สาระน่ารู้ประจำวันที่ 15 กรกฎาคม 2567

บ้านเดี่ยว-ทาวน์เฮ้าส์ ไตรมาส2/67แห่ลดราคาระบายสต็อกโครงการเก่า

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ เผยไตรมาส2/67 บ้านเดี่ยวราคามากกว่า 10ล้านบาทขึ้นไป 3โซนมีนบุรี-ลาดพร้าวและพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศแห่ลดราคาระบายสต็อกเช่นเดียวกับทาวน์เฮ้าส์ โซนลาดพร้าว-มีนบุรีและราษฎร์บูรณะลดราคาขายโครงการเก่าต้นทุนเดิมติดต่อกัน 3 ไตรมาส

ศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) เผยดัชนีราคาบ้านจัดสรรตามพื้นที่ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2567  พบว่ากรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 129.3 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.8 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ)     3 จังหวัดปริมณฑล (นนทบุรี ปทุมธานี และ สมุทรปราการ) มีค่าดัชนีเท่ากับ 132.1 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) แต่ลดลงร้อยละ -1.4 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) 

ดัชนีราคาบ้านเดี่ยว ที่อยู่ระหว่างการขายในกรุงเทพฯและปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2567 มีค่าดัชนีเท่ากับ 131.7 เพิ่มขึ้นร้อยละ 2.0 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) โดยเป็นการเพิ่มขึ้นต่อเนื่องกัน 8 ไตรมาส ตั้งแต่ ไตรมาส 3 ปี 2565 ถึงไตรมาส 2 ปี 2567 แต่ลดลงร้อยละ -0.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) 

กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 126.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ 0.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) นอกจากนี้ ในการกระตุ้นยอดขายบ้านเดี่ยวในไตรมาส 2 ปี 2567 พบว่า บ้านเดี่ยวที่ลดราคาส่วนใหญ่เป็นบ้านเดี่ยวที่มีราคาแพงอยู่ในระดับราคามากกว่า 10ล้านบาทขึ้นไป และเพื่อเป็นการกระตุ้นตลาดและเร่งระบายสต็อก

โดยในไตรมาส 2 ปี 2567 มีการ”ลดราคา”จากไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่อยู่ในโซนมีนบุรี-หนองจอก-คลองสามวา-ลาดกระบัง  รองลงมาในโซนลาดพร้าว-บางกะปิ-วังทองหลาง-บึงกุ่ม-สะพานสูง-คันนายาว และโซนพระโขนง-บางนา-สวนหลวง-ประเวศ

ดัชนีราคาทาวน์เฮ้าส์ ในกรุงเทพฯและปริมณฑล ไตรมาส 2 ปี 2567 มีค่าดัชนีเท่ากับ 131.6 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.3 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 0.2 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) 

 กรุงเทพฯ มีค่าดัชนีเท่ากับ 130.9 เพิ่มขึ้นร้อยละ 1.7 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1.1 เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า (QoQ) พบการเปลี่ยนแปลงของดัชนีราคาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องจากไตรมาส 1 ปี 2567

หลังจากลดลงต่อเนื่องติดต่อกัน 3 ไตรมาสในช่วงไตรมาส 2 ปี 2566 ถึง ไตรมาส 4 ปี 2566 ส่วนใหญ่เป็นโครงการเก่าตั้งแต่ปี 2564 และต้นทุนการผลิตยังเป็นต้นทุนเดิมและเป็นการลดเพื่อกระตุ้นตลาดเร่งระบายสต็อก

พบว่ามีการลดราคามากที่สุดในโซนลาดพร้าว-บางกะปิ-วังทองหลาง-บึงกุ่ม-สะพานสูง-คันนายาว ในระดับราคา 5-7.5 ล้านบาท รองลงมาโซนมีนบุรี-หนองจอก-คลองสามวา-ลาดกระบังระดับราคา2– 3ล้านบาทและโซนราษฎร์บูรณะ-บางขุนเทียน-ทุ่งครุ-บางบอน-จอมทองระดับราคา3-5ล้านบาท

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ตลาดอสังหาฯ ซบเซา เสนอ “รัฐ-แบงก์” ร่วมมือช่วยกลุ่มรายได้น้อย

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ซบเซาอย่างหนักแม้จะมีมาตรการรัฐออกมาสนับสนุนแต่มองว่ายังไม่สามารถตอบสนองได้ดีเท่าที่ควรเนื่องจากกำลังซื้อเปราะบางการปฏิเสธสินเชื่อมีสูง

นายพรนริศ ชวนไชยสิทธิ์ นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ไทย ได้ให้ภาพรวมของตลาดที่อยู่อาศัยไทยว่า ธุรกิจอสังหา ริมทรัพย์มีความสำคัญต่อเศรษฐกิจไทยอย่างมาก โดยคิดเป็นสัดส่วนกว่า 3% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) และหากรวมธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องด้วยแล้ว จะมีมูลค่าสูงถึง 5.2% ของ GDP ซึ่งในช่วงปี 2565-2566 ถือเป็นจุดสูงสุดของตลาด มีมูลค่าสูงถึง 1.1 ล้านล้านบาท

อย่างไรก็ตาม ตลาดอสังหาริมทรัพย์เริ่มทรุดตัวลงในช่วงปลายปี 2566 และยิ่งเห็นชัดในปี 2567 โดยข้อมูลจากศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่ายอดขายลดลงประมาณ 32% สะท้อนให้เห็นถึงปัญหาในภาคอสังหาริมทรัพย์อย่างชัดเจน

“ภาพรวมของธุรกิจอสังหาฯไทยปัจจุบัน รองรับคนจำนวนได้ไม่มาก คนที่อยู่ในทะเบียนจ่ายภาษีมีอยู่ประมาณ 12-13 ล้านคน แต่คนที่อยู่ในฐานภาษีที่สามารถจ่ายได้เพียงประมาณ 3 ล้านคน หมายความว่าผู้ประกอบการกำลังทำที่อยู่อาศัยให้คน 3 ล้านคน สะท้อนให้เห็นปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัยที่ไม่ได้เพียงพอสำหรับทุกคน”

รวมถึงชี้ให้เห็นถึงปัญหาการไม่ได้เป็นเจ้าของที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยการเคหะแห่งชาติมีงบประมาณเพียงพอสำหรับสร้างที่อยู่อาศัยหลักหมื่นหน่วย ในขณะที่ความต้องการของผู้บริโภคที่มีรายได้ตํ่าสูงถึงประมาณ 300,000 หน่วย จึงเสนอให้มีการเคหะภาคเอกชนพัฒนาที่อยู่อาศัยสำหรับผู้ที่รายได้น้อย ในลักษณะโครงการมิกซ์ยูส Collective Housing ที่ผู้อาศัยได้มีพื้นที่อยู่ร่วมกันเป็นคอมมูนิตี้และพัฒนาร่วมกันกับสังคม

“เชื่อว่าในครึ่งปีหลัง กลุ่มตลาดกลางและไฮเอนด์จะเป็นกลุ่มที่จะขยายตัว แต่กลุ่มตลาดที่ล่างลงมาจะติดปัญหาในเรื่องการขอสินเชื่อ แม้แต่แสนสิริเองที่เข้าไปทำตลาดในเซ็กเมนท์ที่ระดับราคา 2-3 ล้านบาท ก็ยังมีการอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อประมาณ 50% ในบางโครงการลดลงมา 30-40%”

ทั้งนี้ ยังมีความกังวลต่อบริษัทรายเล็กในอุตสาหกรรม โดยระบุว่าการขอเงินกู้หรือระดมทุนสำหรับบริษัทที่ไม่ได้มีเรตติ้งสูงทำได้ยากขึ้น เนื่องจากทุกฝ่ายมีความระมัดระวังในการลงทุนมากขึ้น อีกทั้ง อสังหาริมทรัพย์เป็นธุรกิจที่ใช้เงินทุนมาก จึงต้องมีความระมัดระวังและคำนึงถึงพื้นฐานการเงินของแต่ละบริษัท

ด้าน ผศ.ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะในกรุงเทพมหานครยังมีความต้องการอย่างต่อเนื่อง แต่การขยายตัวของเมืองส่งผลให้ราคาที่ดินและที่อยู่อาศัยแพงขึ้น ทำให้การเข้าถึงแหล่งทุนยากขึ้น

“เสนา ได้โฟกัสไปในกลุ่มฐานคนที่มีดีมานด์เยอะที่สุด และเป็ตลาดที่ถนัดที่สุด คือ คนที่ยังไม่มีบ้านส่วนใหญ่ ที่เป็นผู้ที่มีรายได้น้อย ตํ่ากว่า 50,000 บาท อยู่ในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทที่สามารถซื้อได้ เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มที่ใหญ่ที่สุดของประชากรในกรุงเทพมหานคร” 

อย่างไรก็ตาม ผศ.ดร. เกษราชี้ว่า กลุ่มผู้มีรายได้น้อยนี้มีอัตราการถูกปฏิเสธสินเชื่อสูงถึงราว 70% แม้จะเป็นกลุ่มที่มีความต้องการที่อยู่อาศัยสูง เสนา จึงได้ปรับตัวโดยออกโปรแกรม rent to own ทั้งนี้ เสนอให้รัฐบาลเข้ามาช่วยเหลือในสิ่งที่ผู้ประกอบการไม่สามารถทำได้ เช่น ในต่างประเทศ มีการออกมาตรการตรึงอัตราดอกเบี้ยตํ่าในระยะยาว โดยร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์ เพื่อทำให้ราคาบ้านถูกลงในบางเซ็กเมนท์ โดยใช้กลไกรัฐร่วมมือกับธนาคารพาณิชย์

ท้ายที่สุด ผู้ประกอบการในอุตสาห กรรมอสังหาริมทรัพย์ต่างเห็นพ้องว่า 
ตลาดกำลังเผชิญกับความท้าทายครั้งสำคัญ โดยเฉพาะในกลุ่มผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลาง ซึ่งประสบปัญหาในการเข้าถึงสินเชื่อที่อยู่อาศัย ขณะที่ตลาดระดับกลางถึงบนยังคงมีแนวโน้มเติบโตได้ สถานการณ์นี้สะท้อนให้เห็นถึงความจำเป็นในการปรับตัวของผู้ประกอบการ เพื่อตอบสนองความต้องการที่อยู่อาศัยของประชาชนทุกกลุ่มในสภาวะเศรษฐกิจที่ท้าทายเช่นนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ก.ค. “ทรงตัว” ที่ระดับ 36.19 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเริ่มอ่อนกำลังการแข็งค่าลง ระวังสถานการณ์การเมืองในประเทศอาจกดดันฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ทิศทางราคาทองคำ และเงินหยวน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ก.ค. 2567  ที่ระดับ  36.19 บาทต่อดอลลาร์“ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า นับตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ ที่ผ่านมา เงินบาทผันผวนในกรอบ sideways (แกว่งตัวในกรอบ 36.10-36.25 บาทต่อดอลลาร์)

โดยมีจังหวะผันผวนอ่อนค่าลงบ้างในช่วงตลาดรับรู้รายงานดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ซึ่งออกมาสูงกว่าคาด ก่อนที่เงินบาทจะทยอยแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงบ้างของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และ

การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำ (XAUUSD) ในช่วงตลาดรับรู้รายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคโดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) ที่ออกมาแย่กว่าคาด

ส่วนคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่างก็ปรับตัวลดลงจากรายงานครั้งก่อน อย่างไรก็ดี เงินบาทได้ทยอยอ่อนค่าลง หลังเงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ตามการอ่อนค่าลงของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่ล่าสุดได้กลับมาอ่อนค่าลงเหนือระดับ 158 เยนต่อดอลลาร์

สัปดาห์ที่ผ่านมา เงินดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่อง หลังผู้เล่นในตลาดมองว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2-3 ครั้งในปีนี้ จากรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ล่าสุดที่ชะลอลงกว่าคาด

สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรติดตามผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) และการประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ครั้งที่ 3 (Third Plenum) และรอจับตารายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะหุ้นธีม AI/Semiconductor และหุ้นกลุ่มการเงิน

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ฝั่งสหรัฐฯ – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ จากรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนมิถุนายน และรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจโดยบรรดาเฟดสาขาต่างๆ (Fed Beige Book)

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด และรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน ซึ่งจะมีทั้งสถาบันการเงินขนาดใหญ่ อาทิ Goldman Sachs, BofA และ

หุ้นเทคฯ ขนาดใหญ่ ธีม AI/Semiconductor เช่น ASML, TSMC โดยเราประเมินว่า รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อบรรยากาศในตลาดการเงินได้พอสมควร

▪ฝั่งยุโรป – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) โดยเราประเมินว่า ECB จะคงอัตราดอกเบี้ย (Deposit Facility Rate) ไว้ที่ระดับ 3.75% ในการประชุมครั้งนี้ และ

มีความเป็นไปได้ที่ประธาน ECB อาจส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายมากขึ้นในช่วงที่เหลือของปีนี้ (เราประเมิน ECB อาจลดดอกเบี้ยลงอีกราว 2-3 ครั้ง) ตามแนวโน้มการชะลอลงต่อเนื่องของอัตราเงินเฟ้อและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม

ส่วนในฝั่งอังกฤษ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนมิถุนายน ยอดค้าปลีกเดือนมิถุนายน และข้อมูลตลาดแรงงานเดือนพฤษภาคม เช่น อัตราการเติบโตของค่าจ้าง เพื่อประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)

โดยเราประเมินว่า BOE ก็อาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงพร้อมกับทางเฟดได้ในการประชุมเดือนกันยายน และนอกเหนือจากปัจจัยข้างต้น สถานการณ์การเมืองฝรั่งเศสจะยังคงเป็นปัจจัยที่ผู้เล่นในตลาดจะติดตามอย่างใกล้ชิด

▪ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจไตรมาส 2 และรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อย่าง ยอดค้าปลีก พร้อมกันนั้น ตลาดจะให้ความสนใจกับทิศทางการดำเนินนโยบายและมาตรการสำคัญเพื่อพลิกฟื้นและกระตุ้นเศรษฐกิจจีน ในการประชุมใหญ่ของคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ชุดที่ 20 ครั้งที่ 3 (Third Plenum)

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดการส่งออก-นำเข้า ในเดือนมิถุนายน และ

ในส่วนนโยบายการเงิน ตลาดประเมินว่า ธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 6.25% เพื่อช่วยรักษาเสถียรภาพของเงินรูเปียะห์ (IDR) โดยทาง BI อาจเริ่มทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ ในช่วงที่เฟดเริ่มลดดอกเบี้ยลงเช่นกัน หลังอัตราเงินเฟ้อก็เริ่มกลับเข้าสู่เป้าของ BI

▪ฝั่งไทย – สถานการณ์การเมืองในประเทศจะเป็นปัจจัยสำคัญที่ผู้เล่นในตลาดติดตามอย่างใกล้ชิด ซึ่งจะมีการนัดพิจารณาคดียุบพรรคก้าวไกล โดยศาลรัฐธรรมนูญ ในวันที่ 17 กรกฎาคม นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียน โดยเฉพาะกลุ่มการเงิน

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการแข็งค่ายังคงมีอยู่ แต่เริ่มอ่อนกำลังลง และต้องอาศัยปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม โดยต้องระวังสถานการณ์การเมืองในประเทศที่อาจกดดันฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติได้

นอกจากนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำ และเงินหยวนจีน (CNY) ที่มีผลต่อเงินบาทในช่วงนี้ได้พอสมควร โดยในส่วนของเงินหยวนนั้นจะผันผวนไปตามมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีน

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์อาจชะลอลงบ้าง หลังผู้เล่นในตลาดได้คาดหวังการลดดอกเบี้ยราว 2-3 ครั้งของเฟดในปีนี้ไปพอสมควร ทว่าบรรยากาศในตลาดการเงินที่อาจผันผวนไปตามรายงานผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนก็อาจมีผลกระทบต่อทิศทางเงินดอลลาร์ได้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 35.90-36.50 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.10-36.30 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่า  เงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.18-36.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.51 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ 36.19 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทเคลื่อนไหวใกล้เคียงระดับปิดตลาดปลายสัปดาห์ก่อน แต่กรอบการแข็งค่าของเงินบาทอาจเริ่มจำกัด สอดคล้องกับ Sentiment ของสกุลเงินในฝั่งเอเชียที่โน้มไปในฝั่งอ่อนค่าตามทิศทางเงินหยวน หลังจากที่ตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/67 ของจีนขยายตัว 4.7% YoY ต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ในผลสำรวจของ  Reuters ที่ 5.1% YoY นอกจากนี้ แรงขายเงินดอลลาร์ฯ อาจชะลอลงบางส่วนหลังตลาดปรับมุมมองเกี่ยวกับโอกาสการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในเดือนก.ย. ไปพอสมควรแล้ว และกลับมารอติดตามสัญญาณจากถ้อยแถลงของประธานเฟดอีกครั้งในคืนนี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.10-36.28 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในภูมิภาค จีดีพีไตรมาส 2/2567 และตัวเลขเศรษฐกิจเดือนมิ.ย. ของจีน ประกอบด้วย ดัชนีราคาบ้าน การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และอัตราว่างงาน ตลอดจนถ้อยแถลงของประธานเฟด และผลสำรวจภาคการผลิตโดยเฟดสาขานิวยอร์กเดือนก.ค.  ของสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“หนูแหวน อัญพัชร์” ตบเพื่อนร่วมชาติผงาดแชมป์แบดมินตันเยาวชนจายาราย่า

“หนูแหวน” อัญพัชร์ พิชิตปรีชาศักดิ์ ดาวรุ่งแบดมินตันไทย ผงาดฟอร์มเก่ง เอาชนะเพื่อนร่วมชาติอย่าง “รวงข้าว” ญาตาวีมินทร์ เกตุเกลี้ยง เต็ง 4 ของรายการไป 2 เกมรวด คว้าแชมป์แบดมินตันโยเน็กซ์ ซันไรท์ เป็มบังกูนาม จายา ราย่าจูเนียร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรังด์ปรีซ์

การแข่งขันแบดมินตันทัวร์นาเมนต์ในระดับเยาวชนนานาชาติในศึก ” โยเน็กซ์ ซันไรท์ เป็มบังกูนาม จายา ราย่าจูเนียร์ อินเตอร์เนชั่นแนล กรังด์ปรีซ์ 2024″  ที่ตันเกอรัง จังหวัดบันเติน ประเทศอินโดนีเซีย เมื่อวันอาทิตย์ที่ 14 ก.ค.67 เป็นการแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ โดยมีนักกีฬาแบดมินตันเยาวชนไทยทำผลงานผ่านเข้ามาลุ้นแชมป์ได้ 4 รุ่น

ประเภทหญิงเดี่ยว รุ่นอายุ ยู 19  ปีเป็นการชิงกันเองของ 2 นักกีฬาแบดมินตันเยาวชนไทย “รวงข้าว” ญาตาวีมินทร์ เกตุเกลี้ยง มือวาง 4 ของรายการ  พบกับ “หนูแหวน” อัญพัชร์ พิชิตปรีชาศักดิ์ มือวาง 2 ของรายการ 

เกมนี้ เป็นทาง  “หนูแหวน” อัญพัชร์ ที่เป็นฝ่ายทำได้ดีกว่าเอาชนะไปได้ 2 เกมรวด 21-19 , 21-13 คว้าแชมป์ไปครองได้อย่างยอดเยี่ยม 

ประเภทหญิงคู่ รุ่นอายุ ยู 19  ปี พรรษอร พรรณเชษฐ์ กับ ญาตาวีมินทร์ เกตุเกลี้ยง คู่มือวาง 1 ของรายการ  แพ้ให้กับ  นาบีล่า คาย่า เพอมาตา อายู กับ รีว่า โอลิเวีย ดามายานี่ คู่มือวาง 8 ของรายการจากอินโดนีเซีย 0-2 เกม 15-21 , 10-21 

ประเภทหญิงเดี่ยว รุ่นอายุ ยู 15 ปี กุ้งแก้ว กากะนิก มือวาง 10 ของรายการ  แพ้ให้กับ โคโคโระ ซาโตะ มือวาง 2 ของรายการจากญี่ปุ่น 0-2 เกม 22-24 ,14-21 

ประเภทหญิงคู่ รุ่นอายุ ยู 15 ปี ศาริสา จันทร์แพง กับ ณธิดา บุระมาศ คู่มือวาง 1 ของรายการ  แพ้ให้กับ มิน แชยูน กับ ปาร์ค ยูจอง คู่มือวาง 8 ของรายการจากเกาหลีใต้ ไปอย่างน่าเสียดาย 1-2 เกม 21-19 , 18-21, 17-21 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


สัญญาณเตือนที่บอกว่าร่างกายของคุณขาดวิตามิน D

วิตามิน D หรือวิตามินดี หรือที่รู้จักกันในชื่อ “วิตามินแห่งแสงอาทิตย์” เป็นวิตามินที่ร่างกายสร้างขึ้นเองจากคอเลสเตอรอลเมื่อผิวหนังสัมผัสกับแสงแดด วิตามินดีจัดเป็นวิตามินที่ละลายในไขมัน มีบทบาทสำคัญต่อการทำงานของร่างกายหลายอย่าง โดยเฉพาะสุขภาพกระดูกและระบบภูมิคุ้มกันงานวิจัยยังชี้ให้เห็นว่า วิตามินดีอาจช่วยป้องกันโรคมะเร็ง และช่วยลดความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังหลายชนิด สำหรับแหล่งที่มาของวิตามินดีนั้นคือแสงแดด เป็นแหล่งธรรมชาติหลักของวิตามินดี อาหารบางชนิด เช่น ปลาแซลมอน ปลาทูน่า ไข่แดง นม เนย และอาหารเสริมวิตามินดี ก็มีวิตามินดีอยู่บ้าง แต่เชื่อหรือไม่ว่าก็ยังมีคนที่ขาดวิตามินดี และนี่คือสัญญาณเตือนของร่างกายที่บอกว่ากำลังขาดวิตามินดี และนี่คือสัญญาณเตือนเหล่านั้น

สัญญาณเตือนร่างกายขาดวิตามิน D วิตามินดี

1.ป่วยบ่อย ภูมิคุ้มกันย่ำแย่

ร่างกายของเราเปรียบเสมือนป้อมปราการ คอยต่อสู้กับเชื้อโรคต่างๆ ที่มารุกราน แต่หากป้อมปราการนี้มีรั้วรั่วภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ก็อาจป่วยไข้ได้บ่อย วิตามินดี มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน โดยวิตามินดีจะช่วยกระตุ้นเซลล์ภูมิคุ้มกันในร่างกาย ให้ทำหน้าที่กำจัดเชื้อโรคได้อย่างมีประสิทธิภาพ

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่า ระดับวิตามินดีที่ต่ำอาจส่งผลต่อการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ เช่น หวัด หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ นอกจากนี้ ยังมีงานวิจัยในปี 2020 ที่พบความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินดีต่ำ กับการติดเชื้อไวรัสต่างๆ เช่น

  • ไวรัสตับอักเสบ
  • ไข้หวัดใหญ่
  • โควิด-19
  • เอดส์

ผลการวิจัยในปี 2019 ที่รวบรวมข้อมูลจาก 25 งานวิจัย ยิ่งสนับสนุนความสำคัญของวิตามินดี โดยพบว่า การได้รับวิตามินดีเสริม ช่วยลดความเสี่ยงการติดเชื้อระบบทางเดินหายใจ โดยเฉพาะในผู้ที่มีระดับวิตามินดีในเลือดต่ำกว่า 25 nmol/l แม้ว่าวิตามินดีจะมีประโยชน์ในการเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน แต่หากคุณป่วยบ่อยโดยไม่ทราบสาเหตุ ควรปรึกษาแพทย์ ผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจะช่วยประเมินภาวะขาดวิตามินดี และแนะนำแนวทางการดูแลสุขภาพที่เหมาะสม นอกจากการรับประทานวิตามินดีเสริมแล้ว อย่าลืมดูแลสุขภาพด้วยการรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนอย่างเพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อให้ร่างกายแข็งแรง มีภูมิคุ้มกันที่ดี ป่วยน้อย ห่างไกลโรคภัย

2.อ่อนเพลียเรื้อรัง

หากคุณรู้สึกอ่อนเพลียเรื้อรัง ควรลองปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพ เพื่อตรวจวัดระดับวิตามินดีในร่างกาย หากพบว่าขาดวิตามินดี แพทย์อาจแนะนำให้รับประทานวิตามินดีเสริม ควบคู่กับการทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ เพื่อเสริมสร้างสุขภาพให้แข็งแรง ห่างไกลจากความอ่อนเพลีย

3.ปวดกระดูก ปวดหลัง

วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการช่วยดูดซึมแคลเซียม ซึ่งส่งผลต่อสุขภาพของกระดูก ภาวะขาดวิตามินดี อาจส่งผลให้เกิดอาการปวดกระดูกและปวดหลัง

4.วิตกกังวล ซึมเศร้า

งานวิจัยหลายชิ้นชี้ให้เห็นว่าภาวะขาดวิตามินดี อาจส่งผลต่อสุขภาพจิต โดยพบความสัมพันธ์ระหว่างระดับวิตามินดีต่ำกับอาการวิตกกังวล และภาวะซึมเศร้า โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยยังมีความหลากหลายบางงานวิจัยพบความสัมพันธ์ที่ชัดเจน แต่บางงานวิจัยไม่พบความสัมพันธ์นี้ จำเป็นต้องมีการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อยืนยันความสัมพันธ์ระหว่างวิตามินดีกับสุขภาพจิต

5.แผลหายช้า

เคยประสบปัญหากับแผลหายช้าหลังผ่าตัดหรือแผลเป็นต่างๆ หรือไม่? ภาวะนี้ อาจเกี่ยวข้องกับระดับวิตามินดี ในร่างกายของคุณ

6.การสูญเสียมวลกระดูก

วิตามินดีมีบทบาทสำคัญในการดูดซึมแคลเซียมและกระบวนการเผาผลาญของกระดูก การรับประทานวิตามินดีร่วมกับแคลเซียมจะช่วยให้ร่างกายดูดซึมได้อย่างเต็มที่ ความหนาแน่นแร่ธาตุในกระดูกต่ำบ่งบอกว่ากระดูกสูญเสียแคลเซียมและแร่ธาตุอื่นๆ ส่งผลให้ผู้สูงอายุ โดยเฉพาะผู้หญิง มีความเสี่ยงต่อการเกิดภาวะกระดูกหักเพิ่มมากขึ้น

การขาดวิตามินดียังอาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคกระดูกพรุน และโรคกล้ามเนื้อเสื่อมได้อีกด้วย

อย่างไรก็ตาม ผลการวิจัยเกี่ยวกับการเสริมวิตามินดีในผู้สูงอายุยังคงไม่ชัดเจน ตัวอย่างเช่น งานวิจัยทบทวนวรรณกรรมในปี 2021 พบว่าวิตามินดีช่วยลดอาการปวดกล้ามเนื้อได้บ้าง แต่การวิจัยในปี 2017 กลับพบว่า วิตามินดีไม่ได้ช่วยป้องกันภาวะกระดูกหักที่เกี่ยวข้องกับการสูญเสียมวลกระดูก

หากคุณกำลังประสบภาวะสูญเสียมวลกระดูก ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับการเสริมวิตามินดี

7.ผมร่วง

งานวิจัยชี้ให้เห็นว่าภาวะผมร่วงอาจเกิดจากการขาดสารอาหารได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง งานวิจัยเชื่อมโยงระดับวิตามิน D ที่ต่ำกับโรคผมร่วงชนิด Alopecia Areata ซึ่งเป็นโรคภูมิคุ้มกันตัวเองที่ส่งผลให้ผมร่วงรุนแรง การศึกษาในปี 2015 ที่ทำกับผู้ป่วยโรคนี้จำนวน 48 คน พบว่าการทาครีมวิตามิน D เทียมบริเวณที่ผมร่วงเป็นเวลา 12 สัปดาห์ ช่วยกระตุ้นการงอกใหม่ของเส้นผมได้อย่าง顯著 (han-caht, meaning significant)

นอกจากนี้บทความวิจัยทบทวนวรรณกรรมในปี 2021 ยังชี้ว่าระดับวิตามิน D อาจมีความสัมพันธ์แบบผกผันกับผมร่วงแบบไม่เป็นแผลเป็น ซึ่งหมายความว่า ในผู้เข้าร่วมวิจัย ยิ่งมีระดับวิตามิน D สูงเท่าไร ยิ่งสังเกตผมร่วงน้อยลง และกลับกัน

8.อาการปวดกล้ามเนื้อ

งานวิจัยในปี 2014 พบว่า 71% ของผู้ป่วยโรคปวดเรื้อรังมีภาวะขาดวิตามิน D โดยตัวรับวิตามิน D มีอยู่ในเซลล์ประสาทที่เรียกว่า nociceptors ซึ่งทำหน้าที่รับรู้ความเจ็บปวด นอกจากนี้วิตามิน D ยังอาจเกี่ยวข้องกับระบบส่งสัญญาณความเจ็บปวดในร่างกาย ซึ่งอาจส่งผลต่ออาการปวดเรื้อรัง

งานวิจัยในปี 2019 พบว่า การเสริมวิตามิน D ในขนาดสูงอาจช่วยลดอาการปวดต่างๆ ในผู้ที่ขาดวิตามิน D ได้ ในทำนองเดียวกัน งานวิจัยในปี 2015 ที่ศึกษาในเด็ก 120 คนที่มีภาวะขาดวิตามิน D และมีอาการปวดขาโตพบว่าการได้รับวิตามิน D เพียงครั้งเดียวสามารถลดระดับความรุนแรงของอาการปวดได้โดยเฉลี่ย 57%

9.น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้น

ภาวะอ้วนเป็นปัจจัยเสี่ยงต่อการขาดวิตามินดี งานวิจัยในปี 2020 ในกลุ่มผู้ใหญ่ พบความสัมพันธ์ที่เป็นไปได้ระหว่างระดับวิตามินดีที่ต่ำ กับทั้งไขมันหน้าท้องและน้ำหนักที่เพิ่มขึ้น แต่อิทธิพลเหล่านี้มีนัยสำคัญในเพศชายมากกว่า

อย่างไรก็ตาม ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันว่าการเสริมวิตามินดีช่วยป้องกันการเพิ่มน้ำหนักได้หรือไม่

ปัจจัยเสี่ยงต่อการขาดวิตามิน D

การขาดวิตามินดีไม่ได้เกิดจากสาเหตุเดียว แต่ความเสี่ยงโดยรวมของคุณอาจเพิ่มขึ้นจากภาวะสุขภาพหรือพฤติกรรมบางอย่าง เช่น

  • สีผิวคล้ำ ผิวสีคล้ำสังเคราะห์วิตามินดีจากแสงแดดได้น้อยกว่า
  • ทารกที่กินนมแม่ น้ำนมแม่มีวิตามิน D น้อย
  • ผู้ใหญ่ที่มีอายุ 65 ปีขึ้นไป ผิวหนังสร้างวิตามินดีจากแสงแดดได้ลดประสิทธิภาพตามวัย
  • ได้รับแสงแดดน้อย เช่น ผู้ที่อาศัยอยู่ไกลเส้นศูนย์สูตร หรืออยู่ในพื้นที่ที่มีแดดน้อยตลอดทั้งปี
  • น้ำหนักเกินหรืออ้วน
  • โรคไตเรื้อรังหรือโรคตับ
  • การใช้ยาบางชนิด ที่ส่งผลต่อการเมแทบอลิซึมวิตามินดี เช่น ยาลดไขมันในเลือด (สแตติน)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Neither แปลว่าอะไร เคล็ดลับการนำไปใช้ให้ดูเป็นมืออาชีพ

Neither หรือ Either เป็นคำที่มักพบได้บ่อยในการสนทนาภาษาอังกฤษ หลายคนยังคงสับสนระหว่างการใช้ Neither หรือ Either ในบทความนี้จะพูดถึงความหมายของ Neither และเคล็ดลับการนำไปใช้ให้ดูเป็นมืออาชีพ สามารถใช้ได้จริงในชีวิตประจำวัน

Neither แปลว่าอะไร?

Neither มีความหมายในเชิงปฏิเสธ มักใช้คู่กับ nor เป็น Neither…nor… ให้ความหมายว่า ไม่ทั้งคู่ หรือ ไม่ทั้งหมด 

ตัวอย่างการใช้ Neither

  • Neither my brother nor my sister likes Peter Pan.

ทั้งน้องชายและน้องสาวของฉันไม่ชอบปีเตอร์แพน

  • Neither dogs nor cats like firecracker sound.

ทั้งสุนัขและแมวไม่ชอบเสียงประทัด

  • You can drink neither beer nor wine.

คุณไม่สามารถดื่มได้ทั้งเบียร์และก็ไวน์

  • She was neither excited nor disappointed about the news.

เธอไม่ได้รู้สึก(ทั้ง)ตื่นเต้นหรือผิดหวังกับข่าวนี้

  • The movie was neither entertaining nor thought-provoking, leaving the audience disappointed.

ภาพยนตร์ที่ไม่ได้ให้ทั้งความบันเทิงและไม่กระตุ้นความคิด ทำให้ผู้ชมผิดหวัง

  • Neither Ket nor Jason will come to the party.

ทั้งเคทและเจสันจะไม่มางานปาร์ตี้

  • Neither Tom nor Sara has to go to the meeting in the afternoon.

ทั้งทอมและซาราไม่ต้องไปประชุมช่วงบ่าย

  • I can go to the library neither today nor the day after tomorrow.

ฉันไม่สามารถไปห้องสมุดได้ทั้งวันนี้หรือวันมะรืนนี้

  • He speaks neither French nor Spanish fluently.

เขาพูดไม่คล่องทั้งภาษาฝรั่งเศสและภาษาสเปน

  • The device is neither waterproof nor shockproof.

อุปกรณ์ไม่กัน(ทั้ง)น้ำและไม่กันกระแทก

  • She’s neither tall nor short; she’s of average height.

เธอไม่(ทั้ง)สูงหรือไม่เตี้ย เธอมีส่วนสูงโดยคนเฉลี่ยทั่วไป

  • He neither smiled nor spoke during the entire meeting.

เขาไม่ทั้งยิ้มหรือพูดเลยตลอดการประชุม

  • The store carries neither milk nor eggs at the moment.

ทางร้านค้าไม่มีทั้งนมและไข่ในขณะนี้

  • Neither the cat nor the dog could be found in the backyard.

ไม่พบทั้งแมวและสุนัขในสวนหลังบ้าน

  • Ket: I don’t like Wasabi. – ฉันไม่ชอบวาซาบิ
  • Sara: No, Neither do I. – ฉันก็ไม่ชอบเหมือนกัน
  • Tom: I won’t go to school tomorrow. – พรุ่งนี้ฉันจะไม่ไปโรงเรียน
  • Jason: No, Neither do I. – ฉันก็จะไม่ไปเหมือนกัน
  • Sara: I don’t like going to the hospital. – ฉันไม่ชอบไปโรงพยาบาล
  • Jason: No, Neither do I. – ฉันก็ไม่ชอบไปเหมือนกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


จับตา Gen AI ผู้ช่วยอัจฉริยะ พลิกโฉม Wealth Management

  • Gen AI มีศักยภาพในการพลิกโฉมธุรกิจ Wealth Management
  • ยุคแห่งการส่งต่อความมั่งคั่งการนำ Gen AI มาปรับใช้ นับเป็นอีกทางหนึ่งในการสร้างความได้เปรียบการแข่งขัน
  • Generative AI สามารถมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้นักลงทุนรุ่นใหม่

มีตัวเลขคาดการณ์ว่า การส่งต่อความมั่งคั่งจากรุ่นสู่รุ่นจะมีมูลค่ากว่า 2.5 ล้านล้านดอลลาร์ ภายในปี 2573 ขณะเดียวกันส่งผลให้จำนวนนักลงทุนชนชั้นกลางที่มีฐานะดีมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น

โอมาร์ บาเชียร์ ผู้อำนวยการด้านเทคนิค ฝ่าย บริการทางการเงิน Thoughtworks ที่ปรึกษาด้านเทคโนโยลีชั้นนำ เปิดมุมมองต่อประเด็นนี้ว่า  ทิศทางนี้ย่อมส่งผลต่อธุรกิจบริหารความมั่งคั่ง และทำให้การบริหารความมั่งคั่ง (Wealth Management) ได้รับความสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ

เพราะเมื่อคนมีความรู้และประสบการณ์มากขึ้น ความต้องการย่อมเปลี่ยนไป เกิดคำถามคือ “แล้วธุรกิจบริหารความมั่งคั่งจะรับมือกับความเปลี่ยนแปลงนี้อย่างไร”

ดึง Gen AI ทลายข้อจำกัด

โอมาร์ เผยว่า เรื่องนี้สามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเกิดใหม่ เช่น Generative AI (Gen AI) ที่สามารถมอบประสบการณ์ใหม่ๆ ให้นักลงทุนรุ่นใหม่ที่ได้รับการสืบทอดความมั่งคั่งจากคนรุ่นก่อนมา

ปัจจุบัน กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ทั้งกลุ่มรายได้สูงและกลุ่มคนมั่งคั่ง มีความหลากหลายสูงมาก พวกเขามักมองโลกแตกต่างจากคนรุ่นพ่อรุ่นแม่ในอดีต คือแทบจะไม่ให้ความสำคัญกับการมีที่ปรึกษาการลงทุน ซึ่งแตกต่างจากนักลงทุนรุ่นก่อน

นอกจากนี้ กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่ยังไม่ได้ต้องการแค่เรื่องผลตอบแทนจากการลงทุน แต่ยังสนใจการลงทุนที่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางสังคมต่างๆ

เช่น เรื่องสิ่งแวดล้อมหรือความยั่งยืน รวมถึงให้ความสำคัญมากขึ้นกับความน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส และการตอบสนองต่อประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นของบริษัท Wealth Management ที่ตัดสินใจเข้าไปลงทุนด้วย 

แก้โจทย์นักลงทุนหลายเจน

สำหรับ ความท้าทายหลักๆ ของธุรกิจ Wealth Management คือ ต้องตอบสนองความคาดหวังต่างๆ ของนักลงทุนรุ่นใหม่ๆ ได้ ไม่ว่าจะเป็นความไว้วางใจ ความโปร่งใส การส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้า รวมถึงความพร้อมในการให้บริการ

“กลุ่มนักลงทุนรุ่นใหม่และกลุ่มคนมั่งคั่ง ต่างคาดหวังการมีปฏิสัมพันธ์กับบริษัทด้าน Wealth Management ผ่านช่องทางดิจิทัล ขณะที่กลุ่มนักลงทุนรุ่นเก่าและกลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ (High Net Worth) ยังคงต้องการพูดคุยกับที่ปรึกษาด้านการลงทุนและผู้จัดการกองทุนอยู่” 

ดังนั้น ความท้าทายอย่างแรกจึงเป็นเรื่องการตอบสนองความต้องการของนักลงทุนทั้งรุ่นใหม่และรุ่นเก่าได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยหากต้องการครองใจนักลงทุนรุ่นใหม่และกลุ่มคนมั่งคั่ง การพัฒนาช่องทางดิจิทัลต่างๆ เพื่อเพิ่มการเข้าถึงและเพิ่มการมีปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าคือสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ขณะที่ระบบการทำธุรกรรมก็ต้องมีความปลอดภัย สอดคล้องกับระเบียบข้อกำหนดต่างๆ ของหน่วยงานกำกับดูแล ท่ามกลางภัยไซเบอร์ที่เพิ่มมากขึ้น

สำหรับความท้าทายอย่างที่สองคือ การปรับปรุงระบบและเทคโนโลยีที่ล้าสมัย (Legacy System) รวมทั้งคุณภาพของข้อมูลและความพร้อมใช้งาน ซึ่งเป็นกระบวนการทรานส์ฟอร์มระบบธุรกิจที่ใช้เวลา สำหรับทีมผู้บริหารนั้น การปรับเปลี่ยนที่จะประสบความสำเร็จได้ จะต้องกำหนดเป้าหมายที่ชัดเจน และจัดลำดับความสำคัญโดยพิจารณาโครงการที่จะสร้างค่าคุณค่าให้ธุรกิจได้มากที่สุด

ยกระดับประสบการณ์ลูกค้า

ผู้นำในธุรกิจ Wealth Management ต่างตระหนักมากขึ้นเรื่อยๆ ว่า Gen AI สามารถยกระดับประสบการณ์ลูกค้าให้ดียิ่งขึ้นได้ โดยเฉพาะการสร้างประสบการณ์แบบเฉพาะบุคคล (Personalization) มากกว่านั้น โมเดล AI ร่วมกับปริมาณข้อมูลขนาดใหญ่ ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของบริการและการดำเนินงานได้ ดังนี้

เพิ่มความรวดเร็วในการให้บริการลูกค้า (Customer service) : Gen AI สามารถเพิ่มความรวดเร็วในการดูแลลูกค้า เช่น ข้อร้องเรียนและกรณีเกิดปัญหาต่างๆ

โดยเฉพาะปัญหาที่บริบทไม่ครบถ้วนเนื่องจากตกหล่นไประหว่างการส่งเรื่องผ่านขั้นตอนต่างๆ ทำให้ใช้ระยะเวลานานกว่าที่จะสามารถแก้ปัญหาได้ และส่งผลให้ลูกค้าได้รับประสบการณ์ที่ไม่ดี ซึ่งประสบการณ์ผ่านช่องทางดิจิทัลเป็นสิ่งที่นักลงทุนรุ่นใหม่ให้ความสำคัญ

“Gen AI สามารถเข้าไปดึงบริบทที่หายไปและนำไปรวมเข้ากับข้อมูลที่ได้จากเจ้าหน้าที่ ทำให้มีข้อมูลที่ครบสมบูรณ์และนำไปใช้แก้ไขปัญหาได้อย่างทันท่วงที”

สร้างพอร์ตลงทุนเฉพาะบุคคล

เสริมสร้างความรู้ทางการเงิน (Financial Literacy) : Gen AI สามารถช่วยนักลงทุนรุ่นใหม่ในการหาความรู้เกี่ยวกับหลักการทางการเงิน ทฤษฎีการลงทุน และให้คำปรึกษาด้านการเงินที่ตรงกับความสนใจและประวัติการลงทุน โดยผ่านการตรวจสอบความถูกต้อง และสอดคล้องกับกฎระเบียบ

การสร้างพอร์ตการลงทุนแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Portfolio) : Gen AI สามารถทำความเข้าใจและสรุปความต้องการของนักลงทุนได้จากข้อมูลที่มีอยู่ รวมทั้งให้คำแนะนำการลงทุนที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล ซึ่งมีการตรวจสอบและมีการบริหารความเสี่ยงที่เหมาะสม

จากผลลัพธ์ดังกล่าว ผู้ให้บริการด้าน Wealth Management สามารถนำไปเป็นข้อมูลประกอบการออกแบบพอร์ตการลงทุนที่เหมาะสมกับลูกค้าแต่ละราย เช่น แนะนำผลิตภัณฑ์การลงทุนที่ควรลงทุนเพิ่ม ค้นหาผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสมกับภาวะตลาดในแต่ละช่วงเวลา และนำข้อมูลไปวิเคราะห์ร่วมกับ Predictive AI เพื่อคาดการณ์แนวโน้มของสินทรัพย์แต่ละประเภท

ปูทางความสำเร็จระยะยาว

เพิ่มความปลอดภัยและการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ (Compliance and Security) : Gen AI ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านความปลอดภัย และการปฏิบัติตามระเบียบข้อบังคับ โดยสอดคล้องกับกฎระเบียบและมีการแจ้งเตือนลูกค้าหากมีความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น

สรุปได้ว่า Gen AI มีศักยภาพในการพลิกโฉมธุรกิจ Wealth Management แต่ทั้งนี้ ไม่สามารถทำงานได้เพียงลำพัง ต้องบูรณาการร่วมกับเทคโนโลยีที่เหมาะสม แพลตฟอร์มข้อมูลที่เชื่อถือได้ และการกำกับดูแลอย่างเข้มงวด เพื่อสร้างความมั่นใจเรื่องความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของข้อมูล

รวมถึงเพิ่มความเชื่อมั่นว่า ผลลัพธ์จาก Gen AI จะลดความเสี่ยงทั้งทางการเงิน การปฏิบัติตามกฎระเบียบ รวมทั้งปรับปรุงประสบการณ์ของลูกค้า และประสิทธิภาพของธุรกิจ

ยุคแห่งการส่งต่อความมั่งคั่ง ไม่ใช่แค่นักลงทุนจะเปลี่ยนผ่านจากรุ่นหนึ่งมาสู่อีกรุ่นเท่านั้น ธุรกิจ Wealth Management เองต้องก้าวเข้าสู่การเปลี่ยนผ่านด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะในแง่การเตรียมความพร้อมเพื่อตอบสนองความคาดหวังของนักลงทุนรุ่นใหม่

ดังนั้น การนำเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่าง Gen AI มาปรับใช้ นับเป็นอีกทางหนึ่งในการสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ก้าวข้ามความท้าทายและขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จได้ในระยะยาว   

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


10 ประโยชน์ของ “เต้าหู้” เมนูสุขภาพ ดีต่อร่างกายทุกเพศทุกวัย

หนึ่งในอาหารที่ขึ้นชื่อเรื่อง “ดีต่อสุขภาพ” คงหนีไม่พ้น “เต้าหู้” ที่หลายๆ คนอาจจะนึกถึงอย่างแรกๆ เพราะเต้าหู้ขึ้นชื่อว่าเต็มไปด้วยโปรตีนไร้ไขมันที่ดีต่อสุขภาพ ทำให้เต้าหู้เป็นหนึ่งในส่วนประกอบของเมนูสุขภาพมากมาย แต่ที่หลายคนอาจจะยังไม่ทราบคือ เต้าหู้มีดีกว่าการเป็นโปรตีนที่ดีต่อร่างกาย ยังมีสารอาหารอีกหลายอย่างที่ดีต่อสุขภาพของคนทุกเพศทุกวัย และราคายังย่อมเยาอีกด้วย

10 ประโยชน์ของ “เต้าหู้”

  1. โปรตีนสูง เป็นอาหารอุดมไปด้วยโปรตีนที่คนที่กินมังสวิรัติ และคนกินเจควรกิน ฟองเต้าหู้จะมีโปรตีนมากที่สุด ตามมาด้วยเต้าหู้แข็ง และเต้าหู้อ่อน
  2. ช่วยลดคอเลสเตอรอลที่ไม่ดีในร่างกาย
  3. ลดความเสี่ยงโรคหลอดเลือดหัวใจ
  4. แคลอรี่ต่ำ ไขมันน้อย เหมาะกับคนที่กำลังควบคุมน้ำหนัก
  5. สารฟิโตเคมิคัล ได้แก่ ไอโซฟลาวัน ในเต้าหู้ ช่วยลดความเสี่ยงในการเป็นโรคมะเร็ง เช่น มะเร็งเจ้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งกระเพาะอาหาร
  6. มีเอสโตรเจน ช่วยปรับสมดุลของฮอร์โมนในหญิงวัยหมดประจำเดือน
  7. มีแคลเซียม บำรุงกระดูก
  8. มีสารต้านอนุมูลอิสระ ลดความเสี่ยงโรคมะเร็ง
  9. อุดมไปด้วยวิตามิน ทั้ง วิตามิน A, B, B1, B2, B6, B12, C, D, E และ ไนอาซิน เป็นต้น
  10. มีเลซิทิน ช่วยบำรุงสมอง เพิ่มทักษะความจำ

วิธีเลือกกินเต้าหู้ให้ได้ประโยชน์มากที่สุด

ควรเลือกกินเต้าหู้โดยผ่านการปรุงด้วยการต้ม นึ่ง มากกว่าการทอด และหากเลือกรับประทานเต้าหู้ให้หลากหลายแบบ ก็จะทำให้ได้สารอาหารที่มากขึ้นด้วย เช่น เต้าหู้เหลือง เต้าหู้ขาว เต้าหู้ไข่ เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/07/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a41,150.0041,250.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,666.0040,416.5641,750.00
ทองรูปพรรณ 90%2,399.4036,374.90n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,132.8032,333.25n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,200.0018,192.00n/a
ทองรูปพรรณ 40%933.0014,144.28n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,763.0041,887.08n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/07/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9538.8538.8539.2538.8538.8538.8538.8538.8538.8538.85
แก๊สโซฮอล์ 9138.4838.4838.8838.4838.4838.4838.4838.4838.4838.48
แก๊สโซฮอล์ E2036.7436.7437.1436.7436.7436.7436.7436.7436.74
แก๊สโซฮอล์ E8536.4936.4936.49
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม47.4449.8449.8449.8447.44
เบนซิน 9546.7449.8147.2446.8946.74
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า