เปิด5ทำเลเชียงใหม่เสนอขายและเหลือขายสูงสุด
ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิด5ทำเลในเชียงใหม่ที่เสนอขายมากสุด สันทราย ยืนหนึ่งพร้อมทั้มีอัตราดูดซับสูงเท่ากับแม่โจ้ ส่วนทำเลหน่วยเหลือขายสูงสุดยังคงเป็นสันทราย ตามมาด้วยแม่โจ้ ในระดับราคา2– 3ล้านและราคา 3– 5ล้าน
วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เปิดเผยว่าภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงใหม่พบว่าในครึ่งแรกปี 2567 มีที่อยู่อาศัยเสนอขายทั้งสิ้น 10,507 หน่วย เพิ่มขึ้นเพียงร้อยละ 5.9 มูลค่ารวม 45,556 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 8.6 โดยมีจำนวนหน่วยเป็นโครงการบ้านจัดสรร จำนวน 8,588 หน่วย ลดลงร้อยละ -0.1 มูลค่า 39,378 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4.0 เป็นโครงการอาคารชุดจำนวน 1,919 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.6 มูลค่า 6,178 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.3 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า
โดยมีโครงการเปิดตัวใหม่เข้าสู่ตลาดจำนวน 861 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 51.6 มูลค่าโครงการรวม 4,535 ล้านบาทเพิ่มขึ้นร้อยละ 74.0 ซึ่งเป็นการลดลงของโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 532 หน่วย หรือร้อยละ -6.3 มูลค่าโครงการรวม 3,211 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 23.2 และเป็นโครงการอาคารชุดจำนวน 329 หน่วย มูลค่าโครงการรวม 1,324 ล้านบาท ซึ่งเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้าไม่มีการเปิดขายโครงการอาคารชุดเลย
ทั้งนี้ ในช่วงครึ่งแรกปี 2567 มีที่อยู่อาศัยขายได้ใหม่ในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่จำนวนทั้งสิ้น 1,191 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.4 มูลค่ารวม 5,080 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 69.5 เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 962 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.3 มูลค่า 4,483 ล้านบาท มูลค่าเพิ่มขึ้นร้อยละ 74.4 เป็นโครงการอาคารชุดจำนวน 229 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 47.7มูลค่า 597 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 40.0
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากจำนวนโครงการเปิดขายใหม่เข้าสู่ตลาดมากกว่าหน่วยขายได้ใหม่ ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยคงค้างเหลือขายในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ยังคงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้น โดยมีจำนวนทั้งสิ้น 9,316 หน่วย จำนวนหน่วยเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.3 มูลค่าโครงการ 40,476 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 3.9 เป็นโครงการบ้านจัดสรรจำนวน 7,626 หน่วย มูลค่า 34,895 ล้านบาท จำนวนหน่วยลดลงร้อยละ -4.0 มูลค่าลดลงร้อยละ – 1.1 เป็นโครงการอาคารชุดจำนวน 1,690 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 45.3 มูลค่า 5,581 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 52.6
เมื่อพิจารณาลงรายละเอียดตามรายพื้นที่
ที่อยู่อาศัยเสนอขายสูงสุด 5 อันดับแรก
อันดับ 1 โซนอำเภอสันทราย มีอยู่ที่อยู่อาศัยเสนอขายสูงสุดจำนวน 1,737 หน่วย มูลค่า 6,713 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนอำเภอแม่โจ้จำนวน 1,617 หน่วย มูลค่า 5,280 ล้านบาท
อันดับ 3 โซน ม.พายัพ จำนวน 1,227 หน่วย มูลค่า 6,188 ล้านบาท
อันดับ 4 โซนบ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด จำนวน 1,208 หน่วย มูลค่า 5,631 ล้านบาท
อันดับ 5 โซนสารภี จำนวน 1,192 หน่วย มูลค่า 5,644 ล้านบาท
เป็นที่น่าสังเกตว่าอำเภอสันทรายและอำเภอแม่โจ้แม้จะเป็นโซนที่มีที่อยู่อาศัยเสนอขายสูงสุดเป็นอันดับ 1 และอันดับ 2 แต่อัตราดูดซับยังคงอยู่ในระดับที่สูงสุดในพื้นที่เสนอขายทั้งหมดคือร้อยละ 2.4
ทำเลที่มีที่อยู่อาศัยเหลือขายสูงสุด 5 อันดับแรก
อันดับ 1 โซนสันทราย จำนวน 1,490 หน่วย มูลค่า 5,516 ล้านบาท
อันดับ 2 โซนแม่โจ้ จำนวน 1,380 หน่วย มูลค่า 4,609 ล้านบาท
อันดับ 3 โซนบ่อสร้าง-ดอยสะเก็ด จำนวน 1,117 หน่วย มูลค่า 5,195 ล้านบาท
อันดับ 4 โซน ม.พายัพ จำนวน 1,087 หน่วย มูลค่า 5,311 ล้านบาท
อันดับ 5 โซนสารภี จำนวน 1,085 หน่วย มูลค่า 5,213 ล้านบาท
โดยที่อยู่อาศัยเหลือขายสูงสุดอยู่ในกลุ่มราคา 2– 3ล้านบาท โดยมีจำนวนถึง 2,888 หน่วย และระดับราคา 3– 5ล้านบาท มีจำนวนเหลือขาย 3,440 หน่วย ร้อยละ 39.5 เป็นบ้านเดี่ยว และร้อยละ 20.8 เป็นอาคารชุด
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
อสังหาฯ เชียงใหม่อ่วม! กำลังซื้อโลคัลวูบหันพึ่งดีมานด์จีน-ญี่ปุ่นรีไทร์
- ผลกระทบจากปัญหาหนี้สินครัวเรือนพุ่งสูง อัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้คน “ชะลอ” การตัดสินใจซื้อบ้าน
- ส่งผลให้ดีมานด์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่หดตัว
- คนหันซื้อ “มือสอง” แทนโดยเฉพาะบ้านเดี่ยว
- แต่อีกด้านยังได้อานิสงส์ดีมานด์คนจีนส่งบุตรหลานมาเรียนโรงเรียนนานาชาติ และชาวญี่ปุ่นมารีไทร์ ช่วยประคองตลาด
สรนันท์ เศรษฐี นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ และ กรรมการผู้จัดการ บริษัท นอร์ทเทิร์น เรียลเอสเตท จำกัด กล่าวว่า ภาวะเศรษฐกิจภาคเหนือไตรมาส 2 ปี 2567 ปรับลดลงเล็กน้อย ส่วนการท่องเที่ยว ขยายตัวเล็กน้อย ได้แรงส่งจากเทศกาลสงกรานต์ ที่มีการจัดกิจกรรมในพื้นที่เพิ่มขึ้นใกล้เคียงช่วงก่อนโควิด-19
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลในฝั่งดีมานด์การค้นหาบ้านในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา มีการค้นหาบน Baania Marketplace 37,139 คน เป็นเพศหญิง 93.7% อายุ 45-54 ปี กลุ่มคนที่มองหาบ้านมากสุดเป็นกลุ่มที่มีครอบครัวแล้ว ต้องการขยับขยายพื้นที่ รองลงมา เป็นกลุ่มคนทำงานอายุ 25-34 ปี ต้องการที่อยู่อาศัยที่ราคาไม่แพงมาก รองรับการอยู่อาศัย 1-2 คน พร้อมสัตว์เลี้ยง ซึ่งทำเลที่อยู่ในการค้นหาอันดับ 1 เชียงใหม่ 38.97% ส่วนใหญ่เป็นคนท้องถิ่น ค้นหาจากกรุงเทพฯ 29% เป็นการซื้อเพื่อลงทุนหรือซื้อเพื่อเป็นบ้านหลังที่สอง ที่เหลือมาจากเชียงราย 2.08% ลำพูน 1.47% ลำปาง 1.26%
“Demand Side หรือความสนใจในการค้นหาบ้านลดลงจากปีก่อนถึง 50% น่าจะเกิดจากปัญหาหนี้สินครัวเรือนที่สูง อัตราดอกเบี้ยสูง ส่งผลให้คนชะลอการตัดสินใจซื้อบ้าน เพราะไม่อยากสร้างหนี้ระยะยาว ทำให้ดีมานด์ในตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่หดตัวลง”
“คนซื้อเปรียบเทียบระหว่างเอาเงิน 5 ล้านบาทซื้อบ้านใหม่ได้บ้านเล็กลง อยู่ไกลขึ้น ขณะที่บ้านมือสองได้โครงการใกล้เมือง หลังใหญ่กว่า คล้ายกับตลาดในกรุงเทพฯ แต่ถ้าเป็นบ้านแฝดคนนิยมซื้อบ้านใหม่มากกว่าเช่นเดียวกับทาวน์โฮม ส่วนคอนโดมีให้เลือกทั้งขนาดเล็กและกลาง คอนโดมือสองขนาดเล็กได้รับความนิยม”
ขณะเดียวกัน การประกาศขายลดลงทั้งจำนวนและมูลค่า สะท้อนให้เห็นว่าเศรษฐกิจ “ชะลอตัว” ทำให้การซื้อขายลดลง ซึ่งนอกจากกำลังซื้อท้องถิ่นแล้วในจังหวัดเชียงใหม่ จะมีกำลังซื้อจากลูกค้าต่างประเทศเข้ามาเสริม ซึ่งลูกค้าต่างชาติจะเข้ามาซื้อคอนโดมิเนียมเป็นหลักเพราะสามารถซื้อได้ตามกฎหมาย 49%
โดยคอนโดมิเนียมระดับราคา 2-10 ล้านบาทที่นิยมจะอยู่ในทำเลช้างคลาน ย่านมหิดล นิมมาน เป็นเขตเศรษฐกิจ มีทั้งแบรนด์โลคัล และแบรนด์จากดีเวลลอปเปอร์ในตลาดหลักทรัพย์ฯ นิยมซื้อแบบฟรีโฮลด์ สามารถโอนกรรมสิทธิ์ได้ถูกต้องตามกฎหมาย เป็นคอนโดมิเนียมที่สร้างเสร็จแล้ว
ลูกค้ากลุ่มนี้มักเป็นกลุ่มคนต่างประเทศที่ส่งลูกหลานมาเรียนโรงเรียนนานาชาติในเชียงใหม่ ส่วนใหญ่เป็นคนจีน มาซื้อหรือเช่าคอนโดมีเนียมที่อยู่ใกล้โรงเรียนลูก เป็นห้องขนาด 1-2 ห้องนอน ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีกำลังซื้อสูง นอกจากนี้ยังมีกลุ่มคนญี่ปุ่นรีไทร์มาใช้ชีวิตที่เชียงใหม่
ส่วนกลุ่มบ้านแนวราบระดับระดับราคา 3-15 ล้านบาท มักอยู่ในทำเล “หางดง” ที่มีคอมมูนิตี้มอลล์ท้องถิ่นที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตของคนต่างชาติและมีโรงเรียนอินเตอร์ฯ จำนวนมากในทำเล สันทราย สันกำแพง ซึ่งมีลูกค้าคนจีน เมียนมา นิยมบ้านขนาด 3 ห้องนอน 3 ห้องน้ำ เป็นดีมานด์ที่เข้ามาช่วยกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ที่ไม่ได้ลดลงตามกำลังซื้อในพื้นที่ที่หดตัว โดยเฉพาะราคาต่ำกว่า 3 ล้านบาทกู้ไม่ผ่าน แม้ว่าจะขายได้แต่โอนไม่ได้
ปริดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แนวโน้มและความสนใจของชาวต่างชาติในตลาดอสังหาริมทรัพย์เชียงใหม่ ยังคงมีอยู่อย่างต่อเนื่องทั้งในตลาดคอนโดมิเนียมและบ้านแนวราบ ปัจจุบันชาวต่างชาติที่เข้ามาซื้อโครงการในเชียงใหม่เพิ่มขึ้น ถือเป็นปัจจัยบวกและโอกาสในการขายของบริษัท โดยลูกค้าหลักยังคงเป็นคนจีน 70% ส่วนคนสัญชาติอื่นๆ มีแนวโน้มเข้ามาซื้อโครงการอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น อาทิ ไต้หวัน 12% เกาหลี 4% เมียนมา และชาวต่างชาติโซนยุโรป
สำหรับ ทำเลศักยภาพ หากเป็นคอนโดมิเนียมระดับราคา 1-3 ล้านบาท จะอยู่ในทำเลเมืองเชียงใหม่ ถนนช้างคลาน ถนนมหิดล และ เซ็นทรัล เฟสติวัล ขณะที่บ้านเดี่ยว ราคา 3-5 ล้านบาท เน้นทำเลสันทราย สันกำแพง สารภี
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13ก.ย. “แข็งค่าขึ้นมาก”ที่ระดับ 33.40 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจถูกชะลอการแข็งค่าลงบ้าง ระหว่างวันตามการเข้าซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อน้ำมันดิบ แนะลุ้นผลการประชุมเฟด
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 13ก.ย. 2567 ที่ระดับ 33.40 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นมาก”
จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 33.75 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทในช่วงคืนที่ผ่านมานั้น ทำให้ มุมมองของเราที่ประเมินว่า เงินบาทได้ส่งสัญญาณกลับตัวอ่อนค่าลงในเชิงเทคนิคัล อาจผิดไปได้ หลังราคาทองคำได้ปรับตัวขึ้นทะลุโซนแนวต้านและทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์
อย่างไรก็ดี เราคงมุมมองเดิมว่า ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด มากเกินไป ทำให้มีความเสี่ยงที่ในสัปดาห์หน้า ผู้เล่นในตลาดอาจต้องมีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดใหม่ หากคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด (Dot Plot) ใหม่ ไม่ได้สะท้อนถึงแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดกำลังคาดหวัง
ทำให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น กดดันทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้ไม่ยาก
นอกจากนี้ ในเชิงเทคนิคัล การแข็งค่าขึ้นล่าสุดของเงินบาท หากประเมินจากกราฟรายวันของ USDTHB ยังเห็นสัญญาณ RSI Bullish Divergence อยู่ แม้ว่าในส่วนของ MACD และ Stochastic จะเริ่มสะท้อนโอกาสที่เงินบาทอาจแข็งค่าขึ้น
ทำให้เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideways แถวโซน 33.30 บาทต่อดอลลาร์ เป็นอย่างน้อย ก่อนที่จะทยอยอ่อนค่าลงได้บ้าง ซึ่งต้องรอลุ้นผลการประชุมเฟด
อนึ่ง ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทอาจยังพอได้แรงหนุนฝั่งแข็งค่าตามบรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำของผู้เล่นในตลาดบางส่วน ทว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจถูกชะลอลงบ้าง ตามการเข้าซื้อเงินดอลลาร์ของผู้นำเข้าบางส่วน รวมถึงโฟลว์ธุรกรรมซื้อสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น น้ำมันดิบ
อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค รวมถึงคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาว ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้ และทำให้เงินดอลลาร์อาจเคลื่อนไหวไปตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด
เรายังคงมองว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์ ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.25-33.50 บาท/ดอลลาร์ (ควรระวังความผันผวนในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ)
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องหลุดโซนแนวรับ 33.50 บาทต่อดอลลาร์ที่เราประเมินไว้ (แกว่งตัวในกรอบ 33.39-33.76 บาทต่อดอลลาร์) ตามการทยอยอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI เดือนสิงหาคมที่ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ยังคงหนุนให้ผู้เล่นในตลาดเชื่อว่าเฟดยังมีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ยทั้งในปีนี้และปีหน้าได้ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการทยอยแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) หลังธนาคารกลางยุโรป (ECB) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) สู่ระดับ 3.50% ตามคาด ทว่า ECB ไม่ได้ส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าจะลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่อง ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังคงประเมินว่า ECB อาจไม่ได้เร่งลดดอกเบี้ยเหมือนกับเฟด ขณะเดียวกัน ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็มีส่วนกดดันเงินดอลลาร์เพิ่มเติม และนอกเหนือจากปัจจัยดังกล่าว เงินบาทยังได้แรงหนุนจากโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์และแรงซื้อจากบรรดานักลงทุนประเภท CTA (Commodity Trading Advisor) ที่อาจใช้กลยุทธ์ Trend Following
บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยงต่อเนื่อง ท่ามกลางความหวังว่า เฟดจะมีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ยได้ตามที่ตลาดเคยประเมินไว้ ซึ่งภาพดังกล่าวยังคงช่วยหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง อาทิ Meta +2.7%, Alphabet +2.3% ส่งผลให้โดยรวมดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +1.02% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.75%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.80% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ ASML +3.5% นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากการพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นของบรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานและกลุ่มเหมืองแร่ อาทิ Shell +1.1%, Rio Tinto +1.9% หลังราคาสินค้าโภคภัณฑ์ (น้ำมันและแร่โลหะ) ต่างปรับตัวสูงขึ้น
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน แต่โดยรวมยังคงแกว่งตัวแถวระดับ 3.65% หลังรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ เดือนสิงหาคม ที่ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ยังคงทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมีความหวังว่า เฟดยังพอมีโอกาสเร่งลดดอกเบี้ยได้บ้าง (ลดดอกเบี้ยเกิน -100bps ในปีนี้ และลดดอกเบี้ยอีกไม่น้อยกว่า -125bps ในปีหน้า) อนึ่ง บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ ก็มีส่วนกดดันไม่ให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวลดลงต่อเนื่องไปได้ ทั้งนี้ เราคงมุมมองเดิมว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่อาจผันผวนสูงขึ้นได้บ้าง หากผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด (มองว่า เฟดอาจไม่รีบลดดอกเบี้ยมากเท่าที่ตลาดประเมิน) ซึ่งต้องรอลุ้นผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า
โดยเฉพาะในส่วนของคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราดอกเบี้ยนโยบายใหม่ของเฟด (Dot Plot) โดยเราคงเน้นกลยุทธ์ “Buy on Dip” หรือรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ในการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว ทั้งนี้ ผู้เล่นในตลาดที่มีสถานะถือครองบอนด์ระยะยาวอยู่แล้วนั้น ก็สามารถ Let Profits Run หรืออาจพิจารณาทยอยขายทำกำไรได้บ้าง ตามความเหมาะสม (Sell on Rally)
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดยังคงคาดหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด จากรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ที่ออกมาต่ำกว่าคาด
นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันเพิ่มเติมจากการแข็งค่าขึ้นของเงินยูโร (EUR) หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ECB จะไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยเหมือนกับเฟด ขณะเดียวกัน บรรยากาศเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินก็มีส่วนกดดันเงินดอลลาร์เพิ่มเติม ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 101.1 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 101.1-101.8 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การปรับตัวอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ตามความหวังการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด ได้หนุนให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวขึ้นแรง +1.6% สู่ระดับ 2,587 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดใหม่ (All-Time High) และการปรับตัวขึ้นของราคาทองคำดังกล่าว ก็เปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดทยอยขายทำกำไรทองคำเพิ่มเติม โดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำก็มีส่วนหนุนการแข็งค่าของเงินบาท
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของสหรัฐฯ ที่สำรวจโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ในเดือนกันยายน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาว (Inflation Expectations) จากรายงานดังกล่าวด้วยเช่นกัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทแตะระดับแข็งค่าสุดในรอบ 19 เดือนครั้งใหม่ที่ 33.32 บาทต่อดอลลาร์ฯ (แข็งค่าสุดนับตั้งแต่ต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2566) ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับ 33.33-33.35 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.35 น.) แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ
ทั้งนี้เงินบาทขยับแข็งค่าขึ้น โดยมีแรงหนุนสำคัญจากการพุ่งขึ้นของราคาทองคำในตลาดโลกที่ทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ ประกอบกับน่าจะมีแรงหนุนเพิ่มเติมจากแรงขายเงินดอลลาร์ฯ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเงินยูโร หลังการประชุมธนาคารกลางยุโรป เพราะแม้ธนาคารกลางยุโรปจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมรอบนี้ลง 0.25% ตามที่ตลาดคาด แต่ยังไม่มีสัญญาณลดดอกเบี้ยในการประชุมรอบหน้าในเดือนตุลาคม
นอกจากนี้เงินดอลลาร์ ยังมีปัจจัยลบจากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และดัชนีราคาผู้ผลิตที่ออกมาต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาดด้วยเช่นกัน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.25-33.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในเอเชีย ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. ของยูโรโซน และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (เบื้องต้น) เดือนก.ย. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ไขข้อสงสัย กีฬาฟันดาบ “ฟอยล์, เอเป้, เซเบอร์” แต่ละประเภทแตกต่างกันอย่างไรบ้าง?
กีฬาฟันดาบ เป็น 1 ใน 9 ชนิดกีฬาที่มีการแข่งขันในโอลิมปิกสมัยใหม่ครั้งแรก เมื่อปี 1896 และเป็น 1 ใน 5 ชนิดกีฬาที่มีการแข่งขันในโอลิมปิกทุกครั้งจนถึงปัจจุบัน ร่วมกับ กรีฑา, จักรยาน, ยิมนาสติก และว่ายน้ำ
กีฬาฟันดาบ เป็นการต่อสู้ระหว่างคน 2 คนโดยมีดาบเป็นอาวุธ ต่างฝ่ายต่างต้องแทงคู่ต่อสู้เพื่อสะสมคะแนน ในประเภทบุคคล ใครทำได้ 15 คะแนนก่อนก็เป็นผู้ชนะ ส่วนประเภททีม จะมีสมาชิก 3 คน (บวกอีก 1 ตัวสำรอง) ลงแข่งแบบพบกันหมด ซึ่งนักกีฬาแต่ละคนจากแต่ละทีมจะเจอกับนักกีฬาคู่แข่งแบบตัวต่อตัวในเวลาเดียวกัน แต่ละคู่ลงแข่ง 3 ยก ยกละ 3 นาที ทีมใดได้ 45 คะแนนก่อน หรือได้คะแนนรวมมากกว่าจะเป็นผู้ชนะไป
สำหรับความแตกต่างของดาบทั้ง 3 แบบ มีดังนี้
1. Foil (ฟอยล์) น้ำหนักเบา โกร่งดาบกลมขนาดเล็ก ด้ามดาบมีรูปร่างคล้ายไกปืน ใช้แทง พื้นที่เป้าหมายจำกัดแค่บริเวณลำตัว ดาบฟอยล์ ต้องหนักไม่เกิน 200 กรัม ส่วนที่เป็นใบต้องมีความยืดหยุ่นประมาณ 5.5-9.5 ซม. ถ้าแขวนของหนัก 200 กรัม ที่กระบังดาบ ใบดาบจะต้องคงตัวไม่ยืดหยุ่นจากปลายดาบ 70 ซม. สำหรับดาบฟอยล์ไฟฟ้า แสงไฟจะปรากฎเมื่อมีแรงกดที่ปลายดาบมากกว่า 500 กรัม
2. Épée (เอเป้) น้ำหนักมาก ใช้แทง โกร่งดาบกลมขนาดใหญ่ พื้นที่เป้าหมายไม่จำกัด สามารถแทงติดกัน 2 ครั้งได้ ดาบเอเป้ ต้องหนักไม่เกิน 700 กรัม ใบดาบต้องเหยียดตรงให้มากที่สุด มีความยืดหยุ่นตัวประมาณ 4.5-7 ซม. (วิธีวัดเช่นเดียวกับดาบฟอยล์) สำหรับดาบเอเป้ไฟฟ้า การฟันจะต้องใช้แรงกดที่ปลายดาบมากกว่า 750 กรัม แสงไฟจึงจะปรากฎ
3. Sabre (เซเบอร์) น้ำหนักเบา ใช้ฟัน และแทงได้บางจังหวะ โกร่งดาบมีส่วนโค้งคลุมด้านหลังมือ พื้นที่เป้าหมายเหนือสะโพกขึ้นไปยกเว้นด้านหลังศีรษะและมือ ดาบเซเบอร์ ต้องหนักไม่เกิน 500 กรัม ใบดาบต้องไม่ยืดหยุ่นหรือตึงจนเกินไป ถ้ามีรอยโค้งต้องโค้งตลอดแนวน้อยกว่า 4 ซม. และต้องไม่โค้งในทิศทางเดียวกับสันดาบข้างที่ใช้ฟัน
ในการแข่งดาบแต่ละประเภทก็จะมีลักษณะและกติกาต่างกัน โดย ดาบเอเป้ และ ดาบฟอยล์ เป็นดาบที่เล่นโดยการแทง โกร่งดาบ(ที่บังมือ)มีลักษณะกลม แต่โกร่งดาบของฟอยล์จะเล็กกว่าของเอเป้เล็กน้อย บนใบดาบมีสายไฟฟ้าเส้นเล็กๆ เดินทอดตามไปด้วยจากปลายหัวดาบที่เป็นสวิตช์ไปยังด้ามดาบ จากด้ามดาบจะมีสายต่อผ่านข้อมือสอดไปตามเสื้อไปออกที่บริเวณเอว แล้วต่อไปยังเครื่องตัดสินไฟฟ้า เมื่อผู้แทงดาบให้หัวดาบกระทบเป้าสวิตช์ที่หัวดาบจะทำงานทำให้ไฟที่เครื่องตัดสินไฟฟ้าสว่างขึ้น
ส่วน ดาบเซเบอร์ เป็นดาบที่เล่นโดยการฟัน แต่สามารถแทงได้บางจังหวะของการเล่น โกร่งดาบจะมีแถบคลุมด้านหลังมือคล้ายกระบี่ ดาบชนิดนี้ใบดาบทั้งเล่มเป็นสื่อไฟฟ้า เมื่อส่วนของดาบกระทบเป้า ฝ่ายตรงกันข้ามจะทำให้ไฟที่เครื่องตัดสินสว่างขึ้น ส่วนบริเวณที่ทำแต้มก็มีกำหนดไว้เฉพาะด้วย
พื้นที่เป้าหมาย ดาบฟอยล์ มีเป้าหมายบริเวณลำตัวเท่านั้น, ดาบเอเป้ สามารถแทงได้ทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า ส่วน ดาบเซเบอร์ จะฟันได้เฉพาะลำตัวส่วนบนเหนือเอว ยกเว้นมือและหลังมือ
ทั้งนี้ อุปกรณ์สำคัญอีกอย่างก็คือ ชุดที่นักกีฬาสวมใส่ โดยผู้เข้าแข่งขันจะต้องสวมชุดที่ทำจากผ้าเนื้อเหนียวสีขาว ซึ่งจะต้องไม่เรียบลื่นจนปลายดาบลื่นไถลเมื่อแตะถูก ต้องสวมเครื่องป้องกันภายใน (Plastron) และสวมหน้ากาก, ถุงมือ ซึ่งต้องบุตรงฝ่ามือเล็กน้อยและยาวเกินศอก, เสื้อคอตั้ง อาจไม่จำเป็นที่จะต้องยาวเต็มตัว แต่ต้องป้องกันส่วนใต้แขนได้ และต้องสวมเสื้อเกราะหรือโลหะในการแข่งขันประเภทดาบฟอยล์และเอเป้ ส่วนในประเภทดาบฟอยล์หญิง จะต้องมีเครื่องป้องกันทรวงอกอยู่ข้างในเสื้อเกราะด้วย
ในการแข่งขันอย่างเป็นทางการจะมีสายไฟฟ้าต่อกับดาบที่นักกีฬาถืออยู่และต่อไปยังเครื่องตัดสินไฟฟ้า เมื่อมีการได้แต้มจะมีไฟแสดงเป็นสัญญาณว่ามีการทำแต้มเกิดขึ้นนั่นเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รู้จักโรค “จอตาบวมน้ำ” แค่เครียดก็เป็นได้
โรคจอตาบวมน้ำ เป็นโรคตาที่ไม่ได้เกิดจากเชื้อโรค อาการที่สังเกตได้ คือ การมองเห็นวงดำกลางตาเวลามอง หรือมองเห็นภาพเบี้ยว
โรคจอตาบวมน้ำ คืออะไร
นายแพทย์ไพโรจน์ สุรัชวนิช รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า โรคทางตา นอกจากสาเหตุจากเชื้อโรครอบตัวเราแล้ว อาจเกิดจากภาวะผิดปกติของร่างกายได้เช่นกัน เช่น โรคจอตาบวมน้ำ ที่ไม่ได้มีสาเหตุการเกิดจากเชื้อโรค จะพบได้ในผู้ที่มีช่วงอายุ 25-55 ปี เพศชายมากกว่าเพศหญิง และในกลุ่มผู้ที่จริงจังกับชีวิตและเครียดง่าย การใช้ยารักษาโรคบางชนิด โดยเฉพาะยากลุ่มสเตอรอยด์
สาเหตุของโรคจอตาบวมน้ำ
นายแพทย์อภิชัย สิรกุลจิรา ผู้อำนวยการโรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวเพิ่มว่า โรคจอตาบวมน้ำ มาจากการทำงานผิดปกติของเซลล์ในจอประสาทตาทำให้มีการรั่วของสารน้ำเข้ามาในชั้นใต้ต่อจอตา จึงเกิดการบวมน้ำขึ้น สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากภาวะความเครียด กลุ่มผู้มีบุคลิกภาพจริงจังกับชีวิตค่อนข้างเครียด ( Type A personality) ซึ่งนอกจากความเครียดแล้ว ยาบางชนิดเช่น ยารักษาผู้ป่วยทางจิตเวช ยาสเตอรอยด์ รวมทั้งยังมีปัจจัยเสี่ยงอื่นๆ อีก เช่น การสูบบุหรี่
อาการของโรคจอตาบวมน้ำ
นายแพทย์เอกชัย อารยางกูร รองผู้อำนวยการด้านจักษุวิทยา โรงพยาบาลเมตตาประชารักษ์ (วัดไร่ขิง) กล่าวถึงอาการของโรคจอตาบวมน้ำว่า ผู้ที่เป็นโรคนี้จะมีอาการ ดังนี้
- มองเห็นวงดำบริเวณกลางตาเวลามอง หรืออ่านหนังสือ
- บางรายเห็นเป็นภาพเบี้ยว
วิธีรักษาโรคจอตาบวมน้ำ
แนวทางการรักษาคือควรควบคุมปัจจัยเสี่ยง เช่น
- การใช้ยาสเตอรอยด์
- พยายามลดหลีกเลี่ยงความเครียด
- ในกรณีที่ผู้ป่วยบางรายที่มีพฤติการณ์สูบบุหรี่ควรลดสูบบุหรี่
ผู้ป่วยส่วนใหญ่ 80-90 % จะสามารถกลับมามองเห็นได้ปกติ ภายใต้การดูแลรักษาของจักษุแพทย์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
AI กับการเมืองเรื่องสิ่งแวดล้อมและพลังงาน
การใช้เทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในภาคเอกชนและภาครัฐ ได้เปิดยุคใหม่ของการเมืองเรื่องสิ่งแวดล้อมและพลังงาน ซึ่งทวีรุนแรงจากการแย่งชิงทรัพยากรในการประมวลผล พัฒนาและปรับใช้ตัวแบบ AI ขั้นสูงหรือ Generative AI ที่เชื่อมโยงกับการใช้พลังงานและน้ำอย่างสุดขีด
เทคโนโลยี AI ถูกคาดการณ์ว่าจะเป็นรากฐานสำคัญของนวัตกรรมทางการทหาร การแข่งขันอิทธิพลของมหาอำนาจและการแย่งชิงพลังงาน (ไฟฟ้า) ไม่เพียงเป็นความพยายามเพื่อผลกำไร นวัตกรรมและความเป็นผู้นำทางเทคโนโลยี แต่ยังเกี่ยวข้องอย่างมีนัยสำคัญกับความมั่นคงแห่งชาติ
ความต้องการใช้พลังงานอย่างเข้มข้นของ Generative AI เชื่อมโยงกับความต้องการใช้ไฟฟ้าของศูนย์ข้อมูล (data center) บริการระบบคอมพิวเตอร์แบบเครือข่ายออนไลน์ (cloud service) และวงจรอิเล็กทรอนิกส์ขนาดเล็ก (chips) ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ตัวอย่างเช่น การสืบค้นข้อมูลบน ChatGPT อาจใช้พลังงานมากกว่าการสืบค้นจาก Google ถึง 25 เท่า
วงจรชีวิตการสร้างตัวแบบ AI มีขั้นตอนที่กระทบสิ่งแวดล้อมมากที่สุด คือ การฝึกตัวแบบการเรียนรู้ของเครื่องจักร (Machine Learning) โดยอัลกอริธึมเรียนรู้ข้อมูลการฝึกเพื่อคาดการณ์และหรือตัดสินใจด้วยการอนุมาน (inference) ข้อสรุปที่ได้มาจากความรู้และความเข้าใจ
รองศาสตราจารย์ Mosharaf Chowdhury แห่งภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์มหาวิทยาลัยมิชิแกน ระบุว่า การฝึกตัวแบบ GPT-3 หนึ่งรอบใช้พลังงานไฟฟ้า 1,287 MWh ซึ่งเพียงพอสำหรับใช้ในครัวเรือนทั่วไปของสหรัฐฯ เป็นเวลา 120 ปี
ขณะที่ World Economic Forum ระบุว่าขั้นตอนการอนุมานของตัวแบบ AI มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมถึงร้อยละ 80 ส่วนขั้นตอนการฝึกกระทบร้อยละ 20
Petr Spelda และ Vit Stritecky แห่งมหาวิทยาลัย Charles ได้ศึกษาวิจัยต้นทุนด้านสิ่งแวดล้อมของการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์กับ AI พบว่า ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ที่จำเป็นสำหรับการประมวลผล ML เพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าทุก ๆ 3.4 เดือนตั้งแต่ปี 2012
การประมวลผลในปัจจุบันใช้เวลาหลายร้อยเพตาฟลอป/วินาที ตัวแบบ ML ถูกปรับให้มีความแม่นยำเกินกว่าที่จำเป็น ส่งผลให้การดำเนินการไม่มีประสิทธิภาพและเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม
สำนักงานพลังงานระหว่างประเทศ (IEA) ประเมินว่า ภายในปี 2026 การใช้พลังงานทั่วโลกของศูนย์ข้อมูล สกุลเงินดิจิทัล (cryptocurrency) และ AI จะเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่าหรือปริมาณการใช้ไฟฟ้าของญี่ปุ่นทั้งประเทศ
ขณะที่ Rene Haas ผู้บริหารบริษัท Arm เตือนว่าภายในสิ้นทศวรรษนี้ ศูนย์ข้อมูล AI อาจใช้พลังงานไฟฟ้าร้อยละ 20 – 25 ของความต้องการพลังงานของสหรัฐฯ ปัจจุบันความต้องการพลังงานอยู่ที่ร้อยละ 4 หรือต่ำกว่า
สหรัฐฯ เป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่อันดับสองของโลกรองจากจีน ความต้องการใช้ไฟฟ้าจะเพิ่มขึ้นหากทั้งสองประเทศยังคงแข่งขันกันในด้านเทคโนโลยีและการทหาร ประเทศอื่นๆ ที่ใช้ไฟฟ้ามากที่สุด ได้แก่ รัสเซีย อินเดีย ญี่ปุ่น บราซิล และเกาหลีใต้
ในปี 2022 กระทรวงกลาโหม (DoD) สหรัฐฯ ประเทศเดียวเป็นผู้ใช้ไฟฟ้ารายใหญ่ที่สุด โดยใช้พลังงานร้อยละ 76 ของการใช้พลังงานของรัฐบาลกลาง ระบบป้องกันประเทศของสหรัฐฯใช้ AI ประมวลผลต่าง ๆ เช่น การวิเคราะห์เชิงคาดการณ์ ยานพาหนะขับเคลื่อนอัตโนมัติ ความปลอดภัยทางไซเบอร์และการดำเนินงานข่าวกรอง
สถาบันความมั่นคงแห่งชาติ มหาวิทยาลัย George Mason ระบุว่าในขอบเขตของการป้องกันและความมั่นคงของชาติ AI “ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานอย่างมีนัยสำคัญ ตัดสินใจอย่างแม่นยำและได้เปรียบในเชิงกลยุทธ์ ช่วยประมวลผลข้อมูลจำนวนมหาศาล ระบุภัยคุกคามและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ทรัพยากร”
การบูรณาการ AI เข้ากับการปฏิบัติการประจำวันของกองทัพสหรัฐฯ ทำให้ปริมาณการใช้ไฟฟ้ากระทรวงกลาโหมเพิ่มขึ้นแบบทวีคูณ ความต้องการใช้ไฟฟ้าอย่างสุดขีดของ AI ส่งผลต่อโครงข่ายไฟฟ้าและการตระหนักถึงความสำคัญของ AI
กระทรวงพลังงาน (DOE) สหรัฐฯ ได้ประกาศเมื่อต้นกรกฎาคม 2024 เกี่ยวกับ Frontiers in AI for Science, Security and Technology (FASST) ซึ่งเป็นแผนงานที่ออกแบบเพื่อ “ช่วยควบคุม AI เพื่อประโยชน์สาธารณะ” รวมถึงในด้านความมั่นคงของชาติ
ข้อมูลของ Axios บ่งชี้ว่า “DOE มีเป้าหมายจะสร้างซูเปอร์คอมพิวเตอร์ AI ที่ประหยัดพลังงานและช่วยจัดการความท้าทายในการพัฒนาเทคโนโลยีนี้โดยไม่ทำให้การใช้พลังงานพุ่งขึ้น ซึ่ง Jennifer Granholm รัฐมนตรีกระทรวงพลังงานสหรัฐฯระบุว่าเป็นข้อกังวลอันดับต้นๆ”
โครงข่ายไฟฟ้าสหรัฐฯส่วนใหญ่สร้างขึ้นในช่วงทศวรรษ 1960 และ 1970 แม้บางส่วนได้รับการยกระดับมาตรฐาน แต่โครงสร้างพื้นฐานที่เก่าแก่ต้องตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้าในครัวเรือนและ AI ด้วยเหตุนี้ ความต้องการระบบโครงข่ายไฟฟ้าที่ทันสมัย ซึ่งขับเคลื่อนด้วยพลังงานสะอาดที่มีประสิทธิภาพจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน
เนื่องจากประเทศต่าง ๆ เช่น จีนและรัสเซียสามารถเข้าถึงทรัพยากรจำนวนมหาศาล เช่น แร่ธาตุสำคัญ กำลังการผลิตขั้นสูงและความพยายามเร่งการใช้ AI ในทางการทหาร ความสามารถในการขับเคลื่อนระบบเหล่านี้จึงกลายเป็นเรื่องความมั่นคงของชาติ
สำหรับไทย การเติบโตของศูนย์ข้อมูลและ AI ยังคงเผชิญความท้าทายจากทรัพยากรพลังงานมีจำกัด ค่าไฟฟ้าสูงกว่าประเทศเพื่อนบ้านและที่ตั้งไม่โดดเด่นทางยุทธศาสตร์ คาดว่าความจุของศูนย์ข้อมูลในอาเซียนจะเพิ่มขึ้น 9 เท่าภายในปี 2035 นำโดยมาเลเซียและอินโดนีเซีย ส่วนแบ่งตลาดของไทยจะลดลงเล็กน้อย ทั้งนี้มาเลเซียจะได้ประโยชน์จากอุปสงค์เพิ่มขึ้นของสิงคโปร์ที่มีข้อจำกัดด้านพื้นที่และการจัดหาพลังงานไม่เพียงพอ.
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
7 ผลไม้ต้านมะเร็ง กินได้ทุกวันทั้งก่อน และหลังป่วย
หากเราลองมองรอบตัวให้ดี จะพบว่าการดำเนินชีวิตของเรานั้นมีความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคมะเร็งได้ วันนี้หมอมีวิธีที่จะป้องกันไม่ให้โรคร้ายมาเยือนหรือช่วยบรรเทาให้อาการของโรคเบาบางลงง่าย ๆ คือการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ รวมถึง ผลไม้ต้านมะเร็งทั้ง 7 อย่าง
7 ผลไม้ต้านมะเร็ง กินได้ทุกวัน
มังคุด
สารสกัดจากมังคุดช่วยสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวชนิด TH1 และ TH 17 ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยกำจัด และป้องกันการเกิดเซลล์มะเร็งเกือบทุกชนิดได้ ไม่เว้นแม้แต่มะเร็งเต้านม อีกทั้งเซลล์เม็ดเลือดขาว TH1 ยังเป็นสารกระตุ้นภูมิคุ้มกันในร่างกายให้แข็งแรง สามารถช่วยป้องกันโรคได้ดีขึ้น
ทับทิม
น้ำทับทิมอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระหลายชนิดที่มีประสิทธิภาพค่อนข้างสูง และยังมีไฟโตนิวเทรียนท์ รวมถึงกรดเอลลาจิก (Ellagic Acid) ที่มีคุณสมบัติช่วยป้องกันการเปลี่ยนแปลงของเซลล์ในร่างกายมนุษย์ และยับยั้งการขยายตัวของเซลล์ผิดปกติซึ่งอาจจะกลายเป็นเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะเซลล์มะเร็งผิวหนัง มะเร็งลำไส้ มะเร็งตับ มะเร็งเต้านม และมะเร็งต่อมลูกหมาก
ส้ม
นอกจากส้มรวมไปถึงมะนาว และเลม่อน จะเปี่ยมไปด้วยวิตามินซีแล้ว ยังมีคุณสมบัติต้านมะเร็งได้เป็นอย่างดี เนื่องจากมีสารแคโรทีนอยด์ค่อนข้างสูง มีสารต้านอนุมูลอิสระมากมาย มีส่วนช่วยลดโอกาสในการเกิดมะเร็งที่ปาก กล่องเสียง
มันเทศ
ในมันเทศหรือมันหวานยังเปี่ยมไปด้วยกรดคาเฟโออิวควินิก (Caffeoylquinic Acid) ซึ่งมีคุณสมบัติช่วยลดความเสี่ยงโรคมะเร็งเต้านม
องุ่น
องุ่นเขียวอุดมไปด้วยสารต้านอนุมูลอิสระ สามารถช่วยให้ร่างกายป้องกันมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งต่อมลูกหมากได้ ในขณะที่องุ่นแดงนั้นช่วยยับยั้งเซลล์มะเร็งและช่วยป้องกันเนื้องอกได้อีกด้วย
ลิ้นจี่
ในเนื้อลิ้นจี่ และเปลือกลิ้นจี่มีสารฟลาโวนอยด์หลายชนิด ซึ่งสารฟลาโวนอยด์ในลิ้นจี่นั้นมีฤทธิ์ต้านเซลล์มะเร็งได้ โดยเฉพาะมะเร็งเต้านม
เบอร์รี่
ผลไม้ตระกูลเบอร์รี่ โดยเฉพาะบลูเบอร์รี่มีสารพฤกษเคมี จำพวกแอนโทไซยานิน (Anthocyanins) สูง ซึ่งช่วยชะลอการเกิดเซลล์มะเร็ง และลดเซลล์มะเร็งเต้านมในหนูทดลองได้ถึง 60-75%
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่สุดคือทานอาหารให้หลากหลาย ครบ 5 หมู่ ในปริมาณที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกาย ไม่มากหรือน้อยเกินไป
สนับสนุนข้อมูลโดย นพ.วิกรม เจนเนติสิน
แพทย์เฉพาะทางอายุรศาสตร์มะเร็งวิทยาและเคมีบำบัด
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ตอบกลับ อีเมลภาษาอังกฤษ แบบนี้เวริ์คกว่า!
การเขียนจดหมายธุรกิจ
Email (อีเมล) คือ ช่องทางการติดต่อสื่อสารในการทำงาน แบบเป็นทางการที่สำคัญ ในชีวิตประจำวัน ที่คนส่วนใหญ่นิยมใช้กันทั่วโลก ทั้งการติดต่อประสานงานภายในบริษัท หรือ ในการเจรจาธุรกิจ จึงทำให้การตอบกลับอีเมล มีความสำคัญเช่นกัน
เอ็ด ดู เฟิร์สท์ จึงเลือกประโยคภาษาอังกฤษทางการ เพิ่มความน่าเชื่อถือ ให้คุณตอบอีเมล ในการทำงานได้อย่างมือโปร
การตอบกลับ อีเมลภาษาอังกฤษ
ตัวอย่างข้อความตอบกลับ email
Χ แบบนี้ไม่เวิร์ค
I just wanted to check in.
ฉันจะทราบความคืบหน้าได้เมื่อไหร่
O ตอบแบบนี้เวิร์คกว่า
When can I expect an update.
ฉันจะทราบความคืบหน้าได้เมื่อไหร่
Χ แบบนี้ไม่เวิร์ค
Sorry for the delay.
ขอโทษสำหรับความล่าช้า
O ตอบแบบนี้เวิร์คกว่า
Thanks for your patience.
ขอบคุณที่อดทนรอ
Χ แบบนี้ไม่เวิร์ค
Thank you for the reminder
ขอบคุณที่ช่วยเตือนนะ
O ตอบแบบนี้เวิร์คกว่า
When can I expect an update.
ฉันจะทราบความคืบหน้าได้เมื่อไหร่
Χ แบบนี้ไม่เวิร์ค
Do you have any question?
คุณมีคำถามไหม
O ตอบแบบนี้เวิร์คกว่า
Let me know if you have any questions
สอบถามมาได้เลยหากคุณสงสัย
Χ แบบนี้ไม่เวิร์ค
I look forward to meet you.
ฉันหวังว่าเราจะได้พบกันเร็วๆ นี้
O ตอบแบบนี้เวิร์คกว่า
Looking forward to meeting you
ฉันหวังว่าเราจะได้พบกันเร็วๆ นี้
ตอบกลับ อีเมลอัตโนมัติ ภาษาอังกฤษ “เมื่อไม่อยู่ออฟฟิต”
ตัวอย่างข้อความตอบกลับ email
Thank you for your email. Your message is important to (Us/Me) and (I/We) will respond as soon as possible.
⠀⠀ ⠀
Thanks!
[Your Name]
I will be out of the office from (Starting date) until (End date). If you need immediate assistance please contact (Contact Person).
⠀⠀ ⠀
Respectful Regards,
[Your Name]
I will be out of the office starting (Starting Date) through (End Date) returning(Date of Return).
If you need immediate assistance during my absence, please contact (Contacts Name) at (Contacts Email Address).
Otherwise I will respond to your emails as soon as possible upon my return.
⠀
Kindest Regards,
[Your Name]
I will be away from (Date) until (Return Date). For urgent matters, you can contact (Contact Person).
With Regards,
[Your Name]
I will be out of the office this week. If you need immediate assistance while I’m away, please email (Contact Email Address).
⠀⠀
Respectfully,
[Your Name]
Thank you for your message. I am currently out of the office, with no email access. I will be returning on (Date of Return).
If you need immediate assistance before then, you may reach me at my mobile – (Mobile Number).
Sincerely,
[Your Name]
Thanks for the email!. I’m currently out of my office and will be back at (Date of Return). I will have very limited or no access to my email.
For immediate assistance please contact me on my cell phone at (your cell phone number).
Kind Regards,
[Your Name]
ขอบคุณข้อมูลจาก edufirstschool.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 13/09/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,350.00 | 40,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,614.00 | 39,628.24 | 40,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,352.60 | 35,665.42 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,091.20 | 31,702.59 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,176.00 | 17,828.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 915.00 | 13,871.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,709.00 | 41,068.44 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 13/09/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.35 | 35.35 | 35.65 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 | 35.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 34.98 | 34.98 | 35.28 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 | 34.98 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.24 | 33.24 | 33.54 | 33.24 | 33.24 | – | 33.24 | 33.24 | 33.24 | 33.24 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.99 | 32.99 | – | – | – | – | – | – | – | 32.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 43.94 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 43.94 |
เบนซิน 95 | 43.44 | – | – | – | 49.81 | – | 43.94 | 43.59 | – | 43.44 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 18.59 | 18.59 | – | – | – | – | – | – | – | 18.59 |