เปิดแนวคิดสัมมากรสู่บ้านระดับไฮเอนด์ชูภาพลักษณ์ทันสมัย&ไลฟ์สไตล์ใหม่
“สัมมากร” สยายปีกยกระดับจุดแข็ง ตอกย้ำแนวคิด “บ้านที่หลับสบาย”เดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยให้มีคุณภาพชูภาพลักษณ์ทันสมัย&ไลฟ์สไตล์ใหม่ สู่บ้านระดับไฮเอนด์ มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 10 โครงการมูลค่ากว่า 12,000 ล้าน
จากประสบการณ์ในะฐานะเป็นดีเวลล็อปเปอร์รายใหญ่ที่อยู่มานานกว่า 53 ปี และเข้าใจใน Insight คนไทยมากที่สุดอย่าง “สัมมากร” ล่าสุดได้ประกาศยกระดับจุดแข็ง เดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยให้มีคุณภาพสูงสุด ด้วยการส่งต่อคำมั่นสัญญา “สัมมากร PROMISE เพราะบ้านทุกหลังคือความใส่ใจของเรา” เพื่อมุ่งมั่นพัฒนาการสร้างที่อยู่อาศัยให้ตอบโจทย์คนไทยมากที่สุด
ณพน เจนธรรมนุกูล กรรมการผู้จัดการ บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ด้วยแนวคิดของบริษัทที่ต้องการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เราจึงใช้กลยุทธ์ที่ทำให้เกิดความยั่งยืน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการให้ความสำคัญกับคุณภาพของบ้าน เพราะเราเชื่อว่าในอนาคตการพัฒนาทางการแพทย์จะมีความก้าวหน้าเป็นอย่างมาก ซึ่งจะส่งผลให้คนมีอายุที่ยืนยาวขึ้น ประกอบกับราคาที่ดินที่ปรับสูงขึ้นทุกปีจากความต้องการของผู้บริโภค
“เราจึงเชื่อว่าในอนาคตพฤติกรรมการอยู่อาศัยของผู้บริโภคจะอยู่อาศัยในบ้านที่ซื้อนานขึ้น ไม่นิยมย้ายที่อยู่อาศัยบ่อยๆ ดังนั้นสัมมากรจึงให้ความสำคัญกับคุณภาพบ้านในทุกขั้นตอน ตั้งแต่งานก่อสร้าง งานตรวจสอบ และงานบริการ บ้านทุกหลังจะต้องผ่านมาตรฐานการตรวจสอบระดับสูงสุดเท่านั้น ไปจนถึงเรื่องขนาดของพื้นที่ที่สามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้อย่างเหมาะสมในทุกช่วงของชีวิต รวมถึงการออกแบบในดีไซน์ที่เหนือกาลเวลาที่สามารถอยู่อาศัยได้ทุกยุคสมัย”
สำหรับ สัมมากร PROMISE เพราะบ้านทุกหลังคือความใส่ใจ เป็นคำมั่นสัญญาที่ “สัมมากร” มุ่งมั่นสร้างมาตรฐานขั้นสูงที่ตั้งใจมอบให้กับลูกบ้านจากงานด้านการก่อสร้างและการรับประกัน โดยแต่ละโครงการบ้านจะมีเอกลักษณ์การออกแบบที่โดดเด่นแตกต่างกันด้วยมาตรฐานที่เข้มงวดในทุกขั้นตอน และรับประกันสูงสุดนาน 5 ปี
ด้านงานโครงสร้างอาคารและส่วนประกอบสำคัญของโครงการ รวมถึงการตรวจคุณภาพบ้านที่มีความพิถีพิถันถึง 70 ขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็น งานตรวจสอบงานระบบใต้ดิน, งานตรวจสอบผนังก่ออิฐและผนังพรีคาสท์, งานตรวจระบบใต้ฝ้าก่อนปิดแผ่นฝ้า ซึ่งเป็นการตรวจสอบสเปควัสดุให้เป็นไปตามข้อกำหนดในแบบก่อสร้าง, งานตรวจกระเบื้อง, ขั้นตอนการตรวจเสมือน QA (Quality Assurance) ซึ่งเป็นการตรวจรายละเอียดความพร้อมก่อนส่งบ้านให้ทางฝ่ายประกันคุณภาพบ้าน
อีกทั้ง “สัมมากร” ยังให้ความสำคัญกับการประเมินผู้รับเหมาเป็นอย่างมาก เพื่อคัดเลือกผู้รับเหมาให้เหมาะสมกับงานและมีคุณภาพมากที่สุด ตลอดจนงานบริการลูกค้าที่ใส่ใจเสมือนคนในครอบครัว ลูกบ้านทุกคนของสัมมากรสามารถติดต่อได้ทาง Line Official Account ไม่ว่าจะเกิดปัญหาเล็กหรือปัญหาใหญ่ จะมีเจ้าหน้าที่ออนไลน์พร้อมให้ความช่วยเหลือเสมอ เพราะสัมมากรมุ่งมั่นดูแลลูกบ้านเสมือนคนในครอบครัว โดยเฉพาะเรื่องความปลอดภัย ตั้งแต่วิธีการเข้าโครงการ, การจัดอบรมเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยทุกสัปดาห์, การตรวจและสำรวจสภาพแวดล้อมภายในโครงการทุกๆ 1 ชั่วโมง รวมถึงการดูแลจัดการให้สภาพแวดล้อมภายในโครงการคงความสวยงามสมบูรณ์เหมือนวันแรกที่เข้ามาเป็นลูกบ้านของ “สัมมากร”
โดยปัจจุบัน “สัมมากร” ได้ส่งมอบบ้านแห่งคุณภาพไปแล้วกว่า 8,400 หลังและมีโครงการที่อยู่ระหว่างการขาย 10 โครงการมูลค่ากว่า 12,000 ล้านบาท ประกอบไปด้วย พาร์ค เฮอริเทจ พัฒนาการ โครงการบ้านเดี่ยวระดับซูเปอร์ลักซ์ชัวรีสไตล์โมเดิร์นคลาสสิก 3 ชั้น บนพื้นที่ขนาดใหญ่สูงสุด 133 ตร.ว. ในสังคมคุณภาพเพียง 32 ครอบครัว บนเนื้อที่กว่า 12 ไร่ ในราคา 59- 98 ล้านบาท
, บาร์นยาร์ด เขาใหญ่ บ้านพักตากอากาศระดับหรูสไตล์ Classic American Farm บนทำเลเขาใหญ่ ในราคา 15.9 – 32 ล้านบาท, อนาพนา ลาดกระบัง บ้านเดี่ยวระดับหรูโครงการใหญ่ ติดถนนใหญ่ลาดกระบัง และใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ออกแบบในสไตล์ Contemporary Tropical ในราคา 6.79 – 18 ล้านบาท, มิตติ ชัยพฤกษ์ วงแหวน บ้านเดี่ยว 4 ห้องนอน บนทำเลศักยภาพถนนราชพฤกษ์ 345 เชื่อมต่อแจ้งวัฒนะ-ชัยพฤกษ์ ในราคา 5.99 – 9 ล้านบาท
, มิตติ ราชพฤกษ์ – 346 บ้านเดี่ยวออกแบบภายใต้แนวคิด Modern Semi Minimal ในราคา 4.79 – 7 ล้านบาท, มิตติ ลำลูกกา-คลอง 6 บ้านเดี่ยวสไตล์ Modern Tropical ทำเลกรุงเทพฯ ฝั่งตะวันออก บนถนนลำลูกกา คลอง 6 ใกล้ทางด่วนฉลองรัช และมอเตอร์เวย์ 9 เพียง 3.5 กม. ในราคา 5.09 – 7 ล้านบาท, สัมมากร ไพรม์ 7 บ้านเดี่ยวดีไซน์หรูบนที่ดินขนาดใหญ่ ในราคา 6 – 12 ล้านบาท,
สัมมากร รังสิต คลอง 7 บ้านเดี่ยวพื้นที่ใหญ่ 4 ห้องนอน ในราคา 4.99 – 9 ล้าน, อเวนิว รามอินทรา วงแหวน ทาวน์โฮมพรีเมียมแนวคิดใหม่ 3 ชั้น 4 ห้องนอน ในราคา 3.79 – 5 ล้านบาท และอเวนิว สุวรรณภูมิ ทาวน์โฮมฟังก์ชั่นบ้านเดี่ยว 2 – 3 ชั้น 3 ห้องนอน ในราคา 3.69 – 7 ล้านบาท
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
แสนสิริ เดินหน้า ‘ZERO DROPOUT’ ปีที่ 3 สานพันธกิจลดเหลื่อมล้ำทางการศึกษา
‘อภิชาติ จูตระกูล’ ซีอีโอแสนสิริ ปลุกทุกภาคส่วนร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศไทยสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างยั่งยืน เดินหน้าโครงการ ZERO DROPOUT สู่ปีที่ 3 สานพันธกิจลดความเหลื่อมล้ำ-มอบโอกาสทางการศึกษาให้เด็กทุกคนต้องได้เรียน เพื่อเป็น Asset ที่มีคุณค่าไม่มีวันหมด
นายอภิชาติ จูตระกูล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) หรือ SIRI ผู้นำกลุ่มธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของประเทศไทย กล่าวว่า แสนสิริ ร่วมกับ กองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) เดินหน้าขับเคลื่อนพันธกิจสนับสนุน ‘ลดความเหลื่อมล้ำ’ พร้อมมอบโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็กไทย ผ่านการดำเนินโครงการ ZERO DROPOUT
“เด็กทุกคนจะต้องได้เรียน นับเป็นการสร้าง Asset ที่สำคัญและมีคุณค่าไม่มีวันหมดให้กับเด็กทุกๆ คน”
ทั้งนี้ แสนสิริ ได้สนับสนุนเงินทุน 100 ล้านบาท นำร่องโครงการ ZERO DROPOUTที่จังหวัดราชบุรี เป็นจังหวัดต้นแบบ โดยตั้งเป้าหมายช่วยเด็กหลุดจากการศึกษาเป็นศูนย์ ภายในปี 2567 ซึ่งขณะนี้มีความคืบหน้าไปมาก
“ราชบุรีเป็นจังหวัดที่อยู่ใกล้กับกรุงเทพฯ แต่มีความเหลื่อมล้ำในการศึกษาจากภูมิศาสตร์จังหวัดติดชายแดน ที่มีสภาพทั้งแบบชุมชนและเมือง ที่สำคัญแสนสิริไม่มีการพัฒนาโครงการในพื้นที่จังหวัดราชบุรี การขับเคลื่อนโครงการจึงไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนในพื้นที่ดังกล่าว”
สำหรับโครงการ ZERO DROPOUT เด็กทุกคนต้องได้เรียน เป็นแผนระยะยาว 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2565 – 2567 นำร่องแห่งแรกที่จังหวัดราชบุรี เป็นโมเดลต้นแบบในการสร้างกลไกการเปลี่ยนแปลงการศึกษาระดับประเทศ ช่วยเด็กหลุดจากการศึกษาเป็น “ศูนย์” ในปี 2567 ภายใต้การดำเนินงานของกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา (กสศ.) และสมัชชาการศึกษาราชบุรี ร่วมด้วยแสนสิริ ที่สนับสนุนเงินทุนในโครงการจำนวน 100 ล้านบาท
นายอภิชาติ กล่าวย้ำว่า การเดินหน้าการทำงานสู่ปีที่ 3 ในปี 2567 นั้นและมีความคืบหน้าตามแผนงานที่วางไว้ สามารถลดจำนวนเด็กเสี่ยงหลุดออกนอกระบบการศึกษา รวมถึงเด็กที่หลุดออกจากระบบการศึกษาไปแล้วให้สามารถได้รับการศึกษาและพัฒนาให้มีทักษะการทำงานในโลกยุคใหม่ ได้แล้วราว 10,000 คน จากทั้งหมด 10 อำเภอ
ล่าสุดคือโมเดลการศึกษา 1 โรงเรียน 3 รูปแบบ ซึ่งปัจจุบันเริ่มต้นแล้วใน 12 โรงเรียน ทั้งในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษา และมีแผนสร้างความรู้ความเข้าใจเพื่อขยายไปทุกเขตพื้นที่การศึกษาในจังหวัดราชบุรี
“แสนสิริ อยากจุดประกายให้ทุกคนมีส่วนร่วมเปลี่ยนแปลงประเทศไทยในการช่วยลงมือและสร้างความเสมอภาคทางการศึกษาอย่างยั่งยืน การสร้างโอกาสใหม่ๆ ทางการศึกษาให้เยาวชนในพื้นที่ และขับเคลื่อนราชบุรีโมเดล ให้เป็นจังหวัดต้นแบบนวัตกรรมการศึกษาของประเทศ ผ่านความร่วมมือจากภาครัฐ และเอกชน ที่จะช่วยเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาให้เยาวชนทุกคนสามารถเข้าถึงโอกาสทางการศึกษาที่มีคุณภาพได้อย่างเท่าเทียม”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 12ธ.ค. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.71 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทโมเมนตัมการอ่อนค่ายังคงอยู่ จับตา “โฟลว์ธุรกรรมทองคำ-ค่าเงินหยวน” อาจส่งผลต่อทิศทางสกุลเงินเอเชีย หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯออกมาดีกว่าคาดเงินดอลลาร์มีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 12ธ.ค. 2566 ที่ระดับ 35.71 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ 35.32 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่ายังคงอยู่ ทำให้เงินบาทอาจอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้าน 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ทั้งนี้ ต้องจับตาทิศทางราคาทองคำ เนื่องจาก โฟลว์ธุรกรรมทองคำยังคงส่งผลกระทบต่อค่าเงินบาทได้พอสมควร โดยเฉพาะในช่วงนี้ที่ราคาทองคำได้ย่อตัวลงใกล้โซนแนวรับ
นอกจากนี้ ค่าเงินหยวนจีนก็อาจส่งผลต่อทิศทางสกุลเงินเอเชียได้ ซึ่งจะขึ้นกับรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีนว่าจะสะท้อนภาพการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนที่ดีขึ้นหรือไม่
ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดหรือเฟดส่งสัญญาณพร้อมคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานกว่าที่ตลาดกำลังคาดการณ์อยู่ อนึ่ง หากเฟดเซอร์ไพรส์ตลาดด้วยการขึ้นดอกเบี้ย ก็อาจทำให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นเร็วและแรง
เราคงคำแนะนำว่า ในช่วงนี้ ตลาดการเงินยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน รวมถึง ความกังวลต่อทั้งแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ
นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 35.30-36.00 บาท/ดอลลาร์
ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.55-35.80 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่อง (แกว่งตัวในกรอบ 35.30-35.80 บาทต่อดอลลาร์) หลังรายงานข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาดีกว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า เฟดอาจไม่ได้ลดดอกเบี้ยลงเร็วอย่างที่ตลาดเคยประเมินไว้ก่อนหน้า ทำให้เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการพลิกกลับมาอ่อนค่าของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มการใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในการประชุมเดือนธันวาคมที่จะถึงนี้ ทั้งนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะปรับฐาน หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซนแนวรับ ตามการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าต่อเนื่อง ตามการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังข้อมูลการจ้างงานสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด
ในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวน ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมบรรดาธนาคารกลางหลัก (เฟด, BOE และ ECB) และรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ จากฝั่งสหรัฐฯ ยุโรป รวมถึงจีน
มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก
▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ประเด็นสำคัญที่อาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินได้ คือ ผลการประชุมเฟด และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด โดยเรามองว่า เฟดอาจ “คง” อัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 5.25-5.50% ตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้ หลังอัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้นและมีพัฒนาการที่ดีขึ้น เพิ่มโอกาสในการกลับสู่เป้าหมาย 2% ของเฟด ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ก็มีแนวโน้มชะลอลงเช่นกัน
อย่างไรก็ดี เรามองว่า คาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ใหม่ของเฟด และถ้อยแถลงของประธานเฟดอาจยังคงส่งสัญญาณว่า เฟดอาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นาน หรือ เดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ เพื่อให้มั่นใจว่า เฟดจะบรรลุเป้าหมายเงินเฟ้อได้จริง โดย Dot Plot ใหม่อาจยังคงย้ำจุดยืนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง -50bps ในปีหน้า ซึ่งน้อยกว่าที่ ผู้เล่นในตลาดส่วนใหญ่กำลังคาดการณ์ว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้กว่า -100bps โดยภาพดังกล่าวอาจยิ่งหนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น
ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตอุตสาหกรรมและภาคการบริการ (S&P Manufacturing & Services PMIs) ในเดือนธันวาคม รวมถึงรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤศจิกายน โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด
สะท้อนภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งอยู่ ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาประเมินว่า เฟดมีโอกาสคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับสูงได้นานขึ้น รวมถึงเพิ่มโอกาสที่เฟดจะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ซึ่งภาพดังกล่าวจะยิ่งส่งผลให้ ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำและค่าเงินบาท (รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ได้)
▪ ฝั่งยุโรป – เราประเมินว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงของกิจกรรมทางเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ จะส่งผลให้ ทั้งธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) “คง” อัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.00% (Deposit Facility Rate) และ 5.25% ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี เราคาดว่า ทั้ง ECB และ BOE อาจยังคงส่งสัญญาณว่า พร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ หากอัตราเงินเฟ้อกลับมาเร่งตัวขึ้น อย่างไรก็ดี หาก ECB และ BOE ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้น หรือ แสดงความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจ ก็อาจกดดันให้สกุลเงินฝั่งยุโรป
อย่าง เงินยูโร (EUR) และเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงได้บ้าง และนอกเหนือจากผลการประชุมของทั้ง ECB กับ BOE ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการของอังกฤษ รวมถึงยูโรโซน
▪ ฝั่งเอเชีย – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน โดยนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ต่างคาดว่า เศรษฐกิจจีนจะส่งสัญญาณฟื้นตัวดีขึ้นในเดือนพฤศจิกายน โดยยอดค้าปลีกอาจโตกว่า +12%y/y (ส่วนหนึ่งเป็นผลจากฐานต่ำในปีก่อนหน้า) ส่วนยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ก็อาจโตราว +5%y/y
นอกจากนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการเศรษฐกิจญี่ปุ่นผ่านรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ซึ่งหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจญี่ปุ่นออกมาดีกว่าคาด ก็อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะสามารถใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นได้ในปีหน้า
ทั้งนี้ ตลาดประเมินว่า แนวโน้มการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อ จะทำให้ทั้งธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) และธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.875% และ 6.50% ตามลำดับ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เปิดประวัติ “โชเฮ โอทานิ” ซุปตาร์เบสบอล เจ้าของสถิตินักกีฬาค่าเหนื่อยแพงสุดในโลก
หลังตกเป็นข่าวว่า “โชไทม์” โชเฮ โอทานิ นักกีฬาเบสบอลทีมชาติญี่ปุ่น ได้ย้ายออกจากทีม แอลเอ แองเจิลส์ ไปอยู่กับ แอลเอ ด็อดเจอร์ส ด้วยสัญญา 10 ปี พร้อมรับค่าเหนื่อย 700 ล้านเหรียญ (ราว 25,000 ล้านบาท) เฉลี่ยปีละ 70 ล้านเหรียญดอลลาร์ (ราว 2,500 ล้านบาท) พร้อมรับตำแหน่งเจ้าของสถิตินักกีฬาค่าเหนื่อยแพงที่สุดในโลกทันที
สำหรับประวัติของ โอทานิ ปัจจุบันอายุ 29 ปี เกิดเมื่อวันที่ 5 กรกฎาคม 1994 ที่เมืองโอชู จังหวัดอิวาเตะ ทางตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศญี่ปุ่น เป็นเจ้าของส่วนสูง 193 ซม. น้ำหนัก 95 กก. โดย โอทานิ มีคุณแม่เป็นนักแบดมินตัน ส่วนคุณพ่อทำงานในอุตสาหกรรมรถยนต์ ควบตำแหน่งนักเบสบอลระดับสมัครเล่นใน Japanese Industrial League เช่นเดียวกับพี่ชายอย่าง เรียวตะ ที่เป็นนักเบสบอลสมัครเช่นกัน ซึ่งทั้งหมดทำให้ โชเฮ โอทานิ ตกหลุมรักกีฬาชนิดนี้ตั้งแต่วัยเยาว์
ในวัย 18 ปี โอทานิ ลงเล่นในตำแหน่งพิตเชอร์ ลุยศึกเบสบอลฤดูร้อนที่จังหวัดอิวาเตะบ้านเกิด ก่อนขว้างลูกด้วยความเร็ว 160 กม./ชม. จนทำให้เริ่มมีชื่อเสียงในประเทศ หลังจบมัธยมปลาย โอทานิ ตั้งใจแน่วแน่ว่าต้องการไปเล่นที่ MLB หรือเมเจอร์ลีกเบสบอลของสหรัฐอเมริกา โดยตอนนั้นเขาได้รับความสนใจจากทั้ง เท็กซัส เรนเจอร์ส, บอสตัน เรด ซอกซ์, นิวยอร์ก แยงกีส์ และรวมไปถึง ลอสแอนเจลิส ด็อดเจอร์ส แต่สุดท้ายเขาต้องการสั่งสมประสบการณ์ในแข็งแกร่งก่อน ทำให้ตัดสินใจเริ่มต้นเส้นทางอาชีพในญี่ปุ่นกับ ฮอกไกโด นิปปอน-แฮม ไฟเตอร์
ผลงานของ โอทานิ กับ ฮอกไกโด นิปปอน แฮม-ไฟท์เตอร์ นั้นสุดอลังการมาก โดยเขาพาทีมคว้าแชมป์ลีกได้ในปี 2016 พ่วงด้วยตำแหน่ง MVP ในปีเดียวกัน รวมไปถึงติดทีมยอดเยี่ยมของลีกได้ 5 ฤดูกาลติดต่อกัน (2013-2017) หรือนับตั้งแต่ที่เดบิวต์ไปจนถึงฤดูกาลสุดท้ายของเขา จนเดือนธันวาคมปี 2017 ลอสแอนเจลิส แองเจิลส์ ทีมดังแห่งศึก MLB ได้ประกาศเซ็นสัญญากับ โอทานิ อย่างเป็นทางการ และทำให้เจ้าตัวได้ลุยเวทีนี้สมใจเสียที
แม้ว่าหลังเซ็นสัญญากับ แอลเอ แองเจิลส์ ได้เพียงแค่ไม่กี่วัน โอทานิ จะได้รับการตรวจพบว่ามีอาการบาดเจ็บที่เอ็นข้อศอกขวา แต่สุดท้ายแล้ว เขาสามารถจบฤดูกาลด้วยการรับรางวัล AL Rookie of the Year 2018 หรือผู้เล่นหน้าใหม่ประจำปีได้อย่างเหลือเชื่อ ก่อนที่หลังจากนั้นมาเขาจะก้าวขึ้นมาเป็นดาวเด่นของลีก ไม่ใช่แค่เพียงตำแหน่งพิตเชอร์เท่านั้น แต่เขายังทำได้ยอดเยี่ยมกับตำแหน่งแบ็ตเตอร์หรือตัวตีบอลอีกด้วย ซึ่งแม้ตลอด 6 ฤดูกาลกับ แอลเอ แองเจิลส์ เขาจะไม่สามารถคว้าแชมป์ใดๆได้ แต่การได้รางวัล MVP ของ MLB ในปี 2021, 2022 และ 2023 และการติดทีม All-Star 3 ครั้ง คือเครื่องการันตีฝีมือของเขา ก่อนสุดท้ายจะหมดสัญญา กลายเป็นฟรีเอเยนต์และย้ายไปรับทรัพย์ระดับปรากฏการณ์กับทีมร่วมเมืองอย่าง แอลเอ ด็อดเจอร์ส ในที่สุด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ฝุ่น PM 2.5 เป็นอันตรายต่อ “หัวใจ-หลอดเลือด” อย่างที่คุณคาดไม่ถึง
รู้ไหมว่า ฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน หรือ ฝุ่น PM 2.5 ไม่เพียงแต่แพร่กระจายเข้าสู่ระบบทางเดินหายใจ กระแสเลือด และส่งผลเสียต่อระบบการทำงานของอวัยวะต่างๆ ในร่างกาย แต่ยังทำร้ายหัวใจได้ รุนแรงถึงขั้นหัวใจล้มเหลว (Heart Failure) และหัวใจวาย (Heart Attack) เพราะฉะนั้นการหลีกเลี่ยงฝุ่น PM 2.5 คือสิ่งที่ต้องตระหนักและระมัดระวัง เพื่อให้หัวใจของเราแข็งแรงไปอีกนาน
นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์หัวใจ หัวหน้าศูนย์ตรวจสมรรถภาพหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวว่า มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) หรือฝุ่นในอากาศเป็นปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจได้ ข้อมูลล่าสุดจากองค์การอนามัยโลก (World Health Organization – WHO) ระบุว่า มากกว่า 20% ของการเสียชีวิตจากโรคหัวใจและหลอดเลือดมีสาเหตุมาจากมลพิษทางอากาศ และทุกๆ ปี มีมากกว่า 3 ล้านคนที่เสียชีวิต โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่า หากในอากาศมีฝุ่น PM 2.5 เกิน 10 – 25 ไมโครกรัมใน 1 ลูกบาศก์เมตรแล้วร่างกายได้รับเข้าไปติดต่อกันเป็นระยะเวลานานจะทำให้เกิดการอักเสบ ส่งผลเสียต่อการแข็งตัวของเลือด การทำงานของเซลล์เยื่อบุหลอดเลือด ทำให้เกิดโรคเรื้อรัง ทั้งโรคหัวใจ โรคปอด และโรคมะเร็ง
ผลกระทบของฝุ่น PM 2.5 กับหัวใจ
หากเกิดขึ้นแบบเฉียบพลันจะส่งผลให้เส้นเลือดเปราะ เส้นเลือดแตก และในผู้ป่วยโรคหัวใจ ฝุ่นละอองขนาดเล็ก หรือ ฝุ่น PM 2.5 นี้ จะเข้าไปกระตุ้นให้โรคที่เป็นอยู่รุนแรงขึ้น ส่วนในระยะยาวผลกระทบจะเกิดการเปลี่ยนแปลงระดับเซลล์ กระตุ้นการอักเสบทั่วร่างกาย หลอดเลือดหนาตัวมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อผนังหลอดเลือดเติบโตขึ้น มีอันตรายต่อร่างกายเทียบเท่ากับคนที่สูบบุหรี่ ในอนาคตคาดว่าจะเพิ่มเป็นหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงหลักที่ทำให้เกิดโรคหัวใจ
ข้อมูลจากสมาคมโรคหลอดเลือดหัวใจแห่งยุโรป (European Society of Cardiology – ESC) ระบุว่า มลพิษทางอากาศ (Air Pollution) ทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตในยุโรปเพิ่มขึ้น มีอัตราผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นถึง 800,000 คนต่อปี ด้วยวิธีการใหม่ของแบบจำลองผลกระทบที่หลากหลายของแหล่งกำเนิดมลพิษทางอากาศภายนอกที่ส่งผลต่ออัตราการเสียชีวิต พบว่า 40 – 80% ของผู้เสียชีวิตเกิดจากโรคหลอดเลือดหัวใจ(CVD) เช่น หัวใจวายและหลอดเลือดสมอง นอกจากนี้นักวิจัยยังพบว่า มลพิษทางอากาศ ทำให้มีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นประมาณ 8.8 ล้านรายทั่วโลกมากกว่าที่คาดการณ์ไว้ที่ 4.5 ล้านคน นั่นหมายความว่าในแต่ละปีมลพิษทางอากาศเป็นสาเหตุการเสียชีวิตมากกว่าการสูบบุหรี่ ซึ่งบุหรี่สามารถเลิกสูบได้ แต่มลพิษทางอากาศไม่สามารถเลี่ยงได้ มลพิษทางอากาศมีความสัมพันธ์กับโรคหัวใจและหลอดเลือด รวมทั้งโรคระบบทางเดินหายใจ เพราะเป็นสาเหตุที่ทำให้หลอดเลือดเกิดความเสียหายและเกิดความเครียดเพิ่มขึ้น ส่งผลให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคหลอดเลือดสมอง หัวใจวาย และหัวใจล้มเหลวในอัตราที่สูงขึ้น
วิธีป้องกันหัวใจจากฝุ่น PM 2.5
- หลีกเลี่ยงการทำกิจกรรมกลางแจ้งในวันที่มีฝุ่น PM 2.5
- สวมหน้ากากหรือใช้ผ้าปิดจมูก
- ติดตั้งเครื่องฟอกอากาศ
- ติดตามข่าวสารและปฏิบัติตามคำแนะนำอย่างใกล้ชิด 5.หากเกิดความผิดปกติเกิดขึ้นกับร่างกายควรรีบปรึกษาแพทย์ทันที
ทั้งนี้ นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์หัวใจ หัวหน้าศูนย์ตรวจสมรรถภาพหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ กล่าวเพิ่มเติมว่า อยากให้ทุกคนตระหนักถึงผลกระทบของ ฝุ่น PM 2.5 กับหัวใจ เมื่อร่างกายได้รับในปริมาณมาก จะทำลายหลอดเลือดและเยื่อบุหลอดเลือด เร่งการแข็งตัวของหลอดเลือด เร่งความเปราะของหลอดเลือดให้เพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดความเสี่ยงโรคหัวใจล้มเหลว เพราะฉะนั้นการป้องกันตัวเองคือ สิ่งสำคัญ แม้ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคหัวใจมีหลายข้อ แต่มลพิษทางอากาศคืออีกหนึ่งประเด็นสำคัญที่ไม่ควรละเลย หากมีอาการผิดปกติควรเข้ามาพบแพทย์ทันที และถ้ารู้ว่าตัวเองมีความเสี่ยงโรคหัวใจ ควรตรวจเช็กหัวใจกับแพทย์เป็นประจำทุกปี
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ต้องพัฒนาอีก…ภาษาอังกฤษของคนไทยติดอันดับยอดแย่ของเอเชีย
วันนี้ DailyEnglish มีข่าวน่าสนใจเกี่ยวกับอาเซียนมาฝากครับ เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับอนาคตของคนไทยเลยทีเดียว เพราะเกี่ยวข้องกับการพัฒนาภาษาอังกฤษของคนไทยในการเตรียมพร้อมเข้าสู่ AEC
จาก ผลสำรวจจากสภาเศรษฐกิจโลก (World Economic Forum) ระบุว่าความสามารถในการใช้งานภาษาอังกฤษของคนไทย อยู่ใน อันดับที่ 53 ของทวีปเอเชีย จัดอยู่ในระดับ Very Low Proficiency หรือ ความชำนาญในการใช้ภาษาอังกฤษน้อยมาก
ประเทศไทยตกอันดับอย่างเห็นได้ชัด จากปี 2554 อยู่อันดับที่ 42 แต่ในปี 2555 กลับตกลงมาอยู่ อันดับที่ 53
ในขณะเดียวกันเพื่อนบ้านของเราอย่างอินโดนีเซีย และเวียดนาม ก็ได้พัฒนาตนเอง จากระดับความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาอังกฤษน้อยมาก ไปสู่ความเชี่ยวชาญในการใช้ภาษาอังกฤษน้อย เรียบร้อยแล้ว
นอกจากนี้ประเทศเพื่อนบ้านอาเซียนอย่างสิงคโปร์และมาเลเซีย ถูดจัดอยู่ในระดับ High Proficiency หรือ มีความเชียวชาญสูง ถึงแม้สองประเทศนี้จะใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษากลางในการสื่อสาร แต่ก็มีช่องว่างค่อนข้างมากหากเทียบกับไทยเรา
ถ้าเราไม่เร่งพัฒนาทักษะภาษาอังกฤษให้ทัดเทียมกับเพื่อนบ้าน เมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ชาวไทยจะลำบากแน่ครับ เพราะจะมีการแข่งขันสูงในตลาดแรงงาน บริษัทต่าง ๆ จะเริ่มคัดเลือกพนักงานในระดับภูมิภาคแทนการหาแรงงานในประเทศเพียงอย่างเดียว วุฒิการศึกษาเท่ากัน เกรดเท่ากัน แต่จุดที่จะตัดสินว่าใครจะได้งาน คือความสามารถทางภาษา
รู้แบบนี้แล้วอย่านิ่งดูดาย หันมาเห็นความสำคัญของภาษาอังกฤษแล้วฝึกฝนวันละนิดครับ จะเห็นผลแน่นอน ไม่ว่าจะมากหรือน้อยก็ตาม เพราะ Better Late than Never นะครับ (เริ่มต้นช้าดีกว่าไม่ทำเลย)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เผยวิธีใส่ใบขับขี่ใน แอป DLT QR License หรือแอปใบขับขี่ออนไลน์ สำหรับคนที่ไม่เคยมีมาก่อน
ใครที่อาจจะยังไม่รู้ว่าประเทศไทยมี Application ใบขับขี่แล้ว มันมีชื่อ Apps ว่า DLT QR License ซึ่งใน Sanook ก็นำเสนอไปเยอะแล้ว แต่ว่าบางคนเอายังไม่เคยใช้มันต้องทำอย่าง ลงทะเบียนที่ไหน และเอาข้อมูลใบขับขี่เข้าไปอย่างไร วันนี้ Sanook Hitech มีคำตอบ
Application นี้สามารถดาวน์โหลดได้ทั้งฝั่ง Android (Google Play Store) และ iOS (Apps Store)
การเข้าระบบ / ลงทะเบียนใหม่
- หน้าแรก จะให้คุณสามารถกด เข้าสู่ระบบ สำหรับคนที่ลงทะเบียนแล้ว แต่ถ้ายังไม่ลงทะเบียนมาก่อน ให้กด ลงทะเบียนใหม่
- ไม่ว่าจะเข้าหน้าไหนจะมีให้เลือกระหว่างการใช้อีเมล ในการเข้าสู่ระบบ หรือ ใช้เบอร์มือถือ หรือ Mobile ID เพื่อลงทะเบียนหรือเข้าระบบได้
- ทั้งนี้ถ้าใครยังไม่เคยลงทะเบียนให้กรอกข้อมูล โยดมือถือจะต้อไปทำกับเครือข่ายของคุณที่ทำไว้แล้ว
- ส่วนอีเมลจะสามารถลงทะเบียนเพื่อขอรับรหัส และรหัสนั้นคุณสามารถเปลี่ยนได้เองในภายหลัง
เมื่อลงทะเบียนแล้ว และเข้าระบบได้แล้ว
- ปรากฏหน้า PIN ให้คุณกด PIN เข้าไป
- จากนั้นพอเข้าได้แล้ว ให้กดข้อมูลใบอนุญาต
การเพิ่มใบอนุญาต
- กดปุ่มเพิ่มใบอนุญาต
- กดยอมรับให้ใช้กล้อง
- ส่อง QR Code ที่ใบขับขี่ของเรา
- ระบบจะแสดงผลเข้าไป
ทั้งนี้ถ้าใบขับขี่ไม่ตรงกันกับบัตรประชาชน จะฟ้องและทำรายการต่อไม่ได้ ซึ่งขั้นตอนนี้ขอไม่ทำให้ดูนะครับ
นอกจากนี้ใน Apps นี้ยังมีประโยชน์อื่นๆ เช่น
- ดูข้อมูลข่าวสารของกรมการขนส่ง
- ข้อมูลส่วนตัวของเรา
- แชร์เส้นทางต่างๆ
- ขอความช่วยนเหลือ
- แสดงผลเบอร์ฉุกเฉินที่เราต้องการใช้งาน
อย่างไรก็ตาม ใครที่มีใบขับขี่ก็ควรพกตลอดเวลานะครับ Apps เป็นเพียงแค่ตัวหนึ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
9 ผักยอดฮิต ที่ไม่ควรคิดกินดิบ เพราะอาจให้โทษมากกว่าประโยชน์
ทุกคนคงเคยได้ยินกันมาบ้างว่าการปรุงอาหารให้สุก โดยเฉพาะ “ผัก” อาจทำให้คุณค่าทางโภชนาการลดน้อยลง ด้วยเหตุนี้ผู้คนจึงหันมากินผักดิบกันมากขึ้น แต่รู้หรือไม่ว่าผักบางชนิดไม่ปลอดภัยพอที่จะรับประทานดิบได้ แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือผักบางชนิดจะให้สารอาหารที่เป็นประโยชน์มากกว่าเมื่อนำไปผ่านกระบวนการปรุงสุกก่อน
1.ถั่วงอก มีสารโซเดียมซัลไฟต์หรือสารฟอกขาว ทำให้คลื่นไส้ หายใจติดขัด
เป็นผักที่นิยมกินดิบ แต่เสี่ยงต่อการเกิดอาการคลื่นไส้ หายใจติดขัด และปวดท้องร่วมด้วย เพราะในถั่วงอกเป็นแหล่งรวมเชื้อแบคทีเรียที่เป็นอันตราย เช่น ซัลโมเนลลา อีโคไล และลิสทีเรีย อีกทั้งยังมีสารโซเดียมซัลไฟต์ หรือสารฟอกขาว อาจส่งผลให้ผู้ที่แพ้สารชนิดนี้เกิดอาหารแพ้ขั้นรุนแรง
2.กะหล่ำปลี เสี่ยงต่อการเกิดโรค นิ่วในไต คอหอยพอก ท้องอืด และแน่นท้อง
มีผลต่อระบบทางเดินอาหารและระบบย่อยอาหาร หากกินในปริมาณมากอาจทำให้ท้องอืดและแน่นท้อง การนำกะหล่ำปลีไปผ่านความร้อน นอกจากจะให้รสชาติและรสสัมผัสที่ดีเยี่ยม ยังพาประโยชน์ที่ดีต่อสุขภาพตีคู่กันมาโดยไม่รบกวนระบบทางเดินอาหารด้วย
3.บร็อคโคลี่ มีฮอร์โมนบางชนิดที่เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดโรคไทรอยด์
ผักชนิดนี้มีน้ำตาลที่ไปเพิ่มภาระให้ร่างกายย่อยยากมากขึ้น การปรุงสุกจะช่วยให้น้ำตาลที่มีอยู่ในผักสลายไปและย่อยได้ง่ายมากขึ้น หากใครที่มีปัญหาเกี่ยวกับต่อมไทรอยด์แนะนำให้หลีกเลี่ยง เพราะการกินบรอกโคลีดิบจะส่งผลทำให้ภาวะต่อมไทรอยด์แย่ลง
4.ผักโขม กรดในผักโขมจะขัดขวางการดูดซึมแคลเซียม และธาตุเหล็ก
ไม่เหมาะกับผู้ที่มีภาวะขาดแคมเซียมหรือธาตุเหล็ก เพราะผักโขมมีกรดออกซาลิกสูง ซึ่งเป็นสารที่จะไปขัดขวางการดูดซึมแคลเซียมและธาตุเหล็กของร่างกาย ทำให้ร่างกายไม่สามารถนำสารอาหารเหล่านี้ไปใช้ได้ แต่ผักโขมที่สุกจะช่วยเพิ่มสารต้านอนุมูลอิสระให้แก่ร่างกาย
5.ถั่วฝักยาว มีกรดอะมิโนที่เป็นอันตราย อาจส่งผลเสียต่อระบบย่อยอาหาร
ในถั่วฝักยาวดิบมี Glycoprotein, Lectin และสารพิษสะสมอยู่ในปริมาณสูง หากร่างกายได้รับมากเกินไปอาจส่งผลให้เกิดอาการเวียนหัว คลื่นไส้ และอาเจียน นอกจากนี้ยังมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ค่อนข้างสูง อาจทำให้ท้องอืด หรือท้องเสียได้
6.หน่อไม้ สารไซยาไนด์ในหน่อไม้จะทำให้ร่างกายขาดออกซิเจนจนหมดสติ และเสียชีวิต
ทางกระทรวงสาธารณสุขกล่าวว่าในหน่อไม้สดมี Cyanogenic glycoside สารที่สามารถเปลี่ยนเป็นไซยาไนด์ได้ ซึ่งสารชนิดนี้จะไปจับกับฮีโมโกลบิน ทำให้เกิดอาการขาดออกซิเจนจนหมดสติ และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ จะปลอดภัยกว่าหากนำหน่อไม้ไปผ่านความร้อนสัก 10 นาที
7.มันฝรั่ง มีสารโซลานีน ที่ก่อให้เกิดหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจล้มเหลว
มันฝรั่งดิบไม่เพียงแต่มีรสชาติไม่ดีเท่านั้น แต่ยังนำไปสู่ปัญหาทางเดินอาหารด้วย เพราะแป้งในมันฝรั่งดิบอาจทำให้ท้องอืดและมีแก๊สมาก นอกจากนี้ยังมีโซลานีนในปริมาณสูง ซึ่งเป็นสารพิษที่อาจทำให้เกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ หัวใจเต้นผิดจังหวะไปจนถึงหัวใจล้มเหลว และเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาดังกล่าวแนะนำให้นำไปอบ ผัด หรือปรุงมันฝรั่งก่อนรับประทาน
8.เห็ดทุกชนิด มีสารพิษปนเปื้อนอยู่มาก ทำให้คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด
แม้ว่าเห็ดบางชนิดจะสามารถรับประทานดิบๆ ได้ แต่อย่าคิดลองเลย เพราะอาจมีการปนเปื้อนของเชื้อแบคทีเรียบางชนิด แนะนำให้นำไปปรุงสุกก่อน เพื่อให้ได้รับสารอาหารและโพแทสเซียมเพิ่มมากขึ้น เช่น เห็ดย่าง ผัด หรือต้ม
9.แครอต ร่างกายจะดูดซึมสารเบต้าแคโรทีนได้น้อยลง ทำให้ฟันเสื่อมสภาพและฟันผุ
หากกินแครอตดิบในปริมาณมากจะขัดขวางการดูดซึมสารเบต้าแคโรทีนเข้าร่างกาย ควรนำไปปรุงสุกก่อนเพื่อให้ได้รับคุณค่าสารอาหารได้อย่างเต็มที่ อย่างไรก็ตามหากรับประทานมากเกินไปอาจทำให้ผิวเหลือง ฟันเสื่อมสภาพ หรือฟันผุ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ครั้งหนึ่งในชีวิต เช็คอิน กระท่อมซานตาคลอส พร้อมเรียนหลักสูตรการเป็นเอลฟ์
- คริสต์มาสนี้ Airbnb ชวนครอบครัวทั่วโลกลุ้นพักฟินดินแดนหิมะกับ กระท่อมซานตาคลอส ที่ประเทศฟินแลนด์
- Airbnb และเชิญผู้ที่สนใจมาสัมผัสกับประสบการณ์การเข้าพักช่วงเทศกาลคริสต์มาสที่ไม่เหมือนใคร ผู้ที่โชคดีจะได้ช่วยกันคัดแยกจดหมายจากเด็กๆ และผู้คนทั่วโลก ที่ส่งถึงลุงซานตา
คริสต์มาส 2023 นี้มีตำนาน ซานตาครอส และธรรมเนียมการเขียนจดหมายถึงลุงซานตาจากเด็กๆ ทั่วโลก แต่จะดีแค่ไหนหากเราได้มีโอกาสเข้าไปเห็นที่ทำการไปรษณีย์ซานตาครอส พร้อมช่วยเหล่าเอลฟ์ทำหน้าที่คัดแยกจดหมายถึงคุณลุงซานตา และนั่นก็เป็นที่มาของโปรเจ็กต์พิเศษจาก Airbnb ที่เตรียมเปิด กระท่อมซานตาคลอส ให้เข้าพักฟรีแบบเอ็กซ์คลูซีฟ 3 คืน ณ ที่ทำการไปรษณีย์ของซานตาคลอส เมืองโรวาเนียมิ ประเทศฟินแลนด์ พร้อมช่วยซานตานับจดหมายกว่า 30,000 ฉบับ
แคทเทีย หัวหน้าเอลฟ์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์หลักของซานตาคลอสและโฮสต์ Airbnbเล่าถึงความพิเศษของประสบการณ์การเข้าพักในครั้งนี้ว่า “ชาวเอลฟ์ทำงานทั้งวันทั้งคืนเพื่อเนรมิตกระท่อมของซานตาคลอสให้เป็นดินแดนมหัศจรรย์แห่งฤดูหนาวและพร้อมมอบประสบการณ์มหัศจรรย์สำหรับครอบครัวผู้โชคดีที่กำลังค้นหาสุดยอดประสบการณ์เทศกาลคริสต์มาส นอกจากนี้ ผู้เข้าพักจะได้รับชมเบื้องหลังการทำงานของที่ทำการไปรษณีย์อย่างเป็นทางการของซานตาคลอสในช่วงเวลาที่คึกคักที่สุดของปีอีกด้วย”
สำหรับแขกผู้โชคดีจะได้เข้าพักในกระท่อมของซานตาคลอสที่ได้ตกแต่งใหม่ในสไตล์แลปแลนด์ (Lapland) ที่ให้ฟีลเหมือนหลุดเข้าไปอยู่ในตำนานซานตาครอสของจริง ทั้งยังจะได้อบรมหลักสูตรเร่งรัดเรื่อง “การเป็นเอลฟ์” ทำหน้าที่จัดเรียงจดหมายจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งปีนี้คาดการณ์ว่าจะได้รับจดหมายจากเด็กๆ และผู้คนทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 30,000 ฉบับต่อวัน รวมทั้งทำการล้างกล่องจดหมาย ประทับตราไปรษณีย์พิเศษของอาร์กติก (Arctic Circle) ก่อนส่งจดหมายให้ซานตาคลอส พร้อมลิ้มลองอาหารท้องถิ่น นั่งสโนว์โมบิล (Snowmobile) ท่ามกลางหิมะสีขาวโพลนไปชมแสงเหนือ พิเศษกับประสบการณ์การอบซาวน่าแบบดั้งเดิมฉบับชาวฟินแลนด์
สำหรับผู้โชคดีจะได้เข้าพักและสัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ 3 คืน ตั้งแต่วันที่ 18-21 ธันวาคม 2566 โดยจะได้รับตั๋วเครื่องบินไป-กลับ ฟรี ระหว่างสนามบินลอนดอนฮีทโธรว์ และสนามบินโรวาเนียมิ สนับสนุนโดยสายการบิน Finnair ภายใต้โครงการ Visit Finland ซึ่งการเข้าพักในครั้งนี้เหมาะสำหรับผู้ใหญ่ 2 ท่าน และเด็ก 2 ท่าน รวมอาหารเช้าและดินเนอร์
Fact File
ใครอยากลุ้นรับประสบการณ์ครั้งหนึ่งในชีวิตที่ได้ทำงานร่วมกับหัวหน้าเอลฟ์ ณ ที่ทำการไปรษณีย์อย่างเป็นทางการของซานต้า เตรียมวอร์มมือและไปกดจองที่ airbnb.com/santa โดยจะเปิดให้จองเพียงวันเดียวคือ ในวันจันทร์ที่ 11 ธันวาคม 2566 นี้ เวลา 17.00 น. ตามเวลาประเทศไทย
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 12/12/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,450.00 | 33,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,167.00 | 32,851.72 | 34,050.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,950.30 | 29,566.55 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,733.60 | 26,281.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 975.00 | 14,781.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 758.00 | 11,491.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,246.00 | 34,049.36 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 12/12/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 34.75 | 34.75 | 35.25 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 | 34.75 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.98 | 32.98 | 33.48 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 | 32.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 32.64 | 32.64 | 33.14 | 32.64 | 32.64 | – | 32.64 | 32.64 | 32.64 | 32.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.79 | 32.79 | – | – | – | – | – | – | – | 32.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.54 | 46.44 | 47.34 | 46.44 | – | – | – | – | – | 42.54 |
เบนซิน 95 | 42.64 | – | – | – | 43.81 | – | 43.14 | 42.79 | – | 42.64 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 44.94 | 43.64 | 42.94 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |