าใจกลุ่มคำหรือประโยคที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ทั้งยังเขียนกลุ่มคำหรือประโยคขึ้นมาเพื่อสื่อความหมายให้ผู้อ่านเข้าใจได้ (แต่ก็ต้องฝึกฝนในระดับหนึ่งด้วย)
วิธีหนึ่งที่ใช้ในการพัฒนาทักษะทั้ง 3 มีชื่อว่า Grammar-Translation Method ความหมายของมันก็ตรงตามชื่อเลยครับ คือ วิธีที่อาศัยแกรมม่ากับการแปล ผู้เรียนภาษาจะได้เรียนหลักแกรมม่าแล้วนำหลักดังกล่าวมาประยุกต์ใช้โดยแปลข้อความจากภาษาที่เรียนไปเป็นภาษาของตัวเอง หรือจากภาษาของตัวเองไปเป็นภาษาที่เรียน โดยผู้เรียนจะได้เห็น pattern เดิมซ้ำไปซ้ำมาจนเกิดความคุ้นเคยกับหลักแกรมม่านั้นๆ
สมมติว่าบทที่ 2 ในหนังสือเรียนกล่าวถึงเรื่อง possessive pronouns (สรรพนามแสดงความเป็นเจ้าของ) ได้แก่ mine, yours, his, hers, its, ours และ theirs ผู้เรียนก็จะได้ทำความเข้าใจก่อนว่าคำเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นสรรพนาม คือ ใช้แทนสิ่งที่กล่าวถึงไปแล้ว คำเหล่านี้ต่างจาก possessive adjectives (คุณศัพท์แสดงความเป็นเจ้าของ) ได้แก่ my, your, his, her, its, our และ their ซึ่งใช้ขยายคำนาม จากนั้นก็จะมีโจทย์สั่งให้ผู้เรียนแปลประโยคสั้นๆ ที่มี possessive pronoun อยู่ด้วย ทั้งจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาของตัวเอง และในทางกลับกัน
ตัวอย่างโจทย์ที่ให้แปลจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทย เช่น
- This isn’t my car. It’s yours.
- You talk about your family first. I’ll then talk about mine.
ตัวอย่างโจทย์ที่ให้แปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ เช่น
- บ้านของฉันอยู่ใกล้บีทีเอส บ้านของคุณล่ะ
- ผมหาหนังสือของผมไม่เจอ ขอยืมหนังสือของคุณหน่อยได้มั้ย
นอกจากนี้ หนังสือเรียนบางเล่มยังอาจให้ผู้เรียนแปลข้อความที่ยาวขึ้นถึงระดับย่อหน้าอีกด้วย เพื่อให้ผู้เรียนคุ้นเคยกับ possessive pronouns มากขึ้น
เมื่อผู้เรียนอ่านประโยคที่ต้องแปลจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทย ผู้เรียนจะได้ทำความเข้าใจ possessive pronouns ในบริบท รวมถึงได้พัฒนาทักษะการอ่านทำความเข้าใจประโยคในลักษณะนี้ด้วย ในขณะเดียวกันเมื่อผู้เรียนแปลประโยคจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ ก็จะได้ทำความเข้าใจ possessive pronouns ในบริบท อีกทั้งได้พัฒนาทักษะการเขียนให้ถูกต้องตามหลักการใช้ possessive pronouns ด้วย
นี่คือวิธีที่เรียกว่า Grammar-Translation Method
ในสมัยโบราณ วิธีนี้เป็นหนึ่งในวิธีหลักที่ใช้ในการเรียนการสอนภาษาต่างประเทศ โดยมีต้นกำเนิดมาจากการเรียนการสอนภาษาละตินในช่วงต้นคริสต์ศตวรรษที่ 16 และใช้กันเรื่อยมา ทว่าถูกนักวิชาการสมัยใหม่ปฏิเสธ หลักๆ ก็เพราะวิธีนี้ไม่ช่วยให้ “พูดคล่อง”
แต่นั่นก็เป็นเพราะนักวิชาการกลุ่มนั้นตัดสิน “คุณค่า” ของ Grammar-Translation Method โดยใช้เกณฑ์ความสามารถในการพูดคล่องเป็นหลัก หากผู้เรียนต้องการเน้นพัฒนาทักษะด้านแกรมม่า การเขียน และการอ่าน วิธีนี้ก็ยังคงใช้ได้ผลดีอยู่เสมอ และเมื่อยิ่งใช้วิธีนี้บ่อยๆ ทักษะทั้ง 3 อย่างของผู้อ่านทุกคนก็จะแน่นขึ้น นอกจากนี้ วิธีนี้ยังทำให้เราเป็นคนช่างสังเกต และต่อยอดไปถึงทักษะการระบุข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์ (error identification) ได้อีกด้วย
พอจะเข้าใจ Grammar-Translation Method กันแล้วใช่มั้ยครับ คราวนี้มาลองใช้วิธีนี้กันดูบ้าง ผมจะสมมติว่าผู้อ่านกำลังเรียนเรื่อง Conditionals แบบที่เป็นความจริงตามธรรมชาติ กล่าวคือ ถ้าเกิดสิ่งหนึ่งขึ้น ก็จะมีอีกสิ่งหนึ่งเกิดขึ้นเสมอ กรณีนี้ If-clause จะอยู่ในรูป Present Simple ส่วน clause ที่อยู่หลัง If-clause ก็จะอยู่ในรูป Present Simple ด้วย เช่น
If you eat too much, you become a bear.
ถ้ากินมากเกินไป คุณก็จะกลายเป็นหมี
If he turns to the east at dawn, he sees the sun rising over the horizon.
ถ้าเขาหันไปทางทิศตะวันออกในยามรุ่งอรุณ เขาก็จะเห็นดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือเส้นขอบฟ้า
If Anne boils the water, it gets hot.
ถ้าแอนต้มน้ำ น้ำก็จะร้อน
คราวนี้ผมจะให้โจทย์แปลจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทย กับแปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ อย่างละ 2 ประโยค
อังกฤษไปเป็นไทย
- If she wears her coat, her body gets warm.
- If they eat cyanide, they die.
ไทยไปเป็นอังกฤษ
- ถ้าเขาไม่ดื่มน้ำ เขาจะตาย
- ถ้าพวกเด็กทารกหิว พวกเขาจะร้องไห้
หลังจากลองแปลกันแล้ว ก็มาเช็คคำตอบกันครับ โจทย์ที่ให้แปลจากภาษาอังกฤษไปเป็นภาษาไทย ข้อแรก แปลได้ว่า ถ้าเธอสวมเสื้อโค้ต ร่างกายของเธอก็จะอบอุ่น ส่วนข้อสอง แปลได้ว่า ถ้าพวกเขากินไซยาไนด์ พวกเขาก็จะตาย
ส่วนโจทย์ที่ให้แปลจากภาษาไทยไปเป็นภาษาอังกฤษ ข้อแรก ตอบว่า If he doesn’t drink water, he dies. กับข้อสอง ตอบว่า If the babies are hungry, they cry.
ในระหว่างที่เช็คคำตอบ ก็ให้สังเกตด้วยว่า If-clause กับ clause ที่ตามมานั้นอยู่ในรูปของ Present Simple ทั้งคู่ แล้วจำรูปแบบนี้ให้ขึ้นใจ พอถึงเวลาต้องเอาไปประยุกต์ใช้ในการอ่านและการเขียนจะได้เข้าใจประโยคคล้ายๆ กันนี้ได้อย่างรวดเร็ว
นี่เป็นตัวอย่างบางส่วนของ Grammar-Translation Method นะครับ ผมเชื่อว่าถ้าผู้อ่านเอาวิธีนี้ไปประยุกต์ใช้บ่อยๆ ทักษะแกรมม่า การเขียน และการอ่าน (และอาจรวมถึงทักษะการหาข้อผิดพลาดทางไวยากรณ์) ของผู้อ่านจะต้องแน่นขึ้นอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
7 ประโยชน์ของ “สะตอ” สุดยอดพืชผัก ของดีที่ชาวปักษ์ใต้นิยมรับประทาน
หากเอ่ยถึงอาหารยอดนิยมในภาคใต้ เชื่อว่าหลายคนคงนึกถึง “สะตอ” หรือที่ชาวปักษ์ใต้เรียกว่า “กะตอ” เป็นอันดับต้นๆ อย่างแน่นอน ถึงแม้ว่าสะตอจะมีกลิ่นฉุน แต่ก็ไม่ทำให้ความนิยมในการรับประทานลดน้อยลงเลย นอกจากนี้ยังมีประโยชน์ต่อสุขภาพอีกด้วย Hello คุณหมอ จะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับสะตอให้มากขึ้น
“สะตอ” ของดีจากชาวปักษ์ใต้
สะตอ (Parkia speciosa หรือ Petai) มีรูปร่างคล้ายเมล็ดอัลมอนด์ เป็นที่รู้จักกันดีในแถบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ประเทศไทย ประเทศสิงคโปร์ ประเทศลาว ประเทศอินโดนีเซีย ประเทศมาเลเซีย เป็นต้น
สะตอนั้นอุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูงมีโปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต มีสรรพคุณที่ช่วยลดความดันโลหิต ช่วยบำรุงสมองและสุขภาพดวงตา โดยส่วนใหญ่คนนิยมนำมารับประทานทั้งแบบดิบและแบบสุก นอกจากนี้ยังสามารถนำมาประกอบอาหารได้หลากหลายเมนู
คุณค่าทางโภชนาการของสะตอ
คุณค่าทางโภชนาการของสะตอ 100 กรัม (ให้พลังงาน 124 กิโลแคลอรี่) ให้สารอาหาร ดังต่อไปนี้
- ธาตุเหล็ก 3.4 มิลลิกรัม
- วิตามินซี 32.7 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 1 0.15 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 2 0.2 มิลลิกรัม
- วิตามินบี 3 0.5 มิลลิกรัม
- โพแทสเซียม 376 มิลลิกรัม
- แคลเซียม 126 มิลลิกรัม
- โซเดียม 11 มิลลิกรัม
- ฟอสฟอรัส 3 มิลลิกรัม
- คาร์โบไฮเดรต 16.9 กรัม
- โปรตีน 10 กรัม
- ไขมัน 1.8 กรัม
- ไฟเบอร์ 1 กรัม
7 ประโยชน์จากสะตอ ที่คุณไม่เคยรู้
- บรรเทาอาการซึมเศร้า
สะตอมีทริปโตเฟน (Tryptophan) ซึ่งเป็นโปรตีนชนิดหนึ่งที่ร่างกายจะเปลี่ยนเป็นสารเมลาโทนิน (Melatonin) ช่วยบรรเทาอาการวิตกกังวล อาการเครียด ส่งผลให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์ดี
- ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจาง
สะตออุดมด้วยธาตุเหล็ก ที่ช่วยเสริมสร้างฮีโมโกลบินในเลือด ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคโลหิตจาง (Anemia)
- ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคความดันโลหิต
องค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกา (United States Food and Drug Administration : FDA) กล่าวว่า สะตอ มีธาตุโพแทสเซียมสูงและมีความเค็มต่ำ จึงมีสรรพคุณที่จะช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคดันโลหิตและโรคหลอดเลือดสมอง
- รักษาสมดุลของระดับน้ำตาลในเลือด
การรับประทานสะตอระหว่างมื้ออาหารจะช่วยรักษาระดับน้ำตาลกลูโคส (Glucose) ให้อยู่ในระดับที่สูงขึ้น และช่วยป้องกันอาการแพ้ท้องในสตรีมีครรภ์อีกด้วย
- บรรเทาอาการท้องผูก
สะตออุดมด้วยไฟเบอร์จำนวนมาก ช่วยฟื้นฟูลำไส้ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ บรรเทาอาการท้องผูก นอกจากนี้ยังช่วยบรรเทาอาการเสียดท้องอีกด้วย
- บำรุงสุขภาพดวงตา
สะตอมีวิตามินเอสูงมากถึง 200 IU (หน่วยสากล) ต่อ 100 มิลลิกรัม ดังนั้นสะตอจึงมีคุณสมบัติในการช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา และช่วยรักษากระจกตาให้มีสุขภาพที่ดีอย่างยั่งยืน
- บำรุงสมอง
มีงานวิจัยบางชิ้นระบุว่า สะตออุดมด้วยโพแทสเซียมที่จะช่วยในการเรียนรู้ เพิ่มความจำ บำรุงสมองและยังช่วยกระตุ้นให้สมองตื่นตัว
- ผลข้างเคียงในการบริโภค
ถึงแม้ว่าสะตอจะมีคุณค่าทางโภชนาการสูงและอุดมด้วยคุณประโยชน์มากมาย แต่หากรับประทานมากจนเกินไป ย่อมส่งผลเสียต่อสุขภาพร่างกายได้เช่นกัน ดังนี้
สะตอมีกรดแจงโคลิก (Djenkolic acid) เป็นกรดกำมะถัน มีพิษเล็กน้อย หากรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้ โดยเฉพาะผู้ที่มีโรคประจำตัว และยังเสี่ยงต่อการเกิดโรคเกาต์ โรคไตวายเฉียบพลัน โรคนิ่ว เป็นที่ทราบกันดีว่าสะตอนั้นมีกลิ่นฉุน หากรับประทานในปริมาณที่มากจนเกินไปอาจทำให้มีกลิ่นปากและปัสสาวะมีกลิ่น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 09/01/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,500.00 | 33,600.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,170.00 | 32,897.20 | 34,100.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,953.00 | 29,607.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,736.00 | 26,317.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 977.00 | 14,811.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 760.00 | 11,521.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,249.00 | 34,094.84 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 09/01/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.75 | 34.75 | 35.25 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.98 | 32.98 | 33.48 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.64 | 32.64 | 33.14 | 32.64 | 32.64 | – | 32.64 | 32.64 | 32.64 | 32.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.79 | 32.79 | – | – | – | – | – | – | – | 32.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.14 | 46.74 | 48.24 | 46.74 | – | – | – | – | – | 42.14 |
เบนซิน 95 | 42.64 | – | – | – | 43.81 | – | 43.14 | 42.79 | – | 42.64 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 45.94 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |