Machine Learning พลิกธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ | กองกูณฑ์ โตชัยวัฒน์
Machine Learning (ML) หรือ “การเรียนรู้ของเครื่อง” องค์ประกอบหนึ่งของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence หรือ AI) เป็นการทำให้คอมพิวเตอร์สามารถเรียนรู้และตัดสินใจได้ด้วยตนเองจากข้อมูลที่มนุษย์ใส่เข้าไป
โดยคอมพิวเตอร์จะวิเคราะห์และจดจำรูปแบบ (Pattern) ของข้อมูลไว้ ทำให้สามารถตัดสินใจได้แม้ว่าข้อมูลที่พิจารณาจะแตกต่างจากข้อมูลที่ใช้ในการสร้างแบบจำลอง
ในปัจจุบัน เทคโนโลยี AI และ ML ถูกนำมาใช้ในธุรกิจที่หลากหลายรวมถึงธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่แต่ละการตัดสินใจมีความสำคัญอย่างมาก เนื่องจากเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าสูงทั้งในระดับโครงการและในระดับภาพรวมของประเทศ โดยมีมูลค่าสูงประมาณ 8% ของ GDP
การตัดสินใจต่างๆ ในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ มักจะอาศัยข้อมูลสนับสนุนค่อนข้างมากและบูรณาการความรู้หลายศาสตร์ เช่น การเงิน การตลาด การขาย กฎหมาย สถาปัตยกรรม วิศวกรรม การจัดซื้อจัดจ้าง การก่อสร้างและการบริหารทรัพย์สิน
อีกทั้งต้องอาศัยการสั่งสมประสบการณ์ จึงจะสามารถตัดสินใจได้ถูกต้องและแม่นยำภายในระยะเวลาที่มีอยู่อย่างจำกัด อันเนื่องมาจากการแข่งขันทางธุรกิจ
จากเหตุผลข้างต้น เทคโนโลยี ML จะช่วยให้นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์สามารถประมวลผลข้อมูลที่ซับซ้อนจำนวนมากได้ในเวลาอันรวดเร็ว สามารถนำมาประยุกต์ใช้เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการตัดสินใจในกระบวนการต่างๆ
ตัวอย่างเช่น การศึกษาความเป็นไปได้ของโครงการ การตัดสินใจซื้อที่ดิน การกำหนดรูปแบบโครงการ การออกแบบ การจัดซื้อจัดจ้าง การบริหารงานก่อสร้าง การบริหารหลังการขายและการบริหารทรัพย์สิน
ยกตัวอย่างงานวิจัยของผู้เขียนที่ได้ทดลองนำเทคโนโลยี ML มาสร้างแบบจำลองเพื่อช่วยในการตัดสินใจในด้านอสังหาริมทรัพย์ใน 2 รูปแบบการตัดสินใจ ได้แก่
รูปแบบที่ 1 แบบจำลองที่ใช้ในการพยากรณ์ ตัวอย่างได้แก่ แบบจำลองพยากรณ์อัตราการขายของโครงการ นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์จำเป็นต้องคาดการณ์อัตราการขายของโครงการว่าจะสร้างรายได้กลับมามากน้อยแค่ไหน มีความคุ้มค่าในการลงทุนหรือไม่
โดยปัจจัยการพิจารณาที่ส่งผลต่ออัตราการขายมีหลายปัจจัย ตลอดจนความแตกต่างของโครงการ ทั้งในด้านประเภท ทำเล ราคา และรูปแบบของโครงการ ทำให้การพยากรณ์อัตราการขายของโครงการอสังหาริมทรัพย์ด้วยประสบการณ์ของมนุษย์มีโอกาสที่จะผิดพลาดได้ง่าย
ผลงานวิจัยพบว่า แบบจำลองที่สร้างขึ้นจากเทคนิคโครงข่ายประสาทเทียม (Artificial Neural Network: ANN) สามารถช่วยพยากรณ์อัตราการขายได้ในระดับที่ดี โดยอาศัยปัจจัยที่ต้องนำมาใช้ประกอบการพยากรณ์
รูปแบบที่ 2 แบบจำลองที่ใช้ในการแบ่งกลุ่ม ตัวอย่างได้แก่ แบบจำลองในการตัดสินใจเลือกรูปแบบโครงการอสังหาริมทรัพย์ (เช่น บ้านเดี่ยว บ้านแฝด ทาวน์เฮาส์ คอนโดมิเนียม และโครงการรูปแบบอื่นๆ) ที่เหมาะสมในการพัฒนาบนที่ดินถือว่ามีความสำคัญต่อความสำเร็จของโครงการเป็นอย่างมาก จะสามารถสร้างอัตราการขายที่ดี
ในการตัดสินใจดังกล่าว ผู้ตัดสินใจจำเป็นต้องมีความรู้และประสบการณ์สูงในหลายรูปแบบโครงการ ผลการวิจัยพบว่า แบบจำลองซึ่งสร้างขึ้นจากเทคนิคการรวมตัวจำแนก (Classifier Ensemble) ซึ่งเกิดจากการรวมแบบจำลองที่วิเคราะห์ด้วยเทคนิคต้นไม้การตัดสินใจ (Decision Tree)
และเทคนิคต้นไม้กาเดียนบูทสเต็ท (Gradient Boosted Tree: GBT) จะให้ผลลัพธ์ที่ดี โดยปัจจัยการตัดสินใจ ได้แก่ ระยะห่างจากถนนใหญ่ สถานีรถไฟฟ้า ป้ายรถเมล์ โรงพยาบาลและห้างสรรพสินค้า
Machine Learning เป็นเทคโนโลยีซึ่งกำลังเข้ามามีบทบาทในภาคธุรกิจเป็นอันมาก เนื่องจากสามารถสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันและความสำเร็จให้แก่ธุรกิจต่างๆ
ดังนั้น นักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ตลอดจนผู้ที่เกี่ยวข้องทุกฝ่ายจึงควรศึกษาและเตรียมความพร้อมเอาไว้ เพื่อให้สามารถเก็บเกี่ยวโอกาสที่จะเกิดขึ้นจากความเจริญก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี มาต่อยอดเป็นผลการดำเนินงานในธุรกิจได้
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
เทรนด์บ้านพักตากอากาศภูเก็ตมาแรงรองรับนักท่องเที่ยว-นักลงทุน
‘วีรันดา’ขานรับเทรนด์บ้านพักตากอากาศภูเก็ตมาแรงเตรียมพรีเซลล์โครงการ“Veranda Villas & Suites – Phuket” ระดับลักซ์ชัวรี่ทำเลแหลมพันวา-อ่าวยนมูลค่า850 ล้านรองรับนักท่องเที่ยว-นักลงทุน
นายภวัฒก์ องค์วาสิฏฐ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท วีรันดา รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) เผยว่า ภายหลังการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ มองว่าเศรษฐกิจไทยในครึ่งปีหลัง 2566 จะมีทิศทางที่ดีกว่าในช่วงครึ่งปีแรก โดยได้รับแรงหนุนจากภาคอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวและภาคการบริโภคของประชาชน ซึ่งจังหวัดภูเก็ตถือเป็นจุดหมายปลายทางของนักท่องเที่ยวทั่วโลก
ทั้งนี้ ในครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) พบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาภูเก็ตเกือบ 2 ล้านคน เติบโตกว่า 200% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสมาคมโรงแรมไทยคาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวเดินทางมาภูเก็ตทั้งหมด 14 ล้านคนภายในสิ้นปีนี้ คิดเป็น 96% ของระดับก่อนเกิดโควิด-19 แสดงให้เห็นถึงการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งและมั่นคงของการท่องเที่ยวจังหวัดภูเก็ต ประกอบกับการที่รัฐบาลมีนโยบายวีซ่าฟรี (Visa Free) ให้กับนักท่องเที่ยวจีนและคาซัคสถาน เชื่อว่าตัวเลขนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางเข้ามาในจังหวัดภูเก็ตจะเพิ่มขึ้นมากในช่วงไฮซีซันนี้อย่างแน่นอน
ปัจจุบันมีนักลงทุนรายย่อยชาวไทย ชาวต่างชาติที่มีธุรกิจในภูเก็ต และชาวต่างชาติที่มาท่องเที่ยว หรือมีแผนเพื่อเกษียณอายุ ให้ความสนใจบ้านพักตากอากาศและคอนโดฯในจังหวัดภูเก็ตเพิ่มขึ้น โดยพบว่าชาวไทยมีความต้องการซื้อบ้านพักตากอากาศสำหรับลงทุนระยะยาว ในขณะที่ชาวต่างชาตินิยมซื้อทั้งบ้านพักตากอากาศสำหรับอยู่อาศัยเองและลงทุน
ปัจจัยที่ทำให้นักลงทุนหันมาสนใจซื้อบ้านพักตากอากาศในจังหวัดภูเก็ต เนื่องจากภูเก็ตเป็นแหล่งท่องเที่ยวระดับโลก (World Class) ที่เลื่องลือในเรื่องความสวยงามของชายหาด มีเสน่ห์ของวัฒนธรรมท้องถิ่น ที่นักท่องเที่ยวทุกคนต้องการมาสัมผัส ประกอบกับยังมีสนามบินนานาชาติที่สายการบินในหลายประเทศสามารถบินตรงมาที่ภูเก็ตได้เลย พร้อมทั้งสิ่งอำนวยความสะดวกที่สำคัญครบครัน อาทิ ห้างสรรพสินค้าระดับลักซ์ชัวรี่ โรงพยาบาลชั้นนำ ดังนั้นบ้านพักตากอากาศของภูเก็ตจึงเป็นที่ต้องการสำหรับนักท่องเที่ยว และสร้างผลตอบแทน (Rental Yield) ให้กับนักลงทุนได้เป็นอย่างดี
ล่าสุด บริษัทได้เตรียมตัวเปิดโครงการ “Veranda Villas & Suites – Phuket” บริเวณแหลมพันวาและอ่าวยน ประกอบด้วย วิลล่า 6 หลัง ราคาขาย 70-170 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 12 ยูนิต ราคาขาย135,000 – 200,000 บาทต่อตร.ม. มีมูลค่าโครงการ 850 ล้านบาท และจะเปิดพรีเซลล์ ปลายเดือน ก.ย.นี้ โดยปัจจุบันได้เริ่มก่อสร้างห้องตัวอย่างแล้วคาดว่าจะพร้อมให้เข้าชมเม.ย. 2567
สำหรับโครงการ Veranda Villas & Suites – Phuket มีความโดดเด่นด้านทำเลที่ตั้งเป็นอย่างมาก เพียง 2 นาทีถึงอ่าวยน 20 นาทีถึงตัวเมืองภูเก็ต 25 นาทีถึงเซ็นทรัล ภูเก็ต นอกจากนี้แล้วแหลมพันวาซึ่งถือเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งของภูเก็ต มีที่พักสไตล์วิลล่า
โดดเด่นเรื่องความหรูหรา และความเป็นส่วนตัว อาทิ V Villas Phuket – Mgallery และ Sri Panwa ส่วนอ่าวยนถือเป็นแลนด์มาร์กใหม่ของอสังหาริมทรัพย์ระดับลักซ์ชัวรี่ เนื่องจากเป็นพื้นที่ ที่มีความเงียบสงบ โอบล้อมด้วยธรรมชาติที่สมบูรณ์ เหมาะสำหรับคนที่ชอบความเป็นส่วนตัว รวมถึงเป็นสถานที่ตั้งโรงแรมและรีสอร์ทชั้นนำ และยังเป็นจุดจอดเรือใบยอดนิยมแห่งหนึ่งของภูเก็ต
นอกจากนี้ในส่วนของ ” Veranda Resort Phuket, Autograph Collection” รีสอร์ทติดหาดทรายแห่งใหม่ที่วีรันดาจะบริหารภายใต้แบรนด์ในเครือแมริออท อินเตอร์เนชั่นแนล อีกจำนวน 159 ห้องในส่วนของโรงแรมคาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จในปลายปีหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 15ก.ย. ที่ระดับ 35.79 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันทั้งจาก “การปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ -โฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว- บริษัทข้ามชาติญี่ปุ่น ทยอยเข้าซื้อเงินเยน” ไฮไลท์สำคัญวันนี้อยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 15ก.ย. 2566ที่ระดับ 35.79 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า ปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่ายังคงมีอยู่ โดยเฉพาะการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ท่ามกลางภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่แม้ว่าจะส่งสัญญาณการชะลอตัวลงของเศรษฐกิจ แต่ก็ยังคงออกมาดูดีกว่าประเทศอื่นๆ
นอกจากนี้ ในช่วงระหว่างวัน เงินบาทยังคงเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ และอาจมีโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวเข้ามากดดันเงินบาทได้บ้าง ขณะเดียวกัน การอ่อนค่าลงในช่วงที่ผ่านมาของเงินเยนญี่ปุ่น ก็อาจหนุนให้ผู้เล่นในตลาด อย่าง บริษัทข้ามชาติญี่ปุ่น ทยอยเข้าซื้อเงินเยนได้บ้างเช่นกัน
อนึ่ง เรามองว่า ควรจับตาและระวังความผันผวนในตลาดการเงินฝั่งเอเชียในช่วงทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน โดยหากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้นและช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนได้ เรามองว่า ค่าเงินหยวนของจีน (CNY) ก็มีโอกาสกลับมาแข็งค่าขึ้นได้บ้าง ซึ่งจะส่งผลดีต่อบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชีย และอาจช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทได้
แม้เราประเมินว่า เงินบาทอาจมีแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าอยู่บ้าง แต่การอ่อนค่าอาจจำกัดอยู่ในช่วง 35.80-35.85 บาทต่อดอลลาร์ แต่ก็มีโอกาสที่จะเห็นเงินบาททดสอบโซนแนวต้าน 36 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นจุดอ่อนค่าสุดที่เราเคยประเมินไว้ในวันที่ 28 มิถุนายน
หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนออกมาแย่กว่าคาด กดดันบรรยากาศในตลาดการเงินฝั่งเอเชีย ขณะที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงออกมาแข็งแกร่ง ส่วนโซนแนวรับ เรามองว่า 35.50-35.60 บาทต่อดอลลาร์ อาจยังเป็นแนวรับแรกของเงินบาทในระยะสั้นนี้
อนึ่ง ในช่วงนี้ เรามองว่า ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง จากทั้งความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงิน ความกังวลแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ
นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.65-35.85 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideways (แกว่งตัวในช่วง 35.72-35.83 บาทต่อดอลลาร์) โดยผันผวนไปตามทิศทางของเงินดอลลาร์และโฟลว์ธุรกรรมเกี่ยวกับทองคำ โดยเงินบาทมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าไปตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ โดยรวมออกมาดีกว่าคาด
อย่างไรก็ดี การรีบาวด์ขึ้นบ้างของราคาทองคำ รวมถึงแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นบางส่วนในตลาด ทั้งผู้ส่งออกและผู้เล่นที่มีสถานะ Short THB (ขายทำกำไร) ได้ช่วยชะลอการอ่อนค่าของเงินบาทให้อยู่ในโซนแนวต้าน 35.80-35.85 บาทต่อดอลลาร์ที่เราได้ประเมินไว้
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ กลับมาอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยงอีกครั้ง หลังรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ทั้งยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผู้ขอรับสวัสดิการ (Jobless Claims) ต่างออกมาดีกว่าคาด ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างคาดหวังว่า เศรษฐกิจสหรัฐฯ อาจไม่ได้ชะลอตัวลงหนัก หรือ เสี่ยงเข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ขณะเดียวกัน รายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าวก็ไม่ได้สะท้อนภาวะเศรษฐกิจขยายตัวร้อนแรง จนทำให้เฟดจำเป็นต้องเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยชัดเจน (สะท้อนผ่านมุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ให้โอกาสเฟดขึ้นดอกเบี้ยต่อราว 36% จาก CME FedWatch Tool)
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ หลัง หุ้น ARM (ผู้ผลิตและออกแบบชิพ) ปรับตัวขึ้นร้อนแรง +25% ในการซื้อขายวันแรก ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาดราว +0.84%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 พลิกกลับมาปรับตัวขึ้น +1.52% หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นเกือบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม หลังผู้เล่นในตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแล้ว หลังจากที่ล่าสุด ECB ได้ปรับอัตราดอกเบี้ยนโยบาย (Deposit Facility Rate) ขึ้น +25bps สู่ระดับ 4.00% เนื่องจากภาพเศรษฐกิจยูโรโซนโดยรวมยังคงซบเซาอยู่ อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อก็มีแนวโน้มชะลอตัวลงมากขึ้นและอาจกลับเข้าสู่เป้าหมายของ ECB ได้
ในฝั่งตลาดบอนด์ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุดที่ออกมาดีกว่าคาด และภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แม้จะเคลื่อนไหวผันผวน แต่ก็สามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 4.28% ได้อีกครั้ง
สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจยังคงแกว่งตัว sideway และถ้าหากจะลุ้นให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จะกลับมาปรับตัวลดลงได้ชัดเจน อาจต้องรอจับตา Dot Plot ใหม่ของเฟดในการประชุมเฟดสัปดาห์หน้า
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก หนุนโดยรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาด และทำให้ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯนั้น “ดูดีกว่า” ประเทศอื่นๆ ขณะเดียวกัน มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ประเมินว่าECB ได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้วนั้น ได้กดดันให้เงินยูโร (EUR) อ่อนค่าลงหลุดโซนแนวรับแรกที่เราประเมินไว้
ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นใกล้ระดับ 105.4 จุด (กรอบ 104.6-105.5 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่าราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) จะเผชิญแรงกดดันจากการปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ
แต่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็รอเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว ตามมุมมองที่ส่วนใหญ่คาดว่า บรรดาธนาคารกลางหลักใกล้ถึงจุดยุติการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแล้ว ทำให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นจากโซน 1,922 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับ 1,932 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้อีกครั้ง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน โดยบรรดานักวิเคราะห์ต่างมองว่า แม้ภาพเศรษฐกิจจีนโดยรวมอาจยังไม่สดใสนัก แต่เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวที่ดีขึ้น หลังทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ
สะท้อนผ่านมา ยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนสิงหาคม ที่อาจขยายตัว +3.0%y/y ส่วนยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production) ก็อาจโตได้ราว +3.8%y/y โดยเป็นการขยายตัวที่ดีขึ้นจากเดือนก่อนหน้า ขณะที่ยอดการลงทุนสินทรัพย์ถาวร (Fixed Assets Investment) อาจขยายตัวในอัตราชะลอลงต่อเนื่อง +3.3%y/y จากปัญหาหนี้ในภาคอสังหาฯ ที่ยังน่าเป็นห่วงอยู่
ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ เรามองว่า ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ อย่างใกล้ชิด อาทิ ดัชนีภาคการผลิตโดยเฟดนิวยอร์ก (NY Empire Manufacturing Index) และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ซึ่งในรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคนั้น ผู้เล่นในตลาดก็จะรอลุ้นว่า คาดการณ์อัตราเงินเฟ้อระยะสั้นและระยะยาวจะมีการปรับเปลี่ยนอย่างไร
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.77-35.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (8.40 น.) ใกล้เคียงระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.79 บาทต่อดอลลาร์ฯ ทั้งนี้ เงินบาทยังมีแรงกดดันด้านอ่อนค่าต่อเนื่อง หลังจากแตะระดับอ่อนค่าสุดในรอบกว่า 9 เดือนที่ 35.83 บาทต่อดอลลาร์ฯ เมื่อวานนี้ โดยจังหวะการอ่อนค่าของเงินบาทสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินเอเชีย และเงินหยวน รวมถึงสัญญาณขายสุทธิในตลาดพันธบัตรไทยของต่างชาติ
ขณะที่เงินดอลลาร์ฯ แข็งค่าขึ้น หลังข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีก และดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนส.ค. ที่ออกมาดีกว่าที่ตลาดคาด ก็หนุนความเป็นไปได้ที่จะเห็นเฟดคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงต่อเนื่องเป็นเวลานานเพื่อควบคุมเงินเฟ้อ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนจาก แรงกดดันต่อค่าเงินยูโร หลังจากที่ ECB ส่งสัญญาณใกล้ยุติวัฏจักรการคุมเข้มนโยบายการเงิน แม้จะมีมติปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีก 0.25% ในการประชุมเมื่อวานนี้ ไปที่ 4.50% (main refinancing rate) ก็ตาม
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ คาดไว้ที่ 35.70-35.85 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ สถานการณ์ของสกุลเงินเอเชีย ตัวเลขเศรษฐกิจเดือนส.ค. ของจีน (อาทิ ดัชนีราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก อัตราว่างงาน และการลงทุนในสินทรัพย์ถาวรเดือนส.ค.) และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ (อาทิ ผลสำรวจภาคการผลิตของเฟดสาขานิวยอร์กและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนก.ย. และตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนส.ค.)
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“โค้ชด่วน” ไม่กังวลเรื่องการปรับตัว พร้อมประเดิมเกมแรกดวลสาวเยอรมนี
ทัพลูกยางสาวทีมชาติไทย ที่กำลังเตรียมตัวให้พร้อมที่สุดในการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงโอลิมปิก 2024 รอบคัดเลือก โดยทีมสาวไทย จะประเดิมสนามนัดแรก 16 ก.ย.นี้ พบเยอรมนี เวลา 19.30 น. ช่อง Workpoint 23
โค้ชด่วน ดนัย ศรีวัชรเมธากุล เปิดเผยว่า “ไม่กังวลเรื่องการปรับตัว เพราะนักกีฬาคุ้นเคยทั้งสถานที่เพราะปีที่แล้วก็เพิ่งมาแข่งขันชิงแชมป์โลก หลังจากนี้จะลงรายละเอียด การเตรียมพบกับทีมต่างๆ”
ขณะที่ “แนน” ทัดดาว นึกแจ้ง ได้บอกว่า “ตอนนี้สภาพร่างกายพร้อม 100 เปอร์เซนต์ แต่จะต้องระวังไม่ให้มีอาการบาดเจ็บ เราพร้อมสำหรับเกมแรก และขอฝากกองเชียร์ชาวไทยช่วยเป็นกำลังใจและช่วยเชียร์พวกเราด้วยนะคะ”
วอลเลย์บอลหญิงโอลิมปิก 2024 รอบคัดเลือก กลุ่ม ซี เกมแรกทีมสาวไทย พบ เยอรมนี วันเสาร์ที่ 16 ก.ย.นี้ เวลา 19.30 น. ถ่ายทอดสดทางช่อง Workpoint23 (หมายเลข 23)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
จริงหรือไม่? กินอาหารค้างคืน อาจเป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร
กินอาหารค้างคืนที่นำมาอุ่นใหม่บ่อยๆ ทำให้เป็นมะเร็งกระเพาะอาหาร เป็นเรื่องจริงหรือไม่? เรื่องนี้ได้คำตอบจาก อาจารย์เจษฎา เด่นดวงบริพันธ์ อาจารย์ประจำภาควิชาชีววิทยา คณะวิทยาศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ว่าการกินอาหารที่ค้างคืน แล้วนำมาอุ่นกินใหม่ ไม่ได้มีส่วนทำให้เป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารแต่อย่างใด
โดยยังอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า เจ้าของเรื่องดังกล่าวที่บอกว่า การอุ่นอาหาร ทำให้อาหารมีปริมาณสารไนไตรต์เพิ่มขึ้น และหากรับสารดังกล่าวเข้าไปในร่างกายมากขึ้นเรื่อยๆ อาจมีผลเสียต่อตับ ไต และก่อให้เกิดโรคมะเร็งกระเพาะอาหารได้นั้น จริงๆ แล้วอาจเป็นความเข้าใจผิด เพราะเจ้าของเรื่องอาจสับสนกับเรื่องสารไนเตรตในน้ำบาดาล ที่หากเรานำน้ำบาดาลที่มีสารไนเตรตมาต้มดื่มบ่อยๆ จะทำให้สารไนเตรตมีปริมาณเข้มข้นขึ้น และอาจเป็นอันตรายต่อร่างกายได้
โดยนอกจากเราจะพบสารไนเตรตในน้ำบาดาลแล้ว ในผักผลไม้ก็มีอยู่ตามธรรมชาติเช่นกัน แต่มีปริมาณน้อยและอาจทำอันตรายแก่เด็กเล็กเท่านั้น (หากบริโภคมากเกินไป) นอกจากนี้ยังพบสารไนเตรตได้ในเกลือที่เป็นส่วนผสมของอาหารสำเร็จรูปอย่างไส้กรอก โบโลน่า แฮม เป็นต้น
แต่การอุ่นอาหารที่ค้างคืน ไม่ว่าจะด้วยการต้ม นึ่ง ผัด ทอด หรือใช้ไมโครเวฟ ไม่ได้ทำให้มีสารไนเตรตเพิ่มขึ้นแต่อย่างใด แต่จะมีอันตรายหากอาหารเหล่านั้นหมดอายุ บูดเน่าเรียบร้อยแล้ว
Sanook Health แนะนำว่า ทางที่ดีที่สุด คือกินอาหารให้หมดเป็นมื้อๆ หรือหากจำเป็นต้องเก็บค้างคืน ให้รีบนำเข้าตู้เย็น แล้วรีบกินให้หมดภายในวันถัดไป เพื่อสุขภาพอนามัยที่ดีของตัวคุณเอง และครอบครัว
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รวมวลีบอกว่า หุบปาก สงบปากเถอะ!! ในภาษาอังกฤษ
ในภาษาอังกฤษนี้ นอกจาก Shut up! หุบปาก! แล้วพูดคำว่าอะไรได้อีกบ้าง น้องๆอาจจะรู้จักกันมาบ้าง ไหนมาทบทวนกันซะหน่อย
1. Be quiet!
เงียบ
2, Quiet, please!
กรุณาเงียบ
3. Stop talking!
หยุดพูด
4. Silence!
เงียบ (ระดับความแรง แรงกว่า Be quiet ภาษาระดับเป็นทางการ)
เช่น Silence in court! (เงียบในชั้นศาล!)
5. Fall silent.
หยุดพูด
6. Hush. (ใช้ในเชิงสั่งมากกว่า)
เงียบ! (หยุดพูด/หยุดร้องไห้ซะที)
7. Hush up.
เช่น I told him to hush up. (ฉันบอกเขาให้หุบปาก)
8.Hold your tongue
ปิดปากของคุณ
9. Button it (slang)
เงียบ (ภาษาระดับไม่เป็นทางการ)
10. Pipe down. (slang)
เงียบ (ใช้ในเชิงสั่งมากกว่า และเป็นภาษาระดับไม่เป็นทางการ)
11. Put a sock in it. (slang แบบอังกฤษ)
เงียบ (เป็นคำโบราณ )
เช่น Can’t you put a sock in it? I’m trying to work. (คุณไม่สามารถเงียบได้เหรอ ฉันพยายามทำงานอยู่)
12. Put a cork in it.
เงียบ หุบปาก
เช่น Why don’t you put a cork in it! I’m sick of your whining! (ทำไมคุณไม่หุบปาก ฉันเบื่อเสียงหอนของคุณ)
13. Keep your trap shut (slang)
เงียบ หุบปาก
เช่น Tell him to keep his trap shut and let me ask the questions. (บอกเขาให้หุบปากและให้ฉันถามคำถามเอง)
14. Cut the cackle. (informal)
เงียบ หยุดพูด
เช่น They were basically told to cut the cackle and get back to work. (พวกเขา(ถูกให้)หยุดพูดและกลับไปทำงาน)
15. Button your lip. (slang)
เงียบปากไว้
เช่น Hey, button your lip! We don’t need to hear any more out of you today! (เฮ้ย เงียบๆปากไป เราไม่ต้องการได้ยินอะไรที่เกี่ยวกับคุณอีกวันนี้)
16. Shut your mouth.
ปิดปากของคุณ
17. Shut it.
ปิดปาก (สั้น และกระชับ รู้เรื่อง)
18. Zip your lips.
รูดซิปปากของคุณ
19. Zip it.
รูดซิปปาก (สั้น และกระชับ ได้ใจความ)
20. Callate.
เงียบ (เป็นคำที่กลุ่ม Hipsters เพิ่งจะใช้ 2-3 ปีที่ผ่านมา จริงๆแล้วมาจากภาษาสเปน)
21. Shut your pie hole. (Slang)
หุบปาก
เช่น Shut your pie-hole! Seriously, man, just stop talking! (หุบปากซะ! แค่หยุดพูด!)
22. Shut your gob. (Slang)
เงียบ หุบปาก
เช่น Shut your gob, Bobby—no one asked for the opinion of a dork like you! (หุบปาก บ็อบบี้ ไม่มีใครถามความเห็นโง่ๆอย่างคุณ)
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
5 เคล็ดลับขับรถเกียร์ออโต้ให้ประหยัดในช่วงน้ำมันแพง
ในช่วงที่ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นรายวันเช่นนี้ หลายคนเริ่มถอดใจเตรียมหันไปคบ LPG กันบ้างแล้ว ครั้นจะไปถอยรถยนต์ไฟฟ้าก็ต้องเป็นหนี้กันไปยาวๆ อีกหลายปี Sanook Auto ก็เลยมีเคล็ด (ไม่) ลับขับรถเกียร์ออโต้ให้ประหยัดน้ำมันแบบถึงใจมาฝากกันครับ
1.เร่งออกตัวแบบไม่ต้องรีบร้อน – เครื่องยนต์จะกินน้ำมันมากที่สุดในช่วงขณะเร่งออกตัว จึงควรเร่งออกตัวอย่างช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน ประคองรอบเครื่องยนต์ไม่ให้เกิน 2,000 – 2,500 รอบต่อนาที หากต้องการเปลี่ยนเกียร์ให้เร็วขึ้นก็สามารถยกเท้าออกจากคันเร่งเบาๆ จากนั้นจึงเติมคันเร่งลงไปอีกครั้ง จะช่วยลดการลากรอบเครื่องยนต์ที่เป็นสาเหตุให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้นได้
2.ใช้ความเร็วคงที่ 80-90 กม./ชม. – เนื่องจากช่วงความเร็วดังกล่าวเป็นช่วงที่เครื่องยนต์จะกินน้ำมันน้อยที่สุดเมื่อเทียบกับระยะทางที่วิ่งได้ ควรเลี้ยงความเร็วให้คงที่ ลดการเหยียบเบรกโดยไม่จำเป็น รวมถึงหลีกเลี่ยงการเร่งแซงที่มีผลทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น อาจใช้เวลาถึงที่หมายนานขึ้นอีกหน่อย แต่ประหยัดน้ำมันขึ้นได้แน่นอน!
3.ปรับอุณหภูมิแอร์สูงขึ้นเล็กน้อย – ระบบปรับอากาศของรถยนต์มีส่วนทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น ให้ลองปรับอุณหภูมิสูงขึ้นจากปกติเล็กน้อย 2-3 องศา จะช่วยให้คอมเพรสเซอร์แอร์ทำงานน้อยลง เป็นการลดภาระของเครื่องยนต์ และช่วยให้ประหยัดน้ำมันขึ้นได้
4.ใส่เกียร์ N ขณะติดไฟแดง – การใส่เกียร์ว่าง (N) ขณะหยุดติดไฟแดง จะช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองลงได้ไม่ต่ำกว่า 30% เมื่อเทียบกับการใส่เกียร์ D แล้วเหยียบเบรกค้างไว้ แต่ทางที่ดีควรเหยียบเบรกหรือใส่เบรกมือเพื่อป้องกันรถไหลด้วย
5.เติมลมยางให้เหมาะสม – การปล่อยให้แรงดันลมยางน้อยจนเกินไป จะไปเพิ่มแรงเสียดทานระหว่างหน้ายางและพื้นถนน ทำให้เครื่องยนต์กินน้ำมันมากขึ้น จึงควรเติมลมยางให้เหมาะสมตามที่ผู้ผลิตกำหนด และอย่าลืมเพิ่มลมยางมากกว่าปกติเมื่อบรรทุกผู้โดยสารและสัมภาระเต็มคัน (Full Load) รวมถึงนำสิ่งของไม่จำเป็นออกจากรถด้วย
นอกเหนือจากเคล็ด (ไม่) ลับช่วยประหยัดน้ำมันเหล่านี้แล้ว การดูแลบำรุงรักษาเครื่องยนต์ให้เหมาะสม เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องยนต์เมื่อถึงระยะที่กำหนด ก็มีส่วนช่วยลดอัตราสิ้นเปลืองในช่วงภาวะน้ำมันแพงได้เช่นกันครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 เครื่องเทศของไทย ช่วยลดคอเลสเตอรอล
เครื่องเทศของไทยอะไรบ้างที่ทั้งเพิ่มรสชาติให้อาหาร และยังช่วยลดคอเลสเตอรอลในร่างกายให้ด้วย
4 เครื่องเทศของไทย ช่วยลดคอเลสเตอรอล
- กระเทียม
- กระเทียม ช่วยรักษาสมดุลของระดับคอเลสเตอรอล เพิ่มไขมันดี ลดไขมันที่ไม่ดีต่อร่างกาย
- ต้านการจับตัวกันของเกล็ดเลือด
- ลดการจับเป็นคราบของไขมันที่ผนัง และหลอดเลือดแดง
- ลดความดันโลหิต และลดระดับน้ำตาลในเลือด
- ขิง
- ลดคอเลสเตอรอล
- ลดการอักเสบ
- เพิ่มภูมิคุ้มกัน
- ต้านอนุมูลอิสระ
- เพิ่มการไหลเวียนของโลหิต
- ช่วยย่อยอาหาร ขับลม ขับเหงื่อ ขับน้ำนม
- แก้ปวก
- แก้คลื่นไส้อาเจียน
- พริก
- ลดความดันโลหิต และคอเลสเตอรอล
- ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนของเลือด
- ช่วยลดระดับไตรกลีเซอไรด์ในเลือด
- เพิ่มการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรต
- ทำให้หลอดเลือดขยายตัว ลดความดันโลหิตได้
- หอมหัวใหญ่
- ลดคอเลสเตอรอล
- ลดความดันโลหิตสูง
- ลดไขมันในเลือด
- แก้หวัด แก้ไอ แก้หอบหืด
- บำรุงกำลัง บำรุงกำหนัด
- ลดน้ำตาลในเลือดด้วยการยับยั้งการสลายตัวของอินซูลิน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/09/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 32,250.00 | 32,350.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,089.00 | 31,669.24 | 32,850.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,880.10 | 28,502.32 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,671.20 | 25,335.39 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 940.00 | 14,250.40 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 731.00 | 11,081.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,165.00 | 32,821.40 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/09/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 40.05 | 40.05 | 40.95 | 40.05 | 40.25 | 40.05 | 40.05 | 40.05 | 40.05 | 40.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 39.78 | 39.78 | 40.78 | 39.78 | 39.98 | 39.78 | 39.78 | 39.78 | 39.78 | 39.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 37.74 | 37.74 | 38.74 | 37.74 | 37.94 | – | 37.74 | 37.74 | 37.74 | 37.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.79 | 37.79 | – | – | – | – | – | – | – | 37.79 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.04 | 49.34 | 50.84 | 49.34 | – | – | – | – | – | 45.04 |
เบนซิน 95 | 47.84 | – | – | – | 49.21 | – | 48.34 | 47.99 | – | 47.84 |
ดีเซล B7 | 31.94 | 31.94 | 32.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล | 31.94 | 31.94 | 32.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 | 31.94 |
ดีเซล B20 | 31.94 | 31.94 | 32.94 | – | 31.94 | – | – | – | – | 31.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 42.24 | 44.34 | 49.44 | 44.34 | 43.64 | – | – | – | – | 42.24 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |