พิษต้นทุนก่อสร้าง ราคาที่ดิน วัสดุ ค่าแรงสูงดันราคาบ้านเดี่ยวพุ่ง
ต้นทุนก่อสร้าง ราคาที่ดิน วัสดุ ค่าแรงสูงขึ้น ดันดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในไตรมาส 4 ปี 2566 ขยับ โดยเฉพาะราคาบ้านเดี่ยวพุ่ง 130.3 ขณะที่ทาวน์เฮ้าส์ชะลอตัวลง
- ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่(บ้านเดี่ยวและทาวน์เฮ้าส์)ที่อยู่ระหว่างการขายในภาพรวมในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2566 ค่าดัชนีมีค่าเท่ากับ 130.3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) ที่มีค่าดัชนีเท่ากับ 130.2
- แสดงให้เห็นว่าราคาที่อยู่อาศัยแนวราบโดยภาพรวมของปี 2566 ปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องตลอดทุกไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2565 ถึง ไตรมาส 4 ปี 2566 และเมื่อเทียบระหว่างไตรมาส (QoQ) พบว่าดัชนีราคาบ้านจัดสรรมีการเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.4 โดยมีการเพิ่มติดต่อกัน 3 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2566 ถึงไตรมาส 4 ปี ส่งผลให้ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ณ ไตรมาส 4 ปี 2566 กลับขึ้นมาสูงกว่าช่วงเดียวกันของปี 2565 เล็กน้อย
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยว่า เหตุผลสำคัญที่ทำให้ดัชนีราคาบ้านจัดสรรใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลัก ๆ มาจาก ต้นทุนการก่อสร้างที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นจากปัจจัยหลายประการ เช่น ราคาที่ดิน ค่าวัสดุก่อสร้าง และค่าแรงงานที่เพิ่มขึ้นล้วนมีผลโดยตรงต่อต้นทุนการก่อสร้างที่อยู่อาศัย ส่งผลให้การพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ออกมาสู่ตลาดที่เปิดตัวโครงการในปี 2565 – 2566 มีราคาเสนอขายเพิ่มขึ้นตามต้นทุนที่สูงขึ้น
เมื่อจำแนกดัชนีราคาบ้านจัดสรรตามพื้นที่ พบว่าโครงการจัดสรรใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ลดลงร้อยละ -0.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) ขณะที่ในพื้นที่ 3 จังหวัดปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี และ สมุทรปราการ) มีค่าดัชนีเท่ากับ 131.5 ลดลงร้อยละ -0.8 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) แสดงให้เห็นว่าเมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสก่อนหน้าราคาบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขายในพื้นที่ 3 จังหวัดปริมณฑลเป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้ภาพรวมของดัชนีราคาปรับเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณาตามประเภทที่อยู่อาศัย ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 133.8 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกัน 6 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 3 ปี 2565 ถึงไตรมาส 4 ปี 2566 และเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) โดยเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกัน 3 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2566 ถึงไตรมาส 4 ปี 2566
เมื่อพิจารณาลงรายพื้นที่ พบว่ากรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ลดลงร้อยละ -0.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) เพื่อกระตุ้นตลาดส่งท้ายปี 2566 บ้านเดี่ยวที่ปรับลดราคาลงส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวที่มีราคาแพงอยู่ในระดับราคามากกว่า 10ล้านบาทขึ้นไป
ส่วน 3 จังหวัดปริมณฑล มีค่าดัชนีเท่ากับ 136.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.6 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 4.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ขณะที่พบการเปลี่ยนแปลงของราคาบ้านเดี่ยวที่มีการปรับตัวขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนต่อเนื่องกันถึง 7 ไตรมาสตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2565 ถึงไตรมาส 4 ปี 2566 โดยเฉพาะโครงการที่เปิดตัวใหม่ในปี 2565-2566 เนื่องจากมีต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาวัสดุก่อสร้างที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น
วิชัย กล่าวว่า ในไตรมาส 4 ปี 2566 ที่ผ่านมาในพื้นที่กรุงเทพฯ มีการลดราคาของบ้านเดี่ยวมากที่สุดในโซนราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทอง รองลงมาในโซนลาดพร้าว-บางกะปิ-วังทองหลาง-บึงกุ่ม-สะพานสูง-คันนายาว และพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ
ส่วนพื้นที่ 3 จังหวัดปริมณฑล พบว่าโซนที่ปรับราคาเพิ่มขึ้นมากที่สุด ได้แก่ โซนลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ ในระดับราคา 3– 5ล้านบาท รองลงมาในโซนบางกรวย-บางใหญ่-บางบัวทอง-ไทรน้อย ในระดับราคา 5– 7.5ล้านบาท และโซนเมืองปทุมธานี-ลาดหลุมแก้ว-สามโคก ในระดับราคามากกว่า 10ล้านบาทขึ้นไป
สำหรับดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯ – ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2566 มีค่าดัชนีเท่ากับ 128.7 ลดลงร้อยละ -0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ -0.5 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) โดยกรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 127.6 ลดลงร้อยละ -0.5 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และลดลงร้อยละ -0.9 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
ทั้งนี้ พบการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาลดลงต่อเนื่องติดต่อกัน 3 ไตรมาส ตั้งแต่ไตรมาส 2 ปี 2566 ถึง ไตรมาส 4 ปี 2566 ส่วนใหญ่เป็นโครงการเก่าตั้งแต่ปี 2564 และต้นทุนการผลิตยังเป็นต้นทุนเดิม สำหรับ 3 จังหวัดปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทรปราการ) มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.5 ลดลง ร้อยละ -0.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
สะท้อนว่าราคาโดยภาพรวมของทาวน์เฮ้าส์”ชะลอตัว”จากปีก่อนหน้าหากดูค่าเฉลี่ยของดัชนีในปี 2565 และปี 2566 เทียบกันจะพบว่าราคาทาวน์เฮ้าส์ใน 3 จังหวัดปริมณฑลลดลงร้อยละ -1.0 อาจเนื่องมาจากต้นทุนของราคาที่ดินในจังหวัดปริมณฑลไม่สูงเท่ากับในกรุงเทพมหานครจึงทำให้ผู้ประกอบสามารถลดราคาลง เพื่อให้สอดคล้องกับความสามารถในการซื้อของผู้บริโภค
การกระตุ้นตลาดเร่งระบายสต๊อกทาวน์เฮ้าส์ปลายปี 2566 พบว่าในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล มีการลดราคามากที่สุดในโซนตลิ่งชัน-บางแค-ภาษีเจริญ-หนองแขม-ทวีวัฒนา ในระดับราคา 3– 5ล้านบาท รองลงมาในโซนบางเขน-สายไหม-ดอนเมือง-หลักสี่ ในระดับราคา 5– 7.5 ล้านบาท และโซนลาดพร้าว-บางกะปิ-วังทองหลาง-บึงกุ่ม-สะพานสูง-คันนายาว ในระดับราคามากกว่า 10ล้านบาทขึ้นไป
ส่วนในพื้นที่ 3 จังหวัดปริมณฑลพบว่ามีการลดลงราคามากที่สุดในโซนบางกรวย-บางใหญ่-บางบัวทอง-ไทรน้อย ในระดับราคา 2– 3ล้านบาท รองลงมาในโซนบางพลี-บางบ่อ-บางเสาธง ในระดับราคา 3– 5ล้านบาท และโซนลำลูกกา-คลองหลวง-ธัญบุรี-หนองเสือ ในระดับราคา 1.5– 2ล้านบาท
สำหรับรายการส่งเสริมการขายบ้านจัดสรรใหม่ที่อยู่ระหว่างการขาย ประจำไตรมาส 4/2566 พบว่า ส่วนใหญ่ร้อยละ 40.2 เป็นของแถมมากที่สุด เช่น ฟรีแอร์ ม่าน ปั๊มน้ำ แท็งก์น้ำ มิเตอร์น้ำ มิเตอร์ไฟฟ้า จัดสวน ปูหญ้า และลดลงจากไตรมาสก่อนซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 40.5 รองลงมาร้อยละ 38.9 เป็นการให้ส่วนลดฟรีค่าใช้จ่ายในวันโอนฯ ลดลงจากไตรมาสก่อนหน้าซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 39.0 และร้อยละ 20.9 เป็นการให้ส่วนลดเงินสด เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนซึ่งมีสัดส่วนร้อยละ 20.4
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เจาะแนวคิด‘ธัญทิพ เจียรวนนท์’ปั้นอีเดน เอสเตทตอบโจทย์อัลตร้า ลักชัวรี
เจาะแนวคิด ‘ธัญทิพ เจียรวนนท์’หลานเจ้าสัวสัวธนินท์ ปั้นอีเดน เอสเตท ชูจุดขาย‘หายาก สร้างยาก’ ตอบโจทย์อัลตร้า ลักชัวรีของแทร่แบบไม่ต้องตะโกน หวังขึ้นแท่นผู้นำ Ultra-Luxury Low-Density รายแรกเมืองไทย
- จากประสบการณ์ 5 ปีในการพัฒนาโครงการ เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ “ธัญทิพ เจียรวนนท์ “หลานสาวเจ้าสัวธนินท์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อีเดน เอสเตท คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้พบ “อินไซต์” ของลูกค้าระดับอัลตร้า ลักชัวรี โซนเอกมัย สุขุมวิท ที่ต้องการห้องใหญ่ แต่ซัพพลายแทบไม่มีเหลือ นั่นจึงเป็น “โอกาส” ในพัฒนาคอนโดโลว์ไรส์ ออกมาตอบสนองตลาด
ธัญทิพกล่าวว่า นั่นเป็นที่มาของการพัฒนาโครงการ “อีเดน เอกมัย” โครงการที่อยู่อาศัยในรูปแบบโลว์ไรส์ (Low-Rise) ที่มีจุดเด่นด้วยแนวคิด Ultra-Luxury Low-Density รายแรกของไทย
โครงการอยู่ในทำเลใจกลางกรุงเทพอย่าง เอกมัยซอย 12 และมีจำนวนเพียง 17 ยูนิต พร้อมที่จอดรถมาตรฐานถึง 300% เป็นการเปิดน่านน้ำใหม่ ในฐานะผู้บุกเบิกตลาดในกลุ่ม Ultra-Luxury Low-Density ในวงการอสังหาริมทรัพย์ไทย
โดยกลุ่มลูกค้าหลักจะเป็นกลุ่มคนที่ต้องการอยู่ในทำเลสุขุมวิท เอกมัย มีครอบครัวอยู่อาศัยในย่านนี้มานานต้องการขยายครอบครัวแต่ยังอยากอยู่ใกล้พ่อแม่ ซึ่งโครงการนี้น่าจะเป็นอีกโครงการหนึ่งที่น่าสนใจ
ทั้งนี้ “อีเดน เอสเตท” เป็นชื่อบริษัทใหม่ที่เปลี่ยนจากเดิมคือ “1.6 ดีเวล็อปเม้นต์” (วันพ้อยท์ซิกซ์) ที่พัฒนาโครงการแรก
เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ ที่ร่วมทุนกับ MQDC หรือบริษัท แมกโนเลีย ควอลิตี้ ดีเวล็อปเม้นต์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เป็นการที่อยู่อาศัยในรูปของมิกซ์ยูส (Mixed-use) มูลค่ากว่า 4,800 ล้านบาท จำนวน 188 ยูนิตก่อสร้างแล้วเสร็จ 100%
“เราแค่มาเปลี่ยนชื่อจากวันพ้อยท์ซิกซ์ ดีเวล็อปเม้นต์มาเป็นอีเดน เอสเตท เหตุผลหลักเพราะหลายคนจำชื่อไม่ได้ จึงอยากสร้างแบรนด์ใหม่ที่ยั่งยืนสะท้อนความเป็นประเทศไทยได้ในระดับโลก”
สำหรับแผนพัฒนาโครงการของ อีเดน เอสเตท จะให้ความสำคัญกับการพัฒนาโครงการที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว เน้นการพัฒนาเท่าที่ ”จำเป็น” เพื่อตอบสนองกับความต้องการตลาดที่แท้จริง
“ไม่จำเป็นต้องขึ้นโครงการใหม่ทุกปีเป็นพันยูนิต เพราะไม่ใช่เป้าหมายในการก่อตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อดำเนินธุรกิจอสังหาฯ เน้นการสร้างโครงการที่มีมูลค่าและสร้างความแตกต่างจากโครงการในตลาดอสังหาฯ”
สำหรับโครงการแรก “อีเดน เอกมัย” เป็นการซื้อบ้านเก่าซื้อมาพัฒนาเป็นคอนโดโลว์ไรส์ ระดับอัลตร้าลักชัวรี บนพื้นที่ 1-0-2 ไร่ สูง 7 ชั้น17 ยูนิต มูลค่า 2,000 ล้านบาท หรือเฉลี่ย 350,000 บาท/ตร.ม. แบ่งเป็น ห้องดูเพล็กซ์ ขนาด 350-391 ตร.ม. 3 ห้องนอน 4 ห้องน้ำ ราคาเริ่มต้น 130 ล้านบาท ห้องซิมเพล็กซ์ ขนาด 219-224 ตร.ม. 2 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ ราคาเริ่มต้น 70 ล้านบาท โดยจะเริ่มก่อสร้างในปี 2567 คาดว่าจะแล้วเสร็จในอีก 3 ปีข้างหน้า มีสัดส่วนลูกค้าต่างชาติ 49% และคนไทย 51%
ทั้งนี้เนื่องจาก ทำเลดังกล่าวมีสิ่งอำนวยความสะดวกในการใช้ชีวิตครบวงจร อาทิ สถานศึกษา โรงพยาบาล ใกล้รถไฟฟ้า BTS สถานีทองหล่อและเอกมัย ห้างสรรพสินค้าจึงเหมาะกับผู้ที่ต้องการแยกครอบครัวออกมา แต่ยังอยากอยู่ใกล้บ้านทำเลเดิม
ธัญทิพ ระบุว่า กลุ่มลูกค้าระดับอัลตร้าลักชัวรี ต้องการซื้อสินค้าที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ในระยะยาว ซึ่งบ้านถือเป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่สามารถเพิ่มมูลค่าได้ดี เหมาะต่อการซื้อเพื่อลงทุน เพื่อส่งต่อสินทรัพย์ให้แก่ลูกหลาน โดยโซนสุขุมวิทราคาขึ้นทุกปี
“แนวทางการพัฒนาโครงการ เน้นโครงการที่มีคุณค่า มูลค่าสูง สร้างยาก หายาก พัฒนาไม่ง่าย”
ซึ่งแนวคิดดังกล่าวก็คล้ายกับ “เดอะ สแตรนด์ ทองหล่อ” ที่การเปิดตัวในช่วงโควิด ราคาอยู่ที่ 350,000 บาท/ตร.ม. ราคาเริ่มต้นห้องขนาด 38 ตร.ม.ราคา 17 ล้านบาท ส่วนเพนท์เฮ้าส์ ราคาห้อง 80-100 ล้านบาท ซึ่งขายหมดแล้ว! และยังพบว่าลูกค้าสามารถปล่อยเช่าได้ในราคาที่สูงเฉลี่ย 120,000 บาท/เดือน สำหรับห้องแบบ 2 ห้องนอน!!
ทั้งนี้สำหรับแนวทางการทำตลาดที่เน้นกลุ่มที่มีกำลังซื้อระดับอัลตร้าลักชัวรีนั้น หลักๆ คือ การเน้น“ทำเลกลางใจเมือง” ประเด็นถัดมาคือการ “บริการ ” ที่ต้องตอบโจทย์ลูกค้าเฉพาะบุคคล อาทิ มีลิฟท์ส่วนตัว เล้านจ์ส่วนกลางสุดหรู ไพรเวทฟิตเนส 2 ห้อง สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ ห้องซาวน่าเกลือหิมาลัยส่วนตัว และเคาน์เตอร์ต้อนรับของโครงการพร้อมผู้ช่วยส่วนตัวที่จะคอยดูแลและอํานวยความสะดวกให้แก่ลูกบ้านแบบเอ็กซ์คลูซีฟตลอด 24 ชม. ที่จอดรถมาตรฐาน 300% จอดได้ห้องละ 3 คัน พร้อมอีวีชาร์จเจอร์ เป็นต้น
ส่วนเป้าหมายระยะยาวของ อีเดน เอสเตท คือ ต้องการเป็นผู้นำ Ultra Luxury, Low Density ในประเทศไทย ที่ห้องยิ่งใหญ่ จำนวนน้อย คุณภาพต้องยิ่งดี
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 11ม.ค. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.02 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก หลังเงินดอลลาร์เริ่มชะลอการแข็งค่า ลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในคืนวันพฤหัสฯ นี้ ขณะผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอจังหวะเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงในการทยอยขายเงินดอลลาร์
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 11ม.ค. 2567 ที่ระดับ 35.02 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.97 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า การผันผวนอ่อนค่า “เร็วและแรง” ของเงินบาทในช่วงการซื้อ ขาย ระหว่างวันก่อนหน้า อาจไม่ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง ในวันนี้ โดยเฉพาะในช่วงก่อนตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
เนื่องจาก แรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าดังกล่าว นั้นมาจากความกังวลแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จากแรงกดดันทางการเมือง ซึ่งบรรดาผู้เล่นในตลาดก็ได้คลายกังวลประเด็นดังกล่าวไปพอสมควร หลังทาง ธปท. เตรียมจะจัดงานแถลง BOT Policy Briefing ในวันจันทร์ที่ 15 มกราคม โดยเราคาดว่า ธปท. จะใช้งานแถลงดังกล่าว ย้ำจุดยืนว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันของไทยนั้นอยู่ในระดับที่เหมาะสม ตามแนวโน้มการทยอยฟื้นตัวของเศรษฐกิจ
อย่างไรก็ดี เงินบาทก็อาจเคลื่อนไหวผันผวนสูงได้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในช่วงเวลาประมาณ 20.30 น. ตลาดเวลาในประเทศไทย โดยเราประเมินว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 35.30 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก หากอัตราเงินเฟ้อกลับไม่ได้ชะลอลงตามคาด หรือ เร่งตัวขึ้น กดดันให้บรรดาผู้เล่นในตลาด “เลิกเชื่อ” ว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนมีนาคม
ขณะที่ หากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอตัวลงตามคาด หรือ อาจชะลอลงมากกว่าคาด ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงได้บ้าง ซึ่งเงินบาทก็มีโอกาสกลับมาแข็งค่าต่ำกว่าระดับ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ และการจะแข็งค่ามากกว่าระดับดังกล่าว อาจขึ้นกับแนวโน้มราคาทองคำ หลังรับรู้อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในคืนนี้เช่นกัน
ในช่วงนี้ เราพบว่า ความผันผวนของเงินบาทยังคงอยู่ในระดับที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ
นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.90-35.10 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
และประเมินกรอบ 34.80-35.30 บาทต่อดอลลาร์ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในช่วง 34.95-35.12 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นบ้างของเงินดอลลาร์ และโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำ หลังราคาทองคำได้ย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับระยะสั้นอีกครั้ง
อย่างไรก็ดี เงินบาทยังไม่ได้อ่อนค่าไปมากนัก หลังเงินดอลลาร์ก็เริ่มชะลอการแข็งค่า เนื่องจากบรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในคืนวันพฤหัสฯ นี้ ขณะเดียวกัน บรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็รอจังหวะเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงในการทยอยขายเงินดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นได้ จากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ เป็นหลัก โดยเฉพาะหุ้น Meta +3.7% ที่ได้แรงหนุนจากการปรับเพิ่มเป้าราคาของนักวิเคราะห์ นอกจากนี้ หุ้นกลุ่ม Semiconductor ต่างก็ปรับตัวขึ้น อาทิ Nvidia +2.3% จากอานิสงส์รายงานผลประกอบการของบริษัทผู้ผลิตชิพรายใหญ่ TSMC ที่ออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.57%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ยังคงย่อตัวลงต่อเนื่อง -0.18% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจยุโรป นอกจากนี้ การปรับตัวลดลงของราคาน้ำมันดิบก็มีส่วนกดดันให้ ราคาหุ้นกลุ่มพลังงานต่างปรับตัวลดลง นำโดย Shell -1.4%, BP -0.6% อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรป ยังคงได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของหุ้นกลุ่ม Healthcare อาทิ Novo Nordisk +2.1%
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวในกรอบ sideway ใกล้ระดับ 4.00% เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้น รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ในคืนวันพฤหัสฯ นี้ โดยเรายังคงแนะนำว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนสูงขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ นั้นออกมาดีกว่าคาด จนทำให้บรรดาผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ย “เร็วและลึก” ของเฟด
เช่น หากผู้เล่นในตลาดเลิกเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนมีนาคมนี้ ก็มีโอกาสที่จะเห็นบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทดสอบโซน 4.20% ได้อีกครั้ง ดังนั้น ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip และไม่ไล่ราคา โดยพยายามคำนึงถึง จุดคุ้มทุน หรือ Break-even เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนรวม หรือ Total Return ที่จะได้จากการถือครองบอนด์
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนในกรอบ sideways เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 102.4 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.3-102.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็มีส่วนกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 2,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นโซนแนวรับระยะสั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะปรับฐานดังกล่าว และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าได้บ้างในช่วงคืนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ ควรจับตาว่า หลังการรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ราคาทองคำจะเคลื่อนไหวอย่างไร โดย หากราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นราว +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หรือ ทดสอบโซนแนวต้าน 2,060 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำในโซนดังกล่าว ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็จะสามารถช่วยให้เงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นหรือชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทในช่วงนี้
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ รวมถึง รายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) โดยหากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ไม่ได้ชะลอตัวลง ตามที่ผู้เล่นในตลาดคาดหวัง หรือกลับเร่งตัวขึ้น ขณะเดียวกัน ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานก็ยังคงอยู่ใกล้เคียงกับระดับเดิม เรามองว่า ใน
กรณีนี้ ผู้เล่นในตลาดอาจปรับลดความคาดหวังการ “ลดดอกเบี้ย” ของเฟด และมีโอกาสที่ผู้เล่นในตลาดจะ “เลิกเชื่อ” ว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงได้ในการประชุมเดือนมีนาคม ซึ่งอาจทำให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้พอสมควร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.05-35.07 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.47 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.98 บาทต่อดอลลาร์ฯ เงินบาทเคลื่อนไหวเป็นกรอบ แต่ส่วนใหญ่เป็นการแกว่งตัวอยู่ในฝั่งอ่อนค่ากว่าแนว 35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ท่ามกลางสัญญาณที่สะท้อนว่า นักลงทุนต่างชาติอาจกลับมาขายสุทธิพันธบัตรไทยในวันนี้ ประกอบกับแรงขายเงินดอลลาร์ฯ เริ่มชะลอลงในช่วงก่อนการประกาศตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ในคืนนี้ด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 34.90-35.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ต่างชาติ ปัจจัยในประเทศ ทิศทางราคาทองคำในตลาดโลก ผลการประชุมธนาคารกลางเกาหลีใต้ และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนธ.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“พิงค์ พิชฌามลณ์”ดวล”จิว ลลินรัศฐ์”-“วิว กุลวุฒิ” เจอดัตช์เปิดหัวแบดมินตันไทยแลนด์มาสเตอร์ส
จับติ้วสายการแข่งขันแบดมินตัน ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024 ที่ไทย ซึ่งจะมีขึ้นระหว่าง 30 ม.ค. – 4 ก.พ.67 ที่ไทย มีศึกสายเลือด นักกีฬาดวลกันเอง โดยหญิงเดี่ยว “พิงค์-พิชฌามลณ์” ดาวรุ่งแชมป์เยาวชนโลกคนล่าสุด พบรุ่นพี่ “จิว-ลลินรัศฐ์” แชมป์ประเทศไทยคนล่าสุด ส่วน “เมย์-รัชนก” พบนักตบมือ 40 ของโลก จากอินเดีย ด้านชายเดี่ยว “วิว-กุลวุฒิ” ประเดิมรอบแรก พบ มาร์ค คัลโจว มือ 52 ของโลก จากเนเธอร์แลนด์
ความเคลื่อนไหวการแข่งขันแบดมินตัน “ปริ้นเซส สิริวัณณวรี ไทยแลนด์ มาสเตอร์ส 2024″ (Princess Sirivannavari Thailand Masters 2024) ชิงถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา รายการเก็บคะแนนสะสมอันดับโลกที่ได้การรับรองจากสหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ทัวร์นาเมนต์ระดับบีดับเบิลยูเอฟ เวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 300 ชิงเงินรางวัลรวม 210,000 เหรียญสหรัฐ หรือ ประมาณ 7,240,000 บาท ซึ่งจะแข่งขันระหว่างวันที่ 30 ม.ค. – 4 ก.พ.67 ที่อาคารนิมิบุตร สนามกีฬาแห่งชาติ กรุงเทพมหานคร
ล่าสุดเมื่อช่วงเช้าวันพุธที่ 10 ม.ค.ที่ผ่านมา ได้มีการจับสายการแข่งขันออกมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยในประเภทชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มือ 1 ของรายการ และมือ 7 ของโลก จะพบกับ มาร์ค คัลโจว มือ 52 ของโลก จากเนเธอร์แลนด์, “กัน” กันตภณ หวังเจริญ มือ 36 ของโลก พบกับ อิกอร์ โคเอลโญ่ มือ 47 ของโลกจากบราซิล
ประเภทหญิงเดี่ยว “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มือ 13 ของโลก พบ อคาร์ชิ คัชยาพ มือ 40 ของโลก จากอินเดีย, “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มือ 14 ของโลก พบ ไป่ ยู่โป มือ 29 ของโลก จากไต้หวัน, “เม” ศุภนิดา เกตุทอง มือ 16 ของโลก พบ ซุง โชวยุน มือ 30 ของโลก จากไต้หวัน , “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มือ 19 ของโลก พบ คลาร่า อาซูร์เมนดี้ มือ 51 ของโลก จากสเปน, “พิงค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ มือ 55 ของโลก เจ้าของแชมป์เยาวชนโลกคนล่าสุด พบรุ่นพี่ “จิว” ลลินรัศฐ์ ไชยวรรณ มือ 38 ของโลก และแชมป์ประเทศไทยคนล่าสุด
ประเภทชายคู่ รอบแรก “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “สกาย” กิตตินุพงษ์ เกตุเรน คู่มือ 33 ของโลก พบ ฟาจาร์ อัลเฟียน กับ มูฮัมหมัด ไรอัน อาเดรียนโต คู่มือ 1 ของรายการ และคู่มือ 6 ของโลก จากอินโดนีเซีย “ภีม” ภรัณยู ขาวสำอางค์ กับ “ทีม” วรพล ทองสง่า คู่มือ 49 ของโลก พบคู่จากมือรอบควอลิฟาย
ประเภทชายคู่ รอบคัดเลือก “ไอซ์” สิรวิชญ์ โสทน กับ “เปรม” ณัฐพัฒน์ ตฤณขจี คู่มือ 119 ของโลก พบกับ โค ซังฮุน กับ ชิน เบ็คชอย คู่มือ 99 ของโลกจากเกาหลีใต้, “พี” พีรัชชัย สุขพันธ์ กับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล คู่มือ 78 ของโลก พบ โจชัว แม็กกี กับ พอล เรย์โนลด์ คู่มือ 68 ของโลก จากไอร์แลนด์
ประเภทหญิงคู่ รอบแรก “กิ๊ฟ” จงกลพรรณ กิติธรากุล กับ “วิว” รวินดา ประจงใจ คู่มือ 1 ของรายการ และคู่มือ 10 ของโลก พบ วิ เวียนโฮ กับ ลิม ชิว เซียน คู่มือ 37 ของโลก จากมาเลเซีย, “อันนา” นันทน์กาญจน์ กับ “มูนา” เบญญาภา เอี่ยมสอาด คู่มือ 2 ของรายการ และคู่มือ 13 ของโลก พบ เซตยาน่า มาพาซ่า กับ แองเจล่า หยู คู่มือ 41 ของโลก จากออสเตรเลีย, “เกน” ลักษิกา กัณละหะ กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ คู่มือ 47 ของโลก พบ ทานิชา คาสโตร กับ อัชวานี่ พอนนัพพา คู่มือ 24 ของโลก จากอินเดีย
ประเภทคู่ผสม รอบแรก “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์ กับ “ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย คู่มือ 1 ของรายการ และคู่มือ 6 ของโลก รอพบมือจากรอบควอลิฟาย, “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ กับ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มือ 20 ของโลก พบ วินสัน ชู กับ เจนนี่ ไก คู่มือ 31 ของโลก จากสหรัฐฯ
ประเภทคู่ผสม รอบคัดเลือก “จริง” ภทรธร นิพรรัมย์ กับ “หว่าหวา” นัทธมน ไล้สวน คู่มือ 102 ของโลก พบกับ “โอโม่” พรรคพล ธีระรัตน์สกุล กับ “จ๋อมแจ๋ม” ผไทมาส เหมือนวงศ์ คู่มือ 65 ของโลก
ทั้งนี้ผู้ที่ต้องการเข้าชมในสนามแข่งขัน สามารถซื้อบัตรได้แล้ว ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ทุกสาขา มีบัตรวันต่อวันหลากหลายราคาให้เลือก ตั้งแต่ 800 , 400 , 200 และ 100 บาท ส่วนแฟนกีฬาชาวไทย ที่ไม่สามารถเข้าชมในสนามแข่งขันสามารถชมและเชียร์นักกีฬาไทยได้ทางการถ่ายทอดสดผ่านทาง True Visions ติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.facebook.com/BadmintonThailand
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
7 วิธีเอาชนะภาวะ Monday Blues หดหู่วันจันทร์ ทำยังไงดี
ทุกคนเคยเป็นกันใช่ไหม? อาการเหนื่อยหน่าย หงอยเหงา คืบคลานเข้ามา เมื่อสุดสัปดาห์แสนเพลินผ่านไป พร้อมกับอาการ “หดหู่ในวันจันทร์” Monday blues ความรู้สึกเซื่องซึม และไร้พลังงานที่ถาโถมเข้ามาทักทายในวันทำงานวันแรก นักจิตวิทยา บอกว่าการเปลี่ยนจากสุดสัปดาห์ที่ผ่อนคลายสนุกสนาน มาสู่วันทำงานอันวุ่นวายในวันจันทร์ เป็นเรื่องชวนท้อแท้จริงๆ ถ้าคุณรู้สึกเฉื่อยชา ตึงเครียด หรือหนักใจในเช้าวันจันทร์ ลองใช้วิธีเหล่านี้ช่วยได้ รับรองว่าคุณจะก้าวล้ำความรู้สึกเบื่อหน่ายเหล่านี้ไปได้ 7 วิธีเอาชนะ Monday Blues
วิธีเอาชนะ Monday Blues
1.อย่าละทิ้งกิจวัตรดูแลตัวเอง แม้ในวันหยุด
Kathryn Ely, นักให้คำปรึกษา กล่าวว่า หนึ่งในสาเหตุที่วันจันทร์ทำให้รู้สึกโหดร้าย ก็เพราะเรามักทิ้งนิสัยการกิน การนอน และการออกกำลังกายที่ดี ๆ เอาไว้ตั้งแต่บ่ายวันศุกร์ ถ้าคุณดื่มหนัก กินอาหารหนัก ไหนจะเปลี่ยนเวลานอน เวลานอนตื่นแบบหน้ามือเป็นหลังมืออีก ในวันเสาร์อาทิตย์ รับรองว่าวันจันทร์เช้าคุณจะงงงันแน่นอน ไม่ได้หมายความว่าคุณจะผ่อนคลายในวันหยุดไม่ได้ แต่พยายามหาจุดสมดุล ที่ทั้งได้ชาร์จพลังงาน และไม่ทิ้งกิจวัตรสำคัญ ๆ ไปเสียหมด
2.ปลดปล่อยจากงาน เสริมวันหยุดให้ผ่อนคลาย ไล่อาหารหดหู่ในวันจันทร์ให้หนีหาย
Monday Blues อาจกำลังบอกใบ้ว่า คุณควรสร้างกำแพงที่แข็งแรงขึ้น ระหว่าง “งาน” กับ “การพักผ่อน” ถ้าคุณเช็กอีเมล์ตลอดเวลา แทนที่จะใช้เวลานั้นชาร์จพลังในวันหยุด คุณกำลังปูทางสู่ภาวะหมดไฟ
3.มาปลดปล่อยตัวเองกัน
- วันศุกร์ก่อนเลิกงาน ปิดการแจ้งเตือนอีเมล์ พักเรื่องงานไว้ก่อน
- ปลดปลั๊ก ปิดโนติ ถอดสายชาร์จ ห่างจากอุปกรณ์ติดต่องาน โฟกัสที่เวลาส่วนตัว
4.ยิ่งพักผ่อนอย่างแท้จริง วันจันทร์ของคุณก็จะสดใส Monday Blues พร้อมลุยงาน
อย่าปล่อยชิ่งกับวงจรนอน Monday Blues จะไม่มาทักทาย ฟังดูเหมือนเรื่องพื้นๆ แต่การนอนไม่พอส่งผลใหญ่หลวงต่อความรู้สึกในเช้าวันจันทร์ การนอนน้อยกว่า 7-9 ชั่วโมง อาจทำให้คุณวิตกกังวล และหดหู่ได้ Kathryn Ely นักให้คำปรึกษา แนะว่า ให้พยายามรักษากำหนดการนอน-ตื่น ให้ใกล้เคียงกับช่วงวันทำงาน เพื่อไม่ให้รบกวนนาฬิกาภายในของคุณ ไม่ต้องเคร่งเป๊ะขนาดนาที แต่พยายามอย่านอนดึกเกิน 1-2 ชั่วโมงจากปกติวันธรรมดา
5.เตรียมรับมือ “งานช้าง” ล่วงหน้า (เฉพาะกรณีฉุกเฉินจริงๆ)
ถึงการตัดขาดจากงานวันหยุดสุดสัปดาห์จะเป็นอุดมคติ แต่ก็ยอมรับเถอะว่าไม่ใช่ทุกครั้งที่จะทำได้ ถ้ารู้ตัวว่าสัปดาห์ข้างหน้ามีงานโหดรออยู่ หรือใกล้เดดไลน์สำคัญ ลองแบ่งเวลา 1-2 ชั่วโมงในวันอาทิตย์ สะสางงานบางส่วนไปก่อนช่วยคลายแรงกดดันในเช้าวันจันทร์ได้เยอะเลยแต่ถ้าเลือกทางนี้ ต้องแน่ใจว่าวันเสาร์ได้พักผ่อนจริงๆ ไม่มีแบกงานไปด้วย ไม่งั้นจันทร์เช้าก็ยังยับเยินอยู่ดี ยิ่งเหนื่อย ยิ่งทำงานไม่ค่อยคุ้ม จริงมั้ย!
เคล็ดลับคือ จัดสรรเวลาอย่างชาญฉลาดใช้เวลาวันหยุดพักผ่อนให้เต็มที่ส่วนงานเอาแค่พอคลายกังวลรับรองวันจันทร์จะสดใส ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ
6.หนี “Monday Blues” ด้วยทริคง่ายๆ:
- ปล่อยวันจันทร์โล่งๆ: หลีกเลี่ยงการนัดประชุม งานใหญ่ๆ ไว้ก่อน
- วางแผนล่วงหน้า: ก่อนหมดวันศุกร์ จัดการแพลนงานประจำสัปดาห์ แบ่งงานย่อยๆ
- อย่าอัดทุกอย่าง: ไม่โยนภาระค้างทั้งหมดมาวันจันทร์ แบ่งเบาให้วันอื่นบ้าง
- ใช้ตัวช่วย! แอพจัดการเวลา จะช่วยติดตามงาน นัดหมายได้ง่ายดาย
7.จับความกังวล ลงสมุด หนี “Monday Blues” ไปไกลๆ
เวลาหัวระเบิด คิดโน่นคิดนี่เรื่องงานวันจันทร์ลองหยิบปากกา จดทุกอย่างลงสมุด ช่วยให้รู้สึกสงบ และทำงานได้ดีขึ้น
ระหว่างจด ลองถามตัวเองว่า:
- ฉันรู้สึกอะไร? โกรธ เศร้า กลัว?
- อะไรที่ทำให้เครียด? คนหรืองาน?
- ตอนนี้พอทำอะไรได้บ้าง? ออกไปเดินสักพัก? วางแผนคร่าวๆ สำหรับสัปดาห์หน้า?
แค่จดก็คลายกังวลได้เยอะแล้ว ยิ่งมองเห็นทางออก “Monday Blues” ก็ยิ่งหนีห่าง ลองใช้ดูสิ ปลดปล่อยตัว เคลียร์สมองรับรองวันจันทร์สดใส ทำงานได้เต็มที่
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
5 เทคนิคเขียนอีเมลให้ดูเป็นมืออาชีพ
ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าอินเตอร์เน็ตมีอิทธิพลต่อเราในด้านต่างๆมากมาย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความบันเทิง การหาความรู้ รวมไปถึงการติดต่อกันทางธุรกิจ มีใครในที่นี้ไม่รู้จัก email หรือเจ้าจดหมายอิเล็กทรอนิกส์บ้างไหมคะ? แหม คงไม่มีสินะ แล้วรู้หรือเปล่าคะว่าการเขียนอีเมลให้ดูสุภาพและดูเป็น Professional นั้นมีวิธีการอย่างไร? รู้ไหมคะว่าแม้การใช้อีเมลจะไม่เป็นทางการเท่ากับการใช้จดหมาย แต่หากเราเขียนอีเมลด้วยภาษาที่ถูกต้อง ดูเป็นมืออาชีพมากเท่าไร ก็ยิ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเราและองค์กรดีขึ้นอย่างไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรมากมายเลย
ขั้นตอนการเขียนอีเมลภาษาอังกฤษไม่ยากไม่ยุ่งเท่าไหร่หรอกค่ะ เพียงแค่ลองทำตามขั้นตอน 5 อย่าง ดังต่อไปนี้
1. เริ่มด้วยการทักทาย
การทักทายเป็นวัฒนธรรมสากลค่ะ คล้ายๆกับคำกล่าวที่ว่าไปมาลาไว้ของไทยนั่นแหละ เมื่อเราจะเริ่มการสนทนานั้นการทักทายเป็นสิ่งสำคัญมาก เพราะเป็นสิ่งที่ทำให้ผู้รับรู้สึกประทับใจ และสัมผัสได้ว่าได้พูดคุยกับผู้มีมารยาท คำทักทายในอีเมลไม่มีอะไรมากมายค่ะ เพียงใช้คำสั้นๆง่ายๆ เช่น Dear (ชื่อผู้รับ) และหากจะให้ดูเป็นทางการมากยิ่งขึ้นก็ควรใช้นามสกุลของผู้ที่เราต้องการจะติดต่อ เช่น Dear Mr. Potter ในกรณีที่เราไม่ทราบชื่อของผู้ติดต่อเราสามารถทักทายแบบกว้างๆได้ว่า Dear Sir/Madam หรือ To whom it may concern ก็ได้ค่ะ ทั้งนี้ทั้งนั้น ถ้าเราซี้กับคนที่ติดต่อพอสมควรจะใช้คำว่า Hi Harry แบบนี้ก็ได้นะ
2. กล่าวขอบคุณผู้รับ
หากเราทำการตอบอีเมลสอบถามข้อมูลจากลูกค้า หลังจากกล่าวคำทักทายข้างต้นแล้วสิ่งที่ควรทำเป็นลำดับต่อมาคือการกล่าวขอบคุณ ขอบคุณในที่นี้คือยังไง ก็ประมาณว่าขอบคุณที่ลูกค้าให้ความสนใจในบริษัทเรานั่นเอง เราสามารถใช้ประโยคง่ายๆที่ว่า Thank you for contacting AAA Company (ขอบคุณที่ติดต่อบริษัท AAA) ก่อนที่จะตอบคำถามที่ลูกค้าซักถามต่อไป แต่ถ้าหากเราจะตอบอีเมลที่ลูกค้าได้เคยตอบมาก่อนแล้ว เราก็จะใช้ประโยค Thank you for your prompt reply (ขอบคุณสำหรับการตอบอีเมลที่ฉับไวของคุณ) หรือ Thanks for getting back to me (ขอบคุณที่ตอบกลับมา) การกล่าวคำขอบคุณแบบนี้จะช่วยทำให้ผู้รับข้อความรู้สึกดีและทำให้เราดูสุภาพม๊ากมากเลยแหละ
3. บอกจุดประสงค์ในการติดต่อ
ถ้าตัวเราเองเป็นคนที่ติดต่อไป เราควรใช้ประโยคอื่นแทนที่จะใช้ประโยคขอบคุณเหมือนข้อที่แล้ว นั่นคือประโยคบอกจุดประสงค์ในการติดต่อ ตัวอย่างเช่น I am writing to inquire about… (ฉันเขียนติดต่อมาเพื่อต้องการสอบถามเกี่ยวกับเรื่อง…) หรือ I am writing in reference to… (ฉันเขียนมาเนื่องจากว่า….) อย่าลืมนะว่าเราต้องแจ้งจุดประสงค์ที่ชัดเจนและแจ่มแจ้ง อย่าคลุมเครือ ต้องสั้น กระชับ ฉับไว เพราะคนที่ต้องอ่านอีเมลเขาไม่อยากอ่านอะไรที่ยืดเยื้ออารัมภบทกันหรอกจ้า อย่างไรก็ตาม แม้จะต้องการความกระชับแต่ก็ต้องใส่ใจเรื่องการสะกด ไวยาการณ์ และเครื่องหมายวรรคตอนให้ถูกต้องด้วยนะ
4. ใส่ประโยคจบสวยๆ
จะเป็นการดีมากหากเราจะใส่ประโยคขอบคุณสวยๆอีกครั้งก่อนจะทำการจบอีเมล อาจจะเริ่มจบด้วยประโยค Thank you for your patience and cooperation (ขอบคุณสำหรับความอดทนและความร่วมมือ) หรือ Thank you for your consideration (ขอบคุณสำหรับการพิจารณาของคุณ) จากนั้นก็ต่อด้วย If you have any questions or concerns, do not hesitate to let me know (หากคุณมีปัญหาหรือกังวลใจอะไร อย่าลังเลที่จะบอกฉัน) และ I look forward to hearing from you/ I am looking forward to hearing from you (ฉันตั้งหน้าตั้งตารอการติดต่อจากคุณ)
5. ลงท้ายอีเมล
ขั้นตอนสุดท้ายคือการกล่าวคำลงท้ายและตามด้วยชื่อของเรา คำลงท้ายที่ใช้บ่อยๆคือ Best regards, Sincerely, และ Thank you ให้หลีกเลี่ยงที่จะใช้คำว่า Best wishes หรือ Cheers นอกเสียจากว่าเราจะซี้กันจริงๆ ลำดับสุดท้ายจริงๆก็คืออย่าลืมตรวจตราสิ่งที่เราเขียนมาทั้งหมดก่อนที่จะกดส่งนะ เพื่อให้อีเมลของเราสมบูรณ์แบบที่สุด!
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
เปิดตัว Samsung Ballie หุ่นยนต์ AI สุดน่ารักช่วยทุกเรื่องในวันเดียว
Samsung เปิดตัว Ballie หุ่นยนต์ AI รุ่นใหม่ล่าสุดของค่ายเคยถูกนำมาเปิดตัวครั้งแรกในงาน CES 2020 เป็นหุ่นยนต์ทรงกลมขนาดเล็กที่มีกล้องและเซ็นเซอร์ต่างๆ ติดอยู่ และมันยังสามารถทำงานร่วมกันสินค้าของ Samsung จะทุกตัว จะหิว จะร้อน จะดูหนัง Ballie จัดให้
Ballie มาพร้อมความสามารถมากมาย ทำหน้าที่เป็นเหมือนผู้ช่วยส่วนตัวประจำบ้าน เคลื่อนที่ไปรอบๆ บ้านได้ด้วยตัวเองและทำงานต่างๆ ตามคำสั่งของผู้ใช้ เช่น ตรวจสอบความปลอดภัยภายในบ้าน ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ หรือเป็นเพื่อนเล่นสำหรับเด็ก และยังสามารถจดจำสภาพแวดล้อมรอตัว และยังมีการจดจำพฤติกรรมของผู้ใช้งาน เชื่อมต่อกับอุปกรณ์ได้
และยังมีฟีเจอร์อื่นๆ เช่น
- ตรวจสอบความปลอดภัยภายในบ้าน
- ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ
- เป็นเพื่อนเล่นสำหรับเด็ก
- เรียนรู้และจดจำสภาพแวดล้อมรอบตัว
- เชื่อมต่อกับอุปกรณ์อัจฉริยะอื่นๆ ในบ้าน
ตัวอย่างการใช้งาน Ballie ที่สามารถเป็นไปได้ ได้แก่
- คอยสอดส่องความปลอดภัยภายในบ้าน เช่น ตรวจจับความเคลื่อนไหวหรือเสียงผิดปกติ
- ควบคุมเครื่องใช้ไฟฟ้าอัจฉริยะ เช่น เปิดไฟ ปิดทีวี หรือเปิดเพลง
- เป็นเพื่อนเล่นสำหรับเด็ก เช่น เล่านิทาน เล่นเกมส์ หรือร้องเพลง
- ช่วยดูแลผู้สูงอายุ เช่น คอยเตือนให้ทานยาหรือออกกำลังกาย
นอจกากนี้ Ballie จะถูกประยุกต์ในรูปของอุปกรร์ต่างๆในอนาคตและมีบทบาทกับในชีวิตประจำวันอีกด้วย และ Ballie มีให้เลือกมากถึง 5 สี ได้แก่ สีฟ้า, สีเหลือง, สีเขียว, สีม่วง และสีส้ม ซึ่งยังไม่มีการประกาศราคาและวันวางจำหน่ายออกมาในตอนนี้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
กลุ่มอาหารควรเลี่ยง กินเยอะอาจเสี่ยงเกิดนิ่วในไต
ข่าวพบนิ่ว 56 ก้อนในท้องเด็กชายวัย 9 ขวบ เมื่อทราบสาเหตุว่ามาจากอาหารเสริมที่อุดมไปด้วยวิตามินที่หลากหลาย จนทำให้เราต้องทบทวนก่อนแล้วว่าก่อนจะเอาอะไรเข้าปากเพื่อรับประทานต้องคิดให้เยอะ และต่อไปนี้คือกลุ่มอาหารที่อาจทำให้เกิดนิ่วในไต
6 กลุ่มอาหารอาจทำให้เกิดนิ่วในไต
อาหารที่มีโซเดียมสูง ซึ่งโซเดียมถือเป็นตัวร้ายที่ส่งผลต่อสุขภาพไต โดยอาหารที่มีโซเดียมสูงได้แก่ อาหารแปรรูปอย่างไส้กรอก แฮม บะหมี่กึ่งสำเร็จรูป อาหารแช่แข็ง อาหารไมโครเวฟ เครื่องปรุงประเภทซีอิ้ว น้ำปลา ซอสปรุงรส อาหารจานด่วนต่างๆ อย่างเบอร์เกอร์ ฟาสต์ฟู้ด รวมไปถึงพวกขนมขบเคี้ยว มันฝรั่งทอดกรอบ ดังนั้นควรอ่านฉลากโภชนาการก่อนกิน ลดการใช้เครื่องปรุงรส ปรุงอาหารเอง เลือกอาหารสด ใช้สมุนไพรและเครื่องเทศทดแทนโซเดียม
โปรตีนจากสัตว์ โปรตีนเป็นสารอาหารสำคัญ ช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่สิ่งสำคัญคือการกินโปรตีนในปริมาณพอเหมาะ ซึ่งก็คือ 1 กรัมของโปรตีนต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัมต่อวัน หากเราทานโปรตีนเกินความต้องการ ความเสี่ยงจะเกิดนิ่วในไตยิ่งเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะโปรตีนจากสัตว์ เช่นเนื้อวัว เนื้อหมู เนื้อไก่ ปลา ไข่ ผลิตภัณฑ์จากนม เนย ชีส ดังนั้นควรกินโปรตีนในปริมาณพอเหมาะ เลือกชนิดของโปรตีนจากพืช ถั่ว เต้าหู้ ปรุงอาหารเอง
อาหารที่มีออกซาเลตสูง ออกซาเลตสูงในปัสสาวะอาจเพิ่มความเสี่ยงเป็นนิ่ว ถึงแม้ผัก ผลไม้ทุกชนิดจะมีออกซาเลต แต่มีบางชนิดที่มีปริมาณสูงกว่า เช่นผักโขม ตำลึง บร็อคโคลี มะละกอ หน่อไม้ ถั่วบางชนิดเช่นอัลมอนต์ สตรอว์เบอร์รี่ องุ่น เป็นต้น ดังนั้นการทานผัก ผลไม้เหล่านี้ควรทานในปริมาณที่พอดี แล้วดื่มน้ำเปล่าตามเยอะๆ หรือจะเลือกทานผัก ผลไม้ที่มีวิตามินซีสูง เพราะวิตามินซีช่วยละการดูดซึมออกซาเลต เลี่ยงเครื่องดื่มคาเฟอีน
อาหารที่มีแคลเซียม หลายคนอาจคิดว่าการเลี่ยงแคลเซียมจะลดความเสี่ยงนิ่วในไต แต่ความจริงตรงกันข้าม อาหารแคลเซียมสูงช่วยปรับสมดุลในปัสสาวะ ทั้งมากเกินไปหรือน้อยเกินไปต่างเพิ่มความเสี่ยงนิ่วทั้งนั้น กินแคลเซียมมากเกินไป ร่างกายจะขับส่วนเกินผ่านปัสสาวะ แคลเซียมสูงในปัสสาวะนี่แหละตัวการนิ่วแคลเซียม แต่แคลเซียมน้อยเกินไป ร่างกายจะกำจัดออกซาเลตได้ไม่ดี เสี่ยงนิ่วออกซาเลตเพิ่มขึ้น แคลเซียมปริมาณพอดีคือปริมาณที่แนะนำคือ 1,000 มิลลิกรัมต่อวัน
วิตามินซี หลายคนอาจคุ้นเคยกับวิตามินซีในฐานะเกราะป้องกันโรคต่างๆ แต่รู้หรือไม่ว่าวิตามินซีระดับสูงก็อาจเพิ่มความเสี่ยงนิ่วในไตได้ เมื่อร่างกายมีวิตามินซีมาก ปริมาณออกซาเลตในปัสสาวะก็จะสูงขึ้น เจ้าออกซาเลตนี่แหละตัวการสำคัญในการก่อตัวของนิ่วชนิดแคลเซียม แม้จะมีบางงานวิจัยชี้ว่า อาหารที่อุดมวิตามินซีเพิ่มความเสี่ยงนิ่วในไตสำหรับผู้ชาย แต่ไม่ส่งผลกับผู้หญิง แต่ไม่ว่าเพศไหน ก็ควรระมัดระวังปริมาณวิตามินซีที่ได้รับ ดังนั้นควรเลือกทานวิตามินซีจากอาหารสดเป็นหลักเช่นผลไม้สด ผักใบเขียว สังเกตปัสสาวะถ้าปัสสาวะขุ่น มีกลิ่นแรง ควรปรึกษาแพทย์ วิตามินซีมีประโยชน์ต่อสุขภาพ แต่ควรทานในปริมาณที่เหมาะสม ปรึกษาแพทย์หากมีข้อกังวลเรื่องนิ่วในไต สุขภาพแข็งแรง ไกลนิ่วแน่นอน
โซดา น้ำอัดลมหวาน ๆ อย่างพวกโซดานั้นน้ำตาลฟรุกโตสเยอะ เจ้าฟรุกโตสนี่แหละตัวการที่ทำให้ร่างกายขับแคลเซียม ออกซาเลต และกรดยูริก ออกมาในปัสสาวะมากขึ้น แล้วเจ้า 3 อย่างเนี่ยะแหละตัวชงนิ่วในไตชั้นดีเลยล่ะ ดังนั้นเลือกดื่มน้ำเปล่า น้ำหวานน้อย ๆ หรือน้ำผลไม้คั้นสดแบบไม่ใส่น้ำตาลแทนดีกว่า ไตจะได้แข็งแรง ห่างไกลนิ่ว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/01/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,550.00 | 33,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,173.00 | 32,942.68 | 34,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,955.70 | 29,648.41 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,738.40 | 26,354.14 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 978.00 | 14,826.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 761.00 | 11,536.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,252.00 | 34,140.32 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/01/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.75 | 34.75 | 35.25 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.98 | 32.98 | 33.48 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.64 | 32.64 | 33.14 | 32.64 | 32.64 | – | 32.64 | 32.64 | 32.64 | 32.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.79 | 32.79 | – | – | – | – | – | – | – | 32.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.14 | 46.74 | 48.24 | 46.74 | – | – | – | – | – | 42.14 |
เบนซิน 95 | 42.64 | – | – | – | 43.81 | – | 43.14 | 42.79 | – | 42.64 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 45.94 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |