10ปี “เอพี” JV “มิตชูบิชิ ” ตอกย้ำความสำเร็จคอนโดแนวรถไฟฟ้า แสนล้าน
10ปี “เอพี” ผนึกพันธมิตร “มิตชูบิชิ เอสเตท” ตอกย้ำความสำเร็จคอนโดแนวรถไฟฟ้า แสนล้านบาทประกาศเดินหน้าลุยต่ออย่างเข้มข้นภายใต้ “FROM STRENGTH TO STRENGTH”
ครบหนึ่งทศวรรษ ภายใต้พันธมิตรระหว่าง บริษัท เอพีไทยแลนด์ จำกัด(มหาชน) บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แถวหน้าของเมืองไทย กับมิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด(มหาชน) อสังหาฯ เบอร์ต้นจากประเทศญี่ปุ่น ประกาศความสำเร็จ จากการร่วมลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้า 24โครงการ 2.3หมื่นหน่วย มูลค่ากว่า 1แสนล้านบาท ที่มียอดขายรวมมากถึงกว่า60%
โอกาสครบรอบ10ปี “เอพี ไทยแลนด์ “ และ “มิตซูบิชิ เอสเตท” ประกาศโรดแมป “FROM STRENGTH TO STRENGTH” สู่การเติบโตที่ไม่สิ้นสุด ด้วยเม็ดเงินลงทุนผ่านทุนจดทะเบียนบริษัทร่วมทุนที่มากถึง 12,619,408,010 บาท ขยายการลงทุนพัฒนาคอนโดมิเนียมในประเทศไทยเต็มสูบ
จากความเชื่อมั่นของฝั่ง มิตซูบิชิเอสเตท ว่า เศรษฐกิจไทยเติบโตต่อเนื่อง ประเมินกรุงเทพมหานครมีดีมานด์คนต่างถิ่น หมุนเวียนไม่มีวันจบสิ้น ที่สำคัญหัวใจที่ทำให้ สองยักษ์ใหญ่ จับมือเหนียวแน่น คือความไว้เนื้อเชื่อใจ ไม่มีลับลมคมใน ตรงไปตรงมา นี่คือที่มาของความสำเร็จของมิตรภาพที่ยั่งยืนยิ่งกว่า
นายอนุพงษ์ อัศวโภคิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวว่า ในวาระครบรอบ 10 ปี ความสำเร็จการร่วมมือทางธุรกิจ ระหว่างมิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นความภาคภูมิใจอย่างยิ่งสำหรับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจนยังถือเป็น Milestone สำคัญที่สะท้อนได้ถึงความเชื่อมั่นของพันธมิตร ต่อการทำงานของเอพี ไทยแลนด์ ความแข็งแกร่งทั้งนัยยะความสามารถในการแข่งขัน ตลอดจนศักยภาพในการเติบโตของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัยของประเทศไทย ที่เทียบเคียงนานาประเทศ
ทั้งนี้ มิตซูบิชิ เอสเตท และเอพี ไทยแลนด์ ถือเป็นพันธมิตรทางธุรกิจรายแรกและรายเดียวที่มีโมเดลร่วมทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนในไทย ภายใต้ชื่อ “บริษัท พรีเมี่ยม เรสซิเดนท์ จำกัด” สัดส่วนถือหุ้น 51:49 เพื่อทำหน้าที่เป็นบริษัทหลักในการลงทุนพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยเป็นระยะยาว ด้วยทุนจดทะเบียนมูลค่า ณ ปัจจุบันที่ 12,619,408,010 บาท (หนึ่งหมื่นสองพันหกร้อยสิบเก้าล้าน สี่แสนแปดพันสิบบาท)เหนือสิ่งอื่นใด ความร่วมมือทางธุรกิจครั้งนี้ยังได้มีส่วนร่วมสร้างคุณูปการให้กับวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย
ทั้งในมิติ ด้านเม็ดเงินลงทุน ที่ร่วมขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ก่อให้เกิดการจ้างงานกับคู่ค้ามากกว่า 100 บริษัท ที่อยู่ในระบบ Ecosystem ของอุตสาหกรรม การแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ซึ่งกันและกัน ทั้งในมุมมองการดำเนินธุรกิจและคืนกลับสู่สังคม ซึ่งถือเป็นเรื่องยากมากที่บริษัทร่วมทุนแบบระยะสั้นจะดำเนินการสร้างคุณูปการเช่นนี้มอบคืนให้กับสังคม ซึ่งมิตซูบิชิ เอสเตท มีวิสัยทัศน์ยาวไกลพร้อมสนับสนุนความก้าวหน้าของภาคอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์ไทยไปด้วยกัน
นายอะซึชิ นากาจิมะ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มิตซูบิชิ เอสเตท จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ธุรกิจในต่างประเทศของมิตซูบิชิ เอสเตทเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 40 ปีที่แล้ว จากการพัฒนาอสังหาฯ ในยุโรปและสหรัฐอเมริกา ถึงวันนี้มิตซูบิชิ เอสเตทมีธุรกิจอสังหาฯ อยู่ในหลายประเทศและหลายภูมิภาค ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกาและเอเชีย
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศเอเชีย ซึ่งประเทศไทยนับเป็นฐานการลงทุนที่สำคัญ เนื่องจากเป็นประเทศที่มีตลาดอสังหาฯ เติบโตอย่างมีศักยภาพ และเอื้ออำนวยต่อการลงทุนทำธุรกิจ รวมถึงการได้ร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรที่แข็งแกร่งและยอดเยี่ยมอย่างเอพี ไทยแลนด์
ตลอดระยะเวลา 10 ปีความร่วมมือทางธุรกิจกับเอพี ไทยแลนด์ มิตซูบิชิ เอสเตทได้พัฒนาความเข้าใจวัฒนธรรมองค์กรและปรัชญาองค์กรซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง ช่วยให้มิตซูบิชิ เอสเตทสามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ และแนวทางการบริหารจัดการธุรกิจผ่านมุมมองระยะยาว ซึ่งคงไม่สามารถเป็นไปได้ หากความร่วมมือของทั้งสองบริษัทเป็นความร่วมมือระยะสั้นจบเป็นรายโครงการ
ทั้งนี้ ด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในการทำงานร่วมกับเอพี ไทยแลนด์ ตลอดจน “ความเชื่อมั่น” ที่มิตซูบิชิ เอสเตทมีต่อเอพี ไทยแลนด์ ทั้งองค์ความรู้ที่ลึกซึ้งถึงแก่นในการพัฒนาโครงการคอนโดมิเนียม ความใส่ใจในทุกกระบวนการทำงาน การวางแผนงานต่างๆ ของเอพี การได้ทำงานกับเอพี ไทยแลนด์ในฐานะบริษัทผู้พัฒนาอสังหาฯ ที่เชี่ยวชาญเช่นเดียวกัน ทำให้มิตซูบิชิ เอสเตทได้เรียนรู้เป็นอย่างมาก
นอกจากนี้ ทั้งสองบริษัทฯ ยังมีความมุ่งหมายตั้งใจที่จะสร้างคุณูปการให้กับธุรกิจร่วมทุนของเราและต่อสังคมไทย ด้วยการร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการถ่ายทอดองค์ความรู้ ความเชี่ยวชาญของเราในประเทศญี่ปุ่น ผ่านกิจกรรมต่างๆ ของเอพี ไทยแลนด์ และขณะนี้ ทั้งสองบริษัทฯ กำลังทำงานอย่างทุ่มเทในด้านการนำแนวคิดการออกแบบเพื่อทุกคนมาใช้เป็นหลักในการพัฒนาโครงการ
“มิตซูบิชิ เอสเตท มีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่ง ที่สามารถร่วมสร้างคุณูปการให้กับสังคมไทย ผ่านธุรกิจร่วมทุนกับพันธมิตรที่ดีและแข็งแกร่งอย่างเอพี ไทยแลนด์ และจะยังคงจับมือเดินหน้าร่วมกันไปอย่างต่อเนื่อง เพื่อมอบคุณค่าในฐานะบริษัทญี่ปุ่นให้กับสังคมไทยต่อไปในอนาคตข้างหน้าต่อจากนี้”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เศรษฐกิจผันผวน-การเมืองไม่นิ่งฉุดคนชะลอซื้อบ้าน-คอนโด
อสังหาฯยังคงเผชิญความท้าทายจากสถานการณ์เศรษฐกิจส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ผนวกกับสถานการณ์การเมืองที่มีความไม่แน่นอนสูง ฉุดคนชะลอซื้อบ้าน-คอนโดแม้ว่าจะมีกำลังซื้อก็ตาม
ภูมิพัฒน์ สินาเจริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด(มหาชน)กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาฯคนยังมีกำลังซื้อโดยเฉพาะตลาดลักชัวรี แม้ว่าอัตราการเข้าเยี่ยมชมยังปกติ แต่การตัดสินใจซื้อช้า ใช้เวลาศึกษาข้อมูลมากขึ้น ไม่เร่งรีบ ชะลอรอดูสถานการณ์การเมือง เศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ทำให้ภาพรวมไม่กระตุ้นอารมณ์ให้คนอยากซื้อบ้าน หรือรีบตัดสินใจซื้อเหมือนสมัยก่อน ทั้งที่มีกำลังซื้อ สังเกตจากจำนวนคนที่สนใจเข้ามาเยี่ยมชมโครงการเพิ่มขึ้น เนื่องจากสมัยก่อนหาเงินง่าย ดอกเบี้ยต่ำ การเมืองนิ่ง จึงไม่ได้มองว่าการซื้ออสังหาฯเป็น“ภาระ” แต่ปัจจุบันสถานการณ์เปลี่ยนไปกว่าจะตัดสินซื้อต้องเข้าเยี่ยมชมโครงการหลายครั้ง
“ยิ่งโครงการที่มีราคาแพงใช้เวลานาน2-3เดือนจากสมัยก่อนไม่เกิน2 ครั้งตัดสินใจซื้อแล้วแต่ปัจจุบัน 3-4ครั้งขึ้นไป การขายยากขึ้นตามไปด้วยแต่ยังสามารถขายได้เรื่อยๆเดือนละ7-8ห้องแต่ไม่หวือหวาเหมือนสมัยก่อน”
ปัจจุบันกลุ่มคนซื้อส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่ซื้อเพื่ออยู่อาศัย หรือเรียลดีมานด์ มากกว่าเป็นการซื้อเพื่อลงทุน ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับผู้ประกอบการอสังหาฯที่เป็นเจ้าของโครงการ เพราะกลุ่มเรียลดีมานด์มักไม่ทิ้งดาว์นเมื่อถึงเวลาโอนกรรมสิทธิ์ ดังนั้นบริษัทจึงพัฒนาห้องขนาด2-3ห้องนอนเพื่อรองรับกลุ่มซื้อเพื่ออยู่เองมากกว่าซื้อเพื่อลงทุนคิดเป็นสัดส่วน 80 :20 ตามลำดับ
สอดคล้องกับนางสาวพราวพุธ ลิปตพัลลภ กรรมการบริหาร บริษัท พราว เรียล เอสเตท จำกัด (มหาชน) ระบุว่า แม้ว่าจะมีปัจจัยบวกจาก จำนวนนักท่องเที่ยวที่เข้ามาในประเทศเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะรัสเซียที่เข้ามาซื้ออสังหาฯในภูเก็ต แต่ตลาดนักท่องเที่ยวจีนยังไม่กลับมาเหมือนเดิมแต่แนวโน้มไตรมาส3คาดกาณ์ว่า จีนเข้ามามากขึ้นจากเดิมที่หายไป ซึ่งดึงกลุ่มคนซื้ออสังหาฯกลับเข้ามาด้วย ซึ่งเป็นกลุ่มคนซื้อที่มีกำลังซื้อ แต่จากภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่แน่นอน ทำให้การตัดสินซื้อช้า
ภูมิพัฒน์ กล่าวต่อว่า การทำตลาดอสังหาฯ ต่อจากนี้ไปต้องปรับกลยุทธ์การทำตลาดต้องโฟกัส ไม่หว่านแห เหมือนสมัยก่อน เพราะเป็นการทำสงครามระยะยาว การทำตลาดจึงต้องแม่นยำเพื่อประหยัดงบและให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุด ล่าสุด บริษัทให้ความสนใจกับการขยายตลาดต่างประเทศ โดยเฉพาะเมียนมา ซึ่งเป็นกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อสูงระดับเศรษฐีที่สนใจเข้ามาซื้อคอนโดหรูในกรุงเทพฯ ล่าสุดมีชาวเมียนมา เข้ามาเยี่ยมชมคอนโดโครงการรมย์ คอนแวนต์ สนใจที่ซื้อ2-3 ยูนิต อยู่ระหว่างการตัดสินใจ ในระดับราคาราคายูนิตละ 30 ล้านบาท
“ ลูกค้าเมียนมาเพิ่งเริ่มเข้ามาในตลาดคอนโดปลายปีที่ผ่านมา เริ่มจากการดูสินค้าพร้อมอยู่ก่อนและซื้อขนาดใหญ่ แต่ทางพราวยังไม่ได้ทำตลาดจริงจังอยู่ระหว่างการศึกษาตลาดเพื่อขยายฐานลูกค้าต่างประเทศ ”
นางสาวพราวพุธ กล่าวเสริมว่า คนเมียนมาที่ซื้ออสังหาฯไทย ส่วนใหญ่เป็นระดับเศรษฐี และหากดูจากข้อมูลของพารากอนและเซ็นทรัล Top spender หรือ ผู้ที่มีการซื้อสินค้าหรือบริการจากทางร้านมากที่สุดเป็นลูกค้าที่มาจากประเทศ CLMV เยอะมาก ซึ่งคนกลุ่มนี้นิยมซื้อคอนโดห้องขนาดใหญ่ หรือเป็นเพนท์เฮ้าส์ แต่ด้วยสถานการณ์ในประเทศเขาทำให้การทำตลาดยาก หลักๆจึงทำการตลาดผ่านตัวแทนขายเป็นหลัก
อย่างไรก็ตามปัจจุบันหลังจากเปิดตัวโครงการ รมย์ คอนแวนต์ มูลค่า 4,150 ล้านบาทมาประมาณ 5 เดือนมียอดขาย 1,400 ล้านบาท คาดว่าในปีหน้าจะสามารถทำยอดขาย80% และโครงการจะสร้างเสร็จในอีก3ปี
สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรก 2566 รายได้รวม 1,192 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,082 ล้านบาท จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 110 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 984% และมีกำไรสุทธิ 147 ล้านบาท เพิ่มจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีขาดทุนสุทธิ 58 ล้านบาท ส่วนทิศทางธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทมองหาโอกาสในการขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อขยายฐานการสร้างรายได้ให้กว้างขึ้น วางแผนซื้อที่ดินแปลงใหม่เพิ่ม รวมถึงมุ่งเน้นการพัฒนาโครงการตอบโจทย์ความต้องการของกลุ่มเป้าหมาย
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 11ส.ค. ที่ระดับ 35.15 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทอาจอ่อนค่าอย่างจำกัด เริ่มเห็นบรรดาผู้ส่งออกทยอยขายเงินดอลลาร์ในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าเหนือระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 11ส.ค.2566ที่ระดับ 35.15 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.10 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อได้บ้าง หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น จากความไม่มั่นใจของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า การอ่อนค่าของเงินบาทอาจเป็นไปอย่างจำกัด
หากตลาดไม่ได้อยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น จนหนุนให้เงินดอลลาร์ปรับตัวขึ้นไปมาก หรือ ราคาทองคำปรับตัวลดลงหนักอีก เนื่องจากเราเริ่มเห็นการทยอยขายเงินดอลลาร์ ของบรรดาผู้ส่งออกในจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าเหนือระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ส่วนผู้เล่นต่างชาติที่มีมุมมองเชิงบวกต่อเงินบาทในระยะกลาง-ระยะยาว ก็อาจรอจังหวะเงินบาทอ่อนค่าในการทยอยเพิ่มสถานะ Long THB
นอกจากนี้ สถานการณ์การเมืองไทย แม้จะยังมีความไม่แน่นอนอยู่บ้าง แต่การจัดตั้งรัฐบาลก็เริ่มมีความชัดเจนเพิ่มขึ้น ทำให้นักลงทุนต่างชาติอาจไม่ได้เร่งเทขายสินทรัพย์ไทยมากขึ้น และอาจยังไม่ปรับสถานะถือครองสินทรัพย์ไทย จนกว่าจะเห็นความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาล ซึ่งล่าสุด นักลงทุนต่างชาติก็เริ่มกลับมาเป็นฝั่งซื้อหุ้นไทยสุทธิเช่นกัน
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูงจากทั้งปัจจัยการเมืองไทยและบรรยากาศในตลาดการเงินที่อาจพลิกไปมาในช่วงนี้ ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.00-35.25 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนหนัก (แกว่งตัวในช่วง 34.87-35.17 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด อย่างไรก็ดี การแข็งค่าของเงินบาทก็อยู่ได้ไม่นาน
หลังเงินดอลลาร์ พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น พร้อมกับการปรับตัวลงของราคาทองคำ จากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่มองว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในส่วนภาคการบริการ ที่ไม่รวมที่อยู่อาศัย (Core Services ex. Housing) ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดจับตาใกล้ชิด ยังไม่ได้ชะลอลงมากนัก กอปรกับ เจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนก็ยังคงมองว่า การเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยอาจมีความจำเป็น
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนหนัก โดยในช่วงแรกตลาดตอบรับการชะลอลงของอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเชิงบวกพอสมควร ตามมุมมองที่ผู้เล่นในตลาดมองว่า เฟดอาจใกล้จบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว อย่างไรก็ดี ผู้เล่นในตลาดกลับมากังวลแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยเฟดอีกครั้งและเลือกที่จะทยอยขายทำกำไร
หลังพิจารณารายละเอียดของรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และพบว่าอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในส่วนภาคการบริการ ที่ไม่รวมที่อยู่อาศัย (Core Services ex. Housing) ซึ่งเป็นข้อมูลที่เฟดจับตาใกล้ชิด ยังไม่ได้ชะลอลงมาก ทำให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาดเพียง +0.03%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.79% นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (LVMH +3.4%, Hermes +3.2%) หลังทางการจีนผ่อนคลายข้อจำกัดการเดินทางไปต่างประเทศของกรุ๊ปทัวร์ ซึ่งจะช่วยหนุนการเดินทางท่องเที่ยวและการช้อปปิ้งสินค้าแบรนด์เนมได้
ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ที่ผันผวนไปมาในช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ได้ส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบกว้าง 3.97%-4.13% ก่อนที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะแกว่งตัวใกล้ระดับ 4.11% ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ระดับสูงกว่า 4.00% ถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจ ในการทยอยเข้าซื้อ
โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนที่มีมุมมองว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น และเฟดอาจจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว แม้ว่าอัตราเงินเฟ้อ Core CPI ในส่วนของ Core Services อาจไม่ได้ชะลอลงตามคาด และแม้เฟดจะขึ้นดอกเบี้ยสวนทางกับที่เราคาด ผลกระทบต่อบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็อาจมีอย่างจำกัด ซึ่งเราคงมองว่า risk-reward ของการทยอยซื้อในช่วงบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ สูงกว่า 4.00% ยังมีความน่าสนใจและคุ้มค่าความเสี่ยง
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนหนักในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ โดยมีทั้งจังหวะอ่อนค่าเร็ว หลังรายงานโดยรวมสะท้อนการชะลอลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อ ก่อนที่จะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดพบว่า อัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในส่วนภาคการบริการ ที่ไม่รวมที่พักอาศัย Core Services ex. Housing ยังไม่ได้ชะลอลงไปมาก
อีกทั้ง บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดบางส่วนก็ยังคงส่งสัญญาณสนับสนุนการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 102.6 จุด (กรอบ 101.9-102.7 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ ความผันผวนของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังได้ส่งผลกระทบต่อราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) เช่นกัน
โดยราคาทองคำมีจังหวะปรับตัวขึ้น ใกล้ระดับ 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนเผชิญแรงกดดันจากความไม่แน่นอนของการขึ้นดอกเบี้ยของเฟด กดดันให้ราคาทองคำย่อตัวลงสู่ระดับ 1,945 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราประเมินว่า ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) โดยตลาดอาจให้ความสนใจ ต่อ รายงานคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาว ว่าจะมีทิศทางอย่างไร
นอกจากนี้ในฝั่งอังกฤษ ตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 โดยตลาดมองว่า เศรษฐกิจอังกฤษอาจชะลอลงมากขึ้นในไตรมาสที่ 2 โดยเศรษฐกิจอาจไม่ขยายตัวเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า จากที่ขยายตัวราว +0.1%q/q ในไตรมาสแรก กดดันโดยผลกระทบต่อเนื่องจากการประท้วงหยุดงานในช่วงต้นปี และ
ผลกระทบจากการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ยังคงมองว่า หาก BOE เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง ก็อาจส่งผลให้เศรษฐกิจอังกฤษชะลอลงมากขึ้นและเสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอยได้ในช่วงปลายปีนี้หรือในช่วงต้นปีหน้า
ส่วนในฝั่งไทย เรามองว่า ยังคงต้องจับตาสถานการณ์การเมืองต่อ เพื่อประเมินแนวโน้มการจัดตั้งรัฐบาลผสมว่าจะมีทิศทางเป็นอย่างไร โดยตลาดการเงินไทยอาจกลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้นได้ หากการจัดตั้งรัฐบาลผสมมีความชัดเจนมากขึ้น
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.10-35.12 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.15 น.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.11 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทยังคงมีแรงกดดันด้านอ่อนค่า ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ ทยอยฟื้นตัวกลับมาบางส่วน จากที่เผชิญแรงขายอย่างหนักหลังการรายงานตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ เดือนก.ค. เมื่อคืนที่ผ่านมา (CPI +3.2% YoY ตลาดคาดที่ 3.3% YoY) นอกจากนี้ตลาดยังอยู่ระหว่างรอติดตามความคืบหน้าของสถานการณ์การเมืองของไทยอย่างใกล้ชิดด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.05-35.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่ประเด็นทางการเมือง ทิศทางเงินทุนต่างชาติ รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนก.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นและตัวเลขเงินเฟ้อคาดการณ์ในมุมมองของผู้บริโภคเดือนส.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
สาวไทยยู 19 ทุบ บัลแกเรีย 3-1 เข้าชิงอันดับ 5 ศึกชิงแชมป์โลก
การแข่งขันวอลเลย์บอลยุวชนหญิง อายุต่ำกว่า 19 ปี ชิงแชมป์โลก 2023 สนามกราดสกี วีอาร์ที ฮอลล์ เมืองโอซิเยก ประเทศโครเอเชีย วันที่ 10 สิงหาคม 2566 รอบจัดอันดับ 5-8 ทีมชาติไทย พบ ทีมชาติบัลแกเรีย
ทั้งสองทีมเคยพบกันมาในรอบแรก โดยทีมชาติไทยพ่ายไป 0-3 เซต
รายชื่อ 6 คนแรกของทีมชาติไทย ได้แก่ กนกพร แสงทอง, วริศรา สีทาเลิศ, กาญจนา ศรีใสแก้ว, ภัทรวดี คำนวน, พุทธิมล งามนวล, ธัญพร สีโซ่ ตัวรับอิสระ กัลยรัตน์ คำวงษ์ และ ณัฐมน เหลืองวัฒนวิไล
ผลการแข่งขันปรากฎว่า สาวไทยทำเกมบุกได้ดีกว่า แม้จะพ่ายบัลแกเรียในเซตสาม แต่เซตสี่กลับมาคว้าชัยชนะได้ และชนะไป 3-1 เซต 25-16, 25-19, 16-25, 25-18
สาวไทย ผ่านเข้ารอบชิงอันดับ 5 โดยจะเข้าไปพบผู้ชนะระหว่าง โครเอเชีย หรือ บราซิล และจะแข่งขันในวันที่ 11 สิงหาคม 2566 เวลา 20.00 น.
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ไข่” ชนิดไหน “คอเลสเตอรอล” สูงที่สุด?
ขึ้นชื่อว่าเป็นไข่เหมือนกัน แต่ไข่แต่ละชนิด ไข่ไก่ ไข่เป็ด ไข่นกกระทา ให้ปริมาณของสารอาหารแต่ละอย่างไม่เท่ากัน
ส่วนใหญ่แล้วสารอาหารหลักๆ ที่มีอยู่ในไข่คือ โปรตีน รองลงมาคือไขมัน แล้วตามด้วยสารอาหารอื่นๆ เช่น แคลเซียม วิตามินเอ ไอโอดีน และคอเลสเตอรอล… ที่หลายคนอาจพยายามหลีกเลี่ยง
หากลองเทียบเคียงปริมาณของสารอาหารแต่ละชนิดในไข่แต่ละชนิด จะเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจน
ปริมาณสารอาหารแต่ละชนิดในไข่ต่างชนิดกัน
ข้อมูลทางโภชนาการของไข่ เปรียบเทียบต่อ 100 กรัม | |||
ไข่เป็ด | ไข่นกกระทา | ไข่ไก่ | |
พลังงาน | 178 กิโลแคลอรี่ | 171 กิโลแคลอรี่ | 143 กิโลแคลอรี่ |
โปรตีน | 13.03 กรัม | 13.30 กรัม | 12.77 กรัม |
ไขมัน | 13.35 กรัม | 12 กรัม | 9.65 กรัม |
แคลเซียม | 98 กรัม | 153 กรัม | 70 กรัม |
วิตามินเอ | 269 กรัม | 143 กรัม | 182 กรัม |
ไอโอดีน | 52 ไมโครกรัม | – | 49 ไมโครกรัม |
คอเลสเตอรอล | 543 มิลลิกรัม | 508 มิลลิกรัม | 427 มิลลิกรัม |
ที่มา: กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
จากในตารางจะเห็นว่า ไข่เป็ด มีคอเลสเตอรอลเยอะที่สุด รองลงมาคือไข่นกกระทา และไข่ไก่ (เทียบกับไข่ในปริมาณเท่ากัน) แต่โดยรวมแล้วก็เป็นไข่ที่มีคุณค่าทางสารอาหารอื่นๆ สูงที่สุดเช่นกัน ยกเว้นโปรตีนและแคลเซียม ที่ไข่นกกระทามีมากกว่า แต่ถึงอย่างไร ไม่ว่าจะเป็นไข่ชนิดไหน ล้วนแล้วแต่มีประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพด้วยกันทั้งนั้น หากรับประทานในปริมาณที่เหมาะสม
สำหรับผู้ที่มีภาวะความดันโลหิตสูง เบาหวาน ไขมันในเลือดสูง ไม่ควรกินเกิน 3 ฟองต่อสัปดาห์ หรือกินตามคำแนะนำของแพทย์ ส่วนผู้ป่วยโรคอื่นๆ สามารถกินไข่ได้วันละ 1 ฟอง หรือตามแพทย์สั่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำนามภาษาอังกฤษ (Noun)
คำนามภาษาอังกฤษคืออะไร?
คำนาม (Noun) คือ คำที่ใช้เรียก คน สัตว์ สิ่งของ และสถานที่ เช่น เด็กผู้หญิง (Girl) กระต่าย (Rabbit) ดินสอ (Pencil) โรงพยาบาล (Hospital) เป็นต้น
คำนามภาษาอังกฤษมีหลากหลายประเภทค่ะ ถ้าเรารู้คำนามต่างๆเยอะขึ้น เราก็จะสามารถพูดภาษาอังกฤษได้เร็วขึ้น
เพื่อให้เข้าใจง่าย เราจะแบ่งการเรียนเรื่อง คำนาม ออกเป็น 4 parts คือ
- คำนามเอกพจน์ (Singular Noun) และคำนามพหูพจน์ (Plural Noun)
- คำนามนับได้ (Countable Noun) และคำนามนับไม่ได้ (Uncountable Noun)
- คำนามทั่วไป (Common Noun) และคำนามเฉพาะ (Proper Noun)
- คำนามที่ใช้บอกอาการ (Abstract Noun)
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
ถึงเวลาหรือยังที่เราต้องทำ Social Media Detox
ดูเหมือนว่าทุกวันนี้ “โซเชียลมีเดีย” จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตของคนในปัจจุบันไปแล้ว มีคนจำนวนไม่น้อยฝังตัวอยู่ในโซเชียลมีเดียแทบทั้งวันจนมันกระทบต่อเวลาเรียน เวลาทำงาน และเวลาใช้ชีวิตทั่วไป มีอาการเสพติดการไถหน้าจอเพื่อที่จะได้รับรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นบนโลกใบนี้ โดยสังเกตได้ง่าย ๆ จากพฤติกรรมการหยิบจับโทรศัพท์ที่บ่อยจนเกินไป กินข้าวก็ไถ ขับรถก็ไถ อยู่กับคนในครอบครัวหรือเพื่อนฟูงก็ยังจับโทรศัพท์ไม่ปล่อย นานวันเข้าก็ติดโทรศัพท์หนักจนทำให้ตารางชีวิตรวน พ่วงมาด้วยปัญหาสุขภาพทั้งกายและใจ กลายเป็นปัญหาที่เกิดจากการใช้โซเชียลมีเดียผ่านอุปกรณ์สมาร์ตโฟนมากเกินไปจนเกิดภาวะเสพติด
โซเชียลมีเดียและอินเทอร์เน็ตอาจเป็นปัจจัยสำคัญในการใช้ชีวิตยุคใหม่ก็จริง แต่เราก็ไม่ควรที่จะหมกมุ่นอยู่กับมันมากจะเราได้รับผลกระทบจากพิษภัยของมัน เพราะมีหลายคนที่ตื่นเช้ามาทำสิ่งแรกก็คือการหยิบสมาร์ตโฟนขึ้นมาอัปเดตข่าวสาร ข้อความ ความเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในโลกออนไลน์ เวลาทั้งวันก็ยังคงจดจ่ออยู่กับมันจนเสียสมาธิกับการเรียนหรือการทำงาน จนทำให้ในแต่ละวันเราใช้เวลาติดอยู่กับโซเชียลมีเดียนานหลายชั่วโมงมากเกินไป และอาจก่อให้เกิดปัญหาทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิตได้ในที่สุด เราจึงควรใช้งานอย่างระมัดระวัง และตระหนักไว้เสมอว่าสิ่งนี้เป็นเครื่องมือสื่อสารประเภทหนึ่งเท่านั้น
การเสพติดโซเชียลมีเดียและติดมือถืออาจแยกได้หลายประเภท หลัก ๆ คือ อาจด้วยการติดสาระของมัน อย่างการติดเกม ติดการพนันออนไลน์ ต้องเล่นอยู่เกือบตลอดเวลาจนวางไม่ได้ ติดความสัมพันธ์ การชอบโพสต์เพื่อให้คนอื่น ๆ หันมาสนใจในเฟซบุ๊ก เฝ้ารอให้มีคนมากดไลก์หรือคอมเมนต์ ติดคุยแชต หรือต้องติดตามข่าวสารอยู่ตลอดเวลา หรืออาจเป็นการติดอุปกรณ์ก็ได้เช่นกัน
เนื่องจากมีคนจำนวนไม่น้อยที่กำลังได้รับผลกระทบจากการใช้งานโซเชียลมีเดีย จึงเกิดเป็นเทรนด์สุขภาพที่คนยุคใหม่หลายคนหันมาให้ความสนใจ คือ Social Media Detox หรือ Social Detoxification ซึ่งเป็นการบำบัดการเสพติดเทคโนโลยีหรือสื่อสังคมออนไลน์ด้วยการพยายามใช้โซเชียลมีเดียให้น้อยลง หันไปทำกิจกรรมอย่างอื่นให้มากขึ้น เพื่อลดผลกระทบในด้านลบจากการใช้โซเชียลมีเดียและสมาร์ตโฟน ผลจากการทำ Social Media Detox คือ ช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น มีสุขภาพที่ดีขึ้น และชีวิตมีความสุขมากขึ้น
สัญญาณเตือนว่าคุณควรจะทำ Social Media Detox ได้แล้ว
- อาการทางร่างกายมันฟ้อง
การที่เราใช้เวลาวันละหลายชั่วโมงนั่งไถนอนไถหน้าจอ นั่งก้มหน้าอยู่ในท่าเดียวนาน ๆ ย่อมส่งผลบางอย่างต่อร่างกายอย่างแน่นอน อาการที่พบได้บ่อยก็คือ อาการปวดกล้ามเนื้อส่วนต่าง ๆ เช่น ปวดนิ้ว นิ้วล็อก ปวดข้อมือ ปวดแขน ปวดคอ ปวดหลัง รวมไปถึงการใช้สายตาอยู่กับจอนาน ๆ ก็จะทำให้เกิดอาการตาล้า ตาพร่า ปวดกระบอกตา ลามไปปวดหัว บ่อยครั้งที่อาการรุนแรงมากจนถึงขั้นรู้สึกเบลอ ๆ มึน ๆ อันเนื่องมาจากการใช้สายตาเพ่งมากเกินไป
- สัมผัสได้ว่าตนเองสมาธิสั้นลง
เวลาเรียนหรือทำงานก็มักจะหลุดโฟกัสบ่อย ๆ สมองตื้อ คิดช้าประมวลผลช้า คิดอะไรไม่ค่อยออก เนื่องจากประสิทธิภาพการทำงานของสมองลดลง
- มีปัญหาด้านการนอน
บางคนมีพฤติกรรมปิดไฟเตรียมนอนแล้ว แต่ต้องไถโซเชียลมีเดียดูเล่นก่อนนอนสักนิดหน่อย (ส่วนใหญ่จะไถยาว) แสงสีฟ้าจากสมาร์ตโฟน รบกวนการหลั่งเมลาโทนิน ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ช่วยควบคุมการนอนและเป็นนาฬิกาชีวภาพ จึงทำให้ตาสว่างจนนอนไม่หลับ หรืออาจจะไถเพลินจนลืมดูเวลาว่ามันกี่โมงกี่ยามแล้ว รู้ตัวอีกทีก็เกือบเช้า อดหลับอดนอน พักผ่อนไม่เพียงพอ
- รู้สึกได้ว่าตัวเองเสียเวลากับการเล่นโซเชียลมีเดียมากเกินไป
รู้ตัวเองดีว่าจิตใจจดจ่ออยู่กับมือถือตลอดเวลาแต่ก็เลิกไม่ได้ เนื่องจากการเล่นสมาร์ตโฟนมีผลต่อสมอง กระตุ้นให้เกิดการหลั่งสารแห่งความสุขจนอยากเล่นมากขึ้นเรื่อย ๆ อยากรู้ความเคลื่อนไหวในโลกออนไลน์อยู่ตลอดเวลา กลัวพลาดเรื่องสำคัญ กลัวตกข่าว
- สิ่งที่เห็นและรับรู้ในโซเชียลมีเดียกระทบกับอารมณ์และจิตใจของคุณ
การจดจ่อและเอาแต่เสพติดเรื่องราวต่าง ๆ แค่ในจอสี่เหลี่ยม ทำให้คุณเข้าสังคมน้อยลง ขาดปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้างอย่างเห็นได้ชัด วนเวียนอยู่แต่กับความคิดของตัวเองและคอนเทนต์ที่ชอบเสพในโลกออนไลน์ เวลาเสพข่าวที่ตรงข้ามกับสิ่งที่ตัวเองคิดหรือเชื่อก็จะมีอาการโมโห หัวร้อน หงุดหงิด อยากจะแสดงความคิดเห็นในฝั่งของตนเองบ้าง แต่เริ่มใช้ถ้อยคำรุนแรงหยาบคายเพื่อตอบโต้อีกฝ่าย เสพติดตวามสนใจจากคนอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ เรียกร้องความสนใจ เวลาที่โพสต์ภาพหรือแคปชันอะไรเด็ด ๆ ก็มักจะรอให้คนมากดไลก์ มาคอมเมนต์ ซึ่งถ้าไม่ได้ดั่งใจก็จะเครียด จนอาจถึงขั้นซึมเศร้า
- ขาดความมั่นใจในตัวเอง เริ่มด้อยคุณค่าในตัวเอง หรือถูกกลั่นแกล้งออนไลน์
เนื่องจากโซเซียลมีเดียเป็นพื้นที่ในการสร้างโลกเสมือนจริงขึ้นมา จากการโพสต์หรือแชร์เรื่องดี ๆ แต่เก็บเรื่องแย่ ๆ เรื่องร้าย ๆ ที่อยากปกปิดเอาไว้ในชีวิต มันทำให้เราได้เห็นแต่คนที่มีชีวิตสมบูรณ์แบบเต็มไปหมด เมื่อนำมาเปรียบเทียบกับตัวเอง จึงเกิดความรู้สึกไร้ค่า ไม่มั่นใจในตัวเอง การนับถือตัวเองต่ำลง นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการถูกบูลลี่ทางออนไลน์ จิตใจมนุษย์ไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อรับคำวิจารณ์จากผู้อื่นในทุก ๆ นาที ต้องเจอถ้อยคำตำหนิหยาบคาย ด่าว่ากันแรง ๆ เสมอ ๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องที่จรรโลงใจ
- กระวนกระวายเมื่อไม่มีอินเทอร์เน็ตให้ใช้ หรือโทรศัพท์แบตหมดใช้งานไม่ได้
เป็นอาการของโนโมโฟเบีย (Nomophobia) หรือก็คือภาวะวิตกกังวลกลัวเวลาที่ไม่มีมือถือใช้ กระวนกระวายใจเมื่อแบตฯ โทรศัพท์ใกล้หมดหรืออยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีสัญญาณอินเทอร์เน็ต อาการก็คือหวั่นวิตก เครียด หายใจไม่สะดวก คลื่นไส้ รวมไปถึงการที่ต้องหยิบมือถือขึ้นมาเช็กอยู่ตลอดเวลา
วิธีทำ Social Media Detox
ใครที่กำลังได้รับผลกระทบจากการใช้งานโซเชียลมีเดีย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องส่วนตัว หรือใช้ในการทำงาน ลองมาทำ Social Media Detox โดยอาจนำไปปรับใช้กับการทำงาน และการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งจะส่งผลดี คือ ช่วยให้มีสมาธิมากขึ้น สุขภาพที่ดีขึ้น และชีวิตมีความสุขมากขึ้น โดยมีวิธีดังนี้ และต้องพยายามมีวินัยในตัวเองด้วย
1. ปิดการแจ้งเตือนต่าง ๆ ที่จะดังมาจากโทรศัพท์มือถือ ทั้งการแจ้งเตือนจากโซเชียลมีเดีย แอปฯ แชต แจ้งเตือนข้อความ อีเมล โปรโมชันแอปฯ ชอปออนไลน์ หรือแม้แต่ข่าวสารต่าง ๆ แต่ถ้ากลัวพลาดเรื่องสำคัญ (ที่คิดว่าจำเป็นต้องรู้) ให้ใช้วิธีปิดเสียง ปิดสั่น แล้วคว่ำหน้ามือถือลง เมื่อมีข้อความสำคัญเข้า โทรศัพท์จะยังแจ้งเตือนปกติ เพียงแต่เราจะไม่ว่อกแว่กกับแสงหรือเสียงการแจ้งเตือน และจะพยายามไม่รับรู้อะไรจนกว่าจะถึงเวลาที่กำหนดไว้ว่าสามารถหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูได้
2. กำหนดช่วงเวลาและระยะเวลาในการเล่นโซเชียลมีเดียหรือการใช้งานอุปกรณ์สมาร์ตโฟน มันอาจจะยากและต้องอาศัยวินัยในตัวเองเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่แย่ถ้าจะลองดู ลองกำหนดว่าช่วงเวลาไหนถึงจะแตะต้องโทรศัพท์ได้ ช่วงเวลาไหนต้องเก็บแอบ จะอนุญาตให้ตัวเองใช้งานได้กี่นาที เมื่อหมดเวลาแล้วต้องวางหรือเก็บแอบทันที ซึ่งถ้าคิดว่ายากเกินไป ทำไม่ได้ อาจจะใช้วิธีหักดิบไปเลยในช่วงแรก โดยอาจปิดบัญชีชั่วคราว ลบประวัติการสนทนา (จะได้ไม่ต้องรอหรือเห็นว่าคู่สนทนาอ่านหรือไม่อ่าน) หรือลบแอปฯ ทิ้งไปเลย
3. หากิจกรรมออฟไลน์อื่น ๆ ทำ เปลี่ยนจากการก้มหน้าเล่นมือถือมาเป็นทำงานอดิเรก หรือเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ที่เป็นประโยชน์ จะเป็นกิจกรรมอะไรก็ได้ที่จำเป็นต้องวางมือถือลงและออกห่างมือถือให้นานที่สุด
4. พาตัวเองออกไปใช้ชีวิตกลางแจ้งบ้าง ออกไปท่องเที่ยวพักผ่อนหย่อนใจ หรือทำกิจกรรมต่าง ๆ กับเพื่อนฝูง ครอบครัว อย่าปล่อยให้ตัวเองมีเวลาว่างอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบ ๆ มีกิจกรรมให้ทำน้อย ๆ เดี๋ยวพอไม่มีอะไรทำก็จะไปหยิบมือถือมาเล่นอีก
5. งดเล่นโทรศัพท์อย่างน้อย 1 ชั่วโมงก่อนนอน เพราะการเล่นมือถือก่อนนอน แสงไฟจากหน้าจอจะกระตุ้นให้สมองทำงาน รวมถึงรบกวนการทำงานของเมลาโทนิน ซึ่งเป็นสารที่ช่วยให้นอนหลับ ทำให้นอนหลับได้ยากขึ้น
6. ควรทำ Social Media Detox ในทุก ๆ วันหยุด เพื่อให้ร่างกายและสมองได้ผ่อนคลายจากโซเชียลมีเดียบ้าง เพราะวันหยุดเราไม่จำเป็นต้องกังวลกับการแจ้งเตือนต่าง ๆ มากนัก จริง ๆ สามารถปิดมือถือแล้ววางไว้เฉย ๆ เลยก็ได้ด้วยซ้ำไป
7. ลองจัดระเบียบชีวิตให้เป็นเรื่องเป็นราวด้วยการเขียนบูโจ (ย่อมาจาก Bullet Journal) ซึ่งเป็นวิธีการจดบันทึกบนหน้ากระดาษที่จะทำให้เราสามารถวางแผนและจัดระเบียบชีวิตแบบที่เปิดกว้างต่อจินตนาการของเรา ช่วยให้เราสามารถโฟกัสกับชีวิตของตนเอง และโฟกัสกับสิ่งต่าง ๆ รอบตัวได้ดีกว่าการก้มหน้าก้มตาเล่นโซเชียลมีเดียทั้งวี่ทั้งวัน มันจึงเป็นหน้ากระดาษที่ทำให้เราได้ปลดปล่อยความคิดสร้างสรรค์ อารมณ์ความรู้สึก และทำให้เราอยากทำตามแผนการต่าง ๆ ที่วางไว้มากขึ้นอีกด้วย
แม้ว่าการทำ Social Media Detox อาจไม่ได้จำเป็นสำหรับทุกคน เนื่องจากบางคนสามารถบริหารจัดการการใช้งานโซเชียลมีเดียและโทรศัพท์มือถือของตนเองได้ โดยที่ไม่ได้รู้สึกว่าตัวเองได้รับพิษภัยอะไรจากโซเชียลมีเดีย แต่ถ้าเมื่อไรก็ตามที่รู้สึกว่าการใช้โซเชียลมีเดียกำลังคุกคามชีวิตมากเกินไป มีสัญญาณเตือนต่าง ๆ ข้างต้น ก็สามารถหยิบยกเอาวิธีทำ Social Detox เหล่านี้ไปปรับใช้ดูได้ อย่างไรก็ดี หากลองทำ Social Media Detox ดูแล้วแต่ไม่ได้ผล ไม่ได้รู้สึกมีความสุขขึ้น ยังคงเครียด เศร้า หรือหดหู่อยู่เหมือนเดิม ควรรีบไปปรึกษาจิตแพทย์ เพราะมันอาจลุกลามเป็นปัญหาสุขภาพจิตอื่น ๆ ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
6 ผลไม้ช่วยคุมน้ำหนัก กินลดไขมันหน้าท้องอย่างได้ผล
สาวๆ ทราบหรือไม่ว่า การลดน้ำหนักสามารถทำได้ด้วยการกินผลไม้ โดยวันนี้เราได้รวบรวมเอาผลไม้ 6 ชนิดที่ช่วยควบคุมน้ำหนัก ช่วยลดพุง ลดไขมันบริเวณหน้าท้อง และลดน้ำหนักได้ดีมากๆ มาแชร์ให้สาวๆ ได้ทราบกันค่ะ มาดูกันค่ะว่าผลไม้ทั้ง 6 ชนิดนั้นมีอะไรกันบ้าง
1.สับปะรด
สับปะรดอุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ใยอาหาร และไฟโตนิวเทรียนท์ ซึ่งผลไม้ชนิดนี้มักถูกแนะนำให้กินหลังจากที่สาวๆ กินอาหารที่มีไขมันสูง เนื่องจากจะช่วยสลายไขมันได้บางส่วน อีกทั้งสับปะรดยังมีความสามารถในการช่วยย่อยอาหาร เนื่องจากอุดมด้วยไฟเบอร์สูง แถมยังช่วยในเรื่องการขับถ่ายได้ดีมากๆ เลยทีเดียว
2.มะนาว
มะนาวอุดมด้วยวิตามินซีสูง โดยวิตามินซีอุดมด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ โดยมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนัก และช่วยลดการสะสมไขมันได้ด้วย นอกจากนี้น้ำมะนาวยังช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด จึงช่วยลดระดับไขมันและลดคอเลสเตอรอลได้อย่างมีประสิทธิภาพ
3.ส้มโอ
ส้มโอเป็นผลไม้ที่ได้รับการพิสูจน์แล้วว่ามีส่วนช่วยลดน้ำหนักได้จริง เนื่องจากเป็นผลไม้ที่อุดมด้วยวิตามินซีและใยอาหารปริมาณมาก อีกทั้งการกินส้มโอยังมีส่วนช่วยในเรื่องของการลดไขมันในเลือด ลดความดันโลหิต และลดการอักเสบได้เป็นอย่างดี
4.อะโวคาโด
อะโวคาโดคือผลไม้ที่อุดมด้วยกรดไขมันไม่อิ่มตัวสูง มีใยอาหาร วิตามิน และแร่ธาตุ สำหรับการกินอะโวคาโดเพื่อช่วยในการควบคุมน้ำหนัก ลดพุง หรือลดไขมันบริเวณหน้าท้อง แนะนำให้กินประมาณ ½ ถึง 1 ลูกต่อวัน โดยเป็นปริมาณที่พอดีต่อความต้องการของร่างกาย อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความอิ่ม ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดี ช่วยควบคุมน้ำหนัก และยังช่วยบำรุงสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดได้ดีอีกด้วย
5.แอปเปิล
แอปเปิลอุดมด้วยเบต้าแคโรทีน ไฟเบอร์ น้ำ วิตามิน และแร่ธาตุสูง โดยตามข้อมูลขององค์การอาหารและยาสหรัฐอเมริกาได้มีการค้นพบว่า การบริโภคแอปเปิลทั้งลูกจะส่งผลดีต่อการลดน้ำหนัก และจากการศึกษาค้นพบว่า ผู้ที่กินแอปเปิลในรูปแบบใดก็ตาม จะมีค่าดัชนีมวลกายต่ำกว่า และจะมีโอกาสเป็นโรคอ้วนน้อยกว่าผู้ที่ไม่กินแอปเปิลเลยถึง 30% นอกจากนี้สารต้านอนุมูลอิสระที่อุดมอยู่ในแอปเปิลยังช่วยลดความเสียหายจากปฏิกิริยาออกซิเดชัน ช่วยลดความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนี้จากการศึกษาอื่นๆ ยังมีการยืนยันอีกด้วยว่า การกินแอปเปิลทำให้สาวๆ ที่มีน้ำหนักเกินสามารถลดน้ำหนักได้ดีมากๆ
6.โกจิเบอร์รี
โกจิเบอร์รีอุดมด้วยโปรตีน ไฟเบอร์ และแคโรทีนอยด์ในปริมาณสูง ซึ่งสารอาหารเหล่านี้มีส่วนช่วยลดคอเลสเตอรอลและระดับน้ำตาลในเลือดได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ยังช่วยบำรุงการทำงานของหัวใจได้ดีอีกด้วย อีกทั้งโกจิเบอร์รียังช่วยลดรอบเอวของสาวๆ ได้ดีมากๆ โดยมันสามารถเพิ่มการเผาผลาญไขมันที่สะสมไว้ในร่างกาย และยังช่วยลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ดี
สาวๆ คนไหนที่กำลังวางแผนจะควบคุมน้ำหนัก ลดพุง หรือลดไขมันบริเวณหน้าท้องด้วยวิธีที่ปลอดภัยต่อร่างกาย แนะนำให้กินผลไม้เหล่านี้กันค่ะ ซึ่งนอกจากจะช่วยควบคุมน้ำหนัก ลดพุง และลดไขมันบริเวณหน้าท้องได้ดีแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารที่หลากหลายด้วยเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/08/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,800.00 | 31,900.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,060.00 | 31,229.60 | 32,400.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,854.00 | 28,106.64 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,648.00 | 24,983.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 927.00 | 14,053.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 721.00 | 10,930.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,135.00 | 32,366.60 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/08/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.85 | 38.85 | 40.75 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.58 | 38.58 | 40.48 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 | 38.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.54 | 36.54 | 38.44 | 36.54 | 36.54 | – | 36.54 | 36.54 | 36.54 | 36.54 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.99 | 36.99 | – | – | – | – | – | – | – | 36.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.14 | 47.84 | 48.94 | 48.24 | – | – | – | – | – | 44.14 |
เบนซิน 95 | 46.64 | – | – | – | 47.81 | – | 47.14 | 46.79 | – | 46.64 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 33.84 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 33.84 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 33.84 | – | 31.94 | – | 31.94 | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.04 | 42.44 | 47.94 | 44.04 | 44.04 | – | – | – | – | 41.04 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |