อสังหาฯไร้อานิสงส์รถจีนยึดระยองฮับผลิต!กำลังซื้อซึมสวนที่ดินไร่ละ4ล้าน
- จับตากลุ่มทุนรถไฟฟ้าจีน อาทิ บีวายดี ฉางอาน เอ็มจี เกรทวอลล์ รวมถึง โอโมดา แอนด์ เจคู ไอออน ปักหมุดโรงงานประกอบรถยนต์ ในทำเลยุทธศาสตร์เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดระยอง
- ดันราคาที่ดินโซนนิคมพัฒนา พุ่งไร่ละ 4 ล้านบาท ขยับจากไร่ละ 2 ล้านบาท กลายเป็น “ลิตเติ้ล ไชน่าทาวน์”
- ท่ามกลางสถานการณ์โรงงานเอสเอ็มอีไทยอยู่ในสภาพล้มหายตายจาก! เพราะไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคาสู้โรงงานจีนได้ ส่งผลกำลังซื้อยังคงซบเซา
เปรมสรณ์ ศรีวิบูลย์ชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท วีพี เรียลเอสเตท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม จังหวัดระยอง กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระยองหลังมีกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศจีน อาทิ แบรนด์บีวายดี (BYD) ฉางอาน (Changan) เข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมระยอง โดยเฉพาะทำเลนิคมพัฒนาปลวกแดง ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับขึ้น 2 เท่า
นอกจากนี้ ยังมีทุนจากประเทศจีนเข้ามาซื้อที่ดินสร้างโรงงานเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี ที่ชาร์จ ในทำเลนิคมพัฒนาจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมกำลังซื้อในย่านนิคมพัฒนา ไม่ได้แข็งแรงมากนัก! เพราะส่วนใหญ่เป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วน กำลังซื้อและดีมานด์จึงแข็งแรงสู้นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดไม่ได้ ซึ่งมีโรงงานปิโตรเคมี SCG ปตท. แม้นิคมพัฒนา จะมีจำนวนแรงงานมากกว่า มีความต้องการอยากซื้อบ้าน แต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นมากนักทำให้ซื้อได้ยาก โดยระดับราคาต่ำกว่าล้านบาทพบยอดปฎิเสธสินเชื่อถึง 50%
“ที่สำคัญโรงงานที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่ใช้ซัพพลายเออร์จากจีน กลุ่มผู้รับเหมาในระยอง และชลบุรี ได้งานก่อสร้างโรงงานในนิคมพัฒนาน้อยมาก ส่วนใหญ่เขาขนวัสดุอุปกรณ์มาประกอบเอง ใช้วิศวกร เครื่องจักรอัตโนมัติ ใช้หุ่นยนต์ ดังนั้นอานิสงส์หลักเกิดกับคนขายที่ดินมากกว่า แต่ในมิติของการจ้างงานในพื้นที่ หรือ นอกพื้นที่ ได้อานิสงส์น้อยมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินลงทุนในการตั้งโรงงาน”
ปัจจุบันราคาที่ดินในโซนนิคมพัฒนาราคาเฉลี่ยต่อไร่อยู่ที่ 4 ล้านบาทขึ้นไป จากเดิม 2 ล้านบาท แพงขึ้น 2 เท่า ภายในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา และยังคงมีความต้องการที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นโซนเดียวที่ฮอตสุดในจังหวัดระยอง ส่วนทำเล “มาบตาพุด” ไม่มีโรงงานเปิดใหม่ เนื่องจากราคาที่ดินสูงเฉลี่ยไร่ละ 10 ล้านบาท ไม่คุ้มที่จะลงทุนทำนิคมอุตสาหกรรม
“ผลดีจากการเข้ามาของทุนรถยนต์ไฟฟ้าจีน คือ คนขายที่ดิน แต่อานิสงส์ที่มีต่อร้านค้า แรงงาน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่พักอาศัย ไม่ได้รับผลดีเท่าที่ควรจะเป็นเพราะทุกอย่างนำเข้าจากจีน”
หากมองในภาพรวมเศรษฐกิจไทยน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง! เพราะทุกอย่างเอื้อต่อการลงทุนจีนไม่ว่าเป็น ภาษีนำเข้าต่างๆ เสียภาษีในอัตราน้อยมาก บางอย่างแทบไม่เสียเลย โรงงานผลิตสินค้าไม่สามารถสู้ได้กับสินค้าจากโรงงานจีนที่นำเข้ามาขายเองทั้งมีแพลตฟอร์มขายออนไลน์ทำตลาดเชิงรุกกระทบโดยตรงธุรกิจเอสเอ็มอีไทย
“ต่อให้มีโรงงานรถยนต์ไฟฟ้า เข้ามาตั้งฐานผลิตที่ระยองก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจในระยองดีขึ้น”
ทั้งนี้ คนจีนเข้ามาซื้อบ้านน้อยเมื่อเทียบกับในพัทยา ภูเก็ต ประกอบกับมีสิทธิซื้อที่ดินในพื้นที่นิคมฯ สร้างบ้านอยู่เองได้ไม่จำเป็นต้องมาซื้อบ้านจัดสรรนอกพื้นที่ หรืออาจมีซื้อบ้างในระดับราคา 3-10 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบสัดส่วนการขายคนไทย 9 คน จะเป็นคนจีน 1 คนเท่านั้น!
เปรมสรณ์ กล่าวต่อว่า ในแง่ของอารมณ์ซื้อ (sentiment) ของคนไทย หลังจากที่มีมาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์ จาก 1% เหลือ 0.01% ส่งผลให้คนอยากซื้อบ้านมากขึ้น แต่ติดปัญหาถูกปฎิเสธสินเชื่อสูง
“ได้แต่หวังว่าครึ่งปีหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยทำให้ยอดปฎิเสธสินเชื่อลดลงและการโอนบ้านเพิ่มขึ้น เพราะการลดดอกเบี้ยเพียงแค่ 0.25% จะช่วยลดภาระการผ่อนลูกค้าลงได้มาก หาก ธปท. ลดดอกเบี้ยลงจะทำตลาดอสังหาริมทรัพย์จังหวัดระยองปรับตัวดีขึ้นอาจไม่ถึงขั้นติดลบจากที่คาดการณ์ว่าจะติดลบ 15%”
ทางด้าน ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ประเมินว่า ในปี 2567 จะมีการซื้อพื้นที่อุตสาหกรรมรวม 7,000 ไร่ จากยอดขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม 6 เดือนแรก ปี 2567 มีจำนวน 4,020 ไร่
โดยไตรมาสแรก มีจำนวน 2,295 ไร่ สูงสุดเป็นประวัติการณ์และไตรมาส 2 มีจำนวน 1,725 ไร่ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกยอดขายพื้นที่นิคมฯ สูงกว่าเป้าหมายที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) วางไว้ 4,000 ไร่ ทั้งนี้เป็นผลจากการเข้ามาของกลุ่มธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน รองลงมาเป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า
โดยการซื้อขายที่ดินมากกว่า 85% เกิดขึ้นในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งครอบคลุม 3 จังหวัดภาคตะวันออก คือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ซึ่งนักลงทุนนิยมลงทุนในจังหวัดระยองมากกว่าชลบุรี เพราะถูกกว่า 30% ส่งผลให้ราคาที่ดินในระยอง ขยับราคา 1 ล้านบาทต่อไร่ จากเดิมราคา 200,000-300,000 บาทต่อไร่ ในปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19
อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีการเปิดตัวพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่มากกว่า 10,000 ไร่ในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ภาคอสังหาฯ ไม่หวั่น ‘เศรษฐา‘ พ้นตำแหน่ง หวังรัฐบาลใหม่สานต่อนโยบายเดิม
ภาคอสังหาฯ ไม่หวั่น ‘เศรษฐา’ พ้นตำแหน่ง ‘นายกฯ’ หวังรัฐบาลชุดใหม่สานต่อนโยบายเดิม ยัน เศรษฐกิจไทยต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว
นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวกับ ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ‘ว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรีนั้น จะไม่ส่งผลโดยรวมต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์มากนัก เพราะได้มีการวางนโยบายต่าง ๆ ในการกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลังมาแล้วค่อนข้างมาก เช่น โครงการสินเชื่อบ้าน DD (ดี๊ดีย์) วงเงิน 50,000 ล้านบาท และ Happy Home โดย ธอส.
ขณะเดียวกันการแก้ไขกฎหมายอ้างอิงสิทธิได้ถึง 99 ปี และเปิดให้ชาวต่างชาติถทอครองกรรมสิทธิห้องชุดได้ในสัดส่วน 75% นั้น ก็ผ่านการเห็นชอบขอฝ ครม. แล้ว อยู่ในขั้นตอนของรัฐสภา ที่กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ เชื่อว่า ในเรื่องนี้ก็จะสามารถเดินต่อได้เช่นกัน
“การดำเนินนโยบายต่าง ๆ หากผู้ที่จัดตั้งรัฐบาลยังเป็นชุดเดิม ก็น่าจะยังคงต่อเนื่องได้ แต่อาจจะล่าช้าบ้าง เพราะต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าไม่น่าจะแย่ไปกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่ การฟื้นตัวต่าง ๆ จะยังคงเป็นไปตามคาดการณ์จากหลายฝ่าย
เปลี่ยนรัฐบาลกี่ชุด แต่ถ้าเป็นชุดเดิม สานต่อจากเดิมได้ ก็น่สจะไปต่อได้ ก็นาสจะทำให้ไม่ฉุดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้มากยัก แต่ขออย่างเดียว ให้ไปจต่อจากเดิม“
สำหรับกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรก ถือเป็นการตกต่ำที่สุดของธุรกิจอสังหาฯในรอบหลายปี กำลังซื้อบ้านแนวราบหายไปราว 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดปัจจัยการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของภาครัฐ จะช่วยเพิ่ม New Demand เข้าสู่ตลาดจนสามานถประคับประคองให้กำชังซื้ออสังหาฯปีนี้ ไม่ชะลอตัว แต่คาดว่าน่าจะอยู่ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว
ประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะมีการประชุมเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงต่อจากนี้ และที่สำคัญคือ อาจจะพิจารณา ผ่อนปรนอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ให้เกินเพดานที่ทำหนด อาจจะเริ่มภายใน ก.ย. 67 และสิ้นสุด ธ.ค. 68
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ส.ค. “อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 35.08 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัย ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน และความผันผวนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ส.ค. 2567 ที่ระดับ 35.08 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.92 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นกลับมามีกำลังมากขึ้นอีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด
ทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกัน ก็กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ที่ในช่วงนี้ ราคาทองคำก็ขาดปัจจัยหนุน หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็ดูจะยังไม่ทวีความรุนแรงมากขึ้น อย่างที่ตลาดเคยกังวล
อย่างไรก็ดี ในเชิงเทคนิคัลนั้น เราจะมั่นใจได้มากขึ้นว่า เงินบาทอาจเข้าสู่ช่วงผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.15-35.20 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน
เรามองว่า ในระยะสั้น ควรจับตาสถานการณ์การเมืองไทยที่อาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากบรรดานักลงทุนต่างชาติกังวลต่อสถานการณ์การเมืองไทยมากขึ้นและเลือกที่จะลดการถือครองสินทรัพย์ไทย
โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้นั้น ก็อาจอ่อนค่าลงต่อ ทดสอบโซนแนวต้านสำคัญแถว 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้นั้นอาจจำกัดอยู่แถวโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ ฝั่งสนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาทเพิ่มเติม
ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน ในช่วงราว 9.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลให้เงินหยวนจีน (CNY) ผันผวนและกระทบต่อบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้บ้าง นอกจากนี้ ตั้งแต่ช่วง 19.30 น. เป็นต้นไป ก็ควรระวังความผันผวนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้
เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะ JPY Carry Trade/Short JPY ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.00-35.30 บาท/ดอลลาร์
โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน ก่อนที่จะทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในช่วง 34.84-35.10 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น
ในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ที่ชะลอลงต่อเนื่องสู่ระดับ 2.9% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อย (+0.2%m/m ตามคาด) ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้
โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดกลับมามองว่า การชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวก็อาจทำให้เฟดลดดอกเบี้ยเพียง -25bps ตามปกติ ในการประชุมเดือนกันยายน จากที่ก่อนหน้า ตลาดคาดหวังว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยถึง -100bps (ทั้งนี้ในภาพรวม ผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว -100bps ในปีนี้ อยู่) ซึ่งการปรับมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น
นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซนแนวรับระยะสั้น 2,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังไม่ได้น่ากังวลอย่างที่ตลาดเคยประเมินไว้
(ทั้งนี้ เราขอย้ำว่า ควรระวังความผันผวนจากปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงที่ทางอิหร่านและพันธมิตร Axis of Resistance จะโจมตีอิสราเอล) อนึ่ง ความไม่แน่นอนของการเมืองไทยก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า แต่ท่าทีของนักลงทุนต่างชาติในวันก่อนหน้านั้น สะท้อนว่า ความเสี่ยงการเมืองไทยก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติได้รับรู้ (priced-in) ไปพอสมควรแล้ว
บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ที่ชะลอลงต่อเนื่องนั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่าเฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของหุ้น Alphabet -2.3% หลังทางการสหรัฐฯ กำลังพิจารณาทางเลือกในการแยกธุรกิจของ Alphabet หลังศาลมีคำวินิจฉัยว่าทางบริษัทได้ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.38%
ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.49% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ยังคงออกมาสดใส นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็ยังได้อานิสงส์จากความหวังว่าเฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ ตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ล่าสุดที่ชะลอลงต่อเนื่อง
ในส่วนตลาดบอนด์ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ล่าสุด ที่ชะลอลงต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ออกมาต่ำกว่าคาดไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกันยายน
โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว -25bps ในการประชุมเดือนกันยายน แต่โดยรวมตลาดยังคงมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว -100bps ในปีนี้ ซึ่งภาพดังกล่าวได้ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน และยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3.85%
สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ sideways (3.70%-4.00%) ในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม จนมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน และ
เรายังคงคำแนะนำเดิม “เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip” หรือเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น ส่วนจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นนั้น ก็อาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดพิจารณาขายทำกำไรได้บ้าง หากมีกลยุทธ์ Range-Bound Trading
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ทว่า เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับที่สูงกว่าก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกันยายน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 102.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.2-102.7 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคลายกังวลปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงจังหวะพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซนแนวรับ 2,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับตัวลดลงดังกล่าวของราคาทองคำก็มีส่วนกดดันเงินบาทผ่านโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึง ดัชนีสะท้อนภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย
ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า เศรษฐกิจอังกฤษอาจขยายตัวราว +0.9%y/y
ทางฝั่งเอเชียนั้น ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม และยอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ที่อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 6.50% ในปัจจุบัน
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.14-35.16 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.05 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.94 บาทต่อดอลลาร์ฯ
เงินบาทกลับมายืนในฝั่งที่อ่อนค่ากว่าแนว 35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ อีกครั้ง หลังข้อมูล CPI เดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ซึ่งออกมาตามที่ตลาดคาด ทำให้โอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 25 basis points น้อยลง นอกจากนี้ ราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวลงเมื่อคืนที่ผ่านมา (สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ฟื้นตัวขึ้น) รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่มีประเด็นติดตามต่อเนื่อง ก็เพิ่มแรงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่ากลับมาด้วยเช่นกัน
ด้านสกุลเงินเอเชียอื่นๆ เงินเยนยังเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ แม้ว่าตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของญี่ปุ่นจะออกมาดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด ขณะที่เงินหยวนอ่อนค่าลงเช่นกัน เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค. ของจีนที่ออกมาสะท้อนภาพปะปน โดยแม้ยอดค้าปลีกจะขยายตัวดีกว่าคาด แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโตต่ำกว่าที่คาดและต่ำสุดในรอบ 4 เดือน
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.00-35.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์การเมืองในประเทศ ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของอังกฤษ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วย จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดค้าปลีกเดือนก.ค. ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. และผลสำรวจภาคการผลิตเดือนส.ค. ของเฟดสาขานิวยอร์กและฟิลาเดลฟีย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
พีเอฟยู บลูแคตส์ ปิดดีลคว้า แนน-นุกนิก สู้ศึกวอลเลย์บอลลีกญี่ปุ่นซีซั่นนี้
พีเอฟยู บลูแคตส์ ทีมในศึกวอลเลย์บอลลีกของประเทศญี่ปุุ่น ประดาศปิดดีลคว้า นุกนิก ณัฏฐณิชา ใจแสน และ แนน ทัดดาว นึกแจ้ง 2 นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยมาเสริมทัพสู้ศึกในฤดูกาล 2024-25
ความเคลื่อนไหวก่อนการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงลีกของญี่ปุ่น รูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ เอสวี.ลีก (SV.LEAGUE) ซึ่งจะเริ่มแข่งขันเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยประเภททีมหญิง มี 14 ทีมที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือก ประกอบด้วย ไซตามะ อาเกโอะ เมดิคส์ , เอ็นอีซี เรด ร็อกเก็ตส์ , คุโรเบะ อควาแฟรีส์ , พีเอฟยู บลูแคตส์ , ควินซีส์ คาริยา , โทเรย์ โรส ชิงะ , โอซาก้า มาร์เวลลัส , วิกโตรินะ ฮิเมจิ , โอกายามา ซีกัลส์ , ฮิซามิตสึ สปริงส์ , อารันเมร์ ยามากาตะ , เดนโซ แอร์ริบีส์ , แอสเทโม รีวาเล และ กุมมะ กรีน วิงส์
ล่าสุด พีเอฟยู บลูแคตส์ (PFU Bluecats) ประกาศเปิดตัว 2 นักวอลเลย์บอลหญิงไทย ได้แก่ “นุกนิก” ณัฏฐณิชา ใจแสน มือเซตดาวรุ่ง และ “แนน” ทัดดาว นึกแจ้ง บอลเร็วกัปตันทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย เข้ามาร่วมทีมอย่างเป็นทางการ
สำหรับ “นุกนิก” ณัฏฐณิชา ใจแสน นับเป็นการไปเล่นในลีกอาชีพของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก หลังจากอยู่กับไดมอนด์ ฟู้ด มานานถึง 4 ปี ส่วน “แนน” ทัดดาว นึกแจ้ง ก็โลดแล่นในลีกญี่ปุ่นเป็นปีที่ 4 หลังจากเคยเล่นให้กับ เจที มาร์เวลัส และ ฮิตาชิ อัสเตโมะ รีวาเล
ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th
7 สัญญาณอันตราย “ต่อมทอนซิลอักเสบ”
บางคนที่ไปพบแพทย์เพราะมีอาการเจ็บคอ รู้สึกเหมือนภายในลำคอมีอาการอักเสบ แล้วถูกวินิจฉัยกลับมาว่าเป็น “ทอนซิลอักเสบ” อาจจะสงสัยว่าทำไมทอนซิลจึงอักเสบ มีอาการอะไรบ่งชี้ได้ว่ากำลังเป็นทอนซิลอักเสบ แตกต่างจากอาการเจ็บคอทั่วไปอย่างไร และวิธีรักษาต่อมทอนซิลอักเสบคืออะไร เรามาทำความรู้จักโรคนี้กันให้ชัดเจนขึ้นกันดีกว่า
ต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis) คืออะไร?
“ต่อมทอนซิล” ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จัดอยู่ในกลุ่มของเนื้อเยื่อประเภทน้ำเหลือง ภายในต่อมมีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด หน้าที่หลัก คือ การจับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางเดินอาหาร หน้าที่รองลงมาคือ สร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งต่อมทอนซิลพบได้หลายตำแหน่ง ที่เห็นชัดจะอยู่ด้านข้างของช่องปาก มีชื่อเรียกว่า พาลาทีนทอนซิล (Palatine Tonsil) นอกจากนี้ยังพบได้บริเวณโคนลิ้น (Lingual Tonsil) และช่องหลังโพรงจมูก (Adenoid Tonsil)
อาการของ “ต่อมทอนซิลอักเสบ”
อาการ “ทอนซิลอักเสบ” เป็นอาการที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ แต่พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เป็นการอักเสบของต่อมทอนซิลคู่ซ้ายและขวา หรือ Palatine Tonsil อยู่ข้างซ้ายและขวาของผนังในลำคอใกล้กับโคนลิ้น ในทางการแพทย์จัดให้โรคต่อมทอนซิลอักเสบอยู่รวมกับโรคคออักเสบ เนื่องจากจะมีอาการอักเสบเพราะการติดเชื้อที่ลำคอเสมอ
สาเหตุของ “ต่อมทอนซิลอักเสบ”
สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่อมทอนซิลอักเสบกว่าร้อยละ 70 – 80 มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสเป็นส่วนใหญ่ และสาเหตุอื่น ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อทั้งหมดอาจอยู่ในน้ำลาย เสมหะ หรืออากาศที่หายใจเข้าไป การสัมผัสกับเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ตามจุดต่างๆ รอบตัว รวมไปถึงการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำจากภาชนะเดียวกันกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อที่ต่อมทอนซิลได้เช่นกัน
สัญญาณอันตราย “ต่อมทอนซิลอักเสบ”
- บริเวณต่อมทอนซิลทางด้านซ้าย หรือขาว มีอาการบวมแดง กดแล้วมีอาการเจ็บ อาการอาจรุนแรงและคงอยู่ยาวนานกว่า 48 ชั่วโมง
- กลืนอาหารลำบาก
- เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยน
- มีกลิ่นปาก
- มีไข้ หนาวสั่น
- ปวดศีรษะ
- ปวดที่บริเวณหู (เนื่องจากต่อมทอนซิลจะมีแขนงของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 9 มาเลี้ยง โดยเส้นประสาทนี้จะไปเลี้ยงที่หู ดังนั้นเมื่อมีต่อมทอนซิลอักเสบจึงมีอาการปวดร้าวที่หูร่วมด้วย )
ในเด็กเล็กที่มีอาการทอนซิลอักเสบอาจไม่สามารถอธิบายได้ว่ามีอาการอย่างไร โดยผู้ปกครองอาจสังเกตจากสัญญาณบ่งบอกต่อไปนี้ น้ำลายไหล มีสาเหตุจากการกลืนได้ลำบากหรือกลืนแล้วรู้สึกเจ็บ ไม่ยอมรับประทานอาหาร และงอแงผิดปกติ
การรักษา “ต่อมทอนซิลอักเสบ”
ทอนซิลอักเสบส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส ซึ่งจะรักษาให้หายได้ภายใน 7-10 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ดีขึ้นได้ด้วยการดูแลรักษาตัวเอง ส่วนการรักษาการอักเสบของต่อมทอนซิล ที่เกิดจากแบคทีเรียนั้นใช้เวลานานกว่า และอาจต้องใช้วิธีการรักษาทางแพทย์ ได้แก่ การรับประทานยาปฏิชีวนะ และการผ่าตัดในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน
การดูแลรักษาตนเอง หลังเป็น “ต่อมทอนซิลอักเสบ”
- เมื่อมีอาการเจ็บคอหรือมีไข้ ควรรับประทานยาแก้ปวดลดไข้ แต่หากเป็นไข้อ่อนๆ ไม่มีอาการเจ็บปวดก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยา
- ข้อควรระวังสำหรับเด็กหรือวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 16 ปี ที่มีอาการของโรคหวัดธรรมดาหรือโรคไข้หวัดใหญ่ไม่ควรใช้ยาแอสไพริน เพราะอาจทำให้มีอาการแพ้หรือที่เรียกว่าโรคเรย์ซินโดรม ส่งผลอันตรายถึงแก่ชิวิตได้
- พักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำอุ่น หรือ น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง เพื่อให้ชุ่มชื้นคอ
- รับประทานอาหารอ่อนๆ
- กลั้วปากด้วยน้ำเกลือ สามารถทำได้เองที่บ้าน โดยใช้เกลือ 1 ช้อนชาผสมน้ำเปล่าประมาณ 250 มิลลิลิตร กลั้วลำคอแล้วบ้วนทิ้ง จะช่วยให้บรรเทาอาการเจ็บคอลงได้
- รักษาความชุ่มชื้นของบ้าน หลีกเลี่ยงอากาศแห้งเนื่องจากจะส่งผลให้ระคายเคืองที่คอและเจ็บคอยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงสารที่ก่อความระคายเคืองที่คอ อาทิ ควันบุหรี่ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั้งหลาย
ทั้งนี้หากพบว่ามีอาการดังกล่าวและรู้สึกว่าไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจรักษา
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
วิธีเปลี่ยนฟอนต์ที่ใช้ประจำเป็นฟอนต์เริ่มต้นใน Microsoft Word
เมื่อคุณเปิด Microsoft Word ขึ้นมาสิ่งแรกที่ก่อนจะเริ่มทำงานก็ต้องเปลี่ยนขนาดและรูปแบบฟอนต์ที่ต้องการ แตว่าถ้าคุณไม่อยากมาปรับบ่อยๆ ต้องการตั้งค่าเป็นค่าเริ่มต้น (Default) เราต้องกดยังไง วันนี้ Sanook Hitech มีคำตอบ
วิธีตั้งค่าฟอนต์ของ Microsoft Word
- “หน้าแรก” (Home) > คลิกที่ไอคอนลูกศรเล็ก ๆ ที่มุมล่างขวาของกลุ่ม “Font” หรือ กดปุ่ม “Ctrl + D” บนคีย์บอร์ด
- เลือกฟอนต์ที่ต้องการในแท็บ “Font” เลือกฟอนต์, รูปแบบ และขนาดที่คุณต้องการตั้งเป็นค่าเริ่มต้น
- คลิกปุ่ม “Set As Default”
- แต่มีการตั้งค่าได้ อีก แบบคือ เลือกให้ใช้เฉพาะเอกสารปัจจุบันเท่านั้น หรือจะเป็นเอกสารใหม่ทั้งหมดก็ได้เช่นเดยวกัน
- เมื่อเลือกเสร็จแล้วให้กด คลิก “OK” สองครั้งเพื่อบันทึกการตั้งค่า
จริงๆ แล้ววิธีนี้สามารถใช้ได้ทุกโปรแกรมของ Microsoft Office ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel, Power Point ได้ทั้งหมดเลยครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
คำอวยพรเพื่อนภาษาอังกฤษ ความหมายสุดซึ้ง
ในวันเกิดของเพื่อน ชาวต่างชาติมักเขียน หรือกล่าวอวยพรที่มีความหมายลึกซึ้ง วัยรุ่นสมัยใหม่ในไทยเอง ก็นิยมเขียนอวยพรเป็นภาษาอังกฤษให้เพื่อนบนโซเชียลมีเดีย ในการเขียนหรือกล่าวคำอวยพรภาษาอังกฤษ สามารถใช้ประโยคไหนได้บ้างเพื่อให้ได้ความหมายสุดซึ้ง ตามบทความของเราไปดูกัน
อวยพรเพื่อนในวันเกิด แบบสั้น ความหมายดี
- “Cheers to another fabulous year! Happy birthday!”
(ยินดีด้วยกับอีกปีที่น่าทึ่ง! สุขสันต์วันเกิด!)
- “Happy birthday, buddy! Let’s celebrate your awesomeness!”
(สุขสันต์วันเกิด เพื่อน! มาฉลองความเยี่ยมยอดของคุณกัน!)
- “Happy birthday! May your day be as bright as your smile.”
(สุขสันต์วันเกิด! ขอให้วันนี้สดใสเหมือนรอยยิ้มของคุณ)
- “Happy birthday! Wishing you a day filled with joy and laughter.”
(สุขสันต์วันเกิด! ขอให้วันนี้เต็มไปด้วยความสุขและการหัวเราะ)
- “Happy birthday, buddy! Let’s make today unforgettable!”
(สุขสันต์วันเกิด เพื่อน! มาทำให้วันนี้เป็นวันที่จำไม่ลืมกัน!)
- “Wishing you all the best on your birthday. Have a blast!”
(ขอให้คุณสมปรารถนาทุกสิ่งในวันเกิดของคุณ ขอให้สนุกสนานนะ!)
อวยพรเพื่อนในวันเกิด แบบยาว ลึกซึ้งกินใจ
- “To my amazing friend, happy birthday! You deserve all the happiness in the world.”
(สุขสันต์วันเกิด! เพื่อนที่น่าทึ่งของฉัน เธอควรได้รับความสุขทุกอย่างในโลก)
- “Happy birthday! Thank you for being an amazing friend. Here’s to many more years of friendship!”
(สุขสันต์วันเกิด! ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่น่าทึ่ง ต่อไปนี้ก็จะมีมิตรของเราอีกหลายปี!)
- “To my dear friend, happy birthday! May your day be as amazing as you are!”
(สุขสันต์วันเกิด เพื่อนที่รัก! ขอให้วันนี้เป็นวันที่น่าอัศจรรย์เช่นเดียวกับคุณ!)
- “Wishing you endless happiness and success on your birthday. Enjoy!”
(ขอให้คุณมีความสุขและมีประสบความสำเร็จอย่างไม่สิ้นสุดในวันเกิดของคุณ ขอให้สนุกนะ!)
- “Sending you lots of love and hugs on your special day. Happy birthday!”
(ส่งความรักและการกอดมาให้คุณในวันพิเศษของคุณ สุขสันต์วันเกิดนะ!)
- “Happy birthday to the most amazing friend! Your presence brings joy and warmth to my life every day.”
(สุขสันต์วันเกิดสำหรับเพื่อนที่น่ารักที่สุด! ความเป็นมิตรของคุณนำความสุขและความอบอุ่นมาสู่ชีวิตของฉันทุกวัน)
- “As you celebrate another year of life, I want you to know how much your friendship means to me. Happy birthday, dear friend!”
(ในขณะที่คุณฉลองอีกก้าวหนึ่งของชีวิต ฉันอยากให้คุณรู้ว่ามิตรภาพของคุณมีความหมายสำหรับฉันแค่ไหน สุขสันต์วันเกิดนะเพื่อนที่รัก!)
- “To my closest friend, may your birthday be as special as you are to me. Thank you for being an extraordinary friend.”
(สำหรับเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน ขอให้วันเกิดของคุณเป็นวันพิเศษเหมือนที่คุณเป็นคนพิเศษของฉัน ขอบคุณสำหรับการเป็นเพื่อนที่น่าทึ่ง)
ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com
เสาวรส ควรกินวันละกี่ลูก พร้อมเมนูที่ได้ประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ
เสาวรส กินวันละกี่ลูกดี?
ปริมาณที่แนะนำ: 3-4 ลูก ต่อวัน โดยจะมีปริมาณแคลอรี่ โดยประมาณ 51-68 แคลอรี่ ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการได้รับประโยชน์จากเสาวรสโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ น้ำหนัก สุขภาพ และสภาพร่างกายโดยรวม
ทำไมต้องเสาวรส?
เสาวรสเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อาทิ
- วิตามินซีสูง: ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด
- สารต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงโรคต่างๆ
- ใยอาหาร: ช่วยระบบขับถ่าย ทำให้รู้สึกอิ่มนาน
- โพแทสเซียม: ช่วยควบคุมความดันโลหิต
ข้อควรระวัง
- ผู้ที่มีโรคประจำตัว: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเสาวรสในปริมาณมาก
- ผู้แพ้: หากมีอาการแพ้หลังรับประทาน ควรหยุดรับประทานทันที
- ปริมาณน้ำตาล: แม้เสาวรสจะมีประโยชน์ แต่ก็มีน้ำตาลอยู่บ้าง ผู้ที่ควบคุมปริมาณน้ำตาลควรระวัง
- ฮอร์โมนในเพศหญิง: เสาวรสอาจส่งผลต่อฮอร์โมนในเพศหญิงหากรับประทานในปริมาณมาก
- ทำไมเสาวรสจึงอาจส่งผลต่อฮอร์โมนในเพศหญิง?
- ไฟโตเอสโตรเจน: เสาวรสมีสารไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย หากร่างกายได้รับไฟโตเอสโตรเจนในปริมาณมาก อาจส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในเพศหญิงได้ เช่น ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมีผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์
- ปฏิกิริยาร่วมกับยา: หากกำลังรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด การรับประทานเสาวรสในปริมาณมากอาจทำให้ยาเหล่านั้นมีประสิทธิภาพลดลงได้
- ทำไมเสาวรสจึงอาจส่งผลต่อฮอร์โมนในเพศหญิง?
เมนูที่ทำจากเสาวรสมีหลากหลายและสามารถทำได้ทั้งคาวและหวาน
- น้ำเสาวรส:
น้ำเสาวรสเป็นเครื่องดื่มสดชื่น สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการนำเสาวรสมาคั้นน้ำ แล้วเติมน้ำตาลและน้ำแข็งตามชอบ บางคนอาจจะเพิ่มน้ำผึ้งเพื่อให้มีรสหวานกลมกล่อม - สลัดผลไม้เสาวรส:
ใช้เสาวรสเป็นส่วนผสมในสลัดผลไม้ โดยผสมกับผลไม้อื่นๆ เช่น แอปเปิ้ล ส้ม กีวี เพิ่มน้ำสลัดโยเกิร์ตหรือบัลซามิกเพื่อให้รสชาติเปรี้ยวหวานสดชื่น - เจลลี่เสาวรส:
นำเสาวรสไปผสมกับเจลาตินและน้ำตาล ทำเป็นเจลลี่เสาวรส สำหรับเป็นของหวานที่มีรสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี - เค้กเสาวรส:
ทำเค้กที่มีส่วนผสมของเสาวรสในเนื้อเค้กหรือทำเป็นซอสเสาวรสเพื่อราดบนเค้ก ทำให้ได้เค้กที่มีรสชาติสดชื่น - ไอศกรีมเสาวรส:
ใช้เสาวรสเป็นส่วนผสมหลักในไอศกรีม ทำให้ได้ไอศกรีมที่มีรสเปรี้ยวสดชื่น เหมาะกับวันที่อากาศร้อน - เสาวรสซอส:
นำเสาวรสมาผสมกับน้ำตาลและเคี่ยวจนเป็นซอสเข้มข้น สามารถใช้ราดบนเนื้อสัตว์เช่นปลา หรือใช้เป็นซอสสำหรับทานกับของหวาน
เมนูเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนตามความชอบของแต่ละคนเพื่อให้ได้รสชาติที่ต้องการ
สรุป
เสาวรสเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การรับประทานเสาวรสในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ทั้งนี้ ควรเลือกเสาวรสที่สุกงอม และรับประทานให้หลากหลายชนิด เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน
คำแนะนำเพิ่มเติม
- รับประทานเสาวรสในรูปแบบต่างๆ: นอกจากรับประทานผลสดแล้ว ยังสามารถนำเสาวรสไปทำเป็นน้ำผลไม้ สลัด หรือโยเกิร์ตได้
- ผสมกับอาหารอื่นๆ: การผสมเสาวรสกับอาหารอื่นๆ เช่น สลัด ผลไม้รวม จะช่วยเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางอาหาร
- สังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย: หากร่างกายมีอาการผิดปกติหลังรับประทานเสาวรส ควรหยุดรับประทานและปรึกษาแพทย์
หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/08/2567
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 40,700.00 | 40,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,636.00 | 39,961.76 | 41,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 2,372.40 | 35,965.58 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 2,108.80 | 31,969.41 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 1,186.00 | 17,979.76 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 923.00 | 13,992.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,732.00 | 41,417.12 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/08/2567
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.05 | 37.05 | 37.55 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 36.68 | 36.68 | 37.18 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 | 36.68 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.94 | 34.94 | 35.44 | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.69 | 34.69 | – | – | – | – | – | – | – | 34.69 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 45.64 | 49.84 | 49.84 | 49.84 | – | – | – | – | – | 45.64 |
เบนซิน 95 | 44.94 | – | – | – | 49.81 | – | 45.44 | 45.09 | – | 44.94 |
ดีเซล | 32.94 | 32.94 | 33.24 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 | 32.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 44.94 | 47.14 | 49.84 | 47.14 | 47.14 | – | – | – | – | 44.94 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |