แสนสิริส่ง“เดอะ เบส”รุกขอนแก่นระบุมียอดขายกว่า60%
แสนสิริเดินเกมรุกหัวเมืองใหญ่ต่างจังหวัดเตรียมโอน“เดอะ เบส ดาวน์ทาวน์ ขอนแก่น” จำนวน 478 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 900 ล้านบาทดีเดย์ 17 – 18 ก.พ. นี้เริ่มต้น1.65 ล้าน ระบุมียอดขายกว่า 60%
- แม้ว่าขอนแก่น “ไม่ใช่ “หัวเมืองท่องเที่ยวอย่างพัทยา หัวหิน ภูเก็ต แต่ด้วยการที่เป็นเมืองที่มีสถานศึกษา เช่น มหาวิทยาลัยขอนแก่น และมหาวิทยาลัยอื่น ๆ อีกหลายแห่ง
- ที่สำคัญยังได้รับการประกาศให้เป็นเมืองอัจฉริยะ นำร่อง 1 ใน7ของประเทศไทย จึงดึงดูดดีเวลลอปเปอร์รายใหญ่อย่างเข้ามาลงทุนพัฒนาโครงการบ้าน คอนโดมิเนียมอย่างต่อเนื่องเพราะเป็นแหล่งรวมดีมานด์อสังหาฯภาคอีสาน
นายอุทัย อุทัยแสงสุข ประธานผู้บริหารสายงานปฎิบัติการ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า แสนสิริลุยตรวจสอบความพร้อมของคอนโดมิเนียม “เดอะ เบส ดาวน์ทาวน์ ขอนแก่น” ที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มลูกค้า โดยมียอดขายแล้วถึง 60% จากจำนวน 478 ยูนิต มูลค่าโครงการรวม 900 ล้านบาท นับเป็นความสำเร็จต่อจากเดอะ เบส ไฮท์ – มิตรภาพ ขอนแก่น คอนโดมิเนียมโครงการแรกของแสนสิริในจังหวัดขอนแก่น
โดยล่าสุด โครงการเดอะ เบส ดาวน์ทาวน์ ขอนแก่น สร้างเสร็จสมบูรณ์ เตรียมพร้อมส่งมอบห้องพักอาศัยให้กับลูกค้า โดยจะเปิดให้เข้าชมตึกจริงครั้งแรก วันที่ 17 – 18 ก.พ.นี้ หลังจากปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ประสบความสำเร็จในการจัดงาน Credit Day ที่มีลูกค้าแห่เข้าร่วมงานเพื่อตรวจสอบความพร้อมก่อนการยื่นกู้พร้อมรับคำปรึกษาด้านการเงินจากสถาบันการเงินต่างๆ เป็นจำนวนมากถึง 80% ของยอดจองทั้งหมด
แสดงให้เห็นถึงเรียล ดีมานด์ความต้องการอยู่อาศัยจริงจากความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริ ตอกย้ำผู้นำแบรนด์อันดับหนึ่งของคนอยากมีบ้านในด้านการพัฒนาโปรดักส์ที่ตอบโจทย์และตรงใจกับความต้องการของผู้บริโภคในทุกเซกเมนต์ทั้งดีไซน์ ฟังก์ชัน คุณภาพ และบริการครอบคลุมทุกช่วงของการอยู่อาศัย พร้อมมุ่งนำเสนอไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่มากกว่า ตลอดจนส่งมอบมาตรฐานการดูแลเพื่อชีวิตดี ๆ ให้กับทุกคนในทุกวันกับแสนสิริ ภายใต้แนวคิด YOU Are Made for Life เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าทุกวัย
นอกจากนี้ ความสำเร็จของโครงการยังมาจากจุดเด่น คอนโดใหม่ล่าสุดจากแสนสิริ แต่งครบพร้อมอยู่ คลับเฮาส์และส่วนกลางจัดเต็ม มีแสนสิริ เซอร์วิสที่โดดเด่นด้วย LIV24 หรือเทคโนโลยีดูแลความปลอดภัยอัจฉริยะ เรียลไทม์ตลอด 24 ชั่วโมง และทำเลที่ตั้งโครงการ เพียง 5 นาทีจากเซ็นทรัล ขอนแก่น เดินทางง่าย เชื่อมต่อถนนหลากหลายสายที่สำคัญของเมืองขอนแก่น
ทั้งถนนศรีจันทร์, ถนนเทพารักษ์ และถนนมิตรภาพเชื่อมต่อจังหวัดใกล้เคียง แวดล้อมด้วยสถานที่สำคัญและใกล้แหล่งไลฟ์สไตล์ อาทิ ฮักซ์ มอลล์, ตลาดต้นตาล, มหาวิทยาลัยขอนแก่น, โรงพยาบาลขอนแก่นราม และราคาที่คุ้มค่า เริ่มต้นเพียง 1.65 ล้านบาท พร้อมให้ผลตอบแทนและ Capital Gain สูง อ้างอิงจาก Capital Gain ของโครงการแรก เดอะ เบส ไฮท์ – มิตรภาพ ขอนแก่น เฉลี่ยที่ 15 – 60% และ Yield เฉลี่ยอยู่ที่ 6%
“ความต้องการที่อยู่อาศัยในขอนแก่น สอดคล้องกับศักยภาพของจังหวัดที่มีความโดดเด่นในการเป็นเมืองการศึกษาและการแพทย์ นับเป็นเมืองมหาวิทยาลัยและศูนย์กลางของภาคอีสานที่ไม่เพียงดึงดูดแค่กลุ่มคนรุ่นใหม่ในขอนแก่น แต่ยังดึงความสนใจจากคนรุ่นใหม่ของหลายจังหวัดภาคอีสานให้เข้ามา ” นายอุทัย กล่าว
นอกจากนี้ขอนแก่นยังวางเป้าเป็นศูนย์กลางทางการแพทย์ของภาคอีสานที่มีการลงทุนจากภาคเอกชนทำศูนย์ประชุมขนาดใหญ่รองรับตลาดประชุมและสัมมนาหรือตลาดไมซ์ (MICE)ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการประชุมของกลุ่มการแพทย์และการศึกษา ทำให้เกิดการหมุนเวียนของกลุ่มคนที่เข้ามา สร้างแรงขับเคลื่อนทางเศรษฐกิจรวมถึงขอนแก่นในอนาคต ยังมีแนวโน้มที่จะถูกยกระดับจากศูนย์กลางของภาคอีสาน เป็นศูนย์กลางของภูมิภาคอาเซียน
โดยเฉพาะฝั่งใกล้กับประเทศเพื่อนบ้าน พม่า ลาว เวียดนาม ซึ่งจะส่งผลบวกกับตลาดที่อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน ยังรวมถึงปัจจัยบวกด้านการลงทุนของโครงการเมกะโปรเจ็กต์ต่างๆ จากภาครัฐที่มีแผนการพัฒนาเมืองในด้านโครงสร้างพื้นฐานการคมนาคมขนส่ง รวมถึงมาตรการส่งเสริมภาคการท่องเที่ยว ที่จะส่งผลต่อความต้องการที่พักอาศัยของชาวต่างชาติ ทำให้คาดว่าสถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของขอนแก่นจะมีดีมานต์เพิ่มขึ้น รวมกับความเชื่อมั่นในแบรนด์แสนสิริทำให้คาดว่า โครงการเดอะ เบส ดาวน์ทาวน์ ขอนแก่นจะประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ตราเพชรชูไดมอนด์ โซลูชั่นตั้งเป้าปี67โต 5%
ตราเพชร เผยผลงานปี 66 เติบโตเกินเป้าหมายเป็นปีที่ 2 ติดต่อกันรายได้ 5.6พันล้านเหนือคู่แข่งแย้มแผนปี67ชูไดมอนด์ โซลูชั่นดันรายได้โต 5%
นายสาธิต สุดบรรทัด ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ผู้ผลิตและจำหน่ายระบบหลังคา ไม้สังเคราะห์และบอร์ดไฟเบอร์ซีเมนต์ บอร์ดตกแต่งผนัง อิฐมวลเบา ไม้บันได SPC-FC ร้านกาแฟสำเร็จรูป (DIAMOND Cafe) และบริการติดตั้งโครงหลังคาและกระเบื้องหลังคา ภายใต้เครื่องหมายการค้า ‘ตราเพชร’ เปิดเผยถึงภาพรวมการดำเนินงานรอบปี 2566 บริษัทฯ ประสบความสำเร็จในการผลักดันการเติบโตของรายได้สูงกว่าเป้าหมายติดต่อกันเป็นปีที่ 2 โดยทำรายได้รวม 5,646.88 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.56% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
ซึ่งปัจจัยความสำเร็จดังกล่าวมาจากศักยภาพการดำเนินธุรกิจของ DRT ที่มีความแข็งแกร่งจากความได้เปรียบเชิงการแข่งขันในด้านแบรนด์สินค้า ‘ตราเพชร’ เป็นที่ยอมรับของลูกค้าและผู้บริโภค รวมถึงดำเนินกลยุทธ์การตลาดด้วยแนวคิด ‘สวยครบเซต ตราเพชรทั้งหลัง’ ที่โดดเด่นด้านความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุม ทั้งกลุ่มร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายย่อย กลุ่มห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างสมัยใหม่และลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ และส่งออกสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศ
ขณะเดียวกัน ด้วยแนวทางการบริหาร Product Mix เพื่อสนับสนุนการทำกำไรขั้นต้น และความมุ่งมั่นในการบริหารจัดการด้านประสิทธิภาพการผลิตที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่องเพื่อจัดการความเสี่ยงด้านต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้น โดยรักษาอัตราการเดินเครื่องจักรเฉลี่ยทั้งปี 80-90% ทำให้ต้นทุนต่อหน่วยการผลิตต่ำ เพื่อสนับสนุนความสามารถทางการแข่งขันของ ‘ตราเพชร’ ส่งผลให้อัตราการทำกำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นตามลำดับ ทำให้ทั้งปีสามารถทำได้ 25-27% ตามเป้าหมาย ช่วยสนับสนุนให้กำไรสุทธิทั้งปีอยู่ที่ 637.51 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1.90% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา
“ในปี 2566 เรามุ่งมั่นทำงานอย่างหนักเพื่อปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับปัจจัยแวดล้อมทางการตลาดวัสดุก่อสร้าง และการบริหารจัดการที่มีความยืดหยุ่น เพื่อบริหารความเสี่ยงลดความไม่แน่นอนที่เกิดขึ้น ที่อาจส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจได้เป็นอย่างดี สะท้อนถึงทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความเข้าใจในธุรกิจนี้เป็นอย่างดี ทำให้เราสามารถผลักดันการเติบโตได้อย่างโดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่งในอุตสาหกรรมเดียวกัน”
นายสาธิต กล่าวว่า จากความสำเร็จจากการดำเนินงานในปี 2566 บริษัทฯ ได้เตรียมนำเสนอต่อที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ เพื่อพิจารณาการจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานในครึ่งปีหลัง (กรกฎาคม-ธันวาคม) ต่อไป เพื่อเป็นการตอกย้ำ DRT เป็นหุ้นปันผลที่สร้างผลตอบแทนที่ดีให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง
และในปี 2567 บริษัทได้ตั้งเป้าหมายเติบโต 5% จากแผนดำเนินงานที่มุ่งต่อยอดด้านความหลากหลายผลิตภัณฑ์เพื่อนำเสนอสินค้าคู่บริการภายใต้ Diamond Solution (สินค้าคู่บริการ) โดยจะเร่งสื่อสารการทำตลาด Diamond Roof Solution เพื่อตอบสนองความต้องการลูกค้าผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายร้านค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายย่อยและห้างค้าปลีกวัสดุก่อสร้างรายใหญ่ ภายหลังประสบความสำเร็จช่องทางการจัดจำหน่ายผ่านลูกค้าโครงการอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งจะเป็นอีกหนึ่งไฮไลต์สำคัญของปีนี้ที่ช่วยผลักดันการเติบโตของรายได้ให้เป็นไปตามแผนที่วางไว้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 14ก.พ. “อ่อนค่าหนัก” ที่ระดับ 36.10 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านสำคัญแถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ แนวโน้มยังผันผวน มองกรอบวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.95-36.15 บาท/ดอลลาร์ การพุ่งขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กดดันราคาทองคำ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 14ก.พ.2567 ที่ระดับ 36.10 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงหนัก”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.71 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท การอ่อนค่าของเงินบาททะลุโซนแนวต้านสำคัญแถว 36.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้ปิดฉากเทรนด์การแข็งค่าตั้งแต่เดือนตุลาคมปีก่อนหน้าไปได้ ทำให้ในระยะสั้น เรามีมุมมองว่า เงินบาทเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าต่อได้ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา
เช่น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอลงกว่าคาด ทำให้ตลาดกลับมาเชื่อว่า การลดดอกเบี้ยของเฟดยังเกิดในเดือนพฤษภาคมได้ หรือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจของไทยออกมาดีกว่าคาด ลดโอกาสการลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งของธนาคารแห่งประเทศไทย ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทดังกล่าว ได้เปิดโอกาสให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเข้าใกล้โซน 36.15 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากโมเมนตัมการอ่อนค่ายังคงไม่อ่อนแรงลง
เราคาดว่า เงินบาทมีโอกาสอ่อนค่าต่อทดสอบโซนแนวต้านสำคัญ 36.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ซึ่งหากเกิดขึ้นจริง เรามองว่า ระดับการอ่อนค่าดังกล่าว ถือว่าเงินบาทได้อ่อนค่าลงจนถูกมาก (Undervalued) ในเชิง valuation และเมื่อเทียบกับปัจจัยพื้นฐานของเศรษฐกิจที่ดีขึ้น ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดสามารถทยอย Sell on Rally USDTHB หรือเริ่มสะสมสถานะ Long THB (มองเงินบาทแข็งค่าขึ้นได้)
อนึ่ง ราคาทองคำได้ย่อตัวลงทดสอบโซนแนวรับหลัก ทำให้หากราคาทองคำมีการรีบาวด์ขึ้นบ้างอย่างน้อย 20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจพอช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้บ้าง นอกจากนี้ ในระยะสั้นเงินบาทยังผันผวนไปตามสกุลเงินฝั่งเอเชีย โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น และเงินหยวนจีน ซึ่งทั้งสองสกุลเงินต่างเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าพอสมควรในช่วงนี้
เราขอเน้นย้ำว่า ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทนั้นสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.95-36.15 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่องตามที่เราได้ประเมินไว้ว่า เงินบาทเสี่ยงจะผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซน 36.15 บาทต่อดอลลาร์ หากอ่อนค่าทะลุระดับ 36.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในช่วง 35.66-36.10 บาทต่อดอลลาร์) โดยเงินบาทอ่อนค่าลง ตามการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทะลุระดับ 4.20% หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าคาด
จนทำให้ผู้เล่นในตลาดประเมินว่า เฟดอาจเริ่มลดดอกเบี้ยได้ในการประชุมเดือนมิถุนายน ซึ่งช้ากว่าที่ตลาดเคยมองไว้ในการประชุมเดือนพฤษภาคม นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากการปรับตัวลงแรงของราคาทองคำสู่โซนแนวรับสำคัญ ซึ่งส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะปรับฐานหนัก
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ พลิกกลับมาอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) ท่ามกลางความกังวลว่า เฟดอาจไม่รีบลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดได้เคยประเมินไว้ก่อนหน้า หลังอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ล่าสุด ออกมาสูงกว่าคาด ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้กดดันให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ต่างปรับตัวลงแรง กดดันให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -1.80% ส่วนดัชนี S&P500 ก็ปิดตลาด -1.37%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ก็ปรับตัวลงแรงกว่า -0.95% เช่นกัน แม้ว่าโดยรวมรายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยุโรป (ทั้งของอังกฤษและยูโรโซน) จะออกมาดีกว่าคาดก็ตาม ทว่าผู้เล่นในตลาดต่างกังวลว่า อัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ที่สูงกว่าคาด จะทำให้เฟดไม่รีบลดดอกเบี้ยตามที่เคยประเมินไว้ กดดันให้บรรดาหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth ฝั่งยุโรปก็ปรับตัวลงแรงเช่นเดียวกันกับในฝั่งสหรัฐฯ
ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแรงทะลุโซน 4.30% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มมองว่า ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงสดใสและการชะลอตัวลงช้ากว่าคาดของอัตราเงินเฟ้อ อาจทำให้เฟดลดดอกเบี้ยตาม Dot Plot ล่าสุดได้จริง (ลดดอกเบี้ย 3 ครั้ง และอาจเริ่มลดในการประชุมเดือนมิถุนายน)
ทั้งนี้ การพุ่งขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ดังกล่าวก็สอดคล้องกับมุมมองของเราก่อนหน้าที่มองว่า ตราบใดที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ยังคงแข็งแกร่งและดีกว่าคาด หรือ อัตราเงินเฟ้อที่ชะลอลงช้ากว่าคาด บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังเสี่ยงจะปรับตัวขึ้นต่อ
อนึ่ง การปรับตัวขึ้นทะลุโซน 4.30% ของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทำให้เราคงมองว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip เพื่อลดความเสี่ยงการขาดทุนเมื่อมองภาพผลตอบแทนโดยรวม หรือ Total Return โดยระดับบอนด์ยีลด์ล่าสุดถือว่ามีความน่าสนใจในการทยอยเข้าซื้อเป็นอย่างมาก
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เชื่อว่า เฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ย รวมถึงบรรยากาศปิดรับความเสี่ยงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) พุ่งขึ้นใกล้ระดับ 105 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 104-105 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ การพุ่งขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ดิ่งลงสู่โซนแนวรับสำคัญแถว 2,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สอดคล้องกับมุมมองเชิงเทคนิคัลที่เราได้ประเมินก่อนหน้าว่า ราคาทองคำเสี่ยงปรับตัวลดลงต่อ เร็วและแรง เหมือนในช่วงปลายเดือนกันยายน
สำหรับวันนี้ เราประเมินว่า ไฮไลท์สำคัญที่ผู้เล่นในตลาดจะจับตา คือ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจฝั่งยุโรป ทั้งอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ และ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจยูโรโซนในไตรมาสที่ 4
ซึ่งจะส่งผลต่อการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และธนาคารกลางยุโรป (ECB)นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด, BOE และ ECB เพื่อช่วยในการประเมินทิศทางนโยบายการเงินในระยะข้างหน้า
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทอ่อนค่าผ่านแนว 36.00 ไปแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบ 3 เดือนที่ 36.13 ก่อนจะกลับมาปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.07-36.09 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.50 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.71 บาทต่อดอลลาร์ฯ…โดยเงินบาทที่อ่อนค่าสอดคล้องกับทิศทางสกุลเงินส่วนใหญ่ในเอเชีย
และการปรับตัวลงของราคาทองคำในตลาดโลกหลุดแนว 2,000 ดอลลาร์ฯ ต่อออนซ์ สวนทางเงินดอลลาร์ฯ และบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง หลังตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภคของสหรัฐฯ ออกมาสูงกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด (US CPI +3.1% YoY ในเดือนม.ค. สูงกว่าตลาดคาดที่ +2.9% YoY ขณะที่ US Core CPI +3.9% YoY ในเดือนม.ค. สูงกว่าตลาดคาดที่ 3.7% YoY) ซึ่งอาจทำให้เฟดยังคงต้องยืนอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงเป็นเวลานาน ทั้งนี้ ตลาดปรับลดโอกาสความเป็นไปได้ของการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟดในการประชุม FOMC เดือนพ.ค. ลงมาอยู่ที่ประมาณ 33%
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.95-36.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินลงทุนต่างชาติ ตัวเลขอัตราเงินเฟ้อเดือนม.ค. ของอังกฤษ ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 4/66 ของยูโรโซน และถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
นักหวดไทยโชว์ฟอร์มกระหึ่มคว้าชัยประเภทคู่ศึกไอทีเอฟที่วลัยลักษณ์
“แม็กซ์” แม็กซิมัส ภราพล โจนส์ นักเทนนิสจากไทย จับคู่กับ โม เย่คง หนุ่มจีน เอาชนะ คู่ของ “เจได” เครดิต ไชยรินทร์ และ “หมิง” ณัฏฐญุตม์ นิธิธนนนต์ 2-1 เซต ขณะที่ “เอิร์ธ” เพียงธาร ผลิพืช จับคู่กับ นาโฮะ ซาโตะ จากญี่ปุ่น หวดเอาชนะ ลอร่า ชิเลโควา และ อินกริด วอจซินาโควา จากสโลวาเกีย 2-0 เซต ฉลุยสู่รอบก่อนรองชนะเลิศต่อไป
การแข่งขันเทนนิสนานาชาติ เก็บคะแนนโลก ไอทีเอฟ เวิลด์ เทนนิส ทัวร์ 2024 สัปดาห์แรก เทนนิสหญิง รายการ ไอทีเอฟ เวิลด์ เทนนิส ทัวร์ พรีเซนเต็ด บาย เอสเอที (3) ชิงเงินรางวัลรวม 25,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 900,000 บาท และเทนนิสชาย รายการ ไอทีเอฟ เวิลด์ ทัวร์ (เอ็ม 1) ชิงเงินรางวัลรวม 15,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 540,000 บาท ที่สนามเทนนิส ภายในสนามกีฬากลางตุมปัง มหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ จ.นครศรีธรรมราช เมื่อ 13 ก.พ. 67 เป็นการแข่งขันรอบเมนดรอว์วันแรก
คู่ที่น่าสนใจ ประเภทชายคู่ รอบแรก (สาย 16) “แม็กซ์” แม็กซิมัส ภราพล โจนส์ นักเทนนิสจากไทย ลูกครึ่งไทย-ออสเตรเลีย วัย 19 ปี จับคู่กับ โม เย่คง หนุ่มจีนวัย 23 ปี คู่มืออันดับ 456 และ 974 ของโลกตามลำดับ ก่อนผนึกกำลัง ช่วยกันพลิกสถานการณ์จากที่แพ้เซตแรก กลับมาเป็นฝ่ายเฉือนชนะคู่นักหวดหนุ่มไทย “เจได” เครดิต ไชยรินทร์ และ “หมิง” ณัฏฐญุตม์ นิธิธนนนต์ 2-1 เซต ด้วยสกอร์ 3-6, 6-3 และซูเปอร์ไทเบรก 10-5 เป็นผลให้คู่ของแม็กซิมัสฉลุยสู่รอบก่อนรองชนะเลิศต่อไป
นอกจากนี้ยังมีนักเทนนิสไทยคว้าชัยในประเภทหญิงคู่ รอบแรก โดย “เอิร์ธ” เพียงธาร ผลิพืช จับคู่กับ นาโฮะ ซาโตะ จากญี่ปุ่น เป็นคู่เต็ง 3 ของรายการ ช่วยกันหวดเอาชนะ ลอร่า ชิเลโควา และ อินกริด วอจซินาโควา จากสโลวาเกีย 2-0 เซต 6-1, 7-5 คู่ของเพียงธารผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ เช่นเดียวกับคู่ของ ไทร่า ลิธิบี ลูกครึ่งไทย-อังกฤษ และ กมลวรณ ยอดเพ็ชร ที่ปราบคู่ เช ซินหยู จากฮ่องกง และ โฮว ย่าหนาน จากจีน ได้ 2 เซตรวด 6-3, 6-2
ด้านหญิงเดี่ยว รอบแรก (สาย 32) “อีฟ” พัชรินทร์ ชีพชาญเดช นักเทนนิสไทย วัย 29 ปี มือ 587 โลก ได้ไวลด์การ์ดหรือสิทธิพิเศษลงสนามแข่งขัน พบกับ ซากิ อิมามูระ สาวญี่ปุ่น วัย 21 ปี มือ 456 โลก ผลปรากฏว่า พัชรินทร์ เก็บได้เพียงเซตแรกเท่านั้น ก่อนจะพ่ายอย่างน่าเสียดายในสองเซตถัดมา ส่งผลให้ พัชรินทร์ แพ้ไป 1-2 เซต ด้วยสกอร์ 7-6 ไทเบรก 7-2, 5-7 และ 3-6 ในเวลา 2 ชั่วโมง 45 นาที พัชรินทร์ ตกรอบแรก ได้รับเงินรางวัลปลอบใจ จำนวน 244 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8,418 บาท
อีกคู่ “บัว” กมลวรรณ ยอดเพ็ชร ดาวรุ่งไทยวัย 16 ปี มือ 456 ไอทีเอฟ แรงกิ้ง ซึ่งได้ไวลด์การ์ดเช่นกัน พบกับ หวัง เจียฉี สาวจีนวัย 21 ปี มืออันดับ 556 ของโลก โดยดาวรุ่งไทยพยายามสู้อย่างเต็มที่ แต่ยังพ่ายความเก๋าของคู่แข่งขัน ทำให้ปราชัย 0-2 เซต 4-6 และ 5-7 ในเวลา 1 ชั่วโมง 47 นาที กมลวรรณ ตกรอบแรก ได้รับเงินรางวัลปลอบใจ 244 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 8,418 บาท
ส่วนผลการแข่งขันของนักเทนนิสไทยรายอื่น มีดังนี้ ประเภทหญิงเดี่ยว รอบแรก พิมพ์มาดา ทองคำ แพ้ เฟิง ซั่ว (จีน) 0-2 เซต 1-6, 1-6, วรรษชล สวัสดี แพ้ อายาโนะ ชิมิซุ (วาง 5-ญี่ปุ่น) 0-2 เซต 5-7, 1-6, ทรรศพร นาคหล่อ แพ้ เหยา ซินซิน (จีน) 0-2 เซต 3-6, 2-6 ประเภทชายคู่ รอบแรก ปรัชญา อิสโร-คริสโตเฟอร์ รุงกัท (อินโดนีเซีย) แพ้ นิกิต้า ไอยานิน-บอริส โปโคติลอฟ 1-2 เซต 7-6(4), 3-6 และซูเปอร์ไทเบรก 8-10 ส่วนหญิงคู่ รอบแรก วรรษชล สวัสดี-พิมพ์มาดา ทองคำ แพ้ กัว เหมยฉี-หวัง เจียฉี (จีน) 0-2 เซต 3-6, 5-7
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
9 วิธีลดผื่นคัน บนผิวหนังอย่างรวดเร็ว
คนที่มีผื่นคันไม่ว่าจะเป็นโรคผิวหนัง มีอาการแพ้ หรือสาเหตุจากอะไรก็ตาม อาจรู้สึกรำคาญ และรบกวนการใช้ชีวิตเป็นเวลานานกว่าจะหาย หากอยากให้ผื่นคันหายไปเร็วๆ Sanook Health มีเคล็ดลับดีๆ จาก นพ.นันทพล พงศ์รัตนามาน อาจารย์ที่ปรึกษา แผนกศัลยศาสตร์หลอดเลือด ร.พ.พระมงกุฎเกล้า หรือ หมอท็อป เจ้าของเฟซบุ๊กเพจ Doctor Top กันได้เลย
ผื่นแพ้ ผื่นคัน เกิดจากอะไรได้บ้าง
ผื่นแพ้ ผื่นคัน หรือผื่นภูมิแพ้ ทางการแพทย์เรียกว่า Urticaria เกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ เช่น
- อาหาร
- อากาศ
- ความเครียด
- การสัมผัส
ในหลายๆ ครั้งอาจสาเหตุที่ทำให้เกิดผื่นคันไม่เจอ และในบางรายอาจใช้เวลารักษากันเป็นปีๆ แต่โดยส่วนใหญ่ผื่นแพ้ ผื่นคันที่เกิดขึ้นมักไม่ใช่เรื่องใหญ่มาก ไม่อันตรายถึงชีวิต สามารถรักษาให้หายได้ หรือประคองอาการไปได้
อย่างไรก็ตาม สำหรับในบางรายที่มีอาการแพ้มากๆ ผื่นแพ้ ผื่นคันอาจเป็นแค่หนึ่งในหลายๆ อาการที่เกิดขึ้น บางรายอาจมีปากบวม หน้าบวม คลื่นไส้อาเจียน เวียนหัว สลบ หรือบางรายอาจถึงขั้นหายไม่ออก ช็อก และอาจถึงชีวิตได้ด้วยเหมือนกัน
9 วิธีลด “ผื่นคัน” บนผิวหนังอย่างรวดเร็ว
- ประคบเย็น
เมื่อไรที่มีความเย็นไปสัมผัสโดนบริเวณที่มีผื่นคัน จะช่วยลดการอักเสบ ลดการหลั่งฮีสตามีน ซึ่งเป็นสารที่ทำให้เกิดผื่นคันได้ นอกจากนี้ความเย็นยังช่วยประสาทสัมผัสการรับรู้ความคันลดลง ทำให้เรารู้สึกชา และรู้สึกคันน้อยลง แต่หากผื่นคันที่เป็นอยู่เกิดจากการแพ้ความเย็น (Cold Urticaria) เช่น แพ้อากาศเย็น อากาศแห้ง วิธีนี้ไม่แนะนำให้ทำ
- อาบน้ำ
เชื่อหรือไม่ว่า การอาบน้ำ ช่วยลดอาการผื่นคันได้มากพอสมควร เมื่อเราอาบน้ำ หรือแช่น้ำในอ่าง น้ำซึมซาบเข้าไปในผิว ทำให้ผิวของเราชุ่มชื้น และทำให้มีอาการคันลดน้อยลง อันที่จริงแล้วทั้งน้ำเย็นและน้ำร้อนต่างก็ช่วยลดอาการคันได้เหมือนกัน แต่แนะนำให้อาบ หรือแช่น้ำเย็น มากกว่าน้ำอุ่นหรือน้ำร้อน อาการคันจะดีขึ้นเร็วกว่า น้ำเย็นจะทำให้ปลายประสาทช้า อาการคัน อาการบวม และอักเสบก็ลดลงด้วย แต่น้ำร้อนจะไปออกฤทธิ์บริเวณสมอง จะตัดแบ่งสัญญาณ ทำให้อาการคันไปไม่ถึงสมอง ทำให้อาการคันลดลงเช่นกัน แต่น้ำเย็นจะได้ผลดีมากกว่าโดยเฉพาะในรายที่มีผื่นแพ้ ผื่นคันจากความร้อน อาการไข้ หรือออกกำลังกายจนเกิดผื่นแพ้ รวมถึงบางรายที่มีผื่นจากการอาบน้ำร้อนมากๆ บ่อยๆ เป็นต้น
- ใช้ครีมอาบน้ำผสมข้าวโอ๊ต
ข้าวโอ๊ต มักถูกใช้เป็นส่วนผสมในครีบอาบน้ำค่อนข้างเยอะ เพราะสามารถให้ความชุ่มชื้น นุ่มนวลกับผิวได้ ซึ่งหากผิวมีความชุ่มชื้น นุ่มนวลดี ก็จะทำให้ไม่มี หรือมีอาการผื่นแพ้น้อยลงมาก รวมถึงการอาบน้ำร่วมกับผลิตภัณฑ์กลุ่มที่ดูแลผิว บำรุงผิว หรือมีส่วนผสมที่ช่วยบำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ก็ช่วยลดอาการผื่นแพ้ที่มักเกิดจากผิวหนังแห้งมากๆ ได้
- ไม่ใส่เสื้อรัดรูปมากเกินไป
มีคำในภาษาอังกฤษที่เรียกว่า Physical Urticaria เป็นคำที่อธิบายถึงผื่นแพ้ ผื่นคันที่เกิดจากการโดนบีบรัด หรือการสัมผัสเสียดสีจากเสื้อผ้ามากเกินไป หากเสื้อผ้า หรือชุดชั้นในที่รัดมากเกินไป เมื่อถอดออกมาจะสังเกตเห็นรอยปื้นหนาๆ ขึ้นมา นี่คืออาการของผื่นแพ้ที่เกิดจากการกดทับ หรือเสียดสีมากเกินไป และอาจมีอาการคันที่ทำให้เราเกา ยิ่งเกาก็ยิ่งลาม จึงแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใส่เสื้อผ้า และชุดชั้นในรัดๆ หรือมีขนาดเล็กเกินไป
- หลีกเลี่ยงสิ่งกระตุ้นให้เกิดผื่น
พยายามหลีกเลี่ยงกับสิ่งที่เราพอจะทราบ หรือคาดเดาว่าเป็นหนึ่งในสาเหตุที่ทำให้เกิดผื่นคัน เช่น สบู่ที่มีเม็ดสครับ เมื่อใช้ถูกับร่างกายอาจทำให้ผิวหนังเกิดแผลเล็กๆ หรือมีอาการระคายเคืองขึ้น รวมไปถึงสิ่งต่างๆ ที่สัมผัสกับผิวหนังของเรา เช่น อุปกรณ์อาบน้ำ เครื่องสำอาง หากพบสาเหตุแล้วให้หยุดใช้สิ่งนั้นทันที
- ใช้ว่านหางจระเข้
ว่านหางจระเข้ หรือ Aloe Vera จะให้ความเย็น ซึ่งเมื่อใช้กับผิวหนังที่มีผื่นคันแล้วจะทำให้อาการคันน้อยลง นอกจากนี้ยังมีมอยซ์เจอร์ไรเซอร์ที่ช่วยให้ความชุ่มชื้นแก่ผิวอีกด้วย เมื่อผิวมีความชุ่มชื้น และนุ่มนวลมากขึ้น อาการผื่นคันก็จะลดลงอย่างชัดเจน
- ใช้คาลาไมน์โลชั่น
คาลาไมน์โลชั่น หรือ Bubble Gum Pink Liquid คือยาน้ำที่มีมีเหมือนหมากฝรั่งสีชมพู มีกลิ่นหอมเย็น สามารถลดอาการคันได้อย่างดี หาซื้อได้ง่าย และยังให้ความชุ่มชื้นกับผิวอีกด้วย ใครที่มีผื่นบ่อยๆ และนำให้พกคาลาไมน์เอาไว้ใช้ตามที่ต่างๆ ทั้งในบ้าน ออฟฟิศ ในรถยนต์ เพื่อสามารถหยิบมาใช้ได้ในทุกครั้งที่มีอาการคัน
- กินยาแก้แพ้
ยาแก้แพ้ มีอีกชื่อหนึ่งว่า Anti Histamines โดยผื่นแพ้เกิดจากการที่ร่างกายหลั่งสารฮีสตามีนออกมา โดยมีหลากหลายสาเหตุที่ทำให้ร่างกายหลั่งสารนั้นออกมา เช่น แพ้อาหาร ความเครียด หรือสัมผัสสารเคมีต่างๆ ยาแก้แพ้เลยผลิตออกมาเพื่อยับยั้งการหลั่งสารฮีสตามีน ยาแก้แพ้บางชนิดกินแล้วอาจง่วง หากไม่อยากง่วงเพราะต้องทำงาน หรือขับรถ ควรปรึกษาแพทย์ หรือเภสัชกรให้เลือกยาแก้แพ้แบบที่กินแล้วไม่ง่วง
- ควบคุมความเครียด
ความเครียด เป็นสาเหตุของโรคร้ายต่างๆ รวมถึงอาการผื่นแพ้ ผื่นคันที่อาจเกิดขึ้นได้ด้วย ลองหาทางลดความเครียดดูในหลายๆ วิธี เช่น หาเวลาพักผ่อน ทำในสิ่งที่ตัวเองสนใจ พูดคุยปรึกษาคนในครอบครัว เพื่อนฝูง หรือถ้าเครียดมากๆ จนไม่สามารถควบคุมได้ก็ปรึกษาหมอ นอกจากนี้การนอนพักผ่อนไม่เพียงพอ ก็เป็นสาเหตุของผื่นแพ้ ผื่นคันได้เช่นกัน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ตีแผ่เคล็ดวิชา รู้แล้วก็ ใช้ Tense ได้แบบคล่อง ๆ ทันที
หนึ่งในเรื่องสำคัญมากสำหรับคนที่เรียนภาษาอังกฤษคือการทำความเข้าใจวิธี ใช้ Tense โดยที่ Tense หมายถึงเวลา เพราะฉะนั้นการทำความเข้าใจ Tense เราจะแบ่งเป็น Tense ปัจจุบัน (Present) อดีต (Past) และอนาคต (Future) แม้ว่าในภาษาอังกฤษจะมีถึง 12 Tense แต่รับรองว่าไม่ใช่เรื่องยากเกินไปสำหรับเพื่อน ๆ แน่นอนครับ
จะเข้าใจ Tense ต้องรู้เรื่องกริยา 3 ช่อง
แต่ละ Tense นอกจากใช้พูดถึงเรื่องที่ต่างกันแล้ว คำกริยาในประโยคก็จะเปลี่ยนรูปไป เราเรียกรวม ๆ ว่ากริยา 3 ช่อง มีทั้งรูปปกติที่เติม -ed ทั้งช่อง 2 และ 3 เช่น play เปลี่ยนรูปเป็น played หรือแบบที่เปลี่ยนรูปไปเลยเช่น go เปลี่ยนเป็น went และ gone ตามลำดับ ซึ่งเรื่องนี้มีแหล่งข้อมูลให้ค้นหาได้มากมาย ทั้งในรูปแอปพลิเคชัน เว็บไซต์ หรือหนังสือ
ได้เวลาเจาะลึกทั้ง 12 Tense
- Present Simple: ใช้พูดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน สิ่งซึ่งเราทำเป็นประจำ สิ่งที่เป็นความจริง สิ่งที่เราต้องการ หรือความรู้สึกและอารมณ์ที่เกิดขึ้นอยู่ในตอนที่กำลังพูดถึง เช่น
– I live in Bangkok.
(ฉันอยู่ในกรุงเทพ)
– My brother drives to work every day.
(น้องชายของฉันขับรถไปทำงานทุกวัน) ขอให้สังเกต drives ในประโยคนี้ เพราะเมื่อเป็นสิ่งที่ถูกกล่าวถึงในบทสนทนา (เช่น he, she, it) กริยาจะต้องเติม s หรือ es ด้วย
- Present Continuous: พูดถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น เช่น
I am staying in Bangkok right now.
(ตอนนี้ฉันกำลังอยู่ในกรุงเทพฯ)
- Present Perfect: พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดในอดีตและยังคงต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน เช่น
I have lived in Bangkok for 10 years.
(ฉันอยู่ในกรุงเทพมาแล้ว 10 ปี)
- Present Perfect Continuous: ใกล้เคียงกับ Present Perfect มาก และบางครั้งใช้แทนกันได้ เช่น
I have been living in Bangkok since I was 25.
(ฉันอยู่ในกรุงเทพต่อเนื่องมาตั้งแต่อายุ 25) หากสังเกตดูจะพบว่า Present Perfect และ Present Perfect continuous มีความคล้ายกันมาก แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่เราต้องการเน้นเรื่องเวลาว่าเหตุการณ์นั้นเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่อดีต และตอนนี้ยังคงเกิดขึ้นอยู่ ก็จะเลือก Tense นี้
- Past Simple: ใช้พูดถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต
I lived in Bangkok last year.
(เมื่อปีที่แล้วฉันอยู่ในกรุงเทพฯ)
- Past Continuous: พูดถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ณ เวลาหนึ่งในอดีตโดยพูดถึงเหตุการณ์อื่นร่วมด้วยเพื่อเน้นเหตุการณ์ที่เรากำลังกล่าวถึง เช่น
I was living in Bangkok in 1998 when Thailand hosted the 13th Asian games.
(ฉันอยู่ในกรุงเทพฯ เมื่อปี 1998 ช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพเอเชียนเกมครั้งที่ 13)
- Past Perfect: พูดถึงเหตุการณ์หนึ่งที่เกิดขึ้นก่อน จากนั้นมีอีกเหตุการณ์เกิดขึ้นตามมา เหตุการณ์ที่เกิดก่อนจะอยู่ในรูป Past Perfect ส่วนอีกเหตุการณ์จะใช้ Past Simple เช่น
I had lived in Bangkok for 3 years before I moved to Chiang Mai.
(ฉันอยู่กรุงเทพฯ 3 ปี ก่อนที่จะย้ายไปเชียงใหม่)
- Past Perfect Continuous: ใกล้เคียงกับ Past Perfect แต่จะเน้นให้เห็นว่าเหตุการณ์แรกเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องจนกระทั่งมีอีกเหตุการณ์แทรกเข้ามา เช่น
I had been living in Chiang Mai before I got the job in Bangkok.
(ผมอยู่ที่เชียงใหม่มาตลอด ก่อนที่จะมาได้งานทำที่กรุงเทพฯ)
- Future Simple: ใช้พูดถึงสิ่งที่จะเกิดขึ้น ทั้งแบบเกิดขึ้นแน่นอนเพราะวางแผนไว้ หรือเป็นการคาดเดาว่าจะเกิดขึ้น ใช้ได้ทั้งแบบ someone will do something และ someone be (is / am / are) going to do something. เช่น
– I think it will rain tomorrow. / I think it is going to rain tomorrow.
(ฉันคิดว่าพรุ่งนี้ฝนน่าจะตก)
– I will go to Bangkok next week.
(อาทิตย์หน้าฉันจะเข้ากรุงเทพ)
- Future Continuous: พูดถึงเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้น
The library will be closing in 15 minutes.
(ห้องสมุดจะปิดภายในอีก 15 นาที)
- Future Perfect: พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นต่อเนื่องและจะไปสิ้นสุด ณ เวลาหนึ่งในอนาคต เช่น
I will have finished my work by noon tomorrow.
(ฉันจะทำงานนี้เสร็จภายในเที่ยงวันพรุ่งนี้)
- Future Perfect Continuous: พูดถึงเวลาหนึ่งในอนาคตที่เหตุการณ์หนึ่งได้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องไปจนถึงช่วงเวลานั้น เช่น
In July, I will have been working here for 5 years.
(เดือนกรกฎาคมปีนี้ ฉันก็จะทำงานที่นี่ครบ 5 ปี)
สรุปโครงสร้างทั้ง 12 Tense แบบเข้าใจง่าย
หากเพื่อน ๆ ยังงงว่าทั้ง 12 Tense มีโครงสร้างประโยคเป็นยังไง วันนี้เรามีหลักการง่าย ๆ มาให้ครับ โดยเริ่มจากประโยคแบบ Present กับคำกริยา “go” ลองไปดูกันดีกว่าครับ
– I go (Present Simple)
– I am going (Present Continuous)
– I have gone (Present Perfect)
– I have been going (Present Perfect Continuous)
- ขอให้สังเกตตำแหน่งที่สองของประโยคซึ่งเราได้ขีดเส้นใต้ไว้ให้ เพราะนี่คือส่วนที่จะเปลี่ยนไปตาม Tense
- เมื่อเป็น Past ตำแหน่งที่ 2 จะเปลี่ยนไปเป็น went, was และ had ตามลำดับ
- หากเป็น Future ตำแหน่งที่ 2 จะแทนด้วย will (ยกเว้นกรณี be going to) และส่วนที่เหลือจะเหมือนเดิม
- นี่เป็นเพียงประโยคบอกเล่าเท่านั้น เพื่อน ๆ จำเป็นต้องเรียนรู้เรื่องประโยคคำถามและปฏิเสธเพิ่มเติม เพื่อให้ ใช้ Tense ได้ครบทุกรูปแบบ
มีเยอะขนาดนี้ เริ่มฝึกจาก Tense ไหนดี
สำหรับใครที่เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ หรือสนใจหาสถาบันที่สอน เรียนภาษาอังกฤษตัวต่อตัว เราขอแนะนำว่าให้เริ่มจาก Present Simple, Present Continuous, Past Simple และ Future Simple เพราะ 4 Tense นี้จะทำให้พูดได้ทั้ง 3 ช่วงเวลา จากนั้นค่อย ๆ ขยับไปสู่ Tense ที่ยากขึ้นเรื่อย ๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
Google ทุ่ม 962 ล้าน พัฒนาทักษะความรู้ AI ในยุโรป
Google ทุ่มเงิน 25 ล้านยูโร หรือกว่า 962 ล้านบาท ประกาศระดมทุนเปิดรับสมัครกลุ่มกิจการเพื่อสังคมและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร มาร่วมขยายหลักสูตรฝึกอบรม หนุนการเรียนรู้การใช้ AI ของคนในยุโรป
สำนักข่าวรอยเตอร์ (Reuters) รายงานว่า Google ยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี ได้ให้คำมั่นว่าจะมอบเงิน 25 ล้านยูโร (26.98 ล้านดอลลาร์) หรือประมาณ 962.5 ล้านบาท เพื่อเป็นการสนับสนุนให้ผู้คนในยุโรปได้เรียนรู้การใช้ปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการต่อยอดการทำงานและขยายขนาดบริษัทของตน
โดยได้มีการประกาศระดมทุนไปเมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา (12 กุมภาพันธ์ 2567) รวมถึงได้เปิดรับสมัครกลุ่มกิจการเพื่อสังคมและองค์กรไม่แสวงหาผลกำไรต่าง ๆ ที่สามารถช่วยในการเข้าถึงผู้ที่มีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์จากการฝึกอบรมมากที่สุด ซึ่งทางบริษัทจะดำเนินการภายใต้โครงการ “Growth Academies” เพื่อสนับสนุนบริษัทต่าง ๆ ที่ใช้ AI ในการขยับขยายบริษัท และได้ขยายหลักสูตรการฝึกอบรม AI ออนไลน์ฟรีเป็น 18 ภาษา
“Growth Academies” โครงการพัฒนาทักษะความรู้ด้าน AI แก้ปัญหาความไม่เท่าเทียม
Adrian Brown ผู้อำนวยการบริหารของ Center for Public Impact ซึ่งดำเนินโครงการไม่แสวงหาผลกำไรร่วมกับ Google เผย จากการวิจัยแสดงให้เห็นว่าประโยชน์ของ AI อาจทำให้ความไม่เท่าเทียมที่มีอยู่รุนแรงขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแง่ของความมั่นคงทางเศรษฐกิจและการจ้างงาน โครงการใหม่นี้จึงถูกจัดตั้งขึ้นมา โดยมีจุดประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้คนทั่วยุโรปสามารถพัฒนาความรู้ ทักษะ และความมั่นใจเกี่ยวกับการใช้ AI เพื่อให้แน่ใจว่าจะไม่มีใครถูกทิ้งไว้ข้างหลัง
Google ทุ่มเงินลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ สร้างศูนย์ข้อมูล ตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้น
เมื่อเดือนมกราคม 2567 Google ซึ่งมีพนักงานมากกว่า 7,000 คนในสหราชอาณาจักร ได้ประกาศว่าจะสร้างศูนย์ข้อมูลนอกลอนดอนด้วยเงินลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์ (35.7 ล้านบาท) เพื่อตอบสนองความต้องการด้านการบริการอินเทอร์เน็ตที่เพิ่มขึ้นในภูมิภาค
โดยศูนย์ข้อมูลดังกล่าวตั้งอยู่บนพื้นที่ 33 เอเคอร์ (13 เฮกตาร์) ที่ Google ทำการซื้อมาในปี 2563 ซึ่งจะตั้งอยู่ในเมืองวอลแทมครอส (Waltham Cross) ห่างจากใจกลางลอนดอนไปทางเหนือประมาณ 15 ไมล์ (24.14 กม.)
รัฐบาลอังกฤษพร้อมสนับสนุนให้ UK เป็นศูนย์กลางด้านเทคโนโลยี
รัฐบาลอังกฤษได้ร่วมผลักดันให้มีการลงทุนโดยธุรกิจต่าง ๆ เพื่อช่วยจัดหาโครงสร้างพื้นฐานใหม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต เช่น เทคโนโลยีและปัญญาประดิษฐ์ อีกทั้งยังกล่าวถึงการลงทุนของ Google ว่าเป็นฐานคะแนนเสียงแห่งความเชื่อมั่นอย่างมหาศาลในสหราชอาณาจักร
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี Rishi Sunak ได้กล่าวในแถลงการณ์ของ Google ว่า “การลงทุน 1 พันล้านดอลลาร์ของ Google เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าสหราชอาณาจักรเป็นศูนย์กลางของความเป็นเลิศด้านเทคโนโลยีและมีศักยภาพในการเติบโตอย่างมาก”
ตั้งศูนย์ข้อมูลฯ ช่วยสร้างงานและช่วยอนุรักษ์พลังงานที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชน
ด้าน Ruth Porat ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของ Alphabet เจ้าของแหล่งที่ตั้งศูนย์ข้อมูลดังกล่าว เผย ศูนย์ข้อมูลใหม่นี้จะช่วยตอบสนองความต้องการที่เพิ่มขึ้นสำหรับบริการ AI และบริการคลาวด์ รวมถึงนำความสามารถในการประมวลผลที่สำคัญเข้ามาสู่ธุรกิจทั่วสหราชอาณาจักร ขณะเดียวกันก็เป็นการสร้างงานด้านการก่อสร้างและด้านเทคนิคได้อีกด้วย
ทั้งนี้ Google ยังกล่าวอีกว่า ความร้อนเหลือทิ้ง (ความร้อนที่เกิดจากเครื่องจักรหรือกระบวนการอื่นๆ ที่ใช้พลังงานเป็นผลพลอยได้จากการทำงาน) อันเกิดจากศูนย์ข้อมูลนี้ จะเป็นโอกาสในการอนุรักษ์พลังงานที่เป็นประโยชน์ต่อชุมชนท้องถิ่นอีกทางหนึ่ง
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“นมหมดอายุ” อย่าโยนทิ้ง ประโยชน์ชั้นดีที่คาดไม่ถึง
บางครั้งซื้อนมมาเก็บไว้ในตู้เย็น ทิ้งไว้นานจนลืมวัน เวลา พอผ่านไปนมก็หมดอายุหลายคนคงคิดว่าจะโยนทิ้ง แต่เดี๋ยวก่อนนมหมดอายุนั้นยังมีประโยชน์อีกมากมายโดยเฉพาะประโยชน์กับการบำรุงผัก ช่วยเร่งดอกเร่งผลได้ดี นั่นเรากำลังหมายถึงการทำฮอร์โมนนม ซึ่งมีของที่ต้องเตรียมและวิธีทำดังต่อไปนี้
ฮอร์โมนนมคือการเอานมสดมาหมักด้วยจุลินทรีย์เพื่อให้เกิดกระบวนการย่อยสลายทั้งยังเติมน้ำตาลลงไปเพื่อให้เป็นอาหารของจุลินทรีย์ และป้องกันการเน่าเสีย เมื่อนำไปใช้พืชจะสามารถนำธาตุอาหารที่อยู่ในฮอร์โมนนมสดไปใช้เร่งการเจริญเติบโตได้ และถ้านำไปใช้กับผักทานใบ จะช่วยให้ผักมีรสชาติหวาน กรอบ อร่อยยิ่งขึ้น
ประโยชน์ของนมหมดอายุ
นมหมดอายุบำรุงพืชผัก
สิ่งที่ต้องเตรียม
- นมจืดยี่ห้อใดก็ได้ 1 กล่อง (หรือจะใช้นมที่หมดอายุแล้วก็ได้)
- น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนโต๊ะ
- ขวดเปล่า 1 ใบ
วิธีทำ
- เทนมลงใส่ขวดที่เตรียมไว้
- เติมน้ำตาลทรายแดงอย่างละ 1 ช้อนโต๊ะ
- เขย่าให้เข้ากัน ตั้งทิ้งไว้ 3 วันแล้วนำไปใช้
ข้อดีของฮอร์โมนนมสดคือช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช และทำให้ใบมีความเขียว ถ้านำสูตรนี้ไปบำรุงพืชผัก จะช่วยเร่งดอกเร่งผลให้พืช รวมถึงช่วยบำรุงราก ดอก ใบ ทุกส่วนของพืช ช่วยให้ขั้วดอกมีความเหนียว และแข็งแรงมากขึ้น ไม่ร่วงง่าย และถ้านำไปใช้กับไม้ผลจะทำให้มีสีสวยงามน้ำหนักดี
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 14/02/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 34,000.00 | 34,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,202.00 | 33,382.32 | 34,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,981.80 | 30,044.09 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,761.60 | 26,705.86 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 991.00 | 15,023.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 771.00 | 11,688.36 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,282.00 | 34,595.12 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 14/02/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.95 | 37.95 | 38.55 | 37.95 | 37.95 | 37.95 | 37.95 | 37.95 | 37.95 | 37.95 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.18 | 36.18 | 36.98 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 | 36.18 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 35.84 | 35.84 | 36.64 | 35.84 | 35.84 | – | 35.84 | 35.84 | 35.84 | 35.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.99 | 35.99 | – | – | – | – | – | – | – | 35.99 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.34 | 49.94 | 49.94 | 49.94 | – | – | – | – | – | 45.34 |
เบนซิน 95 | 45.84 | – | – | – | 47.01 | – | 46.34 | 45.99 | – | 45.84 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 44.84 | 43.64 | 43.64 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |