สาระน่ารู้ประจำวันที่ 11 ตุลาคม 2565

เอกชน ฝากโจทย์ เลือกตั้ง 66 ดูดเงินอสังหาฯ 3 แสนล้าน นำเศรษฐกิจยุคใหม่

‘เงินเฟ้อ’ กำลังไล่ล่า ราคาที่อยู่อาศัย ขณะคนไทยวัยหนุ่ม-สาว กลุ่มคนทำงาน ลดน้อยถอยลง จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม โดยประเทศไทยเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงวัย’ อย่างเต็มรูปแบบ นั่นคือภาพของ ‘กำลังซื้อ’ ที่อ่อนแอน่ากังวลในอนาคต

หากประเทศไทยต้องใช้ระยะเวลานานถึง 5 ปี เพื่อผลักดัน ให้รายได้ต่อหัวประชากร ขยับขึ้นมาเกิน 3 แสนบาทต่อปี ตามเป้าหมาย แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 13 (พ.ศ. 2566 – 2570)ภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี เพื่อหวังให้ไทยก้าวพ้น มาอยู่ในกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว 

ความจำเป็นในการพลิกโฉมโครงสร้างทางเศรษฐกิจ การปรับแก้สภาพแวดล้อมโดยรอบ เพื่อให้เอื้อต่อการสร้างงาน สร้างรายได้ เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบ จากการจับจ่ายใช้สอยของคนในประเทศเป็นหลัก ก็คงจะเป็นสิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการมากที่สุด 

เลือกตั้งใหม่ VS โจทย์อสังหาฯ

การส่งสัญญาณ ประกาศวันเลือกตั้งใหม่ทั่วประเทศ  เคาะ 7 พ.ค.2566 เกิดภาพความหวังในภาคอุตสาหกรรมทุกแขนง ว่ามิติใหม่ จะนำมาซึ่งนโยบายขับเคลื่อนแวดล้อมเศรษฐกิจ และมาตรการที่เอื้อต่อการทำธุรกิจนั้นๆอย่างไรบ้าง โดยเฉพาะกลไกเศรษฐกิจเพื่ออนาคต ‘อุตสาหกรรม New S-curve’ ที่ถูกมองว่าจะดึดดูดการลงทุน และ คนเก่งๆเข้ามาในประเทศอย่างมหาศาล

สำหรับในภาคอสังหาริมทรัพย์นั้น ผ่าโจทย์ใหญ่ในวันนี้ แม้ตลอด 9 เดือน ของปี 2565 ‘ตลาดที่อยู่อาศัย’ ส่งสัญญาณฟื้นตัวจากโควิด-19 ได้ดี จากยอดขายคอนโดมิเนียม ราคาไม่เกิน 2 ล้านบาทเติบโตขึ้นจากปีก่อน การโอนกรรมสิทธิ์บ้าน ทั้งใน กทม.และปริมณฑล มูลค่าถูกผลักดันด้วยโครงการระดับบน ดีมานด์ความต้องการทั้งบ้านใหม่และบ้านมือสองยังเกิดขึ้น 

แต่อย่างไรก็ตาม ‘เงินเฟ้อ’ กำลังไล่ล่า ราคาที่อยู่อาศัย ขณะคนไทยวัยหนุ่ม-สาว กลุ่มคนทำงาน ลดน้อยถอยลง จากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางสังคม โดยประเทศไทยเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงวัย’ อย่างเต็มรูปแบบ นั่นคือภาพของ ‘กำลังซื้อ’ ที่อ่อนแอน่ากังวลในอนาคต 

ชูอสังหาฯนำเศรษฐกิจแสนล.

‘ฐานเศรษฐกิจ’ เจาะชุดความคิด 3 สมาคมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ต่อมุมมอง ภาคอสังหาฯไทยในยุคหน้า พบ ต่างฝากโจทย์ไว้ให้กับรัฐบาลใหม่ ในแนวทางที่สอดคล้องกันอย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะ การปลุกกระแส เชื่อมโยง New S-curve – ภาคท่องเที่ยว และ ภาคอสังหาฯ ไว้ด้วยกัน 

เริ่มจาก นายมีศักดิ์ ชุนหรักษ์โชติ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ ระบุว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทย ที่มี’จีดีพี’ ต่ำติดต่อกันมานานหลายปี และถูกประเทศคู่แข่งเพื่อนบ้าน ไล่บี้ในทุกมิตินั้น หากไทยยังคง ยึดมั่นกับอุตสาหกรรม เช่น การส่งออก ที่เคยเฟื่องฟูใน 2 ทศวรรษก่อน เราอาจไปไม่รอด ทางออก คือ การเร่งหาเครื่องจักรใหม่ๆ มาทดแทน แก้ปัญหา การบริโภคภายในประเทศที่กำลังชะลอตัวอย่างรุนแรง

ซึ่งเครื่องจักรใหม่ที่ว่า คือ การสนับสนุนภาคอสังหาฯ ผ่านการดึงความต้องการของ ‘ชาวต่างชาติ’ มาเป็นตัวพลิกเกม โดยใช้โอกาสความเป็นเบอร์ 1 เมืองเป้าหมาย ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ,เบอร์ 1 ในดีมานด์ความต้องการของ ‘ชาวจีน’ มาเป็นตลาดสร้างเม็ดเงิน ผ่านการปรับแก้เงื่อนไขที่เป็นอุปสรรค และให้กระทบกับคนไทยน้อยที่สุด เพื่อกระตุ้นการจ้างงานในอุตสาหกรรมต่อเนื่องที่มีขนาดใหญ่และกว้างที่สุด ตั้งแต่ ภาคก่อสร้าง ,เฟอร์นิเจอร์ และ ตกแต่งบ้าน 

อีกทาง การเข้ามาอยู่อาศัยของชาวต่างชาติ จะสร้างรายได้เข้าชุมชน และ ภาคครัวเรือนโดยตรง ต่างจากภาคการส่งออก คาดหากสำเร็จ อสังหาฯจะส่งผ่านสัดส่วน จีดีพีได้ถึง 11% หรือ 1.5 แสนล้านบาทต่อปี 

‘ประเด็นคัดค้านต่างชาติในอสังหาฯ จะถูกตัดจบได้ เพราะ นิยมกันคนละโซน อยากให้รัฐบาลริเริ่มทำ แซนบ็อกซ์ เช่นโมเดลในต่างประเทศ หากมีปัญหาก็สั่งยกเลิกได้ทันที แต่ความท้าทายอยู่ที่ วิธีการดึงเม็ดเงิน ให้มาเป็นแรงหนุนรายได้ชุมชน หมุนกลับมาให้คนไทยมีกำลังซื้อบ้านเป็นของตัวเอง ดึงให้เข้าอยู่อาศัย และนำเงินมาใช้ในระบบ จะทำอย่างไรมากกว่า’

แนะปั้นไทย สู่ ‘โกลบอล รีไทร์เมนท์’

ด้าน นายพีระพงศ์ จรูญเอก นายกสมาคมอาคารชุดไทย กล่าวว่า ประเทศไทยกำลังท้าทาย ต่อการกลับไปแข่งขันบนเวทีโลก แม้มีอุตสาหกรรมดาวรุ่ง อย่าง ยานยนต์ไฟฟ้า หรือ ธุรกิจด้านเทคโนโลยีนวัตกรรม นำทัพ แต่ก็อาจเสียท่าให้เพื่อนบ้านโดยรอบได้เช่นกัน 

กลไกสำคัญ ที่รัฐบาลใหม่ อาจต้องพิจารณาเพิ่มเติม คือ การสนับสนุน จุดแข็ง ด้านการท่องเที่ยวของไทย ต่อยอดให้เกิดประโยชน์ เปรียบเป็น ‘ซอฟพาวเวอร์’ ทางเศรษฐกิจ จากการวางตัวเป็นกลางได้ดี ภายใต้ความขัดแย้งหลายขั้วทั่วโลก ดึงดูดทั้งการลงทุนของต่างชาติ และ ใช้วัฒนธรรม สภาพบ้านเมืองที่น่าอยู่อาศัย และ ราคาอสังหาฯถูก มีสิทธิครอบครอง มาเป็นจุดขายใหม่ เทียบ ญี่ปุ่น หรือ อิตาลี ปลุกปั้นให้ไทยเป็น ‘เดสสิเนชั่น ลิฟวิ่ง’ หรือ ‘โกลบอลรีไทร์เมนท์’ ทั้งระบบบน และ ระดับล่าง ก็ย่อมได้เช่นกัน เช่น การดึงความต้องการของ คน สปป.ลาว ,กัมพูชา และ เมียนมาร์ ปั้นโมเดลร่วม บีโอไอ ทำโครงการราคาถูก ได้เพิ่มทั้งจำนวนแรงงานในระบบ และเม็ดเงินเศรษฐกิจ หรือ การสร้างคอมมูนิตี้ระดับบน เก็บค่าธรรมเนียมต่างชาติ 5 แสน – 1 ล้านบาท เงินดังกล่าวของต่างชาติ 1 คน จะใช้ดูแลคนสูงวัยบ้านเราได้ 4-5 คน เป็นต้น

“สนับสนุนการเปิดช่องต่างชาติ เป็น แซนบ็อกซ์ใน EEC ,ภูเก็ต,พัทยา และ เชียงใหม่ เทียบอสังหาฯเคยมีมูลค่าตลาดเมื่อปี 2562 ถึง 9 หมื่นล้านบาท ถ้าระยะ3-5 ปีข้างหน้าปลดล็อค เช่น แบ่งสัดส่วนบ้าน 25% ให้ต่างชาติ คนไทย 75% ในโครงการ อาจเพิ่มมูลค่าตลาดได้มาก 2-3 แสนล้านบาทต่อปี สนับสนุนจีดีพีโดยตรง “


ราคาที่ดินตัวแปรใหญ่

ขณะ นายวสันต์ เคียงศิริ นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร ให้มุมมองว่า ในระยะข้างหน้า ตัวแปรสำคัญของราคา’ที่อยู่อาศัย’ ไทย มากกว่า อัตราเร่งของเงินเฟ้อนั่น กลับเป็น ราคาต้นทุนการพัฒนาโครงการ อย่าง ‘ที่ดิน’ ซึ่งเงินเฟ้อแทบไม่มีอิทธิพล ซึ่งแม้แต่ในช่วงโควิด ราคาก็ยังกระโดดขึ้นมา 10-20% ต่อปี  เทียบในอดีต ราคาที่ดินเพื่อการพัฒนาบ้านจัดสรร มีราคาต่อไร่ 5 ล้านบาท 

แต่ปัจจุบัน ราคา 8 ล้านบาท ก็ไม่สามารถหาซื้อได้ อาจเป็นอุปสรรคที่ทำให้ คนไทยเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้ยากขึ้น หากการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยยังต่ำ และ รายได้ต่อหัวประชากรไม่ขยับ จึงต้องย้อนกลับไปที่พื้นฐานสำคัญ ว่าจะทำอย่างไร ให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีและยั่งยืน ซึ่งโจทย์ในภาคอสังหาฯนั้น รัฐบาลใหม่หรือเก่า ก็คงต้องมองให้กว้างและลึกขึ้น จากความสำคัญของอุตสาหกรรมนี้ 

“ถ้าเศรษฐกิจไทย อยากฟื้นตัวเองกลับ เวลานี้ต้องหาอุตสาหกรรมใหม่มาทดแทน นอกเหนือจากความหวัง EEC หรือ New S-curve’ ซึ่งการดึงคนนอกเข้ามา จะสำเร็จได้ต้องมีแวดล้อม กฎระเบียบที่เอื้อรองรับ ดึงเม็ดเงินอย่างต่ำ 4 ปี เพิ่มการเข้าถึงที่อยู่อาศัย เพราะตอนนี้ไม่ใช่แค่ประโยชน์อสังหาฯ แต่คือ อนาคตของเศรษฐกิจไทย ” 

แนวโน้มหอมหวานในประเด็นโอกาสต่างชาติ กับ อสังหาฯไทย ยังมาจาก องค์การท่องเที่ยวโลก จัดอันดับให้ประเทศไทย เป็นเบอร์ 1 ที่มีการฟื้นตัวด้านการท่องเที่ยวมากที่สุด ในแง่จำนวนการจองห้องพัก การเข้ามาของต่างชาติต่อเดือนทะลุ 1 ล้านคนอย่างต่อเนื่อง จนคาดตลอดทั้งปี 2565 ไทยจะมีนักท่องเที่ยวมาก 9-10 ล้านคน ก่อนขยับเป็น 20 ล้านคนในปี 2566 ซึ่งในจำนวนนั้น คือ เป้าหมายต่อยอดที่ภาคอสังหาฯอยากเห็นมากที่สุด …
 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


บิ๊กมูฟ “อนันดา” ส่งท้ายปีเสือ ระเบิดอีเวนต์ Ananda Urban Pulse 2022

ไตรมาส 4/65 ได้เวลา FC อนันดาฯ เลือกช็อปที่อยู่อาศัยบนทำเลศักยภาพสูงส่งท้ายปีเสือ

ล่าสุด ค่ายอนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ ประกาศแผนรุกไตรมาส 4 ขยับตัวแรงสุดในอุตสาหกรรม ประกาศจัดอีเวนต์ใหญ่สุดในรอบ 5 ปี พร้อมกับถือโอกาสเปิดตัว 3 แบรนด์ใหม่

มั่นใจสร้างยอดขายไม่ต่ำกว่า 6,000 ล้านบาท ในช่วงโค้งท้ายปีนี้

อ่านเทรนด์ ศก.-อสังหาฯขาขึ้น

ทั้งนี้ แผนธุรกิจจัดบิ๊กอีเวนต์ครั้งนี้ เป้าหมายเพื่อสร้างยอดขาย 6,000 ล้านบาท ภายในสิ้นปี รองรับการเติบโตในอนาคต มุ่งรักษาตำแหน่งผู้นำคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า พร้อมเป็นแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่เข้าใจคนเมืองมากที่สุด

“ชานนท์ เรืองกฤตยา” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ผู้นำตลาดคอนโดมิเนียมติดรถไฟฟ้า เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังอยู่ในทิศทางของการฟื้นตัวอย่างชัดเจน โดยภาคธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยมีอัตราการขยายตัวและกลับมาฟื้นตัวได้ดี ผู้ประกอบการยังคงมั่นใจในแผนการลงทุน เดินหน้าเปิดโครงการใหม่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าระดับกลางบนที่มีความอ่อนไหวต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจไม่มากนัก

บวกกับภาครัฐมีมาตรการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนและจดจำนอง หรือมาตรการผ่อนคลายอย่างเช่นเกณฑ์การกำกับการดูแลสินเชื่อที่อยู่อาศัย (LTV-loan to value) ที่จะสิ้นสุดในปีนี้ เป็นอีกปัจจัยหนุนการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯในครึ่งปีหลังได้เป็นอย่างดี ปัจจัยทั้งหมดนี้จึงสะท้อนให้เห็นว่าขณะนี้ทุกอย่างเป็นไปในทิศทางที่ดีขึ้น

จัดอีเวนต์ “บิ๊กมูฟ” ปลุกเชื่อมั่น

สำหรับไตรมาส 4/65 อนันดาฯ เตรียมขยับตัวภายใต้แนวคิด “ANANDA Big Move” เพื่อให้สอดคล้องกับเทรนด์ตลาดที่กำลังฟื้นตัว โดยที่ผ่านมา อนันดาฯ มุ่งเน้นตอบโจทย์ลูกค้าในเรื่องศักยภาพทำเลเป็นเรื่องหลัก แต่ปัจจุบันอาจไม่เพียงพอกับความต้องการของคนเมืองในยุคนี้ที่ต้องการชีวิตเมืองที่สะดวกสบายมากยิ่งขึ้น ทั้งเรื่องทำเล (Location) การบริการ (Service) และสังคม (Community)

ดังนั้น อนันดาฯ จึงเร่งมอบประสบการณ์ที่ดีในชีวิตให้กับลูกค้า โดยการพัฒนาคอนโดฯ ผสมผสานการบริการต่าง ๆ ที่มีมาตรฐานระดับ World class ไม่ว่าจะเป็นความร่วมมือกับ “ดุสิตธานี” ร่วมสร้างปรากฏการณ์ครั้งแรกของประเทศไทยในการเป็นพันธมิตรนำเสนอโครงการ Branded Residence ของอนันดาฯ เปิดประสบการณ์การบริการสุดประทับใจ ด้วยมาตรฐานระดับห้าดาวจากโรงแรมดุสิตธานี

นอกจากนี้มีการจับมือกับ Scratch First (From The Creator of Wonderfruit) ร่วมกันพัฒนาห้องชุดแบรนด์ใหม่ “Culture” ซึ่งเป็นโมเดลการพัฒนาที่อยู่อาศัยแนวคิดใหม่ ให้ความสำคัญการอยู่อาศัยร่วมกับธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพื่ออนาคตที่ดีขึ้น เป็นชุมชนของคนเมืองเผ่าพันธุ์ใหม่ที่มีความคิดอยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น

ทั้งนี้ คอนโดฯ แบรนด์ Culture ปักหมุดพร้อมกัน 2 ทำเลดังที่ “ทองหล่อ” และ “จุฬาฯ” ด้วยการออกแบบที่ฉีกทุกรูปแบบของการอยู่อาศัยให้แตกต่างไปจากเดิม

รวมทั้งความร่วมมือกับ Ascott แบรนด์ดังระดับโลกที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการการอยู่อาศัยให้สะดวกสบายมากขึ้นในโครงการ Culture เพื่อให้สามารถตอบโจทย์คนเมืองได้อย่างลงตัวที่สุด

บ้านแนวราบ-ลักเซอรี่โตพุ่ง

ผู้บริหารคีย์แมนอีกราย “ประเสริฐ แต่ดุลยสาธิต” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร สายงานธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ปี 2565 อนันดาฯ มีการฟื้นตัวไปในทิศทางที่ดีขึ้นจากการปรับตัวทั้งยอดขาย ยอดโอน และความสามารถในการทำกำไร

โดยทำยอดขายในไตรมาส 3/65 สูงถึง 4,062 ล้านบาท และมั่นใจว่าสามารถเติบโตต่อเนื่องในไตรมาส 4/65 อีกไม่ต่ำกว่า 5,000-6,000 ล้านบาท และทำได้ตามเป้าหมายยอดขายปีนี้ที่ 15,680 ล้านบาท

ด้านยอดโอนในไตรมาส 3/65 เติบโตจากไตรมาส 2/65 มากถึง 27% ด้วยยอดโอนจำนวน 4,423 ล้านบาท โดยมีแผนส่งมอบที่อยู่อาศัยอย่างต่อเนื่องในไตรมาส 4/65 ตอกย้ำความมั่นใจว่าสามารถทำได้ตามเป้าหมายยอดโอนปีนี้ที่ตั้งไว้ 13,033 ล้านบาท ด้านการทำกำไร มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้น (Gross Profit Margin) ปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องติดต่อกัน 3 ไตรมาส

นอกจากนี้ยังมีการปรับตัวในพอร์ตใหม่ขยายสู่เซ็กเมนต์ลักเซอรี่ ซึ่งสามารถทำยอดขายเฉพาะเซ็กเมนต์นี้ในช่วง 9 เดือนแรก (มกราคม-กันยายน 2565) สูงถึง 386% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว

สำหรับโครงการแนวราบยังคงเติบโตอย่างเห็นได้ชัด โดยมียอดขายเฉพาะแนวราบใน 9 เดือนแรกจำนวน 3,289 ล้านบาท นับเป็นสถิตินิวไฮของบริษัท และคิดเป็นอัตราเติบโต 64% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันในปีที่แล้ว จุดเน้นอยู่ที่สัดส่วนยอดขายบ้านแนวราบเพิ่มขึ้นจากเดิม 11% เพิ่มสัดส่วนเป็น 31%

บุก 3 แบรนด์ใหม่เจาะคนเมือง

แผนบุกตลาดไตรมาส 4/65 อนันดาฯ ยิงสลุตเปิดตัวแบรนด์ใหม่ 3 แบรนด์ ได้แก่ แบรนด์ “โคโค่-COCO” แบรนด์ “คัลเจอร์-CULTURE” และแบรนด์ “อันดา-ANDA” แต่ละแบรนด์มีแนวคิดที่แตกต่างกัน เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าคนเมืองได้ดีที่สุด

แผนลงทุนมีรายละเอียดเปิดตัวใหม่ 6 โครงการ มูลค่ารวม 21,627 ล้านบาท ดังนี้ 1.โครงการโคโค่ พาร์ค-COCO Parc 2.คัลเจอร์ ทองหล่อ-CULTURE Thonglor 3.คัลเจอร์ จุฬา-CULTURE CHULA

4.ไอดีโอ รามคำแหง-ลำสาลี สเตชั่น-IDEO Ramkhamhaeng Lamsali Station 5.อันดา ราชพฤกษ์-แจ้งวัฒนะ (ANDA Ratchaphruek-Chaengwatthana) และ 6.อาร์เทล อโศก-พระราม 9 (ARTALE Asoke-Rama 9)

ระเบิดอีเวนต์ 27-30 ต.ค.นี้

“พงศ์อนันต์ สุขเกษม” ประธานเจ้าหน้าที่สายงานการตลาด อนันดา ดีเวลลอปเม้นท์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทเตรียมจัดงานใหญ่ในรอบ 5 ปี เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อในช่วงไตรมาส 4/65 ธีมงาน “ANANDA Urban Pulse 2022” ภายใต้แนวคิด “The New Culture Is Here” ระหว่างวันที่ 27-30 ตุลาคม 2565 ณ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยามพารากอน

โดยรวบรวมคอนโดมิเนียมคุณภาพเยี่ยมติดรถไฟฟ้า รวมทั้งบ้านและทาวน์โฮมที่เป็นโครงการพร้อมอยู่ และโครงการใหม่ 6 โครงการดังกล่าว มอบข้อเสนอพิเศษสุดและโปรโมชั่นมากมาย อาทิ ราคาพิเศษสุดแห่งปี ส่วนลดพิเศษ อยู่ฟรีสูงสุด 24 เดือน และแพ็กเกจพร้อมอยู่ 24 รายการ เป็นต้น

นอกจากนี้ภายในงานยังมีห้องตัวอย่าง Hybrid ให้ลูกค้าเยี่ยมชมและสัมผัสห้องจริงได้ พร้อมกิจกรรมเพื่อคนเมืองภายในงานมากมาย อาทิ กิจกรรม Grand Opening สุดยิ่งใหญ่ 27 ตุลาคม 2565 นี้ พบศิลปินพิเศษ และกิจกรรม Urban Talk พูดคุยกับแขกรับเชิญพิเศษเรื่องราวการใช้ชีวิตของคนเมือง และกิจกรรม Urban Concert มินิคอนเสิร์ตในช่วงเย็นทุกวัน

พลาดไม่ได้คือลูกค้าผู้สนใจ เพียงคลิกลงทะเบียนเข้าร่วมงาน รับสิทธิลุ้นรับรางวัลได้ทุกวัน อาทิ Gift Card มูลค่า 5,000 บาท รางวัลใหญ่ที่พัก 1 คืน พร้อมบัตรคอนเสิร์ตงาน Toscana La Festa

“อนันดา มองขาดทุกชีวิตเมือง”

ล่าสุด “ชานนท์” ตอกย้ำจุดยืนให้ความมั่นใจว่าอนันดาฯ ไม่ใช่เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาฯ ที่มุ่งมั่นสร้างที่อยู่อาศัย แต่ต้องการตอบโจทย์ทุกความต้องการของคนเมืองอย่างแท้จริง เพราะตระหนักว่าที่อยู่อาศัยต้องไม่เป็นเพียงที่อยู่ แต่ต้องเป็น Living Solutions ตอบความต้องการที่แตกต่างของผู้คนได้

โดยนำเสนอโมเดล “อนันดา…มองขาดทุกชีวิตเมือง” ผ่านวิธีคิดจาก 6 แนวคิด คือ “Control” เพื่อให้คุณสามารถควบคุมเวลาในการเดินทางได้ “Convenience” เพื่อให้คุณมีความสะดวกสบายในทุกรูปแบบการใช้ชีวิตแบบคนเมือง “Casual” เพื่อให้คุณสามารถใช้ชีวิตได้ครบทุกไลฟ์สไตล์ที่ต้องการ

“Connect” เพื่อให้คุณสามารถต่อติดในทุกไอเดียและเชื่อมต่อได้ทุกคอมมูนิตี้ “Cash Smart” เพื่อเป็นการลงทุนที่ช่วยเพิ่มมูลค่าในอนาคต และ “Creative” ให้คุณพร้อมเปิดความคิดใหม่ ๆ ในการใช้ชีวิตเมือง

recommended by

“ANANDA URBAN PULSE 2022 เป็นอีเวนต์ส่งเสริมการขายที่เปิดโอกาสให้ลูกค้าผู้ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยคุณภาพ บนทำเลศักยภาพสูงติดสถานีรถไฟฟ้าของอนันดาฯ สามารถเลือกชมโครงการต่าง ๆ ได้อย่างใกล้ชิดก่อนใคร พร้อมรับข้อเสนอสุดพิเศษเมื่อจองซื้อภายในงาน ซึ่งความต้องการที่อยู่อาศัยพร้อมอยู่ยังมีอยู่อย่างต่อเนื่อง อนันดาฯ จึงรุกตลาดมากขึ้นในไตรมาส 4 นี้ ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าเช่นเคย” คำกล่าวของ CEO ชานนท์

ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net


Breakeven Inflation คืออะไร? และ บอกอะไร?

Breakeven Inflation คืออะไร? และ บอกอะไร? : บทความโดย สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย ( Thai BMA )

เงินเฟ้อคือการวัดราคาสินค้า และบริการว่าเพิ่มขึ้นเท่าไรเมื่อเวลาผ่านไป เช่น การเปรียบเทียบราคาของสินค้า และบริการในวันนี้เทียบกับปีก่อนหน้า โดยอัตราเงินเฟ้อจะคำนวณมาจากการเพิ่มขึ้นของดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index: CPI) ซึ่งจัดทำโดยกระทรวงพาณิชย์

อัตราเงินเฟ้อเป็นตัวเลขที่สำคัญทางเศรษฐกิจและการวางแผนการลงทุน จึงมีการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตว่าจะอยู่ที่เท่าไหร่ การคาดการณ์เงินเฟ้อส่วนใหญ่ทำได้ 3 วิธีคือ

  • การสอบถามผู้บริโภคและผู้ประกอบการ
  • การคาดการณ์ของนักเศรษฐศาสตร์จากแบบจำลอง และ
  • การสะท้อนผ่านตราสารทางการเงินที่แปรผันตามเงินเฟ้อ

การคาดการณ์เงินเฟ้อ จากการสะท้อนผ่านตราสารทางการเงินที่แปรผันตามเงินเฟ้อจะเป็นการคำนวณหาค่า Breakeven inflation ที่เป็นส่วนต่างอัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อในรุ่นอายุเดียวกัน โดยส่วนต่างของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรทั้ง 2 ชนิดนี้จะสะท้อนถึงการคาดการณ์เงินเฟ้อเฉลี่ยของนักลงทุนในช่วงอายุคงเหลือของพันธบัตร

ยกตัวอย่างเช่น Breakeven inflation 10 ปี อยู่ที่ 2% หมายความว่านักลงทุนมีมุมมองว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ย ในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะอยู่แถวๆ 2%

หลักการของการคำนวณ Breakeven inflation มาจากหลักการที่ว่า นักลงทุนย่อมจะได้รับผลตอบแทนสุทธิเท่าๆ กันไม่ว่าจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล หรือพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อในรุ่นอายุเดียวกัน

ยกตัวอย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาลรุ่นอายุ 10 ปีให้ผลตอบแทนที่ 2.50% และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อรุ่นอายุ 10 ปี อยู่ที่ 0.5% สะท้อนว่า Breakeven inflation 10 ปี เท่ากับ 2% ซึ่งจะทำให้ นักลงทุนได้รับผลตอบแทนสุทธิเท่ากันไม่ว่าจะลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลหรือพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อดังกล่าวมิฉะนั้นแล้วจะเกิดการ arbitrage ระหว่างพันธบัตรทั้ง 2 ประเภทนี้จนทำให้มีผลตอบแทนสุทธิเท่ากัน

Breakeven inflation จะขึ้นลงตามการคาดการณ์เงินเฟ้อในอนาคตของนักลงทุน สมมุติว่าในปัจจุบัน Breakeven inflation 10 ปี อยู่ที่ 2% ถ้านักลงทุนคาดว่าอัตราเงินเฟ้อเฉลี่ยในช่วง 10 ปีข้างหน้าจะสูงกว่า 2% นักลงทุนจะเลือกลงทุนในพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อ เมื่อมีแรงซื้อพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อจากนักลงทุนจะทำให้ราคาพันธบัตรชดเชยเงินเฟ้อสูงขึ้นและอัตราผลตอบแทนลดลงส่งผลให้ Breakeven inflation สูงขึ้นที่สะท้อนการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อที่สูงขึ้นของนักลงทุน ในทางกลับกันหากนักลงทุนคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะต่ำกว่า 2% ก็จะเลือกลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลและทำให้ Breakeven inflation ต่ำลง

จากอดีตที่ผ่านมา Breakeven inflation ของสหรัฐฯ สะท้อนการคาดการณ์เงินเฟ้อของนักลงทุนได้เป็นอย่างดี ในช่วงเดือน มี.ค. 2563 ที่ COVID-19 ระบาดอย่างหนักทั่วโลกและเกิดการปิดเมืองทำให้กระทบกับเศรษฐกิจ และการจับจ่ายใช้สอยของประชาชนทำให้อัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มลดลง ในช่วงนั้น Breakeven inflation 10 ปี ของสหรัฐได้ลดลงอย่างรวดเร็วจากระดับ 1.5% ในเดือน ก.พ. 2563 มาอยู่ที่ 0.5% ในเดือน มี.ค. ซึ่งต่ำที่สุดในรอบ 10 ปีเลยทีเดียว

ตัวเลข Headline CPI ที่เป็นดัชนีชี้วัดอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐก็ปรับตัวลงจากระดับ 2% มาอยู่ที่ 1.5% ในเดือน มี.ค. และปรับลดลงต่อเนื่องจนมาอยู่ที่จุดต่ำสุดในรอบ 7 ปี ที่ 0.1% ในเดือน พ.ค. ในขณะที่ CPI ทำจุดต่ำสุดนั้น Breakeven inflation มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นสะท้อนความคาดหวังของนักลงทุนว่าอัตราเงินเฟ้อได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้ว นับตั้งแต่เดือน พ.ค. 2563 เป็นต้นมา CPI ของสหรัฐปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจนมาอยู่ที่ 9.1% ในเดือน มิ.ย. 2565

การคาดการณ์เงินเฟ้อทั้งจากแบบสอบถามและ Breakeven inflation ยังมีส่วนในการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐอีกด้วย ในเดือน มิ.ย. 2565  ธนาคารกลางสหรัฐได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐขึ้นมาอยู่ที่ 1.5 – 1.75% นายเจอโรม พาวเวล ผู้ว่าการธนาคารกลางสหรัฐได้ให้สัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวหลังการประชุมว่าหนึ่งในปัจจัยที่ทำให้ต้องปรับดอกเบี้ยขึ้นมาจากตัวเลขการคาดการณ์เงินเฟ้อที่สูงทำให้คณะกรรมการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากขึ้นในการประชุมครั้งนี้

จะเห็นว่าตัวเลชคาดการณ์เงินเฟ้อจาก Breakeven inflation มีประโยชน์กับคนหลายกลุ่มไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักลงทุนที่สามารถส่งผ่านมุมมองการคาดการณ์เงินเฟ้อผ่านการซื้อขายพันธบัตรรัฐบาลและพันธบัตรชดเลยเงินเฟ้อ นอกจากกลุ่มนักลงทุนแล้วผู้กำหนดนโยบายการเงินอย่างธนาคารกลางก็ยังใช้เงินเฟ้อคาดการณ์เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจในการกำหนดนโยบายการเงิน ซึ่งการกำหนดนโยบายการเงินจากธนาคารกลางจะส่งผลกระทบต่อตลาดตราสารหนี้รวมไปถึงตลาดหุ้น ตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์นี้จึงเป็นอีกปัจจัยทางเศรษฐกิจที่มีความสำคัญ และนักลงทุนควรให้ความสนใจ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


เจ็ตสกีไทยดังระเบิด! ซิวอีก 6 แชมป์โลก “ออก้า-ออตโต้” รุ่นเยาวชน สร้างประวัติศาสตร์ผงาด 14 แชมป์ที่สหรัฐฯ

เจ็ตสกีไทยดังระเบิด! ซิวอีก 6 แชมป์โลก “ออก้า-ออตโต้” รุ่นเยาวชน สร้างประวัติศาสตร์ 14 แชมป์ที่สหรัฐฯ

ทัพเจ็ตสกีไทยดังทั่วโลกหลังได้แชมป์โลกเพิ่มวันเดียว 6 แชมป์ในวันสุดท้ายของศึกเจ็ตสกีชิงแชมป์โลก “ดับเบิลยูจีพี วัน เจ็ตสกี เวิลด์ ซีรีส์ 2022” (WGP#1 World Series 2022) สนาม 2 – เวิลด์ ไฟนอล ที่เมืองเลค ฮาวาซู ซิตี้ รัฐแอริโซน่า ประเทศสหรัฐ เมื่อวันที่ 9 ต.ค. จาก “นัท” ณัฐกร ภูภักดี, “น้ำ” อรพรรณ ธีรพัฒน์พาณิชย์, “ตอง” ทศวนนท์ เผือกผ่อง และ “เซ้นซ์” ธนวิชญ์ โมลี ในรุ่นโปร และ “ออก้า” ด.ช.นครา ศิลาชัย กับ “ออตโต้” ด.ช.ณัฐนันท์ กีนะพันธ์ ในรุ่นเยาวชน รวมทัพไทยคว้าถึง 14 แชมป์เป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของทีมชาติไทย

ศึกเจ็ตสกีชิงแชมป์โลก “ดับเบิลยูจีพี วัน เจ็ตสกี เวิลด์ ซีรีส์ 2022” (WGP#1 World Series 2022) สนาม 2 – เวิลด์ ไฟนอล วันสุดท้ายของการแข่งขันเมื่อวันที่ 9 ต.ค. ทัพเจ็ตสกีไทยลงลุ้นแชมป์โลกทั้งประเภทเรือนั่งและยืน เพื่อสร้างประวัติศาสตร์ใหม่ให้ทีมด้วยการคว้าเกินสถิติเดิม 9 แชมป์โลก หลังจากวันที่ผ่านมาเก็บมาแล้ว 8 แชมป์

ทัพเจ็ตสกีไทยเริ่มวันสุดท้ายได้อย่างยอดเยี่ยมจาก “ออก้า” ด.ช.นครา ศิลาชัย คว้าแชมป์ในรุ่นเรือยืนเยาวชนอายุ 10-12 ปี ห้ามแต่งเครื่องยนต์ (JUNIOR SKI 10-12 STOCK) ที่ตุนไว้ 120 คะแนนเต็มลงมาสู้กับ โบรดี้ คิง นักแข่งเจ้าถิ่นในโมโตสุดท้าย ปรากฏว่างานของ ออก้า ง่ายกว่าเดิมออกนำขาดเข้าที่ 1 คว้าแชมป์โลกรุ่นที่ 9 ให้ไทยไปแบบ 180 คะแนนเต็ม สร้างประวัติศาสตร์เป็นคนไทยที่อายุน้อยที่สุดที่ได้แชมป์โลกเวิลด์ไฟนอลที่สหรัฐด้วยอายุเพียง 10 ปี รองแชมป์ โบรดี้ คิง (สหรัฐ) 159 คะแนน อันดับ 3 เกวิน ฮ็อกการ์ท (สหรัฐ) 144 คะแนน

รุ่นเรือนั่งอาชีพห้ามแต่งเครื่องยนต์ (PRO-AM RUNABOUT STOCK) ทำการแข่งขัน 2 โมโต “นัท” ณัฐกร ภูภักดี เอาชนะตัวเต็งอย่าง อับดุลลาห์ อัล ฟาเดล จากคูเวต เข้าที่ 1 ในโมโตแรกเมื่อวันที่ 8 ต.ค. และ “พูน” เพิ่มพล ธีรพัฒน์พาณิชย์ เข้าที่ 3 และในโมโตตัดสิน นัท ขับเข้าทุ่นได้อย่างมั่นใจหลังจากขึ้นนำ จนเข้าเส้นชัยที่ 1 อีกโมโต คว้าแชมป์โลกที่ 10 ให้ทีมไทยแบบ 120 คะแนนเต็ม รองแชมป์ อัล ฟาเดล 101 คะแนน อันดับ 3 เพิ่มพล 91 คะแนน

อีกรุ่นเยาวชนที่ทำให้เจ็ตสกีไทยแชมป์โลกรุ่นที่ 11 คือรุ่นเรือยืนเยาวชนอายุ 13-15 ปี ห้ามแต่งเครื่องยนต์ (JUNIOR SKI 13-15 STOCK) “ออตโต้” ด.ช.ณัฐนันท์ กีนะพันธ์ ที่มี 120 คะแนนเต็มจาก 2 โมโตแรก ปิดงานโมโต 3 แบบสบายๆ ทิ้งคู่แข่งเจ้าถิ่น และเอสโตเนียเข้าที่ 1 ได้แชมป์โลกครั้งแรกในชีวิตแบบ 180 คะแนนเต็ม รองแชมป์ รอรี ฮูเบิร์ต (เอสโตเนีย) 149 คะแนน อันดับ 3 จอร์ช ซิมอน (สหรัฐ) 136 คะแนน

แชมป์โลกรุ่นที่ 12 ได้มาจากรุ่นเรือนั่งอาชีพหญิง (PRO WOMEN RUNABOUT) “น้ำ” อรพรรณ ธีรพัฒน์พาณิชย์ เริ่มผลงานโมโตแรกได้อันดับ 2 ทำให้มีลุ้นขึ้นมา ก่อนที่โมโต 2 สามารถชิงจังหวะขึ้นนำก่อนทิ้งห่างคู่แข่งเข้าที่ 1 และโมโตตัดสิน อรพรรณ ไม่พลาดเข้าที่ 1 คว้าแชมป์โลกด้วยการมี 173 คะแนน

ตามด้วยแชมป์โลกรุ่นที่ 13 จากรุ่นเรือยืนอาชีพห้ามแต่งเครื่องยนต์ (PRO-AM SKI STOCK) 2 แฝด “ซิกซ์-เซ้นซ์” ธนวินท์ กับ ธนวิชญ์ โมลี ลงสู้กับนักแข่งชั้นนำจาก ญี่ปุ่น, สหรัฐ, ฝรั่งเศส, คูเวต และอาร์เจนตินา เป็นวันที่ 2 หลังจาก ธนวิชญ์ เป็นที่ 9 ในโมโตแรก และเข้าโมโต 2 ธนวิชญ์ ฉีกคู่แข่งตั้งแต่นำรอบแรกเข้าที่ 1 มี ธนวินท์ ตามเข้าที่ 3 และโมโตสุดท้าย ธนวิชญ์ เข้าที่ 1 จึงได้แชมป์โลกแบบฉิวเฉียด

และแชมป์โลกรุ่นที่ 14 จากรุ่นเรือนั่งสปอร์ตจับเวลา (SPORT SLALOM) “ตอง” ทศวนนท์ เผือกผ่อง ทำเวลาดีที่สุด 22.62 วินาทีคว้าแชมป์โลก มี “ออก้า” ด.ช.นครา ศิลาชัย เอาชนะนักแข่งรุ่นใหญ่อย่างเหลือเชื่อได้รองแชมป์ 23 วินาที อันดับ 3 ไซม่อน เบลเชอร์ จากสหราชอาณาจักร 23.1 วินาที

ขณะที่รุ่นเรือนั่งอาชีพ สปอร์ต จีพี (PRO SPORT GP) “บอม” สุภัค เสร็จธุระ กับ วุฒิพงษ์ สุวรรณทองขาว ลงลุ้นแชมป์ต่อกับ เดเวน ฟาร์ธติ้ง นักแข่งอเมริกันผู้มีคะแนนนำจากวันที่ 8 ต.ค. ทีมชาติไทยเริ่มต้นได้ดีในโมโตตัดสินแชมป์ วุฒิพงษ์ ขึ้นนำตามด้วย สุภัค แต่สุดท้าย “ไอซ์แมน” ฟาร์ธติ้ง แซง 2 นักแข่งไทยเข้าที่ 1 คว้าแชมป์ 173 คะแนน วุฒิพงษ์ รองแชมป์ 154 คะแนน ขณะที่ สุภัค ที่เรือเสียตั้งแต่โมโต 2 จบที่ 135 คะแนนได้อันดับ 3

ผลงานนักแข่งไทยที่ทำผลงานดีในวันเดียวกัน รุ่นเรือนั่งจับเวลา (RUNABOUT SLALOM) สุภทัต ฟูตระกูล ได้อันดับ 3, รุ่นเรือยืนจับเวลา (SKI SLALOM) ด.ช.ณัฐนันท์ กีนะพันธ์ ได้อันดับ 3, รุ่นเรือนั่งอาชีพทางไกลเอนดูรานซ์ (PRO AM ENDURANCE RUNABOUT) ธีระพงษ์ พิมพาวัตร ได้อันดับ 3 และ สุภาพ พูลโสภา ได้อันดับ 5

นายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร เลขาธิการสมาคมกีฬาเจ็ตสกีแห่งประเทศไทยฯในฐานะผู้จัดการทีมชาติไทย กล่าวว่า “น่ายินดีที่เราได้แชมป์ถึง 14 รุ่น มากที่สุดในประวัติศาสตร์เวิลด์ ไฟนอล ที่เราร่วมแข่งขันมา 25 ปี ในฐานะเลขาธิการสมาคมฯ รู้สึกชื่นชมผลงานนักกีฬาไทยทั้งที่ได้แชมป์และไม่ได้แชมป์ ทีมงานทุกคนไม่ว่าจะเป็นช่างเครื่อง ช่างยกเรือ แม้แต่กองเชียร์ที่ติดตามมาถึงขอบสนาม

ต้องขอบคุณแฟนๆเจ็ตสกีไทยที่อดตาหลับขับตานอนให้กำลังใจนักกีฬาเนื่องจากเวลาไม่ตรงกัน สุดท้ายที่ขาดไม่ได้เลยคือการกีฬาแห่งประเทศไทย กองทุนกีฬาพัฒนาชาติที่ช่วยสนับสนุนงบประมาณ แม้จะไม่ได้ครอบคลุมทั้งหมด แต่ก็ทำให้เราได้มา มีส่วนร่วมในการแข่งขัน และสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย”

ขณะที่รุ่นใหญ่ของการแข่งขัน เรือยืนอาชีพ จีพี (PRO SKI GP) แชมป์เป็นของ มาร์เทน มานนี่ จากเอสโตเนีย และรุ่นเรือที่แรงเร็วที่สุดในโลกเรือนั่งอาชีพ จีพี (PRO RUNABOUT GP) แชมป์เป็นของ โมฮัมหมัด อัลบาส จากคูเวต และรุ่นโปรฟรีสไตล์แชมป์เป็นของ ลี สโตน จากสหราชอาณาจักร

การแข่งขันของทีมชาติไทยครั้งนี้ได้รับการสนับสนุนจากการกีฬาแห่งประเทศไทย และกองทุนพัฒนาการกีฬาแห่งชาติ ในฐานะผู้ที่สนับสนุนนักกีฬาเจ็ตสกีทีมชาติไทย รวมทั้ง บริษัททรู คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ที่มอบ Travel SIM card ให้กับสมาคมฯ และทีมนักกีฬาเจ็ตสกีไทยใช้ติดต่อสื่อสารกับครอบครัว และรายงานข่าวสารผ่านเครือข่ายระหว่างประเทศได้อย่างรวดเร็ว

สำหรับแฟนๆกีฬามอเตอร์สปอร์ตชาวไทย และแฟนๆกีฬาเจ็ตสกี สามารถร่วมเชียร์นักเจ็ตสกีทีมชาติไทย และติดตามผลการแข่งขันนักเจ็ตสกีทีมชาติไทย ได้ทาง www.jetskiprotour.com  รวมทั้งทางเฟซบุ๊ก jetskiprotour

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


สาเหตุ “หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท” ที่พบได้บ่อย

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท เป็นโรคที่พบได้บ่อย ผู้ป่วยจะมีอาการปวดรุนแรงจากการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูก ร่วมกับการปวดจากเส้นประสาทถูกกดทับ การใช้งานหลังที่ไม่ถูกต้อง การยกของหนักๆ การออกกำลังเวทเทรนนิ่งที่ผิดจังหวะ สามารถทำให้เกิดการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกสันหลังได้

เพื่อเป็นการเสริมสร้างความรู้รอบด้าน นพ.ศรัณย์ ก่อวุฒิกุลรังษี แพทย์เฉพาะทางด้านศัลยกรรมกระดูกและข้อ และกระดูกสันหลัง ศูนย์กล้ามเนื้อ กระดูกและข้อ โรงพยาบาลนวเวช ได้รวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ตั้งแต่โครงสร้างของกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก การเกิดโรคหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท ไปจนถึงการป้องกันและรักษา เพื่อให้ทุกท่านสามารถศึกษาและทำความเข้าใจได้โดยง่าย

โครงสร้างของกระดูกสันหลังและหมอนรองกระดูก

กระดูกสันหลังของมนุษย์มีลักษณะเป็นปล้องๆ โดยส่วนหน้าจะเป็นรูปร่างทรงกระบอกสั้นๆ ระหว่างปล้องจะมีหมอนรองกระดูกสันหลังคั่นไว้ ส่วนปล้องจะมีแกนกระดูก 2 ข้าง ยื่นไปด้านหลัง สร้างเป็นวงโค้งโอบรอบไขสันหลัง และสร้างเป็นข้อต่อด้านหลัง รูปร่างของกระดูกสันหลังแต่ละปล้องจะแตกต่างกันไปเล็กน้อย ขนาดของปล้องกระดูกสันหลังจะค่อยๆ ใหญ่ขึ้น จากกระดูกคอไล่ลงมาถึงเอว เพื่อรองรับน้ำหนักของร่างกายและการใช้งาน

หมอนรองกระดูกสันหลังจะมีลักษณะเป็นถุงแบนๆ ที่มีเปลือกหนาๆ ตามเส้นรอบวง ภายในบรรจุสารประกอบโปรตีนและน้ำ มีเซลล์สร้างสารประกอบดังกล่าวเล็กน้อย หมอนรองกระดูกทำหน้าที่เป็นตัวดูดซับแรงกระแทกต่อกระดูกสันหลัง และทำให้การเคลื่อนไหวระหว่างปล้องขณะที่ก้มเงยหรือเอียงตัว เป็นไปอย่างราบรื่น

หมอนรองกระดูกทับเส้นประสาทเกิดได้อย่างไร

ภาวะหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท สามารถแบ่งตามสาเหตุได้เป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ

  1. จากการที่ถุงของหมอนรองกระดูก ไม่สามารถทนรับแรงที่มากระทำได้ เช่น การถูกกระแทกอย่างรุนแรง หรือการก้มตัวทำให้เปลือกด้านหลังเกิดการฉีก และสารประกอบภายในเกิดการเคลื่อนตัวโป่งนูน และเคลื่อนมาเบียดพื้นที่ของไขสันหลังและเส้นประสาท เมื่อมีการกดจะทำให้เส้นประสาททำงานผิดปกติ
  2. จากความเสื่อมของร่างกาย หรือการใช้งานหลังมากๆ เป็นเวลานานๆ น้ำหนักตัวที่มากเกินไป เมื่อสารประกอบภายในเสื่อมสภาพ ปริมาณน้ำลดลง หมอนรองกระดูกจะยุบตัว ทำให้เปลือกเกิดการโป่งนูน กดทับเส้นประสาท โดยมักพบร่วมกับความเสื่อมของข้อต่อที่อยู่ด้านหลังของเส้นประสาท

อาการของหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

ในกรณีที่เกิดจากการใช้งาน หรืออุบัติเหตุ ผู้ป่วยมักมาด้วยอาการปวดหลังทันทีทันใด ตำแหน่งที่ปวดมักเป็นบริเวณเอว เนื่องจากเป็นจุดที่มีการเคลื่อนไหวเยอะและรับน้ำหนักเยอะ และบริเวณดังกล่าวมีเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อและรับความรู้สึกส่วนขา ทำให้ผู้ป่วยมักมีอาการปวดเสียว หรือปวดร้าวลงขาข้างใดข้างหนึ่ง ในรายที่อาการรุนแรงจะตรวจพบอาการอ่อนแรงหรือชาของขาข้างที่มีอาการ ในรายที่เป็นที่กระดูกสันหลังส่วนอื่นๆ ก็จะเกิดอาการตามระดับของไขสันหลังและเส้นประสาทที่ถูกกด เช่น ปวดร้าวลงแขนจากหมอนรองกระดูกคอบาดเจ็บ

สำหรับในกรณีที่เกิดจากความเสื่อมของร่างกาย ผู้ป่วยอาจมีอาการปวดลงขาที่ไม่รุนแรงมาเป็นเวลานาน มีอาการปวดหลังเป็นๆ หายๆ มักเกิดร่วมกับความเสื่อมของเนื้อเยื่อและข้อต่อข้างเคียง เกิดเป็นภาวะโพรงไขสันหลังตีบ หากเป็นที่ส่วนเอว ผู้ป่วยจะมีอาการหน่วงๆ ที่ก้นและขาเวลายืน เดินแล้วเมื่อยง่าย อาจมีอาการชาหรืออ่อนแรงร่วมด้วย

การตรวจเพื่อวินิจฉัย

แพทย์จะซักประวัติการใช้งาน อุบัติเหตุ ความเสี่ยง และตรวจร่างกายระบบประสาท และตรวจจำเพาะเพื่อประเมินว่ามีภาวะเส้นประสาทถูกกดทับหรือไม่ โดยการถ่ายภาพรังสีกระดูกสันหลัง ในรายที่สงสัยหรือมีอาการรุนแรง จะต้องทำเอ็กซเรย์คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) เพื่อประเมินขนาดและความรุนแรง สำหรับวางแผนการรักษาต่อไป

การรักษาหมอนรองกระดูกกดทับเส้นประสาท แบ่งออกเป็น

  • การรักษาแบบประคับประคอง

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการไม่รุนแรง การอ่อนแรงไม่ชัดเจน เส้นประสาทถูกกดทับไม่มาก สามารถรักษาแบบไม่ผ่าตัดได้ โดยให้ผู้ป่วยนอนในท่านอนหงาย ใช้หมอนเล็กรองใต้เข่าหรือนอนตะแคง ร่วมกับการให้ยาต้านการอักเสบและยาลดปวด สามารถทำกายภาพบำบัดรวมเพื่อลดอาการปวดหลังและปวดขาได้ เมื่ออาการปวดดีขึ้น ผู้ป่วยควรได้รับการประเมินติดตามต่อเนื่อง พร้อมรับคำแนะนำในการปฏิบัติตัวและปรับเปลี่ยนการทำงานเพื่อลดความเสี่ยงของการเกิดซ้ำ

  • การรักษาโดยการผ่าตัด

ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการปวดรุนแรง การให้ยาลดปวดไม่ได้ผล หรือมีภาวะเส้นประสาทถูกกดทับรุนแรง ขาอ่อนแรง ผู้ป่วยจำเป็นต้องรักษาด้วยการผ่าตัด โดยในปัจจุบัน มีทั้งการผ่าตัดแบบแผลเล็ก เพื่อเอาชิ้นหมอนรองกระดูกที่กดทับออกเพียงอย่างเดียว หรือในกรณีที่กระดูกสันหลังมีความเสื่อมร่วมด้วย แพทย์อาจพิจารณาผ่าตัดเปิดโพรงไขสันหลังและนำชิ้นส่วนที่กดออก ร่วมกับใส่อุปกรณ์ดามกระดูก

การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันหมอนรองกระดูกทับเส้นประสาท

  1. ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากเกินไป ลดแรงกดทับที่หมอนรองกระดูก
  2. ระมัดระวังในการใช้งานหลัง โดยเฉพาะผู้ใช้แรงงานหรือผู้ที่ต้องยกของหนักบ่อยๆ โดยท่ายกของจากพื้นที่เหมาะสมคือ การย่อเข่า โดยหลังตั้งตรงหรือเอนมาด้านหน้าเล็กน้อย งดการใช้ท่าก้มหลังโดยเข่าเหยียดตรง เพราะจะมีโอกาสเกิดการบาดเจ็บของหมอนรองกระดูกได้ง่าย
  3. การออกกำลังเวทเทรนนิ่ง ไม่ยกน้ำหนักที่มากเกินกำลัง และควรใช้อุปกรณ์รัดพยุงหลัง เพื่อช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บ
  4. งดสูบบุหรี่ เพราะจะทำให้เส้นเลือดที่นำออกซิเจนไปเลี้ยงหมอนรองกระดูกเกิดความเสียหายได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


อยากให้กำลังใจคนป่วย นอกจาก Get well soon แล้วพูดอะไรได้อีก?

เพราะคนป่วยต้องการกำลังใจ นอกจากการไปเยี่ยมหากับของเยี่ยมไข้ที่ช่วยบำรุงร่างกายแล้ว คำพูดให้กำลังใจก็เป็นตัวช่วยบำรุงจิตใจให้กับคนป่วยได้ไม่น้อยเหมือนกัน แต่จะมา “Get well soon” อยู่ตลอดก็ดูจะธรรมดาไป ลองมาดูประโยคเก๋ๆ สำหรับให้กำลังคนป่วย เวลาไปเยี่ยมพวกเขาที่โรงพยาบาลกันดีกว่า

1. I hope you get well really soon! I miss your smile.

ฉันหวังว่าคุณจะอาการดีขึ้นในเร็ววัน ฉันคิดถึงรอยยิ้มของคุณนะ

2. Thinking of you lots and hoping for your speedy recovery.

คิดถึงคุณมากๆ เลย หวังว่าคุณจะหายไวๆ นะ

3. I wish I had a magic wand with which I can call you up from your sick bed but I don’t, so I pray for you everyday to get well soon.

ฉันอยากมีไม้กายสิทธิ์ที่ฉันจะเสกให้เธอหายป่วยได้ แต่ว่าฉันไม่มี ฉันเลยภาวนาทุกวันให้เธออาการดีขึ้น

4. May the good wishes and warm thoughts of those who care about you send a little cheerfulness into your world and help you feel better.

ขอส่งความปรารถนาดี และความรักที่แสนอ่อนโยนจากผู้คนที่ห่วงใยคุณ ให้เป็นกำลังใจเล็กๆ ที่จะช่วยให้คุณรู้สึกดีขึ้น

5. I got the news of your sickness and got you some flowers to make your happier and healthier again. Get well soon.

ฉันได้รับข่าวเกี่ยวกับอาการเจ็บป่วยของคุณ และฉันก็มีดอกไม้มาให้ เพื่อที่จะทำให้คุณรู้สึกดีและแข็งแรงขึ้นมาอีกครั้ง หายไวๆ นะ

6. Look outside the sun is shining, and it’s telling you to get well soon.

มองออกไปข้างนอกสิ ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสงบอกให้เธอหายป่วยไวๆ อยู่นะ

7. We are so eager to have you back with us. Arise and shine and bounce back to life. We wish you quick return to health.

เราอยากให้คุณมากับพวกเรา ลุกขึ้นมานะ ทำตัวให้สดชื่น แล้วกลับมาใช้ชีวิต เราหวังว่าคุณจะกลับมามีสุขภาพที่แข็งแรงในเร็ววัน

8. The most important thing in illness is never to lose heart. Our prayers are with you. Fell Better Soon.

สิ่งสำคัญที่สุดในการเจ็บป่วยคือ การที่หัวใจของเราไม่เคยพ่ายแพ้ คำขอพรของเราจะอยู่กับคุณ ขอให้อาการดีขึ้นไวๆ นะ

9. Get well soon, so you can resume bringing brightness and delight into our lives.

หายไวๆ นะ เธอจะได้กลับมามอบความสดใสและความสุขใจให้กับพวกเราได้อีก

10. May evey cell in your body heal miraculously fast. Know that you are missed greatly.

ขอให้เซลล์ทุกส่วนในร่างกายของคุณ หายป่วยเร็วไวราวกับปาฏิหาริย์ เราคิดถึงคุณสุดๆ

11. If money can buy back your health, I wouldn’t mind closing my bank account just to see you well again. You mean the world to me, so get well soon.

ถ้าเงินสามารถซื้อสุขภาพที่ดีของคุณกลับคืนมาได้ ฉันยินดีจะถอนปิดบัญชีเพียงเพื่อได้เห็นคุณแข็งแรงอีกครั้ง คุณคือโลกทั้งใบของฉัน หายเร็วๆ นะ

12. I have reported your illness to the police, you are its hostage. Please get a lot of rest and drink your meds on time. I miss you.

ฉันแจ้งความเรื่องที่คุณป่วยกับตำรวจแล้วนะ คุณถูกโรคภัยจับเป็นตัวประกันอยู่ พักผ่อนเยอะๆ ทานยาให้ตรงเวลาด้วยล่ะ ฉันคิดถึงคุณนะ

13. Have you seen the sky tonight? The universe laid out wonderful stars as its way of telling you to get well soon.

คุณเห็นท้องฟ้าคืนนี้มั้ย? ดาวสวยๆ เต็มทั่วจักรวาลราวกับกำลังจะอวยพรให้คุณหายไวๆ

14. Best wishes that you will soon be back to doing all the things you love.

ขอให้คุณหายป่วยไวๆ และกลับมาทำในสิ่งคุณรักได้ในเร็ววันนะ

15. Please get well soon. No, not soon. Get well now.

หายป่วยไวๆ นะ ไม่สิ! ไม่ใช่ไวๆ หายตอนนี้เลยต่างหาก

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


10 สมุนไพรไทย ประโยชน์และอันตรายที่ควรรู้ก่อนกิน

สมุนไพร คือ ยาที่ได้มาจากพืช แร่ธาตุ สัตว์ ที่สามารถนำไปใช้เพื่อบำรุงร่างกายและรักษาโรค โดยอาจอยู่ในรูปแบบของอาหารยาแผนโบราณ หรืออาหารเสริม ที่อาจสามารถช่วยบรรเทาอาการอักเสบ ชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ เสริมสุขภาพหัวใจ อาจลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง สมุนไพรแต่ละชนิดมีคุณประโยชน์ วิธีการใช้ และปริมาณในการใช้ที่แตกต่างกัน หากใช้อย่างผิดวิธีหรือใช้ในปริมาณที่มากเกินไปอาจส่งผลเสียต่อสุขภาพได้

ประโยชน์ของสมุนไพร

สมุนไพรแต่ละชนิดมีสรรพคุณที่แตกต่างกัน ทั้งอาจช่วยรักษาโรค บรรเทาอาการ หรือใช้สำหรับบำรุงร่างกาย สมุนไพรที่นิยมใช้ในครัวเรือน ดังนี้

  1. ขมิ้นชัน เป็นเครื่องเทศที่เป็นแหล่งของเคอร์คูมิน (Curcumin) ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยบรรเทาอาการอักเสบ จากงานวิจัยในวารสาร Traditional and Complementary Medicine ประเทศเนเธอร์แลนด์ ปี พ.ศ. 2560 ระบุว่า สารเคอร์คูมินอาจช่วยบรรเทาอาการปวด ต้านการอักเสบ และการรับประทานขมิ้นอาจช่วยป้องกันหรือชะลอการเกิดโรคอัลไซเมอร์ได้
  2. พริกแห้ง พริกสด พริกป่น เป็นแหล่งแคปไซซิน (Capsaicin) ซึ่งอาจช่วยเพิ่มการเผาผลาญ ทำให้การไหลเวียนเลือดดีขึ้น จากงานวิจัยในวารสาร Open Heart ประเทศอังกฤษ ปี พ.ศ. 2558 ระบุว่า แคปไซซินอาจช่วยปรับปรุงสุขภาพหัวใจ เร่งการเผาผลาญ และอาจช่วยลดไขมันหน้าท้อง ลดความอยากอาหารได้
  3. อบเชย มีแคลอรี่ต่ำมาก อาจช่วยต้านการอักเสบจากสารอนุมูลอิสระและช่วยต่อสู้กับแบคทีเรีย และจากงานวิจัยในวารสาร Pharmacognosy Research ปี พ.ศ. 2558 ระบุว่า อบเชย อาจช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือดในผู้ป่วยเบาหวานหรือมีแนวโน้มที่จะเป็นโรคนี้
  4. กระวาน มีแร่ธาตุสูง เช่น แมกนีเซียม สังกะสี อาจช่วยบรรเทาอาการท้องไส้ปั่นป่วน และจากการวิจัยในวารสาร Lipids in Health and Disease ประเทศอังกฤษ ปี พ.ศ. 2560 ระบุว่า กระวานมีสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิด เช่น ฟีนอล (Phenol) เควอซิทิน (Quercetin) เรสเวอราทรอล (Resveratrol) ที่อาจช่วยต้านการอักเสบ ท้องผูก ท้องเสีย อาการจุกเสียด โรคลมบ้าหมู โรคหัวใจและหลอดเลือด
  5. กระเทียม เป็นแหล่งของอัลลิซิน (Allicin) ที่อาจลดโอกาสเกิดโรคหัวใจ และจากงานวิจัยในวารสาร BMC Cardiovascular Disorders ปี พ.ศ.2551 พบว่า การรับประทานกระเทียมเป็นประจำอาจช่วยลดระดับคอเลสเตอรอลและลดความดันโลหิต ซึ่งลดความเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด
  6. ขิง อาจช่วยบรรเทาอาการท้องอืดและบรรเทาอาการคลื่นไส้ จากงานวิจัยในวารสาร Gastroenterology Research and Practice ปี พ.ศ. 2558 พบว่า ขิงอาจมีคุณสมบัติต้านการอักเสบและต้านอนุมูลอิสระ และอาจลดความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งได้
  7. สะระแหน่ มีฤทธิ์เย็น มีคุณสมบัติต้านเชื้อแบคทีเรีย ดีต่อสุขภาพทางเดินอาหาร สุขภาพหัวใจ หลอดเลือด และปอด โดยอาจช่วยขยายหลอดลมทำให้หายใจสะดวกขึ้นเมื่อสูดดม นอกจากนี้ สะระแหน่ยังอาจมีฤทธิ์คลายกล้ามเนื้อได้อีกด้วย
  8. ผงยี่หร่า อุดมไปด้วยธาตุเหล็ก อาจช่วยลดน้ำหนักได้ จากการศึกษาที่ถูกตีพิมพ์ในวารสารทางการแพทย์ Evidence-Based Complementary and Alternative Medicine ปี พ.ศ. 2562 และในวารสาร BMC Complementary Medicine and Therapies ปี พ.ศ.2564 พบว่า ยี่หร่ามีฟีนอลิก (Phenolic) ที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระ ช่วยลดน้ำหนัก ควบคุมคอเลสเตอรอล และจัดการความเครียดได้
  9. ว่านหางจระเข้ อาจมีฤทธิ์ช่วยเร่งสมานแผล โดยเฉพาะแผลไฟไหม้น้ำร้อนลวก จากงานวิจัยในวารสาร Iranian Journal of Medical Sciences ปี พ.ศ. 2562 พบว่า ว่านหางจระเข้สามารถเร่งสมานแผลไฟไหม้ได้ เมื่อเทียบกับยาทั่วไป นอกจากนี้ ยังช่วยป้องกันรอยแดง อาการคัน และการติดเชื้อ
  10. ฟ้าทะลายโจร อาจมีคุณสมบัติช่วยรักษาโรคหลายชนิด จากงานวิจัยในวารสาร Asian Pacific Journal of Tropical Disease ปี พ.ศ. 2557 ระบุว่า ฟ้าทะลายโจรมีสารไดเทอร์พีน (Diterpenes) สารฟลาโวนอยด์ (Flavonoids) แซนโทน (Xanthones) เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่อาจใช้รักษาโรคหลายชนิด เช่น มะเร็ง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง แผลในกระเพาะ โรคเรื้อน หลอดลมอักเสบ โรคผิวหนัง ท้องอืด จุกเสียด ไข้หวัดใหญ่

ความเสี่ยงของสมุนไพร

สมุนไพรหากใช้ในปริมาณที่มากเกินไปหรือใช้ผิดวิธี ก็อาจทำให้เกิดอันตรายต่อร่างกายได้ ดังนี้

สารพิษจากสมุนไพร

สมุนไพรหลายชนิดที่มีสารเคมีที่เป็นพิษร้ายแรงที่เป็นอันตราย หากใช้สมุนไพรอย่างผิดวิธี หรือได้รับในปริมาณที่มากเกินไป ก็อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพหรือเกิดผลข้างเคียงตามมาได้ เช่น

  • ยี่โถ เคยมีคำแนะนำให้เอายี่โถไปต้มน้ำดื่มแก้โรคพิษสุราเรื้อรัง แต่เมื่อผู้ป่วยรับประทานไปแล้วทำให้มีอาการปวดศีรษะ อาเจียน ท้องเสีย ปวดท้อง และหากรับประทานมากเกินไปยี่โถอาจมีฤทธิ์กดการเต้นของหัวใจ ทำให้หัวใจเต้นช้าลงหรืออาจจะหยุดเต้นได้
  • มะเกลือ มีสรรพคุณในการขับถ่ายพยาธิ แต่มะเกลือแก่สีดำอาจมีสารแนพทาลีน (Naphthalene) ที่ส่งผลเสียต่อระบบประสาทโดยตรง ทำให้มีอาการอาเจียน มีไข้ ท้องเสีย อาการตามัว ตามองไม่เห็นหรือตาบอดได้
  • ลำโพง ส่งผลเสียต่อระบบประสาทโดยตรง หากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้มีอาการปากแห้ง กระหายน้ำ ผิวหนังร้อนแดง ตาพร่ามัว ตาไม่สู้แสง ประสาทหลอน และคลุ้มคลั่ง
  • ว่านหางจระเข้ มีผลข้างเคียงน้อยเมื่อใช้อย่างถูกต้อง แต่หากรับประทานว่านห่างจระเข้มากเกินไปอาจทำให้มีอาการปวดท้อง ท้องเสีย เนื่องจากว่านหางจระเข้มีฤทธิ์เป็นยาระบาย
  • กระเทียม การรับประทานกระเทียบดิบในปริมาณที่มากเกินไป อาจทำให้มีกลิ่นปาก เสียดท้อง มีแก๊สในกระเพาะ ท้องเสีย หรืออาจมีอาการแพ้ในบางคน
  • ฟ้าทะลายโจร หากใช้ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน อาจทำให้แขนขามีอาการชา อ่อนแรง ในบางคนอาจมีอาการเบื่ออาหารปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย วิงเวียนศีรษะ ใจสั่น และอาจเกิดลมพิษ
  • ขิง การรับประทานขิงมากเกินไปอาจทำให้เกิดผื่นที่ผิวหนัง มีแก๊สในกระเพาะ เสียดท้อง ท้องเสีย คันปาก และอาจเพิ่มความเสี่ยงตกเลือดในผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ

สารเจือปนในสมุนไพร

จากการตรวจสอบตัวอย่างสมุนไพรกว่า 100 ชนิด ของคณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี พบว่า มักมีการปนเปื้อนของสารอันตรายต่าง ๆ เช่น

  • สารหนู ประมาณ 60% ซึ่งเป็นสารที่อาจทำให้มีอาการเจ็บคอ ปวดท้อง ท้องเสีย ปวดแสบปวดร้อน เสียวซ่า มีผื่นสีดำตามตัวหนาขึ้น และอาจเสี่ยงเป็นมะเร็งได้มากขึ้น
  • สเตียรอยด์ (Steroid) ประมาณ 30% เป็นสารที่อาจช่วยบรเทาอาการของโรคบางชนิด เช่น โรคไขข้ออักเสบ โรคหืด แต่หากใช้เป็นเวลานานอาจทำให้มีอาการหน้าบวม ตัวบวม เป็นสิว ผิวช้ำเลือดง่าย กระดูกผุ เป็นต้น
  • สารปรอท อาจทำให้มีอาการเหงือกอักเสบ ฟันหลุด ปากเปื่อย น้ำลายไหลมากผิดปกติ และไตวาย
  • ตะกั่ว อาจทำให้มีอาการกล้ามเนื้ออ่อนแรงจากปลายประสาทผิดปกติ ปวดท้อง โลหิตจาง

ประสิทธิไม่เพียงพอต่อการรักษาโรค

บางครั้งผู้ป่วยอาจเลือกวิธีการรักษาโรคด้วยยาสมุนไพร แทนการรักษาด้วยแพทย์แผนปัจจุบัน แต่สมุนไพรอาจไม่ประสิทธิภาพในการรักษาโรค หรือทำได้เพียงแค่ควบคุมอาการของโรคเท่านั้น การบริโภคสมุนไพรเพียงอย่างเดียวอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพ เนื่องจากผู้ป่วยอาจเข้าใจผิดว่าหายจากโรคแล้ว จึงไม่ทำการรักษาต่อ และเสี่ยงต่อการเกิดอาการกำเริบหรือภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายได้

คำแนะนำในการใช้สมุนไพร

หากใช้สมุนไพรอย่างผิดวิธีและไม่ระมัดระวัง อาจส่งผลให้เกิดอันตรายได้ ดังนั้น จึงควรปฏิบัติตามคำแนะนำในการใช้สมุนไพร ดังนี้

  1. การรักษาด้วยยาสมุนไพรควรทำการรักษาด้วยผู้เชี่ยวชาญ เนื่องจากยาสมุนไพรต้องใช้ในสัดส่วนที่ถูกต้อง ถูกวิธีและถูกโรค หากใช้สมุนไพรอย่างผิดวิธี นอกจากจะไม่ช่วยให้หายจากอาการป่วยแล้ว ยังอาจมีผลข้างเคียงร้ายแรงได้
  2. ไม่ควรรักษาด้วยสมุนไพรติดต่อกันเป็นเวลานาน เพราะอาจมีสารตกค้างที่สะสมในร่างกายได้ และหากรักษาด้วยสมุนไพรแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการข้างเคียงจากการใช้สมุนไพร ควรเข้าพบคุณหมอแผนปัจจุบันทันทีเพื่อดูอาการและทำการรักษาเพิ่มเติม
  3. ไม่ควรใช้สมุนไพรในการรักษาโรคที่ยังไม่ได้รับการยืนยันว่าสามารถใช้สมุนไพรรักษาได้ เช่น โรคบาดทะยัก โรคเบาหวาน วัณโรค สุนัขบ้ากัด ถูกงูพิษกัด กระดูกหัก
  4. ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพที่ทำให้เกิดโรคร้ายแรง ไม่ควรรักษาด้วยสมุนไพรแต่ควรรีบเข้าพบคุณหมอทันที โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นเด็กและสตรีมีครรภ์ เช่น หมดสติ อาการปวดอย่างรุนแรง ตกเลือดจากช่องคลอด ท้องเดินอย่างรุนแรงไข้สูง อาเจียนเป็นเลือด

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


หลุดข้อมูล “Samsung Galaxy S23” จะมาพร้อมแบตเตอรี่ที่ใหญ่ขึ้นเพื่อรองรับหน้าจอ 6.1”

นับถอยหลังอีกไม่กี่เดือนการเปิดตัวสมาร์ตโฟนในตระกูล Galaxy S series สมาร์ตโฟนระดับเรือธง (flagship) อย่าง Samsung Galaxy S23 ก็จะเกิดขึ้นอีกครั้ง และจากรายงานของ Digital Chat Station และมันค่อนข้างน่เชื่อถือได้ได้ให้ข้อมูลว่า Samsung Galaxy S23 รุ่นใหม่ที่กำลังจะมีการเปิดตัวนั้นจะมาพร้อมกับแบตเตอรี่ขนาด 3,900 mAh ซึ่งเป็นการอัปเกรดจาก Galaxy S22 รุ่นก่อน

พวกเขายังระบุด้วยว่า Samsung Galaxy S23 รุ่นใหม่หน้าจอจะมีขนาด 6.1 นิ้ว พร้อมความละเอียด Full HD+ ซึ่งโดยพื้นฐานแล้วจะเหมือนกับรุ่นเรือธงของรุ่นก่อน

ในส่วนข้อมูลเกี่ยวกับสเปกและคุณสมบัติอื่นๆ ของ Galaxy S23 ตอนนี้ยังมีน้อยมาก หากมีอะไรอัปเดตใหม่ๆ พวกเราจะรีบนำมาบอกกันเพิ่มเติม

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/10/2565

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a30,000.0030,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%1,943.0029,455.8830,600.00
ทองรูปพรรณ 90%1,748.7026,510.29n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,554.4023,564.70n/a
ทองรูปพรรณ 50%874.0013,249.84n/a
ทองรูปพรรณ 40%680.0010,308.80n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,013.0030,517.08n/a

ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/10/2565



ปตท.

บางจาก
ราคาน้ํามันเชล์ Shell
เชลล์
ราคาน้ํามันเอสโซ่ Esso
เอสโซ่
ราคาน้ํามันคาลเท็กซ์ Caltex
คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.1535.1535.4535.3535.3535.1535.1535.1535.3535.15
แก๊สโซฮอล์ 9134.8834.8835.1835.0835.0834.8834.8834.8835.0834.88
แก๊สโซฮอล์ E2034.0434.0434.3434.2434.2434.0434.0434.2434.04
แก๊สโซฮอล์ E8532.4432.4432.44
เบนซิน 9542.5643.2143.0643.0642.56
ดีเซล B734.9434.9437.2435.8435.8434.9434.9434.9435.8434.94
ดีเซล34.9434.9437.2435.8435.8434.9434.9434.9435.8434.94
ดีเซล B2034.9434.9437.2435.8434.9434.9434.2434.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.6643.6645.9645.7645.4634.94
แก๊ส NGV43.6643.6643.66
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า