สาระน่ารู้ประจำวันที่ 10 เมษายน 2567

ผ่าทางตันอสังหาริมทรัพย์ ยุคเศรษฐกิจเดือด

ผู้เขียนได้รับเกียรติจากสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย สมาคมการค้าอสังหาริมทรัพย์นนทบุรี และบริษัท เทอร์ร่า มีเดีย แอนด์ คอนซัลติ้ง จำกัด ให้ร่วมเป็นวิทยากรในงานเสวนา เรื่อง “Property Hack เจาะกลยุทธ์อสังหาฯ ในยุคเศรษฐกิจโลกแบ่งขั้ว” จึงอยากจะนำประเด็นในงานเสวนามาแบ่งปัน

ในปีที่ผ่านมา ภาคอสังหาฯ โดยรวมไม่สดใส โดยขยายตัวที่ประมาณ 1.9% ต่อปี เท่ากับการเติบโตของเศรษฐกิจ จากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในภาพใหญ่ ที่เรียกว่า “ประเทศไทย ตกท้องช้าง” โดยเศรษฐกิจไทยขยายตัวได้ 2.6% ในไตรมาส 1/2566 หลังจากนั้นลดลงสู่ 1.8%, 1.4% และ 1.7% ใน 3 ไตรมาสที่เหลือ

ขณะที่ภาคอสังหาฯ ขยายตัวสูงสุดที่ 2.5% ในไตรมาส 2/2566 และชะลอลงเหลือ 1.1% ในไตรมาส 4 สาเหตุที่เศรษฐกิจไทย รวมถึงภาคอสังหาฯ ขยายตัวต่ำ เป็นเพราะ

(1) เศรษฐกิจโลก (โดยเฉพาะจีน) ที่มีปัญหา ทำให้ส่งออกหดตัว และนักท่องเที่ยวเข้ามาใช้จ่ายในไทยน้อยกว่าที่คาด

(2) นโยบายการเงินที่ตึงตัว จากการคาดการณ์เศรษฐกิจที่ผิดพลาดและขึ้นดอกเบี้ยอย่างต่อเนื่อง จนทำให้สินเชื่อธุรกิจรวมถึงอุปโภคบริโภคหดตัว และ

(3) นโยบายการคลังที่มาช้า จากการตั้งรัฐบาลที่ล่าช้าและกระบวนการงบประมาณที่ถูกเลื่อนออกไป รวมถึงการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างจากกระแส Work from home (WFH) ที่ทำให้ความต้องการบ้านแนวราบเพิ่มมากขึ้น

โดยในปี 2566 ปริมาณบ้านสร้างใหม่โดยรวมลดลงเล็กน้อยที่ 0.7% แต่ที่อยู่อาศัยแนวสูง หดตัวถึง 32% ขณะที่บ้านแนวราบเพิ่มขึ้น 39.1% ไปอยู่ที่ 4.8 หมื่นหลังในปี 2566 จาก 3.4 หมื่นหลังในปี 2565 ขณะที่ปริมาณคอนโดมิเนียมสร้างใหม่ลดลงจาก 4.6 หมื่นยูนิตมาอยู่ที่ 3.1 หมื่นยูนิตในช่วงเดียวกัน

ขณะที่ในปี 2567 ผู้เขียนมองว่า ภาคอสังหาฯ ไทยจะเผชิญทั้งปัจจัยบวกและลบ โดยปัจจัยบวก ได้แก่

(1) การลดดอกเบี้ยในปี 2567 โดยเศรษฐกิจไทยที่ชะลอลงอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับสถานการณ์เงินฝืดที่ติดลบเกินกว่า 6 เดือน จะทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ลดดอกเบี้ยนโยบายได้ 2 ครั้ง หรือ 50 bps รวมถึงผลักดันให้ธนาคารพาณิชย์ลดดอกเบี้ยตาม ซึ่งจะทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (MLR) ลดลงได้ 40-50 bps จากระดับปัจจุบันที่ 7.05%

(2) การเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐในครึ่งปีหลัง โดยหากการเบิกจ่ายสามารถเร่งตัวได้ดีใกล้เคียงกับที่สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง (สศค.) มอง (อัตราการเบิกจ่ายงบลงทุนปีงบประมาณ 2567 ที่ 64% คิดเป็นเม็ดเงิน 4.5 แสนล้านบาท) เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 3.0% จากการลงทุนภาครัฐและเอกชนที่เพิ่มขึ้น แต่หากการเบิกจ่ายต่ำกว่าคาด เศรษฐกิจไทยจะขยายตัวได้ 2.5%

(3) การฟื้นตัวของความต้องการอสังหาฯ (Demand) จากต่างประเทศ โดยที่ผ่านมา ความต้องการของต่างชาติมีส่วนช่วยให้ภาคอสังหาฯ พลิกฟื้นขึ้น โดยมูลค่าการถือครองกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติในไทยฟื้นขึ้นเกือบ 40% จากประมาณ 3 หมื่นล้านบาทในปี 2564 เป็นประมาณ 4.2 หมื่นล้านบาทในปี 2565 

ขณะที่ในปี 2566 ยอดถือครองเพิ่มขึ้นประมาณ 8% ไปอยู่ที่ 4.6 หมื่นล้านบาท ทั้งนี้ สำนักวิจัย INVX คาดว่า กรรมสิทธิ์ถือครองของต่างชาติในปีนี้จะเพิ่มขึ้นอีกอย่างน้อย 3.5%

(1) สินค้าคงคลังที่มีมาก ผลจากการที่ผู้ประกอบการผลิตเกินความต้องการ โดยในปี 2566 สำนักวิจัย INVX วิเคราะห์ว่า 7 ผู้ประกอบการหลัก มีสินค้าคงคลังอยู่ที่ 3.7 แสนล้านบาท โดยผู้ประกอบการที่จับกลุ่มลูกค้าระดับกลาง-บน มีสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น 5-30% ขณะที่ผู้ประกอบการระดับกลาง-ล่าง ลดปริมาณสินค้าคงคลังได้ 6-15% ดังนั้น ในปีนี้ผู้ประกอบการส่วนใหญ่จะชะลอการก่อสร้างและเร่งระบายสต๊อก

(2) มาตรการสินเชื่อที่ยังเข้มงวด โดยจากรายงานผลการสำรวจภาวะและแนวโน้มสินเชื่อไตรมาส 4/2566 ของ ธปท. พบว่า มาตรฐานการให้สินเชื่อภาคครัวเรือนในไตรมาสที่ 4 ปี 2566 เข้มงวดขึ้นในเกือบทุกประเภทสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย

โดยธนาคารบางแห่งเริ่มกังวลต่อแนวโน้มคุณภาพสินเชื่อ โดยเฉพาะสินเชื่อที่ได้รับการกล่าวถึงเป็นพิเศษ (Special mention loan) หรือสินเชื่อที่ขาดส่ง 1-3 เดือน ที่เพิ่มขึ้นไปสู่ระดับ 1.6 แสนล้านบาท (4.96% ของสินเชื่อที่อยู่อาศัยรวม) ใกล้เคียงกับสินเชื่อเช่าซื้อที่ 2.1 แสนล้านบาท (14.3% ของสินเชื่อเช่าซื้อรวม)

ในส่วนของการปรับตัวของผู้ประกอบการภาคอสังหาฯ ในระยะต่อไป ผู้เขียนมองว่า ทางออกของผู้ประกอบการอสังหาฯ ไทย คือการหันไปจับตลาดต่างชาติมากขึ้น

ผลจากการที่ไทยเป็นฐานการผลิตของ “Altasia” หรือ “ห่วงโซ่อุปทานทางเลือกของเอเชีย” หรือ Alternate Asia ซึ่งได้แก่ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย สิงคโปร์ มาเลเซีย ไทย เวียดนาม กัมพูชา และบังกลาเทศ รวมถึงอินเดีย

การที่จีนตกเป็นเป้าสงครามการค้า รวมถึงค่าแรงที่สูงขึ้นมาก ส่งผลให้มีกระแสย้ายฐานการผลิตออกจากจีน (รวมถึงนักลงทุนจากจีนเองที่หันมาตั้งโรงงานผลิต EV ในไทยมากขึ้น) รวมถึงชาวจีนที่ย้ายมาตั้งบ้านหลังที่สองในไทย ทำให้ความต้องการที่อยู่อาศัยในไทย (ทั้งในเมืองใหญ่และนิคมอุตสาหกรรม) มีมากขึ้น

โดยจากสถิติของสำนักวิจัย INVX พบว่า สัดส่วนการถือครองกรรมสิทธิ์ของชาวต่างชาติในปี 2023 พบว่า เป็นจีนถึงกว่า 52% รองลงมาได้แก่ เมียนมา (7%) ไต้หวัน (6%) สหรัฐ (4%) อินเดีย (3%) และอื่นๆ (28%)

ด้วย 4 ปัจจัยบวก ได้แก่

(1) การเปิดประเทศของไทย ทำให้มีนักท่องเที่ยว รวมถึงชาวต่างชาติมาตั้งบ้านหลังที่สองในไทยมากขึ้น

(2) การย้ายฐานการผลิตเข้ามาลงทุนของต่างชาติตามทฤษฎี Altasia

(3) การกระจายความเจริญสู่ภูมิภาคต่างๆ ทำให้หัวเมืองใหญ่เกิดกระแส Urbanization มากขึ้น และ

(4) แนวทางการพัฒนาเขตเศรษฐกิจพิเศษ และโครงการพิเศษของรัฐบาล ที่มีแนวโน้มว่าจะมุ่งเน้นการพัฒนาภูมิภาคตามแนวคิด Ignite Thailand และ Soft Power โดยเฉพาะอย่างยิ่งพัฒนาภาคการท่องเที่ยวภาคใต้เป็นหลัก

ทำให้ผู้เขียนเชื่อว่าการเติบโตของภาคอสังหาฯ (วัดจากยอดการสร้างบ้านใหม่) ในปีนี้ จะเติบโตได้ประมาณ 5% ขณะที่ยอดขายของ 7 บริษัทอสังหาฯ ที่ INVX ติดตามอยู่จะเติบโตได้ประมาณ 21% จากที่หดตัว -6% ในปีก่อน

ปัจจัยเชิงโครงสร้างที่กดดัน และนโยบายรัฐที่ฉุดรั้ง ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องหันไปหาตลาดต่างประเทศ อสังหาฯ ก็เช่นกัน

สำหรับกลยุทธ์ของผู้ประกอบการ ผู้เขียนมองว่าควรจะ (1) ผู้ประกอบการในกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาจหันมาจับตลาดต่างชาติมากขึ้น และ (2) เริ่มหันมาจับตลาดต่างจังหวัด โดยเฉพาะภาคใต้และหัวเมืองใหญ่ในภูมิภาคต่างๆ มากขึ้น

บทความนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผู้เขียน ไม่เกี่ยวข้องใดๆ กับหน่วยงานที่ผู้เขียนสังกัดอยู่

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


อสังหาฯชูโมเดลเช่าก่อนซื้อ แก้เกมแบงก์ปฎิเสธสินเชื่อ-ระบายสต็อกต่ำ3ล้าน

อสังหาฯงัดโมเดล‘เช่าก่อนซื้อ’แก้เกมแบงก์ปฎิเสธสินเชื่อ-ระบายสต็อกต่ำ3ล้าน ตอบโจทย์พฤติกรรมคนรุ่นใหม่นิยม “เช่า” แทนการ “ซื้อ” รวมถึงกลุ่มคนที่มีรายได้ไม่มั่นคง เสี่ยงถูกปฏิเสธสินเชื่อ

ข้อมูล Agency for Real Estate Affairs (AREA) ระบุว่า สิ้นปี 2566 ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีที่อยู่อาศัยรอขายสะสมกว่า 2.3 แสนหน่วย สูงสุดในรอบ 29 ปี คาดต้องใช้เวลาระบายมากกว่า 3 ปี โดยกว่า 36% เป็นคอนโดมิเนียม และกลุ่มที่ต้องระวัง คือ ที่อยู่อาศัยระดับราคา 1-3 ล้านบาท ที่มีหน่วยรอขายสะสมสูง ทาวน์เฮ้าส์ มีสัดส่วน 34% ส่วนกลุ่มระดับราคา 2-3 ล้านบาท มีจำนวนรอขายมากกว่าครึ่ง!

สอดคล้องกับศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ พบว่ายอดโอนกรรมสิทธิ์ระดับราคาต่ำกว่า 1-3 ล้านบาท “ติดลบ” ทั้งจำนวนหน่วยและมูลค่า โดยราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท 85,514 หน่วย ลดลง 9.6% มูลค่า 50,177 ล้านบาท ลดลง 8.7% ราคา 1-1.5 ล้านบาท 47,213 หน่วย ลดลง 7.8%  มูลค่า 61,461 ล้านบาท ลดลง 7.3% ราคา 1.5-2 ล้านบาท 52,973 หน่วย ลดลง 7.4% มูลค่า 94,505 ล้านบาท ลดลง 7.5% ราคา 2-3 ล้านบาท 89,402 หน่วย ลดลง 9.8% มูลค่า 226,898 ล้านบาท ลดลง 9.7%

ส่งผลให้ผู้ประกอบการต่างพลิกกลยุทธ์เพื่อแก้เกมด้วยการเสนอโมเดลการเช่าก่อนซื้อ! หลังเริ่มเห็นตัวเลขการปฏิเสธสินเชื่อที่สูงขึ้นและลุกลามมาถึงตลาดกลาง-บน ขณะเดียวกันพฤติกรรมของคนรุ่นใหม่นิยม “เช่า” แทนการ “ซื้อ” ส่วนหนึ่งจากการที่มีรายได้ไม่มั่นคง เสี่ยงถูกปฏิเสธสินเชื่อ

“พฤติกรรมคนรุ่นใหม่จะไม่ยึดติดกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งโดยเฉพาะการซื้อที่อยู่อาศัยไม่ใช่คำตอบของชีวิต มีโอกาสเลือกก่อนหรือทดลองอยู่ก่อน ส่วนอีกกลุ่มที่มีปัญหาด้านรายได้ทำให้กู้ไม่ผ่าน แต่ในอีก 1-2 ปีข้างหน้าอาจมีความพร้อมด้านการเงินพร้อมโอน ก่อนหน้านี้เช่าไปก่อน” 

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) เกริ่นถึงแนวคิดของโมเดลทางเลือกให้กลุ่มลูกค้าในระดับราคาต่ำกว่า 10 ล้านบาท มี 2 รูปแบบ ประกอบด้วย “Subscription Model” ซึ่งเป็นรูปแบบการคิดค่าบริการสมาชิก มีทั้งแบบรายเดือนและรายปีเพื่อสามารถใช้บริการต่างๆ ของโครงการได้  ต่างจากการเช่าที่อยู่อาศัยแบบปกติทั่วไป เช่น ลูกค้าสามารถเลือกห้องพักและเปลี่ยนห้องพักได้ในช่วงระยะเวลา 1 ปี จำนวน 2 ครั้ง ทั้งได้รับบริการพิเศษจากเอสซี แอสเสท เช่น เลือกใช้บริการ สิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการอื่นได้

อีกรูปแบบ “Rent to Own” เป็นสัญญาลูกผสมระหว่างการเช่า และการซื้อ เมื่อครบกำหนดสัญญาเงินงวดที่ชำระหลังหักค่าใช้จ่ายตามตกลง ให้ถือเป็นส่วนหนึ่งของราคาทรัพย์นั้น โดยลูกค้าที่เลือกเช่าคอนโดมิเนียมในโครงการต่างๆ ของเอสซี แอสเสท สามารถเปลี่ยนเงินค่าเช่ามาเป็นเงินผ่อนได้ หลังจากเช่าอยู่ไปแล้ว 1-2 ปี หรือมีความพร้อมจะซื้อคอนโดมิเนียมโครงการดังกล่าวเพื่อเป็นทรัพย์สิน คาดเห็นความชัดเจนปลายปีนี้

เช่นเดียวกับ เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ได้พัฒนาโมเดล “Liv (ing)-next” เพื่อเปิดโอกาสให้ลูกค้าเช่าก่อน 3 ปี  เมื่อมีความพร้อมสามารถนำเงินค่าเช่าเปลี่ยนเป็นเงินดาวน์ซื้อโครงการได้ เป็นการช่วยให้ผู้ซื้อเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ง่ายขึ้น และแก้ปัญหาการถูกปฏิเสธสินเชื่อได้อย่างมาก โดยจะนำคอนโดมิเนียมพร้อมอยู่ 17 โครงการ มูลค่า 10,000 ล้านบาท เข้าร่วม

ก่อนหน้านี้ เสนาฯ มีบริการ “เงินสดใจดี” เข้ามาช่วยด้านสินเชื่อที่อยู่อาศัย ครบวงจรชูจุดเด่น ทุกคนเป็นเจ้าของบ้านเสนาได้ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องเครดิตการเงินตั้งเป้าลดยอดปฏิเสธสินเชื่อจากธนาคารได้อย่างน้อย 10-15% ดันยอดขายบ้านของเสนาฯ เพิ่มขึ้น

อภิชาติ เกษมกุลศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอล.พี.เอ็น.ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แม้ปัจจุบันการอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยมีค่าเฉลี่ย 31% อัตราการปฏิเสธสินเชื่อ 69% เนื่องจากมาตรการที่เข้มงวดของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อมากขึ้นต่อเนื่องในปีนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้ประกอบการและผู้บริโภคต้องปรับตัวตาม

ล่าสุด แอล.พี.เอ็น. มีทีมที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญการวิเคราะห์การเงินคอยให้บริการ เพื่อบริหารจัดการเครดิต และเพิ่มโอกาสการเข้าถึงสินเชื่อบ้านด้วยการช่วยซัพพอร์ทลูกค้าผ่านแคมเปญ “LPN ดูแลให้” และ “LPN เคลียร์ให้” เพื่อช่วยเหลือลูกค้าที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัย

แคมเปญ “LPN ดูแลให้”  กรณีลูกค้ายื่นเอกสารเพื่อขออนุมัติสินเชื่อกับธนาคารเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แต่ธนาคารยังไม่สามารถพิจารณาอนุมัติได้ ลูกค้าสามารถยื่นเรื่องผ่อนดาวน์กับ LPN ทำสัญญาปีต่อปี ระยะเวลาสูงสุด 2 ปี เงื่อนไขเป็นไปตามที่บริษัทฯ กำหนด ซึ่งลูกค้าเข้าอยู่อาศัยได้ทันที สำหรับโครงการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ (บ้านและคอนโด) ที่เข้าร่วมแคมเปญดังกล่าว จะต้องมีราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท ทั้งนี้เพื่อสร้างความพร้อมด้านการเงินให้ลูกค้าก่อนขอสินเชื่อกับธนาคารอีกครั้ง

ส่วนแคมเปญ “LPN เคลียร์ให้” เป็นการเพิ่มช่องทางให้ลูกค้าที่ต้องการเข้าถึงสินเชื่อและสร้างโอกาสการขายที่อยู่อาศัยให้กับ LPN จึงพัฒนานวัตกรรมทางการเงิน ด้วยการให้สินเชื่ออเนกประสงค์ (Non-Bank) ในกรณีธนาคารปล่อยสินเชื่อไม่เต็ม 100% หรือกรณีลูกค้าต้องการนำเงินไปปิดภาระหนี้ต่างๆ เพื่อสร้างประวัติทางการเงินที่ดี เงื่อนไขแคมเปญดังกล่าวเป็นการอนุมัติวงเงินกู้ไม่เกิน 300,000 บาทสำหรับโครงการบ้านไม่จำกัดราคา และวงเงินกู้ไม่เกิน 200,000 บาท สำหรับคอนโดไม่จำกัดราคา ซึ่งลูกค้าต้องเสียดอกเบี้ยในอัตราคงที่ 6% ต่อปี ผ่อนสูงสุด 24 เดือน แคมเปญดังกล่าวสิ้นสุด 31 ธ.ค.นี้

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10เม.ย. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 36.32 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทน่าจะแกว่งตัว sideways ในกรอบ ลุ้นผลประชุมกนง. รายละเอียด Digital Wallet และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ขณะผู้เล่นฝั่งตลาดบอนด์กังวลต่อปริมาณการออกบอนด์ในอนาคต

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10เม.ย. 2567ที่ระดับ  36.32 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  36.36 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า  แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า การแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง “เร็วและแรง” ของเงินบาทในวันก่อนหน้า จนหลุดโซนแนวรับที่เราประเมินไว้แถว 36.50 บาทต่อดอลลาร์ นั้น

อาจชะลอลงบ้าง เนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะเริ่มเข้าสู่โหมดระมัดระวังตัว (Wait and See) เพื่อรอลุ้นปัจจัยสำคัญ ทั้ง ผลการประชุม กนง. รายละเอียดมาตรการ Digital Wallet และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทำให้เงินบาทน่าจะแกว่งตัว sideways ในกรอบ 36.25-36.45 บาทต่อดอลลาร์ ก่อนที่จะรับรู้ปัจจัยสำคัญดังกล่าว โดยเฉพาะผลการประชุม กนง.

โดนหาก กนง. ลดดอกเบี้ย -0.25% ตามที่ตลาดและนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ (ยกเว้นเรา) ประเมินไว้พร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่องอีกอย่างน้อย 2 ครั้ง ก็อาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่า จนทะลุโซนแนวต้าน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก

ขณะที่ หาก กนง. ลดดอกเบี้ยลง แต่ส่งสัญญาณอาจลดดอกเบี้ยเพิ่มราว 1 ครั้ง หรือแม้จะเป็นกรณีที่ กนง. คงอัตราดอกเบี้ย แต่ส่งสัญญาณพร้อมลดดอกเบี้ย (Dovish Hold) ตามที่เราประเมินไว้ ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเงินบาทมากนัก และเงินบาทก็อาจแกว่งตัว sideways เพื่อรอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ต่อไป

ในส่วนของรายละเอียดมาตรการ Digital Wallet นั้น เราประเมินว่า หากรัฐบาลมีความชัดเจนของมาตรการดังกล่าว ทั้งในแง่ของไทม์ไลน์และมูลค่าของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ก็อาจพอช่วยให้ผู้เล่นในตลาดมีความเชื่อมั่นต่อแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยมากขึ้น ทว่าต้องจับตาประเด็นแหล่งเงินทุนสำหรับมาตรการ Digital Wallet อย่างใกล้ชิด ว่าจะทำให้ผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะในฝั่งตลาดบอนด์มีความกังวลต่อปริมาณการออกบอนด์ในอนาคตหรือไม่

และประเด็นสุดท้าย รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เรามองว่า หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ชะลอตัวลงต่อเนื่อง ตามคาด และบรรดาเจ้าหน้าที่เฟดก็ไม่ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนการลดดอกเบี้ย น้อยกว่า 3 ครั้งของเฟด ที่ชัดเจน ก็อาจพอช่วยทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีความหวังว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนมิถุนายนได้ ทำให้เงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideways

หรือ อ่อนค่าลงได้บ้าง ในทางกลับกัน หากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ออกมาสูงกว่าคาด และบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ต่างส่งสัญญาณสนับสนุนการลดดอกเบี้ยน้อยกว่า 3 ครั้ง ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น เร็วและแรง ทดสอบโซน 104.5-105 ได้เช่นกัน สำหรับดัชนีเงินดอลลาร์ DXY ซึ่งในกรณีดังกล่าว เงินบาทอาจกลับไปอ่อนค่าเกินระดับ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง

อนึ่ง เรามองว่า เงินบาทยังคงเคลื่อนไหวผันผวนสูงกว่าปกติ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.20-36.70 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 36.28-36.43 บาทต่อดอลลาร์) หลังจากที่ในช่วงวันก่อนหน้า เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง

ตามการอ่อนค่าลงบ้างของเงินดอลลาร์ ที่คาดว่าจะเป็นการลดสถานะ Long USD ของผู้เล่นในตลาดก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในคืนวันพุธนี้ ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ยังได้แรงหนุนการแข็งค่าจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์

นอกจากนี้ เรายังเห็นการทยอยลดสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) ของผู้เล่นในตลาด ก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน และอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และการแข็งค่าของเงินบาทจนหลุดโซน 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ก็อาจทำให้เกิด Stop loss ของสถานะ Short THB บางส่วน ซึ่งมีส่วนยิ่งช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมา

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ต่างอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวและไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก เพื่อรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในวันพุธนี้ ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะขายทำกำไรหุ้นเทคฯ ใหญ่ที่ปรับตัวขึ้นได้แข็งแกร่งนับตั้งแต่ต้นปีมาบ้าง เช่น Nvidia -2.0% ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว +0.14%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงกว่า -0.61% ตามแรงขายทำกำไรของผู้เล่นในตลาดก่อนที่จะรับรู้ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ดังจะเห็นได้จากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ SAP -2.7%, Hermes -2.4%, ASML -1.6%

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อยสู่ระดับ 4.36% โดยเป็นการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง หลังจากที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้พุ่งขึ้นเข้าใกล้ระดับ 4.50% ในช่วงวันจันทร์ที่ผ่านมา อย่างไรก็ดี การปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นั้นก็เริ่มเป็นไปอย่างจำกัด

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในวันพุธนี้ ซึ่ง เรายังคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ (รวมถึงบอนด์ยีลด์ระยะยาวอื่นๆ) มีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงได้ในวันนี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดทยอยรับรู้ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ซึ่งหากออกมาสูงกว่าคาด

โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ก็จะทำให้ผู้เล่นในตลาดมีความกังวลต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอยู่ ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสผันผวนสูงขึ้นทดสอบโซน 4.40%-4.50% ได้อีกครั้ง อย่างไรก็ดี เราคงย้ำมุมมองเดิมว่า บอนด์ระยะยาว อย่าง บอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีความน่าสนใจ

และ Risk-Reward มีความคุ้มค่ามากขึ้น (Asymmetric Risk-Reward หากลองประเมิน ผลตอบแทนในกรณีที่ บอนด์ยีลด์ ปรับตัวขึ้น หรือ ลง 50bps หรือแม้กระทั่ง 100bps) ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อสะสมได้ (Buy on Dip)

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวในกรอบ sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 104.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103.9-104.2 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ เริ่มชะลอลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดต่างก็ยังไม่รีบปรับสถานะถือครองมากนัก จนกว่าจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

ทำให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย.) ยังคงแกว่งตัวแถวโซน 2,372 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ โฟลว์ธุรกรรมทองคำ ทั้งจังหวะซื้อทองคำตอนย่อ และขายทำกำไรทองคำ ก็มีส่วนทำให้เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways ในช่วงคืนที่ผ่านมา

 สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญที่ห้ามพลาด จะอยู่ที่ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ซึ่งจะรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งจะมีกำหนดในช่วงหลังตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI เพื่อประเมินว่า เจ้าหน้าที่เฟดจะมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และนโยบายการเงินเฟดอย่างไรบ้าง หลังรับรู้ข้อมูลใหม่ๆ ทั้งภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่ง และอัตราเงินเฟ้อที่ดูเริ่มชะลอลงช้า

ส่วนในฝั่งไทย ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่และผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า”กนง. อาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงราว -0.25% สู่ระดับ 2.25% ได้ในการประชุมครั้งนี้ “(เราคงมุมมองเดิมว่า กนง. อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 2.50%

แต่จะส่งสัญญาณชัดเจนว่าพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ ซึ่งอาจเกิดขึ้นในการประชุมเดือนมิถุนายน) และนอกเหนือจากผลการประชุม กนง. ควรจับตารายละเอียดของมาตรการ Digital Wallet ที่จะมีการเปิดเผยในวันนี้  

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.27-36.29 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.05 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.37 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค แต่กรอบการแข็งค่าของเงินบาทอาจเริ่มจำกัดในระหว่างรอติดตามรายละเอียดของโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet และสัญญาณดอกเบี้ยนโยบายของไทยจากผลการประชุมกนง. ในช่วงบ่ายวันนี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.20-36.50 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ผลการประชุมกนง. ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลก ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด บันทึกการประชุมเฟด และตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“หมิว พรปวีณ์” ถอนแบดชิงแชมป์เอเชียหลังอาการบาดเจ็บกำเริบ

“หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ นักแบดมินตันหญิงเดี่ยว มือ 18 ของโลก โชคร้ายได้รับบาดเจ็บเรื้อรังที่ยังไม่หายขาด จนทำให้ ต้องตัดสินใจถอนตัวจากการแข่งขันแบดมินตันชิงแชมป์เอเชีย 2024 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 10-14 เม.ย.นี้ ที่เมืองหนิงโป สาธารณรัฐประชาชนจีน พร้อมกับหมดโอกาสที่จะลุ้นตั๋วไปโอลิมปิก 2024 โดยปริยาย จากการที่พลาดลงแข่งขันในรากการเก็บคะแนนรายการสุดท้ายที่จีน ในทัวร์นาเมนต์นี้

“หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ นักแบดมินตันหญิงเดี่ยว มือ 18 ของโลก ของไทย ออกมาโพสต์ข้อความผ่านสื่อสังคมออนไลน์ ว่า ตัวเองจำเป็นต้องถอนตัวจากการแข่งขันแบดมินตันชิงแชมป์เอเชีย 2024 ซึ่งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 10-14 เม.ย.นี้ ที่เมืองหนิงโป สาธารณรัฐประชาชนจีน หลังมีอาการบาดเจ็บ โดยข้อความในโพสต์ดังกล่าว ระบุดังนี้ 

“ตลอด 5 เดือนที่ผ่านมา หมิวมีอาการบาดเจ็บค่อนข้างเยอะ เริ่มจากการถอนตัวรอบตัดเชือก ที่ชาร์บรุ๊คเค่น จากอาการเจ็บไหล่ ทำให้จำเป็นต้องถอน และกลับมาทำ MRI ซึ่งผลออกมาคือ มีอาการเอ็นหัวไหล่ฉีกขาด หมายความว่าต้องพักอย่างน้อย  4-6 เดือน ถึงจะกลับมาเล่นได้แบบ 100 เปอร์เซ็นต์  

หมิวใช้ระยะเวลาในการรักษาไหล่ 2 เดือน ในการฟื้นฟู และออกกำลังกายไหล่เท่าที่ทำได้ ซึ่งนักกีฬาแบดมินตันทุกคนรู้ดีว่า เจ็บแขนซ้อมขา เจ็บขามาซ้อมแขน  ทำความแข็งแรงขามาเรื่อยๆตลอด 2 เดือน พอจะครบ 2เดือน เอ็นร้อยหวายขวาอักเสบ บวมนิดหน่อย เลยจำเป็นต้องถอนรายการมาเลเซีย ประกอบกับไหล่ยังไม่หายดี กับขาก็เจ็บอีก พอดีแขนก็เริ่มตีได้บ้างแล้ว ก็มายืนตี พอกลับมาซ้อมได้ ประมาณ 1 อาทิตย์ ก็เดินทาง ไปแข่งรายการอินเดีย และอินโดนีเซีย ก็พยายามตีได้โดยมีการวางแผนกับโค้ชว่าไปตีโดยห้ามตบ ตีได้ทุกลูกแต่ห้ามตบ และภาวนาตลอดว่า แค่ไม่เจ็บเพิ่มก็พอใจแล้ว แต่รายการที่สอง ที่แข่งรอบแรกที่อินโดนีเซีย ตีไป 1 เซต ก็ต้องบาย เพราะกล้ามเนื้อน่องซ้ายกระตุก ฉีกนิดหน่อย โอเค…ไม่เป็นไร ก็กลับมาซ้อมใหม่ 

ทำให้ต่อด้วย จำเป็นต้องถอนรายการที่ไทย เท่ากับพัก 2 อาทิตย์ กลับมาซ้อมได้ 1 อาทิตย์ แล้วบินไปแข่งยุโรป 5 รายการที่ผ่านมา สุดท้าย ตอนแข่งที่สเปน เข้าหน้าสุดแล้วลื่น เจ็บเอ็นร้อยหวายขวาอีก ผลงานก็ตามสภาพค่ะ

ถ้าจากที่เขียนตั้งแต่แรก ระยะเวลาในการรักษาไหล่ และฟื้นฟูให้กลับมาแข็งแรง หมิวไม่มีสิทธิ์ หรือไม่มีโอกาสลงแข่งแล้ว แต่หมิวได้คุยและปรึกษากับโค้ช ซึ่งโค้ชได้อธิบายถึงขั้นตอนและมีการวางแผนว่าจะต้องทำอย่างไร ในระหว่างที่ทำการฟื้นฟูร่างกาย และ มีความจำเป็นต้องไปแข่งอีกด้วย และคิดแค่ว่าจะทำให้ดีที่สุดสำหรับช่วงการเก็บคะแนน ผลสุดท้ายมันจะได้ไปหรือไม่

ได้ หมิวก็พยายามเต็มที่กับมันแล้ว 

จากเหตุการณ์ทั้งหมดที่เกิดขึ้น หมิวคิดว่าหมิวยังโชคดีมากๆที่ ตอนนี้หมิวยังมีโอกาสกลับมาตีแบดได้ ยังวิ่งได้  ยังใช้ชีวิตได้ เพราะนักกีฬาแบดมินตันหลายๆคนที่เจ็บไหล่ ไม่สามารถกลับมาตี หรือลงแข่งได้อีกแล้ว เพิ่งเข้าใจคำว่า “สุขภาพ สำคัญที่สุด”ตอนนี้…หมิวจึงต้องกลับมาวางแผนใหม่ และมองไปข้างหน้าแล้วว่าจะต้องทำอย่างไร กลับมาเตรียมร่ายกาย สภาพจิตใจ  ความคิด 

ให้มีความพร้อมมากกว่านี้ค่ะ  สุดท้ายแล้ว หมิวขอขอบคุณทุกๆคนที่ส่งกำลังใจให้ หมิวมาตลอดนะคะ ยังตีอยู่นะคะ ยังไม่เลิก5555″

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น ต้องรู้จัก “เฟอซัลไทอามีน”

ในยุคที่ต้องแอ็กทีฟตลอดเวลา ไม่ว่าจะเรื่องเรียน หรือทำงาน ต้องใช้พลังกาย พลังใจ พลังสมองอย่างหนัก แถมบางทียังพักผ่อนน้อย นอนหลับไม่เป็นเวลากันอีกด้วย เจอแบบนี้…ความเหนื่อยล้า อ่อนเพลีย ไม่สดชื่น เหนื่อยง่าย ไม่ค่อยมีแรง อาการเหล่านี้เกิดขึ้นแน่

อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ไม่สดชื่น ต้องรู้จักกับ “วิตามินบี 1”

วิตามินบี 1 เป็นวิตามินที่ละลายในน้ำ ร่างกายไม่สามารถสร้างขึ้นเองได้ต้องรับประทานจากอาหาร หรืออาหารเสริมเท่านั้น โดยวิตามินบี 1 มีประโยชน์ในการช่วยเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต โปรตีน ไขมัน และน้ำตาล แล้วแปลงเป็นพลังงานให้กับร่างกาย มีส่วนช่วยสำคัญต่อการบำรุงระบบประสาท บำรุงหัวใจและกล้ามเนื้อ

หากไม่ได้รับวิตามินบี 1 อย่างเพียงพอ ร่างกายอาจเกิดอาการเหน็บชา ชาตามปลายมือและปลายเท้า อ่อนเพลีย เป็นตะคริวได้ง่าย หอบเหนื่อย หัวใจเต้นเร็ว หงุดหงิดง่าย ท้องผูก และเพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจ

ทำยังไง? ถึงจะได้รับวิตามินบี 1 ได้เต็มที่

ปกติร่างกายของคนเราสามารถดูดซึมวิตามินวิตามินบี 1 (Thiamine) ได้ค่อนข้างยาก แต่ถ้าเป็นอนุพันธ์วิตามินบี 1 เฟอซัลไทอามีน (Fursulthiamine) ที่คิดค้นโดยประเทศญี่ปุ่น มีการเพิ่มความเป็นไขมันมากขึ้นโดยเติมโครงสร้างที่เป็นไลโปฟิลิค (Lipophilic) เข้าไป ทำให้เฟอซัลไทอามีน สามารถดูดซึมได้ดีกว่าวิตามินบี 1 ถึง 7 เท่า

วิตามินบี 1 เติมพลังงานให้เซลล์ร่างกายทั่วไป

เฟอซัลไทอามีน เติมพลังได้ดีกว่า เพราะสามารถดูดซึมเข้าสู่ร่างกายได้มากกว่าถึง 7 เท่า บำรุงลึกถึงเซลล์สมองและกล้ามเนื้อ

วิตามินบี 1 บรรเทาอาการอ่อนเพลียได้

เฟอซัลไทอามีน บรรเทาได้ทั้งอาการอ่อนเพลีย อาการชา และอาการเมื่อยกล้ามเนื้อ

ยิ่งเมื่อเฟอซัลไทอามีน ได้ทำงานร่วมกับวิตามิน บี 6  บี12 แคลเซียมแพนโททีเนท และวิตามิน อี เซลล์ต่างๆ ในร่างกาย รวมถึงเซลล์กล้ามเนื้อและสมองได้รับพลังงานอย่างเต็มที่

6 เคล็ดลับช่วยฟื้นฟูอาการอ่อนเพลีย เพิ่มพลังในแต่ละวัน 

  1. วางแผนการกิน เพื่อให้ร่างกายกระฉับกระเฉงตลอดทั้งวัน โดย แบ่งมื้อย่อยกินทุกๆ 3-4 ชั่วโมง เน้นโปรตีน คาร์โบไฮเดรต เน้นอาหารที่ใยอาหารสูง
  2. ดื่มน้ำให้เพียงพอ สามารถเช็กการดื่มน้ำว่าเพียงพอหรือไม่ ด้วยการสังเกตว่าคุณจะต้องปัสสาวะทุกๆ 2-3 ชั่วโมงระหว่างวัน หากปัสสาวะมีสีเข้มมาก นั่นก็บอกได้ว่าคุณดื่มน้ำน้อยเกินไป
  3. นอนหลับอย่างมีคุณภาพ ควรเข้านอนเวลาเดิมทุกครั้ง หากเข้านอนและตื่นในเวลาที่แตกต่างกันตลอดทั้งสัปดาห์ ก็จะทำให้รู้สึกเหนื่อยล้ามากขึ้น
  4. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ แม้ว่าจะรู้สึกเหนื่อย แต่การออกกำลังกายจะช่วยทำให้รู้สึกตื่นตัว ลดความง่วงนอน และอ่อนล้าได้
  5. ควบคุมความเครียด ยิ่งเครียด ยิ่งอ่อนล้า ยิ่งนอนไม่หลับ ต้องหาวิธีจัดการกับความเครียด ด้วยกิจกรรมหรืองานอดิเรกที่ชื่นชอบ
  6. หากทำได้ไม่สม่ำเสมอ ยังรู้สึกอ่อนเพลียระหว่างวัน เหนื่อยง่าย เครียด หรือมีอาการชาบริเวณปลายมือ ปลายเท้า ลองทำความรู้จักกับ “อนุพันธ์วิตามินบี 1” ตัวช่วยในการแก้ไขและฟื้นฟูอาการต่างๆ เติมพลังให้ร่างกาย บำรุงลึกถึงสมองและกล้ามเนื้อ

ใช้ชีวิตอย่างแอ็กทีฟขั้นสุดแล้ว ก็อย่าลืมใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองด้วย แต่ถ้าทำตามวิธีที่แนะนำแล้วไม่ดีขึ้น แนะนำให้ไปปรึกษาแพทย์ เพื่อทำการวินิจฉัยและรักษาได้อย่างถูกวิธี

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Google เตรียมปล่อยปุ่ม “Lookup” ช่วยเช็คเบอร์มิจฉาชีพในฟีเจอร์โทรศัพท์

Google เริ่มทดสอบฟีเจอร์ใหม่อย่าง Lookup ในฟีเจอร์โทรศัพท์ (Phone) ซึ่งตอนนี้ยังอยู่เฉพาะเวอร์ชั่น Beta ของระบบปฏิบัติการ Android

ปุ่ม Lookup คืออะไรและทำงานอย่างไร

สำหรับฟีเจอร์ปุ่ม Lookup จะรบรวมข้อมูลใน Google Search ทำให้ผู้ใช้งานสามารถตรวจสอบได้ต้นทางเป็นใคร มาจากไหน และยังรองรับการช่วงป้องกันมิจฉาชีพ รวมถึงแก๊งคอนเซ็นเตอร์ที่หลอกลวงผ่านมือถือ ซึ่งระบบนี้จะทำงานรวมคู่ขกับระบบป้องกันสแปมอีกที

แอป Phone อยู่กับมือถือยี่ห้ออะไร

สำหรับแอป Phone จริงๆ คุณสามารถติดตั้งได้กับมือถือของฝั่ง Android แทบทุกยี่ห้อ แต่โดยมากแล้วจะอยู่กับมือถือกลุ่ม Pure Android มากกว่าเช่น Nothing, Sony, Nokia, Motorola เป็นต้น โดยคาดว่า Apps Phone ในมือถืออื่นๆ ก็จะได้ฟีเจอร์นี้เช่นเดียวกัน

แต่นอกจาก Google เองไม่ได้ทำแค่ส่วนนี้เท่านั้นแต่มีกแนะนำฟีเจอร์ Google Play Protect ที่สามารถป้องกันและบล็อกแอปส์ภายนอกหรือ APK ที่เป็น Apps ดูดเงินและเพิงเปิดใช้ประเทศไทย แต่ก็อย่าว่าครับมิจฉาชีพก็ใช้วิธีใหม่ๆ มาหลอกล่อคุณอยู่เสมอ เราควรจะต้องมีสติและไม่หลงเชื่ออะไรง่ายๆ ไว้ก่อนและ ดูให้ดีก่อนจะกดรับอะไร มันคือวิธีที่ดีที่สุดในการป้องกันภัยจากมิจฉาชีพ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


พูดคุยภาษาอังกฤษ “Say, Tell, Speak, Talk” ใช้ยังไงให้เวิร์ค

“หลักการใช้ Say, Tell, Speak, Talk ง่ายกว่าที่คิด”

คำว่า “พูดคุย” ในภาษาอังกฤษมีหลายแบบหลายสไตล์มากเลยค่ะ ที่เรามักได้ยินบ่อยๆ ในชีวิตประจำวัน อย่างคำว่า Say, Tell, Speak, Talk ซึ่งเป็นคำกริยาเหมือนกัน แต่จะใช้ในบริบทที่แตกต่างกัน แล้วต้องเลือกใช้ยังไง เพราะคำเหล่านี้มีความหมายมันก็ใกล้เคียงกันเหลือเกิน เอ็ด ดู เฟิร์สท์ สรุปมาให้แล้วค่ะ

Say, Tell, Speak, Talk แตกต่างกันอย่างไร?

(The difference between say tell speak talk )

❝Say❞

Say (เซ) แปลว่า “พูด”

{ มีรูปแบบกริยาช่องที่ 2 และช่องที่ 3 คือ Said (เซด) }

ใช้เพื่อเน้นว่า ใครพูดอะไรโดยข้อความหลัง Say ถ้าใส่เครื่องหมายคำพูดหมายความว่า เราถอดคำพูดของอีกบุคคลหนึ่งมาพูด แต่ถ้าไม่ใส่เครื่องหมายคำพูดแสดงว่า เราดัดแปลงคำพูดของผู้อื่นมาพูด
ตัวอย่าง เช่น
• He said : “No, I will not come with you”.
(เขาพูดว่า : “ไม่ ผมจะไม่มากับคุณ”)

• He said no and that he would not come with me.
(เขาปฏิเสธและพูดว่าเขาจะไม่มากับผม)

ส่วนใหญ่ Say จะใช้โดยไม่มีกรรมที่เป็นคน ถ้าต้องการใช้กรรมที่เป็นคน หลัง Say ต้องตามด้วยคำบุพบท ‘to’ เพื่อเข้าใจได้ง่าย เราสามารถดูตัวอย่างดังต่อไปนี้

• She said that she was teaching English online.
เธอบอกว่าเธอสอนภาษาอังกฤษออนไลน์

• John said to us that he was sorry.
จอห์นบอกพวกเราว่าเขาเสียใจ

ส่วนที่ตามหลัง “say” มักจะเป็นประโยคโดยตรงหรือโดยอ้อม ซึ่งรายงานสิ่งที่ใครสักคนได้พูดหรือกล่าวถึง

❝Tell❞

Tell (เทล) แปลว่า “บอก”

{ มีรูปแบบกริยาช่องที่ 2 และช่องที่ 3 คือ told (โทลดฺ) }

เป็นการให้ข้อมูลกับใครสักคน มักจะมีกรรมทั้งสองประเภท กรรมเป็นคน กรรมเป็นสิ่งของตามหลังด้วย

tell + ใครสักคน เช่น
• Don’t tell him.
อย่าไปบอกเขานะ

Tell ใช้ในความหมาย สั่งสอน ให้ความรู้ หรือ บอกให้รู้ แจ้งให้ทราบ เท่านั้น ในประโยคมักจะใช้ question words ด้วย wh- (when, where, what…)

ตัวอย่าง เช่น

• Please tell me what happened.
ได้โปรดบอกกับฉันว่ามันเกิดอะไรขึ้น
• I forget to tell her when the festival starts.
ผมลืมบอกกับเธอว่าเมื่อไรเทศกาลจะเริ่ม

นอกจากนั้น Tell ก็ได้ใช้เพื่อบอกบางคนให้ทำบางสิ่งบางอย่าง ในโครงสร้าง tell someone to do something เช่น

• The dentist told him to brush his teeth regularly.
ทันตแพทย์บอกให้เขาต้องแปรงฟันเป็นประจำ

เมื่อใช้ tell จำเป็นต้องมีกรรมตามหลัง

• My mother told us to do the homework.
คุณแม่บอกให้พวกเราไปทำการบ้าน

❝Speak❞

Speak (สปีก) แปลว่า “พูด”

{ มีรูปกริยาช่องที่ 2 คือ Spoke (สโพค) และรูปกริยาช่องที่ 3 คือ Spoken (สโพ’เคิน) }

โดย Speak จะใช้ในการสื่อสารทางเดียว (One-way communication) และใช้ในการแลกเปลี่ยนเรื่องที่ค่อนข้างจริงจัง หรือสถานการณ์ที่เป็นทางการ

ตัวอย่าง เช่น

• Can I speak to the manager please?
รบกวนให้ผมคุยกับผู้จัดการได้ไหมครับ ?
• The Prime Minister speaks in the Government House.
นายกรัฐมนตรีแถลงการณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล

นอกจากนั้น Speak ยังได้ใช้เหมือนเป็นคำทั่วไปที่ใช้พูดถึงเรื่องความรู้และใช้ในเรื่องของภาษา

ตัวอย่าง เช่น

• I can’t speak Thai although I have been in Thailand for 5 years.
ฉันไม่สามารถพูดภาษาไทยได้ แม้อยู่ไทยมา 5 ปีแล้วก็ตาม
• I can speak 3 languages such as English, Thai and Korean
ฉันสามารถพูดได้ 3 ภาษา เช่น ภาษาอังกฤษ ภาษาไทย ภาษาเกาหลี

ถ้ามีกรรมเป็นคน จะต้องมีคำบุพบทตามหลัง speak ด้วย

ตัวอย่าง เช่น
• She spoke with him for an hour.
เธอพูดกับเขาเป็นชั่วโมง
• I’ll speak to him about the matter.
ฉันจะพูดกับเขาเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น

บางทีหลัง “speak” จะสามารถใช้กับคำเหล่านี้ the truth, truth, human…โดยไม่ต้องมีกรรมตามหลัง

ตัวอย่าง เช่น
• Speaking truth to power is such a difficult task.
การพูดความจริงกับคนที่มีอำนาจเป็นสิ่งที่ยากมาก

❝Talk❞

Talk (ทอล์ค) แปลว่า “พูดคุย”

{ มีรูปกริยาช่องที่ 2 และช่องที่ 3 คือ Talked }
โดย talk มัก ใช้ในการพูดเกี่ยวกับหัวข้อทั่ว ๆ ไป หรือเป็นคำพื้นฐานที่พูดถึงการสนทนาแลกเปลี่ยน หรือการสื่อสารกันอย่างไม่เป็นทางการ ไม่ได้จริงจังเท่ากับ Speak ซึ่งเรามีตัวอย่างดังต่อไปนี้

ตัวอย่าง เช่น

• Marshall talked to Susie yesterday.
Marshall ได้คุยกับ Susie เมื่อวานนี้

• They talk about climate change.
พวกเขาพูดถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ

• We talked with the police about the robbery.
เราคุยกับตำรวจเรื่องการโจรกรรม

แต่ในภาษาอังกฤษ คำว่า พูดคุย ไม่ได้มีแค่ say, tell, speak, talk เท่านั้นนะคะ ในภาษาอังกฤษยังมีคำที่แทนการพูดอีกมากมาย ใช้ได้หลายแบบหลายสไตล์ เรามาดูกันว่า นอกจากคำกริยาข้างต้นนี้ ยังมีคำอะไรที่ใช้แทนการพูดอีกบ้าง

ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com


5 วิธีดูว่า บริษัทลิฟท์ไหนดี น่าเชื่อถือ เพื่อเลือกให้เหมาะกับบ้านคุณ

การเลือกบริษัทลิฟท์บ้านที่ดี สิ่งแรกที่เราได้ยินจากลูกค้าอยู่บ่อยครั้ง คือ ช่วงที่กำลังมองหาลิฟท์บ้าน ก็ไม่นึกเลยว่ารายละเอียดจะซับซ้อนขนาดนี้ เพราะลิฟท์บ้านนั้นมีหลากหลายระบบ หลายเทคโนโลยี หลายยี่ห้อ หรือคำถามยอดฮิตอีกคำถาม คือ ลิฟท์บ้าน ราคาเท่าไหร่ รวมทั้งพอพูดถึงลิฟท์บ้าน ก็จะมีชื่อบริษัทลิฟท์ใหม่ ๆ ที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่มีสาขาอยู่ทั่วโลก ซึ่งสรุปได้ว่า การเลือกผู้ให้บริการลิฟท์บ้านในประเทศไทย (Home Lift Thailand) ไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับผู้ที่ไม่เคยติดตั้งลิฟท์บ้าน เราจึงรวบรวมปัจจัยเด่นที่ต้องพิจารณาเพื่อให้คุณสามารถเลือกบริษัทลิฟท์ที่เหมาะสม มา 5 ข้อ

1. เลือกบริษัทลิฟท์ที่ประสบการณ์ยาวนานและมีความน่าเชื่อถือ

เลือกบริษัทลิฟท์ที่มีประสบการณ์มาอย่างยาวนาน ที่มีความมั่นคงสูง เพราะไม่ใช่เรื่องแปลกที่บริษัทขายลิฟท์หลายเจ้ามาเปิดในประเทศไทยบางครั้งและก็ปิดตัวลงด้วยความรวดเร็ว และแน่นอนว่าคุณไม่ต้องการสั่งลิฟท์และจ่ายเงินมัดจำสูงเพื่อเริ่มการผลิตแล้วหลังจากนั้นบริษัทนั้นก็หายไป หรือแย่กว่านั้นคือ ติดตั้งลิฟท์ แล้วไม่มีใครมารับช่วงต่อเรื่องบริการหลังการขาย การบำรุงรักษา เราแนะนำว่าคุณควรเลือกบริษัทที่เปิดมาแล้ว 5 ปีเป็นขั้นต่ำที่เราแนะนำเมื่อเลือกบริษัทลิฟท์บ้าน

ที่ Cibes Lift เราเปิดบริการมากว่า 76 ปีแล้ว อย่างที่แชร์ให้คุณในข้างต้นว่า ประสบการณ์ที่ยาวนานเป็นสิ่งสำคัญหลักในการเลือกบริษัทลิฟท์ เราเจอการติดลิฟท์มากือบทุกรูปแบบและพร้อมที่จะเป็นสาขาในประเทศไทยไปอย่างยาวนานที่สุด

2. ค้นหาบริษัทติดตั้งลิฟท์ ที่มีรีวิว คำติชม

ชื่อเสียงของบริษัทติดตั้งลิฟท์ เป็นการลงทุนระยะยาว ดังนั้นการเลือกบริษัทที่มีชื่อเสียง มีความสำคัญอย่างมาก เช่นเดียวกับธุรกิจอื่น ๆ ชื่อเสียงของบริษัทลิฟท์บ้านก็จำเป็นที่คุณต้องค้นคว้าข้อมูลออนไลน์ ลองอ่านคำติชมจากผู้ซื้อหรือคนใกล้ตัวที่เคยติดตั้งลิฟท์บ้านเหล่านั้นก็ยิ่งช่วยทำให้คุณมั่นใจและสบายใจมากขึ้นในการตัดสินใจเลือกบริษัทลิฟท์

เมื่อคุณลองค้นหาเรื่องลิฟท์บ้านสิ่งที่คุณจะเจอคือ 2 บริษัทหลัก ๆ อยู่ 2 รูปแบบ นั่นคือ

  1. บริษัทลิฟท์ที่เป็นเจ้าของแบรนด์เปิดเอง
  2. บริษัทลิฟท์ที่เป็นตัวแทนจำหน่าย

ซึ่งความแตกต่าง 2 บริษัทลิฟท์นี้คือ ถ้าเป็นบริษัทลิฟท์ที่เจ้าของแบรนด์เปิดเอง คุณจะสามารถวางใจในด้านของคุณภาพของลิฟท์ การติดตั้งที่ได้มาตรฐาน การบำรุงรักษาจากที่ช่างผู้เชี่ยวชาญ

ส่วนตัวแทนจำหน่ายอาจมีทั้งที่ขายลิฟท์แค่แบรนด์เดียว กับตัวแทนจำหน่ายที่ขายหลากหลายแบรนด์ ซึ่งคุณมีโอกาสเจอตัวแทนจำหน่ายที่เปลี่ยนแบรนด์ลิฟท์เป็นประจำ และมักจะนำไปสู่การติดตั้งที่ค่อนข้างช้าเพราะไม่คุ้นเคยกับผลิตภัณฑ์ใหม่ รวมถึงคุณภาพการติดตั้งที่อาจต่ำลง ซึ่งจะลดอายุการใช้งานของลิฟท์บ้านของคุณ และเพิ่มความเสี่ยงในการซ่อมแซมที่มีต้นทุนสูง เนื่องจากพวกเขาไม่มีช่างเทคนิคที่มีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะให้บริการแบรนด์เฉพาะของคุณได้ ดังนั้นชื่อเสียงและประวัติความเป็นมาของบริษัทจะเป็นกุญแจสำคัญในการติดตั้งที่ดี

Cibes Lift คือ บริษัทลิฟท์ที่เป็นแบรนด์มาเปิดเอง ดังนั้นคุณจึงสามารถมั่นใจในคุณภาพของทั้งสินค้าและทีมงาน ที่สำคัญเราติดตั้งให้กับลูกค้ามามากกว่า 300 ตัว ทั้งที่บ้าน อาคาร ในประเทศไทยและรวมถึงกว่า 70,000 ตัวทั่วโลก คุณจึงสามารถมั่นใจในคุณภาพด้วยชื่อเสียงที่ดีระดับโลก

3. หาบริษัทลิฟท์ที่เป็นผู้ผลิต จำหน่าย ติดตั้ง และบำรุงรักษาเองทั้งหมด

บริษัทลิฟท์บ้านที่เป็นทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่าย ผู้ติดตั้ง และผู้บำรุงรักษาเอง นั้นหายากมาก ๆ น้อยบริษัทนักที่มีศักยภาพแบบนี้ นี่จึงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยในการเลือกบริษัทลิฟท์ที่มีคุณภาพจริง ๆ เพราะถ้าหากบริษัทลิฟท์ที่ใดจ้างคนภายนอกมาติดตั้ง คุณอาจจะต้องคิดให้ดีอีกทีก่อนตัดสินใจซื้อ เพราะอาจไม่สามารถควบคุมคุณภาพให้ได้มาตรฐาน หรือแม้แต่ช่างประสบการณ์ที่น้อยกว่ามาตรฐานที่ควรจะเป็น การติดตั้งเหล่านี้จึงมีแนวโน้มที่จะมีอายุการใช้งานที่สั้นลงได้

บริษัทติดตั้งลิฟท์ที่มีชื่อเสียงจะดำเนินการอย่างโปร่งใส โดยให้การสื่อสารที่ชัดเจนและเปิดกว้างตลอดกระบวนการ คุณควรเช็คให้มั่นใจว่าลิฟท์ของคุณได้รับการติดตั้งโดยผู้เชี่ยวชาญที่ผ่านการฝึกอบรมโดยตรงจากบริษัทโดยตรงหรือไม่ รวมไปถึงทีมช่างที่มาซ่อมบำรุงเป็นใคร

 cibes Lift ในประเทศไทย เป็นบริษัทที่บริษัทแม่จากประเทศสวีเดน เข้ามาทำธุรกิจด้วยตัวเอง ทำให้ Cibes Lift เป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่ตอบโจทย์ในหลายประเด็น

  • มีความน่าเชื่อถือสูง ด้วยคุณภาพที่ควบคุมได้ตั้งแต่การผลิต การจำหน่าย การติดตั้ง และการซ่อมบำรุง
  • มีอะไหล่ของลิฟท์อย่างครบครัน อีกทั้งด้านการตกแต่งลิฟท์ตามโจทย์ของเจ้าของบ้านหรือเจ้าของอาคาร ก็เป็นไปได้อย่างเรียบง่าย
  • มีทีมติดตั้งและทีมช่างซ่อมบำรุงได้รับการฝึกอบรมจากทางบริษัทโดยตรง เพื่อติดตั้งลิฟท์บ้าน ลิฟท์ผู้สูงอายุ ผู้พิการ และผู้ทุพพลภาพ ที่ครบถ้วนตามข้อกำหนดและได้คุณภาพตามมาตรฐานของบริษัท

ด้วย 3 เหตุผลข้างต้นจึงทำให้ Cibes Lift เป็นหนึ่งในบริษัทลิฟท์ตัวเลือกแรก ๆ ที่ตอบโจทย์ลูกค้าในประเทศไทย

4. เลือกบริษัทขายลิฟท์ที่มีใบรับรองความปลอดภัยที่ถูกต้อง

ศึกษาหาข้อมูลให้แน่ใจว่าบริษัทที่คุณกำลังพิจารณานั้นได้รับใบรับรอง หรือได้รับการรับรองจากหน่วยงานระดับโลกซึ่งบ่งชี้ว่าเป็นบริษัทที่ปฏิบัติตามมาตรฐานอุตสาหกรรม เพราะลิฟท์ทุกตัวควรอยู่ในขอบเขตของหนังสือรับรอง CE ซึ่งต้องตรงตามข้อกำหนดด้านความปลอดภัย มิฉะนั้นจะไม่สามารถนำลิฟท์เข้าสู่ตลาดได้ ใบรับรองเป็นข้อบังคับในการนำเสนอผลิตภัณฑ์ลิฟท์ที่ผลิตหรือขายสู่ตลาด

Cibes Lift Group ผู้ผลิตลิฟท์บ้านพรีเมี่ยมชั้นนำของโลกจากสวีเดน มีโรงงานผลิตและศูนย์วิจัยเทคโนโลยีทั้งในสวีเดนและจีนที่ได้รับการรับรองมาตรฐานคุณภาพ ISO 9001:2015 และผลิตภัณฑ์ลิฟท์บ้านของ Cibes Lift นั้นได้ผ่านการรับรองความปลอดภัย CE ของยุโรปที่เข้มงวดที่สุดในปัจจุบัน (The EU Standards EN : 81-41) ซึ่งท่านสามารถเข้าไปอ่านเรื่องความปลอดภัยในด้านใบรับรองคุณภาพได้ที่ ใบรับรองคุณภาพลิฟท์บ้าน 3 แบบ ที่ต้องรู้ก่อนซื้อ!

นอกจากนี้ปัจจัยอื่น ๆ ในการพิจารณาในการเลือกบริษัทลิฟท์ อาจจะต้องศึกษาเพิ่มได้ เช่น

  • เลือกบริษัที่มีความเสี่ยงในการปิดตัวลงต่ำ
  • เลือกบริษัทที่มีความเชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์
  • เลือกบริษัทที่มีช่างเทคนิคภายในองค์กร
  • เลือกบริษัทที่มีบริการหลังการขายที่ดีกว่าในระยะยาว เช่น 5 ปี 10 ปี หรือ 20 ปี

หลักการพื้นฐานคือควรเลือกบริษัทที่มาเปิดโดยตรงในประเทศไทย เพื่อจะได้มั่นใจว่ามีทีมบริการหลังการขายที่อยู่กับคุณไปตลอดการใช้งาน นี่คือข้อมูลที่ควรคำนึงถึงเมื่อเลือกบริษัทลิฟท์ให้กับบ้านและโครงการของคุณ เนื่องจากลิฟท์บ้านมีอายุการใช้งานที่ยาวนานและมีราคาที่สูงจึงต้องเลือกอย่างรอบคอบ โดยทางเรารับประกันตัวสกรูนานถึง 15 ปี ลูกค้าทุกคนจึงอุ่นใจในระยะเวลาหลังจากที่ซื้อลิฟท์ไปแล้ว

หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม สามารถติดต่อได้ที่  กับลิฟท์บ้านแบรนด์ Cibes Lift ได้ที่ บริษัท ซีเบส ลิฟท์ (ประเทศไทย) จำกัด

Showroom ลิฟท์ที่กรุงเทพฯ

2113, 1 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง จังหวัดกรุงเทพมหานคร 10310

Showroom ลิฟท์ที่เชียงใหม่

123/6 หมู่ 15 ถนนชลประทาน ตำบลสุเทพ อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ 50200

Showroom ลิฟท์ที่ภูเก็ต

20/82 (Park plaza D) หมู่ 2 ถนนเทพกระษัตรี ตำบลเกาะแก้ว อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต 83000

คุณสามารถเข้าไปอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับโชว์รูมของ Cibes ได้ ที่ บริษัทลิฟท์ Cibes จากสวีเดน ขยาย 3 สาขาเพื่อให้บริการลูกค้าทั่วไทย

โทร : 02-114-6499

Line : @cibeslift

Website : https://www.cibeslift.co.th/

Facebook : https://www.facebook.com/CibesLiftThailand/

ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 10/04/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,350.0040,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,614.0039,628.2440,950.00
ทองรูปพรรณ 90%2,352.6035,665.42n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,091.2031,702.59n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,176.0017,828.16n/a
ทองรูปพรรณ 40%915.0013,871.40n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,709.0041,068.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 10/04/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9539.9539.9540.9539.9539.9539.9539.9539.9539.9539.95
แก๊สโซฮอล์ 9138.4838.4839.4838.4838.4838.4838.4838.4838.4838.48
แก๊สโซฮอล์ E2037.8437.8438.8437.8437.8437.8437.8437.8437.84
แก๊สโซฮอล์ E8537.5937.5937.59
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม47.6449.4449.4449.4447.64
เบนซิน 9547.8449.0148.3447.9947.84
ดีเซล B730.4430.4431.3430.4430.4430.4430.4430.4430.4430.44
ดีเซล30.4430.4430.4430.4430.4430.4430.4430.4430.44
ดีเซล B2030.4430.4430.4430.44
ดีเซลพรีเมี่ยม42.4444.6444.8444.6444.6442.44
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า