Petconomyบูม!รับเศรษฐกิจคนโสด&LGBTQ+ พร้อมเปย์! บ้าน-คอนโด เลี้ยงสัตว์ได้
- คนยุคใหม่ครองตัวเป็นโสด! เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
- จากรายงานของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) หรือ “สภาพัฒน์” ปี 2566 ระบุว่า ประชากรกว่า 1 ใน 5 หรือ 23.9% ของคนไทยเป็น “คนโสด”
- อยู่ในวัยเจริญพันธุ์ อายุ 15-49 ปี มีสัดส่วนถึง 40.5% หรือสูงกว่าภาพรวมประเทศเท่าตัวจากปี 2560 ที่มีสัดส่วน 35.7%
คนโสดส่วนหนึ่งเป็น LGBTQ+ ถือเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง! ขณะที่กลุ่มคนโสดที่มีรายได้ดี หรือ SINK (Single Income, No Kids) จะใช้จ่ายเพื่อความสุขให้ตนเอง เช่น อาหาร การเดินทางท่องเที่ยว ส่วนกลุ่มผู้หญิงโสดอายุ 30 ปีขึ้นไป หรือ PANK (Professional Aunt, No Kids) มีรายได้ดี อาชีพการงานมั่นคง และไม่ต้องการมีลูก คนเหล่านี้จะให้ความใส่ใจในการดูแลหลาน ครอบครัว และสัตว์เลี้ยง หรือเลี้ยงสัตว์เป็นลูก!
เมเจอร์ ดีเวลลอปเม้นท์ ผู้บุกเบิกตลาด “คอนโดเลี้ยงสัตว์” ระบุว่า ปีที่ผ่านมาคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้เติบโตกว่า 4,000% และมีราคาปล่อยเช่าที่สูงกว่าคอนโดทั่วไป! คาดว่า 2 ปีข้างหน้า ตลาดสัตว์เลี้ยงในประเทศไทยจะมีมูลค่าสูงถึง 66,000 ล้านบาท เติบโต 8.4% ส่งผลต่อความต้องการคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้เพิ่มขึ้น
ขณะที่ TGM Research พบว่าคนทั่วโลกกว่า 58% นิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยงเป็นสมาชิกในครอบครัว โดยเลี้ยง 1 ตัว คิดเป็น 46% แต่ในประเทศไทยมีอัตราเลี้ยงสัตว์เลี้ยงสูงกว่าค่าเฉลี่ย โดยนิยมเลี้ยงสัตว์เลี้ยง 1 ตัวต่อครอบครัวเฉลี่ย 45% นิยมเลี้ยงสัตว์ 2 ตัวต่อครอบครัวสูงถึง 23% และ 4 ตัวขึ้นไปถึง 24% สะท้อนว่าประเทศไทยมีสัดส่วนคนเลี้ยงสัตว์สูง !
ศรีอำไพ รัตนมยูร ประธานผู้บริหารสายงานการตลาด บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า จากการสำรวจข้อมูลลูกค้าและลูกบ้านของแสนสิริพบว่า มีกลุ่มที่สนใจและให้ความสำคัญกับฟังก์ชั่นที่ตอบโจทย์การเลี้ยงสัตว์เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้พัฒนาพื้นที่เพื่อสัตว์เลี้ยง ตั้งแต่การเลือกวัสดุที่ปลอดภัย อย่างพื้นที่ซัพพอร์ตการเดิน-ข้อต่อของสัตว์เลี้ยง สีแบบออร์แกนิค ผ้าบุเฟอร์นิเจอร์ที่รองรับการขีดข่วนและพืชพรรณที่ปลอดภัย ไม่เป็นพิษกับสัตว์เลี้ยง
รวมถึงการออกแบบพื้นที่ส่วนกลางรองรับกิจกรรมวิ่งเล่นและส่งเสริมพัฒนาการของสัตว์เลี้ยง ดีไซน์พื้นที่พักอาศัยที่คำนึงถึงความสวยงามแต่ยังคงฟังก์ชันการใช้งานที่สะดวกต่อสัตว์เลี้ยงใน “สราญสิริ ศรีนครินทร์-แพรกษา” โครงการบ้านเดี่ยวระดับราคา 7-12 ล้านบาท จับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มมีครอบครัว ทำธุรกิจขนาดเล็ก หรืออยู่วัยทำงานอายุ 25-35 ปี ชอบเลี้ยงสัตว์ไม่ว่าจะเป็นสุนัข หรือ แมว
“LGBTQ+ เป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูงมาก บางคนประสบความสำเร็จการทำงานเร็ว มีรายได้สูงจึงไม่มีปัญหาสินเชื่อประกอบกับปัจจุบันมีสมรสเท่าเทียมทำให้กลุ่มนี้ไม่มีปัญหาในการกู้ร่วมรวมถึงคนโสดเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง”
โดยแสนสิริ เล็งเห็นไลฟ์สไตล์ Pet Parent วิถีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไปของคนยุคใหม่ที่มีพฤติกรรมและการใช้ชีวิตนิยมเลี้ยงสัตว์แทนการมีลูก พร้อมดูแลสัตว์เลี้ยงให้มีคุณภาพชีวิตที่ดี จึงพร้อมเปิดเกมรุกอสังหาริมทรัพย์ในเซกเมนต์เลี้ยงสัตว์ได้ ผ่านแคมเปญ Sansiri Proud of Pawrents มีการออกแบบที่อยู่อาศัย และ Pet Park พื้นที่ส่วนกลางในโครงการบ้านและคอนโดทุกระดับราคาตั้งแต่ 1.2-30 ล้านบาทขึ้นไป รวมกว่า 22 โครงการ เป็นบ้านและทาวน์โฮม 17 โครงการ คอนโด 5 โครงการ ประกอบด้วย เดอะ มูฟ สุขุมวิท 107, เมคิน เฮาส์ เชียงใหม่, พินน์ ปรีดี 20, เดอะ สแตนดาร์ด เรสซิเดนซ์ หัวหิน และ เวีย อารีย์ และเป็นครั้งแรกที่เปิดตัวฟีเจอร์ Home Service App รองรับสัตว์เลี้ยงแสนรัก
ขณะที่ ความสนใจซื้ออาคารชุดที่เลี้ยงสัตว์ได้ ของ แอล.ดับเบิลยู. เอส. ปี 2566 พบว่า 3 ใน 4 ของคนที่สนใจซื้อคอนโดเลือกโครงการที่เลี้ยงสัตว์ได้เป็นองค์ประกอบหลักในการพิจารณา ส่วนใหญ่มองว่าในอนาคตถ้าต้องการเลี้ยงสัตว์ จะได้ไม่เป็นปัญหาต่อการอยู่อาศัยหรือต้องย้ายที่พักอาศัย
สอดคล้องกับผลวิจัยของมหาลัยมหิดล (CMMU) และ The 1 Insight ที่ระบุว่า ปัจจุบันสัดส่วนคนไทยกว่า 65% เลี้ยงสัตว์เหมือนลูกหรือสมาชิกในครอบครัวที่เรียกว่า Pet Parent ขณะที่ 33% เลี้ยงสัตว์เป็นเพื่อนคลายเหงา 2% เลี้ยงสัตว์เพื่อการบำบัดเยียวยาจิตใจ โดยมีความสามารถรองรับค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับสัตว์เลี้ยงได้ 15,000 บาทต่อปี
ทางด้าน พีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ช่วงครึ่งแรกของปี 2567 บริษัทมียอดขายจากโครงการที่อยู่อาศัยในเครือ 18,331 ล้านบาท ยอดขายที่โดดเด่นมาจากกลุ่มคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ ภายใต้แนวคิด Origin Pet Family อาทิ ออริจิ้น เพลส แจ้งวัฒนะ และ ออริจิ้น เพลส เตาปูน อินเตอร์เชนจ์ ที่เปิดตัวในไตรมาส 2 ซึ่งปีนี้ ออริจิ้น ยังคงเดินหน้าบุกตลาดคอนโดกลุ่มคนรักสัตว์ต่อเนื่อง
ยอดขาย (Presale) ของคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้ของออริจิ้นเติบโตสูง 10% ต่อปี สอดคล้องกับตลาดสินค้าที่เกี่ยวข้องกับสัตว์เลี้ยงขยายตัว 10-15% ต่อปี ที่สำคัญ “จุดขาย” ดังกล่าวทำให้กลุ่มลูกค้าที่มีสัตว์เลี้ยงตัดสินใจซื้อเร็วกว่าลูกค้าทั่วไป ทำให้ออริจิ้นปิดการขายคอนโดเลี้ยงสัตว์ได้เร็วกว่าคอนโดปกติถึง 20%
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อสังหาอ่วม!เศรษฐกิจโตต่ำ ‘คลัง’เร่งมาตรการกระตุ้น ธุรกิจเฝ้าระวังทุกมิติ
- สถานการณ์ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์วันนี้เผชิญปัจจัยลบรุมเร้ารอบด้าน “ผู้ซื้อ” ไม่สามารถซื้อได้ปกติ
- จากภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว หนี้ครัวเรือนสูงทะลุ 90% ต่อจีดีพี
- “หนี้เสีย” สูงถึง 2 แสนล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากเดิมอยู่ที่ราว 1.8 แสนล้านบาท
- ทำให้ “ผู้ขาย” ขายได้ลดลง เป็นโจทย์ใหญ่ที่รัฐบาลต้องเข้ามาช่วยแก้ปัญหา เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ ขับเคลื่อนเศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้ด้วยมาตรการเจาะตรงภาคอสังหาริมทรัพย์และธุรกิจเกี่ยวเนื่อง
พิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวปาฐกถาพิเศษ “พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ไทย ให้ก้าวไกลอย่างยั่งยืน” ในโอกาสครบรอบ 20 ปี บริษัท เอนเนอร์ยี่ คอมเพล็กซ์ จำกัด หรือ EnCo โดยสะท้อนมุมมองว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีปัญหาค่อนข้างมากทั้งในฝั่งผู้ซื้อและฝั่งผู้ขาย “ฝั่งผู้ซื้อ” ไม่มีความสามารถในการชำระหนี้ ส่วน “ผู้ขาย” ขายน้อยลงเพราะลูกค้าหรือผู้ซื้อสินเชื่อไม่ผ่าน ต้องได้รับการแก้ไขอย่างเร่งด่วน เพราะ “ที่อยู่อาศัย” หรือ “อสังหาริมทรัพย์” เป็นปัจจัย 4 ที่มีความสำคัญต่อการดำรงชีวิต ที่ทุกคนต้องมี จึงจำเป็นต้องมีมาตรการกระตุ้น
ในส่วนของภาครัฐต้องลงมาแก้ไขปัญหาของผู้ซื้อก่อนจะเป็น หนี้เสีย (NPL) ด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ ส่วนฝั่งของผู้ขายต้องหาวิธีเพื่อให้ธุรกิจไปต่อได้
โดยรัฐบาลมีแนวทางที่เป็นการให้สิทธิการใช้ที่ดิน ที่เรียกว่า “ทรัพย์อิงสิทธิ” เพื่อให้ชาวต่างชาติที่เข้ามาอยู่ในประเทศไทย มีความรู้สึกเหมือนเป็นเจ้าของอสังหาริมทรัพย์ สามารถปล่อยเช่าช่วงได้ มีสิทธิการใช้ที่ดินตามระยะเวลาและเงื่อนไขที่กำหนดแม้ว่าไม่มีกรรมสิทธิ์ความเป็นเจ้าของที่ดิน ทั้งนี้เพื่อขจัดปัญหาการจดทะเบียนของชาวต่างชาติในการซื้ออสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ใต้ดิน หรือ นอมินี ขึ้นมาบนดินอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และขยายระยะเวลาการถือครองของชาวต่างชาติเป็น 99 ปี เพื่อผลักดันให้น่าสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในไทยมากขึ้น โดยกรรมสิทธิ์ที่ดินไม่หายไปไหน เพราะเมื่อหมดสัญญาที่ดินยังอยู่กับคนไทย
“ที่สำคัญทำให้มีเงินจากต่างประเทศไหลเข้ามาในประเทศมากขึ้น เป็นปัจจัยช่วยฟื้นอสังหาริมทรัพย์ในไทยท่ามกลางกำลังซื้อในประเทศที่เปราะบาง โดยจะกำหนดโซนนิ่งพื้นที่ ห้ามทำเกษตรกรรม รวมถึงราคาบ้านและที่ดินต้องมีราคา 30-40 ล้านบาทขึ้นไป”
ปี 2566 ที่ผ่านมา พบว่า หนี้เสีย อยู่ที่ 3.5% และกลุ่มหนี้ที่ต้องเฝ้าระวังพิเศษ หรือ Special mentions (SM) ที่ค้างชำระ 1-3 เดือน อยู่ที่ 5% จากสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลคงค้างทั่วประเทศ 4.95 ล้านล้านบาท เทียบ 10 ปีก่อน หนี้เสียมีเพียง 2.3% และกลุ่ม SM 1.5% ล่าสุดได้ให้ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) แก้หนี้สินเชื่อที่อยู่อาศัย ขยายเวลาผ่อนสูงสุด 80-85ปี เพื่อลดภาระหนี้ต่องวด นำร่องดึงลูกหนี้ NPL และ SM เข้าปรับโครงสร้างเพื่อเป็นต้นแบบ
“แม้คนอยากซื้อบ้าน แต่ส่วนใหญ่ไม่สามารถขอสินเชื่อได้ ส่วนกลุ่มซื้อเพื่อลงทุนก็ติดเกณฑ์ LTV เมื่อประชาชนมีปัญหารัฐบาลต้องคุยกับผู้กำกับดูแล (ธนาคารแห่งประเทศไทย) ในภาวะแบบนี้ควรพิจารณาทบทวนเกณฑ์ LTV ให้สอดคล้องกับสภาวะปัจจุบันที่ไม่มีใครซื้อเพื่อการเก็งกำไร”
แสนสิริ ครึ่งปีหลังโฟกัสกลาง-บน
อุทัย อุทัยแสงสุข กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมอสังหาริมทรัพย์ครึ่งปีหลังเติบโตถดถอย เรียกว่า “เริ่มแย่ลง” ล้อไปกับภาวะเศรษฐกิจ ถ้าเศรษฐกิจดีอสังหาริมทรัพย์จะดี ถ้าเศรษฐกิจแย่อสังหาริมทรัพย์จะแย่ตามไปด้วย จากคาดการณ์จีดีพีปีนี้ 2.5% แต่การเติบโตอสังหาทรัพย์ไทยจะเป็นแบบ K-Shaped ขณะที่ตลาดบนในประเทศไทยยังมีฐานะพอที่จะซื้อบ้านได้อยู่ ดังนั้นในครึ่งปีหลังตลาดที่โตยังคงเป็นตลาดกลาง-บน เพราะตลาดล่างยังคงเผชิญปัญหาการกู้สินเชื่อธนาคาร
“แสนสิริมีสินค้าในตลาดล่างเป็นทาวน์โฮมราคา 2-3 ล้านบาท ก็เจอปัญหาถูกปฏิเสธสินเชื่อถึง 50% บางโครงการ 30-40% และในตลาดบนเริ่มมีปัญหาถูกปฏิเสธสินเชื่อเช่นกัน ดังนั้นครึ่งปีหลังยังคงต้องเฝ้าระวัง”
โดยสิ่งที่น่ากลัวตอนนี้ คือ บริษัทอสังหาริมทรัพย์ขนาดเล็กที่ไม่ได้อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯ เพราะการระดมทุนไม่ง่าย! จะขอเงินกู้ หรือออกบอนด์ ทุกคนต้องระมัดระวัง บริษัทที่มีเรตติ้งไม่ดีลำบาก อสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่ใช้เงินทุนแยอะ ต้องระวังฐานะการเงิน
เสนาฯ ชงรัฐบาลให้ดอกเบี้ยคงที่ตามโมเดลญี่ปุ่น
เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มองว่า หากต้องการให้ประชาชนเข้าถึงที่อยู่อาศัยได้มากขึ้น รัฐบาลต้องให้ “ดอกเบี้ยคงที่สินเชื่อที่อยู่อาศัย” เหมือนโมเดลประเทศญี่ปุ่น ที่มีการคิดดอกเบี้ยคงที่ยาว 30 ปี ทำให้ราคาบ้านถูกลง ทำให้คนเข้าถึงได้ง่ายขึ้น
ทั้งนี้ อสังหาริมทรัพย์ในกรุงเทพฯ และประเทศไทย ยังคงเติบโตได้ จากความต้องการที่เติบโตตามการขยายตัวของเมือง อีกทั้งผู้คนอยากเข้ามาอยู่ในเมืองมากขึ้น เพราะต้องการอยู่ใกล้ความเจริญ มีโครงสร้างพื้นฐาน โรงพยาบาล โรงเรียน
“แต่ดีมานด์ก็ทำให้ราคาที่ดินแพงขึ้น ผู้ประกอบการมีการขยายโครงการบ้านราคากลางออกไปยังพื้นที่รอบนอกมากขึ้น เช่น สมุทรปราการ สมุทรสาคร นนทบุรี เป็นต้น สะท้อนว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยังไปต่อได้ เพราะยังมีความต้องการซื้อ”
อย่างไรก็ดี ห้วงเวลานี้ เสนาฯ โฟกัสตลาดราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาท ซึ่งเป็นตลาดที่ถนัดและมีฐานลูกค้าขนาดใหญ่ ทว่า ปัจจุบันกลุ่มล่างซึ่งเป็นดีมานด์หลักของตลาดอสังหาริมทรัพย์ ที่มีรายได้ไม่ถึง 50,000 บาทต่อเดือน ประสบปัญหากู้ไม่ผ่านกว่า 70% ส่งผลให้ผู้ประกอบการต่างมุ่งไปทำตลาดบ้านราคาแพง มีฐานลูกค้าน้อยซึ่งล่าสุดตลาดเริ่มเข้าสู่ภาวะโอเวอร์ซัพพลาย
ผู้ประกอบการยังต้องปรับตัวอย่างต่อเนื่อง โดยการทำโปรดักต์ Rent to Own หรือ เช่าออมบ้าน เปลี่ยนค่าเช่าลูกค้า เป็น “เงินออม” ใช้หักเงินต้น เพื่อให้เข้ากับสถานการณ์และช่วยเหลือลูกค้า
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11ก.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย”ที่ระดับ 36.31 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันแถวโซน 36.25-36.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงาน รวมถึงแรงซื้อเงินเยนหลังอ่อนค่าลงต่อเนื่อง
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 11ก.ค. 2567 ที่ระดับ 36.31 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.40 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจยังคงแกว่งตัว sideways แถวโซน 36.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญจากฝั่งสหรัฐฯ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ซึ่งจะทยอยรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาประเทศไทย
อย่างไรก็ดี ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ควรระวังความผันผวนของเงินบาทจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ หลังบรรยากาศในตลาดการเงินยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ซึ่งอาจช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นไทยปรับตัวขึ้นทดสอบโซนแนวต้านระยะสั้นได้อีกครั้ง ทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจใช้จังหวะดังกล่าวในการทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์ขึ้นของตลาดหุ้นไทยได้ หากบรรดานักลงทุนต่างชาติยังไม่ได้มีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยและผลประกอบการของตลาดหุ้นไทย
นอกจากนี้ เรามองว่า เงินบาทยังอาจเผชิญแรงกดดันแถวโซน 36.25-36.30 บาทต่อดอลลาร์ ตามโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์กลุ่มพลังงาน รวมถึงแรงซื้อเงินเยนญี่ปุ่น (JPYTHB) หลังเงินเยนได้อ่อนค่าลงต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับเงินบาทในช่วงนี้
ทั้งนี้ หากเงินบาทสามารถแข็งค่าหลุดแนวรับแถว 36.25 บาทต่อดอลลาร์ได้ ก็มีโอกาสที่จะแข็งค่าขึ้นต่อทดสอบโซน 36.05-36.10 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นแนวเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน
โดยเรามองว่า ภาพดังกล่าวจะเกิดขึ้นได้ ต้องเห็นการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ พร้อมกับการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ซึ่งจะหนุนให้ราคาทองคำ (XAUUSD) สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเข้าใกล้แนวต้านระยะสั้นแถว 2,400 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ราคาล่าสุดอยู่แถว 2,370 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.20-36.50 บาท/ดอลลาร์ โดยต้องระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ
นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา ค่าเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในช่วง 36.28-36.40 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
หลังผู้เล่นในตลาดตีความจากถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ต่อสภาคองเกรสล่าสุดว่า เฟดยังมีโอกาสที่จะเริ่มลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน ราว 77% (สูงขึ้นเล็กน้อยจากการแถลงต่อสภาคองเกรสในวันแรก) และเฟดก็มีโอกาสราว 99% ที่จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้
นอกจากนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากจังหวะการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ ซึ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยขายทำกำไรทองคำออกมาบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินบาท
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth อาทิ Nvidia +2.7% หลังผู้เล่นในตลาดยังคงมั่นใจว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ จากถ้อยแถลงต่อสภาคองเกรสของประธานเฟดล่าสุด
นอกจากนี้ หุ้นธีม AI ยังได้แรงหนุนจากรายงานคาดการณ์รายได้ของบริษัทชิพรายใหญ่ TSMC ที่สูงกว่าคาด ส่งผลให้บรรดาหุ้นกลุ่ม Semiconductor ต่างปรับตัวขึ้นได้ดี ทำให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.18% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.02%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +0.91% หนุนโดยรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่เริ่มทยอยออกมาดีกว่าคาด นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI โดยเฉพาะกลุ่ม Semiconductor อย่าง ASML +2.0% เช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ
ในส่วนตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงมั่นใจว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ยังคงส่งผลให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงเล็กน้อย สู่ระดับ 4.27%-4.28% (โดยรวมอาจเรียกได้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัวแถว 4.30%)
เรามองว่า การเคลื่อนไหวดังกล่าวของบอนด์ยีลด์ก็สะท้อนว่า ผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและปรับสถานะถือครองบอนด์ที่ชัดเจนอีกครั้ง โดยบอนด์ยีลด์ระยะยาวก็มีโอกาสผันผวนสูงขึ้น หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด
หรือ อัตราเงินเฟ้อไม่ได้ชะลอลงตามคาด กอปรกับ ผู้เล่นในตลาดก็อาจยังคงมีความกังวลต่อนโยบายเศรษฐกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ หากสามารถคว้าชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีได้ ทว่า เราคงมุมมองเดิม เน้นกลยุทธ์ “Buy on Dip” บอนด์ระยะยาว ในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ท่ามกลางมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ ขณะเดียวกันบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินก็ลดความน่าสนใจของการถือเงินดอลลาร์ลง
ทว่า เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ยังคงแกว่งตัวเหนือระดับ 161.50 เยนต่อดอลลาร์ ให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงสู่ระดับ 105 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104.9-105.2 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค.) สามารถปรับตัวขึ้นราว +15 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะเผชิญแรงขายทำกำไรออกมาบ้าง ก่อนที่ราคาทองคำจะย่อตัวสู่ระดับ 2,377 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนมิถุนายน ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปจะชะลอลงสู่ระดับ 3.1% ส่วนอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI อาจทรงตัวแถวระดับ 3.4%
พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) และรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด
และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนก็จะเป็นสิ่งที่ผู้เล่นในตลาดให้ความสนใจเช่นกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทแข็งค่าผ่านแนว 36.30 มาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.22-36.24 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.32 น.) ซึ่งนับเป็นระดับแข็งค่าสุดในรอบประมาณ 1 เดือนครึ่งนับตั้งแต่ 23 พ.ค. 2567 เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 36.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้ เงินบาทและสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค แข็งค่าขึ้นท่ามกลางแรงขายเงินดอลลาร์ฯ และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ หลังจากตลาดตีความถ้อยแถลงของประธานเฟดว่า สะท้อนท่าทีระมัดระวังผลกระทบจากการยืนอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูง แม้จะยังต้องการเวลาอีกระยะในการประเมินสถานการณ์เพื่อให้มั่นใจว่า อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ชะลอลงกลับเข้าสู่ระดับเป้าหมายที่ 2%
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันพรุ่งนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.25-36.40 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค ตัวเลข CPI และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ได้ครบ 18 ชาติ! เปิดชื่อทีม “วอลเลย์บอลหญิง” ลุยศึกลูกยาง เนชั่นส์ลีก 2025
เตรียมเดินทางเข้าสู่ครั้งที่ 7 สำหรับ การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ ลีก ที่จะจัดขึ้นในช่วงเดือนมิถุนายน – กรกฎาคม ของทุกปี หลังจากที่จัดครั้งแรกเมื่อปี 2018
โดยในปี 2025 สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) ออกมายืนยันว่าจะมีการเพิ่มทีมจากเดิม 16 ชาติ ขยับไปเป็น 18 ทีม ที่จะลงแข่งขันกันทั้งหมด 3 สัปดาห์เหมือนเดิม
ถึงตอนนี้ได้ทีมที่จะเข้าแข่งขันครบทั้ง 18 ชาติเป็นที่เรียบร้อย หลังการแข่งขัน ลูกยาง ชาลเลนเจอร์ ลีก 2024 ที่ประเทศฟิลิปปินส์ รับหน้าที่เป็นเจ้าภาพ ปิดฉากลง
ซึ่งทำให้ได้อีก 2 ทีมที่จะเลื่อนชั้นเข้ามาร่วมแข่งกันประกอบด้วย สาธารณรัฐเช็ก แชมป์ชาลเลนเจอร์ ลีก 2024 และ เบลเยียม ที่จบรายการด้วยอันดับ 4 แต่มีอันดับโลกดีที่สุดในบรรดาทุกทีมจึงได้สิทธิ์เลื่อนชั้น
สรุป 18 ทีม ได้สิทธิ์เข้าร่วม วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ลีก 2025
- อิตาลี (อันดับ 1)
- บราซิล (อันดับ 2)
- ตุรกี (อันดับ 3)
- โปแลนด์ (อันดับ 4)
- สหรัฐอเมริกา (อันดับ 5)
- จีน (อันดับ 6)
- ญี่ปุ่น (อันดับ 7)
- เนเธอร์แลนด์ (อันดับ 8)
- เซอร์เบีย (อันดับ 9)
- แคนาดา (อันดับ 10)
- โดมินิกัน (อันดับ 11)
- เยอรมนี (อันดับ 12)
- ไทย (อันดับ 14)
- ฝรั่งเศส (อันดับ 19)
- บัลแกเรีย (อันดับ 21)
- เกาหลีใต้ (อันดับ 36)
- สาธารณรัฐเช็ก (อันดับ 15)
- เบลเยียม (อันดับ 13)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
Karoshi Syndrome โรคที่ทำให้รู้ว่า “งาน” ก็ทำให้คนตายได้จริง
คุณผู้ชายสายทำงาน มีหน้าที่ต้องรับผิดชอบสูง หรือต้องทำงานหลายด้าน อาจจะเคยได้ยินกับประโยคที่ไม่มีใครทำงานแล้วตายมาก่อนใช่ไหม? ซึ่งในความเป็นจริงแล้วคำพูดประโยคนี้ถือว่าผิด! เพราะถ้าคุณต้องเผชิญกับ Karoshi Syndrome อาจจะทำให้การทำงานหนักและไม่มีเวลาพักผ่อน กลายเป็นภัยเงียบที่คร่าชีวิตคุณได้เลยทีเดียว
พฤติกรรมที่ส่งเสริมให้เกิดอาการ Karoshi Syndrome
การเกิดภาวะ Karoshi Syndrome มีปัจจัยโดยตรง คือ การทำงานหนักอย่างต่อเนื่องและเป็นเวลานาน ทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อน จึงเกิดเป็นความเครียด ความกดดัน และความวิตกกังวล จนทำให้สมองมีการหลั่งฮอร์โมนแคททีโคลามีนและฮอร์โมนคอร์ติซอล ออกมาภายในกระแสเลือดมากผิดปกติ ซึ่งฮอร์โมนเหล่านี้ถ้ามีเจือปนอยู่ภายในเลือด จะส่งผลให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงได้ค่อนข้างง่ายและรวดเร็ว ทั้งยังเข้าไปกระตุ้นระดับน้ำตาลในเลือดกับไขมันให้สูงขึ้น
ซึ่งเกิดเป็นภาวะแข็งตัวของหลอดเลือด ส่งผลไปสู่หลอดเลือดหัวใจกับสมองได้ง่าย โรคนี้เกิดขึ้นมากภายในประเทศญี่ปุ่น จึงถูกตั้งชื่อว่า Kiroshi ซึ่งเป็นภาษาญี่ปุ่นที่หมายถึงการเสียชีวิตแบบกะทันหัน จนทำให้ทางรัฐบาลญี่ปุ่นต้องมีการควบคุมชั่วโมงการทำงาน และมีมาตรการด้านความผ่อนคลายให้กับคนทำงานโดยเฉพาะ เนื่องมาจากภาวะนี้อาจทำให้เกิดหัวใจล้มเหลว หรือเส้นเลือดในสมองแตกได้ แล้วยังส่งผลไปสู่การฆ่าตัวตายจากความผิดปกติทางจิตที่มีความรุนแรงมากอีกด้วย
รวมอาการที่บ่งบอกว่าคุณอาจเป็น Karoshi Syndrome
การเผชิญกับสภาวะ Karoshi Syndrome อาจจะมีสาเหตุหลักมาจากการทำงานหนัก และมีความกดดันสูง จนทำให้ร่างกายไม่ได้พักผ่อนจริง แต่ก็มีปัจจัยเสี่ยงอีกหลายด้านที่จะทำให้เกิดเป็นพฤติกรรมทำงาน แล้วเสี่ยงต่อโรค Karoshi Syndrome ได้เช่นกัน คือ
- คุณผู้ชายที่ชอบทำงานเกินเวลา เอางานกลับมาทำที่บ้าน หรือมีการควบกะอย่างต่อเนื่อง ติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน ไม่มีการพักผ่อนที่เหมาะสม จะเสี่ยงต่อโรคนี้อย่างมาก
- การทำงานเร็ว แต่ทำเป็นปริมาณมากและกลับบ้านช้า เพื่อจะเร่งทำงานในส่วนของวันต่อไป
- ความคิดที่จมอยู่แต่กับเรื่องงาน จนไม่มีเวลาผ่อนคลายหรือคิดถึงเรื่องอื่น
- การเก็บกดความเครียดและความกดดัน รวมไปถึงความกังวลต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับงานไว้ภายในตัว
- เมื่อเกิดปัญหาแล้วไม่สามารถปรึกษา หรือพูดคุยเรื่องงานกับใครได้ เก็บไว้เพียงคนเดียว
- ทำกิจกรรมในชีวิตเพียงแค่งานอย่างเดียว ไม่ทำกิจกรรมอื่น ไม่หยุด ไม่ลา
- การนอนดึกเพื่อทำงานให้จบ แล้วตื่นแต่เช้าเพื่อไปทำงานต่อ ทำให้เกิดการพักผ่อนน้อย หรือไม่มีเวลาพักผ่อนเลย
- การทำงานเพียงอย่างเดียว โดยไม่สนการออกกำลังกาย และการกินอาหารที่ไม่มีประโยชน์ เพื่อจะเร่งความเร็วในการทำงาน
วิธีการป้องกัน และลดความเสี่ยงต่อภาวะนี้
สำหรับคุณผู้ชายที่ต้องการป้องกันไม่ให้ตัวเองต้องเผชิญกับโรค Karoshi Syndrome ที่ไม่ได้เสี่ยงแค่หลอดเลือดหัวใจเท่านั้น แต่ยังเสี่ยงต่อการฆ่าตัวตายสูง ขอแนะนำวิธีการดูแลตัวเองแบบเบื้องต้น คือ การพักไม่ให้ตัวเองต้องทำงานอย่างต่อเนื่อง มากกว่า 7-8 ชั่วโมงขึ้นไป เมื่อเสร็จงานแล้วควรเก็บงานไว้ที่ทำงานเท่านั้น
เมื่อกลับถึงบ้านให้ทำกิจกรรมสุดผ่อนคลายและมีเวลาว่าง ด้วยการหยุด ลา และพักร้อนตามปกติ นอนหลับให้มีคุณภาพ หลับลึก ไม่มีการตื่นกลางดึกบ่อยครั้ง ถ้างานมีความกดดันสูงและเป็นงานที่ไม่สามารถหยุดพักได้ แต่คุณเริ่มมีอาการของ Karoshi Syndrome แล้ว แนะนำให้เตรียมมองหางานใหม่ ที่จะทำให้เกิด Work Life Balance กับตัวคุณได้มากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เปิดเคล็ดลับ ‘ปรับตัว -จัดการความเสี่ยง’ ยุค Generative AI
ปัจจุบัน เทคโนโลยี Generative AI หรือ GenAI กำลังเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการดำเนินธุรกิจในทุกระดับ ทว่าการนำ มาใช้ยังคงมีความซับซ้อนในด้านการกำกับดูแล…
โรนัค เจน ผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดเพื่อการเติบโต แมเนจเอนจิ้น (ManageEngine) ผู้ให้บริการโซลูชันการจัดการระบบไอทีสำหรับองค์กร ในเครือโซโห คอร์ป เปิดมุมมองในประเด็น “อนาคตของธุรกิจในยุค Generative AI: การปรับตัวและการเตรียมความพร้อมด้านกฎระเบียบ” ว่า ด้วยศักยภาพในการสร้างสรรค์เนื้อหาและออกแบบกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพ GenAI เปิดโอกาสใหม่ๆ ให้กับธุรกิจมากมาย
‘3 เสาหลัก’ ลดผลกระทบ
ปัจจุบัน หลายประเทศได้เริ่มตระหนักถึงความจำเป็นในการปกป้องประชาชนจากความเสี่ยงของเทคโนโลยี AI ที่กำลังพัฒนา เช่น รัฐสภายุโรปที่ได้อนุมัติกรอบกฎหมาย AI ฉบับแรกของโลก ซึ่งมีผลบังคับใช้ข้ามหลายภาคส่วน
ขณะที่ ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายประเทศได้มีแผนในการใช้ AI เพื่อพัฒนาเศรษฐกิจดิจิทัลและส่งเสริมโครงการต่างๆ ซึ่งประเทศไทยเองก็เป็นหนึ่งในนั้น แต่ในด้านการกำกับดูแลและการจัดการความเสี่ยงต่าง ๆ ที่อาจเกิดขึ้นยังเป็นประเด็นที่ไม่ได้ถูกนำมาพูดถึงอย่างกว้างขวางสักเท่าไหร่
การนำ GenAI มาประยุกต์ใช้กับ GRC : การนำ GenAI มาใช้ในองค์กรจำเป็นต้องพิจารณาถึงผลกระทบต่อเสาหลักของ GRC ได้แก่ การกำกับดูแล ความเสี่ยง และการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
โดยเฉพาะการทำงานอัตโนมัติ การจัดการการเปลี่ยนแปลง และการจัดการนโยบาย ซึ่งสามารถช่วยลดภาระงานของผู้เชี่ยวชาญและทีมงาน GRC
กุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ
หากพิจารณาถึงประโยชน์ที่จะได้รับ GenAI นั้นสามารถยกระดับการทำงานรวมถึงการบริหารจัดการได้ในหลากหลายมิติ
การทำงานอัตโนมัติ : GenAI สามารถทำงานร่วมกับระบบอัตโนมัติ เช่น การสร้างและการรักษานโยบายภายในอยู่ตลอดเวลา
การจัดการการเปลี่ยนแปลง : ช่วยให้ติดตามและประเมินการออกกฎภายในและความคิดเห็นของสาธารณชนในแบบเรียลไทม์
การจัดการนโยบาย : เชื่อมโยงกับนโยบายองค์กรเพื่อลดความผิดพลาดจากมนุษย์
การจัดการการควบคุม : การตรวจจับและการตรวจสอบความเสี่ยงและข้อบกพร่องของการควบคุมสามารถทำได้ผ่าน GenAI
ข้อดีของการใช้ GenAI ในการกำกับดูแล : การผสานรวม AI จะช่วยยกระดับการกำกับดูแลโดยการวิเคราะห์ข้อมูลจากแหล่งข้อมูลภัยคุกคามและรายงานด้านการปฏิบัติตามกฎระเบียบ
รวมถึงการตรวจจับรูปแบบและความผิดปกติ การสร้างแบบจำลองความเสี่ยงที่ขับเคลื่อนด้วย AI ใช้การวิเคราะห์ขั้นสูงเพื่อระบุแนวโน้มและความสัมพันธ์ เพื่อการตัดสินใจอย่างมีข้อมูล ปลอดภัยและเป็นไปตามกฎหมายและข้อบังคับต่างๆ ช่วยให้ธุรกิจสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงในยุคของนวัตกรรมและความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี
ดังนั้น การนำ GenAI มาใช้ในองค์กรโดยเฉพาะในด้าน GRC ไม่เพียงแต่เป็นสิ่งที่ควรทำเท่านั้น แต่ยังเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพื่อให้ธุรกิจสามารถก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงและปลอดภัย โดยการปรับตัวและการเตรียมพร้อมด้านกฎระเบียบสำหรับการใช้งาน GenAI จะทำให้มั่นใจว่าองค์กรจะสามารถก้าวนำหน้าในยุคดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน
จึงอาจกล่าวได้ว่า การปรับตัวและการเตรียมความพร้อมด้านกฎระเบียบจะเป็นกุญแจสำคัญในการประสบความสำเร็จในยุค GenAI
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำนามนับไม่ได้ ภาษาอังกฤษ มีอะไรบ้าง ที่เจอบ่อย ๆ ไปดูกัน
คำนามที่ใช่ในการสร้างประโยคไม่ว่าจะเป็นในภาษาไทยหรือในภาษาอังกฤษนั้นล้วนแล้วแต่ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ๆ ก็คือ คำนามนับได้ กับ คำนามนับไม่ได้ ซึ่งในบทความนี้ของ Engduo Thailand จะพาไปทำความรู้จักกับคำนามนับไม่ได้ว่าคืออะไร มีอะไรบ้าง แบ่งประเภทอย่างไร พร้อมกับมีตัวอย่างคำศัพท์ของคำนามนับไม่ได้ในแต่ละหมวดหมู่ว่ามีอะไรบ้างมาให้ดูอีกด้วย
คำนามนับไม่ได้คืออะไร?
คำนามนับไม่ได้ หรือ uncountable noun คือคำนามที่ไม่สามารถนับได้โดยใช้เลขบอกจำนวนได้ หากมองเป็นตาเปล่าแล้วสามารถนับเป็นชิ้นได้ยาก เช่น น้ำ (water), น้ำตาล (sugar), ข้าว (rice), เงิน (money),ความรู้ (knowledge), ความรัก (love) เป็นต้น ในการบอกจำนวนจึงมักจะมองเป็นภาพรวมหรือเป็นกลุ่มก้อนมากกว่า เช่น a cup of tea (ชา 1 ถ้วย), three glasses of water (น้ำ 3 แก้ว)
หมายเหตุ : สิ่งที่นับไม่ได้ หมายถึงสิ่งที่ไม่สามารถนับได้โดยธรรมชาติ ไม่ใช่การนับโดยใช้หน่วยวัด เช่น น้ำ (water) สามารถนับเป็นลิตรได้ แต่ไม่ถือว่าเป็นนามนับได้ เพราะไม่ใช่การนับได้โดยธรรมชาติ
คำนามนับไม่ได้ในภาษาอังกฤษที่เจอบ่อยๆ
คำนามนับไม่ได้ในภาษาอังกฤษที่เจอบ่อยๆ โดยแยกเป็นหมวดหมู่ได้ ดังนี้
General ทั่วไป
- Homework การบ้าน
- Equipment อุปกรณ์
- Luggage กระเป๋าเดินทาง
- Clothing เสื้อผ้า
- Furniture เฟอร์นิเจอร์
- Machinery เครื่องจักร
- Gold ทอง
- Silver เงิน
- Cotton ฝ้าย
- Glass แก้ว
- Jewelry เครื่องประดับ
- Perfume น้ำหอม
- Soap สบู่
- Paper กระดาษ
- Wood ไม้
- Petrol น้ำมันเบนซิน
- Gasoline น้ำมันเบนซิน
- Baggage สัมภาระ
- Hair เส้นผม
- Traffic การจราจร
Food อาหาร
- Flour แป้ง
- Meat เนื้อ
- Rice ข้าว
- Cake เค้ก
- Bread ขนมปัง
- Ice cream ไอศกรีม
- Cheese ชีส
- Toast ขนมปังปิ้ง
- Pasta พาสต้า
- Spaghetti สปาเกตตี
- Butter เนย
- Oil น้ำมัน
- Honey น้ำผึ้ง
- Soup ซุป
- Fish ปลา
- Fruit ผลไม้
- Salt เกลือ
- Tea ชา
- Coffee กาแฟ
Subjects สาขาวิชา
- Mathematics คณิตศาสตร์
- Economics เศรษฐศาสตร์
- Physics ฟิสิกส์
- Ethics จริยธรรม
- Recreation สันทนาการ
- Civics พลเมือง
- Art ศิลปะ
- Architecture สถาปัตยกรรม
- Music ดนตรี
- Photography การถ่ายภาพ
- Grammar ไวยากรณ์
- Chemistry เคมี
- History ประวัติศาสตร์
- Commerce พาณิชย์
- Engineering วิศวกรรม
- Politics การเมือง
- Sociology สังคมวิทยา
- Psychology จิตวิทยา
- Vocabulary คำศัพท์
- Archaeology โบราณคดี
- Poetry บทกวี
Abstract นามธรรม
- Advice คำแนะนำ
- Help ช่วยเหลือ
- Fun สนุก
- Enjoyment ความเพลิดเพลิน
- Information ข้อมูล
- Knowledge ความรู้
- News ข่าว
- Patience ความอดทน
- Happiness ความสุข
- Progress ความคืบหน้า
- Confidence ความมั่นใจ
- Courage ความกล้าหาญ
- Education การศึกษา
- Intelligence ปัญญา
- Space ช่องว่าง
- Energy พลังงาน
- Laughter เสียงหัวเราะ
- Peace ความสงบ
- Pride ความภาคภูมิใจ
Weather สภาพอากาศ
- Thunder ฟ้าร้อง
- Lightning ฟ้าผ่า
- Snow หิมะ
- Rain ฝน
- Sleet ลูกเห็บ
- Ice น้ำแข็ง
- Heat ความร้อน
- Humidity ความชื้น
- Hail ลูกเห็บ
- Wind ลม
- Light แสงสว่าง
- Darkness ความมืด
Sports กีฬา
- Golf กอล์ฟ
- Tennis เทนนิส
- Baseball เบสบอล
- Basketball บาสเกตบอล
- Cricket คริกเก็ต
- Hockey ฮอกกี้
- Rugby รักบี้
- Chess หมากรุก
- Poker โป๊กเกอร์
- Bridge สะพาน
Languages ภาษา
- English ภาษาอังกฤษ
- Portuguese โปรตุเกส
- Hindi ฮินดี
- Arabic ภาษาอาหรับ
- Japanese ญี่ปุ่น
- Korean เกาหลี
- Spanish สเปน
- French ภาษาฝรั่งเศส
- Russian ภาษารัสเซีย
- Italian ภาษาอิตาลี
- Hebrew ภาษาฮีบรู
- Chinese ชาวจีน
Activities กิจกรรม
- Swimming การว่ายน้ำ
- Walking ที่เดิน
- Driving ขับรถ
- Jogging วิ่งออกกำลังกาย
- Reading การอ่าน
- Writing การเขียน
- Listening การฟัง
- Speaking การพูด
- Cooking การทำอาหาร
- Sleeping นอนหลับ
- Studying กำลังเรียน
- Working การทำงาน
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
20 ผักพื้นบ้าน ต้านมะเร็งแถมชะลอวัย
20 ผักพื้นบ้าน ต้านมะเร็งแถมชะลอวัย
ข้อมูลทางการแพทย์ชี้ให้เห็นสรรพคุณของสารอาหารที่มีส่วนสำคัญในการยับยั้งหรือต่อต้านสารก่อมะเร็ง ส่งเสริมให้บริโภคผักและผลไม้ที่อุดมด้วยคุณค่าทางโภชนาการ “เบต้าแคโรทีน” และ “วิตามินซี” คือสองสารอาหารที่ทางการแพทย์แนะนำ ด้วยเป็นสารอาหารที่มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ช่วยป้องกันโรคมะเร็ง รวมไปถึง ลดความเสี่ยงต่อการเกิดโรคหัวใจ ลดการอักเสบ เสริมสร้างภูมิต้านทานโรคในร่างกาย ทำให้ร่างกายแก่ชราช้าลงด้วย
สารทั้งสองชนิดนี้ อาจอยู่ในผักผลไม้ที่เรามักคุ้นตาและได้ยินชื่อเป็นประจำ เช่น แครอท ฟักทอง ฯลฯ แต่แท้จริงแล้ว ในผักพื้นบ้านก็มีสารเบต้าแคโรทีนและวิตามินซีสูงมากเช่นกัน ข้อมูลจาก สำนักสื่อสารและโต้ตอบความเสี่ยง กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข เผยว่า ผัก 20 ชนิดนี้ ถูกจัดอันดับให้อยู่ในกลุ่มผักที่มีสารอาหารทั้งสองชนิดในปริมาณสูง
10 อันดับ ผักเบต้าแคโรทีนสูง
ผักที่มีเบต้าแคโรทีนสูง 10 อันดับ ได้แก่
อันดับ 1. ยอดลำปะสี 15,157 ไมโครกรัม
อันดับ 2. ผักแมะ 9,102 ไมโครกรัม
อันดับ 3. ยอดกะทกรก 8,498 ไมโครกรัม
อันดับ 4. ใบกะเพราแดง 7,875 ไมโครกรัม
อันดับ 5. ยี่หร่า 7,408 ไมโครกรัม
อันดับ 6. หมาน้อย 6,577 ไมโครกรัม
อันดับ 7. ผักเจียงดา 5,905 ไมโครกรัม
อันดับ 8. ยอดมันปู 5,646 ไมโครกรัม
อันดับ 9. ยอดหมุย 5,390 ไมโครกรัม
อันดับ 10. ผักหวาน 4,823 ไมโครกรัม
10 อันดับ ผักวิตามินซีสูง
ส่วนผักที่มีวิตามินซีสูง 10 อันดับ ได้แก่
อันดับ 1. ดอกขี้เหล็ก 484 มิลลิกรัม
อันดับ 2. ดอกผักฮ้วน 472 มิลลิกรัม
อันดับ 3. ยอดผักฮ้วน 351 มิลลิกรัม
อันดับ 4. ฝักมะรุม 262 มิลลิกรัม
อันดับ 5. ยอดสะเดา 194 มิลลิกรัม
อันดับ 6. ผักเจียงดา 153 มิลลิกรัม
อันดับ 7. ดอกสะเดา 123 มิลลิกรัม
อันดับ 8. ผักแพว 115 มิลลิกรัม
อันดับ 9. ผักหวาน 107 มิลลิกรัม
อันดับ 10. ยอดกะทกรก 86 มิลลิกรัม
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 11/07/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,750.00 | 40,850.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,640.00 | 40,022.40 | 41,350.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,376.00 | 36,020.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,112.00 | 32,017.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,188.00 | 18,010.08 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 924.00 | 14,007.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,736.00 | 41,477.76 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 11/07/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 38.85 | 38.85 | 39.25 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 | 38.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 38.48 | 38.48 | 38.88 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 | 38.48 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 36.74 | 36.74 | 37.14 | 36.74 | 36.74 | – | 36.74 | 36.74 | 36.74 | 36.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 36.49 | 36.49 | – | – | – | – | – | – | – | 36.49 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 47.44 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 47.44 |
เบนซิน 95 | 46.74 | – | – | – | 49.81 | – | 47.24 | 46.89 | – | 46.74 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |