“สวอน เอสเตท” อสังหาฯหน้าใหม่รุกเจาะตลาดโฮมออฟฟิศหรูช่องว่างรายใหญ่
“สวอน เอสเตท” อสังหาฯหน้าใหม่เจาะตลาดโฮมออฟฟิศช่องว่างรายใหญ่ อสังหาริมทรัพย์แบรนด์น้องใหม่ แต่มากประสบการณ์ เดินหน้าปักหมุดโครงการหรูอยู่อาศัยทำธุรกิจสร้างรายได้
หลังต่อสู้จากสถานการณ์โควิดมากว่า2ปี ตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังคงเผชิญปัจจัยเสี่ยงภาวะเงินเฟ้อ การปรับขึ้นของอัตราดอกเบี้ย เศรษฐกิจโลก ส่งผลให้ กำลังซื้อที่มีอยู่อาจชะลอการตัดสินใจเพื่อรอดูสถานการณ์ ท่ามกลางการแข่งขันรุนแรงของตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีสต็อกเก่ารอระบายและการเปิดตัวโครงการใหม่ เข้าเติมสู่ตลาด ไม่เพียงผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น ค่ายเล็ก อสังหาริมทรัพย์หน้าใหม่ ต่างขยับตัวกันอย่างคึกคักเพื่อรองรับกำลังซื้อ
สะท้อนภาพใหญ่ระดับโลก
สอดคล้องกับ นายเทธดา อุชุปาละนันท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด อสังหาริมทรัพย์แบรนด์น้องใหม่ แต่มากประสบการณ์ เพราะผู้คลุกคลีอยู่ในแวดวงอสังหาริมทรัพย์ มาเกือบ 20 ปี ได้ฉายภาพตลาดอสังหาริมทรัพย์ ภายใต้ ข้อปัจจัยเสี่ยง ผ่าน”ฐานเศรษฐกิจ”ว่า
วิกฤตครั้งนี้ภาพใหญ่ระดับโลกอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบต้นทุนดอกเบี้ยเงินเฟ้อ ทั่วโลก อย่างจีนอยู่ระหว่างเฝ้าติดตาม หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL) ที่ต้องจับตาว่าจะหยุดผ่อน หยุดซื้อกันมากน้อยแค่ไหน แต่ไทยยังดีมีเรื่องความหวังของการท่องเที่ยว การ เริ่มเปิดประเทศประเมินว่า ปีหน้ากลางปีเป็นต้นไปอารณ์การตัดสินใจจะดีขึ้น
อย่างไรก็ตาม กำลังซื้อจะกลับสู่ตลาดหรือไม่ ขึ้นอยู่กับ อารมณ์ ของตลาดทั้งผู้ประกอบการ และผู้บริโภค อารมณ์ความหวาดระแวง ว่าปัจจัยลบจะขยายวงไปมากกว่านี้หรือไม่ นาย เทธดา อธิบายว่า ช่วงสองปีสถานการณ์โควิด และมีการปรับตัวให้ผ่านกันมาได้ แต่ปัจจุบันมีเรื่องอัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น
ในส่วนของบริษัท ได้พัฒนาโครงการเน้นความมั่นคงเป็นหลักค่อยๆปรับแผนงานทำโครงการให้สอดคล้องกับสภาวะเศรษฐกิจ เพราะยังไม่มีใครฟันธงว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์จะฟื้นได้จริงและไม่แน่ชัดว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นอีก ดังนั้น บริษัทจึงยึดหลักเรื่องของความมั่นคงมาเป็นอันดับแรก
จากมือปรับโครงสร้างหนี้สู่นักพัฒนา
สังเกตได้ว่า ผู้ประกอบการทำโครงการเวลามีปัญหาไม่ได้กระทบเฉพาะผู้ประกอบการแต่จะกระทบไปที่ลูกค้าด้วยโครงการที่ไม่เป็นไปตามแผนไม่ว่าจะชะลอก่อสร้างช้าหรือว่า ไปจนถึงสร้างให้เสร็จร้างมีผลกระทบต่อลูกค้าอย่างมาก ความรู้สึกแผลในใจลูกค้าจะจดจำไปตลอดนี่คือภาพที่ นายเทธดา เห็นมาตั้งแต่ปี 2540 ปีต้มยำกุ้ง หลังเรียน การเงินไฟแนนช์ ต่อด้วยบริหารธุรกิจMBA กลับมา
แต่กลับต้องมาทำงานปรับโครงสร้างหนี้ ปัญหาของไฟแนนซ์ปี2540 อยู่ที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่เห็นจะมีแบรนด์ใหญ่ที่มีการปรับตัว อาทิ บริษัทแลนด์แอนด์เฮ้าส์ บมจ.เอพี ไทยแลนด์ บ้านสร้างเสร็จก่อนขายไม่เห็นอย่าซื้อ
จากประสบการณ์ ช่วยปรับโครงสร้างหนี้พูดคุยกับสถาบันการเงิน แก้ไขเศรษฐกิจ ที่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ทำให้เก็บเกี่ยวประสบการณ์มองเห็นโอกาส โดย ปี 2545 ถึงปี2546 จึงได้เริ่ม ทำโครงการทดลอง สร้างโลว์เฮ้าส์ บ้านทาวน์เฮ้าส์ชั้นเดียวราคา 6-7แสนบาทต่อหน่วยที่จังหวัดสมุทรปราการ
โดยขอยืมที่ดินแปลงเล็กของที่บ้าน พัฒนาคราวละ 5 หลังไม่เกิน 10หลัง เมื่อขายหมดก็ซื้อที่ดินในระแวกเดียวกัน ขยายโครงการออกไป โดยไม่ได้ขออนุญาตจัดสรรที่ดิน ซึ่งการพัฒนาโครงการขนาดเล็กคราวละไม่เกิน 9หลังทำให้เป็นอาณาจักรใหญ่ ในปัจจุบัน
โดยเฉพาะโซนของถนนบางนา-ตราด และลูกค้าให้ความมั่นใจเรื่อยมา เพราะเป็นทั้งผู้ประกอบการ ที่ปรึกษา และเป็น ช่างประจำหมู่บ้าน ซึ่ง ให้บริการเกินกว่าสัญญา เรียกว่ามีความสุขที่ได้ช่วยเหลือลูกบ้าน
ชญาดา @เวิร์คโครงการแรก
หลังจาก พัฒนาโครงการในรูปแบบดังกล่าว เพียงลำพังมานานกว่า10ปี เริ่มก่อตั้งจดทะเบียน เป็นบริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ กับหุ้นส่วน ภายใต้ชื่อ บริษัท สวอน เอสเตท จำกัด และจังหวะเห็นแปลงที่ดินทำเลบางนา กิโลเตรที่5 เนื้อที่10ไร่ ทำเลศักยภาพ จึงซื้อที่ดินเก็บไว้ 3ปีนับจากปี2554 และพัฒนาในทำเลต่างๆ
ขณะเดียวกันได้ตัดที่ดินขายในทำเลกลางเมืองกรุงเทพมหานครให้กับ บิ๊กแบรนด์ ที่มาติดต่อซื้อโดยปี 2557 ได้ เริ่มโครงการ ชญาดา @เวิร์คบางนา โฮมออฟฟิศแห่งแรกเริ่มขออนุญาตและก่อสร้างปี 2558 และต่อด้วยโครงการ ชญาดา บิซ เพลส ค่อนข้างประสบความสำเร็จเพราะผู้บริโภคนิยมเพราะเป็นได้ทั้งที่อยู่อาศัยและการเปิดกิจการทำธุรกิจในที่เดียวกัน
โฮมออฟฟิศเปลี่ยนบ้านเป็นเงิน
โดย ขยายความว่า โฮมออฟฟิศ เป็นได้ทั้งสองแบบในเวลาเดียวกัน ทั้งทำธุรกิจและ อยู่อาศัยได้ เมื่อเทียบกับ ทาวน์โฮม อาจทำงานที่บ้าน ได้แต่ แต่โฮมออฟฟิศเป็นทำธุรกิจได้มากกว่าสามารถเปลี่ยนบ้านเป็นเงินจากการทำธุรกิจ และเมื่ออยู่ในโครงการเดียวกัน
นั่นหมายถึงการเป็นศูนย์รวมของแหล่งธุรกิจ ที่ผู้คนจะเดินทางติดต่อถึงกันได้โดยไม่จำเป็นต้องเดินทางไปยังศูนย์การค้า จึงจุดประกายให้บริษัท มุ่งพัมนาโครงการโฮมออฟฟิศเป็นหลัก ที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ไม่ลงมาเล่น
“รูปแบบโฮมออฟฟิศเราสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งาน ทำประโยชน์ของตัวบ้านให้นอกเหนือกว่าที่อยู่อาศัยอย่างเดียว”
ขณะทำเลบางนา เหมือนไข่แดง ปัจจุบันความเจริญกระโดดเข้ามา เป็นถนนสายลงทุน เชื่อมเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก(อีอีซี) รถไฟฟ้าสายสีเหลือง โมเรลเข้าสุวรรณภูมิที่มีตัวสถานีอยู่ปากซอยที่ตั้งโครงการ และปลายปีนี้ บริษัทมีแผนขยายโครงการโอมออฟฟิศระดับพรีเมียม
ไปยังทำเลศักยภาพโซนตะวันออกของกรุงเทพมหานครอีกแห่งซึ่งเป็นทำเลเชื่อมต่อกับบางนาติดถนน เฉลิมพระเกียรติ ร9 ซอย67 ในราคา 14ล้านบาท จำนวน44หน่วย กลุ่มลูกค้าอาจน้อย แต่พื้นที่ที่จะพัฒนามีจุดแข็ง มีรถไฟฟ้าสายสีเหลืองพาดผ่าน การเดินทางเข้าออกสะดวกติดถนนสายหลักและที่นี้มีเป้าหมายจะเป็นศูนย์รวมของธุรกิจ ทางการแพทย์ สถานความงาม ศูนย์สุขภาพชั้นนำ และธุรกิจหลากหลาย
“โครงการใหม่จะเป็นกลุ่ม พรีเมียมเพราะติดถนน มองกลุ่มลูกค้าอย่างวิชาชีพเฉพาะแพทย์ นักบัญชี สำนักทนายความ เสริมความงาม โดยมองว่า ช่วงก่อนก่อนโควิด ทุกอย่างวิ่งเข้าศูนย์การค้าแต่ปัจจุบัน ทุกอย่างเปลี่ยน ทุกคนเริ่มมองหาที่อยู่เฉพาะตัวทำธุรกิจได้การโฆษณาใช้ออนไลน์ทั้งหมดเป็นรูปแบบที่ใช้บุกตลาด ”
เจาะตลาดหลบรายใหญ่
ขณะกลุ่มเป้าหมายจะไม่เจอกับรายใหญ่ เพราะ บริษัทเจาะ กลุ่มอายุ35-53 ปี ต้องการ ที่อยู่อาศัยทำธุรกิจที่มีการตัดสินใจแล้วว่าจะลงทุนอะไรหลังจากนี้แนวคิดการพัฒนาโครงการนายเทธดาย้ำว่า บริษัท จะเข้าไปในซอกที่รายใหญ่ไม่เข้ามาเดินหากเปรียบ ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ เสมือนโอ่ง เมื่อใส่ลูกบอล ลงไป ซึ่งหมายถึงบริษัทใหญ่ในพื้นที่โอ่งก็ยังมี ช่องว่างให้ลูกมะนาวอย่างบริษัทรายเล็กหรือบริษัทน้องใหม่เข้าไปได้ เช่นเดียวกัน
สำหรับทำเลบางนา เป็นศูนย์กลางความเจริญแห่งใหม่ทางภาคตะวันออกของประเทศ ที่ เติบโตแบบก้าวกระโดด มีโครงการขนาดใหญ่ของรัฐและเอกชนลงทุน ที่ในอนาคตจะเป็นทั้งโอกาสและทำเลได้เปรียบที่บริษัทคุ้นชิน
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘อสังหาฯเชียงใหม่’ เจอจุดเปลี่ยน ดีมานด์ ‘บ้านมือสอง’ ร้อนแรง
โควิด-19 , ผังเมือง และ ต้นทุนก่อสร้าง พลิกจุดเปลี่ยน อสังหาฯเชียงใหม่ บาเนีย เผย คนมองหารีเซลโฮมเพิ่ม แนะโอกาส ยอดซื้อชาวต่างชาติหลังเปิดประเทศ ขณะ 2 ผู้พัฒนาฯดัง นอร์ทเทิร์น และ อรสิริน จับตาผังเมือง บ้านแพง คนหนีซบบ้านมือสอง
นางสาว อัญชนา วัลลิภากร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บาเนีย (ประเทศไทย) จำกัด เผยว่า ภาพรวมความสนใจค้นหาที่อยู่อาศัยในจังหวัดเชียงใหม่มีแนวโน้มฟื้นตัวอย่างน่าสนใจ ผ่าน เว็บไซต์ Baania.com โดย ณ สิ้น ส.ค. 2565 จากยอดผู้เข้าชม 1.5 ล้านครั้งทั่วประเทศ พบ อสังหาฯ เชียงใหม่ ได้รับความนิยมสูงสุดเป็นอันดับ 2 ของประเทศ เป็นรองแค่ กทม. เท่านั้น เทียบกับปีก่อนหน้ายอดค้นหาเพิ่มขึ้น 33% โดย ทำเลที่ได้รับความนิยม ยังกระจุกตัวอยู่ในเมืองเชียงใหม่ ,สันทราย ,สันกำแพง ,หางดง และ สารภี
สำหรับประเด็นที่น่าสนใจ คือ พบดีมานด์ความสนใจในกลุ่มที่อยู่อาศัยประเภทมือสอง ยังได้รับความสนใจต่อเนื่อง เนื่องจากแนวโน้มราคาที่อยู่อาศัยใหม่ปรับตัวขึ้น จากปัจจัย เรื่อง ราคาที่ดิน และ ต้นทุนการก่อสร้างใหม่ แต่ต้องการอาศัยอยู่ในเขตเมือง รวมถึง หางดง และ สันทราย โดยเฉพาะ กลุ่มราคา 3-5 ล้านบาท ครอบคลุมทั้งดีมานด์ บ้าน และคอนโดมิเนียม
” ภาพรวมการหาบ้านมือสองสูงขึ้นอย่างมีนัยยะสำคัญในบางทำเล เทียบ กทม. คอนโดรีเซล แข่งกับ คอนโดใหม่ ขณะ เชียงใหม่ มีคนมองหารีเซลโฮมเพิ่มขึ้น ”
บ้านมือสองเชียงใหม่พยุงตลาด
ทั้งนี้ นางสาว อัญชนา ประเมินว่า แม้ภาพรวมความสนใจข้างต้นของผู้บริโภค จะสะท้อนถึงการฟื้นตัวของตลาดอสังหาฯเชียงใหม่อย่างชัดเจนในช่วงครึ่งปีแรก 2565 แต่ ประเด็น ผลกระทบต่อเนื่องของโควิด-19 ยังคงมีอยู่ โดยเฉพาะ ความไม่มั่นใจในหน้าที่การงานของฝั่งผู้บริโภค ปัญหาทางการเงิน รวมถึง ปัจจัย เงินเฟ้อ ดอกเบี้ย และ ความสามารถในการซื้อ โดยเฉพาะ กลุ่มคนรุ่นใหม่ ที่มีบทบาทในตลาด ทำให้ ‘บ้านมือสอง’ ถูกมองเป็นสินค้าทดแทน จากดีมานด์ที่ไม่ได้หายไปไหน
ส่วนโอกาสในอนาคตสำหรับอสังหาฯเชียงใหม่ จะเกิดขึ้นในหลายแง่ ตั้งแต่ เทรนด์เวลเนสซิตี้ ที่อาจไม่ได้มีศักยภาพแค่ในแง่โครงการเพื่อสุขภาพ หรือ บ้านผู้สูงอายุเท่านั้น การนำเสนอบริการที่หลากหลาย และลึกลงในรายละเอียด จะทำให้เชียงใหม่เป็นที่ต้องการอย่างมากในอนาคต
ส่วนผู้ซื้อต่างประเทศ ตลาดใหญ่ ขณะนี้ พบแนวโน้มดีจากหลายปัจจัย ได้แก่ กรณี ประเทศจีนเข้มงวดในการทำธุรกิจในประเทศ และการส่งบุตรหลานเข้ามาเล่าเรียนในประเทศไทย ซึ่ง โรงเรียนอินเตอร์ในเชียงใหม่ ได้รับความนิยมสูง ไม่ต่างจาก กทม. ฉะนั้น ดีมานด์ในโครงการที่อยู่อาศัยระดับลักชัวรี จะเป็นโอกาส เช่นเดียวกับ ทิศทางกลุ่มผู้ซื้อประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า กัมพูชา ที่พบมีการเข้ามาซื้ออสังหาฯ ไทยมากขึ้น ในระดับราคาสูง ประเมิน น่าจะนำมาซึ่งจุดเปลี่ยนที่สำคัญในทุกๆมิติของอสังหาฯ เชียงใหม่ นับจากนี้
ชาวจีนกลับมาโอนฯคอนโด
ขณะ นายสรนันท์ เศรษฐี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นอร์ทเทิร์นเรียลเอสเตท จำกัด และรองประธานกรรมการหอการค้าจังหวัดเชียงใหม่ ระบุว่า การเปิดประเทศ ทำให้เศรษฐกิจเชียงใหม่ ทั้งการค้าปลีก บริการ และ ภาคการท่องเที่ยว มีสัญญาณฟื้นตัว ส่งผลกำลังซื้อกลุ่มดังกล่าว ที่นิยม ในโซน อำเภอเมือง แม่ริม และสันกำแพง กลับมาก่อน เช่นเดียวกับ การขยับตัวของผู้ซื้อชาวต่างชาติ กลุ่มคนจีน ที่ชะลอการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมไว้ก่อนหน้า มีตัวเลขโอนฯเพิ่มขึ้น ขณะตั้งแต่ต้นปี จนถึง ปัจจุบัน มีโครงการที่อยู่อาศัยใหม่เปิดแล้ว 11 โครงการ จากภาพที่หยุดเคลื่อนไหวในช่วง 2 ปีก่อนหน้า ได้แก่ บ้านระดับราคา 3-4 ล้านบาท , บ้านแฝด 2-3 ล้านบาท และ คอนโดฯ กระจายหลายเซกเม้นท์
ส่วนปัจจัยที่มีผลกับการพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัย ประเมินว่า ได้แก่
- แง่กฎหมายผังเมือง ซึ่งรัฐอยู่ระหว่างการรับฟังความคิดเห็น แต่พบผังสีเหลือง (ที่อยู่อาศัย) ถูกขยายออกไปรอบนอกมากขึ้น
- ต้นทุนการพัฒนา ทั้ง ราคาที่ดิน และ ต้นทุนการก่อสร้าง ปรับสูงขึ้นสวนวิกฤติ
- สินเชื่อ โดยพบขณะนี้ภาคธนาคาร ยังเข้มเงื่อนไขการให้สินเชื่อการพัฒนาให้กับผู้ประกอบการ และการให้สินเชื่อที่อยู่อาศัยให้กับผู้บริโภค
- จุดเปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภค ทั้ง กําลังซื้อของผู้บริโภคในท้องถิ่น และ ชาวต่างชาติ
กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของผู้พัฒนาฯ หลังส่วนใหญ่ ผู้ซื้อยังอยากอาศัยอยู่ในเมือง แต่แลกมาด้วยราคาสูง จำเป็นต้องปรับตัว เปลี่ยนโปรดักส์ สู่ไซส์เล็กลง เพื่อยังให้สามารถขายบ้านใหม่ได้
” กำลังซื้อในบางอุตสาหกรรม เช่น ท่องเที่ยว ยังไม่กลับมา100% รวมถึง ต่างชาติด้วย แม้เราผ่านจุดต่ำสุดปลายปีที่แล้วมาแล้ว ทำให้เราต้องประเมินในช่วงที่เหลืออีกที ว่าผลการเปิดประเทศ จะมีผลต่อเมืองท่องเที่ยวอย่างเชียงใหม่ มากน้อยแค่ไหน “
สอดคล้อง มุมมอง นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จำกัด กล่าวว่า เทรนด์การฟื้นตัวของอสังหาฯเชียงใหม่ เห็นภาพชัดเจน โดย เฉพาะยอดขายคอนโดฯ ครึ่งปีแรก 2565 ปรับตัวดีขึ้น มาอยู่ที่ 1,937 ล้านบาท จาก ครึ่งปีหลัง 2564 ที่ 828 ล้านบาท แต่สิ่งที่น่าพิจารณา คือ มูลค่าการโอนกรรมสิทธิ์ในกลุ่มที่อยู่อาศัยมือสอง ที่มีสัญญาณความต้องการสูงกว่าบ้านมือหนึ่ง ตั้งแต่ ปี 2562 จนถึง ปัจจุบัน โดยเมื่อปี 2564 เชียงใหม่มีการโอนที่อยู่ฯ มือสอง รวม 17,324 ล้านบาท จากยอดรวม 28,103 ล้านบาท
บ่งบอกได้ว่า ภาพชะลอตัวลงของอสังหาฯก่อนหน้า เป็นแค่การเปลี่ยนกลุ่มดีมานด์ ถูกโอนมาที่บ้านมือสอง ซึ่งต้องจับตาดูต่อเนื่อง ว่า โควิด-19 ยังส่งผลต่อความมั่นใจในการซื้อของคนเชียงใหม่อย่างไรต่อไปในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทวันนี้เปิด “อ่อนค่า” ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาท “อ่อนค่า”เงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันจากการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินเยน สู่ระดับ 142.8 เยนต่อดอลลาร์ จากระดับเกือบ 145 เยนต่อดอลลาร์ ในวันก่อนหน้า
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 36.61 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทอาจเคลื่อนไหวในกรอบเดิมต่อ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา โดยในช่วงนี้
ประเด็นสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตา คือ แนวโน้มการปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของเฟด ซึ่งตลาดจะรอลุ้นว่าเฟดจะมีการปรับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ยนโยบาย หรือ Dot Plot รวมถึงเฟดจะมีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่างไรบ้าง
ทั้งนี้ เราประเมินว่า หากตลาดไม่ได้ปิดรับความเสี่ยงรุนแรง (ซึ่งอาจมาจากความกังวลปัญหาเศรษฐกิจจีนหรือภาพการ Lockdown เพิ่มเติมในจีน รวมถึงความกังวลวิกฤตพลังงานในยุโรป) เงินบาทก็อาจไม่ได้อ่อนค่าต่อเนื่องไปมาก โดยแนวต้านของเงินบาทจะยังคงอยู่ในช่วง 36.75-36.80 บาทต่อดอลลาร์
เนื่องจากผู้ส่งออกจำนวนมากอาจรอทยอยขายเงินดอลลาร์ในระดับดังกล่าว นอกจากนี้ แรงขายสินทรัพย์ไทยจากนักลงทุนต่างชาติก็ไม่ได้รุนแรงมากนัก ตามที่เราเคยคาดการณ์ไว้ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติบางส่วนก็ทยอยกลับเข้ามาซื้อบอนด์ระยะยาวไทยมากขึ้น หลังบอนด์ยีลด์มีการปรับตัวสูงขึ้น ทำให้เงินบาทอาจไม่ได้เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าจากแนวโน้มฟันด์โฟลว์ไหลออกอย่างที่ตลาดเคยกังวลก่อนหน้า
อนึ่ง เราคงมองว่า โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะราคาย่อตัวอาจยังคงเป็นแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าต่อเงินบาทได้ จนกว่าที่ราคาทองคำจะสามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่องใกล้โซนแนวต้าน 1,740-1,750 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็จะเริ่มมีโฟลว์ขายทำกำไร ซึ่งก็จะเป็นปัจจัยที่จะช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทได้เช่นกัน
ในช่วงที่ตลาดการเงินผันผวนสูงจากความไม่แน่นอนของหลายปัจจัย เราคงแนะนำให้ผู้ประกอบการควรใช้กลยุทธ์ป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น โดยเฉพาะการใช้ Options ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงได้ดีในช่วงที่ตลาดผันผวนหนัก
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.80 บาท/ดอลลาร์
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้นเล็กน้อย โดยดัชนี S&P500 สามารถปิดตลาด +0.34% ส่วนดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq รีบาวด์ขึ้นราว +0.74% ตามแรงซื้อหุ้นในจังหวะย่อตัวของบรรดาผู้เล่นในตลาด โดยเฉพาะแรงซื้อหุ้นเทคฯ และหุ้นสไตล์ Growth (Tesla +3.6%, Amazon +1.4%)
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ อาจแกว่งตัว sideways เนื่องจากผู้เล่นส่วนใหญ่ยังคงไม่กล้าเปิดรับความเสี่ยงมากนัก ท่ามกลางความกังวลว่า เฟดอาจต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงต่อเนื่องเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ โดยล่าสุด จาก CME FedWatch Tool ตลาดยังคงมองว่า เฟดมีโอกาสราว 25% ที่จะเร่งขึ้นดอกเบี้ยถึง +1.00% ในการประชุมเดือนกันยายน และตลาดยังมองอีกว่าเฟดอาจเร่งขึ้นดอกเบี้ยจนแตะระดับ 4.50% ภายในสิ้นปีนี้
ทางด้านตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องราว -0.86% ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด และแนวโน้มที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ก็อาจต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง เพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อเช่นกัน
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน อาทิ TotalEnergies +2.5%, Equinor +1.5% หลังราคาน้ำมันดิบทยอยปรับตัวขึ้น (ราคาน้ำมันดิบ WTI รีบาวด์ขึ้นใกล้ระดับ 89 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล) หลังสำนักงานพลังงานสากล IEA ประเมินว่า อาจมีความต้องการใช้น้ำมันเพื่อทดแทนแก๊สธรรมชาติมากขึ้นในช่วงฤดูหนาวที่กำลังจะมาถึงนี้
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงแกว่งตัว sideways ใกล้ระดับ 3.40% โดยผู้เล่นบางส่วนอาจรอจังหวะที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวปรับตัวขึ้น เพื่อเข้าซื้อ ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง กลับสู่จุดสูงสุดก่อนหน้าแถว 3.50% ได้ โดยส่วนหนึ่งอาจมาจากมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่คาดว่า การเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดอาจยิ่งเพิ่มความเสี่ยงเศรษฐกิจสหรัฐฯ ชะลอตัวลงหนักและเข้าสู่ภาวะถดถอยในปีหน้า
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวนเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) แกว่งตัวใกล้ระดับ 109.66 จุด โดยแรงหนุนเงินดอลลาร์นั้นยังคงมาจากแนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟด รวมถึงความต้องการถือเงินดอลลาร์เป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven)
อย่างไรก็ดี เงินดอลลาร์เผชิญแรงกดดันจากการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) สู่ระดับ 142.8 เยนต่อดอลลาร์ (จากระดับเกือบ 145 เยนต่อดอลลาร์ ในวันก่อนหน้า) หลังผู้เล่นในตลาดมองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) อาจเข้ามาแทรกแซงตลาดค่าเงิน
อนึ่ง แนวโน้มการเร่งขึ้นดอกเบี้ยของเฟดยังคงเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันให้ ราคาทองคำยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ทั้งนี้ เราคาดว่า ผู้เล่นในตลาดอาจทยอยเข้ามาซื้อทองคำในโซนแนวรับมากขึ้น จากมุมมองที่คาดว่าเศรษฐกิจโลกมีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้น ซึ่งแรงซื้อดังกล่าวอาจช่วยพยุงให้ราคาทองคำสามารถทรงตัวเหนือระดับ 1,700 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้
สำหรับวันนี้ ตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) ในเดือนสิงหาคม โดยตลาดมองว่า ยอดค้าปลีกพื้นฐาน (Core Retail Sales) ซึ่งหักยอดขายรถยนต์ น้ำมัน วัสดุก่อสร้าง และอาหาร อาจขยายตัวกว่า +0.8%m/m ในเดือนสิงหาคม สอดคล้องกับดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับตัวดีขึ้นในเดือนสิงหาคม และยังสะท้อนว่าภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ได้แย่มากนัก เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะยุโรป
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ฮอนด้า เปิดตัวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า EV 10 รุ่นภายในปี 2025
ฮอนด้า มอเตอร์ วางแผนเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า EV 10 รุ่นภายในปี 2025 ครอบคลุมทั้ง เอเชีย ยุโรป และอเมริกา หวังขาย 3.5 ล้านคันต่อปี ภายในปี 2030
วันนี้(13 ก.ย.) ฮอนด้า มอเตอร์ ประเทศญี่ปุ่น รายงานว่า เตรียมเปิดตัว ฮอนด้ามอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า EV รุ่นใหม่ไม่น้อยกว่า 10 รุ่น ภายในปี 2025 พร้อมตั้งเป้าขายถึง 1 ล้านคันต่อปีภายใน 5 ปีข้างหน้า และเพิ่มเป็น 3.5 ล้านคันต่อปี ภายในปี 2030
สำหรับนโยบายธุรกิจรถจักรยานยนต์ของฮอนด้าถูกแบ่งออกเป็น 3 หัวข้อสำคัญ ดังนี้
1.การมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน
ฮอนด้ายังคงพัฒนารถจักรยานยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน ที่ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ไปพร้อมกับการพัฒนารถจักรยานยนต์ที่สามารถใช้พลังงานที่สร้างความเป็นกลางทางคาร์บอน โดยในปัจจุบันได้เริ่มต้นแล้วในประเทศบราซิล
2.การสร้างสรรค์ยานยนต์พลังงานไฟฟ้า
ฮอนด้าเตรียมเปิดตัวมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า EV ไม่น้อยกว่า 10 รุ่นภายในปี 2025 พร้อมกับตั้งเป้าหมายจำหน่ายรายปี 1 ล้านคันภายใน 5 ปีข้างหน้า และ 3.5 ล้านคัน ภายในปี 2030 โดยจะมีทั้งรถคอมมิวเตอร์ และรถขนาดใหญ่ รวมถึงรถสำหรับเด็กด้วย
3.การทำให้ฮอนด้ารถมอเตอร์ไซค์ไฟฟ้า EV เป็นเรื่องที่ง่ายขึ้น
- ฮอนด้าจะส่งเสริมโครงสร้างพื้นฐานสำหรับการชาร์จแบตเตอรี่ให้มีความแพร่หลาย
- การส่งเสริมการใช้แบตเตอรี่ร่วมกันของแบรนด์ต่างๆ
- ร่วมกำหนดมาตรฐานแบตเตอรี่แบบสลับเปลี่ยนได้
- เสริมสร้างความแข็งแกร่งด้านการพัฒนาซอฟต์แวร์ เพื่อมอบประสบการณ์การขับขี่ที่สนุก สะดวกสบาย ผ่านการเชื่อมต่ออุปกรณ์ต่างๆ อีกด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
No กับ Not ใช้ต่างกันอย่างไร
สำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้นศึกษาภาษาอังกฤษกันอย่างจริงจัง น่าจะมีคำถามในใจกันไม่มากก็น้อยแน่ๆ ว่า เจ้า No กับ Not แตกต่างกันยังไง? ทั้งๆ ที่เสียงก็ใกล้เคียงกัน แถมใช้ในรูปประโยคปฎิเสธเหมือนกันอีก ไม่ได้ใช้เหมือนกันหรอกเหรอ?
วอลล์สตรีทอิงลิช บอกเลยว่าทั้งสองคำนี้ แตกต่าง และใช้งานไม่เหมือนกันด้วย! ว่าแล้วก็มาเช็กกันหน่อยดีกว่า ว่าคุณใช้ถูกต้องไหม? หรือจริงๆ แล้ว ใช้ผิดมาตลอดเลยกันแน่นะ ?
No ใช้ยังไงกันแน่ ?
สำหรับ No นั้น เป็นคำคุณศัพท์ (Adjective) มีความหมายว่า “ไม่” ในกรณีที่ใช้ตอบคำถามใช่หรือไม่เป็นหลัก เช่น
Would you like any more cake? (คุณต้องการเค้กอีกไหม) / No, thank you. (ไม่ล่ะ ขอบคุณ)
หรือ ใช้ No เป็นคำคุณศัพท์นำหน้าคำนามเอกพจน์และคำนามพหูพจน์ที่ไม่มีคำนำหน้านาม เพื่อแสดงว่านามนั้นไม่มีจำนวนหรือไม่เฉพาะเจาะจง เช่น
I had to walk home last night because there was no bus. (เมื่อคืนฉันต้องเดินกลับบ้าน เพราะไม่มีรถบัส)
Hurry up! We have no time left. (เร็วเข้า! พวกเราไม่มีเวลาแล้วนะ)
ใช้นำหน้า คำกริยาเติม –ing ที่ทำหน้าที่เป็นคำนาม เพื่อสื่อความหมายว่า “ห้าม” เช่น
No smoking in this area! (ห้ามสูบบุหรี่ในบริเวณนี้)
No playing in parking area! (ห้ามเล่นในพื้นที่จอดรถ)
ให้สังเกตว่า No = ไม่มี ส่วนมากเราจะนำมาใช้สั่งห้าม ต้องไม่มีสิ่งนั้น ไม่ให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นนะ ไม่ให้ทำสิ่งนั้นนี่นะ หรือสิ่งนั้นต้องไม่มีนั่นเอง
แล้ว Not ละ ว่าไง ?
ทำความเข้าใจก่อนว่า Not เป็นกริยาวิเศษณ์ (Adverb) ถึงจะหมายความว่า “ไม่” แต่ Not จะใช้คู่กับคำกริยา, คำคุณศัพท์ หรือ คำนาม เท่านั้น
ตัวอย่างการใช้ Not ในการนำหน้าคำกริยาหลักเพื่อทำให้เป็นประโยคปฏิเสธ โดยกฎสำคัญเลยต้องมีกริยาช่วย (Auxiliary verb) ไม่ว่าจะเป็น Verb to be, Verb to do, Verb to have, Modal verb มาวางอยู่หน้า not เช่น
I don’t like potato. (ฉันไม่ชอบมันฝรั่งเลย)
I don’t need your help. (ฉันไม่ต้องการความช่วยเหลือจากเธอ)
หรือ ถ้าใช้นำหน้าคำนามที่มีคำนำหน้านาม หรือคำนามที่มีคำคุณศัพท์บอกจำนวน (any, much, many, some) ขยายอยู่ เช่น
Not a cloud was in the sky. (ไม่มีเมฆบนท้องฟ้า)
There was not any food left in the kitchen. (ไม่มีอาหารเหลืออยู่ในครัวนี้แล้ว)
ใช้นำหน้าคำกริยาวิเศษณ์ (Adverb) หรือคำคุณศัพท์ (Adjective) เพื่ออธิบายคำกริยา เช่น
Jame plays the guitar, but not very well. (เจมส์เล่นกีตาร์ แต่มันไม่ได้เรื่องเอาซะเลย)
It’s not surprising that she doesn’t want to go. (ไม่แปลกใจเลยที่หล่อนไม่อยากไป)
หรือเราจะใช้ในการตอบกลับสั้นๆ ก็ได้เช่นกัน อย่าง
Are you going out tonight? (คืนนี้แกจะออกไปข้างนอกไหม?)
I’m afraid not. (เกรงว่าจะไม่ได้นี่สิแก)
ข้อสังเกตพิเศษ จาก วอลล์สตรีทอิงลิช
จริงอยู่ที่ทั้งสองแยกใช้งานกันอย่างสิ้นเชิง แต่ให้ระวังไว้ดีๆ เพราะทั้งสองใกล้เคียง และใช้งานในลักษณะที่ต่างกันเล็กน้อย เช่น
I have no money. / I don’t have any money. (ฉันไม่มีเงินเลยอ่ะ)
สองประโยคนี้ก็มีความหมายเดียวกันก็จริง แต่ข้อควรระวังคือ อย่าเอาสองคำนี้มาใช้รวมกันเด็ดขาด เช่น I don’t have no money. ถือว่าผิดมากๆ
ให้จำไว้ว่า ถ้าเราจะใช้ no ต้องไม่มี don’t เพราะ no มีความหมายเป็นปฏิเสธอยู่แล้ว กริยาจึงต้องเป็นรูปประโยคบอกเล่า แต่ถ้าจะใช้ don’t ก็ห้ามเอา no มาทับซ้อนกัน ให้ใช้แค่ตัวใดตัวหนึ่งเท่านั้นนะ
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
แค่ไหนถึง ‘High Rise’? และทำไมความสูงอาคารถึงสำคัญต่อการเลือกคอนโดอยู่
เมื่อเลือกซื้อคอนโดสักที ยังมีสิ่งสำคัญหนึ่งควรคิดที่คุณอาจยังไม่รู้ คือความสูงของตึกที่สามารถแบ่งประเภทได้เป็น High Rise และ Low Rise ซึ่งแม้จะเป็นเรื่องของอาคารแต่ก็ส่งผลต่อการใช้ชีวิตประจำวันของผู้อยู่อาศัยได้มากกว่าที่คุณคิด ด้วยทั้งผลกระทบเรื่องทำเลที่ตั้ง เรื่องความสงบ ไปจนถึงเรื่องราคา
High Rise คือคอนโดที่มีความสูงกว่า 23 เมตรขึ้นไป หรือ 20 – 30 ชั้นขึ้นไป ตามกฎหมายแล้วต้องตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ที่กว้างมากกว่า 10 เมตร จึงเหมาะสำหรับไลฟ์สไตล์คนเมือง อย่างไรก็ตามข้อควรคำนึงคือสภาพการจราจรรอบบริเวณ นอกจากนี้ด้วยความสูงที่มาก จำนวนยูนิตห้องพักและผู้อยู่อาศัยจึงเยอะตาม อีกหนึ่งเรื่องที่ต้องคิดจึงคือเรื่องความเป็นส่วนตัว อย่างไรก็ตามสิ่งที่มาพร้อมกันก็อาจเป็นพื้นที่ส่วนกลางที่หลากหลายด้วย ราคาเริ่มต้นโดยประมาณของคอนโด High Rise จะสูงกว่า แต่ก็มีโอกาสที่จะได้รับผลตอบแทนสูงตามด้วยเช่นกัน เพราะแนวโน้มการเติบโตราคาที่สูงกว่า จึงเหมาะสำหรับนำไปปล่อยเช่าหรือขายต่อ
ตัวอย่างคอนโด High Rise เช่น Yuu ศรีราชา, RHYTHM เอกมัย เอสเตท และ ปริซึมดีไซน์ เป็นต้น
Low Rise คือคอนโดที่มีความสูงต่ำกว่า 23 เมตร หรือประมาณ 8 – 9 ชั้น เงียบสงบและเป็นส่วนตัวมากกว่าด้วยที่ตั้งที่มักอยู่ในซอย และจำนวนผู้พักอาศัยที่น้อยเพราะมีจำนวนชั้นและห้องน้อยกว่า ข้อดีของคอนโด Low Rise คือราคาที่ต่ำกว่า เหมาะกับการซื้อเพื่อการพักอาศัย แม้ราคาอาจขยับสูงขึ้นได้ตามทำเลและการตกแต่ง
ตัวอย่างคอนโด Low Rise เช่น ศุภาลัย ซิตี้ รีสอร์ท สุขุมวิท 107, THE NIGH CONDO ปิ่นเกล้า-จรัญ และ เวนิโอ สุขุมวิท 10 เป็นต้น
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/09/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 29,350.00 | 29,450.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,901.00 | 28,819.16 | 29,950.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,710.90 | 25,937.24 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,520.80 | 23,055.33 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 855.00 | 12,961.80 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 665.00 | 10,081.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,970.00 | 29,865.20 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/09/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.85 | 35.85 | 36.45 | 36.25 | 36.25 | 35.85 | 35.85 | 35.85 | 36.25 | 35.85 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.58 | 35.58 | 36.18 | 35.98 | 35.98 | 35.58 | 35.58 | 35.58 | 35.98 | 35.58 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.74 | 34.74 | 35.34 | 35.14 | 35.14 | – | 34.74 | 34.74 | 35.14 | 34.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 32.74 | 32.74 | – | – | – | – | – | – | – | 32.74 |
เบนซิน 95 | 43.26 | – | – | – | 44.11 | – | 43.76 | 43.76 | – | 43.26 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 35.44 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 35.44 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 35.44 | – | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.66 | 44.66 | 46.16 | 45.66 | 45.66 | – | – | – | – | 44.66 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |