วิธีเลือกซื้อบ้านมือสอง อย่างไร ให้ปัง
วิธีเลือกซื้อบ้านมือสอง อย่างไร ให้ปังไม่พัง หลัง ศูนย์ข้อมูลอสังหาฯธอส . สะท้อนบ้านมือสองหมุนเวียนสู่ตลาด พรึบ ปัจจัยจากเศรษฐกิจ -ครอบครัวขยายมีรายได้เพิ่ม เตือนก่อนซื้อต้องตรวจสอบให้รอบครอบ
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) สำรวจสำรวจข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองทั่วประเทศ ซึ่งได้จากการประกาศขายผ่านเว็บไซต์บริษัทภาคเอกชนที่มีปริมาณการประกาศขายเป็นจำนวนมาก และข้อมูลที่อยู่อาศัยมือสองของสถาบันการเงินของรัฐและเอกชน บริษัทบริหารสินทรัพย์ภาครัฐและเอกชน และกรมบังคับคดี
ที่ประกาศขายผ่านเว็บไซต์ตลาดนัดบ้านมือสอง www.taladnudbaan.com พบว่า ในไตรมาสที่ 2 ปี 2565 มีจำนวนหน่วยที่อยู่อาศัยมือสองประกาศขายสะสมเฉลี่ยต่อเดือนมากถึง 162,716 หน่วย และมีมูลค่าเฉลี่ยต่อเดือนมากถึง 995,488 ล้านบาท ซึ่งมีจำนวนหน่วยและมูลค่าสูงที่สุดในช่วง 6 ไตรมาสที่ผ่านมา และมีการเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ถึง 17.9% โดยเป็นการเพิ่มมากขึ้นในเกือบทุกประเภทที่อยู่อาศัย
การประกาศขายบ้านเพิ่มขึ้นมีปัจจัยมาจาก
1.ปัญหาเศรษฐกิจ
2.ครอบครัวขยาย
3.ไม่พึงพอใจบ้านที่อยู่เดิม
4.หนีเพื่อนบ้าน
5.สภาพแวดล้อมไม่ดี
6.มีรายได้มากขึ้น
8.ย้ายที่ทำงาน/ถิ่นที่อยู่ ฯลฯ
อย่างไรก็ตาม บ้านมือสอง ยังเป็นที่ต้องการของตลาดสูง เพราะ ราคาถูกกว่าเมื่อเทียบกับบ้านใหม่ เลือกทำเลได้ มองเห็นสภาพบ้านก่อนตัดสินใจ
จากราคาที่ต่ำกว่าบ้านใหม่ และทำเลได้เปรียบทำให้สร้างมูลค่าเพิ่มได้ง่าน หากซื้อเพื่อลงทุนทั้งปล่อยเช่าหรือขายต่อ นอกจากนี้ บ้านหลายหลังไม่ต้องซ่อมแซมมาก เพราะมีสภาพที่ดีใกล้เคียงโครงการเปิดใหม่
ในทางกลับกัน การตัดสนใจซื้อไม่เพียงแต่ชื่นชอบทำเล สภาพภายในภายนอกเพียงอย่างเดียวแต่ต้องดูให้ลึกซึ้งกว่านั้น เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว อาจทำให้การซื้อบ้านที่ได้มาได้ไม่คุ้มเสีย
ทั้งนี้จะทำอย่างไรให้ เริ่มจาก
น้ำท่วมหรือไม่
สิ่งที่ น่าเจ็บปวดมากที่สุดเมื่อซื้อบ้านมือสองคือปัญหาน้ำท่วมขัง ดังนั้นก่อนตัดสินใจซื้อ ตรวจสอบให้แน่ใจ ซ้ำแล้วซ้ำอีก ลงพื้นที่สอบถามบ้านข้างเคียง หรือเอาให้ชัดต้องรอฤดูฝน
นอกจากนี้ เพจ “Chewa Renue “ ศูนย์รวมบ้านมือสอง ได้ให้เทคนิคเลือกซื้อบ้านสือสองที่น่าสนใจ ในจุดสำคัญต่างๆไม่เช่นนั้นอาจ ส่งผลต่อค่าปรับปรุงซ่อมแซม ที่ตามมา แทนที่จะได้กำไร หรืออยู่อย่างสุขสบายกลับกลายเป็นทุกข์ใจตามมา เริ่มจาก
.
ดินรอบบ้านทรุด
ปัญหาสุดคลาสสิก สำหรับบ้านเดี่ยว/บ้านแฝด ที่หลาย ๆ คนมักจะกลัวปัญหานี้กันเป็นเพราะว่าเป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดเจนและเป็นวงกว้างรอบบ้าน แต่แท้จริงแล้วปัญญานี้กลับแก้ไขได้ง่ายอย่างไม่น่าเชื่อ
วิธีสังเกตให้ดูรอยดินหรือรอยสีภายนอกรอบตัวบ้าน จะมีจุดสังเกตคือร่องรอยคราบดินหรือรอยสีที่แตกต่างกันจนสังเกตได้ ว่าพื้นดินได้ทรุดตัวลงไปมากแค่ไหน โดยทั่วไปการทรุดเต็มที่จะไม่เกิน 20 เซนติเมตร ซึ่งจุดที่ต้องระวังคือ การทรุดจนเห็นแนวท่อน้ำดี แล้วส่งผลให้แนวท่อโดนอะไรกดทับ เสี่ยงต่อการแตกหักหรือเสียหาย จุดที่ต้องเช็คต่อไปคือบริเวณบ่อน้ำเสีย บ่อดักไขมัน ว่ายังปกติดีอยู่ไหมจากการทรุดตัวดังกล่าว
ผนังรั่วซึม
ผนังรั่วซึม พบเจอได้เยอะมาก ตามมุมของหน้าต่าง โดยปกติแล้วผนังบ้านจะมีจุดอ่อนแอต่อการรั่วซึมที่มุมทั้ง 4 ของเฟรมหน้าต่าง และน้ำจะซึมง่ายที่สุดคือขอบหน้าต่างด้านล่าง ซึ่งปัจจุบันนี้หน้าต่างมักจะใช้เป็นเฟรมอลูมิเนียมอบขาว เป็นบานสไลด์
หากรูระบายน้ำของรางตัน มีโอกาสมากที่น้ำจะค่อย ๆ ซึมผ่านตามรูยึดเฟรม เข้าไปบนอิฐกำแพงที่ก่อได้ ส่งผลให้เกิดความชื้นตามมาวิธีสังเกต มักจะเห็นคราบน้ำได้ชัดเจนอยู่แล้ว แต่บางหลังที่ติด wall paper อาจจะต้องลอก wall paper ออกมาจึงจะสามารถเห็นรอยดังกล่าวได้
พื้นโรงจอดรถ
พื้นโรงจอดรถของบ้านส่วนใหญ่มักจะไม่ได้ทำคานเสริมเพื่อรับน้ำหนักและเฉลี่ยน้ำหนัก ทำให้เมื่อผ่านการใช้งานไปสักระยะก็จะส่งผลให้พื้นเกิดการทรุดตัวลงมาวิธีสังเกต ให้ดูแนวโรงจอดรถ
มักจะมีเสาโครงสร้างตัวบ้านอยู่โดยรอบ บริเวณใกล้เสานั้นมักจะไม่ค่อยทรุด เพราะน้ำหนักที่กระจายไปจะกระจายไปสู่แนวคาน กับเสาเข็มของตัวบ้านช่วยพยุง แต่ตรงกลางมักจะแอ่นเป็นท้องช้างเพราะต้องรับน้ำหนักของรถอยู่เสมอ อีกทั้งยังไม่มีคานมาคอยรับแรงและกระจายแรงกดอีกด้วย
ระบบน้ำ
ต้องตรวจเช็คให้ดี ทั้งระบบน้ำดี และน้ำเสีย สำหรับบ้านที่ไม่มีคนอยู่ มักจะมีปัญหาเรื่องระบบน้ำดี เพราะหากไม่ถูกใช้น้ำระยะเวลานึง อาจส่งผลให้ท่อเปราะลง เวลาติดตั้งปั๊มแล้วเปิดใช้งาน แรงดันของน้ำอาจทำให้ท่อน้ำแตก
เพราะทนแรงดันไม่ได้เหมือนเดิมแล้ววิธีสังเกต ในส่วนระบบน้ำเสีย หรือ floor drain เราสามารถสังเกตได้จาก รอยน้ำซึมตามฝ้าชั้น 1 หรือถ้าเป็น floor drain ตามระเบียง ให้ดูฝ้านอกบ้าน ส่วนระบบน้ำดี ให้สังเกตจากการหมุนของมิเตอร์น้ำ หากปิดน้ำแล้วมิเตอร์หมุน ก็แสดงว่ามีการรั่วแน่นอน
หลังคาบ้านเดิม
ตรวจดูว่าหลังคามีการรั่วซึมหรือไม่ เพราะค่าใช้จ่ายของการทำหลังคา นับเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงมาก ๆ ของการซ่อมบ้านเลยทีเดียว ซึ่งเราไม่ต้องปีนขึ้นไปดูบนหลังคา ก็สามารถรู้ได้ด้วยวิธีต่อไปนี้
วิธีกสังเกต หลังคาบ้านสามารถดูได้จากรอยชื้นของฝ้า ชั้นบนของบ้าน และจุดที่ควรต้องสังเกตอีกจุดหนึ่งคือจุดรวมน้ำฝนของหลังคาบ้าน สำหรับบางบ้านที่ทำหลังคาแบบจั่วซ้อนกัน อาจมีจุดที่น้ำฝนมารวมตัวกันแล้วปล่อยไหลลงมาหน้าบ้าน ซึ่งบ้านแบบแนวน้ำไหลอาจไม่พ้นขอบระเบียงหรือขอบบัว เราสามารถสังเกตจากรอยน้ำ รอยตะไคร่ได้
หลังคาส่วนต่อเติม
หลังคาต่อเติมให้สังเกตการรั่วซึม ตามขอบต่าง ๆ หรือแนวโครงหลังคาว่าเป็นจุดที่จะทำให้น้ำย้อนเข้าบ้านได้หรือไม่วิธีการสังเกต ให้ดูรอยคราบน้ำ ตรงขอบตัวบ้านใต้หลังคา ถ้ามีการเก็บแนว flashing ไม่ดี จะเห็นรอยน้ำได้ชัดเจน หรือมีการรั่วตามหัว screw ที่ยิงยึดแผ่นหลังคากับโครงหลังคา เราจะดูได้จากความชื้นที่เกิดขึ้นเป็นจุด ๆ วง ๆ ด้านใต้หัว screw เหล่านั้น
ส่วนต่อเติมที่เป็นห้อง
บ้านที่มีห้องที่ต่อเติมเพิ่ม นับว่าเป็นกำไรสำหรับผู้ซื้อ เพราะจะได้พื้นที่ใช้สอยเพิ่มเติม แต่ในทางกลับกัน ถ้าห้องนั้นออกแบบต่อเติมมาผิด spec จะกลายเป็นบาดแผลกับผู้ซื้อทันที เพราะการซ่อมแซมทำได้ยาก
และการจะรื้อทิ้งก็ทำให้เสียค่าใช้จ่ายที่สูงอีกด้วยวิธีสังเกตห้องที่ต่อเติม ถ้าพื้นทรุด แสดงว่าการออกแบบการรับน้ำหนักของพื้นห้องทำผิดวิธี ถ้ามีรอยแยกของเสาอาจเป็นที่น้ำหนักของหลังคามากเกินไป หรือเข็มรับน้ำหนักของปลายหลังคาสั้นเกินไป
กระเบื้องร่อน
บ้านที่มีคนอยู่อาศัยอยู่ตลอดส่วนมากจะไม่ค่อยเจอปัญหานี้ เพราะการที่มีคนอยู่จะทำให้อากาศไม่อบในบ้าน โอกาสที่พื้นกระเบื้องร่อนจะเป็นไปได้ยาก ต่างจากบ้านที่ไม่มีคนอยู่บ้านจะถูกปิดอยู่ตลอดทำให้อากาศร้อนอบ พอช่วงหน้าฝนความชื้นจากด้านล่างของตัวบ้านจะทำให้ปูนกาวชื้นและหดตัว หากมีการปูกระเบื้องที่ไม่ดีพอกระเบื้องจะเริ่มหลุดร่อนออกมาได้
วิธีสังเกต ให้ลองเดินแบบถอดรองเท้า จะใช้ส้นเท้าหรืออุ้งเท้าลงน้ำหนักดูก็ได้ หากกระเบื้องร่อนแรงสะท้อนที่เท้าเราได้รับจะแตกต่างจากพื้นกระเบื้องที่ไม่มีปัญหา หรือหากบ้านไหนที่มีคนอยู่แต่มีการจัดวางเฟอร์นิเจอร์หรือสิ่งของไว้ในตำแหน่งแปลก ๆ อาจตั้งข้อสงสัยไว้ได้ก่อนเลยว่าเป็นการเอาของมาวางทับกระเบื้องที่มีการร่อนอยู่ก็เป็นได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ดัน“ห้าแยกลาดพร้าว” ชินจุกุเมืองไทย ขุมทองจุดเปลี่ยนถ่ายสัญจรระบบราง
ปรับใหญ่ผังเมืองกทม.ยก “ห้าแยกลาดพร้าว”ชินจุกุเมืองไทย จุดเปลี่ยนถ่ายการสัญจรทางรางจากทุกสารทิศแซงการพัฒนาที่ดินรอบสถานีกลางบางซื่อ รัฐ
“ห้าแยกลาดพร้าว“ทำเลศักยภาพทางตอนเหนือของกรุงเทพมหานคร ขุมทองอสังหาริมทรัพย์ ขนาดใหญ่ ที่มีบิ๊กเนมระดับแถวหน้าของเมืองไทย รวมตัวกันมากที่สุดอีกทำเล เพื่อพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมรองรับส่วนต่อขยายรถไฟฟ้าสายสีเขียว ตัดMRTสีน้ำเงิน ดึงลูกค้าคนรุ่นใหม่ตอบโจทย์ การอยู่อาศัยในเมืองแนวเส้นทางรถไฟฟ้า กันอย่างคึกคัก
ส่งผลให้ ราคาที่ดินขยับขึ้น อย่างต่อเนื่องสวนทางสถานการณ์โควิดเศรษฐกิจชะลอตัว เมื่อเทียบกับราคาที่ดินช่วงก่อนมีรถไฟฟ้าสายสีเขียวพาดผ่านอยู่ที่ 5-6แสนบาทต่อตารางวา แต่ปัจจุบัน ตารางวาละกว่า 1ล้านบาท โดยเฉพาะบริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าวและมีแนวโน้มปรับขึ้นได้อีก เพราะเป็นทำเลที่คนต้องการอยู่อาศัยและเดินทางเข้าใจกลางเมืองเชื่อมต่อไปยังพื้นที่อื่นได้สะดวกโดยไม่ต้องกังวลกับจราจรติดขัด
ชินจุกุเมืองไทยขุมทองจุดเปลี่ยนถ่ายทางราง
แหล่งข่าวจากกรุงเทพมหานคร เปิดเผย “ฐานเศรษฐกิจ”ว่า ห้าแยกลาดพร้าวถูกพลิกโฉมไปไกล ด้วยอิทธิพลรถไฟฟ้าสายสีเขียวและสายสีน้ำเงิน ซึ่งเป็นจุดตัดสำคัญ อีกทั้งอนาคตจะมีสายสีเหลืองเข้ามาเติมเต็ม ทั้ง สร้างส่วนต่อขยาย วิ่งรับส่งผู้โดยสาร ผ่านเส้นลาดพร้าวเข้าถนนรัชดาฯ เชื่อมผ่านเข้ากับพหลโยธินกับสายสีเขียว ทำให้บริเวณนี้จะเป็นจุดเปลี่ยนถ่ายการสัญจรทางรางสำคัญ
เพราะเป็นจุดกึ่งกลางดึงคนที่ใช้รถไฟฟ้าจากทุกสารทิศ ทั้งตะวันออกตก ฝั่งธนบุรี ฝั่งตะวันออก รวมถึงจากเขตกรุงเทพชั้นใน เข้ามาเปลี่ยนผ่านบริเวณนี้ ทำให้มีผู้คนคึกคักเดินกัน ขวักไขว่ทั้งกลางวันกลางคืน ทั้งร้านรวงเล็กใหญ่ ร้านอาหารกินดื่ม ไม่มีหลับไหล ทำให้เอกชนให้ความสนใจลงทุนคอนโดมิเนียมกันตลอดแนว
ประเมินว่า ได้เกิดการแซง หน้า“ฮับทางราง” สถานนีกลางบางซื่อ หรือสถานีกลางกรุงเทพอภิวัฒน์ ของรัฐบาล ที่ต้องการใช้เป็นจุดดึงดูดนักลงทุน เข้าพื้นที่ สะท้อนจากปัจจุบันบริเวณปากทางลาดพร้าว(ห้าแยกลาดพร้าว)
เปลี่ยนจากตึกแถวเก่าเป็นคอนโดมิเนียมอาคารสำนักงาน มิกซ์ยูสกันอย่างอึกกระทึก และขยายวงออกไปมากขึ้น อนาคตที่นี่จะเป็นแหล่งงานใหม่ที่เติมเต็มและเป็นทั้งที่อยู่อาศัยในคราวเดียวกัน ทำให้ มีทั้งคนซื้อที่อยู่อาศัยเพื่ออยู่อาศัย ในราคาไม่สูงมากเพื่อเดินทางต่อโดยรถไฟฟ้าเข้าใจกลางเมือง
ขณะบางกลุ่มซื้อเพื่อปักหลักอยู่อาศัย ทำงานรวมถึงการช็อปปิ้ง ในจุดเดียว อย่างไรก็ตามเมื่อสถานการณ์โควิดคลี่คลาย การเปิดประเทศให้คนต่างชาติและคนไทยใช้ชีวิตได้ตามปกติ จะเห็นความความเจริญที่พลิกผันจากการการนำที่ดินแปลงใหญ่ขึ้นโครงการกันมากขึ้น ทำให้ที่นี่ถูกยกระดับ เป็น “ชินจุกุ” เมืองไทย ซึ่งมีเอกลักษณ์เฉพาะตัว จากตัวแปรของผังเมือง รถไฟฟ้า การพัฒนาของภาคเอกชน
ปรับใหญ่ผังเมืองกทม.สร้างได้8เท่า
ในอนาคตยังเสริมความแข็งแกร่งปรับใหญ่ ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับปรับปรุงครั้งที่4 ที่มีเป้าหมายบังคับใช้ในปี2567อย่างช้าปี2568 ยกระดับบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่สีน้ำตาลประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นมากก่อสร้างอาคารสูงอาคารขนาดใหญ่พิเศษได้8เท่าของแปลงที่ดิน จากจตุจักรยาวไปจรดแยกรัชโยธินถือเป็นทำเลทองคำที่มีศักยภาพสูง
ส่วนสีผังปัจจุบันเป็นพื้นที่สีส้มที่ดินประเภทที่อยู่อาศัยหนาแน่นน้อย สร้างได้ 5-6เท่าของแปลงที่ดินเท่านั้น และมีจุดเล็กๆ เป็นพื้นที่สีแดงบริเวณศูนย์การค้าเซ็นทรัลลาดพร้าว บนที่ดินสามเหลี่ยมติดถนนพหลโยธินของการรถไฟแห่งประเทศไทยที่สร้างความเจริญให้กับพื้นที่โดยรอบมาก่อนหน้านี้
อีกทั้งมียูเนียนมอลล์ ศูนย์การค้ายอดนิยมและอาคารสำนักงานหลากหลายทั้งอาคารการบินไทย ปตท. อาคารเอนเนอร์ยี่คอมเพล็กซ์ กระทรวงพลังงาน สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ เกิดขึ้นอยู่ก่อนหน้า และอนาคต กำลังพลิกโฉมจากที่ดินอีกหลายแปลง โดยฝั่งถนนวิภาวดี ทะลุพหลโยธินเชื่อมรถไฟฟ้าบีทีเอสและMRTสีน้ำเงิน
ที่บริษัทสิงห์เอสเตท จำกัด(มหาชน) ซุ่มพัฒนาซอยเฉยพ่วงอวดโอมอาคารสำนักงานขนาดใหญ่ทันสมัย “ เอส โอเอซีส”เติมเต็มอาคารสำนักงานที่มีอยู่เดิมผนวกกับ ร้านค้าร้านอาคารชั้นนำให้ดูมีคลาสแต่จับต้องได้กลางใจเมืองกรุงเทพฯตอนเหนือ ห่างกันไม่มากฝั่งของถนนพหลโยธิน บีทีเอสกรุ๊ปอยู่ระหว่างกำลังก่อสร้าง “หมอชิตคอมเพล็กซ์” ตึกแฝดสูงใหญ่มิกซ์ยูสขนาดใหญ่รองรับคนทำงานในย่านนี้
บิ๊กทุนขานรับ
นายชัยณรงค์ มนเทียรวิเชียรฉาย ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ซาแลน ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด กลุ่มทุนมหาวิทยาลัยเซนต์จอห์น แลนด์ลอร์ดใหญ่ทำเลห้าแยกลาดพร้าวระบุว่าแม้สถานการณ์โควิดจะทำให้การขายคอนโดมิเนียมไม่เป็นไปตามเป้าที่คาดหวังไว้แต่ หลังจากนี้ น่าจะคึกคักขึ้น
เพราะเป็นย่านที่ใครก็โหยหาอยากเข้ามาอยู่อาศัย โดยเฉพาะรัศมี300เมตรจากสถานี แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เรื่องที่ง่ายระดับราคาขายค่อนข้างพรีเมียมไม่ต่ำกว่า 3-4 ล้านบาทต่อหน่วยขึ้นไป โดยมีตัวแปรจากรถไฟฟ้า ราคาที่ดินแพงและมีความเคลื่อนไหวการลงทุนอย่างต่อเนื่องอีกทำเล
รวมทั้งจุดเด่นปอดขนาดใหญ่และตลาดนัดสวนจตุจักรซึ่งสำนักข่าวซีเอ็นเอ็นจัดอันดับติดอันดับ1ใน10ของโลก และการเดินทางบนถนนวิภาวดีรังสิต เชื่อมโยงไปสนามบินทั้งสองแห่งโดยไม่ติดสัญญาณไฟ และที่นี่จะเป็นศูนย์กลางธุรกิจแห่งใหม่รองจากกรุงเทพฯชั้นในที่น่าจับตาและมีเสน่ห์ในตัวที่น่าค้นหายิ่ง
จากการวิเคราะห์ของ นายสุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัดบริษัท วิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ประเมินว่า ก่อนเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเขียวตอนเหนือช่วงห้าแยกลาดพร้าว – คูคต เปิดให้บริการเต็มรูปแบบ ในปี 2563
ได้กระตุ้นให้เกิดการลงทุนพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียมมาอย่างต่อเนื่อง เพราะเป็นเส้นทางที่อยู่ในแผนการพัฒนามาหลายปีก่อนหน้านี้แล้ว โดยทำเลที่น่าจับตาได้แก่ ห้าแยกลาดพร้าว รัชโยธิน รอบมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ สะพานใหม่ เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เงินบาทวันนี้เปิดตลาดที่ระดับ 37.60 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทอาจผันผวน อ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้าน 37.80-37.90 บาทต่อดอลลาร์ได้ ส่วนกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.50-37.75 บาท/ดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 37.60 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 37.37 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดการเงินพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงอย่างรวดเร็ว หลังรายงานข้อมูลตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่อง สะท้อนแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เดือนกันยายน รวมถึง คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจใหม่ของ IMF (WEO October 2022)
โดยในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจมีดังนี้
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามอย่างใกล้ชิด คือ รายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เดือนกันยายน เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยของเฟด
โดยตลาดมองว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ซึ่งไม่รวมผลของราคาอาหารและพลังงาน อาจเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 6.5% (คิดเป็นการเพิ่มขึ้นราว +0.5% จากเดือนก่อนหน้า) หนุนโดยค่าเช่าที่ยังคงเพิ่มขึ้นและการปรับตัวขึ้นของราคาในหมวดภาคการบริการ (Services-related) ตามโมเมนตัมการฟื้นตัวเศรษฐกิจที่ยังดีอยู่ หนุนโดยภาวะตลาดแรงงานที่ยังคงแข็งแกร่ง แม้ว่าเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI อาจชะลอลงสู่ระดับ 8.1% ตามการลดลงของราคาน้ำมันเชื้อเพลิง
โดยภาพดังกล่าวอาจยังคงสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยตาม Dot Plot ล่าสุดของเฟด
อย่างไรก็ดี หากเงินเฟ้อเร่งขึ้นมากกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า เฟดอาจจำเป็นต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยจนสูงกว่า Terminal rate ที่มองไว้ ณ 4.75% เช่น 5.00% หรือ มากกว่านั้นได้ ซึ่งภาพดังกล่าวอาจกดดันให้ตลาดการเงินปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ ทั้งนี้ ควรต้องจับตา แนวโน้มคาดการณ์เงินเฟ้อระยะสั้นและระยะปานกลางจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment)
ประกอบด้วย เพราะหากเงินเฟ้อคาดการณ์ โดยเฉพาะเงินเฟ้อคาดการณ์ระยะปานกลาง 5 ปี ชะลอลงต่อเนื่อง (ล่าสุดอยู่ที่ระดับ 2.7%) ก็อาจทำให้เฟดเริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า เฟดอาจคุมสถานการณ์เงินเฟ้อได้และความเสี่ยงที่จะเกิด Wage-Price spiral ก็อาจเริ่มลดลง นอกเหนือจากรายงานข้อมูลเงินเฟ้อ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการใช้จ่ายของครัวเรือนสหรัฐฯ ผ่านยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกันยายน ที่คาดว่าจะยังคงขยายตัวราว +0.2% จากเดือนก่อนหน้า
ทั้งนี้ เรามองว่า ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แย่กว่าคาด อาจช่วยพยุง sentiment ตลาดให้กลับมาเปิดรับความเสี่ยงได้บ้าง หรือ Bad news is Good news for the market ซึ่งอาจเห็นการรีบาวด์ของหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ได้ ทั้งนี้ แม้ว่าตลาดจะให้ความสนใจกับรายงานเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ เรามองว่า สิ่งที่ควรจับตาและให้ความสนใจเช่นกัน คือ รายงานแนวโน้มเศรษฐกิจ โดย IMF หรือ World Economic Outlook ซึ่งคาดว่า IMF อาจมีการปรับลดคาดการณ์การเติบโตเศรษฐกิจลงมากขึ้น และอาจชี้ว่าเศรษฐกิจโลก
โดยเฉพาะเศรษฐกิจฝั่งประเทศพัฒนาแล้วอาจเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย (Recession) จากการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางและแรงกดดันต่อค่าครองชีพในภาวะเงินเฟ้อสูง ซึ่งมุมมองเชิงลบดังกล่าวของ IMF อาจกดดันบรรยากาศการลงทุนในตลาดการเงินได้ (Recession fears)
ฝั่งยุโรป – บรรดานักลงทุนสถาบันและนักวิเคราะห์อาจยังคงมีมุมมองที่เป็นลบมากขึ้นต่อแนวโน้มเศรษฐกิจยุโรป ท่ามกลางปัญหาเงินเฟ้อสูง แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) รวมถึงความเสี่ยงวิกฤตพลังงานและสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ยังคงร้อนแรงอยู่ ซึ่งมุมมองดังกล่าวจะสะท้อนผ่านดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุน (Sentix Investor Confidence) เดือนตุลาคม ที่ลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ -35 จุด
ฝั่งเอเชีย – ตลาดประเมินว่า ภาคการค้าระหว่างประเทศของจีนอาจยังคงเผชิญแรงกดดันจากการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ ยอดการส่งออก (Exports) เดือนกันยายน โตเพียง +4.8%y/y ชะลอลงจาก +7.1% ในเดือนก่อนหน้า ทั้งนี้ ยอดการนำเข้า (Imports) อาจขยายตัวราว +1.0%y/y เร่งขึ้นจาก +0.3% ในเดือนก่อนหน้า หลังทางการจีนมีการผ่อนคลายมาตรการ Lockdown ในบางพื้นที่อุตสาหกรรมและมีการเข้ามาช่วยเหลือแก้ไขสถานการณ์ขาดแคลนพลังงาน อนึ่ง หากความต้องการบริโภคในจีนเริ่มฟื้นตัวดีขึ้น ตามการผ่อนคลายมาตรการ Zero COVID อย่างที่ตลาดคาดหวัง ก็มีโอกาสที่จะเห็นยอดการนำเข้าของจีนเร่งตัวขึ้นได้ (อาจดีกับยอดการส่งออกของไทย/ประเทศคู่ค้าในฝั่งเอเชีย)
ส่วนในฝั่งนโยบายการเงิน ตลาดคาดว่า ธนาคารกลางเกาหลีใต้ (BOK) จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยนโยบาย 0.50% สู่ระดับ 3.50% เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ (ล่าสุดยังสูงกว่า 5.6%) และลดแรงกดดันต่อค่าเงิน KRW รวมถึงฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติที่ไหลออกต่อเนื่อง
สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจผันผวน อ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้าน 37.80-37.90 บาทต่อดอลลาร์ได้ หากตลาดยังปิดรับความเสี่ยงจากความกังวลเฟดเร่งขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งอาจเกิดพร้อมการย่อตัวลงของราคาทองคำ (correlation กับเงินบาทถึง 78%) ทั้งนี้ ควรจับตาทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังนักลงทุนต่างชาติเริ่มชะลอการขายสินทรัพย์ไทย ซึ่งพอจะช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้ ในระยะสั้นนี้
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นต่อได้ ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งต้องรอติดตามรายงานเงินเฟ้อ CPI อย่างใกล้ชิด รวมถึงความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจถดถอยที่ยังหนุนการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 37.20-37.90 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 37.50-37.75 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สู้ให้โลกเห็น! คอมเมนต์ถึง “สาวไทย” หลังยุติเส้นทางในชิงแชมป์โลก 2022
ควันหลงความพ่ายแพ้ของ วอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ที่มีต่อ สหรัฐอเมริกา 2-3 เซต ในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง ชิงแชมป์โลก 2022 รอบสอง ที่เมืองลอดซ์ ประเทศโปแลนด์ เมื่อคืนวันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม ที่ผ่านมา
โดยในเกมดังกล่าว “นักตบสาวทีมชาติไทย” ทำผลงานกันได้อย่างยอดเยี่ยมออกนำไปก่อน 2-0 เซต แต่สุดท้ายตกเป็นฝ่ายแพ้ไปแบบน่าเสียดาย ถือเป็นการลงสนามเกมสุดท้ายในรายการนี้ เราลองไปดูความคิดเห็นจากแฟนๆ ทั่วโลกกัน
คอมเมนต์ที่ 1
ขอแสดงความยินดีกับ สหรัฐอเมริกา แต่ต้องบอกว่าเกมนี้ฉันกลับมองเห็นความสุขของ ทีมไทย ที่พวกเขากำลังแสดงความแข็งแกร่ง ความเร็ว และความมุ่งมั่นให้กับโลกได้เห็น เป็นกำลังใจให้เสมอจากสาธารณรัฐโดมินิกัน
คอมเมนต์ที่ 2
ฉันเชื่อว่าในปีหน้า ไทยแลนด์ จะกลับมาแกร่งกว่าเดิมแน่นอน
คอมเมนต์ที่ 3
ไม่ต้องสงสัยว่า ทีมไทย เป็นหนึ่งในทีมที่นานาชาติรัก และตามเชียร์พวกเธอมากที่สุดในการแข่งขันครั้งนี้
คอมเมนต์ที่ 4
มันเป็นเรื่องน่าเสียดายที่ สาวไทย ต้องตกรอบ แต่อยากให้คนไทยได้รู้ว่าพวกเขามีทีมที่ดีมากๆ เกมนี้พวกเธอเล่นได้อย่างสมบูรณ์แบบ แต่น่าเสียดายที่ผลการแข่งขันไม่เป็นใจ
คอมเมนต์ที่ 5
นี่คือตัวอย่างที่ทั่วโลกต้องดู นักกีฬารุ่นใหม่สามารถเรียนรู้จากทีมสาวไทยได้เลย พวกเขาเล่นกันอย่างมุ่งมั่น มีความพยายาม และเต็มไปด้วยความสุข
คอมเมนต์ที่ 6
แม้ว่าสุดท้าย ทีมสาวไทย จะแพ้ แต่ต้องบอกว่าพวกเธอสร้างความสุขให้กับใครหลายคน พวกเธอสามารถท้าทายทีมอันดับต้นๆ ของโลกได้เสมอ และแน่นอนฉันไม่เคยเบื่อที่จะเชียร์พวกเธอต่อไป ยังคงรอคอยวันนี้พวกเธอจะประสบความสำเร็จ
คอมเมนต์ที่ 7
ฉันรักทีมไทย แต่จุดอ่อนของพวกเธอคือมักทำพลาดเมื่อได้ผ่านเข้าสู่รอบสอง พวกเธอทำแบบนั้นในเนชั่นส์ลีก และตอนนี้ก็ในรายการชิงแชมป์โลก พวกเธอต้องเล่นด้วยความสม่ำเสมอเหมือนกับ ญี่ปุ่น และ จีน
คอมเมนต์ที่ 8
เห็นได้ชัดเจนว่า ทีมไทย มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และในทัวร์นาเมนต์ต่อไปพวกเธอจะแข็งแกร่งขนาดไหน อดใจรอไม่ไหว
คอมเมนต์ที่ 9
เกมนี้เต็มไปด้วยคุณภาพ สหรัฐฯ เจอกับงานยากกว่าที่จะเก็บชัยได้ ฉันชอบดูสาวไทยเล่น พวกเธอมีเสน่ห์ และเล่นด้วยความทุ่มเท
คอมเมนต์ที่ 10
มันเป็นเกมทิ้งท้ายทัวร์นาเมนต์ที่ สาวไทย มอบความสุข และความสนุกให้กับแฟนๆ ทั่วโลก ชนะหรือแพ้ไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่พวกเธอทำให้โลกยิ้มได้
คอมเมนต์ที่ 11
ถึงแม้ ทีมไทย จะไม่สามารถผ่านเข้ารอบต่อไปได้ แต่คนทั่วโลกยกย่องพวกเธอเป็นอย่างมาก และเชื่อว่าคนไทยก็ภูมิใจในตัวพวกเธอ
คอมเมนต์ที่ 12
ทีมไทย เล่นได้อย่างน่าประทับใจมาก แต่ต้องยกเครดิตให้กับ สหรัฐอเมริกา ในการกลับมาชนะได้ทั้งที่ตามหลัง 0-2 เซต มันเป็นเกมที่บ้าคลั่งสุดๆ
คอมเมนต์ที่ 13
นี่มันเกมอะไรเนี่ย! แม้ฉันจะเชียร์ สหรัฐอเมริกา แต่ต้องขอปรบมือให้กับความยอดเยี่ยมของ ทีมไทย ขอบคุณเกมที่ยอดเยี่ยม และสร้างความสนุกให้กับแฟนๆ ที่ได้ชมมัน ส่วนสูงไม่สำคัญเพราะสาวๆ พวกนี้สุดยอดจริงๆ
คอมเมนต์ที่ 14
แม้ ทีมไทย จะแพ้ แต่พวกเธอสร้างความภูมิใจให้กับพวกเราชาวอาเซียน พวกเขาสามารถทะลุเข้าสู่รอบสอง และทำให้ทีมชั้นนำต้องเจอกับความยากลำบาก เรากำลังได้เห็นการพัฒนาของพวกเธอ ฉันภูมิใจกับเธอมากๆ จากอินโดนีเซีย
คอมเมนต์ที่ 15
ขอแสดงความนับถือทีมไทย มันเป็นเกมที่สนุกมากๆ พวกเธอไม่ยอมแพ้ และสู้กันจนจบเกม ไม่แปลกใจทำไมใครๆ ถึงรักทีมไทย
คอมเมนต์ที่ 16
จากก้นบึ้งของหัวใจแม้ฉันจะเป็นชาวอเมริกัน แต่ฉันค้นพบตัวเองว่าหลงรักทีมไทยมากขึ้นเรื่อยๆ แม้กระทั่งเกมนี้พวกเธอก็ลงเล่นกันด้วยรอยยิ้ม พวกเธอสร้างความสุขให้กับใครที่ได้ชมมัน แต่ในทางกลับกัน สหรัฐอเมริกา รู้สึกผิดหวังกับผลการแข่งขันที่กว่าจะได้มาต้องลุ้นเหนื่อย
คอมเมนต์ที่ 17
ทีมไทย น่าจะชนะ 3-1 พวกเขาแพ้แต่ก็สามารถภูมิใจกับสิ่งที่ทำมาตลอดการแข่งขันชิงแชมป์โลกครั้งนี้ พวกเขาได้แสดงให้โลกเห็นว่าไม่เพียงแค่มีทักษะเท่านั้น แต่พวกเขายังเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความมุ่งมั่น ขอให้สู้กันต่อไปอย่ายอมแพ้ แล้วเจอกันใหม่ใน เนชั่นส์ลีก ปีหน้า
คอมเมนต์ที่ 18
จากผลงานที่ผ่านมาที่ทั่วโลกได้เห็น ทีมไทย อาจดีพอสำหรับการแข่งขันโอลิมปิกครั้งต่อไป หากยังสามารถรักษามาตรฐานการเล่นได้ดีแบบนี้
คอมเมนต์ที่ 19
สู้กันต่อไป! สาวไทย พวกเธอนั้นเจ๋งอยู่แล้ว สร้างความปั่นป่วนให้กับทีมแกร่งได้แบบไม่มีเกรงกลัว ทั้ง ตุรกี ทั้ง สหรัฐฯ
คอมเมนต์ที่ 20
ทีมไทย ชนะใจทุกคน และขอเตือนทุกชาติไว้เลยว่าพวกเธอจะกลับมาแข็งแกร่งกว่าเดิมแน่นอน
ไม่ว่าจะชนะ หรือ แพ้ ฉันภูมิใจในตัวพวกขามากๆ พวกเขาคือแรงบันดาลใจ พวกเขามีเสน่ห์ เล่นกันได้อย่างสนุกสนาน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วิธีรักษา “ไมเกรน” โดยไม่ต้องพึ่งยา
นวด ประคบ ฝังเข็ม กระตุ้นการไหลเวียนเลือด ทําให้จํานวนครั้งของอาการปวดลดลง รวมทั้งระดับความปวดลดลงได้ด้วย จึงเป็นทางเลือกหนึ่ง ลดการใช้ยาของผู้ป่วยที่มีอาการไม่มาก
ปวดศีรษะไมเกรน เป็นอย่างไร
นายแพทย์ขวัญชัย วิศิษฐานนท์ รองอธิบดีกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก กล่าวว่า โรคปวดศีรษะไมเกรน หรือ โรคลมปะกัง เป็นกลุ่มอาการปวดศีรษะเรื้อรังที่พบได้ทั่วไปในคนทุกวัย พบมากในผู้หญิงมากว่าผู้ชายประมาณ 3.5 เท่า เป็นโรคที่ไม่มีอันตรายร้ายแรง แต่สร้างความรําคาญและ ส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิตประจําวัน
อาการปวดศีรษะไมเกรน
สําหรับอาการของของโรค ส่วนใหญ่มักจะมีอาการปวดศีรษะตุบ ๆ เข้ากับจังหวะการเต้นของหัวใจ บริเวณขมับ ข้างใดข้างหนึ่ง หรืออาจปวดพร้อมกันทั้งสองข้างก็ได้ บางรายอาจมีอาการปวดรอบกระบอกตา ตาพร่ามัวร่วมด้วย อาการปวดจะกินเวลาประมาณ 4-72 ชั่วโมง
สาเหตุของอาการปวดศีรษะไมเกรน
สาเหตุการเกิดโรคนี้ ไม่ทราบแน่ชัด แต่ผู้ป่วยมักจะให้ประวัติว่ามีสิ่งที่มากระตุ้นให้เกิดอาการ เช่น การมีแสงจ้าเข้าตา การใช้สายตาเพ่งดูอะไรนานๆ การอยู่ในที่ ที่มีเสียงดัง กลิ่นฉุน การรับประทานอาหารบางประเภท เช่น ช็อกโกแลต เหล้า เบียร์ฯ การพักผ่อน ไม่เพียงพอ หรืออิทธิพลของฮอร์โมน และอื่นๆ
ปวดศีรษะไมเกรน = โรคลมปะกัง
ตามศาสตร์การแพทย์แผนไทย โรคปวดศีรษะไมเกรน เปรียบเทียบได้กับ โรคลมปะกัง หรือ ลมตะกัง ซึ่งโรคนี้เกิดจากการติดขัดของ ลมอุทธังคมาวาตา หรือ ลมพัดขึ้นเบื้องสูง ซึ่งเป็นการติดขัดของเลือดลมที่ไปเลี้ยงบริเวณศีรษะ ทําให้การไหลเวียนของเลือดลมบริเวณศีรษะเดินไม่สะดวก ส่งผลให้ เกิดอาการปวดศีรษะ ปวดเบ้าตา ปวดกระบอกตา ขมับ และอาจมีอาการคลื่นไส้ อาเจียนร่วมด้วย
แนวทางการรักษาอาการปวดศีรษะไมเกรน
แนวทางการรักษาโรคลมปะกังในทางการแพทย์แผนไทย คือ การซักประวัติตรวจร่างกายตามแนวทางของการแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนไทยจะพิจารณาการรักษาด้วยการนวดไทยแบบราชสํานักซึ่งเป็นการนวดรักษา โรคเฉพาะจุด และประคบความร้อนด้วยลูกประคบสมุนไพร พร้อมกับพิจารณาการจ่ายยาหอม ซึ่งเป็นยาในบัญชียาหลักแห่งชาติ โดยการนวดจะช่วย คลายกล้ามเนื้อคอ บ่า ไหล่ และกล้ามเนื้อรอบๆ ศีรษะ ช่วยให้เลือดไปเลี้ยงศีรษะมากขึ้น และช่วยปรับระบบการไหลเวียนของเลือดลมภายในร่างกาย
ส่วนการประคบสมุนไพรจะช่วยเสริมประสิทธิภาพของการนวดในการคลายกล้ามเนื้อ และกลิ่นของสมุนไพร จะช่วยคลายความเครียด คลายความกังวล ส่วนยาหอมที่แพทย์แผนไทยจะจ่ายให้กับผู้ป่วยโรคลมปะกัง จะช่วยแก้อาการคลื่นไส้ อาเจียน วิงเวียนศีรษะ ช่วยให้นอนหลับสบาย และช่วยปรับสมดุลของ เลือดลมภายในร่างกายให้เป็นปกติ จากการศึกษาวิจัยพบว่าการนวดไทยสามารถบรรเทาอาการปวดศีรษะของผู้ป่วยไมเกรนให้ลดลงได้ โดยพบว่าระดับอาการ ปวดศีรษะลดลง และองศาการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อต้นคอและท้ายทอยนั้นดีขึ้น ซึ่งทําให้ประชาชนสามารถมั่นใจได้ถึงประสิทธิภาพและความปลอดภัย ในการรักษาโรคปวดศีรษะไมเกรน ด้วยศาสตร์การแพทย์แผนไทย
“ฝังเข็ม” วิธีรักษา “ไมเกรน” โดยไม่ต้องพึ่งยา
ฝังเข็ม เป็นทางเลือกการรักษาที่สามารถรักษาโรคไมเกรนได้ ซึ่งหากเข้ารับการรักษา แพทย์แผนจีน จะมีการวิเคราะห์อาการปวดศีรษะ และซักถามอาการเพื่อหาความผิดปกติภายในร่างกายว่าเกิดจากลม ความเย็น ความชื้นในร่างกาย หรืออาจเกิดจาก อารมณ์แปรปรวน หรืออาจเกิดจากชี่และเลือดพร่อง เนื่องจากสารอาหารไม่เพียงพอ ทํางานหนักหรือเครียดเกินไป เป็นต้น
เมื่อวิเคราะห์แล้ว อาจจะเป็นการฝังเข็มร่วมกับการรับประทานยาสมุนไพรจีน หรือฝังเข็มร่วมกับการกระตุ้นไฟฟ้า หรือการนวดทุยหนา ซึ่งการรักษาเช่นนี้ เราพบว่าผู้ ป่วยจะมีจํานวนครั้ง ในการปวดอาการไมเกรนลดลง ระดับความปวดลดลง รวมทั้งระยะเวลาของความปวดก็ลดลง
ดังนั้น หากประชาชนมีแนวโน้มหรือเป็นผู้ป่วยไมเกรน หากมีอาการเบื้องต้น หรือปวดไม่มาก อาจใช้วิธีทางเลือก คือนวด ประคบ หรือฝังเข็ม เพื่อช่วยรักษาและบรรเทาอาการเพื่อลดการใช้ยาได้
สําหรับประชาชนที่มีความประสงค์จะเข้ารับการรักษาด้วยการแพทย์แผนไทย สามารถติดต่อขอรับการรักษาได้ที่คลินิกการแพทย์แผนไทย ในสถานพยาบาลของรัฐได้ทั่วประเทศ และหากมีข้อสงสัยเกี่ยวกับการแพทย์แผนไทยหรือการใช้ยาสมุนไพรในการรักษาโรคสามารถติดต่อที่กรมการแพทย์ แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก หมายเลขโทรศัพท์ 0 2149 5678 หรือช่องทางออนไลน์ที่เฟซบุ๊กและไลน์แอดกรมการแพทย์แผนไทยและการแพทย์ทางเลือก
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
The Present Perfect Tense and the Passive Voice
As we’ve already seen, the present perfect is one of the most challenging verb tenses for all English students to learn to use. It’s used in a variety of situations and often with quite different meanings. But with some guidance and regular practice you can easily become confident in using this important tense. Let’s review when we use the present perfect in the active form and then see how we can use it in the passive form.
Using the Present Perfect
The present perfect is a tense that usually describes something about the past that has a connection with the present. It can describe a past experience that has importance to now, or it can refer to an action that began in the past and continues in the present, or it can express a recent action that creates consequences in this moment.
The Structure
We create the present perfect by using the verb ‘have’ and the past participle of a verb. For example,
“You have finished.”
To make questions we invert ‘have’ and the subject:
“Have you finished?”
And to make negative forms we add ‘not’:
“You haven’t finished.”
The only small variation of this is with the third person singular that requires has instead of have. For example,
She has finished.
With the present perfect we typically use unfinished time expressions like today, this week, this year, in my life. We also often use the adverbs yet, already, just, ever and never in present perfect sentences. And when we talk about unfinished actions or situations we use for and since.
The Main Uses
Let’s look in detail at the three main situations in which we use the Present Perfect and see some examples.
1) Recent actions
We use the present perfect to describe a recent action or ask if something has happened recently. It’s often used with words like just, already, yet, still. For example,
Jack’s asked me to marry him! I’m so happy!
(Finished action in recent past – consequence now.)
Have you finished reading the newspaper yet?
Ann’s just called. She’s missed her bus and will be here late.
2) Life experience
We can also use the present perfect to talk about important things we’ve done. In this case we often use ever and never. For example,
I’ve been to Canada. Have you ever been there?
How many times have you travelled abroad?
He’s won a lot of competitions during his sports career.
3) Unfinished actions
The third use of the present perfect is to describe actions that started in the past but continue now. With this we use for and since. For example,
He’s worked here for 18 years.
We’ve lived in the city center since 2008.
How long have you known Pablo?
Using the Present Perfect in the Passive Form
In the above examples we looked at the present perfect in the active form, meaning that the subject was the person or thing doing the action.
When we use the passive form, we focus attention on what or who receives an action (the object). We use the passive in almost all the tenses in English and create it by using the verb ‘to be’. For example, in the present simple:
ACTIVE: People collect the goods..
PASSIVE: The goods are collected.
In the past simple the sentence becomes,
ACTIVE: People collected the goods yesterday.
PASSIVE: The goods were collected yesterday.
And when necessary we can express the same idea with the present perfect. For example,
ACTIVE: People have collected the goods.
PASSIVE: The goods have been collected.
We use the present perfect in the passive form for all the same reasons we use it in the active form – to talk about recent actions, experiences, and ongoing actions/situations.
In the present perfect form with the passive, we always use ‘has/have been’ + the past participle form. Here are some more examples:
The staff have been trained.
The reports have been written.
Have the candidates been interviewed?
The applications haven’t been checked yet.
Have you been introduced to the new manager?
He’s been taken to see the President.
Sara has been promoted three times in her career.
The waste products have been left here since last February.
Knowing how to use the present perfect in both the active and passive forms will really help you when you work and travel. Practice now with this fun quiz.
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
หลุดสเปกชิปเซตระดับกลางรุ่นใหม่ Snapdragon 7 Gen 2 ของ Qualcomm
ในขณะที่ชิปเซตระดับกลางอย่าง Snapdragon 7 Gen 1 จะเพิ่งได้รับการติดตั้งในสมาร์ตโฟนเพียงไม่กี่รุ่นหลังจากที่เปิดตัวไปเมื่อเดือนพฤษภาคม 2022 ที่ผ่านมา ล่าสุด Roland Quandt ผู้รายงานข่าววงใน ได้เปิดเผยข้อมูลสเปกของชิปเซต Snapdragon 7 Gen 2 ที่ Qualcomm กำลังพัฒนาอยู่ในขณะนี้ ภายใต้หลายเลขรุ่น SM7475
รายงานดังกล่าวระบุว่า Snapdragon 7 Gen 2 (หรืออาจเป็น Snapdragon 7+ Gen 1) นั้น ได้รับการออกแบบให้มีแกนประมวลแบบ 3 คลัสเตอร์ ได้แก่ แกน Prime จำนวน 1 แกน, แกน Gold จำนวน 3 แกน และแกน Silver จำนวน 4 แกน ซึ่งมีความเร็วต่างกัน ดังนี้
- แกน Prime (ประมวลผลศักยภาพสูงสุด) : ความเร็วประมาณ 2.4 GHz
- แกน Gold (ประมวลผลระดับสูงรองจาก Prime) : ความเร็วใกล้เคียงกับแกน Prime
- แกน Silver (ประมวลผลแบบประหยัดพลังงาน) : ความเร็วสูงสุด 1.8 GHz
ความเร็วดังกล่าวค่อนข้างใกล้เคียงกับ Snapdragon 7 Gen 1 ที่มีความเร็วของแกน Prime, Gold และ Silver อยู่ที่ 2.4 GHz, 2.36 GHz และ 1.8 GHz ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ยังไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับฮาร์แวร์ที่ใช้บนชิปเซตดังกล่าวนี้แต่อย่างใด โดยมีการคาดการณ์ว่าอาจใช้การดีไซน์แกนแบบใหม่ จึงทำให้มีความเป็นไปได้ว่าอาจใช้ซีพียู ARM Cortex-A715 สำหรับแกน Prime และ Gold และอาจใช้ซีพียู ARM Cortex-A510 ที่ได้รับการปรับปรุงใหม่สำหรับแกน Silver ก็เป็นได้ ในขระที่ Snapdragon 7 Gen 1 นั้น ใช้ซีพียูรุ่นเก่ากว่าอย่าง ARM Cortex-A710 สำหรับแกน Prime และ Gold และซีพียู ARM Cortex-A510 สำหรับแกน Silver
ถ้าหากข้อมูลดังกล่าวเป็นจริง ก็จะทำให้ Snapdragon 7 Gen 2 มีความเร็วมากกว่า 5% และประหยัดพลังงานมากขึ้นอีก 20% ซึ่งยังดูไม่ต่างจาก Snapdragon 7 Gen 1 มากนัก
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
‘MaiNgam Cement Tile’ กระเบื้องไทยที่ไปไกลถึงโรงแรมดูไบระดับ 5 ดาว
กระเบื้องเป็นวัสดุก่อสร้างที่อยู่คู่กับสถาปัตยกรรมไทยมานานในอาคารหลากประเภทในหลากหลายท้องที่ทั่วไทย ไม่ว่าจะเป็นกระเบื้องมุงหลังคา กระเบื้องปูพื้น หรือกระเบื้องตกแต่งผนัง กระเบื้องไทยได้รับการพัฒนาจากหลายฝ่ายมากมาย เช่น บริษัท กระเบื้องไม้งาม จำกัด ที่มีผลิตภัณฑ์กระเบื้องลวดลายงดงามไปอวดโฉมถึงต่างประเทศ ที่ The Westin Dubai Mina Seyahi Beach Resort & Marina โรงแรม 5 ดาวในประเทศดูไบ
ข้อมูลจาก MaiNgam Cement Tile ระบุว่ากระเบื้องที่ทาง The Westin Dubai Mina Seyahi Beach Resort & Marina เลือกใช้ในพื้นที่รับประทานอาหารที่ประดับไฟสวยงามกับโต๊ะและเก้าอี้ไม้นี้เป็นกระเบื้องที่สั่งทำลวดลายเป็นพิเศษในรูปทรงแบบประจำยาม ที่เชื่อมต่อกันระหว่างแผ่นกระเบื้อง
นอกจากนี้ทางกระเบื้องไม้งามยังได้เผยอีกภาพที่แสดงบาร์เครื่องดื่ม ที่พื้นปูด้วยลาย “ผ้าย้อม” (MT030) และลายขอบ (CN04,W-718) อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 10/10/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 30,100.00 | 30,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,950.00 | 29,562.00 | 30,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,755.00 | 26,605.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,560.00 | 23,649.60 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 878.00 | 13,310.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 683.00 | 10,354.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,021.00 | 30,638.36 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 10/10/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 | 34.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.04 | 34.04 | 34.04 | 34.04 | 34.04 | – | 34.04 | 34.04 | 34.04 | 34.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.44 | 32.44 | – | – | – | – | – | – | – | 32.44 |
เบนซิน 95 | 42.56 | – | – | – | 43.01 | – | 43.06 | 43.06 | – | 42.56 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 37.64 | 36.24 | 36.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 36.24 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 37.64 | 36.24 | 36.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 36.24 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 37.64 | – | 36.24 | – | 34.94 | 34.94 | 34.04 | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.66 | 43.66 | 46.36 | 46.16 | 45.86 | – | – | – | – | 34.94 |
แก๊ส NGV | 43.66 | 43.66 | – | – | – | – | – | – | – | 43.66 |