Green Legal หนึ่งจิ๊กซอว์สู่ความยั่งยืน
ทุกวันนี้ถ้าองค์กรไหนไม่มีหรือไม่พูดถึงเรื่องของ “ความยั่งยืน” นี่จะถือว่า “ตกเทรนด์” มากเลย
อย่าเข้าใจผิดว่าผมมอง “ความยั่งยืน” เป็นแฟชั่น หรือเทรนด์ที่ใครก็ต้องวิ่งตาม ในทางตรงกันข้าม กลับเป็นเรื่องที่ได้รับการยอมรับโดยสากลแล้วว่า การให้ความสำคัญกับ 3 องค์ประกอบ คือ เศรษฐกิจ สังคม และ สิ่งแวดล้อม จะทำให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้แท้จริง ส่วนนโยบาย รายละเอียดปลีกย่อยจะเป็นอย่างไร ก็ขึ้นกับประเภทธุรกิจของแต่ละองค์กร
สำหรับธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ Green Legal เป็นจิ๊กซอว์สำคัญอีกตัวหนึ่งในโมเดล Total Green Real Estate Development-Services ซึ่งในภาพรวม คือ การยึดมั่นบนหลักการของ ESG (Environment, Social and Governance : สิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล) ภายใต้รายละเอียดทุกอย่างที่เกี่ยวข้องด้านกฎหมาย และการติดต่อกับหน่วยงานภายนอกองค์กร หนักแน่นในแนวทางการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชัน มีความโปร่งใส ตรวจสอบได้ในทุกกระบวนการ
แน่นอนว่ามีกระบวนการมากมายที่เกี่ยวข้องกับด้านกฎหมาย เป็นแกนกลางสำคัญของการอยู่ร่วมกันในสังคม กฎหมายที่ดำเนินมาเป็นสาธารณะ มีผลต่อทุกคน ทุกกระบวนการของงาน ของธุรกิจที่เกี่ยวข้องกันเป็นไป เป็นอยู่ทางสังคม เรียบร้อย สงบสุข ของส่วนรวม มิใช่เพื่อคนใดคนหนึ่ง
เราในฐานะผู้ประกอบการที่มีส่วนได้ส่วนเสียกับสังคมที่เราอยู่ เรายึดมั่นในการดำเนินการตามกฎหมาย กฎระเบียบต่างๆ ของสังคมอย่างเคร่งครัด โดยเริ่มที่ตัวเรา งานของเรา ก่อนเลยที่ต้องตั้งอยู่บนความถูกต้องตามข้อกำหนดกฎหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง ภายใต้เวลาที่กำหนดร่วมกันสำหรับทุกคน ก็จะทำให้ช่องว่างต่างๆ ลดลงไปอย่างมาก และไม่เป็นการเร่งรัดบีบคั้นให้การพิจารณาต่างมีปัจจัยกดดันเกิดขึ้นทั้งต่อตนเองและผู้ที่เกี่ยวข้อง ก็จะทำให้ปิดช่องโหว่แห่งสีสันเทาดำให้หายไปได้
ทั้งนี้ ในกระบวนการร่วมในงานเอกสารที่หน่วยงานต่างๆ ก็เริ่มให้การยอมรับในการประสานงานผ่านระบบดิจิทัลมากขึ้น เช่น การให้การสนับสนุนหน่วยงานราชการในโอกาสพิเศษต่างๆ ด้วยการจัดกิจกรรมทดแทนการให้ของขวัญ ของกำนัล ซึ่งในบางครั้งยังสามารถสอดแทรกความรู้เกี่ยวกับการดูแลสิ่งแวดล้อม หรือแนวทางเกี่ยวกับความยั่งยืนที่เข้าใจได้ง่ายๆ นำไปทำต่อเองได้ สร้างการรับรู้และเรียนรู้ให้กว้างออกไปอีก
แค่ตัวอย่างที่หยิบยกมา แต่จริงๆ แล้ว ถ้าแต่ละองค์กรมีความเข้าใจ และจริงจัง ทุกเรื่อง ทุกกระบวนการสามารถบริหารจัดการให้เข้าสู่จุดหมายแห่งความยั่งยืนได้หมด แต่ต้องมีการตั้งเป้าหมายที่วัดผลได้จริง มีเอกสารหลักฐานที่ตรวจสอบได้ตามหลักการที่โปร่งใส ตรวจสอบได้ และจะยิ่งดีขึ้นไปอีก หากได้มีการปรึกษา พูดคุย ประชุมร่วมกับหน่วยงานภายนอกเพื่อหาแนวทางในการสร้างความยั่งยืนร่วมกัน
เพราะที่สุดแล้ว “ความยั่งยืน” ที่เกิดขึ้นไม่เพียงแต่จะสร้างความเชื่อมั่น ปั้นยอดขายให้กับองค์กรเท่านั้น แต่ยังสร้างสังคมที่งดงามและโลกที่น่าอยู่ให้กับลูกหลานของเราในอนาคตอีกด้วยครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
คอนโดพัทยาจ่อโอเวอร์ซัพพลาย!สต็อกสะสมพุ่ง ครึ่งปีแห่เปิด6.9พันยูนิต
- อานิสงส์จากสถานการณ์การท่องเที่ยวของเมืองพัทยาคึกคักขึ้นส่งผลดีต่อตลาดคอนโดมิเนียมกลับมาฟื้นตัว
- กลายเป็น “ทำเลทอง” ในการเปิดตัวโครงการใหม่ของดีเวลลอปเปอร์จากกรุงเทพฯ และทุนท้องถิ่น
- สะท้อนจากยอดการเปิดตัวช่วงครึ่งแรกของปี 2567 มีจำนวน 6,900 ยูนิต มูลค่า 21,000 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 3 ปี
- ขณะที่ยังมีซัพพลายเดิมอยู่มีแนวโน้มคอนโดในพัทยาจะกลับมาโอเวอร์ซัพพลาย!
ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย กล่าวว่า ภาพรวมตลาดคอนโดมิเนียมในจังหวัดชลบุรีครึ่งแรกของปี 2567 ที่ผ่านมา มีจำนวน 8,700 ยูนิต คิดเป็นมูลค่า 25,700 ล้านบาท เฉพาะ “พัทยา” มีการเปิดตัว 9 โครงการ 6,997 ยูนิต มูลค่า 21,200 ล้านบาท สูงสุดในรอบ 3 ปี เป็นโครงการพัฒนาโดยคนไทย 5 โครงการ ต่างชาติ 4 โครงการ ซึ่งเป็นกลุ่มที่พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในพัทยามานานแล้ว เมื่อเทียบช่วงครึ่งแรกปี 2566 มีการเปิดตัวโครงการใหม่ 3,000 ยูนิต มูลค่า 15,000 ล้านบาท
ทั้งนี้ มีบริษัทอสังหาริมทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ หลายรายเข้ามาพัฒนาโครงการใหม่ในพัทยาอย่างต่อเนื่อง อาทิ แอสเซทไวส์ ออริจิ้น แสนสิริ ฮาบิแทท กรุ๊ป ฯลฯ เพราะเล็งเห็น “โอกาส” ในการขายกลุ่มลูกค้าต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง โดยก่อนหน้านี้ ลูกค้าชาวจีนเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียม ดิ ออริจิ้น พัทยา ยกตึก! สะท้อนให้เห็นดีมานด์ลูกค้าต่างชาติอย่างชัดเจน และลูกค้าในตลาดพัทยายังมีความหลากหลายมากกว่าภูเก็ต มีทั้งลูกค้าไทย จีน รัสเซีย ฝรั่งเศส
ขณะที่แสนสิริ เข้ามารุกคอนโดมิเนียมโซนนิคมอุตสาหกรรม ภายใต้แบรนด์ “เวย์” เป็นโครงการโลว์ไรส์ ติดนิคมอุตสาหกรรมอมตะนคร และถนนใหญ่ ราคาเริ่มต้น 990,000 บาท รวมทั้งขยายไปโซนบางแสน พัทยาเหนือ มียอดขายดีจากกลุ่มคนที่เข้ามาทำงานและซื้อเพื่อลงทุนปล่อยเช่า
ซึ่งดีมานด์คอนโดมิเนียมในพัทยาส่วนหนึ่งมาจากแฟนคลับของดีเวลลอปเปอร์จากกรุงเทพฯ ไม่ว่าจะเป็นแสนสิริ ออริจิ้น แอสเซทไวส์ เข้าไปซื้อเพื่อลงทุน
“แม้ตลาดคอนโดมิเนียมพัทยาจะฟื้นตัว จาก 10 ปีที่ผ่านมามีซัพพลาย 16,000 ยูนิต ทำให้เกิดโอเวอร์ซัพพลาย! จากนั้นตลาดลดลงเหลือกว่า 1,000 ยูนิต แต่ปัจจุบันซัพพลายเริ่มกลับเข้ามามากขึ้นอีกครั้ง เกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายสะสม ซึ่งตลาดพัทยาไม่ควรเปิดใหม่ต่อปีเกินกว่า 4,000 ยูนิต แต่ครึ่งแรกปีนี้เปิดไปแล้ว 6,997 ยูนิต”
ภัทรชัย กล่าวต่อว่า ตลาดคอนโดมิเนียมเมืองท่องเที่ยวส่วนใหญ่พึ่งพากำลังซื้อต่างชาติเป็นหลัก เทียบคนไทยซื้อเป็นบ้านหลังที่สองมีไม่มากนัก ดังนั้น การเปิดโครงการใหม่จึงต้องระมัดระวัง เพราะใช้เวลาระบายออกนาน รายใหญ่อย่าง แสนสิริ ปีนี้เปิดตัว 3-4 โครงการ ไม่นับ ออริจิ้น แอสเซทไวส์ ถือเป็นการเติมซัพพลายที่คงค้างในตลาดมากขึ้น จึงต้องระวังเกิดปัญหาโอเวอร์ซัพพลายจากซัพพลายใหม่!
การสำรวจยังพบว่ามี “Branded Residence” ลักชัวรี เปิดตัวในทำเลจอมเทียน หลายโครงการ อาทิ Skypark Lucean คอนโดมิเนียมหรูวิวทะเลทุกยูนิต ของ ลูนิค เรียลเอสเตท ร่วมกับบันยัน ทรี กรุ๊ป
โดยก่อนหน้านี้ “แสนสิริ” ได้ที่ดินหน้าหาดเพื่อพัฒนาโครงการ หากเป็นคอนโดมิเนียมเป็นเซ็กเมนต์ซูเปอร์ลักชัวรี ราคาไม่ต่ำกว่า 250,000 บาทต่อตร.ม. ซึ่งก่อนหน้านี้มีโครงการอารมณ์ ของกลุ่มคราฟเวิร์ค ราคาไม่ต่ำกว่า 250,000 บาทต่อตร.ม. โดยยอดขายคอนโดมิเนียม Branded Residence ในพัทยาสูงถึง 75% ขณะที่ยอดขายในตลาดเฉลี่ยอยู่ที่ 45% ส่วนใหญ่ราคาเฉลี่ย 100,000 บาทต่อตร.ม.
สำหรับกลุ่มเป้าหมายคอนโดมิิเนียมหรูที่เป็นคนไทยจะเป็นนักธุรกิจ บุคคลากรทางการแพทย์ เซเลบริตี้ซื้อไว้เป็นสินทรัพย์ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ที่ต้องการมีคอนโดมิเนียมวิวทะเล ส่วนต่างชาติ ที่นิยมซื้อเป็นชาวจีน รัสเซีย ยุโรป ฮ่องกง อเมริกา ซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง และอีกกลุ่มซื้อเพื่อลงทุน
เฉลิมพล โขนแจ่ม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท คราฟเวิร์ค จำกัด ผู้พัฒนาโครงการอารมณ์ กล่าวว่า ขณะนี้ตลาดคอนโดมิเนียมในพัทยาเริ่มฟื้นตัว โดยเฉพาะตลาดหรู ราคา 150,000-300,000 บาทต่อตร.ม. กลุ่มลูกค้าไม่มีปัญหาในการขอสินเชื่อ รวมทั้งลูกค้าชาวต่างชาติที่ต้องการซื้อเป็นบ้านหลังที่สอง
ปัจจุบัน โครงการ อารมณ์ วงศ์อมาตย์ คอนโดมิเนียมสูง 55 ชั้น รวม 319 ยูนิต มองเห็นวิวทะเลพัทยาทุกยูนิต เหลือจำนวนห้องไม่เกิน 5% ส่วน อารมณ์ จอมเทียน สูง 45 ชั้น มูลค่ากว่า 2,000 ล้านบาท เหลือจำนวนห้อง 10%
กรมเชษฐ์ วิพันธ์พงษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า บริษัทมองเห็นโอกาสทำตลาดในพัทยาจับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่มีกำลังซื้อสูง ซึ่งที่ผ่านมาดีเวลลอปเปอร์จากกรุงเทพฯ เน้นเจาะลูกค้าท้องถิ่นหรือคนกรุงเทพฯ ที่ต้องการที่พักในพัทยาเป็นหลัก
“เรามองเห็นช่องว่างทางการตลาด โดยพัฒนาโครงการ อควารัส จอมเทียน พัทยา มูลค่า 4,500 ล้านบาท รองรับดีมานด์รัสเซีย ยุโรป และจีน ราคา 150,000 บาทต่อตร.ม. คาดเปิดตัวไตรมาสสุดท้ายนี้”
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้12ก.ย. “อ่อนคค่า” ที่ระดับ 33.81 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยต่างๆ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-34.00 บาท/ดอลลาร์ ควรระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้12ก.ย. 2567 ที่ระดับ 33.81 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.69 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท แม้ว่า เงินบาทจะเริ่มทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวลดลงของราคาทองคำ (หนุนให้ผู้เล่นในตลาดทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลง)
แต่เราอาจยังไม่มั่นใจได้ว่า เงินบาทจะพลิกกลับไปอ่อนค่าลงได้ชัดเจน จนกว่าจะเห็นการอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 34.00 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งโซนดังกล่าวได้กลายมาเป็นโซนแนวต้านสำคัญของเงินบาทในระยะสั้น และหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้จริง ก็มีโอกาสอ่อนค่าลงต่อทดสอบโซน 34.20-34.30 บาทต่อดอลลาร์
อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า บรรยากาศในตลาดการเงินที่เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงอาจช่วยหนุนบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้บ้าง โดยเงินบาทอาจพอได้แรงหนุนจากแรงซื้อสินทรัพย์ไทยของบรรดานักลงทุนต่างชาติ โดยเฉพาะในจังหวะที่ ดัชนีหุ้นไทย (SET Index) มีจังหวะย่อตัวลงเข้าสู่โซนแนวรับเชิงเทคนิคัล
นอกจากนี้ โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจชะลอลงได้ ตามการทยอยขายเงินดอลลาร์ของบรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะผู้ส่งออก ทั้งนี้ เรามองว่า ตลาดค่าเงินก็อาจยังไม่มีการเคลื่อนไหวที่ชัดเจนมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอลุ้นผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งสหรัฐฯ ทำให้เงินบาทก็อาจแกว่งตัวในกรอบ sideways ระหว่าง 33.70-33.90 บาทต่อดอลลาร์ ไปก่อนได้
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงหลังตลาดรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ เพราะหาก ECB ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยต่อเนื่อง ซึ่งอาจสะท้อนแนวโน้มการลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ก็อาจกดดันให้เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงได้ในระยะสั้น
ขณะเดียวกัน หากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ไม่ได้ชะลอตัวลงตามคาด รวมถึง ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ยังคงสะท้อนภาพตลาดแรงงานสหรัฐฯ ที่ไม่ได้ชะลอลงหนัก ก็อาจยิ่งทำให้ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ซึ่งจะช่วยหนุนการปรับตัวขึ้นบ้างของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ กดดันราคาทองคำและเงินบาทได้
เรายังคงมองว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.50-34.00 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลง (แกว่งตัวในกรอบ 33.64-33.86 บาทต่อดอลลาร์) ตามจังหวะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
ซึ่งส่งผลกดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงราว -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ของเฟดในการประชุมที่เหลือของปีนี้ลงบ้าง จากรายงานอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI เดือนสิงหาคม ที่ไม่ได้ชะลอลงตามคาด
โดยโมเมนตัมอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI (%m/m) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ +0.3% สูงกว่าที่ตลาดประเมินไว้ +0.2% อย่างไรก็ดี โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง หลังราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นบ้าง
ขณะเดียวกันผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็อาจใช้จังหวะเงินบาทอ่อนค่าลงใกล้โซนแนวต้านแรกแถว 33.80-33.90 บาทต่อดอลลาร์ ในการทยอยขายเงินดอลลาร์หรือขายทำกำไรสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่าลง)
บรรยากาศในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ แม้ว่าบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะทยอยปรับตัวขึ้นตามการปรับลดความคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดก็ตาม โดย Nvidia +8.2% จากความหวังว่าทางการสหรัฐฯ อาจเปิดทางให้บริษัทสามารถส่งออกชิปประสิทธิภาพสูงให้กับทางซาอุดิอาระเบีย ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้บรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor ต่างปรับตัวขึ้น ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq พุ่งขึ้น +2.17% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +1.07%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง แม้ว่าตลาดหุ้นยุโรปจะพอได้แรงหนุนจากการรีบาวด์ขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่ม AI/Semiconductor อาทิ ASML +3.8% ตามการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มดังกล่าวในฝั่งสหรัฐฯ รวมถึงความหวังต่อการลดดอกเบี้ยของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันพฤหัสฯ นี้ แต่ตลาดหุ้นยุโรปก็ยังเผชิญแรงขายหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมรวมถึงหุ้นกลุ่มธนาคารกดดันภาพรวมของตลาด
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน แต่โดยรวมปรับตัวขึ้นราว +5bps สู่ระดับ 3.65% หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI ของสหรัฐฯ เดือนสิงหาคม ที่ไม่ได้ชะลอตัวลงชัดเจนตามคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง
ขณะเดียวกัน บรรยากาศในตลาดการเงินก็เริ่มกลับมาเปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจขายทำกำไรสถานะถือครองบอนด์ระยะยาวได้ (หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอสมควรในช่วงระยะสั้น)
ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่อาจผันผวนสูงขึ้นได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด (มองว่า เฟดอาจไม่รีบลดดอกเบี้ยมากเท่าที่ตลาดประเมิน) ซึ่งต้องรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ
รวมถึง คาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ของเฟด (Dot Plot) โดยเราคงเน้นกลยุทธ์ “Buy on Dip” หรือรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ในการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะถือครองบอนด์ระยะยาวอยู่แล้วนั้น ก็สามารถ Let Profits Run หรืออาจพิจารณาทยอยขายทำกำไรได้บ้าง ตามความเหมาะสม (Sell on Rally)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 101.8 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.3-101.8 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดลงบ้าง ได้หนุนให้ทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีจังหวะปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงเกือบ -20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนที่จะรีบาวด์ขึ้นได้บ้าง เข้าใกล้ระดับ 2,540 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่การประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ที่จะทยอยรับรู้ในช่วงราว 19.15 น. ตามเวลาประเทศไทย โดยเราประเมินว่า ECB จะปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) -25bps สู่ระดับ 3.50% และมีโอกาสที่ทาง ECB อาจส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ซึ่งต้องรอจับตาถ้อยแถลงของประธาน ECB ในช่วง press conference ราว 19.45 น. อย่างใกล้ชิด
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเงินเฟ้อสหรัฐฯ โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อ PCE ที่เฟดใช้ประเมินภาพแนวโน้มเงินเฟ้อเป็นหลัก ผ่านรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนสิงหาคม พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) เพื่อติดตามสภาวะตลาดแรงงานสหรัฐฯ
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.76-33.78 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.31 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.65 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทอ่อนค่าลงสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ขณะที่เงินดอลลารฯ ยังคงได้รับแรงหนุนให้ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องจากการที่ตลาดประเมินว่า เฟดมีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพียง 25 basis points ในการประชุมวันที่ 17-18 กันยายนนี้ หลังการรายงานข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ เมื่อคืนที่ผ่านมา เพราะอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้นมากกว่าที่คาด โดยเพิ่ม 0.3% MoM ในเดือนส.ค. (ตลาดคาดที่ 0.2% MoM)
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.65-33.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในเอเชีย ผลการประชุม ECB ตลอดจนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนส.ค.
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกับ ข้อเข่า อย่างไรบ้าง
ผู้ที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน หรือ อยู่ในภาวะโรคอ้วน จะมีแรงกดที่ข้อเข่ามากขึ้นถึง 3-4 เท่าของน้ำหนักตัวขณะเดิน ซึ่งทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการบาดเจ็บของข้อเข่า เช่น อาการปวดเข่า ข้อเข่าติด หรือการใช้งานข้อเข่าได้ไม่เต็มที่ นอกจากนี้ ภาวะน้ำหนักตัวเกินยังเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังต่างๆ เช่น โรคหัวใจ หลอดเลือดสมอง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง และโรคข้อเข่าเสื่อม
นพ.กฤษกมล สิทธิทูล แพทย์ผู้เชี่ยวชาญสาขาศัลยศาสตร์ออร์โธปิดิกส์ โรงพยาบาลสมิติเวช สุขุมวิท ระบุว่า เนื่องจากข้อเข่าเป็นข้อต่อที่มีการเคลื่อนไหวแทบจะตลอดเวลา และยังต้องแบกรับน้ำหนักของร่างกายเราด้วย จึงสามารถพบปัญหาหรือความผิดปกติที่ข้อเข่าได้บ่อยๆ ความผิดปกติที่ข้อเข่านั้นมีหลากหลายรูปแบบ เช่น อาการปวดเข่า ข้อเข่าติด ข้อเข่าไม่มั่นคง หรือการใช้งานเข่าได้ไม่เหมือนเดิม ความผิดปกติเหล่านี้เกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น การใช้งานซ้ำๆ หรือการใช้งานอย่างหนักในนักกีฬา ลักษณะของงานที่มีการยกของหนัก ยืนหรือเดินเป็นเวลานานๆ การอักเสบในข้อเข่า และการเสื่อมตามธรรมชาติ แต่มีหนึ่งสาเหตุหลักที่ส่งผลให้เกิดความผิดปกติในข้อเข่าเหล่านี้ คือ การที่มีน้ำหนักตัวมากเกินเกณฑ์มาตรฐาน
มีรายงานพบถึงความสัมพันธ์ของการเกิดอาการปวดเข่ากับน้ำหนักตัวที่เกินเกณฑ์มาตรฐาน และอาการปวดนี้แสดงให้เห็นได้ชัดมากขึ้นในกลุ่มคนที่เป็นโรคอ้วน หากปล่อยไว้นานๆ จะทำให้เกิดอาการปวดเรื้อรังและทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมาได้ อีกทั้งยังมีการศึกษาพบอีกว่า การมีน้ำหนักตัวที่มากเกินไปหรือเป็นโรคอ้วน จะไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดความเสื่อมของข้อมือ ข้อสะโพก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ความเสื่อมของข้อเข่าได้อีกด้วย
น้ำหนักตัวเท่าไหร่ ถึงเรียกว่าพอดี?
ค่าดัชนีมวลกาย หรือ Body Mass Index (BMI) เป็นค่าที่ใช้ชี้วัดว่าร่างกายมีความสมดุลกันของน้ำหนักตัวเทียบกับส่วนสูงหรือไม่ โดยสามารถใช้เป็นเกณฑ์ในการคัดกรองผู้ที่มีน้ำหนักต่ำกว่ามาตรฐาน เกินเกณฑ์มาตรฐาน หรือเป็นโรคอ้วนได้ ในผู้ใหญ่ที่มีอายุ 20 ปีขึ้นไป ดังนี้
- ค่า BMI น้อยกว่า 18.5 แสดงว่า น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์น้ำหนักน้อยหรือผอม
- ค่า BMI 18.5 – 22.90 แสดงว่า น้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ
- ค่า BMI 23.0 – 27.5 แสดงว่า น้ำหนักเกินเกณฑ์มาตรฐาน
- ค่า BMI มากกว่า 27.5 แสดงว่า เป็นโรคอ้วน
น้ำหนักที่เพิ่มขึ้น ส่งผลกับข้อเข่าอย่างไร
เกิดแรงกระทำต่อข้อเข่ามากขึ้น
รวมถึงผิวกระดูกอ่อน (Cartilage) ที่หุ้มข้อเข่าด้วยเ จริงๆ แล้วข้อเข่านั้นรับน้ำหนักของเราได้มากถึง 3-4 เท่าของน้ำหนักตัวเราขณะเดิน หากมีน้ำหนักตัว 80 กก จะเทียบเท่ากับข้อเข่านั้นรับน้ำหนักมากถึง 240-320 กิโลกรัมขณะเดิน และจะรับน้ำหนักมากยิ่งขึ้นเมื่อทำกิจกรรมอื่นๆ เช่น เดินขึ้นลงบันได หรือย่อตัวลงเก็บของ ดังนั้น หากมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น 10 กิโลกรัม ก็จะยิ่งเพิ่มแรงกระทำต่อข้อเข่ามากขึ้น 30-40 กิโลกรัม ในทุกก้าวที่เดิน ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดอาการปวดมากขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดข้อเข่าเสื่อมที่มากขึ้นด้วย ในทางกลับกัน หากเราลดน้ำหนักลง 1 กิโลกรัม ก็จะลดแรงกระทำต่อข้อเข่าลง 3-4 เท่าหรือ 3-4 กิโลกรัม หากลด 10 กิโลกรัม ก็เท่ากับลดแรงกระทำต่อข้อเข่าได้มากถึง 30-40 กิโลกรัม ในทุกก้าวของการเดิน เมื่อแรงกระทำต่อข้อเข่าลดลง ก็ส่งผลให้อาการปวดและอาการอักเสบของข้อเข่าลดลง ข้อเข่าทำงานได้ดียิ่งขึ้น จากแรงกระทำของน้ำหนักตัวต่อข้อเข่านี้ จะเห็นได้ว่า คนที่มีน้ำหนักตัวมากกว่าปกติ นั้นถือว่าเป็นคนที่ใช้งานข้อเข่าหนักด้วยเช่นกัน
เกิดการอักเสบของข้อเข่า
โรคอ้วนจะไปเพิ่มการอักเสบของร่างกายมากขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เกิดอาการปวดตามข้อต่อ การลดน้ำหนักจึงช่วยลดกระบวนการอักเสบเหล่านี้ได้ จากการศึกษาพบว่า ผู้ที่ลดน้ำหนักได้ประมาณ 1 กิโลกรัมต่อเดือน ติดต่อกันเป็นเวลา 3 เดือน – 2 ปี พบว่า กระบวนการอักเสบในร่างกายนั้นลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้อาการปวดตามข้อต่อ เช่น ข้อเข่า นั้นลดลงตามไปด้วย นอกจากนั้นแล้ว เซลล์ไขมันที่มีมากเกินไปก็ส่งผลต่อสารเคมีในเลือดที่มีผลต่อการอักเสบของข้อเข่า ทำให้เกิดอาการข้อเข่าเสื่อมเร็วขึ้นอีกด้วย
นอกจากข้อเข่าแล้ว การที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ยังไปเพิ่มความเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลร้ายกับสุขภาพมากมาย เช่น โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง และโรคข้อเข่าเสื่อม
เทคนิคการลดน้ำหนัก ลดความกังวลเรื่องข้อเข่าเสื่อม
เพื่อหลีกเลี่ยงอาการผิดปกติต่างๆ ของข้อเข่าที่เกิดจากการมีน้ำหนักมากจนเกินไป จึงควรควบคุมน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน ซึ่งการควบคุมน้ำหนักนั้นสามารถทำได้โดยการออกกำลังกายที่เหมาะสม ควบคู่ไปกับการควบคุมอาหาร โดยการรับประทานอย่างถูกต้องตามหลักโภชนาการ มีประโยชน์ และมีสารอาหารครบ 5 หมู่ ทั้งนี้ มีรายงานว่า การลดลงของน้ำหนักตัวจะช่วยลดแรงกระทำต่อข้อเข่าลง ส่งผลให้ความผิดปกติในข้อเข่าและภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ลดลง รวมถึงโอกาสในการเกิดอาการข้อเข่าเสื่อมก็ลดลงได้ด้วย
การออกกำลังกาย
- อาจเริ่มจากการออกกำลังกายที่ไม่มีแรงกระแทกต่อข้อเข่าก่อน เช่น เดินเร็ว ว่ายน้ำ เป็นต้น ซึ่งเป็นการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ เพื่อช่วยให้ร่างกายเผาผลาญไขมัน และช่วยเพิ่มความทนทาน (endurance) ให้กับร่างกาย ทำให้สามารถออกกำลังกายได้นานขึ้น
- เมื่อเริ่มออกกำลังกายได้ดีขึ้น ร่างกายเริ่มมีความทนทานมากขึ้น และน้ำหนักตัวเริ่มลดลง อาจจะเริ่มออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอประเภทอื่น เช่น วิ่งเหยาะๆ เต้นแอโรบิก ว่ายน้ำ ปั่นจักรยาน ควบคู่ไปกับการออกกำลังกายแบบมีแรงต้านให้กล้ามเนื้อ ได้แก่ การทำ weight training เช่น การออกกำลังกายเพื่อเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อรอบข้อเข่าและกล้ามเนื้อต้นขา กล้ามเนื้อที่แข็งแรงจะช่วยพยุงข้อเข่าและถ่ายเทน้ำหนักจากข้อเข่ามาที่กล้ามเนื้อได้ดี ข้อเข่าจึงไม่ต้องรับน้ำหนักมากจนเกินไป สลับกับการทำ weight training กับร่างกายส่วนอื่นๆ ทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยเผาผลาญไขมันและเสริมสร้างกล้ามเนื้อโดยเกิดการสูญเสียกล้ามเนื้อน้อยที่สุด
- แนะนำให้ทำการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ (Stretching exercise) หลังการออกกำลังกายทุกครั้ง เพื่อให้กล้ามเนื้อมีความยืดหยุ่น เพิ่มองศาการเคลื่อนไหวของข้อต่อ และมีความสมดุลของกล้ามเนื้อทุกส่วนเท่าๆ กัน
การควบคุมปริมาณอาหาร
ไม่ควรอดอาหาร แต่ให้ควบคุมการรับประทานอาหารอย่างเหมาะสมและถูกวิธี โดยรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ ทานผักใบเขียว 40-50% ของมื้ออาหาร ทานโปรตีนดี เช่น อกไก่ เนื้อปลา เนื้อสัตว์ไม่ติดมัน ไข่ต้ม ลดอาหารแปรรูป เช่น ไส้กรอก แฮม กุนเชียง แหนม ทานแป้งที่ไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ขนมปังโฮลวีท ลดการทานแป้งขัดขาว งดของหวาน น้ำตาล เครื่องดื่มที่มีน้ำตาล
ไม่ตั้งเป้าหมายการลดน้ำหนักไว้สูงจนเกินไป
เริ่มแรกอาจจะตั้งเป้าหมายไว้ที่ 5% ของน้ำหนักตัวก่อน เพื่อให้สามารถบรรลุเป้าหมายได้ง่ายขึ้น และมีกำลังใจที่จะทำต่อไปได้อย่างสม่ำเสมอ ทั้งนี้ มีการศึกษาพบว่า การลดน้ำหนักลง 5% ของน้ำหนักตัวหรือมากกว่านั้น ช่วยให้เกิดผลดีกับการทำงานของข้อเข่า และลดอาการปวดได้อีกด้วย
นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
การนอนไม่พอส่งผลให้มีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้น โดยมีการศึกษาในปี 2004 พบว่าคนที่นอนน้อยกว่า 6 ชั่วโมงต่อคืน มีแนวโน้มที่จะอ้วนเพิ่มขึ้นมากถึง 30 % เมื่อเทียบกับคนที่นอนหลับ 7-9 ชั่วโมง ล่าสุดพบว่ามีความสัมพันธ์กันระหว่างการนอนหลับและฮอร์โมนที่ควบคุมการหิวที่ชื่อ “Ghrelin” และ ฮอร์โมนที่ส่งสัญญาณความอิ่มให้สมองและควบคุมความอยากอาหารที่ชื่อ “Leptin” โดยการนอนที่ลดลงมีผลต่อการลดลงของ Leptin และส่งผลต่อการเพิ่มขึ้นของ Ghrelin ดังนั้นการนอนที่เพียงพอก็เป็นอีกหนึ่งตัวช่วยให้สามารถควบคุมน้ำหนักได้ดีขึ้น และลดปัญหาที่ข้อเข่าลงได้
การเลือกรับประทานอาหารที่ถูกหลักโภชนาการและออกกำลังกายที่เหมาะสม รวมถึงนอนหลับอย่างมีคุณภาพและเพียงพอ จะช่วยให้น้ำหนักค่อยๆ ลดลง อาการผิดปกติต่างๆ ที่เกิดกับข้อเข่าก็จะน้อยตามลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม หากลดน้ำหนักลงแล้ว อาการผิดปกติที่ข้อเข่า เช่น ปวดเข่า เข่ายึดติด หรือการใช้งานไม่เหมือนเดิมนั้นยังไม่ดีขึ้น แนะนำให้ปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาที่ถูกต้องและเหมาะสมต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“เมย์-หมิว-ครีม” พาเหรดเข้ารอบสองแบดมินตันฮ่องกง โอเพ่น
การแข่งขันแบดมินตัน หลี่หนิง ฮ่องกง โอเพ่น 2024 รายการระดับเวิลด์ทัวร์ ซูเปอร์ 500 ชิงเงินรางวัลรวม 420,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 14,280,000 บาท ที่ฮ่องกง โคลิเซียม ในเกาลูน เขตบริหารพิเศษฮ่องกง เมื่อวันพุธที่ 11 ก.ย.67 ที่ผ่านมา เป็นการแข่งขันในรอบแรก
ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก “เมย์” รัชนก อินทนนท์ มืออันดับ 20 ของโลก พบกับ ชูว ปินเชียน มืออันดับ 40 ของโลกจากไต้หวัน
เกมนี้ เมย์ รัชนก เล่นได้ตามฟอร์มของตนเอง เอาชนะไปได้ขาดลอย 2 เกมรวด 21-11 และ 21-8 “เมย์” รัชนก ผ่านเข้ารอบสองไปรอพบผู้ชนะระหว่าง เกรกลอเลีย มาริสก้า ตุนจุง มือวางอันดับ 4 ของรายการ มืออันดับ 7 ของโลกจากอินโดนีเซีย หรือ ลี หยูซวน มืออันดับ 99 ของโลกจากไต้หวัน
ส่วน “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มือวางอันดับ 6 ของรายการ มืออันดับ 12 ของโลก เอาชนะ จูเลีย ดาเวล จาคอบเซ่น มืออันดับ 38 ของโลกจากเดนมาร์ก 2-1 เกม 21-12 , 15-21 และ 21-16 ครีม บุศนันทน์ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ เหยา เจียมิน มืออันดับ 18 ของโลกจากสิงคโปร์ ที่เอาชนะ “พิงค์” พิชฌามลณ์ โอภาสนิพัทธ์ มืออันดับ 106 ของโลก มาได้ 2-1 เกม 23-21,18-21 และ 21-16
ด้าน “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มืออันดับ 16 ของโลก เอาชนะ เมียร์ บลิทเฟลดท์ มืออันดับ 34 ของโลกจากเดนมาร์ก ไปได้ 2-0 เกม 21-12 และ 22-20 “หมิว” พรปวีณ์ ผ่านเข้ารอบสองไปพบกับ โคมัง อายู คาย่า เดวี่ มืออันดับ 46 ของโลกจากอินโดนีเซีย ที่เอาชนะ ทันย่า เฮมันต์ มืออันดับ 73 ของโลกจากอินเดีย มาได้ 2-0 เกม 21-16 23-21
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
Any ใช้กับอะไร ใช้ยังไงถึงจะถูกหลักภาษา แบบเข้าใจง่าย
หลาย ๆ คนที่เรียนภาษาอังกฤษมาคงอาจจะเคยเห็นคำศัพท์ตัวหนึ่งอยู่ตลอด นั่นก็คือ Any ซึ่ง Any เป็นคำสรรพนามใช้ระบุปริมาณที่ไม่แน่นอนในภาษาอังกฤษ ซึ่งใช้คล้ายกับ Some แต่ส่วนใหญ่นั้น Any มักจะถูกใช้กับประโยคคำถามและปฏิเสธ โดยตำแหน่งของ Any นั้น จะถูกวางไว้หน้าคำนามพหูพจน์ หรือนามนับไม่ได้ ในบทความนี้ Engduo Thailand จะพูดถึง Any ว่ามีความหมายว่าอะไร ใช้อย่างไร พร้อมกับประโยคตัวอย่างที่สามารถเข้าใจได้ง่ายมาให้ดูกัน
ความหมายของ Any
1. Any แปลว่า บ้าง
เช่น
- มีน้ำเหลือบ้างมั้ย = Is there any water left?
- คุณได้จดบันทึกบ้างมั้ย = Have you taken any notes?
- คุณได้อ่านหนังสือบ้างมั้ย = Have you read any books?
- คุณจับปลาได้สักตัวบ้างมั้ย = Did you catch any fishes?
2. Any แปลว่า ไม่เลย
เช่น
- ช่วงนี้ฉันไม่ได้ดูข่าวโทรทัศน์เลย = I haven’t watched any TV news recently.
- ฉันมองหาถังขยะแต่มันไม่มีเลย = I looked around for the trash can but there wasn’t any.
- ฉันจับปลาไม่ได้สักตัวเลย = I didn’t catch any fish.
- ฉันไม่เห็นนกสักตัวเลย = I didn’t see any birds.
3. Any แปลว่า อันไหนก็ได้
เช่น
- เขารวย เขาสามารถซื้อรถแพงๆคันไหนก็ได้ = He is rich. He can buy any expensive car.
- คุณสามารถเลือกของแถมอันไหนก็ได้ = You can choose any of these free gifts.
- เธอผิวขาว เธอสามารถทำผมสีอะไรก็ได้ = She is white, she can dye her hair any color.
การใช้ Any ในโครงสร้างประโยค
1. การใช้ Any ในประโยคคำถาม
Any ในประโยคคำถามสามารถใช้นำหน้าคำนามพหูพจน์ทั้งแบบนับได้และนับไม่ได้ เช่น
- Do you have any questions? คุณมีคำถามอะไรอีกบ้างหรือเปล่า?
(วาง any หน้า questions ที่เป็นคำนามพหูพจน์)
- Have you read any books? คุณได้อ่านหนังสือบ้างมั้ย
(วาง any หน้า books ที่เป็นคำนามพหูพจน์)
- Is there any sugar in the jar? มีน้ำตาลอยู่ในโหลบ้างไหม
(วาง any หน้า sugar ที่เป็นคำนามนับไม่ได้)
2. การใช้ Anyในประโยคปฏิเสธ
Any ในประโยคปฏิเสธ จะมีความหมายว่า “เลย” โดยให้ความหมายการปฏิเสธแบบสิ้นเชิง เช่น
- I don’t have any questions. ฉันไม่มีคำถามอะไรเลย
(วาง any หน้า questions ที่เป็นคำนามพหูพจน์ ในประโยคปฏิเสธ)
- I haven’t read any books. ฉันไม่ได้อ่านหนังสืออะไรเลย
(วาง any หน้า books ที่เป็นคำนามพหูพจน์ ในประโยคปฏิเสธ)
- There is not any sugar in the jar. ไม่มีน้ำตาลอยู่ในโหลเลย
(วาง any หน้า sugar ที่เป็นคำนามนับไม่ได้ ในประโยคปฏิเสธ)
3. การใช้ Any ในประโยคบอกเล่า
Any ในประโยคบอกเล่า จะให้ความหมายว่า “อะไรก็ได้” เช่น
- Today, I’m home all day. You can come to my house any time. วันนี้ฉันอยู่บ้านทั้งวันเธอจะมาหาฉันที่บ้านกี่โมงก็ได้
(วาง any หน้า time ที่เป็นคำนามนับไม่ได้)
- You can grab any drinks in the refrigerator. คุณสามารถหยิบเครื่องดื่มอะไรในตู้เย็นก็ได้
(วาง any หน้า drinks ที่เป็นคำนามพหูพจน์)
- You can choose any shoes in my cupboard. คุณสามารถเลือกรองเท้าคู่ไหนในตู้ก็ได้
(วาง any หน้า shoes ที่เป็นคำนามพหูพจน์)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เปิดตัว Google One Lite เพิ่มพื้นที่ขนาด 30GB ในราคา 24 บาทต่อเดือน เริ่มใช้ในอินเดีย
Google เริ่มทยอยเปิดตัวแพ็คเกจ “Lite” สำหรับ Google One ซึ่งเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลเล็กน้อยในราคาที่ถูกลงกว่าเดิม ปกติแล้ว การสมัครสมาชิก Google One จะให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ แก่คุณ แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการเพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลที่สามารถใช้ได้ทั่วทั้งบัญชีของคุณ ซึ่งครอบคลุมบริการต่างๆ เช่น Gmail, Google Photos
โดยปกติ Google Drive ทุกคนจะได้รับพื้นที่เก็บข้อมูลฟรี 15GB โดยสามารถอัปเกรดเป็น 100GB, 200GB และ 2TB ได้ และตอนนี้ Google กำลังเริ่มเปิดตัวแพ็คเกจ “Lite” ที่มีราคาไม่แพงสำหรับ Google One ซึ่งมีพื้นที่เก็บข้อมูลน้อยลงในราคาที่ต่ำมาก
Google One “Lite” ถูกพบว่ากำลังเปิดตัวในอินเดียสำหรับผู้ใช้บางราย แพ็คเกจนี้ยังไม่ปรากฏสำหรับทุกคน แต่มีการทดลองใช้ฟรีสำหรับบางบัญชี
แพ็คเกจ “Lite” นี้ให้อะไรคุณบ้าง? Google One “Lite”
เพิ่มพื้นที่เก็บข้อมูลในบัญชีของคุณเป็นสองเท่า จาก 15GB ฟรีเป็น 30GB อย่างไรก็ตาม พื้นที่เก็บข้อมูลนี้ไม่สามารถแชร์กับผู้ใช้รายอื่นได้ ซึ่งแตกต่างจากแพ็คเกจอื่นๆ ที่อนุญาตให้คุณแชร์พื้นที่เก็บข้อมูลกับผู้ใช้อื่นได้สูงสุดห้าคน นอกจากนี้ยังมีรายงานว่าไม่มีคุณสมบัติอื่นๆ ของ Google One ในแพ็คเกจอื่นๆ
ราคาของแพ็คเกจนี้อยู่ที่ 59 รูปี หรือประมาณ 0.70 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อเดือน ในขณะที่แพ็คเกจ Google One ปัจจุบันเริ่มต้นที่ 1.99 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือ 130 รูปีในอินเดีย (ประมาณ 1.55 ดอลลาร์สหรัฐฯ)
อย่างไรก็ตามแพ็คเกจนี้ยังไม่มีขายในประเทศอื่นนอกจากอินเดีย เพราะในประเทศไทยจะมีแพ็คเกจ Google One เริ่มต้นที่ 100GB ในราคา 70 บาท ต่อเดือน โดยแชร์กับคนในครอบครัวได้รวมกัน 5 บัญชี
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ผักพ่อค้าตีเมีย” ผักพื้นบ้านอุดมแร่ธาตุ วิตามิน ลดการสร้างเซลล์มะเร็ง
ในบรรดาพืชพื้นบ้านหรือผักพื้นบ้านในพื้นที่ภาคเหนือตอนบนพบว่ามีหลากหลายชนิดที่นำมาใช้เป็นอาหาร โดยชาวบ้านนิยมนำส่วนต่างๆของผักมาปรุงอาหาร มีผักพื้นบ้านหลายชนิดที่เก็บมาจากป่าเพราะสามารถเจริญเติบโตได้เองตามธรรมชาติ ชาวบ้านจึงนิยมเรียก ผักป่า
รู้จักผักพ่อค้าตีเมีย
ผักพ่อค้าตีเมีย เป็นผักป่าชนิดหนึ่งที่สามารถเจริญเติบโตได้เองตามธรรมชาติ พบได้ในป่าเบญจพรรณที่มีลักษณะค่อนข้างเย็นและชุ่มชื้น ไม่ได้พบตามป่าทั่วไป สภาพพื้นที่ที่พบมักมีลักษณะเป็นดินทรายมีหินและกรวดซึ่งทำให้ยอดและลำต้นสามารถแทงโผล่มาได้ง่าย เจริญเติบโตได้ดีในฤดูฝนช่วงเดือนเมษายนถึงเดือนพฤษภาคม ในพื้นที่ป่าหลายแห่งของจังหวัดลำพูนและแม่ฮ่องสอน พบผักพ่อค้าตีเมียเจริญเติบโตอยู่ในดินทรายปนหินจำนวนมาก หลายต้นกำลังแทงยอดเล็กๆโผล่ออกมาจากดิน หลายต้นเจริญเป็นต้นที่โตเต็มที่ แผ่ใบสวยงาม และเป็นที่น่าสังเกตว่าบริเวณที่ผักพ่อค้าตีเมียเจริญเติบโต มักพบพืชจำพวกกระเจียว หรือพืชตระกูลขิงชนิดอื่นๆขึ้นอยู่ด้วยเสมอ ซึ่งแสดงว่าพื้นที่นั้นมีความอุดมสมบูรณ์จึงมีพืชหลากหลายชนิดเจริญเติบโตได้ดี การเก็บผักพ่อค้าตีเมียไปรับประทานชาวบ้านนิยมเก็บเฉพาะต้นที่ยอดกำลังคลี่ใบอ่อนเท่านั้นโดยจะตัดส่วนลำต้นและยอดทั้งหมดที่โผล่พ้นดินออกมา ส่วนต้นที่ใบกางเต็มที่แล้วก็จะปล่อยทิ้งไว้ในป่าเพื่อขยายพันธุ์ต่อไป
สำหรับพ่อค้าตีเมียมีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Selaginella argentea (Wall ex. Hook & Grew) Spring อยู่ในวงค์ Selaginellaceae มีชื่ออื่นเรียกว่า ผักกับแก้ (ลำพูน) ภาคกลางเรียก เฟินแผง จัดเป็นเครือญาติใกล้ชิดของเฟิน ลักษณะเป็นพืชกึ่งล้มลุก ขนาดเล็ก ความสูงประมาณ 15-50 ซม. ลำต้นผอมบาง ลำต้นตั้งตรง มีเหง้าไหลทอดไปกับพื้น ใบเป็นใบประกอบและมีใบประกอบย่อยขนาดเล็กจำนวนมาก มีสีเขียวอ่อน ปนกับเขียวเข้ม มันวาว ก้านใบมีขน ต้นที่เจริญ เติบโตเต็มที่จะมีความสวยงาม สามารถปลูกเป็นพืชประดับได้ (ภาพที่ 1 และ 2) สำหรับการนำผักพ่อค้าตีเมียไปปรุงอาหารนั้น ชาวบ้านนิยมนำไปแกงใส่เห็ดนางรมและปลาแห้ง หรือลวกกินกับน้ำพริก ผักพ่อค้าตีเมียที่ชาวบ้านนำไปขายตลาดจะขายเป็นมัดขนาดเล็กมัดละ 10 บาท เมื่อคิดตามน้ำหนักจะราคาประมาณกิโลกรัมละ 150-200 บาทและจะมีขายเพียงครั้งเดียวต่อปี สำหรับคุณค่าทางอาหารนั้น ผักพ่อค้าตีเมียมีคุณค่าอาหารเหมือนผักอื่นทั่วไป มีปริมาณเหล็ก โพแทสเซียม ฟอสฟอรัสและแคลเซียมค่อนข้างสูง มีวิตามินอี วิตามินบี และมีปริมาณแอนติออกซิเดนท์ จึงมีประโยชน์ต่อร่างกาย
สำหรับการตั้งชื่อผักชนิดนี้ว่า พ่อค้าตีเมีย อาศัยเรื่องเล่าจากชาวบ้านว่า พ่อค้าเดินทางไปขายสินค้า พอกลับมาถึงบ้านจึงทั้งเหนื่อยและหิว ด้วยความหิวจึงเรียกภรรยาให้ยกสำรับมาให้ ในสำรับมีแกงผักชนิดหนึ่ง พอพ่อค้าได้รับประทานแกงผักชนิดนี้เข้าไป ผักในแกงยังกรอบและไม่นุ่ม จึงด่าภรรยาว่าแกงผักไม่สุกแล้วเอามาให้รับประทาน และด้วยความโมโหจึงคว้าไม้ไล่ตีภรรยา ซึ่งความจริงแล้วผักชนิดนี้เมื่อนำไปปรุงอาหารจะมีลักษณะเฉพาะคือ มีความกรอบ ไม่เปื่อยยุ่ยเหมือนผักชนิดอื่น ด้วยสาเหตุนี้ผักชนิดนี้จึงได้ชื่อว่า ผักพ่อค้าตีเมีย ทำให้เป็นผักป่าที่มีชื่อแปลกกว่าผักชนิดอื่น
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 12/09/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,100.00 | 40,200.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,598.00 | 39,385.68 | 40,700.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,338.20 | 35,447.11 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,078.40 | 31,508.54 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,169.00 | 17,722.04 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 909.00 | 13,780.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,692.00 | 40,810.72 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 12/09/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.35 | 35.35 | 35.65 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.98 | 34.98 | 35.28 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.24 | 33.24 | 33.54 | 33.24 | 33.24 | – | 33.24 | 33.24 | 33.24 | 33.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.99 | 32.99 | – | – | – | – | – | – | – | 32.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 43.94 |
เบนซิน 95 | 43.44 | – | – | – | 49.81 | – | 43.94 | 43.59 | – | 43.44 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |