“แสนสิริ” กางโรดแมปธุรกิจ 3 ปี เขย่า 1.5 แสนล. เปรยปีนี้ ต้องไม่มี “ล็อกดาวน์”
” เศรษฐา ทวีสิน ” นำ บมจ.แสนสิริ กางแผนธุรกิจปี 2565 เปิดใหม่ 46 โครงการ 5 หมื่นล้าน นับ 1 โรดแมป 3 ปี ทุ่มงบซื้อที่ดินไม่ต่ำกว่า 2 หมื่นล้าน ผุดโครงการร่วม 1.5 แสนล้านบาท ระบุ ปีนี้ตั้งเป้าเติบโต – ยั่นยืนทุกมิติ สู่องค์กร Net-zero ขออย่างเดียว รัฐบาลอย่า “ล็อกดาวน์”
11 ม.ค.2565 – นับเป็นการประเดิมศักราชใหม่ของแวดวง ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ปี 2565 อย่างน่าสนใจ สำหรับ การประกาศแผนธุรกิจของ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) นำโดย นายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท ซึ่งระบุว่า ปี 2565 แสนสิริ จะก้าวแกร่งด้วย “STEP BEYOND” เติบโตยั่งยืนทุกมิติ
ด้วยแผนเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวม 150,000 ล้านบาท ในระยะ 3 ปี (2565-2567) พร้อมเป้าหมายยอดขายรวม 120,000 ล้านบาท นำร่องปี 2565 นี้ เปิดโครงการใหม่ทั้งสิ้น 46 โครงการ มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท
สรุปผลงานแสนสิริ ปี 2564
นายเศรษฐา ระบุ ในงานแถลงข่าวครั้งแรกของแสนสิริ วันนี้ ว่า ปี 2564 ที่ผ่านมา นับเป็นอีกปี ท่ามกลางสถานการณ์ความท้าทาย ที่บริษัท ผ่านมาได้อย่างแข็งแกร่งจากความเชื่อมั่นใน “ความหวัง” หรือ “Year of Hope” ภายใต้ความหนักหน่วง สาหัส ของประเทศไทย ที่เผชิญกับสถานการณ์การระบาดของโควิด19 ตลอดทั้งปี
- ผลงานยอดขาย 33,500 ล้านบาท (สูงกว่าเป้าหมาย 29%)
- ยอดโอน 32,500 ล้านบาท (สูงกว่าเป้าหมาย 21% )
- ปิดการขาย 16 โครงการ ราว 30,000 ล้านบาท
- ฐานะทางการเงิน สภาพคล่อง 15,000 ล้านบาท (สูงสุดในอุตสาหกรรม)
การลงทุนใหม่ และรูปแบบการระดุมทุนใหม่ที่เกิดขึ้น ปี 2564 ของแสนสิริ
- เข้าลงทุนใหม่ในกลุ่มธุรกิจโรงแรม ถือหุ้นใหญ่ในโรงแรมเดอะสแตนดาร์ด
- เข้าลงทุนในธุรกิจการเงิน กลุ่มสินทรัพย์ดิจิทัล ผ่านการจับมือกับบริษัท เอ็ก สปริง
- เข้าลงทุนในธุรกิจเทรนด์แห่งอนาคต บริษัท SHARGE
- ออกหุ้นกู้ แสนสิริ i-EASY พลิกโฉมการลงทุนอย่างเท่าเทียม เริ่ม 10,000 บาท
” ปีที่แล้ว แสนสิริ ประสบความสำเร็จอย่างมากในการขายบ้านเดี่ยว ที่ถือว่าเป็นเรียลดีมานด์ ดันยอดขายทะลุ 2 หมื่นล้านบาท ผ่านโครงการที่ครอบคลุมหลายระดับราคา เช่ยเดียวกับ คอนโดมิเนียม ก็ยังทำได้ดี แบรนด์สำคัญ ตั้งแต่ สิริเพลส อาณาสิริ เดอะมูฟ คอนโดมี บูก้าน เศรษฐสิริ ฯ ได้รับการตอบรับดี ”
ประเดิมปี 2565 เปิดโครงการใหม่ 50,000 ล้านบาท กับ 3 กุญแจความสำเร็จ
” เราอยากให้ทุกคนเติบโต โดยไม่โฟกัสแค่ตัวเลข ผลกำไร ธุรกิจที่แข็งแรง ต้องดูแลโลก และช่วยเหลือสังคม เพื่อให้ประเทศขับเคลื่อนไปด้วยกัน ”
คือ พันธกิจข้างต้นของแสนสิริ ที่ประกาศภายใต้วิสัยทัศน์ “STEP BEYOND” ว่าในปีนี้ แสนสิริมุ่งมั่นที่จะเติบโตอย่างแข็งแกร่งยั่งยืนในทุกมิติ พร้อมเป็นกำลังสำคัญให้ทุกองค์กรก้าวแกร่งไปด้วยกันในทั้ง 3 ด้าน Profit – PEOPLE และ PLANET เพราะเราเชื่อว่า เมื่อคนแข็งแรงช่วยกัน เราก็จะสามารถสร้างความหวังและกำลังใจให้คนตัวเล็กสู้ต่อ เพื่อให้ประเทศขับเคลื่อนต่อไปได้
PROFIT
- เปิดตัว 46 โครงการใหม่
- มูลค่ารวม 50,000 ล้านบาท
- โครงการแนวราบ 28 โครงการ ( ทาวน์โฮม แบรนด์ สิริ เพลส 8 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 6,100 ล้านบาท , แบรนด์ “อณาสิริ” , รุกแบรนด์ “สราญสิริ” , บ้านเดี่ยวระดับบนด้วยการเปิดตัวแบรนด์”บุราสิริ และเศรษฐสิริ” , แบรนด์ “บูก้าน” และไฮไลท์ การกลับมาของบ้านเดี่ยวในระดับ Luxury แบรนด์ “นาราสิริ”
- คอนโดมิเนียม 18 โครงการ ( แบรนด์คอนโด มี, เดอะ มูฟ, ดีคอนโด, เดอะ ไลน์ , เดอะ เบส )
- เป้าหมายยอดขาย ปี 2565 ที่ 35,000 ล้านบาท
- เป้าหมายยอดโอนโครงการ ที่ 35,000 ล้านบาท
” แสนสิริยังมองถึงความแข็งแกร่งระยะยาว 3 ปี เติบโตอย่างยั่งยืน ด้วยแผนเปิดตัวโครงการใหม่มูลค่ารวม 150,000 ล้านบาท พร้อมเป้าหมายยอดขายรวม 120,000 ล้านบาทอีกด้วย ”
PEOPLE
การดำเนินธุรกิจภายใต้ “YOU-centric” คุณทุกคนเป็นศูนย์กลางการขับเคลื่อนที่สำคัญของแสนสิริ ทั้ง พนักงาน ลูกค้า และสังคม อาทิ การส่งเสริมความเสมอภาคในพนักงาน ทั้งในด้านการเติบโตและสวัสดิการของทุกเพศ การนำเสนอโครงการที่คิดมาจากความต้องการของกลุ่มลูกค้าอย่างแท้จริง และ คนตัวใหญ่ต้องช่วยคนตัวเล็ก ลดความเหลื่อมล้ำ ส่งเสริมความเท่าเทียมในสังคม
PLANET
- พันธกิจสีเขียว วางเป้าหมายเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายแรกของไทยที่วางเป้าหมายเป็น Net-zero องค์กรที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์
- ปี 2565 โครงการแสนสิริต้องใช้พลังงานสะอาด ด้วยการติดตั้ง Solar Roof ในส่วนกลางของโครงการใหม่ 100%
- ติดตั้ง Solar Roof ในบ้านทุกหลังของโครงการใหม่ในระดับบน 100% พร้อมไฟในสวนต้องเป็นไฟพลังงานแสงอาทิตย์ 100% ทุกโครงการในปีนี้
- ส่งเสริมการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้า โดยส่วนกลางของทุกโครงการใหม่ของแสนสิริต้องมี EV Charger 100% เริ่มต้นในปีนี้ รวมทั้งบ้านทุกหลังในโครงการระดับบนโครงการใหม่ของแสนสิริจะต้องมี EV Charger 100%
เปิดมุมมองเศรษฐกิจ และอสังหาฯ ปี 65 ของ ‘เศรษฐา ทวีสิน’
สำหรับมุมมองต่อเศรษฐกิจและการดำเนินธุรกิจในปี 2565 นั้น นายเศรษฐา ระบุว่า เปิดศักราชปีใหม่ ประเทศไทยเผชิญกับแรงกดดันหลายเรื่อง ทั้ง สถานการณ์โควิด การกลายพันธุ์ของ “โอมิครอน” ปัญหาหนี้ครัวเรือน และแนวโน้มสินค้าราคาแพง ซึ่งอาจทำให้ การดำเนินธุรกิจปีนี้ ไม่ง่ายนัก โดยเฉพาะ หนี้สินภาคประชาชน อาจทำให้การอนุมัติสินเชื่อที่อยู่อาศัยถูกปฎิเสธมากขึ้น
อีกทั้งเรื่องต้นทุนการพัฒนาโครงการที่สูงขึ้น ทั้ง ราคาที่ดิน วัสดุก่อสร้าง ก็นับเป็นเรื่องน่ากังวล เพราะความเปราะบางของเศรษฐกิจ กระเป๋าเงินที่เล็กลงของผู้บริโภค หากโครงการที่อยู่อาศัยต้องปรับราคาขึ้น อาจไม่เป็นที่ตอบรับ ฉะนั้น การซื้อที่ดินใหม่ บ้านที่สร้างด้วยต้นทุนค่าแรงงาน วัสดุอุปกรณ์ใหม่ๆ อาจจต้องประเมินความเสี่ยงอีกครั้ง ว่าเป็นจังหวะที่เหมาะสมจะเปิดตัวหรือไม่
อย่างไรก็ตาม คาดหวังว่า รัฐบาล จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้การค้าขาย กิจกรรมทางเศรษฐกิจ ดำเนินการต่อไปได้ โดยจะเป็นการช่วยพยุงทั้งระบบ
ปีนี้ต้องไม่ “ล็อกดาวน์” แนะรัฐลดแรงกดดันการเมือง
นายเศรษฐาระบุต่อว่า การติดเชื้ออย่างรวดเร็วของโอมิครอนทั่วโลก ที่ทำให้รัฐบาลตัดสินใจ สั่งปิดมาตรการท่องเที่ยว Test&GO โดยการเข้ามาของนักท่องเที่ยว และตรวจและกักตัว 7 วันนั้น ขณะนี้ ทำให้ภาคการท่องเที่ยวได้รับผลกระทบแล้ว สะท้อนยอดจองห้องพัก โรงแรมเดอะสแตนดาร์ดหัวหิน ลูกค้าทยอยยกเลิก จนเดือน กุมภาพันธ์ แทบไม่เหลืออัตรการจองเข้าพัก หากปลายเดือนกุมภาพันธ์ มียอดผู้ติดเชื้อภายในประเทศ สูงถึงหลักหลายหมื่นรายตามคาดการณ์ของสาธารณสุขนั้น อาจมีผลให้รัฐบาลประกาศมาตรการเข้มข้นขึ้น
แต่อย่างไรก็ตาม ในมุมภาคธุรกิจและเอกชนไทย อยากให้รัฐบาลพิจารณาถึงความสำคัญให้ดี โดย อัตราการเสียชีวิตของผู้ติดเชื้อโอมิครอนที่ต่ำของทั่วโลก สะท้อนความน่ากลัวของโรคไม่ได้รุนแรงอย่างที่คิด ขณะ การมีวัคซีน mRNA ในมือของไทยรองรับ อาจเป็นจุดเริ่มต้น ที่ถึงเวลาต้องยอมรับ และอยู่ร่วมกับโรคร้ายนี้ให้ได้ โดยไม่จำเป็นต้องประกาศ “ล็อกดาวน์” ส่วนมาตรการปิดประเทศ กีดกั้นการเข้ามาของนักท่องเที่ยว หากไม่มีความรุนแรงอย่างที่คาดการณ์ไว้ จำเป็นต้องสั่งยกเลิก เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้า
อีกปัจจัยเฝ้าระวังของการทำธุรกิจนั้น นายเศรษฐา กล่าวถึง ประเด็นทางการเมือง ที่ยังอยู่ในจุดเสี่ยง ว่า ขณะนี้ความขัดแย้ง ต่อต้านรัฐบาลในภาคประชาชนยังเกิดขึ้นเป็นระยะๆ และไม่มีสัญญาณการยุบสภาอย่างที่มีการเรียกร้อง แต่เชื่อว่า รัฐบาลรู้งานดี และตระหนักรู้ว่าควรจะทำอย่างไรเพื่อลดแรงกัดดันต่างๆที่เกิดขึ้น โดยมองว่า มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ยังเป็นเครื่องมือสำคัญที่ต้องถูกนำออกมาใช้อย่างต่อเนื่อง , การเลือกตั้งระดับท้องถิ่น โดยเฉพาะ การเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ที่รอคอยมานานถึง 2 ปี ถึงเวลาที่ต้องคืนสิทธิ์ให้ประชาชน เพื่อลดแรงกดดันทางการเมือง ส่วนเวทีการเมืองสนามใหญ่
เชื่อว่า รัฐบาลคงรู้ว่าต้องทำอะไร
อสังหาฯปีนี้ แข่งคุณภาพ
นายเศรษฐา เผยมุมมองต่อภาคธุรกิจอสังหาฯไทย ว่า แนวโน้มปีนี้ ภาพการแข่งขันการลดราคา เพื่อช่วงชิงลูกค้า คงไม่เกิดขึ้นแล้ว โดยเฉพาะจากแสนสิริ เนื่องจากสินค้าพร้อมโอนฯ พร้อมขาย ลดลงไปมากแล้ว จากการทำสงครามราคาในช่วงที่ผ่านมา โดยการแข่งขันของตลาดในปีนี้ ประเมินว่า จุดแข่งสำคัญ ยังเป็นเรื่องของทำเลที่ตั้งโครงการ และ แบรนด์ ซึ่งจะทำให้รายใหญ่ 6-7 รายในตลาด ยังได้เปรียบอยู่ และแข่งขันกันในเชิงบริการหลังการขาย ว่าใครดีกว่ากัน
ทั้งนี้ ในแง่ทำเล มี 2 องค์ประกอบใหญ่ที่บริษัทจะให้ความสำคัญ คือ ทำเลที่แวดล้อม ไปด้วย โครงสร้างพื้นฐาน รถไฟฟ้า ทางด่วน ซึ่งช่วยเพิ่มความน่าสนใจของทำเล ก่อให้เกิดแหล่งงาน เช่น ย่านสุวรรณภูมิ จากแผนพัฒนาสนามบิน เฟส 2 อีกแง่ การจะขยายทำเล ปักหมุดโครงการใหม่ ก็ต้องคำนึง และระมัดระวังถึงการการแข่งขันในย่านดังกล่าวด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ดัชนีเชื่อมั่นอสังหา Q4/64 ฟื้นหลังรัฐแก้ LTV-ต่ออายุลดค่าโอน/จดจำนอง
ดัชนีความเชื่อมั่นผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัย ในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ไตรมาส 4 ปี 2564 ผลจากการผ่อนปรนเกณฑ์ LTV ดันภาพรวมขยับขึ้นสูงขึ้นหลังจากต่ำกว่าค่ากลางต่อเนื่องถึง 10 ไตรมาส
วันที่ 12 มกราคม 2565 ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (REIC) รายงานดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในภาวะปัจจุบัน (Current Situation Index) ภาพรวมของไตรมาส 4 ปี 2564 มีค่าดัชนีเท่ากับ 52.0 เพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)
และมีค่าดัชนีสูงกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 ซึ่งสะท้อนให้เห็นว่าผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในการประกอบธุรกิจเพิ่มสูงขึ้นเป็นไตรมาสแรกหลังจากที่มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นต่ำกว่าค่ากลางต่อเนื่องกันมาเป็นระยะเวลาถึง 10 ไตรมาส
ขณะที่ความเชื่อมั่นในอีก 6 เดือนข้างหน้า มีค่าเท่ากับ 62.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า ซึ่งอยู่ที่ระดับ 57.2 และมีการเพิ่มขึ้นเกือบทุกปัจจัย เป็นผลมาจากการต่อมาตรการลดค่าธรรมเนียมการโอนกรรมสิทธิ์ และการจดจำนอง
ปัจจัยหนุน “เปิดประเทศ-ผ่อนปรน LTV”
ดร.วิชัย วิรัตกพันธ์ รักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กล่าวว่า ค่าดัชนีในไตรมาส 4/64 เพิ่มสูงขึ้นมีปัจจัยสนับสนุนมาจากธนาคารแห่งประเทศประกาศผ่อนคลายมาตรการ LTV ชั่วคราว สำหรับสัญญาเงินกู้ที่ทำสัญญาตั้งแต่วันที่ 20 ตุลาคม 2564 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565 เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจไทยที่ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์โควิด รวมถึงการเปิดประเทศในต้นเดือนธันวาคม 2564 คาดว่าจะส่งผลเชิงบวกต่อการกลับมาของกำลังซื้อที่อยู่อาศัยของคนต่างชาติ ทำให้ผู้ประกอบการมีความเชื่อมั่นในทิศทางที่เป็นบวกเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ ความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการกลุ่ม Listed Companies มีค่าดัชนีเท่ากับ 56.3 สูงกว่าค่ากลางที่ระดับ 50 และสูงกว่าไตรมาส 3/64 ที่มีค่าดัชนี 50.0 แสดงให้เห็นว่ามีความเชื่อมั่นต่อธุรกิจในภาวะปัจจุบันเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นโดยมีค่าดัชนีเท่ากับ 62.5 สูงกว่าไตรมาส 3/64 การเปิดตัวโครงการใหม่หรือเฟสใหม่มีค่าดัชนีเท่ากับ 60.3 สูงกว่าไตรมาส 3/64 เช่นเดียวกัน
ขณะที่ผู้ประกอบการกลุ่ม Non-listed Companies มีค่าดัชนีความเชื่อมั่นเท่ากับ 45.5 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/64 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 42.7 และมีแนวโน้มดัชนีในด้านต่าง ๆ เพิ่มขึ้นในทิศทางเดียวกันกับกลุ่ม Listed Companies เห็นได้จากยอดขายที่มีค่าดัชนีเท่ากับ 48.1 และเปิดตัวโครงการใหม่หรือเฟสใหม่มีค่าดัชนีเท่ากับ 47.1 ซึ่งสูงกว่าไตรมาส 3/64
อย่างไรก็ดี ค่าดัชนีของกลุ่ม Non-listed Companies ในทุกด้านยังคงต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50 แสดงให้เห็นถึงความเชื่อมั่นต่อธุรกิจในภาวะปัจจุบันที่อยู่ในระดับที่ต่ำ และต่ำกว่าผู้ประกอบการกลุ่ม Listed Companies อย่างมีนัยสำคัญ
6 เดือนหน้าค่าดัชนีขาขึ้น
สำหรับดัชนีความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยในกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในภาพรวมอีก 6 เดือนข้างหน้า (Expectations Index) มีค่าเท่ากับ 62.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/64 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 57.2 และมีการเพิ่มขึ้นเกือบทุกปัจจัย ยกเว้นในปัจจัยของต้นทุนผู้ประกอบการที่ต่ำกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 สะท้อนความเชื่อมั่นต่อในเชิงบวกเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากรัฐบาลต่ออายุมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองสำหรับที่อยู่อาศัยที่ไม่เกิน 3 ล้านบาท และขยายครอบคลุมไปถึงบ้านมือสองด้วย จากเดิมที่ให้เฉพาะบ้านใหม่ไป เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2564 จนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2565
และผู้ประกอบการคาดการณ์ว่าหากมีการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศได้มากขึ้นจะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทำให้กำลังซื้อเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะปกติ ปัจจัยดังกล่าวส่งผลให้ความเชื่อมั่นต่อการพัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในอีก 6 เดือนข้างหน้าเพิ่มมากขึ้น
กลุ่มผู้ประกอบการ Listed Companies มีค่าดัชนีความเชื่อมั่น 6 เดือนข้างหน้าเท่ากับ 67.4 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/64 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 62.9 สูงกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 และจะเห็นได้ว่ามีการเพิ่มขึ้นในทุกปัจจัยอย่างมีนัยสำคัญ
ขณะที่กลุ่ม Non-listed Companies มีค่าดัชนีเท่ากับ 54.0 เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 3/64 ซึ่งอยู่ที่ระดับ 48.7 และสูงกว่าค่ากลางที่ระดับ 50.0 โดยเป็นการเพิ่มขึ้นในทุกปัจจัยเช่นเดียวกัน
จึงเห็นได้ชัดเจนว่าผู้ประกอบการกลุ่ม Non-listed Companies และผู้ประกอบการกลุ่ม Listed Companies เริ่มมีความมั่นใจในอีก 6 เดือนข้างหน้ามากยิ่งขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
เงินบาทแข็งค่า เปิดที่ 33.29 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทเปิดตลาด 33.29 บาทต่อดอลลาร์ แข็งค่าจากแรงขายดอลล์ คาดกรอบวันนี้ 33.20 – 33.40 บาทต่อดอลลาร์
เมื่อวันที่ 12 ม.ค. 65 นักบริหารเงินจากธนาคารกรุงศรีอยุธยา เปิดเผยว่า เงินบาทเปิดตลาดเช้านี้อยู่ที่ระดับ 33.29 บาท/ดอลลาร์ ปรับตัวแข็งค่าจากปิดตลาดเย็นวานนี้ที่ระดับ 33.40 บาท/ดอลลาร์
เงินบาทแข็งค่าขึ้น เนื่องจากดอลลาร์อ่อนค่าเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หลังถ้อยแถลงของประธานธนาคารกลางสหรัฐ(เฟด) ที่ยังไม่ส่งสัญญาณปรับดอกเบี้ยเร็วขึ้นตามที่ตลาดคาดการณ์ ทำให้นักลงทุนพากันเทขายดอลลาร์แล้วไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยงมากขึ้น เช่น การซื้อขายทองคำ ทำให้ราคาปรับตัวขึ้นกว่า 19 ดอลลาร์/ออนซ์
“บาทปรับตัวแข็งค่าเร็วมาก เนื่องจากดอลลาร์อ่อนค่า หลังมีแรงเทขายแล้วไปลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง” นักบริหารเงิน กล่าว
โดยวันนี้ ตลาดจับตาดูทิศทางของเงินทุนต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นและตลาดพันธบัตร รวมถึงผู้ค้าทองคำและช่วงค่ำจะมีการประกาศตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ
นักบริหารเงิน ประเมินกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ไว้ที่ 33.20 – 33.40 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
เดือดแน่นอน! “เสมาเพชร” แอบส่องการฝึก “ตะวันฉาย” ลั่นรู้หมดจะมาแนวไหน
“เสมาเพชร แฟร์เท็กซ์” อาศัยความสนิทสนมฉันพี่น้องแอบส่องการฝึกซ้อมของ “ตะวันฉาย พี.เค.แสนชัยมวยไทยยิม” ออกปากแซวรู้แกวหมดแล้วว่าน้องจะมาไม้ไหน แถมเตรียมเซอร์ไพรส์กลับ โดยจะเห็นกันในศึก ONE: HEAVY HITTERS ซึ่งจะถ่ายทอดสดในวันศุกร์ที่ 14 มกราคมนี้
ในที่สุด เสมาเพชร ผู้รั้งอันดับหนึ่งของแรงกิง ONE มวยไทย รุ่นแบนตัมเวต ก็ได้ฤกษ์ประมือกับนักมวยรุ่นน้องคนสนิทอย่าง ตะวันฉาย เสียที หลังจากไฟต์ล่าสุดเขาต้องเปลี่ยนคู่ชกไปเจอกับ “ฤทธิ์เทวดา เพชรยินดีอะคาเดมี” และเป็นฝ่ายโดนศอกเป็นแผลฉกรรจ์ถูกจับแพ้แตกไปอย่างน่าเสียดาย
ครั้งนี้ เสมาเพชร จึงตั้งใจเต็มที่เพื่อมาคว้าชัยเพราะหากเขาแพ้อีกครั้ง โอกาสในการรีแมตช์ชิงแชมป์กับราชันย์อมตะอย่าง “น้องโอ๋ ไก่ย่างห้าดาว” ย่อมหลุดลอยและเขาก็ต้องกลับไปนับหนึ่งใหม่อีกรอบ
สำหรับการเผชิญหน้ากับนักมวยรุ่นน้องที่สนิทสนมกันเป็นการส่วนตัวก็ไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะเขามองเป็นหน้าที่ที่ต้องทำในฐานะนักกีฬา โดยเขาได้เตรียมฝึกซ้อมเพื่อรอเจอกับ ตะวันฉาย มาตลอดตั้งแต่ถูกประกบคู่ให้เจอกันตั้งแต่แรก ยิ่งไปกว่านั้น เสมาเพชร ยังรู้ทันด้วยว่าครั้งนี้ ตะวันฉาย จะมาไม้ไหนและเตรียมอะไรมาสู้กับเขา
“ด้วยความที่เราสนิทกันอยู่แล้ว เราก็เป็นเพื่อนกันในโซเชียล ผมเห็นเขาลงคลิปซ้อมอยู่บ่อย ๆ ผมก็เดาได้เลยว่าน้องเขาคงเตรียมเสริมศอก เสริมหมัดมาเล่นงานผมแน่ ๆ เพราะคราวที่แล้วในไฟต์ที่ผมเจอกับ ฤทธิ์เทวดา เขาน่าจะเห็นว่าผมพลาดโดนศอกแพ้มา เขาก็คงจะเสริมศอกมาในครั้งนี้ครับ”
“สำหรับผมก็เตรียมฝึกซ้อมทั้งหมัดและแข้ง และจะเน้นการเข้าทำแบบประชิดตัวเพราะน้องเขาตัวสูงใหญ่และมีอาวุธหนัก แต่ผมก็เตรียมอาวุธเสริมอื่น ๆ ไว้แก้ทางน้องเขาแล้วเหมือนกัน แต่ขอเก็บไว้เป็นเซอร์ไพรส์บนเวทีดีกว่าครับ”
แฟน ๆ สามารถติดตามชมศึก ONE: HEAVY HITTERS ถ่ายทอดสด วันศุกร์ที่ 14 ม.ค.65 เริ่มคู่แรกเวลา 17.00 น. ผ่านทาง ONE Super App, YouTube ของ ONE Championship , AIS Play และทางไทยรัฐทีวี ช่อง 32 รับสัญญาณสด เวลา 21.30 น.
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ปวดสะบัก-ปวดหลัง” อาจไม่ได้เป็น “ออฟฟิศซินโดรม” เสมอไป
ใครเคยมีอาการปวดสะบัก หรือปวดหลังส่วนบนบ้างไหม อาจจะไม่ได้เป็นแค่ออฟฟิศซินโดรมแต่เพียงอย่างเดียว
ข้อมูลจากคลินิกหมอสุนทร กระดูกและข้อ ระบุว่า อาการปวดสะบัก ปวดหลังเรื้อรัง นอกจากเป็นอาการที่พบได้บ่อยในผู้ป่วยที่มีภาวะออฟฟิศซินโดรมแล้ว ยังอาจมีสาเหตุอื่นที่อาจไม่ได้บ่อย แต่ก็มีโอกาสเกิดขึ้นกับผู้ป่วยบางรายได้
ปวดหลังเพราะกระดูกสันหลังติดเชื้อ
กระดูกสันหลังติดเชื้อ เกิดจากการที่ผู้ป่วยมีเชื้อวัณโรค ซึ่งเป็นเชื้อโรคที่อยู่ในร่างกายได้นาน โดยในกรณีนี้เชื้อวัณโรคเข้าไปกัดกินกระดูกจนกระดูกยุบจนหายไปบางส่วน เกิดอาการอักเสบตรงเอ็นยึดกระดูกทั้งด้านหน้าและด้านหลัง จนทำให้เกิดอาการปวดหลังเรื้อรัง และเมื่อเวลาผ่านไปยังพบหนองบริเวณปอดอีกด้วย
การรักษากระดูกติดเชื้อ
แพทย์จะพิจารณาทำการผ่าตัด ทำส่วนเศษกระดูกที่ติดเชื้อออกมา เข้าไประบายเอาส่วนที่พบหนองออก และให้ผู้ป่วยกินยาฆ่าเชื้อวัณโรค โดยอาจต้องกินยาเป็นเวลานานเป็นปีๆ เพื่อฆ่าเชื้อวัณโรคให้หมด
แม้จะเป็นกรณีที่เกิดขึ้นได้ไม่บ่อย แต่ก็อาจเกิดขึ้นได้ หากใครมีปัญหาปวดสะบัด ปวดหลังท่อนบน และรักษาทุกวิถีทางยังไม่ดีขึ้น รวมถึงมีอาการกระดูกยุบ อาจปรึกษาแพทย์เพื่อให้ลองตรวจกระดูกอย่างละเอียดเพื่อมองหาความเป็นไปได้ในการเป็นกระดูกติดเชื้อจากเชื้อวัณโรคได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“น่าเสียดาย” ในภาษาอังกฤษพูดว่าไงได้บ้าง
วันนี้เรามีวิธีพูดว่า “เสียดาย” หรือ “น่าเสียดาย” ในภาษาอังกฤษมาฝากค่ะ หลายๆ คน อาจจะรู้จักแค่คำว่า What a pity, Such a pity หรือ It’s pity แต่วันนี้แอดจะมาสอนคำอื่นๆ ด้วย ที่แปลว่า น่าเสียดาย ในภาษาอังกฤษเหมือนกัน ไปดูกันเลยค่าว่ามีอะไรบ้าง
“What a pity!” (หรือ Pity! สั้นๆ ก็ได้)
ตัวอย่างเช่น:
What a pity you can’t attend our party tonight.
= น่าเสียดายจังที่เธอมางานปาร์ตี้คืนนี้ไม่ได้
What a pity! That handsome guy already has a girlfriend.
= เสียดายจังเลย หนุ่มหล่อคนนั้นเขามีแฟนแล้วอ่ะ
“What a shame!” อะไรจะน่าขายหน้าขนาดนั้น
ตัวอย่างเช่น:
I won the lottery but lost my ticket. What a shame!
= ฉันถูกหวยรางวัลที่หนึ่งแต่ทำฉลากหาย เสียดายจังเลย
What a shame! He didn’t pass for his exam.
= น่าเสียดายจัง เขาสอบไม่ผ่าน
“What a waste!” แปลว่า เสียดาย, เสียของ, สิ้นเปลือง
ตัวอย่างเช่น:
What a waste! The food we throw away.
= น่าเสียดายจริง ๆ อาหารที่เราทิ้งขว้าง
Nobody showed up for my party. What a waste of time!
= ไม่มีใครมางานปาร์ตี้ของฉันเลย เสียเวลาจริงๆ
“Too bad” เป็นสำนวนค่ะ ซึ่งจะแปลว่า เสียดาย
ตัวอย่างเช่น:
It’s too bad Jane’s boyfriend turned out to be gay.
= น่าเสียดายที่แฟนเจนเปิดเผยว่าเป็นเกย์
Too bad, I can’t read Chinese.
= แย่จัง ฉันอ่านภาษาจีนไม่ออกอ่ะเธอ
“Unfortunately” แปลว่า น่าเสียดาย, แย่จัง
ตัวอย่างเช่น:
Unfortunately, the hotel is fully occupied and no room is available today.
= แย่จัง วันนี้โรงแรมจองเต็มหมดแล้วและไม่มีห้องเหลือเลย
Unfortunately, Apple Inc. didn’t hire Tim for the job he applied for.
= น่าเสียดายจัง บริษัทแอ็ปเปิ้ลไม่ได้จ้างทิมสำหรับงานที่เขาสมัครไป
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส เร่งผนึกพาร์ทเนอร์ลุยตลาดตู้ Vending อัตโนมัติ
แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส เปิดแผนธุรกิจปี 65 รุกขยายธุรกิจเฟ้นหาพาร์ทเนอร์เต็มสูบ ส่ง Advance Vending ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ, ตู้เติมเงิน Kapook Topup และกล่องรับชำระเงิน Qbox สู้ศึกร่วมชิงเค้กก้อนโตในตลาด การันตีอัตราผลตอบแทนจากการลงทุน 7-50%
นายวิโรจน์ ศิริรัตนรักษ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า “เราคือผู้นำทางด้านการพัฒนาเทคโนโลยีการค้าแบบ New Retail Solution ของตลาดตู้ Vending Machine ,กล่องรับชำระเงิน Qbox ที่สามารถจ่ายเงินสดและสแกนจ่ายเงินด้วย QR Code ,ตู้เติมเงิน Kapook Topup ที่มีระบบบริหารจัดการหลังบ้านซึ่งเป็นจุดแข็งที่ลูกค้าต่างชื่นชอบ เพราะสามารถเห็นหน้า Dash Board รายงานผลยอดขาย
รวมไปถึงรองรับการรายงานตู้สินค้าตามจุดต่างๆ ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนๆก็สามารถ Monitor สินค้าและยอดขาย ได้อย่างสะดวกสบาย ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ เป็นสินค้าอัตโนมัติที่ไม่ใช่แค่เทรนด์ใหม่สำหรับผู้บริโภค แต่ตอนนี้ได้กลายเป็นอีกหนึ่งโมเดลใหม่ทางธุรกิจของวงการค้าปลีก ที่สร้างรายได้จากการขายตลอด 24 ชั่วโมงไปแล้ว
สร้างความตื่นตัวและความสนใจให้กับของเจ้าของสินค้าหรือเจ้าของแบรนด์โดยตรงเพื่อขยายตลาดการค้าปลีกแบบอัตโนมัติ สามารถลดต้นทุนการจ้างพนักงานขายหน้าร้าน และเพียงแค่มีทำเลที่ดี มีเทคโนโลยีบริหารจัดการระบบที่ชาญฉลาดมีประสิทธิภาพรองรับการเติบโตขยายสาขา สามารถวิเคราะห์พฤติกรรมการซื้อสินค้า ช่วงเวลาการซื้อสินค้า และประเภทสินค้าที่ได้รับความนิยม รวมไปถึงตู้ไหนสาขาไหนที่ขายดี สินค้าขาด หรือกำลังจะหมด support ช่องทางสำหรับการส่งเสริมการทำธุรกิจแบบใหม่ มีระบบรายงานเพื่อให้เจ้าของธุรกิจสามารถบริหารจัดการตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ทั้งทาง LINE OA มือถือและคอมพิวเตอร์ ถือเป็นจุดเด่นที่เรามีความชำนาญในการใช้เทคโนโลยีพัฒนาระบบมาตอบโจทย์ให้กับลูกค้า
ทั้งนี้อัตราความต้องการของตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ ตู้เติมเงิน และกล่องรับชำระเงิน แบบ Scan QR Code มีความต้องการเพิ่มขึ้นหลายเท่าตัวเมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา และยังคงมีพื้นที่อีกมากมายที่สามารถขยายตลาดในกลุ่มนี้ ไม่ว่าจะเป็น โรงงานอุตสหากรรม คอนโด โรงแรม โรงเรียน โรงพยาบาล มหาวิทยาลัย แหล่งชุมชนต่างๆ รวมไปถึงกลุ่มร้านสะดวกซักอัตโนมัติ ที่กำลังได้รับความนิยม ได้รับการตอบรับให้ความสนใจในตัวสินค้าเป็นอย่างดี เพราะผลมาจากของวิกฤต COVID-19 ที่ทำให้พฤติกรรมของผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงไป ยิ่งทำให้ Advance Vending ,Kapook ,Qbox เติบโตแบบสวนกระแส ตอบรับโมเดลค้าปลีกยุค New Normal ที่เป็นมากกว่า Trend การลงทุนที่น่าสนใจสำหรับผู้ประกอบการยุคใหม่ ที่ไม่ควรพลาดกับธุรกิจทำกำไรได้ตลอด 24 ชั่วโมง ภายใต้เทคโนโลยีระบบบริหารจัดการที่เต็มประสิทธิภาพที่ แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส ได้พัฒนาขึ้นมารองรับให้แก่ผู้ประกอบการ”
นายกอบเดช นามประกาย ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอดวานซ์ เว็บ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) กล่าว “ตอนนี้ทางบริษัทมีสินค้าอยู่ 3 ชนิดคือ ตู้ Kapook เติมเงิน ซึ่งเป็นตู้คีออสสำหรับรับจ่ายเติมเงิน และตู้ Vending ตู้จำหน่ายสินค้าอัตโนมัติ และน้องใหม่มาแรงอย่าง Qbox กล่องรับชำระเงินในธุรกิจซักอบผ้า แบบจ่ายเงินสดหรือ QR Code
ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ เรามีระบบข้อมูลการใช้งานของลูกค้าที่สามารถดูผ่าน LINE OA หรือดูผ่านคอมพิวเตอร์ได้ เพิ่มความสะดวกสบายให้แก่ลูกค้าและสามารถบริหารจัดการได้อย่างเป็นระบบ เนื่องจากเราเป็นบริษัทผู้ผลิตและพัฒนาระบบ Software เองด้วยประสบการณ์กว่า 15 ปี จึงทำให้ระบบการจัดการหลังบ้านของทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์ รายงานผลข้อมูลการใช้งานของลูกค้ามีความแม่นยำสูง มีความเสถียร สะดวกและรวดเร็ว แบบ Real Time ทำให้เจ้าของตู้ได้รับความพึงพอใจสูงสุด โดยทิศทางการเติบโตของตลาดนั้นเราปฏิเสธไม่ได้ว่าระบบ IoT เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยให้อุปกรณ์รอบตัวของเรานั้น สามารถทำงานเชื่อมต่อและควบคุมได้อย่างอัจฉริยะ ทำให้การใช้ชีวิตประจำวันของเราสะดวกสบายและปลอดภัยมากขึ้น ทั้ง 3 ผลิตภัณฑ์นี้จะเป็นส่วนหนึ่งของ Internet of Things เป็นสิ่งที่เราต้องปรับตัวเข้าหามันโดยปฏิเสธไม่ได้และจะเข้ามาอยู่ในชีวิตประจำวันของคนทุกๆคน
ในปี 2565 นี้เราจึงมีแนวคิดในการขยายธุรกิจ ด้วยการเปิดรับสมัครตัวแทนจำหน่าย 1 สาขา ต่อ 1 จังหวัดทั่วประเทศ ด้วยเงินลงทุนเริ่มต้นที่ 500,000 บาท โดยผลตอบแทนขั้นต้นเริ่มที่ 7-20% ต่อตู้ ขึ้นอยู่กับจำนวนตู้ที่ซื้อ หรือโมเดลธุรกิจปล่อยเช่าซื้อ สามารถทำกำไรได้ 30-50% ต่อตู้ นอกจากนี้ยังมีส่วนของรายได้เสริมจากค่า service ที่ได้รับอย่างต่อเนื่องตลอดอายุการใช้งานของตู้สินค้าเป็นอีกช่องทางด้วย ส่วนเรื่องบริการก่อน-หลังการขาย เราจะมีเทรนเนอร์ให้ข้อมูลแนะแนวทางการดำเนินธุรกิจ เพื่อก่อให้เกิดรายได้ที่มั่นคง ซึ่งจะคืนทุนกลับมาภายใน 1-2 ปี แต่สำหรับใครที่ไม่เคยเข้าสู่ธุรกิจนี้มาก่อน ไม่ต้องกังวลเพราะเรามีทีมอบรมมืออาชีพคอยดูแลให้ข้อมูลอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้เรายังมีการประชาสัมพันธ์สินค้าสำหรับผู้ที่สนใจผ่าน Digital Marketing ทางสื่อ Online ไม่ว่าจะเป็นสื่อ Google ,Facebook ,Line OA ,YouTube ,TikTok ที่ทำให้ผู้บริโภคได้รับรู้ถึงสินค้าได้มากขึ้นยิ่งขึ้น จึงอยากเชิญชวนพาร์ทเนอร์ทุกท่านที่มองเห็นอนาคตการใช้เทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทในชีวิตประจำวัน สร้างรายได้ 24 ชั่วโมง มาร่วมเป็นตัวแทนจำหน่าย Advance Vending ,Kapook ,Qbox จังหวัดละ 1 สาขาเท่านั้น นอกจากนี้เรายังมีตัวแทนอิสระที่จะช่วยในการขายสินค้าได้ง่ายขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“วาซาบิ” ประโยชน์-ข้อควรระวังที่ควรทราบก่อนกิน
วาซาบิไม่ได้มีแค่รสชาติเผ็ดๆ ชาๆ ที่คนญี่ปุ่นและต่างชาติอย่างคนไทยหลายคนชอบเท่านั้น แต่ยังมาพร้อมประโยชน์ต่อร่างกายที่คุณอาจไม่เคยรู้อีกด้วย
วาซาบิ คืออะไร
วาซาบิ (wasabi) เป็นพืชชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น ซึ่งเป็นพืชผักตระกูลกะหล่ำ ที่มักจะเติบโตตามธรรมชาติในลำธาร หุบเขา และแม่น้ำบนภูเขาในญี่ปุ่น นอกจากนี้ยังเติบโตได้ในบางพื้นที่ของประเทศจีน เกาหลี นิวซีแลนด์และอเมริกาเหนือ โดยเฉพาะในพื้นที่ ที่มีความร่มรื่นและชื้น
สารอาหารจากวาซาบิ
วาซาบิที่มีชื่อเสียงในการใช้เป็นส่วนผสมของอาหารญี่ปุ่นหลากหลายชนิด ไม่ว่าจะเป็น ซูชิ หรือว่าบะหมี่ ส่วนใหญ่แล้วเรามักจะเห็นวาซาบิที่ขูดมาแล้วหรือว่าวาซาบิผง จริงๆ รสชาติเผ็ดฉุนที่เราได้จากวาซาบินั้นมาจากราก ซึ่งอุดมไปด้วยใยอาหาร (Fiber) และมีวิตามินแร่ธาตุมากมาย อาทิ
- แคลเซียม
- ฟอสฟอรัส
- โพแทสเซียม
- สังกะสี
- เหล็ก
- แมกนีเซียม
- โซเดียม
- วิตามินบี
- วิตามินเอ
- วิตามินซี
- โฟเลต
ประโยชน์ของวาซาบิ
- ลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง
วาซาบิ มีสารประกอบบางชนิดที่เป็นประโยชน์ เช่น Isothiocyanates (ITCs) ซึ่งเป็นสารป้องกันมะเร็งที่มักจะมีในพืชตระกูลกะหล่ำ
จากการศึกษาหนึ่งพบว่า ITCs ที่ถูกสกัดจากรากวาซาบิ มีส่วนช่วยยับยั้งการก่อตัวของอะคริลาไมด์ (Acrylamide) ได้ถึงร้อยละ 90 ซึ่งเป็นปฏิกิริยาทางเคมีระหว่างโปรตีนและน้ำตาลที่เกิดจากความร้อน ซึ่งอะคริลาไมด์เป็นสารเคมีที่สามารถเกิดขึ้นได้ในอาหารบางประเภท โดยเฉพาะเฟรนช์ฟรายส์ มันฝรั่งทอดและกาแฟ ที่จะเกิดขึ้นในระหว่างกระบวนการปรุงอาหารที่มีอุณหภูมิสูง เช่น การทอดและการย่าง
จากการศึกษาพบว่าการบริโภคอะคริลาไมด์ในอาหาร มีความเกี่ยวข้องกับมะเร็งบางชนิด เช่น มะเร็งไต มะเร็งเยื่อบุโพรงมดลูกและมะเร็งรังไข่ ซึ่งสาร ITCs และสารประกอบที่มีอยู่ในวาซาบิ มีส่วนช่วยในการยับยั้งการเจริญเติบโตของเซลล์มะเร็งลำไส้ใหญ่ ช่องปาก ตับอ่อนและมะเร็งเต้านมของมนุษย์
นอกจากนี้ยังมีการศึกษาเชิงสังเกตบางส่วน พบว่าการบริโภคผักตระกูลกะหล่ำอย่างวาซาบิที่มากขึ้น อาจช่วยลดความเสี่ยงของมะเร็งหลายชนิดเช่น มะเร็งปอด มะเร็งเต้านม มะเร็งต่อมลูกหมากและมะเร็งกระเพาะปัสสาวะ
- ลดการอักเสบ
วาซาบิเป็นพืชที่มีคุณสมบัติที่มีส่วนช่วยในการต้านการอักเสบ ที่มีศักยภาพ การอักเสบเป็นการตอบสนองของระบบภูมิคุ้มกันต่อการติดเชื้อ การบาดเจ็บและสารพิษต่างๆ เมื่อร่างกายเกิดการอักเสบ และไม่มีการควบคุม จนเกิดเป็นอาการเรื้อรัง อาจทำให้พัฒนากลายไปเป็นโรคอื่นๆ ได้ เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวานและโรคมะเร็ง
จากการศึกษาที่เกี่ยวข้องกับเซลล์สัตว์ระบุว่าสาร ITCs ที่มีในวาซาบิมีส่วนช่วยในการยับยั้งเซลล์และเอนไซม์ที่ส่งเสริมการอักเสบรวมถึงสาร Cyclooxygenase-2 (COX-2) และไซโตไคน์ (Cytokine) ที่มีส่วนทำให้เกิดการอักเสบ แต่การศึกษาข้อมูลของวาซาบิที่ช่วยลดการอักเสบยังมีจำกัดและยังไม่มีความชัดเจนว่ามีฤทธิ์ต้านการอักเสบในคนได้หรือไม่ จึงจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติม
- ป้องกันภาวะอาหารเป็นพิษ
วาซาบิสามารถต่อต้านการเกิดเชื้ออีโคไล O157:H7 ซึ่งเป็นเชื้อแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ก่อโรคระบบทางเดินอาหารที่รุนแรง และ เชื้อสแตปฟิโลคอคคัส ออเรียส (Staphylococcus aureus) ที่เมื่อมีการปนเปื้อนลงไปในอาหาร จะสร้างสารพิษที่เรียกว่าเอนเทอโรทอกซินขึ้นและจะส่งผลต่อระบบทางเดินอาหาร ซึ่งเชื้อแบคทีเรียทั้ง 2 ชนิดนี้ เป็นชนิดที่เป็นสาเหตุของอาหารเป็นพิษมากที่สุด
อย่างไรก็ตาม สำหรับคุณสมบัติข้อนี้ของวาซาบิ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันต่อไป
- ป้องกันฟันผุ
ทพญ.นฤมล ทวีเศรษฐ์ คณะสาธารณสุขศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า วาซาบิมีสารไอโซไทโอไซยาเนทที่อาจมีฤทธิ์ต้านเชื้อแบคทีเรียบางชนิดในช่องปากที่เป็นสาเหตุของฟันผุ เช่น เชื้อแบคทีเรียสเตร็ปโตค็อกคัสมิวแทนส์
อย่างไรก็ตาม แม้กระทรวงสาธารณสุขไทยเผยว่า วาซาบิมีสรรพคุณทางยาที่อาจนำไปประยุกต์ใช้เป็นส่วนผสมของยาสีฟันเพื่อป้องกันปัญหาฟันผุได้ในอนาคต แต่ขณะนี้ยังมีงานวิจัยที่ศึกษาคุณประโยชน์ของวาซาบิต่อการป้องกันฟันผุเพียงจำนวนน้อยเท่านั้น จึงไม่อาจสรุปได้ว่าวาซาบิมีสรรพคุณดังกล่าวจริง และควรศึกษาเพิ่มเติม เพื่อนำผลลัพธ์ที่ได้มาประยุกต์ใช้ในการดูแลสุขภาพช่องปากต่อไป
หลายคนเชื่อว่า อาหารรสเผ็ดร้อน ช่วยลดความอ้วนได้ เพราะเป็นการเพิ่มการเผาผลาญพลังงานในร่างกายให้มากขึ้นนั่นเอง โดยเคยมีการทดลองกับหนูแล้วพบว่า สารสกัดจากใบของต้นวาซาบิที่หนูทดลองกินพร้อมกันกับอาหารไขมันสูง อาจช่วยยับยั้งการเกิดภาวะอ้วนจากอาหารที่มีไขมันสูงได้
อย่างไรก็ตาม งานวิจัยข้างต้นเป็นเพียงการทดลองในสัตว์เท่านั้น ไม่ได้ทดลองกับมนุษย์โดยตรง จึงไม่อาจยืนยันได้ว่าวาซาบิช่วยลดความอ้วนในมนุษย์ได้จริงหรือไม่และปลอดภัยเพียงใด ดังนั้น ควรศึกษาเพิ่มเติมและทดลองใช้วาซาบิกับมนุษย์ เพื่อยืนยันสมมติฐานด้านนี้ให้ชัดเจนและนำไปประยุกต์ใช้ให้เป็นประโยชน์ต่อไป
ข้อควรระวังในการกินวาซาบิ
แม้ว่าการกินวาซาบิเพื่อการบริโภคอาหารทั่วไปจะปลอดภัยและมีประโยชน์ต่อร่างกาย แต่การกินวาซาบิเพื่อการรักษาโรคใดโรคหนึ่งโดยเฉพาะนั้น ในปัจจุบันยังไม่มีข้อมูลมากพอที่จะยืนยันประสิทธิผลและความปลอดภัยในการบริโภควาซาบิเพื่อการรักษาหรือป้องกันโรคได้อย่างชัดเจน ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพจึงควรปรึกษาแพทย์ก่อนบริโภคหรือใช้ผลิตภัณฑ์ใดๆ จากวาซาบิ โดยเฉพาะกลุ่มหญิงตั้งครรภ์และหญิงให้นมบุตร รวมถึงคนที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติ เพราะวาซาบิอาจทำให้เลือดแข็งตัวช้าลง และอาจเพิ่มความเสี่ยงให้ผู้ที่มีภาวะเลือดออกผิดปกติเกิดรอยช้ำหรือมีเลือดออกได้ง่าย และคนที่กำลังจะเข้ารับการผ่าตัด เพราะวาซาบิอาจทำให้เลือดออกมากผิดปกติระหว่างผ่าตัดได้ จึงควรงดบริโภควาซาบิอย่างน้อย 2 สัปดาห์ก่อนรับการผ่าตัด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 12/01/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 28,600.00 | 28,700.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,853.00 | 28,091.48 | 29,200.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,667.70 | 25,282.33 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,482.40 | 22,473.18 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 834.00 | 12,643.44 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 649.00 | 9,838.84 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,920.00 | 29,107.20 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 12/01/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.15 | 32.15 | 32.75 | 32.15 | 32.55 | 32.15 | 32.45 | 32.25 | 32.15 | 32.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 31.88 | 31.88 | 32.48 | 31.88 | 32.28 | 31.88 | 32.18 | 31.98 | 31.88 | 31.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.64 | 30.64 | 31.24 | 30.64 | 31.04 | – | 30.94 | 30.74 | 30.64 | 30.64 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 24.34 | 24.34 | – | – | – | – | – | – | – | 24.34 |
เบนซิน 95 | 39.56 | – | – | – | 40.41 | – | 40.36 | 40.16 | – | 39.56 |
ดีเซล B7 | 29.84 | 29.84 | 30.64 | 29.94 | 30.34 | 29.84 | 30.14 | 29.84 | 29.94 | 29.84 |
ดีเซล | 29.84 | 29.84 | 30.64 | 29.94 | 30.34 | 29.84 | 30.14 | 29.84 | 29.94 | 29.84 |
ดีเซล B20 | 29.84 | 29.84 | 30.64 | – | 30.34 | – | 30.14 | 29.84 | – | 29.84 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 35.86 | 35.86 | 37.09 | 36.46 | 37.09 | – | – | – | – | 35.86 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |