พระราม4 บูมไม่หยุด บิ๊กอสังหาฯช้อปที่ดิน-ตึกเก่า พลิกสู่โกลบอล เดสติเนชั่น
พระราม4 บูมไม่หยุด บิ๊กอสังหาฯช้อปที่ดิน-ตึกเก่า พลิกสู่โกลบอล เดสติเนชั่น
ทำเลพระราม4 บูมไม่หยุด บิ๊กโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส วัน แบงค็อก -ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค ทยอยเปิดให้บริการ พลิกสู่โกลบอล เดสติเนชั่น บิ๊กสังหา ช้อปตึกเก่า LH ทุบโรงงานทอผ้าขึ้น โรงแรม SC ช้อป ตึกศรีเฟื่องฟุ้ง ตร.ว.ละ3ล้าน ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ ไม่ขาย เดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส เชื่อม2CBD
ที่ดินใจกลางเมืองมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่องและแม้เป็นทำเลยอดมงกฎเพชรราคาแพงระยับ แต่มองว่ามีความคุ้มค่า ไม่ว่าจะฟรีโอลด์และลิสโฮลด์ ที่ดีเวลลอปเปอร์ยักษ์ใหญ่ชิงความได้เปรียบ พัฒนาโครงการหรู เจาะกลุ่มลูกค้าพรีเมียมทั้งคนไทยและต่างชาติ
ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้ ต้องยกให้ “ถนนพระราม4” จากย่านสงบถูกพลิกโฉมเป็นอภิโปรเจ็กต์มิกซ์ยูส ดึง “ทราฟฟิก” เข้าพื้นที่ไม่ขาดสาย ตั้งแต่ หัวมุมของถนนพระราม4ตัดกับถนนพญาไท “สามย่านมิตร ทาวน์” ทอดยาวไปจน ถึง ถนนวิทยุตัดกับถนนพระราม4
โครงการ “วัน แบงค็อก” อาณาจักรบิ๊กโปรเจ็กต์ ของกลุ่มเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ โดยมีนายปณต สิริวัฒนภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ทายาทเจ้าสัวเจริญ สิริวัฒนภักดี เป็นหัวเรือใหญ่ พร้อมเปิดบริการเฟสแรกวันที่ 25 ตุลาคม2567 ส่งผลให้ที่ดินรัศมีโดยรอบปรับตัวสูงจากเดิม 1.5 ล้านบาทต่อตารางวา เป็น 2.5 ล้านบาทต่อตารางวาและมีแนวโน้มขยับสูงได้อีก
ข้ามฝั่งมาที่ “ภัตตาคาร จันทร์เพ็ญ” ที่ดินฟรีโฮลด์ ตั้งอยู่ติดถนนพระราม4 ตรงข้าม “วัน แบงค็อก” เนื้อที่กว่า 5 ไร่เศษ ห่างจาก MRT ลุมพินี 300 เมตร ที่นี่ มีกระแสต่อเนื่องว่ามีนายทุนหลายรายหมายปอง
“ฐานเศรษฐกิจ” สอบถามไปยังผู้บริหาร ที่ดูแลภัตตาคารแห่งนี้ และมีอายุเก่าแก่ อยู่คู่ถนนพระราม4 มากว่า 80 ปี แห่งนี้ซึ่งได้คำตอบว่า เจ้าของเป็นนักธุรกิจโรงงานนํ้าส้มสายชูยี่ห้อดัง ชาวไต้หวัน ปัจจุบันทายาทรุ่นหลานสืบทอดกิจการ ยืนยันว่าไม่ขาย เพราะมีประวัติศาสตร์อันยาวนานที่น่าจดจำและเป็นภัตตาคารแรกและแห่งเดียวที่มี “ตราครุฑ” ประทับ อยู่หน้าร้าน ขณะราคาที่ดินอยู่ที่ตารางวาละ 2.5ล้านบาท
ถัดจากที่ดิน “ภัตตาคารจันทร์เพ็ญ” บริเวณปากซอยงามดูพลี ติดถนนพระราม4 ตรงข้าม วัน แบงค็อก จะเห็น โครงการโรงแรมสูงแห่งใหม่ 40 ชั้น อยู่ระหว่างก่อสร้าง “เดอะแกรนด์ เช็นเตอร์พอยต์ ลุมพินี” ของ นายอนันต์ อัศวโภคิน เจ้าของ บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) หรือ LH คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ โดยที่ดินแปลงนี้ เดิมทีเป็นที่ตั้งของโรงงานท่อผ้าเก่า หรือ โรงงาน “ประณีตอุตสาหกรรม” ที่ ยกเลิกกิจการไปนาน เมื่อนำมาพัฒนาเป็นโรงแรมหรูจะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับพื้นที่อย่างมาก
นอกจากนี้ยังมี โครงการคอนโดมิเนียมหรู “เดอะ คราวน์ เรสซิเดนท์เซส” มูลค่า2,200 ล้านบาท สูง 32 ชั้น ทั้งหมด 183 ยูนิต ราคา 6.9-25 ล้านบาทที่ได้เปิดตัวโครงการล่าสุดเจาะกลุ่มกำลังซื้อสูงทั้งไทยและต่างชาติที่ชื่นชอบโครงการแบบฟรีโฮลด์ บนพื้นที่ไร่เศษ ของ นายสุนทร สถาพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท สถาพร เอสเตท จำกัด และนายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ตั้งอยู่ระหว่าง MRTคลองเตย และ MRTลุมพินี 300 และ 450 เมตร รวมถึงจุดขึ้น-ลง ทางด่วนพิเศษเฉลิมมหานคร รายล้อมไปด้วยสถานที่สำคัญทั้งสถานศึกษา โรงพยาบาล และแหล่งรวมไลฟ์สไตล์ชั้นนำมากมาย
ที่นายสุนทร ระบุว่า เป็นทำเลศักยภาพ ท่ามกลาง New Global Landmark Destination โดดเด่นด้วยทำเลที่เชื่อมต่อทุกความสะดวกสบายใจกลาง Hub of Bangkok Connections เชื่อมต่อ 2 CBDs ทั้งสุขุมวิท และสีลม-สาทร ซึ่งเป็นทำเลระดับ Ultra CBD และเป็นนิยามใหม่ของการใช้ชีวิตใจกลางเมือง แต่แวดล้อมไปด้วยพื้นที่สีเขียวของธรรมชาติจากสวนขนาดใหญ่ของกรุงเทพฯ ทั้งสวนลุมพินี และสวนเบญจกิติ ทั้งยังโอบล้อมด้วยวิวโค้งนํ้าบางกระเจ้า เชื่อมต่อบรรยากาศรอบโครงการให้เติมเต็มทุกมิติของการใช้ชีวิต สะดวกสบายในทุกการเดินทาง ที่สำคัญใกล้กับโครงการ “วัน แบงค็อก”
นอกจากนี้ยังมี อาคารสำนักงาน อาคารลุมพินี ทาวเวอร์ พื้นที่สำนักงานให้เช่าทำเลพระราม 4 ตั้งอยู่บนถนนพระราม 4-สีลมใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีศาลาแดง ของค่ายแอลพีเอ็น ที่เปิดให้บริการ
ขณะโครงการใหญ่ ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการมิกซ์ยูสครอบคลุมพื้นที่กว่า 23 ไร่ บนที่ดินสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ บนทำเลหัวมุม ถนนสีลมตัดกับ ถนนพระราม4 ส่งผลให้ถนนเส้นนี้ร้อนแรงเปิดให้บริการในส่วนโรงแรมไปแล้ว และมีแผนเปิดในส่วนที่อยู่อาศัยปีหน้า
ที่น่าจับตาและเป็นกระแสมาต่อเนื่อง คือ อาคาร ศรีเฟื่องฟุ้ง ถนนพระราม 4 แขวงสีลม เขตบางรัก ใกล้ MRT สถานีลุมพินี อยู่ฝั่งตรงข้ามสวนลุมพินี ใกล้โรงแรมโซฟิเทล โซ แบงคอก สูง 10 ชั้น พื้นที่ให้เช่าทั้งอาคาร 6,000 ตารางเมตร ซึ่งเป็นอาคารเก่าแก่ตั้งอยู่บนถนนพระราม4 มากว่า 50 ปี ล่าสุดอยู่ระหว่างรื้อถอนเพื่อพัฒนาโครงการใหม่
มีรายงานข่าวจากบริษัท ไนท์แฟรงค์ ชาร์เตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด ระบุว่า เจ้าของใหม่ เป็น บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ SC ตระกูลชินวัตร ซื้อที่ดินในราคาตารางวาละ 3 ล้านบาท และมีแผนติดเครื่องยนต์ธุรกิจต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็นโรงแรม อาคารสำนักงาน ฯลฯนอกจากนี้ ที่ทุบทิ้งและสร้างใหม่ ย่านสีลม คือโรงแรมนารายณ์ ดำเนินการโดย บริษัท นารายณ์โฮเต็ล จำกัด มีเป้าหมายพัฒนาเป็นมิกซ์ยูสโรงแรม 6 ดาว มูลค่าไม่ตํ่ากว่าหมื่นล้านบาท
รวมถึงอาคาร “บุญมิตร สีลม” ที่ปัจจุบันเป็นของกลุ่มแหลมทองสหการ ตระกูลคณาธนะวนิชย์ ดำเนินธุรกิจด้านการพืชผลทางการเกษตร ปศุสัตว์ และธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ประเภท อาคารสำนักงาน “แบรนด์วานิช”แลนด์ลอร์ดใหญ่สะสมที่ดินนับหมื่นล้านบาท ในเขตกรุงเทพฯ ที่ซื้อที่ดิน4ไร่ ในราคา ตารางวาละ3ล้านบาท รวมมูลค่ากว่า 4,200 ล้านบาท ทุบทิ้งพัฒนาเป็นอาคารสำนักงานเกรดเอ ที่ยังคงใช้ชื่อเดิม
ที่ไม่พูดถึงไม่ได้ ที่ดินแปลงประวัติศาสตร์ทำเลทองคำฝังเพชร “MBK Life” อาคารพร้อมที่ดิน บนถนนสารสิน ย่านปทุมวัน ตารางวาละ 3.9 ล้านบาท ติดสวนลุมพินี ที่บมจ.แสนสิริ ทำนิวไฮที่ดินแพงสุดในประเทศไทย ปิดดีล เดือนเมษายน 2563 สวนทางสถานการณ์โควิด และมีแผนสร้างคอนโดมิเนียมหรู ตารางเมตรละกว่า1ล้านบาท ในอนาคต ซึ่ง ล้มแชมป์เก่า เอสซีแอสเสท และสโคปที่ประมูลบ้านและที่ดินในซอยหลังสวนของคนในตระกูลพิชัยรณรงค์สงคราม ปี 2561 สูงถึง 3.1 ล้านต่อตารางวา และพัฒนาพร้อมเปิดขายเป็นคอนโดมิเนียมหรู “สโคปหลังสวน” ในปัจจุบัน
ยังมีที่ดินอีกมาก ในย่านใจกลางเมือง แม้จะแน่นไปด้วยอาคารสูงใหญ่ แต่ใครจมูกไว สายป่านยาว วิสัยทัศน์ดี ย่อมได้เปรียบ !!!
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ใบระวางที่ดินสำคัญแค่ไหนต่อการขายที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง
ใบระวางที่ดิน ถือเป็นเอกสารชิ้นสำคัญอย่างหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ในการขายที่ดิน แม้ว่าในปัจจุบันจะมีบริษัทนายหน้าขายที่ดินมากมายที่ให้คุณได้เลือกใช้บริการในการช่วยหาลูกค้าและขายที่ดิน แต่คุณก็ควรจะมีความรู้เบื้องต้นสำหรับการเตรียมตัวจะขายด้วย ลองมาทำความรู้จักกับใบระวางที่ดินกัน
ใบระวางที่ดินคืออะไร
ใบระวางที่ดิน ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า “คาดาสทรัล แม็ป” (Cadastral Map) หรือ “แม็ปชีท” (Map Sheet) หรือบางคนก็เรียกว่า “แลนด์สลิป” (Land Slip) คือ เอกสารที่ระบุตำแหน่งที่ตั้งของที่ดิน มีเลขที่ดินกำกับเพื่อแสดงตำแหน่งที่ดินที่บรรจุอยู่ในระวางเดียวกัน
อีกทั้งยังเป็นตัวบอกลักษณะรูปร่างของที่ดิน สามารถบอกได้ว่าที่ดินนั้นเป็นที่ดินแปลงเล็กหรือแปลงใหญ่ ติดถนนหรือไม่ และเป็นที่ดินตาบอด (ไม่มีทางสู่เส้นทางสาธารณะ) หรือไม่
โดยทั่วไปแล้วใบระวางที่ดินจะใช้เพื่อแสดงตำแหน่งที่ตั้งของที่ดินและเพื่อควบคุมแผนที่รูปแปลงที่ดินตามโฉนดที่ดิน โดยเอกสารฉบับนี้สามารถนำไปใช้ในการประเมินราคาที่ดินได้อีกด้วย
การขอใบระวางที่ดิน
ในการไปยื่นคำร้องเพื่อขอใบระวางที่ดิน คุณจะต้องเตรียมเอกสารเพื่อแสดงตัวตนและยืนยันความเป็นเจ้าของที่ดินดังต่อไปนี้
1. โฉนดตัวจริง (ควรจะเผื่อสำเนาไปด้วย 1 ชุด)
2. บัตรประชาชน (ตัวจริงและสำเนา)
3. ทะเบียนบ้าน (ตัวจริงและสำเนา)
ขอใบระวางที่ดินได้ที่ไหน
กรุงเทพมหานคร
สามารถขอใบระวางที่ดินได้ที่สำนักงานที่ดิน (สังกัดกรมที่ดิน) ในพื้นที่ที่รับผิดชอบ (พื้นที่ที่ดินตั้งอยู่) โดยจะมีเวลาทำการที่ระหว่าง 8.30-17.30 น.*
ต่างจังหวัด
สามารถขอได้ที่สำนักงานที่ดินในเขตที่ที่ดินนั้นตั้งอยู่ โดยจะมีเวลาทำการที่ระหว่าง 8.30-17.30 น.*
*หมายเหตุ เวลาทำการของสำนักงานที่ดินในแต่ละพื้นที่อาจมีความแตกต่างกันไปบ้าง เพื่อความมั่นใจคุณควรโทรไปสอบถามเวลาดำเนินการก่อนล่วงหน้า
ข้อดีของการทำรังวัดที่ดิน
การขอทำรังวัดที่ดินและการมีใบระวางที่ดินนั้นจะช่วยเป็นหลักฐานยืนยันขนาดที่ดินที่ถูกต้องให้กับคุณ โดยเฉพาะในกรณีที่ไม่มีสิ่งปลูกสร้างบนที่ดินนั้น ๆ หรือเป็นเพียงแค่ที่ว่างโล่งติดกับที่ดินแปลงอื่น ๆ เพราะหากไม่มีการปักหมุดที่ดินแน่นอน และไม่ได้มีการทำเอกสารหลักฐานยืนยันไว้ โอกาสที่คุณจะโดนรุกล้ำที่ดินนั้นมีสูง
ข้อควรรู้และเอกสารอื่น ๆ ที่จำเป็นเกี่ยวกับที่ดิน
1. หน้าสำรวจและเลขที่ดิน
หน้าสำรวจนั้นจะเป็นเครื่องหมายแสดงแปลงที่ดินที่กรมที่ดินได้ทำการสำรวจก่อนและหลังการออกโฉนดแต่ละใบให้กับเจ้าของที่ดิน และเลขที่ดินจะเป็นเลขบอกตำแหน่งของที่ดินผืนต่าง ๆ ที่อยู่ในระวางที่ดินเดียวกัน
2. แอปพลิเคชัน Landsmaps
ในปัจจุบันคุณสามารถค้นหาตำแหน่งรูปแปลงที่ดินทางอินเทอร์เน็ตผ่านเว็บไซต์กรมที่ดิน และยังสามารถค้นหาผ่านทางแอปพลิเคชันทางโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ต (Tablet) ได้ด้วย ดูตัวอย่างและอ่านเพิ่มเติมเกี่ยวกับ
3. เอกสารที่ดินชำรุด
ในกรณีที่ต้องการจะไปขอใบระวางที่ดินและโฉนดที่ดินเนื่องจากเอกสารเดิมที่เกิดชำรุดหรือสูญหาย คุณจะต้องทำเรื่องขอโฉนดที่ดินใหม่ก่อน โดยจะต้องไปแจ้งลงบันทึกประจำวันและนำเอกสารตัวจริงพร้อมสำเนาของทะเบียนบ้าน + บัตรประชาชน + พยานสองคน (พร้อมบัตรประชาชนของพยาน) ไปทำเรื่องที่สำนักงานที่ดิน
4. เอกสารที่ดินประเภทต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการซื้อขายที่ดิน
เอกสารที่ดินนั้นมีหลายประเภท โดยขึ้นอยู่กับประเภทของที่ดินหรืออสังหาริมทรัพย์ที่ซื้อขาย และประเภทของเอกสารที่ดินนั้นก็แสดงข้อมูลที่แตกต่างกันไปด้วย เช่น หนังสือกรรมสิทธิ์ห้องชุด (อ.ช. 2) สำหรับการซื้อขายคอนโดมิเนียม และหนังสือแสดงสิทธิ์ในที่ดิน (น.ส. 3 ก.)
ประเภทโฉนดที่ดิน-เอกสารสิทธิ์ | ซื้อ-ขาย-โอน ได้หรือไม่ |
น.ส.4 | ได้ |
น.ส.3 ก. | ได้ |
อ.ช.2 | ได้ |
น.ส.3 | ไม่ได้ |
ส.ป.ก. 4-01 | ไม่ได้ |
ถือเป็นเอกสารที่ออกให้โดยกรมที่ดินเพื่อแสดงสิทธิการเป็นเจ้าของที่ดินโดยมีภาพถ่ายทางอากาศของที่ดินที่ไม่มีหมุดปักที่ดิน ทั้งนี้ ข้อมูลที่ดินที่ได้จากวิธีนี้อาจคลาดเคลื่อนได้
สำหรับการซื้อขายที่ดินทุกครั้ง ควรพึงระลึกไว้เสมอว่าจะต้องมีเอกสารต่าง ๆ ให้ครบ ทั้งโฉนดที่ดิน ใบระวางที่ดิน และเอกสารแสดงกรรมสิทธิ์ในที่ดิน ในกรณีที่ขาดเอกสารฉบับใดฉบับหนึ่งหรือเอกสารเกิดความชำรุดเสียหาย ก็ควรรีบแจ้งเพื่อขอเอกสารทดแทนฉบับเดิมที่สูญหายหรือเสียหายไป
ส่วนในกรณีที่ซื้อที่ดินเปล่ามาและยังไม่คิดจะสร้างสิ่งปลูกสร้างใด ๆ หรือนำที่ดินมาใช้ประโยชน์ ควรไปเช็กดูให้แน่ใจว่าที่ดินที่ซื้อมานั้นมีหมุดปักที่ดินและได้ทำรังวัดที่ดินพร้อมเอกสารใบระวางที่ดินที่ถูกต้องแล้วหรือยัง ทั้งนี้ก็เพื่อความมั่นใจว่าเพื่อนบ้านแปลงข้าง ๆ จะไม่มาตัดทอนที่ดินที่คุณซื้อมา
ขอบคุณข้อมูลจาก ddproperty.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10ต.ค. “อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 33.54 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ท่ามกลางการฟื้นตัวขึ้นของ Sentiment ของค่าเงินดอลลาร์ฯ แนวโน้มอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ในช่วงก่อนที่ตลาดจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐ เดือนก.ย.ที่เป็นไฮไลท์สำคัญในวันนี้ ควรระวังความผันผวน
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 10ต.ค. 2567ที่ระดับ 33.54 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.45 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ในช่วงก่อนที่ตลาดจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
โดยเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อสกุลเงินต่างประเทศโดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้ง ทองคำและน้ำมันดิบ หลังราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบ ได้ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์
และข่าวการเจรจาหยุดยิงระหว่างกลุ่ม Hezbollah กับทางการอิสราเอล (ซึ่งเรามองว่า ทางการอิสราเอลอาจจะยังไม่ยอมรับข้อเสนอในการหยุดยิงได้ ทำให้ยังคงมีความเสี่ยงที่สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอาจยืดเยื้อ
แต่อาจไม่ได้ทวีความรุนแรงมากขึ้น) นอกจากนี้ เรายังคงเห็นแรงขายสินทรัพย์ไทยจากบรรดานักลงทุนต่างชาติ ที่อาจกดดันเงินบาทได้เพิ่มเติม อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก ซึ่งต้องจับตาโซนแนวต้าน 33.60 บาทต่อดอลลาร์
โดยผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงในการทยอยขายเงินดอลลาร์เพิ่มเติม โดยเฉพาะฝั่งผู้ส่งออก อีกทั้ง ในช่วงหลังเงินบาทก็เริ่มเคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินหยวนจีน (CNY) มากขึ้น ทำให้หากเงินหยวนจีนทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ก็อาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงระหว่างวันได้เช่นกัน
อนึ่งเรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในช่วงราว 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย เนื่องจากสถิติในรอบ 1 ปี ที่ผ่านมา สะท้อนว่า เงินบาทอาจแกว่งตัวได้ถึง +/-0.5% ในช่วง 30 นาที หลังรับรู้รายงานข้อมูลดังกล่าว
เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.35-33.70 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาททยอยอ่อนค่าลง (กรอบการเคลื่อนไหว 33.42-33.55 บาทต่อดอลลาร์) ตามการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เข้าใกล้ระดับ 4.08% หลังผู้เล่นในตลาดต่างเพิ่มโอกาสที่ เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพฤศจิกายน เป็นเกือบราว 20% จาก CME FedWatch Tool ล่าสุด
นอกจากนี้ การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่า เฟดอาจไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยเหมือนที่เคยคาดหวังไว้ โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ไม่ถึง -100bps ในปีหน้า
ซึ่งการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงข่าวการเจรจาหยุดยิงระหว่างกลุ่ม Hezbollah กับทางการอิสราเอลยังได้กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องสุ่โซนแนวรับ 2,600-2,610 ดอลลาร์ต่อออนซ์ เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนยังคงทยอยเข้าซื้อทองคำ
กดดันให้เงินบาททยอยอ่อนค่าลงเหนือโซน 33.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้อีกครั้ง และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อสกุลเงินต่างประเทศ
โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น หลังการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) อ่อนค่าลงสู่ระดับ 149 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งเมื่อเทียบกับเงินบาทนั้น เงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) ก็อ่อนค่าลงต่ำกว่าระดับ 22.50 บาทต่อ 100 เยน
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความหวังว่ารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนจะมีแนวโน้มเติบโตที่ดี สอดคล้องกับภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ส่งสัญญาณชะลอตัวลงหนัก อย่างที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.71%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.66% หลังแรงขายทำกำไรหุ้นธีม China Recovery เริ่มชะลอลงเนื่องจากผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามการแถลงของทางการจีนในช่วงวันเสาร์นี้ ว่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมหรือไม่ นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ทั้ง ASML +2.1%, SAP +1.4%
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นเข้าใกล้ระดับ 4.08% หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดทั้งในปีนี้ และปีหน้า ทั้งนี้ เราประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้นต่อได้บ้าง
หากผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟดเพิ่มเติม ซึ่งผู้เล่นในตลาดก็ควรใช้จังหวะที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้นในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว (รวมถึงสินทรัพย์ที่อ้างอิงหรือมีการลงทุนในบอนด์ระยะยาว) อีกครั้ง (เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เพื่อสร้างความได้เปรียบและ Risk-Reward ที่น่าสนใจ)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการปรับลดความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนเพิ่มเติมตามการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก
โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุดอ่อนค่าลงทะลุโซน 149 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 102.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.6-102.9 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รวมถึงรายงานข่าวการเจรจาหยุดยิงระหว่างกลุ่ม Hezbollah กับทางการอิสราเอลได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลงต่อเนื่องสู่โซน 2,625 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ จะมีแนวโน้มชะลอลงต่อเนื่องสู่ระดับ 2.3% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจทรงตัวแถว 3.2%
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) พร้อมทั้งรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของเฟด
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ล่าสุด เพื่อประเมินโอกาสที่ ECB จะสามารถเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมอีกราว –50bps (หรือราว -25bps) ในอีกสองการประชุมที่เหลือในปีนี้
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะยังคงรอติดตามสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะการตอบโต้อิหร่านของทางการอิสราเอล ว่าจะเป็นไปในลักษณะใดและจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันจากตะวันออกกลางหรือไม่
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.51-33.53 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.43 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลง ท่ามกลางการฟื้นตัวขึ้นของ Sentiment ของค่าเงินดอลลาร์ฯ ขณะที่ ตลาดปรับลดการคาดการณ์ว่า ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.50% ในการประชุมเดือนหน้าวันที่ 6-7 พ.ย. (โดยน้ำหนักความเป็นไปได้ส่วนใหญ่
ณ ตอนนี้ โน้มเอียงไปทางที่ประเมินว่า เฟดน่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.25%) นอกจากนี้ บันทึกการประชุมเฟดเมื่อวันที่ 17-18 ก.ย. ซึ่งเปิดเผยเมื่อคืนที่ผ่านมา ระบุว่า แม้กรรมการเฟดส่วนใหญ่สนับสนุนการปรับลดดอกเบี้ยลง 0.50% แต่ก็มีความเห็นที่สอดคล้องกันว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งนั้น จะไม่เป็นเงื่อนไขที่ทำให้เฟดต้องปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 0.50% ในการประชุมรอบถัดๆ ไป
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.40-33.60 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์ราคาทองคำในตลาดโลกและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนก.ย. และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วิว กุลวุฒิ ดับซ่า เวง ฮองหยาง ทะลุรอบสองแบดมินตันฟินแลนด์
“วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มืออันดับ 7 ของโลก เจ้าของเหรียญเงินโอลิมปิกเกมส์ 2024 ประเดิมสนามในศึกอาร์กติก โอเพ่น 2024 ได้อย่างสวยหรู ดับซ่าแชมป์ไชน่า โอเพ่น อย่าง เวง ฮองหยาง มือ 15 ของโลกจากจีน ไปได้ 2 เกมรวด ผ่านเข้ารอบสองไปได้สำเร็จ
การแข่งขันแบดมินตันรายการ อาร์กติก โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 420,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 13,860,000 บาท ที่เมืองวันตา ประเทศฟินแลนด์ เมื่อวันพุธที่ 9 ต.ค.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก
ประเภทชายเดี่ยว รอบแรก “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือวางอันดับ 8 ของรายการ มืออันดับ 7 ของโลก พบกับ เวง ฮองหยาง มืออันดับ 15 ของโลกจากจีน เจ้าของแชมป์ไชน่า โอเพ่น เวิลด์ทัวร์ 1000 คนล่าสุด
เกมนี้ วิว กุลวุฒิ โชว์ฟอร์มได้อย่างตามมาตรฐานของตัวเองได้เหนียวแน่น ตบเอาชนะไปได้ 2 เกมรวด 21-11 และ 21-14 วิว กุลวุฒิ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ อึ้ง กาลอง อังกุส มืออันดับ 20 ของโลกจากฮ่องกง
ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “มุก” อรณิชา จงสถาพรพันธุ์ กับ “แอนฟิลด์” สุกฤตา สุวะไชย คู่มืออันดับ 74 ของโลก เอาชนะ ซาร่า แอสฟา กับ โอน่า ทาโปล่า คู่มืออันดับ 444 ของโลกจากฟินแลนด์ ไปแบบขาดลอย 2-0 เกม 21-3 , 21-1 “มุก” อรณิชา กับ “แอนฟิลด์” สุกฤตา ผ่านเข้าสู่รอบสองไปพบกับ “อันนา” นันทน์กาญจน์ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด คู่มือวางอันดับ 5 ของรายการ มืออันดับ 19 ของโลก
ประเภทชายคู่ รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มืออันดับ 550 ของโลก ที่กลับมาจับคู่กันอีกครั้งในรอบ 3 ปี เอาชนะ คริสโต กับ โทม่า จูเนียร์ โปปอฟ คู่มืออันดับ 33 ของโลกจากฝรั่งเศส 2-0 เกม 21-13 และ 22-20 “บาส” เดชาพล กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ ทาคูโระ โฮกิ กับ ยูโกะ โคบายาชิ คู่มือวางอันดับ 6 ของรายการ คู่มืออันดับ 9 ของโลกจากญี่ปุ่น
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
6 โรคที่ผู้หญิงมักเป็นบ่อย ภัยเงียบที่ต้องหมั่นตรวจเช็กก่อนสาย
ร่างกายของผู้หญิงแตกต่างจากผู้ชาย และระบบต่าง ๆ อาจมีความซับซ้อนมากกว่าอีกด้วย ส่งผลให้เกิดปัญหาสุขภาพที่แตกต่างกันไปในผู้หญิงแต่ละคน เพราะโรคบางชนิดอาจพบได้บ่อย และโรคบางชนิดอาจไม่มีอาการชัดเจนที่สังเกตได้ง่าย การเข้ารับตรวจสุขภาพของเพศหญิงประจำปีจึงมีความสำคัญอย่างมาก แต่ถ้าสาว ๆ ยังไม่มีเวลา แนะนำลองสังเกต 6 ปัญหาสุขภาพที่ผู้หญิงมักพบได้บ่อย เพื่อหาเวลามาตรวจกับแพทย์และรักษาได้ทันเวลาก่อนลุกลามหนัก ตามนี้
6 ปัญหาสุขภาพที่ผู้หญิงมักพบได้บ่อย
1.PCOS
โรคถุงน้ำในรังไข่หลายใบ หรือ Polycystic Ovary Syndrome: PCOS เป็นโรคทางฮอร์โมนที่มักพบในผู้หญิงวัยรุ่นหรือผู้ที่ยังไม่ถึงวัยหมดประจำเดือน สาเหตุที่แน่ชัดของโรคยังไม่ชัดเจน แต่มีเบาะแสบางอย่างที่นำไปสู่การตกไข่ไม่ปกติ คือ การฮอร์โมนเพศชายมากเกินไป และภาวะดื้อต่ออินซูลิน ส่งผลให้รังไข่ขยายใหญ่ขึ้นและมีซีสต์ผิดปกติขึ้นมาหลายจุด โดยปกติ รังไข่จะมีซีสต์เล็ก ๆ ไม่กี่ซีสต์ แต่ผู้หญิงที่เป็นโรค PCOS จะมีซีสต์ผิดปกติจำนวนมากกระจายตัวอยู่ อาการที่ได้มาก คือ ประจำเดือนมาไม่ปกติ ประจำเดือนมาไม่บ่อย หรือไม่มีประจำเดือน และอาจประจำเดือนมายาวนานเกินไป น้ำหนักขึ้น และสัญญาณของฮอร์โมนเพศชายมากเกิน เช่น มีสิวเห่อ ผิวมัน ผมขึ้นและร่วงมากเกินไป หรือศีรษะล้าน หากไม่ได้รับการรักษา PCOS อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพอื่น ๆ ตามมาในอนาคตค่ะ
2.กระดูกพรุน
โรคกระดูกพรุน คือ ภาวะที่กระดูกสูญเสียมวลเร็วกว่าที่จะสร้างใหม่ได้ ส่งผลให้กระดูกมีความแข็งแรงน้อยลง โรคนี้มักพบในผู้หญิง โดยเฉพาะผู้ที่อยู่ในวัยหมดประจำเดือน ปัจจัยเสี่ยงอื่น ๆ ของโรคกระดูกพรุน คือ อายุที่เพิ่มขึ้น พันธุกรรม ระดับแคลเซียมในร่างกายต่ำ การใช้ยาสเตียรอยด์เป็นเวลานาน การสูบบุหรี่ การดื่มแอลกอฮอล์ และโรคเรื้อรังบางชนิด เพื่อลดความเสี่ยงของโรคกระดูกพรุน ผู้หญิงที่มีอายุมากกว่า 65 ปีขึ้นไป ควรเข้ารับการตรวจความหนาแน่นของกระดูกเป็นประจำนะคะ
3.ออโตอิมมูน
โรคภูมิต้านคุ้มกันทำลายตนเอง หรือที่เรียกอีกอย่างว่าออโตอิมมูน เป็นกลุ่มอาการที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายทำงานผิดปกติ ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันสร้างแอนติบอดีมาโจมตีเซลล์และเนื้อเยื่อของตัวเอง พบว่าผู้หญิงมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้มากกว่าผู้ชายหลายเท่าเลยค่ะ ส่วนสาเหตุก็ยังคงไม่ชัดเจน แต่อาจมาจากพันธุกรรม ปัจจัยด้านฮอร์โมน และอิทธิพลของสิ่งแวดล้อมก็มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาของโรคได้ด้วย
4.ซึมเศร้า
ภาวะซึมเศร้า เป็นปัญหาสุขภาพจิตที่ส่งผลกระทบต่อผู้คนทุกเพศทุกวัย แต่มักเกิดขึ้นกับผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยมักเกิดขึ้นบ่อยถึง 2 เท่า สาเหตุของภาวะซึมเศร้าเกิดจากความผิดปกติ หรือความไม่สมดุลของสารสื่อประสาทในสมอง เช่น นอร์เอพิเนฟริน โดปามีน และเซโรโทนิน รวมถึงปัจจัยอื่น ๆ จากการเลี้ยงดู ความเครียดสะสม เกิดเหตุการณ์สำคัญด้านไม่ดีในชีวิต และประวัติครอบครัวที่มีภาวะซึมเศร้ามาก่อนแล้ว ผู้ที่ประสบกับภาวะซึมเศร้าควรเข้ารับการรักษาจากจิตแพทย์ ซึ่งอาจต้องใช้ยา การบำบัด หรือทั้ง 2 การรักษาร่วมกัน
5.ติดเชื้อระบบทางเดินปัสสาวะ
การติดเชื้อทางเดินปัสสาวะ คือ การติดเชื้อตั้งแต่กระเพาะปัสสาวะไปจนถึงไต สาเหตุหลัก คือ แบคทีเรียค่ะ โดยผู้หญิงมีความเสี่ยงมากกว่าผู้ชาย เนื่องจากมีท่อปัสสาวะที่สั้นกว่า ทำให้แบคทีเรียเข้าไปในกระเพาะปัสสาวะได้ง่ายมาก พร้อมเกิดปัจจัยต่าง ๆ เช่น การใช้สายสวนปัสสาวะและระบบภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการติดเชื้อทางเดินปัสสาวะอีกด้วย
6.มะเร็งเต้านม
มะเร็งเต้านมเป็นมะเร็งที่พบบ่อยที่สุดในผู้หญิงไทย และสามารถเกิดกับผู้ชายได้เช่นกัน แต่พบได้น้อยกว่า มะเร็งชนิดนี้มีต้นกำเนิดมาจากเซลล์ผิดปกติในเนื้อเยื่อเต้านม ซึ่งสามารถแพร่กระจายไปยังเนื้อเยื่อและอวัยวะใกล้เคียงได้ ทั้งยังสามารถเกิดขึ้นได้ในทุกวัย แต่ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นเมื่อผู้หญิงอายุมากขึ้น และมีปัจจัยเสี่ยงบางประการ การตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้หญิงทุกคน โดยผู้หญิงวัย 20 ปีขึ้นไป ควรตรวจเต้านมด้วยตนเองทุกเดือน ส่วนผู้หญิงที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป ควรได้รับการตรวจเต้านมโดยแพทย์เป็นประจำทุกปีค่ะ
ปัญหาสุขภาพที่ผู้หญิงต้องเผชิญในปัจจุบัน มีความหลากหลายและซับซ้อนมากขึ้น ทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตใจ เป็นประเด็นสำคัญที่ต้องคำนึงถึงให้มากค่ะ และโรคต่าง ๆ ที่พบได้ทั่วไปในผู้หญิงจำนวนมาก จำเป็นต้องได้รับการตรวจคัดกรองเป็นประจำ เพื่อเพิ่มโอกาสในการรักษาให้หายขาด การดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ การตรวจสุขภาพประจำปี และมาตรการป้องกัน มีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสุขภาพของผู้หญิงและป้องกันไม่ให้เกิดโรคขึ้น จึงจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับการดูแลตัวเอง เพื่อช่วยให้ผู้หญิงห่างไกลจากโรคภัยไข้เจ็บและหาวิธีป้องกันก่อนที่จะเกิดโรค
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ปัญญาประดิษฐ์ AI กับสิ่งที่คนไทยต้องรับมือ
ในที่สุด iPhone 16 ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการ ถึงแม้จะมีกระแสต่อต้าน Apple จากคนไทยเมื่อช่วงเดือนที่แล้ว แต่ก็ไม่ใช่ปัญหาใหญ่เกินแก้ของ Apple เพราะการใส่เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence – AI) เข้าไปทั้งใน Siri เวอร์ชั่นใหม่ ที่ฉลาดกว่าเดิม
Siri เวอร์ชั่นใหม่ช่วยเราตอบข้อความหรืออีเมล รวมทั้งสรุปย่อยอะไรที่ยาวๆ ไปถึงขนาดแนะนำระดับความสุภาพของการตอบ รวมทั้งฟังก์ชั่นอื่นๆ ที่ทำให้คนไม่น้อยลืมความขุ่นเคืองไปหมด
นี่คือการใช้ประโยชน์จากวิทยาการความเจริญก้าวหน้าทางเทคโนโลยี ซึ่งแท้จริงแล้ว คำว่า “เทคโนโลยี” ไม่ได้หมายถึงความล้ำสมัยเท่านั้น แต่คือเทคโนโลยี คือสิ่งที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนประวัติศาสตร์
ด้วยสัญชาตญาณของมนุษย์ที่ต้องออกหาอาหาร แล้วเกิดความสนใจใฝ่รู้ ที่นำไปสู่การประดิษฐ์คิดค้นอุปกรณ์ยังชีพ ก่อนพัฒนามาใช้เพื่อความสะดวกสบาย ขยายอำนาจทางการปกครอง และแย่งชิงผลประโยชน์กัน
เมื่อถึงต้นศตวรรษที่ 17 “เทคโนโลยี” (ซึ่งมีนิยามว่า การจัดทำอย่างเป็นระบบ) ถูกนำมาใช้เพิ่มผลิตภาพอย่างจริงจังจนโลกเข้าสู่ยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ผสมผสานกระบวนการและปรับปรุงเครื่องจักรจนพัฒนาแบบก้าวกระโดด
เพื่อความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจและวัตถุประสงค์อื่น ๆ เช่น การให้บริการภาครัฐ การศึกษา สาธารณสุข ฯลฯ
แต่ช่วง 2-3 ทศวรรษที่ผ่านมา ความมหัศจรรย์ทางเทคโนโลยีนานาชนิดยิ่งทวีคูณมหาศาล เมื่อนวัตกรรมคอมพิวเตอร์และการสื่อสารสามารถผลิตเป็นสินค้าและบริการที่เข้าถึงได้ง่าย
เกิดปรากฏการณ์ “อินเทอร์เน็ตของสรรพสิ่ง” (Internet of Things) แทรกซึมทุกอณูของการดำเนินชีวิตและการทำงาน และเร่งให้ “ปัญญาประดิษฐ์” หรือ AI พัฒนาล้ำหน้าไปอย่างรวดเร็ว ช่วยมนุษย์คัดกรองและตอบสนองความต้องการแต่ละประเภทได้แม่นยำได้ทุกที่ทุกเวลา
ที่สำคัญยังปลดล็อกปัญหาหรือทลายข้อจำกัดสารพัดของมนุษย์ งานต่าง ๆ ตั้งแต่การสั่งและส่งอาหาร การบันทึกข้อมูลเข้าระบบ ไปจนถึงการแต่งและเรียบเรียงข้อความ การแปล การวินิจฉัยโรค การผ่าตัดโดยหุ่นยนต์ และการวิเคราะห์และสรุปผลข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) AI ก็สามารถรับจบอย่างรวดเร็วได้ด้วย
World Economic Forum ประมาณการว่า AI จะช่วยเพิ่มผลิตภัณฑ์มวลรวมโลกให้สูงขึ้นกว่า 522 ล้านล้านบาท ในปี 2573 จากปัจจุบันที่มีมูลค่ากว่า 3 พันล้านล้านบาท
AI จะแทนที่ตำแหน่งงาน 85 ล้านตำแหน่ง และจะสร้างงานใหม่ขึ้นอีก 97 ล้านตำแหน่ง ด้วยอิทธิปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ทำให้เราเข้าสู่ “ยุคปฏิวัติปัญญาประดิษฐ์” ที่ AI กำลังรุกคืบมาทำงานแทนคนและเครื่องจักรแบบเดิมอย่างแทบไม่ทันตั้งตัว (หรือ บางจุดก็ตั้งตัวไม่ทันไปแล้ว)
ผลกระทบกับตำแหน่งงานจำนวนมหาศาลชวนให้คิดว่า ถ้าเราไม่เริ่มที่จะขยับรับมือกับ AI โดยด่วนแล้ว อะไรจะเกิดขึ้นกับประเทศและคนไทย
ขอยกกรณีที่เกิดขึ้นจริงแล้วในสนามบินที่เขตบริหารพิเศษฮ่องกง หรือกรุงอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ ที่มีการนำรถขนส่งสัมภาระ AI ไร้คนขับและไม่ต้องพึ่งพนักงานยกของมาทำหน้าที่ลำเลียงกระเป๋า ระหว่างเครื่องบินกับอาคารผู้โดยสาร
จากกรณีดังกล่าว เป็นไปได้ว่าในอนาคต สนามบินกว่า 30 แห่งของไทยเองก็จะนำระบบนี้มาใช้เช่นกัน เพื่อรักษาขีดความสามารถในการแข่งขันด้านอุตสาหกรรมการบินให้ทัดเทียมกับสนามบินอื่น ๆ และแย่งชิงส่วนแบ่งทางการตลาดทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก
หากวันนั้นมาถึง นั่นแปลว่าพนักงานขับรถและขนของในสนามบินไทยราว 3,000 คน จะต้องว่างงานหรือดิ้นรนหางานใหม่ บางคนอาจโชคดีที่มีโอกาสและความสามารถมากพอจะผันตนเอง ไปปฏิบัติงานบังคับหรือซ่อมบำรุงรถยนต์หรือเครื่องยนต์ AI เหล่านี้ เพื่อดำรงเส้นทางของสายอาชีพเดิมได้
แต่สำหรับกลุ่มที่ ‘ไปไม่เป็น เข็นไม่ขึ้น’ จะโอนย้ายไปไหนก็มืดแปดด้านหากไม่ได้รับการบ่มเพาะทักษะให้ทันเวลา การขาดรายได้และปัญหาอื่น ๆ ทั้งทางเศรษฐกิจและสังคมที่กระทบต่อกันเป็นลูกโซ่ ทั้งหนี้ครัวเรือน อาชญากรรม ยาเสพติด จะถาโถมเข้าหาทันที
ยังไม่รวมถึงสิ่งที่เราอาจไม่ได้คิดว่าจะเป็นปัญหาแต่แรก อย่างตอนที่ไทยได้เข้าร่วมความตกลงหุ้นส่วนทางเศรษฐกิจระดับภูมิภาค (RCEP) ซึ่งเป็นข้อตกลงการค้าเสรี (FTA) กับ 15 ประเทศ
เรามุ่งต่อรองเพื่อปกป้องสินค้าเกษตรและอุตสาหกรรมที่ไทยทำอยู่เป็นหลัก โดยแลกกับอุตสาหกรรมที่ไทยคิดว่าคงไม่ได้ใช้เร็ว ๆ นี้ อย่างการยอมกำหนดอัตราภาษีนำเข้าที่ 0% เป็นระยะเวลา 15 ปีสำหรับรถขนส่งสัมภาระ AIในท่าอากาศยาน ที่ในอนาคตก็ต้องใช้งานมันอย่างที่กล่าวถึงไปแล้ว
นี่เป็นเพียงอุตสาหกรรมเดียว หากประมวลภาพรวมของทุกอุตสาหกรรมและวงงานอื่น ๆ ทั้งประเทศ ที่อีกไม่นานก็ต้องแทนกำลังคนด้วยหุ่นยนต์หรือ AI เพื่อลดต้นทุนและเพิ่มผลิตภาพกับรายได้เราจะเห็นคนตกงานเพิ่มอีกเท่าใด
จากการสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติเดือนกรกฎาคม 2567 ระบุว่า คนไทยอายุ 15 ปีขึ้นไปและเป็นกำลังแรงงานในปัจจุบันมีประมาณ 40.4 ล้านคน มีคนว่างงานราว 4 แสนคน (1%) จากประชากรทั้งหมดประมาณ 66 ล้านคน
ขณะที่บริษัทที่ปรึกษาระดับโลกอย่าง McKinsey ประเมินไว้ว่า AI จะสามารถเข้าทำงานที่มีลักษณะต่อเนื่องเป็นกิจวัตรได้ถึง 45% ของตำแหน่งงานในลักษณะนี้ทั้งหมด
จากตัวเลขทั้งหมด เมื่อคำนวณคร่าว ๆ ก็พออนุมานได้ว่า คนไทย 18.4 ล้านคนอาจไม่มีงานทำในอนาคตอันใกล้ ถ้าไม่มีการเรียนรู้หรือฝึกฝนทักษะใหม่ที่จำเป็น
ไม่ว่าจะเป็นการรู้เท่าทันเทคโนโลยี การรู้เท่าทันภัยดิจิทัล การเขียนโปรแกรม การวิเคราะห์ข้อมูล หรือการเป็นผู้ประกอบการ เพื่อรับมือกับงานที่มีรูปแบบต่างจากเดิม
ไม่เพียงเป็นโจทย์สำหรับวัยทำงานเท่านั้น ในฐานะที่ไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุเต็มขั้นด้วยจำนวนประชากรอายุเกิน 60 ปีถึง 13 ล้านคน หรือ 1 ใน 5 ของประชากรทั้งหมดกลุ่มผู้สูงอายุก็ตกเป็นเป้าโจมตีของ AI เช่นกัน
เพราะผู้สูงอายุที่ยังจำเป็นต้องทำงานเพื่อหารายได้มาใช้หนี้สินหรือเลี้ยงดูครอบครัว เนื่องจากมีเงินเก็บไม่พอหรือต้องเป็นที่พึ่งพิงให้แก่บุตรหลานเพราะความไม่แน่นอนในอาชีพ ที่อาจเกิดจาก AI เจ้าปัญหานี้ด้วย
แม้ว่าบทความวิชาการเรื่อง “การปรับเปลี่ยนแนวทางการพัฒนาคุณภาพชีวิตผู้สูงอายุขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น” ในวารสารสถาบันพระปกเกล้า โดยศิริมา ทองสว่าง และคณะ ระบุว่า รัฐไทยได้เตรียมแผนรองรับปัญหาผู้สูงอายุตั้งแต่ปี 2525 เป็นต้นมา
จนถึงแผนปฏิบัติการด้านผู้สูงอายุระยะที่ 3 (2566-2580) ที่สนับสนุนให้บูรณาการการทำงานด้านผู้สูงอายุตั้งแต่ระดับชาติถึงท้องถิ่น โดยกระจายอำนาจการตัดสินใจให้ชุมชนร่วมมือกับภาคส่วนต่าง ๆ และเพิ่มศักยภาพการบริหารงานด้านผู้สูงอายุให้แก่องค์กร ชุมชน ท้องถิ่น และผู้นำชุมชน
รวมถึงแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 13 (2566-2570) ยังชี้ให้เห็นว่า การพึ่งพิงของผู้สูงอายุต่อวัยแรงงานและภาระทางการคลังในการดูแลสุขภาพผู้สูงอายุจะมีอัตราเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รัฐจึงต้องอาศัยการส่งเสริมสุขภาพรูปแบบใหม่ที่เอื้อให้ผู้สูงอายุมีสุขภาวะและส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีวิต
แต่คำถามเฉพาะหน้าที่เกิดขึ้น คือ จะมีหน่วยงานใดที่มีทรัพยากรและสมรรถนะพร้อมเพียงพอต่อการรับหน้าที่เป็นแกนหลัก จัดทำกระบวนการเรียนรู้และฝึกฝนทักษะ ให้แก่คนต่างกลุ่ม ต่างวัย ต่างพื้นฐานการศึกษาหรือประสบการณ์ และต่างความพร้อม ไม่ว่าจะระดับประเทศหรือท้องถิ่น
เพื่อให้แต่ละกลุ่มสามารถรับมือกับ AI ได้เหมาะสมและทันการณ์ ซึ่งยังคงเป็นเรื่องค้างคาแต่ต้องตัดสินใจให้ได้ในเร็ววัน เพราะธุรกิจหรือองค์กรอาจปลดคนได้ แต่ประเทศจะกำจัดพลเมืองของตนออกไป เพียงเพราะไม่มีงานให้ทำนั้นไม่ได้ แต่คงจะขอทิ้งท้ายด้วยศัพท์ยุคนี้ว่า เราจะพร้อมกี่โมง.
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
การใช้ Prefix และ Suffix ในการเดาคำศัพท์ภาษาอังกฤษ
บทความนี้แนะนำวิธีเรียนรู้การใช้ Prefix และ Suffix เพื่อเดาความหมายของคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เพิ่มทักษะการอ่านและทำความเข้าใจคำศัพท์ใหม่อย่างมีประสิทธิภาพ
การใช้ Prefix และ Suffix เป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสำหรับการเดาคำศัพท์ภาษาอังกฤษ โดยการทำความเข้าใจส่วนประกอบเหล่านี้จะช่วยให้เราสามารถเดาความหมายของคำศัพท์ที่ไม่เคยเจอมาก่อน และช่วยให้การเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษง่ายขึ้น มาดูกันว่า Prefix และ Suffix คืออะไร และสามารถใช้ในการเดาคำศัพท์ได้อย่างไร
Prefix คืออะไร ใช้อย่างไรในการสร้างคำศัพท์
Prefix (อุปสรรค) คือชุดของตัวอักษรที่ถูกเติมหน้าคำศัพท์หลัก (root word) เพื่อเปลี่ยนความหมายของคำนั้นๆ โดยไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนหน้าที่ของคำ แต่จะเป็นการปรับเปลี่ยนความหมายหลักให้ตรงข้ามหรือเกี่ยวเนื่องกับคำเดิม การเติม Prefix หน้าคำศัพท์เดิมเป็นการสร้างคำที่มีความหมายตรงข้าม การแสดงการกระทำซ้ำ การบอกถึงจำนวน หรือการบอกสถานะหรือสภาพ การรู้จัก Prefix จึงเป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้เราเข้าใจและตีความหมายคำศัพท์ได้อย่างรวดเร็วขึ้น
วิธีการสร้างคำศัพท์โดยใช้ Prefix
Prefix จะถูกเติมไว้หน้าคำศัพท์หลักเพื่อสร้างความหมายใหม่ที่แตกต่างจากคำเดิม ซึ่งการใช้ Prefix ไม่ได้จำกัดเฉพาะคำกริยา แต่ยังใช้กับคำประเภทอื่นๆ เช่น คำนามและคำคุณศัพท์ด้วย
ตัวอย่าง Prefix ที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ
- Un- ใช้เพื่อแสดงความหมายว่า “ไม่” หรือ “ตรงข้าม”
Unhappy = ไม่สุข
Unavailable = ไม่พร้อมใช้งาน
Unknown = ไม่เป็นที่รู้จัก
- Re- ใช้เพื่อแสดงความหมายว่า “ทำใหม่” หรือ “ทำซ้ำ”
Redo = ทำใหม่
Rewrite = เขียนใหม่
Rebuild = สร้างใหม่
- Dis- ใช้เพื่อแสดงความหมายว่า “ไม่” หรือ “ตรงข้าม”
Dislike = ไม่ชอบ
Disappear = หายไป
Dishonest = ไม่ซื่อสัตย์
- Pre- ใช้เพื่อแสดงความหมายว่า “ก่อน” หรือ “ล่วงหน้า”
Preview = ดูก่อน
Prepay = จ่ายล่วงหน้า
Preheat = ทำความร้อนล่วงหน้า
- Over- ใช้เพื่อแสดงความหมายว่า “มากเกินไป” หรือ “เกินไป”
Overcook = ทำอาหารสุกเกินไป
Overwork = ทำงานมากเกินไป
Oversleep = นอนมากเกินไป
การใช้ Prefix ช่วยให้เราสามารถเดาความหมายของคำศัพท์ได้อย่างแม่นยำยิ่งขึ้นเมื่อพบคำที่ไม่คุ้นเคย ได้โดยการดูว่าคำที่ต่อหน้าเปลี่ยนความหมายหลักของคำให้เป็นอย่างไร เช่นเมื่อพบคำว่า impossible สามารถแบ่งออกเป็น im- (ไม่) + possible (เป็นไปได้) ทำให้เรารู้ว่าคำนี้หมายถึง ไม่เป็นไปได้
Suffix คืออะไร ใช้อย่างไรในการสร้างคำศัพท์
Suffix (ปัจจัย) คือชุดตัวอักษรที่เติมท้ายคำศัพท์หลัก (root word) เพื่อเปลี่ยนแปลงหน้าที่ของคำนั้นๆ เช่น เปลี่ยนจากคำกริยาให้กลายเป็นคำนาม คำคุณศัพท์ หรือคำกริยาวิเศษณ์ นอกจากนี้ Suffix ยังสามารถบ่งบอกถึงสถานะหรือความรู้สึกได้อีกด้วย การใช้ Suffix ช่วยให้เราเข้าใจความหมายหรือการใช้งานของคำนั้นได้ดียิ่งขึ้น การเรียนรู้ Suffix เป็นส่วนหนึ่งที่สำคัญในการสร้างคำศัพท์ใหม่ในภาษาอังกฤษ
วิธีการสร้างคำศัพท์โดยใช้ Suffix
Suffix จะถูกเติมไว้หลังคำศัพท์หลัก สามารถช่วยเปลี่ยนหน้าที่ของคำ นอกจากนั้นยังเพิ่มความหลากหลายในการใช้ภาษาอังกฤษ
ตัวอย่าง Suffix ที่ใช้บ่อยในภาษาอังกฤษ
- -ness ใช้เพื่อเปลี่ยนคำคุณศัพท์ให้กลายเป็นคำนามที่แสดงสถานะหรือคุณภาพ
Happiness = ความสุข
Kindness = ความกรุณา
Sadness = ความเศร้า
- Ly ใช้เพื่อเปลี่ยนคำคุณศัพท์ให้กลายเป็นคำกริยาวิเศษณ์ ซึ่งบอกลักษณะการกระทำ
Quickly = อย่างรวดเร็ว
Slowly = อย่างช้าๆ
Carefully = อย่างระมัดระวัง
- ful ใช้เพื่อแสดงว่ามีคุณลักษณะหรือเต็มไปด้วยสิ่งนั้นๆ โดยเปลี่ยนคำเป็นคำคุณศัพท์
Hopeful = เต็มไปด้วยความหวัง
Useful = มีประโยชน์
Powerful = ทรงพลัง
- less ใช้เพื่อบอกว่า “ไม่มี” สิ่งนั้นๆ ซึ่งเปลี่ยนคำเป็นคำคุณศัพท์
Hopeless = ไม่มีความหวัง
Careless = ไม่ระมัดระวัง
Powerless = ไร้อำนาจ
- er ใช้เพื่อแสดงถึงผู้กระทำหรือสิ่งที่ทำหน้าที่นั้น โดยมักจะเปลี่ยนคำกริยาเป็นคำนาม
Teacher = ผู้สอน
Writer = นักเขียน
Runner = นักวิ่ง
การใช้ Suffix อย่างถูกต้องทำให้ประโยคมีความหลากหลายและน่าสนใจมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น หากต้องการเปลี่ยนคำว่า “run” (วิ่ง) ให้กลายเป็นคำนาม สามารถเติม Suffix “-er” เพื่อเปลี่ยนคำนี้เป็น “runner” (นักวิ่ง) Suffix การเข้าใจ Suffix จะช่วยให้เดาความหมายของคำได้อย่างรวดเร็วและยังเพิ่มความสามารถในการใช้ภาษาอังกฤษได้อย่างมีประสิทธิภาพ
เทคนิคการเดาความหมายของคำศัพท์โดยใช้ Prefix และ Suffix
การใช้ Prefix และ Suffix ในการเดาความหมายของคำศัพท์เป็นเทคนิคที่ง่ายและมีประโยชน์ โดยเฉพาะเมื่อเจอคำศัพท์ใหม่ๆ ที่ไม่เคยรู้จัก การฝึกฝนการใช้เทคนิคนี้จะช่วยให้คุณพัฒนาทักษะการอ่าน การทำความเข้าใจ และการเรียนรู้คำศัพท์ภาษาอังกฤษได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ
- หากพบคำที่มี Prefix ที่รู้จัก เช่น un-, re-, หรือ dis- ให้สังเกตความหมายของ Prefix นั้นแล้วนำไปผสมกับความหมายของคำหลัก เช่น unhappy = un- (ไม่) + happy (สุข) ซึ่งแปลว่า “ไม่สุข” หรือ “เศร้า”
- หากพบคำที่ลงท้ายด้วย Suffix เช่น -ness, -ly, หรือ -able ให้พิจารณาว่าคำนั้นเปลี่ยนหน้าที่หรือไม่ เช่น คำว่า sadness (ความเศร้า) มาจากคำคุณศัพท์ sad (เศร้า) แต่เมื่อเติม -ness จะเปลี่ยนเป็นคำนามที่หมายถึง “ความเศร้า”
- การผสมผสานการใช้ Prefix และ Suffix เพื่อเดาความหมาย
บางคำศัพท์มีทั้ง Prefix และ Suffix การจับคู่ทั้งสองอย่างนี้จะช่วยให้เราเดาความหมายได้ง่ายขึ้น ตัวอย่างเช่น
unbelievable สามารถแบ่งออกเป็น un- (ไม่) + believe (เชื่อ) + -able (ที่สามารถ) = ไม่น่าเชื่อ หรือ ไม่สามารถเชื่อได้
discomfort สามารถแบ่งเป็น dis- (ไม่) + comfort (ความสะดวกสบาย) = ไม่สะดวกสบาย
Unhappiness สามารถแบ่งเป็น un- (ไม่) + happy (สุข) + -ness (สถานะ) = ความไม่สุข หรือ ความเศร้า
Disagreement สามารถแบ่งเป็น dis- (ไม่) + agree (เห็นด้วย) + -ment (การกระทำ) = การไม่เห็นด้วย
- การใช้ความรู้พื้นฐานในการตีความคำศัพท์ การรู้จัก Prefix และ Suffix ที่ใช้บ่อยจะช่วยให้คุณสามารถตีความคำศัพท์ที่ซับซ้อนขึ้นได้โดยไม่ต้องเรียนรู้คำศัพท์ใหม่ทั้งหมด การฝึกสังเกตและจับคู่คำส่วนต่างๆ จะช่วยให้คุณเดาคำศัพท์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น
Impossible มาจาก im- (ไม่) + possible (เป็นไปได้) = ไม่เป็นไปได้ หรือก็คือ เป็นไปไม่ได้
Prehistoric มาจาก pre- (ก่อน) + historic (ประวัติศาสตร์) = ก่อนประวัติศาสตร์
ตัวอย่างการใช้ Prefix และ Suffix ในการเดาคำศัพท์
- Prefix in-, re-, pre-, dis-, mis-, over-, under-, ex-, sub-, inter-, non-, anti-, post-, pro-, hyper- auto-, super-, um-, im-
Inactive – in- (ไม่) + active (ทำงาน) = ไม่ทำงาน
Rewrite – re- (ใหม่) + write (เขียน) = เขียนใหม่
Prehistoric – pre- (ก่อน) + historic (ประวัติศาสตร์) = ก่อนประวัติศาสตร์
Disagree – dis- (ไม่) + agree (เห็นด้วย) = ไม่เห็นด้วย
Misunderstand – mis- (ผิด) + understand (เข้าใจ) = เขียนใหม่เข้าใจผิด
Overload – over- (เกิน) + load (พิกัด) = เกินพิกัด
Underestimate – under- (ต่ำ) + estimate (ประเมิน) = ประเมินต่ำไป
Rebuild – re- (ใหม่) + build (สร้าง) = สร้างใหม่
Ex-president – ex- (ก่อน/อดีค) + build (สร้าง) = อดิตประธานาธิบดี
Submarine – sub- (ใต้) + marine (น้ำ) = ใต้น้ำ
Intercontinental – ex- (ก่อน/อดีค) + build (สร้าง) = ระหว่างทวีป
Nonfiction – non- (ไม่ใช่) + fiction (เรื่องแต่ง) = ไม่ใช่เรื่องแต่ง
Antisocial – anti- (ต่อต้าน) + social (สังคม) =ต่อต้านสังคม
Hyperactive – hyper- (มากเกิน) + active (กระตือรือร้น) =กระตือรือร้นมากเกิน
Supernatural – super- (เหนือ) + natural (ธรรมชาติ) =เหนือธรรมชาติ
Unhappy – un- (ไม่) + happy (สุข) =ไม่สุข
Underestimate – under- (ต่ำ) + estimate (ประเมิน) =ประเมินต่ำ
- Suffix ful-, ness-, er-, ship-, ment-, less-, able-
Darkness – dark (adj) + ness = ความมืด (noun)
Teacher – teach (verb) + er = ผู้สอน (noun)
Movement – move (verb) + ment = การเคลื่อนไหว (noun)
Endless – end (noun) + less = ไม่มีที่สิ้นสุด (adj)
Laziness – lazy (adj) + ness = ความขี้เกียจ (noun)
Powerful – power (noun) + ful = ทรงพลัง(adj)
Kindness – kind (adj) + ness = ความกรุณา (noun)
Singer – sing (verb) + er = นักร้อง(noun)
Fearless – fear (verb) + less = ไร้ความกลัว (adj)
Enjoyment – enjoy (verb) + ment = ความเพลิดเพลิน (noun)
Readable – read (verb) + able = อ่านได้ (adj)
Comfortable – comfort (verb) + able = สบาย (adj)
Likely – like (verb) + able = เป็นไปได้ (adj)
Sadness –sad (adj) + ness = ความเศร้า (noun)
Hopeless – hope (verb) + less = หมดหวัง (adj)
Actor – act (verb) + tor = นักแสดง (noun)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
“ผักกูด” ผักพื้นบ้านแร่ธาตุ วิตามินเพียบ เสริมภูมิ บำรุงร่างกาย
หลายคนอาจเข้าใจผิดว่าผักกูดเป็นพืชผักชนิดหนึ่ง แต่ความจริงแล้ว ผักกูดจัดเป็นเฟิร์นชนิดหนึ่งที่มีลำต้นเป็นเหง้าตั้งตรง ลักษณะเด่นคือใบอ่อนที่ม้วนงอคล้ายหอยทาก ซึ่งเป็นส่วนที่เรานำมารับประทานกันทั่วไป ใบของผักกูดเมื่อยังอ่อนจะประกอบแบบขนนกชั้นเดียว แต่เมื่อเจริญเติบโตเต็มที่จะเป็นใบประกอบแบบสองชั้น
ผักกูดมีหลายสายพันธุ์ โดยแต่ละชนิดจะมีรสชาติแตกต่างกันออกไป บางชนิดมีรสขม บางชนิดมีขนปกคลุม แต่โดยทั่วไปแล้วส่วนใหญ่สามารถนำมารับประทานได้ นอกจากรสชาติที่หลากหลายแล้ว ผักกูดยังมีสรรพคุณทางยาที่แตกต่างกันไปตามสายพันธุ์อีกด้วย
คุณค่าทางโภชนาการของผักกูด
ผักกูด 100 กรัม (ส่วนที่รับประทานได้) อุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการที่น่าสนใจ โดยให้พลังงาน 19 กิโลแคลอรี พร้อมเส้นใยอาหาร 1.4 กรัม ที่ช่วยในการขับถ่าย นอกจากนี้ ยังอุดมไปด้วยแร่ธาตุสำคัญ เช่น แคลเซียม 5 มิลลิกรัม ที่ช่วยบำรุงกระดูกและฟัน เหล็ก 36.3 มิลลิกรัม ที่ช่วยป้องกันโรคโลหิตจาง และฟอสฟอรัส 35 มิลลิกรัม ที่ช่วยเสริมสร้างกระดูกและฟันให้แข็งแรง
ยิ่งไปกว่านั้น ผักกูดยังเป็นแหล่งของวิตามินที่หลากหลาย อาทิ วิตามินเอ ซึ่งจำเป็นต่อสายตาและผิวพรรณ วิตามินบี 1 ที่ช่วยในการเผาผลาญอาหาร วิตามินบี 2 ที่ช่วยบำรุงสายตา และวิตามินบี 3 ที่ช่วยในการทำงานของระบบประสาท
สรรพคุณของผักกูด
ผักกูดเป็นพืชสมุนไพรที่มีสรรพคุณมากมาย ช่วยบำรุงร่างกายและรักษาโรคได้หลายชนิด โดยเฉพาะส่วนของใบที่นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างหลากหลาย ดังนี้
- เสริมสร้างสุขภาพโดยรวม: ผักกูดช่วยเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรง เพิ่มภูมิคุ้มกัน และต่อต้านอนุมูลอิสระ ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์
- บำรุงโลหิต: ผักกูดอุดมไปด้วยธาตุเหล็ก ซึ่งจำเป็นต่อการสร้างเม็ดเลือดแดง ช่วยป้องกันและรักษาโรคโลหิตจาง การรับประทานผักกูดร่วมกับเนื้อสัตว์จะช่วยให้ร่างกายดูดซึมธาตุเหล็กได้ดียิ่งขึ้น
- บำรุงสายตา: ผักกูดมีเบตาแคโรทีน ซึ่งเป็นสารตั้งต้นของวิตามินเอ ที่มีความสำคัญต่อการมองเห็น
- ควบคุมระดับไขมันในเลือด: ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลในเลือด ลดความเสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือด
- ควบคุมความดันโลหิต: ช่วยลดความดันโลหิตสูง
- ระบบขับถ่ายที่ดี: ผักกูดมีใยอาหารสูง ช่วยกระตุ้นการทำงานของลำไส้ ทำให้ระบบขับถ่ายเป็นปกติ
- ลดการอักเสบ: ช่วยบรรเทาอาการอักเสบในร่างกาย
- ดับร้อน: ช่วยลดไข้และดับร้อนในร่างกาย
- บำรุงผิวพรรณ: ช่วยให้ผิวพรรณสดใสเปล่งปลั่ง
นอกจากนี้ ผักกูดยังมีสรรพคุณอื่นๆ อีกมากมาย เช่น ช่วยป้องกันโรคเลือดออกตามไรฟัน ช่วยขับปัสสาวะ และช่วยแก้พิษจากแมลงสัตว์กัดต่อย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 10/10/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 41,350.00 | 41,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,678.00 | 40,598.48 | 41,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,410.20 | 36,538.63 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,142.40 | 32,478.78 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,205.00 | 18,267.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 937.00 | 14,204.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,775.00 | 42,069.00 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 10/10/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.65 | 35.65 | 35.95 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 | 35.65 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.28 | 35.28 | 35.58 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.54 | 33.54 | 33.84 | 33.54 | 33.54 | – | 33.54 | 33.54 | 33.54 | 33.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.29 | 33.29 | – | – | – | – | – | – | – | 33.29 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.24 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 44.24 |
เบนซิน 95 | 43.84 | – | – | – | 49.81 | – | 44.34 | 43.99 | – | 43.84 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |