สาระน่ารู้ประจำวันที่ 13 กันยายน 2566

อสังหาเชียงใหม่ดิ้นสู้กำลังซื้อหด!คุมต้นทุน-ลดไซส์-ผ่อนตรง-ลุยบ้านแฝด

อสังหาเชียงใหม่ดิ้นสู้กำลังซื้อหด! งัดกลยุทธ์คุมต้นทุน-ลดไซส์-ผ่อนตรง-ลุยบ้านแฝดรับมือต้นทุน วัสดุก่อสร้างค่าแรงค่า ที่ดินพุ่ง ดอกเบี้ยขาขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคหดตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง

ปัจจัยลบดอกเบี้ยขาขึ้น กำลังซื้อผู้บริโภคหดตัวจากปัญหาหนี้ครัวเรือนสูง แต่จากประมาณการเศรษฐกิจภาคเหนือ ของสํานักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ พบว่า จีดีพีภาคเหนือกราฟปี 2566-2567 ไต่ขึ้น แต่อยู่ในอัตราชะลอตัว เป็นโจทย์ใหญ่บรรดาดีเวลลอปเปอร์ในหัวเมืองเศรษฐกิจ “เชียงใหม่” ต้องพลิกกลยุทธ์ปรับแผนธุรกิจอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ประมาณการเศรษฐกิจรายสาขาในภาคเหนือ ภาคการท่องเที่ยว เพิ่มขึ้น 9.6%  อุตสาหกรรมเพิ่มขึ้น 15.9% การค้า 12.7% ก่อสร้าง 8.8% แต่เกษตรกรรมลดลง 23.7% เฉพาะภาคก่อสร้างและอสังหาริมทรัพย์ขยายตัวต่อเนื่องตามสิ่งปลูกสร้างใหม่และการย้ายถิ่นฐาน โดยมีคนย้ายเข้ามาในพื้นที่ถึง 50,000 คนต่อปี รวมถึงมีการลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้น เช่น การขยายสนามบินที่มีเม็ดเงินมากกว่า 10,000 ล้านบาท รองรับนักท่องเที่ยวกว่า 18 ล้านคนต่อปี
 

สรนันท์ เศรษฐี  กรรมการผู้จัดการ บริษัท นอร์ทเทิร์น เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวว่า ภาพรวมการท่องเที่ยวเชียงใหม่ดีขึ้นต่อเนื่อง ส่งผลดีต่อรายได้ปรับตัวดีขึ้น จากช่วงโควิด-19 รายได้และกำลังซื้อ “วูบหนัก” โดยครึ่งแรกปี 2566 สถานการณ์กลับมาดีขึ้น เป็นปัจจัยบวกที่ช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นผู้ประกอบการ ผู้บริโภค  อีกปัจจัยบวก พบว่า อัตราการว่างงาน “ลดลง”  เงินเฟ้อเริ่ม “นิ่ง” หลังจากที่มีการปรับอัตราดอกเบี้ยมาหลายครั้ง

แต่ปัจจัยลบที่สำคัญ คือ หนี้สินครัวเรือนค่อนข้างสูง มีผลต่อการกู้ซื้อบ้านรวมถึงการผ่อนชำระ ทั้งยังมีปัจจัยลบจากการส่งออกติดลบ 9 เดือนติดต่อกัน และดอกเบี้ยเงินกู้ในอัตราสูง รวมทั้งสถานการณ์การเมืองที่ยังมีความไม่แน่นอนในสายตาของต่างชาติ กระทบโดยตรงต่อบรรยากาศการจับจ่าย

“แม้ปัจจุบันการเมืองจะเริ่มเข้าที่เข้าทางมากขึ้น แต่ในมุมมองต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุน การเมืองเป็นเรื่องที่มีความอ่อนไหวสูง เพราะต้องใช้เงินลงทุนหลัก 1,000 ล้านบาท”

ส่วนดีมานด์จากจีนแผ่นดินใหญ่รัฐบาลคุมเข้มการนำเงินออกนอกประเทศและมีมาตรการควบคุมต่างๆ ส่งผลกระทบต่อการท่องเที่ยว การลงทุน และการซื้ออสังหาฯ ในเชียงใหม่ แต่มีกลุ่มไต้หวัน ฮ่องกง สิงคโปร์ และชาติอื่นๆ เข้ามา”ทดแทน” 

ขณะที่ชาวจีนส่วนใหญ่นิยมซื้ออสังหาฯ ในกรุงเทพฯ และภูเก็ต  ซึ่งเศรษฐกิจมีความคึกคักมากกว่า โดยเฉพาะอสังหาฯ แนวราบ

สำหรับ ผู้ประกอบการอสังหาฯ ที่ต้องการพัฒนาโครงการ แนะนำว่า ต้องศึกษาข้อมูลในตลาดว่าปัจจุบันมีซัพพลายมากน้อยแค่ไหนทั้งจากผู้ประกอบการรายใหญ่และคู่แข่งในอนาคต 

“แนวโน้มตลาดอสังหาฯ เชียงใหม่กำลังฟื้นกลับมาตามภาวะเศรษฐกิจ แต่สิ่งที่ต้องระมัดระวัง คือ โครงสร้างต้นทุนจากวัสดุก่อสร้าง เพิ่มขึ้น 4-8% ค่าแรงเพิ่มขึ้น 5-8% ค่าที่ดินกว่า 10% ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการรายใหม่สูงขึ้น บวกกับดอกเบี้ยที่สูงขึ้น ทำให้ต้นทุนแพงขึ้น และยังถูกบีบจากกำลังซื้อของผู้บริโภค ทำให้กำไรบางลงเรื่อยๆ จึงต้องคุมต้นทุนให้ดี”

หวังว่ารัฐบาลใหม่จะช่วยสนับสนุนภาคอสังหาฯ ที่เข้าสู่ยุคข้าวของแพงสวนทางกับกำลังซื้อหด! แม้จะมีการลงทุนจากภาครัฐแต่ยังไม่เพียงพอที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศขับเคลื่อนไปได้ หากรัฐมีนโยบายกระตุ้นอสังหาฯ ทำให้เกิดการหมุนเวียนทุกภาคส่วน เช่นมาตรการลดค่าโอนและจดจำนองจาก 3 ล้านบาท ขยายเป็น 4 ล้านบาท น่าจะช่วยได้ในหัวเมืองหลัก

ปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ปัจจุบันคนไทยใช้เวลานานขึ้นในการตัดสินใจซื้้ออสังหาฯ เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น ภาวะเศรษฐกิจ และความไม่ชัดเจนทางการเมืองก่อนหน้านี้ จึงคาดหวังว่า นายกฯ เศรษฐา ทวีสิน  ซึ่งมีความรู้และประสบการณ์ในธุรกิจอสังหาฯ โดยตรงจะออกนโยบายที่ทำให้ภาคอสังหาฯ เติบโตมากขึ้น เช่น การออกวีซ่า เพื่อรองรับดีมานด์คนต่างชาติ

ส่วนตลาดต่างชาติ ดีมานด์หลักคือ “ชาวจีน” ประสบปัญหาเศรษฐกิจไม่ดี รวมทั้งมีปัญหาภาคอสังหาฯ ล้มละลาย! ทำให้ดีมานด์จากจีนแผ่นดินใหญ่ “ลดลง” แต่โชคดีที่มีดีมานด์จากเกาหลี ไต้หวัน ญี่ปุ่น พม่า ที่กังวลปัญหาการเมืองในประเทศ แม้ดีมานด์จีนลดลง แต่มีดีมานด์ชาติอื่นเข้ามาแทน

ปรีดิกร กล่าวว่า แนวทางการปรับตัวในฐานะผู้ประกอบการอสังหาฯ จาก “ต้นทุน” เพิ่มขึ้นจากอัตราดอกเบี้ย ค่าแรง วัสดุก่อสร้าง ราคาที่ดินสูงขึ้น ทำได้ด้วยการสร้างสินค้าให้มีความแตกต่าง และหลากหลาย เช่น บ้านสไตล์ญี่ปุ่น คอนโดมิเนียมสไตล์ยูโรเปี้ยน บ้านระดับลักชัวรี ราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป รวมทั้งการนำนวัตกรรมเข้ามาตอบโจทย์ลูกค้า เช่น การแก้ปัญหาฝุ่น PM2.5 ด้วยการติดตั้งเครื่องหรืออุปกรณ์กรองอากาศ โซลาเซลล์ และอีวีชาร์จเจอร์

ส่วนคอนโดอาจลดขนาดลงแต่ยังคงฟังก์ชั่น ราคาที่ตอบโจทย์ลูกค้า ส่วนกลุ่มลูกค้าประกอบอาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนซ์ ที่มีปัญหาการกู้ยากนั้น บริษัทออกมาตรการ “ผ่อนตรง” กับทางบริษัทได้ ขณะเดียวกันมีแผนที่จะขยายตลาดในจังหวัดภาคเหนือ และภาคอื่นๆ เพื่อรองรับกลุ่มลูกค้าต่างชาติเพราะที่ผ่านมาโครงการคอนโดของอรสิรินขายเต็มโควตา 45% ทุกโครงการ

“อสังหาฯ ในเชียงใหม่ยังคงน่าลงทุนมากกว่าชะลอตัว หากดูจากเทรนด์ที่ทุกอย่างเริ่มดีขึ้นคาดว่าในอีก 2-3 ปี ตลาดจะกลับโตเท่ากับ่ช่วงก่อนเกิดโควิด”

ดรุณี เลาหะวีร์  กรรมการผู้จัดการ สินธานี พร็อพเพอร์ตี้ กล่าวว่า ในแง่ของการพัฒนาโครงการ ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้องปรับตัวให้เข้ากับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไป ต้องการที่อยู่อาศัยในราคาที่เข้าถึงได้ ดังนั้นโครงการ “บ้านแฝด” จึงเข้ามาตอบโจทย์ ทั้งรูปแบบดีไซน์ทันสมัยแทนที่จะเป็นหน้าจั่ว หรือทรงปั้นหยา เพราะคนรุ่นใหม่ไม่ให้ความสำคัญกับพื้นที่บ้านที่มีขนาดใหญ่มากเกินไป ประกอบกับชีวิตคนรุ่นใหม่ใช้เวลาส่วนมากในมือถือ ร้านกาแฟ

“ที่สำคัญการทำโครงการบ้านแฝดช่วยลดต้นทุน สามารถทำบ้านในราคาที่คนรุ่นใหม่เข้าถึงได้ เมื่อรายได้โตไม่ทันเงินเฟ้อ ดังนั้น บ้านแฝดที่มีพื้นที่ลดลง แต่ฟังก์ชั่นบ้านตอบโจทย์การอยู่อาศัยไม่แตกต่างจากบ้านเดี่ยว จึงกลายเป็นทางเลือกให้กับคนรุ่นใหม่ในเวลานี้”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


“SENA” รุกบ้านพลังงานเป็นศูนย์-คอนโด Low Carbon ลดโลกร้อน

“SENA” รุกบ้านพลังงานเป็นศูนย์-คอนโด Low Carbon ลดโลกร้อน เพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับผู้บริโภค หลังมิติด้านสิ่งแวดล้อมกำลังกลายเป็นเทรนด์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายกำลังมุ่งเป้าหมายในการขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืน

ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนาดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ SENA เปิดเผยว่า เสนา ได้ดำเนินการพัฒนาบ้านพลังงานเป็นศูนย์ และต่อยอดไปสู่คอนโด โลว์คาร์บอน โดยการนำแนวคิด THE ESSENTIAL LIFELONG TRUSTED PARTNER เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้กับผู้อยู่อาศัย 

ทั้งนี้ ปัจจุบันมิติด้านสิ่งแวดล้อมกำลังกลายเป็นเทรนด์ใหญ่ที่ทุกฝ่ายกำลังมุ่งเป้าหมายในการขับเคลื่อนไปสู่ความยั่งยืน ดังนั้นเสนาจึงมองว่าหากการอยู่บ้านเหมือนกับได้ปลูกต้นไม้ในทุกวัน ภาวะโลกร้อนหรือโลกเดือดคงจะลดลงและไม่เกิดขึ้นในระยะยาว

สำหรับการดำเนินการพัฒนาดังกล่าวนั้น มีจุดเริ่มต้นไอเดียมาจากบริษัท ฮันคิว ฮันชิน พร๊อพเพอร์ตี้ส์ คอร์ป ที่ดำเนินโครงการบ้านพลังงานเป็นศูนย์ที่ญี่ปุ่น มาปรับใช้ให้เหมาะสมกับสภาพภูมิอากาศของไทย โดยได้ร่วมมือกับจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำการศึกษา วิจัย และพัฒนาแบบจำลองบ้านแนวคิดพลังงานเป็นศูนย์ เพื่อนำผลมาสู่การออกแบบ 3 ขั้นตอน ได้แก่ 

  • Active Design คือ การออกแบบอาคารให้มีความยั่งยืนด้านการใช้พลังงาน โดยการนำเทคโนโลยี หรืออุปกรณ์ทันสมัยเข้ามาช่วยในการออกแบบ เช่น เซนเซอร์ควบคุมระบบไฟฟ้าและแสงสว่าง ,การใช้แอร์ประหยัดพลังงานฯ 
  • Passive design การออกแบบอาคารให้มีความสอดคล้องกับสิ่งแวดล้อม เช่น ทิศทางลม และแสงแดด เป็นต้น 
  • การมีระบบผลิตพลังงานใช้เองจากพลังงานหมุนเวียน เช่นการนำพลังงานจากแสงอาทิตย์ (Solar Cell) มาสร้างเป็นพลังงานไฟฟ้าเพื่อใช้ภายในบ้านให้สอดคล้องกับสภาพอากาศของเมืองไทย และการอยู่อาศัยภายในบ้าน ที่สามารถควบคุมอุณหภูมิภายในบ้านให้เหมาะสมแต่ละฤดูกาล ผสมผสานการใช้พลังงาน ที่ใช้ได้เองอย่างมีประสิทธิผล  

ผศ.ดร.เกษรา กล่าวอีกว่า การพัฒนาบ้าน ZEH ของเสนาด้วยองค์ประกอบดังกล่าวรวมกับการออกแบบอื่นจึงทำให้บ้านขนาด XL โครงการของเสนาสามารถลดใช้ไฟฟ้าสูงสุดได้ถึง 14% รวมกับการนำพลังงานสะอาดจาก Solar Cell มาใช้ซึ่งสามารถผลิตกระแสไฟฟ้าได้ประมาณ 360 หน่วยต่อเดือน โดยใช้ครึ่งเดียวที่ผลิตได้สามารถลดการใช้ไฟฟ้าสูงสุด 38% หรือลดค่าใช้จ่ายต่อเดือนประมาณ 1,627 บาท และลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต่อปี เทียบเท่ากับการปลูกต้นไม้ถึง 163 ต้น

“ปัจจุบันอาจจะไม่สามารถทำให้บ้านพลังงานเป็นศูนย์ได้ทุกหลัง แต่นี่คือจุดมุ่งหมายในระยะยาวของบริษัทฯ”

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้13ก.ย. ที่ระดับ 35.59 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้าง และมีโอกาสพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI คืนนี้ Iแนะนำ ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย เหตุทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้13ก.ย.2566 ที่ระดับ  35.59 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.65 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน  ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงได้บ้างในช่วงระหว่างวัน หากนักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย ทว่าเงินบาทอาจไม่ได้อ่อนค่าไปมาก เนื่องจากแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติก็เริ่มชะลอลง ซึ่งเป็นไปได้ว่า นักลงทุนต่างชาติต่างก็รอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในคืนนี้เช่นกัน

และนอกเหนือจากแรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติ เรามองว่าโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวก็มีโอกาสกดดันเงินบาทให้อ่อนค่าลงได้บ้าง หลังราคาทองคำได้ย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับสำคัญ ทำให้ผู้เล่นบางส่วนอาจอยากลุ้นการรีบาวด์ขึ้นของราคาทองคำ หากอัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ ชะลอลงตามคาด โดยเฉพาะในส่วนของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน

ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดควรระมัดระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ (จะรับรู้ในช่วง 19.30 น. ตามเวลาในประเทศไทย) โดยจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา พบว่า เงินบาทสามารถแกว่งตัว อ่อนค่าลง 0.2% และแข็งค่าขึ้นได้ราว 0.4% ภายใน 30 นาที หลังตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI

 โดยเรายังให้โอกาสเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น หลังรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เนื่องจาก อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI มีแนวโน้มชะลอตัวลงต่อเนื่อง ส่วนอัตราเงินเฟ้อทั่วไป headline CPI ที่ปรับตัวขึ้นนั้นก็เป็นผลจากราคาพลังงานเป็นหลัก ซึ่งเฟดอาจให้น้ำหนักต่อทิศทางของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI มากกว่า

อนึ่ง ในช่วงนี้ เรามองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย

 อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.50-35.70 บาท/ดอลลาร์ ในช่วงก่อนทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

และประเมินกรอบเงินบาท 35.40-35.75 บาท/ดอลลาร์  ในช่วงทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (แกว่งตัวในช่วง 35.58-35.75 บาทต่อดอลลาร์) โดยมีจังหวะอ่อนค่าไปตามการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์และโฟลว์ซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ก่อนที่เงินบาทจะเริ่มกลับมาแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังเงินดอลลาร์ย่อตัวลงบ้าง ตามแรงขายทำกำไร หลังดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 105 จุด

ความกังวลของผู้เล่นในตลาดต่อทิศทางนโยบายการเงินเฟดยังคงกดดันบรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนมองว่า อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ อาจชะลอลงช้า จากการที่ราคาน้ำมันดิบยังคงปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่อง ซึ่งภาพดังกล่าวได้กดดันให้บรรดาหุ้นกลุ่มเทคฯ

และหุ้นสไตล์ Growth พลิกกลับมาปรับตัวลดลง (Tesla -2.2%, Microsoft -1.8%) อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังพอได้แรงหนุนบ้างจากการปรับตัวขึ้นของราคาหุ้นกลุ่มพลังงาน (Exxon Mobil +2.9%)  ทำให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวลง -1.04% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว -0.57%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาย่อตัวลง -0.18% กดดันโดยแรงขายหุ้นธีมการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน อาทิ กลุ่มสินค้าแบรนด์เนม (L’Oreal -1.4%, LVMH -1.1%) หลังผู้เล่นในตลาดยังไม่มั่นใจในแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน (BP +1.1%, Total Energies +0.9%) รวมถึงมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่กลับมาเพิ่มโอกาส ECB คงอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายนนี้

ในฝั่งตลาดบอนด์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงเคลื่อนไหว sideway ใกล้ระดับ 4.30% โดยมีจังหวะปรับตัวขึ้นได้บ้าง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทั้งนี้ เรามองว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เป็นไปอย่างจำกัด

เนื่องจากผู้เล่นบางส่วนก็รอทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว ในจังหวะยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น อนึ่ง ในวันนี้ เรามองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสผันผวนสูงในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ

ซึ่งจากสถิติในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา พบว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัว +/-10bps ในช่วงภายใน 30 นาที หลังการทยอยรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ณ ระดับปัจจุบันยังคงมีความน่าสนใจและคุ้มค่าในแง่ Risk/Reward

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ผันผวนพอสมควร โดยเงินดอลลาร์มีจังหวะทยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงตลาดกังวลแนวโน้มการเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยของเฟด ก่อนที่เงินดอลลาร์จะเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลง ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง

เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างยังไม่รีบปรับสถานะถือครอง จนกว่าจะรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ และผลการประชุม ECB ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 104.5 จุด (กรอบ 104.5-105 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ยังคงเป็นปัจจัยกดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,935 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเรามองว่า ผู้เล่นบางส่วนในตลาดอาจรอทยอยซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวลงบ้าง ทำให้โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของสหรัฐฯ โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไป Headline CPI อาจเร่งขึ้น +0.6%m/m (หรือ +3.6%y/y) ตามการปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานเป็นสำคัญ ในขณะที่ อัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI จะเพิ่มขึ้นเพียง +0.2%m/m (+4.3%y/y ชะลอลงต่อเนื่อง) ซึ่งจะสอดคล้องกับแนวโน้มการชะลอตัวลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อสู่ระดับเป้าหมายที่ 2%

ส่วนในฝั่งไทย เราประเมินว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence) เดือนสิงหาคม อาจปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 56.5 จุด จากระดับ 55.6 จุด ในเดือนก่อนหน้า หลังการจัดตั้งรัฐบาลผสมได้เสร็จสิ้นลง ช่วยลดความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองในประเทศและสร้างความหวังการฟื้นตัวเศรษฐกิจจากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ อย่างไรก็ดี ปัจจัยกดดันอาจยังคงเป็นอัตราดอกเบี้ยและค่าครองชีพที่อยู่ในระดับสูง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.60-35.62 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.35 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.64 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยเงินบาทยังอาจเคลื่อนไหวในกรอบ แต่อาจจะยังมีแรงกดดันด้านอ่อนค่าบางส่วนตามทิศทางสกุลเงินเอเชีย และสัญญาณไหลออกสุทธิต่อเนื่องในตลาดพันธบัตรไทย ขณะที่ตลาดยังคงรอการรายงานตัวเลข CPI ของสหรัฐฯ ในคืนวันนี้อย่างใกล้ชิด 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.55-35.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ สถานการณ์ของสกุลเงินอื่นๆ ในเอเชีย และข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนส.ค. ของสหรัฐฯ

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


คู่เลขไหนบ้างไม่ควรมีในทะเบียนรถเด็ดขาด

หลายคนมีความเชื่อว่าเลขทะเบียนมีอิทธิพลส่งผลไปยังผู้ครอบครองรถ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเงิน การงาน หรือแม้แต่เรื่องอุบัติเหตุระหว่างการขับรถ หากเลือกเลขทะเบียนที่เป็นมงคล ก็จะช่วยเกื้อหนุนผู้ครอบครองให้พบเจอแต่เรื่องดีๆ ตลอดการใช้รถคันนั้น แต่ในทางกลับกันหากทะเบียนมีเลขอัปมงคล เลขไม่ดี ก็อาจทำให้ผู้ครอบครองพบเจอกับเรื่องไม่สบายใจได้

     Sanook Auto จึงขอพาคุณผู้อ่านไปรู้จักตัวเลขที่อาจส่งผลด้านลบ ไม่ควรมีในเลขทะเบียน จะมีอะไรบ้างไปดูกัน

เลขทะเบียนรถที่ควรหลีกเลี่ยง

– ใจร้อน ขี้หงุดหงิด – 03 / 30 / 10 / 01 / 12 / 21 / 33 / 07 / 70 / 13 / 31 / 37 / 73 / 38 / 83

– เสี่ยงเกิดอุบัติเหตุบ่อย – 13 / 31 / 37 / 73 / 38 / 83 / 33

– รถมักเสีย ต้องเข้าอู่บ่อยครั้ง – 01 / 10 / 02 / 20 / 03 / 30 / 13 / 31 / 33 / 06 60 / 67 / 76

– จอดอยู่เฉยๆ ก็มักเกิดรอยขีดข่วน – 35 / 53 / 36 / 63 / 39 / 93 / 17 / 71 / 77 / 76 / 67

– ระบบไฟฟ้ามักมีปัญหา – 11 / 19 / 91

เลขทะเบียนรถที่ควรหลีกเลี่ยงตามวันเกิด

  • เกิดวันอาทิตย์ เลขทะเบียนรถห้ามมีเลข 6
  • เกิดวันจันทร์ เลขทะเบียนรถห้ามมีเลข 1
  • เกิดวันอังคาร เลขทะเบียนรถห้ามมีเลข 2
  • เกิดวันพุธกลางวัน เลขทะเบียนรถห้ามมีเลข 3
  • เกิดวันพุธกลางคืน เลขทะเบียนรถห้ามมีเลข 5
  • เกิดวันพฤหัสบดี เลขทะเบียนรถห้ามมีเลข 7
  • เกิดวันศุกร์ เลขทะเบียนรถห้ามมีเลข 8
  • เกิดวันเสาร์ เลขทะเบียนรถห้ามมีเลข 4

ตัวอักษรทะเบียนรถที่ควรหลีกเลี่ยงตามวันเกิด

  • เกิดวันอาทิตย์ ห้ามใช้ตัวอักษร ศ ษ ส ห ฬ ฮ
  • เกิดวันจันทร์ ห้ามใช้ตัวอักษร อ และสระทั้งหมด
  • เกิดวันอังคาร ห้ามใช้ตัวอักษร ก ข ค ฆ ง
  • เกิดวันพุธกลางวัน ห้ามใช้ตัวอักษร จ ฉ ช ซ ฌ ญ
  • เกิดวันพุธกลางคืน ห้ามใช้ตัวอักษร บ ป ผ ฝ พ ฟ ภ ม
  • เกิดวันพฤหัสบดี ห้ามใช้ตัวอักษร ด ต ถ ท ธ น
  • เกิดวันศุกร์ ห้ามใช้ตัวอักษร ย ร ล ว
  • เกิดวันเสาร์ ห้ามใช้ตัวอักษร ฎ ฏ ฐ ฑ ฒ ณ

     อย่างไรก็ดี ความเชื่อเรื่องตัวเลขและตัวอักษรบนป้ายทะเบียนรถ เป็นเพียงความเชื่อส่วนบุคคลเท่านั้น เพราะแม้ว่าตัวเลขจะมีอิทธิพลต่อชีวิตมากน้อยขนาดไหน แต่การขับรถอย่างมีวินัย ปฏิบัติตามกฎจราจรอย่างเคร่งครัด เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่จะช่วยให้ผู้ขับขี่รอดพ้นจากอุบัติเหตุทั้งปวงนั่นเอง

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ลูกยางสาวไทยถึงโปแลนด์แล้ว เตรียมชิงตั๋ว โอลิมปิกเกมส์ 2024

ทีมนักตบลูกยางสาวไทย ชุดชิงตั๋วโอลิมปิกเกมส์ 2024 รอบคัดเลือก ถึงประเทศโปแลนด์แล้ว

จากกรุงเทพถึงเมืองวุดซ์ ของประเทศโปแลนด์  ทีมชาติไทยใช้เวลาเดินทางทั้งหมด เกือบ 20 ชั่วโมง เพราะต้องรอเปลี่ยนเครื่องที่กรุงโดฮา ประเทศกาตาร์ และนั่งรถบัส 2 ชั่วโมง จากกรุงวอร์ซอ ประเทศโปแลนด์ เข้าสูเมืองวูดซ์ สังเวียนแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิงโอลิมปิกเกมส์รอบคัดเลือกสายซี

โดยที่กรุงวอร์ซอ มีนายนัฐพงศ์ สุวรรณภักดี อัครราชทูตที่ปรึกษา และนางสาวณพศี นิยมาภา เลขานุการโท จากสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงวอร์ซอ มาตอบรับและอำนวยความสะดวกที่สนามบินในกรุงวอร์ซอ

สำหรับทีมตบลูกยางสาวไทย มีคิวแข่งขันประเดิมแมตซ์แรก วันที่ 16 กันยายน 2566 เวลา 19.30 น. พบกับเยอรมนี ถ่ายทอดสดทางช่อง Workpoint 23

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


โรค RSV ติดเชื้อจากการหอมแก้มได้จริงหรือ ?

ใครที่เป็นคุณพ่อคุณแม่ของเจ้าตัวเล็ก คงจะเคยได้ยินชื่อโรคนี้กันมาบ้าง “โรค RSV” โดยทราบกันมาอย่างคร่าวๆ ว่าเป็นโรคที่สามารถติดต่อได้จากการสัมผัส หรือที่เราเคยได้ยินว่าเด็กเล็กติดเชื้อจากการ “หอมแก้ม” จากผู้ใหญ่นั่นเอง ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร ติดต่อกันได้อย่างที่ได้ยินกันหรือไม่ และมีวิธีป้องกันอย่างไร Sanook! Health หาคำตอบมาให้แล้วค่ะ

โรค RSV คืออะไร?

“RSV” หรือชื่อเต็มว่า “Respiratory Syncytial Virus” คือ เชื้อที่ก่อให้เกิดโรคในทางเดินหายใจ โดยเฉพาะเด็กเล็ก โดยเชื้อไวรัสอาจทำให้เป็นปอดอักเสบ ทำให้มีเสมหะมาก และทำให้เยื่อบุหลอดลม และทางเดินหายใจต่างๆ บวม จึงทำให้เด็กมีอาการเหนื่อยหอบ และหายใจลำบาก ทำให้มีการสร้างสารคัดหลั่ง อย่าง เสมหะ ออกมาในปริมาณมาก อีกทั้งยังทำให้เกิดการหดตัวของหลอดลมอันเนื่องมาจากการบมของเยื่อบุหลอดลมและทางเดินหายใจ ส่งเสียทำให้เด็กที่เชื้อไวรัส RSV นี้หายใจเร็วและลำบากมากขึ้น

RSV เป็นไวรัสที่ติดต่อกันได้หรือไม่ ?

“RSV” เป็นเชื้อไวรัสที่สามารถติดต่อกันได้ผ่านทางสารคัดหลั่งต่างๆ ในร่างกาย ไม่ว่าจะเป็น น้ำมูก , น้ำลาย และเสมหะจากการไอ หรือจาม โดยผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสจะได้รับเชื้อจากฝอยละอองไอ หรือจามของผู้ที่ติดเชื้อ โดยอัตราการแพร่กระจายของเชื้อไวรัส RSV นี้จะอยู่ที่ผู้ติดเชื้อ 1 คน ไปสู่ 1 – 2 คนเท่านั้น การส่งต่อของเชื้อจะไม่ได้มีระยะไกลเหมือนกับการติดต่อของโรคหัด หรือคอตีบที่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อจามเพียง 1 ครั้ง ก็อาจแพร่กระจายเชื้อต่อไปได้ประมาณ 7 – 12 คน

ใครที่เสี่ยงเป็นโรค RSV ?

เด็กเล็กที่มีอายุต่ำกว่า 5 ปี และผู้ใหญ่ หรือผู้สูงอายุที่การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง

อาการเริ่มต้นของผู้ป่วยที่ติดเชื้อ RSV

  • มีอาการหอบ เหนื่อย หายใจได้ลำบากกว่าปกติ
  • มีอาการหายใจครืดคราด มีเสียง
  • เมื่อไอจะมีเสียงดังและมีเสมหะ
  • เกิดเสมหะในลำคอมาก
  • ในเด็กที่มีโรคประจำตัว อย่าง โรคหัวใจ , โรคปอด หรือโรคหอบหืดอยู่แล้ว อาจทำให้เกิดอาการที่หนักจนถึงขั้นหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ซึ่งอาจเป็นอันตรายถึงชีวิตได้

แนวทางการรักษาโรค RSV

สำหรับการรักษาในเด็กเล็กที่ติดเชื้อไวรัส RSV ที่มีอาการอ่อนแอมากๆ อาทิ เด็กทารกที่คลอดก่อนกำหนด เด็กที่ป่วยเป็นโรคปอด โรคหัวใจ หรือป่วยเป็นหอบหืดอยู่ก่อนแล้ว เมื่อติดเชื้อรัสชนิดนี้ก็อาจทำให้อาการทรุดลงอย่างรวดเร็ว โดยอาจหยุดหายใจเป็นช่วงๆ หรือการหายใจล้มเหลวจนต้องรีบส่งตัวเข้าไปยัง ICU และจะต้องใช้เครื่องช่วยหายใจร่วมด้วย ส่วนระยะแสดงอาการของโรคจะอยู่ที่ประมาณ 5 – 7 วัน บางรายที่ติดเชื้อในช่วง 1 – 2 วันแรกจะไม่รุนแรงมาก แต่ในช่วง 3 – 5 วันหลัง อาการของโรคจะรุนแรงมากที่สุด หลังจากนั้นอาการจะทุเลาลงตามลำดับ 

ปัจจุบันในทางการแพทย์ยังไม่ตัวยาที่ช่วยรักษาโรคนี้แบบเฉพาะทาง ส่วนใหญ่แพทย์จะรักษาไปตามอาการที่เป็น ไปจนถึงการดูแลในเรื่องการหายใจและเสมหะ โดยแพทย์จะให้ยาแก้ไอะลายเสมหะ ยาขยายหลอดลม หรือยาลดไข้ไปตามแต่ละอาการของผู้ป่วย ซึ่งจะทำให้อาการของผู้ป่วยดีขึ้น ในกรณีที่ผู้ป่วยมีปัญหาในเรื่องของการหายใจ มีอาการเหนื่อย หรือเริ่มมีออกซิเจนในเลือดอยู่ในระดับต่ำ การรักษาของแพทย์ก็จะอยู่ในรูปแบบของการประคับประคอง อาทิ การให้ยาพ่นขยายหลอดลม การให้สารน้ำทางหลอดเลือด การดูดเสมหะ ไปจนถึงการให้ออกซิเจน ส่วนในกรณีที่ผู้ป่วยมีการหนักมาก อาจต้องใช้เครื่องช่วยหายใจและใส่ท่อ อีกทั้งต้องอยู่ในห้อง ICU เพื่อดูอาการจนกว่าจะดีขึ้น

นอกจากนี้ ผู้ป่วยที่มีอาการหนักอาจจะทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อนจากไวรัสชนิดอื่นๆ อาทิ เชื้อมัยโคพลาสมา เชื้อไข้หวัดใหญ่ หรือเชื้อแบคทีเรียอื่นๆ ร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับการพิจารณาให้การรักษาของแพทย์ให้ครอบคลุมการการติดเชื้อตามความเหมาะสม

หายจากโรค RSV แล้วกลับมาเป็นอีกได้หรือไม่ ?

เชื้อไวรัส RSV สามารถแบ่งออกได้เป็น 2 กลุ่มย่อย คือ กลุ่ม A และ B ที่มีความสัมพันธ์กัน แต่เป็นคนละตัวกัน ภูมิต้านที่เกิดขึ้นจากการติดเชื้อไวรัสในตอนแรกจะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อในรอบใหม่ เชื้อตัวใหม่ได้ แต่หากได้รับเชื้อซ้ำกัน อาการก็จะไม่รุนแรงมากเท่ากับครั้งแรก

ป้องกันการติดเชื้อไวรัส RSV ได้อย่างไร

  1. ล้างมือ ทำความสะอาดมือของเรา ก่อนเข้าใกล้ สัมผัส หรืออุ้มเจ้าตัวเล็ก ไม่ว่าจะเป็นลูกของเรา หรือลูกของคนอื่น เพราะส่วนใหญ่แล้ว ผู้ใหญ่มักไม่ติดเชื้อโรคนี้กัน หากแต่อาจจะบังเอิญสัมผัสเชื้อโรคจากที่ใดที่หนึ่ง แล้วไม่ได้ล้างมือ แล้วมาดูแลเด็กเล็กต่อ ก็อาจทำให้เด็กติดเชื้อจากเรา ทั้งๆ ที่เราแข็งแรงสุขภาพดีก็ได้
  2. หากลูกไม่สบาย ไม่ควรปล่อยให้ไปแพร่เชื้อโรคให้กับเด็กคนอื่นๆ ควรอยู่รักษาตัวให้หาย ให้แข็งแรง ก่อนไปโรงเรียน หรือไปทำกิจกรรมกับเพื่อนๆ
  3. ควรสอนลูก ไม่ให้คนแปลกหน้าเข้ามาใกล้ หรือมากอด มาหอมแก้ม นอกจากเป็นการป้องกันเชื้อโรคแล้ว ยังป้องกันมิจฉาชีพที่หวังดีได้ด้วย

ปัจจุบันยังพบเด็กเล็กที่ติดเชื้อ โรค RSV หลายราย วิธีรักษาคล้ายโรคหวัด คือไม่มียารักษาโดยตรง แต่จะให้ยารักษาตามอาการที่ปรากฏ ดังนั้นไม่ใช่เรื่องน่ากลัว แต่ถ้าจะให้ดีก็ป้องกันไม่ให้เจ้าตัสน้อยติดเชื้อจะดีกว่าค่ะ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


สแลงที่ชาวแคนาดาใช้กัน แต่ประเทศอื่นมี “งง”

ถึงแม้ว่าภาษาอังกฤษจะเป็นภาษาที่ใช้กันสากลทั่วโลก แต่ก็ยังมีคำบางคำที่ใช้เฉพาะเจาะจงกันตามแต่ละพื้นที่ไป เช่นเดียวกันกับสแลง ที่แต่ละพื้นที่ก็มีการปรับเปลี่ยนกันไปตามผู้คนหรือตามวัฒนธรรม ทีนี้เรามาดูกันที่แคนาดาดีกว่า แม้ว่าแคนาดา จะอยู่ในซีกเดียวกันกับประเทศที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักอย่างสหรัฐอเมริกา แต่แคนาดากลับมีสแลงเป็นของตัวเองเยอะแยะไปหมด ตามไปดูกันเล้ย

“ตู้กดเงินอัตโนมัติ”

โดยทั่วไปจะใช้

ATM (Automatic teller machine)

แคนาดาใช้

ABM (Automatic banking machine)

“ชาวแคนาดา”

โดยทั่วไปจะใช้

Canadian

แคนาดาใช้

Canuck [คานัก’]

“บุหรี่”

โดยทั่วไปจะใช้

Cigarette 

แคนาดาใช้

Dart [ดาร์ท]

“ร้านสะดวกซื้อ”

โดยทั่วไปจะใช้

 Convenience store

แคนาดาใช้

Depanneur [ดะแพน’เนอะ]

“เสื้อแขนยาวมีฮู้ด”

โดยทั่วไปจะใช้

 Hoodie

แคนาดาใช้

Bunnyhug [บัน’นิฮัก]

“ไฟฟ้า”

โดยทั่วไปจะใช้

Electricity

แคนาดาใช้

Hydro [ไฮโดร]

“กระเป๋าเป้”

โดยทั่วไปจะใช้

Backpack

แคนาดาใช้

Knapsack [แนพ’แซค]

“เหรียญ 1 ดอลลาร์”

โดยทั่วไปจะใช้

One-dollar coin

แคนาดาใช้

Loonie [ลูนี’]

“พุงบวมเบียร์”

โดยทั่วไปจะใช้

Beer belly

แคนาดาใช้

Molson Muscle [โมลซัน มัซ’เซิล]

“ดินสอสี”

โดยทั่วไปจะใช้

Colored pencil

แคนาดาใช้

Pencil crayon [เพน’เซิล เคร’เอิน]

“เขตเลือกตั้ง”

โดยทั่วไปจะใช้

Electoral district

แคนาดาใช้

Riding [ไร’ดิง]

“รองเท้าวิ่ง”

โดยทั่วไปจะใช้

Running shoes

แคนาดาใช้

Runners [รัน’เนอะ]

“ปาร์ตี้สละโสด”

โดยทั่วไปจะใช้

Bachelor party/Bachelorette party

แคนาดาใช้

Stagette [สตาเกท]

“เหรียญ 2 ดอลลาร์”

โดยทั่วไปจะใช้

 Two-dollar coin

แคนาดาใช้

Toonie [ทูนี’]

“หมวกไหมพรม”

โดยทั่วไปจะใช้

Beanie

แคนาดาใช้

Tuque [โทค]

“ห้องน้ำ”

โดยทั่วไปจะใช้

Restroom

แคนาดาใช้

Washroom [วอช’รูม]

ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th


10 อาหารช่วยบำรุง “ปอด” ให้แข็งแรง

กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข แนะ 10 แหล่งอาหารหาง่าย ได้แก่ ขิง พริกหวาน แอปเปิ้ล ฟักทอง ขมิ้นชัน มะเขือเทศ ธัญชาติต่างๆ น้ำมันมะกอก หอยนางรม และผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ กินเป็นประจำช่วยบำรุงปอด

งดสูบบุหรี่ ออกกำลังกาย กินอาหารดีๆ ช่วยบำรุงปอดได้

นายแพทย์สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมอนามัย กล่าวว่า จากข้อมูลบทความวิชาการที่เผยแพร่ในวารสารต่างประเทศ พบว่าการปรับวิถีชีวิต เช่น การงดสูบบุหรี่ การออกกำลังกายรวมถึงการกินอาหารที่อุดมไปด้วยสารอาหารสามารถช่วยปกป้องปอด และลดความเสียหายของปอดจากโรคหรือการติดเชื้อได้

10 อาหารช่วยบำรุง “ปอด” ให้แข็งแรง

แหล่งอาหาร 10 ชนิดหาได้ง่าย และเมื่อกินเป็นประจำจะส่งผลดีต่อการทำงานของปอด ได้แก่ 

  1. ขิง เป็นสมุนไพรที่ดีต่อระบบทางเดินอาหาร ช่วยต้านการอักเสบ
  2. พริกหวาน เป็นแหล่งวิตามินซีที่ดี ช่วยต้านอนุมูลอิสระและทำให้ระบบภูมิคุ้มกันทำงานได้เป็นปกติ  
  3. แอปเปิล มีใยอาหาร วิตามินซีและมีสารต้านอนุมูลอิสระ
  4. ฟักทอง มีสารอาหารที่ส่งเสริมสุขภาพปอดหลายชนิด โดยเฉพาะแคโรทีนอยด์ เบต้าแคโรทีน ลูทีน และซีแซนทีน
  5. ขมิ้นชัน มีสารเคอร์คูมินเป็นส่วนประกอบหลักการศึกษาวิจัยพบว่าการบริโภคเคอร์คูมินมีความสัมพันธ์กับการทำงานของปอดที่ดีขึ้น
  6. มะเขือเทศ มีสารไลโคปีน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระในกลุ่มแคโรทีนอยด์ ที่จะช่วยลดการอักเสบของทางเดินหายใจในผู้ที่เป็นโรคหอบหืดและช่วยเรื่องการทำงานของปอดในผู้ที่เป็นโรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง
  7. ธัญพืชเต็มเมล็ด ที่ไม่ผ่านการขัดสีหรือขัดสีน้อย เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ ข้าวฟ่าง เป็นต้น เป็นอาหารที่มีเส้นใยสูงอุดมด้วยวิตามินอี ซีลีเนียมและกรดไขมันจำเป็น ซึ่งดีต่อสุขภาพปอด
  8. น้ำมันมะกอก เป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระที่ดีเพราะมีสารโพลีฟีนอลและวิตามินอีที่ช่วยป้องกันโรคเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจ
  9. หอยนางรม อุดมด้วยแร่ธาตุต่างๆ ที่จำเป็นต่อสุขภาพปอด ได้แก่ สังกะสี ซีลีเนียม วิตามินบีและทองแดง
  10. ผลไม้ตระกูลเบอร์รี เช่น สตรอว์เบอร์รี บลูเบอร์รี มีฟลาโวนอยด์ที่เรียกว่าแอนโธไซยานิน ซึ่งเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่มีประสิทธิภาพสูง เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 13/09/2566

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a32,200.0032,300.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,086.0031,623.7632,800.00
ทองรูปพรรณ 90%1,877.4028,461.38n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,668.8025,299.01n/a
ทองรูปพรรณ 50%939.0014,235.24n/a
ทองรูปพรรณ 40%730.0011,066.80n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,162.0032,775.92n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/09/2566


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9539.6539.6540.6539.6539.6539.6539.6539.6539.6539.65
แก๊สโซฮอล์ 9139.3839.3840.3839.3839.3839.3839.3839.3839.3839.38
แก๊สโซฮอล์ E2037.3437.3438.3437.3437.3437.3437.3437.3437.34
แก๊สโซฮอล์ E8537.7937.7937.79
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.0449.3449.8449.3445.04
เบนซิน 9547.4448.6147.9447.5947.44
ดีเซล B731.9431.9432.6431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล31.9431.9432.6431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซล B2031.9431.9432.6431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม42.2443.9449.4443.9443.6442.24
แก๊ส NGV17.5917.5917.59


About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า