สาระน่ารู้ประจำวันที่ 15 สิงหาคม 2567

อสังหาฯไร้อานิสงส์รถจีนยึดระยองฮับผลิต!กำลังซื้อซึมสวนที่ดินไร่ละ4ล้าน

  • จับตากลุ่มทุนรถไฟฟ้าจีน อาทิ บีวายดี ฉางอาน เอ็มจี เกรทวอลล์ รวมถึง โอโมดา แอนด์ เจคู ไอออน ปักหมุดโรงงานประกอบรถยนต์ ในทำเลยุทธศาสตร์เขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) จังหวัดระยอง
  • ดันราคาที่ดินโซนนิคมพัฒนา พุ่งไร่ละ 4 ล้านบาท ขยับจากไร่ละ 2 ล้านบาท กลายเป็น “ลิตเติ้ล ไชน่าทาวน์”
  • ท่ามกลางสถานการณ์โรงงานเอสเอ็มอีไทยอยู่ในสภาพล้มหายตายจาก! เพราะไม่สามารถแข่งขันทางด้านราคาสู้โรงงานจีนได้ ส่งผลกำลังซื้อยังคงซบเซา

เปรมสรณ์ ศรีวิบูลย์ชัย กรรมการผู้จัดการบริษัท วีพี เรียลเอสเตท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด ผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์และโรงแรม จังหวัดระยอง กล่าวว่า ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ในระยองหลังมีกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายใหญ่จากประเทศจีน อาทิ แบรนด์บีวายดี (BYD) ฉางอาน (Changan) เข้ามาลงทุนในพื้นที่นิคมอุตสาหกรรมระยอง โดยเฉพาะทำเลนิคมพัฒนาปลวกแดง ส่งผลให้ราคาที่ดินขยับขึ้น 2 เท่า

นอกจากนี้ ยังมีทุนจากประเทศจีนเข้ามาซื้อที่ดินสร้างโรงงานเกี่ยวเนื่องกับอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้า เช่น แบตเตอรี ที่ชาร์จ ในทำเลนิคมพัฒนาจำนวนมาก

อย่างไรก็ตาม ภาพรวมกำลังซื้อในย่านนิคมพัฒนา ไม่ได้แข็งแรงมากนัก! เพราะส่วนใหญ่เป็นโรงงานผลิตชิ้นส่วน กำลังซื้อและดีมานด์จึงแข็งแรงสู้นิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุดไม่ได้ ซึ่งมีโรงงานปิโตรเคมี SCG  ปตท. แม้นิคมพัฒนา จะมีจำนวนแรงงานมากกว่า มีความต้องการอยากซื้อบ้าน แต่รายได้ไม่เพิ่มขึ้นมากนักทำให้ซื้อได้ยาก โดยระดับราคาต่ำกว่าล้านบาทพบยอดปฎิเสธสินเชื่อถึง 50%

“ที่สำคัญโรงงานที่เข้ามาลงทุนส่วนใหญ่ใช้ซัพพลายเออร์จากจีน กลุ่มผู้รับเหมาในระยอง และชลบุรี ได้งานก่อสร้างโรงงานในนิคมพัฒนาน้อยมาก ส่วนใหญ่เขาขนวัสดุอุปกรณ์มาประกอบเอง ใช้วิศวกร เครื่องจักรอัตโนมัติ ใช้หุ่นยนต์ ดังนั้นอานิสงส์หลักเกิดกับคนขายที่ดินมากกว่า แต่ในมิติของการจ้างงานในพื้นที่ หรือ นอกพื้นที่ ได้อานิสงส์น้อยมากเมื่อเทียบกับเม็ดเงินลงทุนในการตั้งโรงงาน”

ปัจจุบันราคาที่ดินในโซนนิคมพัฒนาราคาเฉลี่ยต่อไร่อยู่ที่ 4 ล้านบาทขึ้นไป จากเดิม 2 ล้านบาท  แพงขึ้น 2 เท่า ภายในระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา และยังคงมีความต้องการที่ดินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง นับเป็นโซนเดียวที่ฮอตสุดในจังหวัดระยอง ส่วนทำเล “มาบตาพุด” ไม่มีโรงงานเปิดใหม่ เนื่องจากราคาที่ดินสูงเฉลี่ยไร่ละ 10 ล้านบาท ไม่คุ้มที่จะลงทุนทำนิคมอุตสาหกรรม

“ผลดีจากการเข้ามาของทุนรถยนต์ไฟฟ้าจีน คือ คนขายที่ดิน แต่อานิสงส์ที่มีต่อร้านค้า แรงงาน ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ ที่พักอาศัย ไม่ได้รับผลดีเท่าที่ควรจะเป็นเพราะทุกอย่างนำเข้าจากจีน” 

หากมองในภาพรวมเศรษฐกิจไทยน่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง!  เพราะทุกอย่างเอื้อต่อการลงทุนจีนไม่ว่าเป็น ภาษีนำเข้าต่างๆ เสียภาษีในอัตราน้อยมาก บางอย่างแทบไม่เสียเลย  โรงงานผลิตสินค้าไม่สามารถสู้ได้กับสินค้าจากโรงงานจีนที่นำเข้ามาขายเองทั้งมีแพลตฟอร์มขายออนไลน์ทำตลาดเชิงรุกกระทบโดยตรงธุรกิจเอสเอ็มอีไทย 

“ต่อให้มีโรงงานรถยนต์ไฟฟ้า เข้ามาตั้งฐานผลิตที่ระยองก็ไม่ได้ทำให้เศรษฐกิจในระยองดีขึ้น”

ทั้งนี้ คนจีนเข้ามาซื้อบ้านน้อยเมื่อเทียบกับในพัทยา ภูเก็ต ประกอบกับมีสิทธิซื้อที่ดินในพื้นที่นิคมฯ สร้างบ้านอยู่เองได้ไม่จำเป็นต้องมาซื้อบ้านจัดสรรนอกพื้นที่ หรืออาจมีซื้อบ้างในระดับราคา 3-10 ล้านบาท ซึ่งหากเทียบสัดส่วนการขายคนไทย 9 คน จะเป็นคนจีน 1 คนเท่านั้น!

เปรมสรณ์ กล่าวต่อว่า ในแง่ของอารมณ์ซื้อ (sentiment) ของคนไทย หลังจากที่มีมาตรการลดค่าจดทะเบียนโอนอสังหาริมทรัพย์ จาก 2% เหลือ 0.01% และลดค่าจดทะเบียนจำนองอสังหาริมทรัพย์ จาก 1% เหลือ 0.01%  ส่งผลให้คนอยากซื้อบ้านมากขึ้น แต่ติดปัญหาถูกปฎิเสธสินเชื่อสูง 

“ได้แต่หวังว่าครึ่งปีหลังธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) จะลดดอกเบี้ยทำให้ยอดปฎิเสธสินเชื่อลดลงและการโอนบ้านเพิ่มขึ้น เพราะการลดดอกเบี้ยเพียงแค่ 0.25% จะช่วยลดภาระการผ่อนลูกค้าลงได้มาก หาก ธปท. ลดดอกเบี้ยลงจะทำตลาดอสังหาริมทรัพย์จังหวัดระยองปรับตัวดีขึ้นอาจไม่ถึงขั้นติดลบจากที่คาดการณ์ว่าจะติดลบ 15%”

ทางด้าน ภัทรชัย ทวีวงศ์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บริษัท คอลลิเออร์ส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเทศไทย ประเมินว่า ในปี 2567 จะมีการซื้อพื้นที่อุตสาหกรรมรวม 7,000 ไร่ จากยอดขายพื้นที่ในนิคมอุตสาหกรรม 6 เดือนแรก ปี 2567 มีจำนวน 4,020 ไร่

โดยไตรมาสแรก  มีจำนวน 2,295 ไร่ สูงสุดเป็นประวัติการณ์และไตรมาส 2 มีจำนวน 1,725 ไร่ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกยอดขายพื้นที่นิคมฯ สูงกว่าเป้าหมายที่การนิคมอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (กนอ.) วางไว้ 4,000 ไร่ ทั้งนี้เป็นผลจากการเข้ามาของกลุ่มธุรกิจรถยนต์ไฟฟ้าจากประเทศจีน รองลงมาเป็นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และเครื่องใช้ไฟฟ้า

โดยการซื้อขายที่ดินมากกว่า 85% เกิดขึ้นในเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี ซึ่งครอบคลุม 3 จังหวัดภาคตะวันออก คือ ชลบุรี ฉะเชิงเทรา และระยอง ซึ่งนักลงทุนนิยมลงทุนในจังหวัดระยองมากกว่าชลบุรี เพราะถูกกว่า 30% ส่งผลให้ราคาที่ดินในระยอง ขยับราคา 1 ล้านบาทต่อไร่ จากเดิมราคา 200,000-300,000 บาทต่อไร่ ในปี 2562 ก่อนเกิดโควิด-19 

อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะมีการเปิดตัวพื้นที่อุตสาหกรรมใหม่มากกว่า 10,000 ไร่ในช่วง 3 ปีข้างหน้า

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ภาคอสังหาฯ ไม่หวั่น ‘เศรษฐา‘ พ้นตำแหน่ง หวังรัฐบาลใหม่สานต่อนโยบายเดิม

ภาคอสังหาฯ ไม่หวั่น ‘เศรษฐา’ พ้นตำแหน่ง ‘นายกฯ’ หวังรัฐบาลชุดใหม่สานต่อนโยบายเดิม ยัน เศรษฐกิจไทยต่ำกว่านี้ไม่ได้แล้ว

นายสุนทร สถาพร นายกสมาคมธุรกิจบ้านจัดสรร กล่าวกับ ‘ฐานเศรษฐกิจ’ ‘ว่า กรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญพิพากษาถอดถอนนายเศรษฐา ทวีสิน พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะรัฐมนตรีนั้น จะไม่ส่งผลโดยรวมต่อตลาดอสังหาริมทรัพย์มากนัก เพราะได้มีการวางนโยบายต่าง ๆ ในการกระตุ้นกำลังซื้ออสังหาฯในช่วงครึ่งปีหลังมาแล้วค่อนข้างมาก เช่น โครงการสินเชื่อบ้าน DD (ดี๊ดีย์) วงเงิน 50,000 ล้านบาท และ Happy Home โดย ธอส. 

ขณะเดียวกันการแก้ไขกฎหมายอ้างอิงสิทธิได้ถึง 99 ปี และเปิดให้ชาวต่างชาติถทอครองกรรมสิทธิห้องชุดได้ในสัดส่วน 75% นั้น ก็ผ่านการเห็นชอบขอฝ ครม. แล้ว อยู่ในขั้นตอนของรัฐสภา ที่กำลังเปิดรับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอยู่ เชื่อว่า ในเรื่องนี้ก็จะสามารถเดินต่อได้เช่นกัน

“การดำเนินนโยบายต่าง ๆ หากผู้ที่จัดตั้งรัฐบาลยังเป็นชุดเดิม ก็น่าจะยังคงต่อเนื่องได้ แต่อาจจะล่าช้าบ้าง เพราะต้องจัดตั้งรัฐบาลใหม่ โดยเศรษฐกิจไทยในปีนี้ คาดว่าไม่น่าจะแย่ไปกว่าปัจจุบันที่เป็นอยู่ การฟื้นตัวต่าง ๆ จะยังคงเป็นไปตามคาดการณ์จากหลายฝ่าย 

เปลี่ยนรัฐบาลกี่ชุด แต่ถ้าเป็นชุดเดิม สานต่อจากเดิมได้ ก็น่สจะไปต่อได้ ก็นาสจะทำให้ไม่ฉุดความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจได้มากยัก แต่ขออย่างเดียว ให้ไปจต่อจากเดิม“

สำหรับกำลังซื้อในช่วงครึ่งปีแรก ถือเป็นการตกต่ำที่สุดของธุรกิจอสังหาฯในรอบหลายปี กำลังซื้อบ้านแนวราบหายไปราว 22% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน คาดปัจจัยการออกสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำของภาครัฐ จะช่วยเพิ่ม New Demand เข้าสู่ตลาดจนสามานถประคับประคองให้กำชังซื้ออสังหาฯปีนี้ ไม่ชะลอตัว แต่คาดว่าน่าจะอยู่ใกล้เคียงกับปีที่แล้ว

ประกอบกับปัจจัยอื่น ๆ เช่น การที่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) อาจจะมีการประชุมเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงในช่วงต่อจากนี้ และที่สำคัญคือ อาจจะพิจารณา ผ่อนปรนอัตราส่วนเงินให้สินเชื่อต่อมูลค่าหลักประกัน (LTV) ให้เกินเพดานที่ทำหนด อาจจะเริ่มภายใน ก.ย. 67 และสิ้นสุด ธ.ค. 68

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ส.ค. “อ่อนค่าลง”ที่ระดับ 35.08 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัย ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน และความผันผวนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐ

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 15ส.ค. 2567 ที่ระดับ  35.08 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  34.92 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นกลับมามีกำลังมากขึ้นอีกครั้ง หลังผู้เล่นในตลาดทยอยปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด

ทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น ขณะเดียวกัน ก็กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลง ที่ในช่วงนี้ ราคาทองคำก็ขาดปัจจัยหนุน หลังสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางก็ดูจะยังไม่ทวีความรุนแรงมากขึ้น อย่างที่ตลาดเคยกังวล

อย่างไรก็ดี ในเชิงเทคนิคัลนั้น เราจะมั่นใจได้มากขึ้นว่า เงินบาทอาจเข้าสู่ช่วงผันผวนอ่อนค่าลงต่อเนื่องได้ หากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้าน 35.15-35.20 บาทต่อดอลลาร์ ได้ชัดเจน

เรามองว่า ในระยะสั้น ควรจับตาสถานการณ์การเมืองไทยที่อาจกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงได้ หากบรรดานักลงทุนต่างชาติกังวลต่อสถานการณ์การเมืองไทยมากขึ้นและเลือกที่จะลดการถือครองสินทรัพย์ไทย

โดยหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนแนวต้านดังกล่าวได้นั้น ก็อาจอ่อนค่าลงต่อ ทดสอบโซนแนวต้านสำคัญแถว 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่การแข็งค่าของเงินบาทในช่วงนี้นั้นอาจจำกัดอยู่แถวโซน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ ฝั่งสนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาทเพิ่มเติม

ทั้งนี้ ในช่วงระหว่างวัน เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน ในช่วงราว 9.00 น. ตามเวลาประเทศไทย ซึ่งอาจส่งผลให้เงินหยวนจีน (CNY) ผันผวนและกระทบต่อบรรดาสกุลเงินฝั่งเอเชียได้บ้าง นอกจากนี้ ตั้งแต่ช่วง 19.30 น. เป็นต้นไป ก็ควรระวังความผันผวนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯ ที่อาจส่งผลต่อมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้

เราคงมุมมองเดิมว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะ JPY Carry Trade/Short JPY ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.00-35.30 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวน ก่อนที่จะทยอยอ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซนแนวต้าน 35.00 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในช่วง 34.84-35.10 บาทต่อดอลลาร์) หลังเงินดอลลาร์พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้น

ในช่วงหลังตลาดรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ในเดือนกรกฎาคม ที่ชะลอลงต่อเนื่องสู่ระดับ 2.9% ต่ำกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้เล็กน้อย (+0.2%m/m ตามคาด) ทำให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มทยอยปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในปีนี้

โดยล่าสุดผู้เล่นในตลาดกลับมามองว่า การชะลอตัวลงของอัตราเงินเฟ้อดังกล่าวก็อาจทำให้เฟดลดดอกเบี้ยเพียง -25bps ตามปกติ ในการประชุมเดือนกันยายน จากที่ก่อนหน้า ตลาดคาดหวังว่าเฟดอาจลดดอกเบี้ยถึง -100bps (ทั้งนี้ในภาพรวม ผู้เล่นในตลาดยังคงมองว่า เฟดมีโอกาสลดดอกเบี้ยราว -100bps ในปีนี้ อยู่) ซึ่งการปรับมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้ช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์ทยอยแข็งค่าขึ้น

นอกจากนี้ เงินบาทยังเผชิญแรงกดดันเพิ่มเติม จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว หลังราคาทองคำ (XAUUSD) ทยอยปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซนแนวรับระยะสั้น 2,440 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ยังไม่ได้น่ากังวลอย่างที่ตลาดเคยประเมินไว้

(ทั้งนี้ เราขอย้ำว่า ควรระวังความผันผวนจากปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง เนื่องจากยังคงมีความเสี่ยงที่ทางอิหร่านและพันธมิตร Axis of Resistance จะโจมตีอิสราเอล) อนึ่ง ความไม่แน่นอนของการเมืองไทยก็อาจเป็นอีกปัจจัยที่กดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่า แต่ท่าทีของนักลงทุนต่างชาติในวันก่อนหน้านั้น สะท้อนว่า ความเสี่ยงการเมืองไทยก็อาจเป็นปัจจัยเสี่ยงที่นักลงทุนต่างชาติได้รับรู้ (priced-in) ไปพอสมควรแล้ว

บรรยากาศในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ที่ชะลอลงต่อเนื่องนั้น ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างมั่นใจว่าเฟดจะทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ในปีนี้ อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ก็ถูกกดดันบ้าง จากการปรับตัวลงของหุ้น Alphabet -2.3% หลังทางการสหรัฐฯ กำลังพิจารณาทางเลือกในการแยกธุรกิจของ Alphabet หลังศาลมีคำวินิจฉัยว่าทางบริษัทได้ละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.38%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวขึ้น +0.49% โดยตลาดหุ้นยุโรปยังคงได้แรงหนุนจากรายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนฝั่งยุโรปส่วนใหญ่ที่ยังคงออกมาสดใส นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปก็ยังได้อานิสงส์จากความหวังว่าเฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ ตามรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ล่าสุดที่ชะลอลงต่อเนื่อง

 ในส่วนตลาดบอนด์ รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯ ล่าสุด ที่ชะลอลงต่อเนื่อง แต่ก็ไม่ได้ออกมาต่ำกว่าคาดไปมาก ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกันยายน

โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยราว -25bps ในการประชุมเดือนกันยายน แต่โดยรวมตลาดยังคงมองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว -100bps ในปีนี้ ซึ่งภาพดังกล่าวได้ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวน และยังคงแกว่งตัวแถวโซน 3.85%

สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจแกว่งตัวในกรอบ sideways (3.70%-4.00%) ในช่วงนี้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม จนมีการปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดที่ชัดเจน และ

เรายังคงคำแนะนำเดิม “เน้นกลยุทธ์ Buy on Dip” หรือเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวในจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวขึ้น ส่วนจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวลดลงทดสอบโซนแนวรับระยะสั้นนั้น ก็อาจเปิดโอกาสให้ผู้เล่นในตลาดพิจารณาขายทำกำไรได้บ้าง หากมีกลยุทธ์ Range-Bound Trading

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง หลังรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ทว่า เงินดอลลาร์ก็พลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง สู่ระดับที่สูงกว่าก่อนรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI หลังผู้เล่นในตลาดปรับลดความคาดหวังต่อการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดในการประชุมเดือนกันยายน ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 102.6 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 102.2-102.7 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มคลายกังวลปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง รวมถึงจังหวะพลิกกลับมาปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ตามการปรับมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดของผู้เล่นในตลาด ได้กดดันให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซนแนวรับ 2,480 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งการปรับตัวลดลงดังกล่าวของราคาทองคำก็มีส่วนกดดันเงินบาทผ่านโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านรายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนกรกฎาคม  ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึง ดัชนีสะท้อนภาพกิจกรรมทางเศรษฐกิจจากเฟดสาขานิวยอร์กและเฟดสาขาฟิลาเดลเฟีย  

ส่วนในฝั่งยุโรป ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจอังกฤษ ผ่านรายงานอัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 2 ซึ่งผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า เศรษฐกิจอังกฤษอาจขยายตัวราว +0.9%y/y

ทางฝั่งเอเชียนั้น ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน อาทิ ยอดค้าปลีก ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม และยอดการลงทุนในสินทรัพย์ถาวร นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นผลการประชุมธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) ที่อาจเริ่มส่งสัญญาณพร้อมทยอยลดดอกเบี้ยนโยบายจากระดับ 6.50% ในปัจจุบัน

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 35.14-35.16 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (10.05 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.94 บาทต่อดอลลาร์ฯ

เงินบาทกลับมายืนในฝั่งที่อ่อนค่ากว่าแนว 35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ อีกครั้ง หลังข้อมูล CPI เดือนก.ค. ของสหรัฐฯ ซึ่งออกมาตามที่ตลาดคาด ทำให้โอกาสความเป็นไปได้ที่เฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่า 25 basis points น้อยลง นอกจากนี้ ราคาทองคำในตลาดโลกที่ปรับตัวลงเมื่อคืนที่ผ่านมา (สวนทางเงินดอลลาร์ฯ ที่ฟื้นตัวขึ้น) รวมถึงสถานการณ์ทางการเมืองในประเทศที่มีประเด็นติดตามต่อเนื่อง ก็เพิ่มแรงกดดันให้เงินบาทอ่อนค่ากลับมาด้วยเช่นกัน 

ด้านสกุลเงินเอเชียอื่นๆ เงินเยนยังเคลื่อนไหวในกรอบอ่อนค่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับเงินดอลลาร์ฯ แม้ว่าตัวเลขจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของญี่ปุ่นจะออกมาดีกว่าตัวเลขคาดการณ์ของตลาด ขณะที่เงินหยวนอ่อนค่าลงเช่นกัน เนื่องจากตัวเลขเศรษฐกิจเดือนก.ค. ของจีนที่ออกมาสะท้อนภาพปะปน โดยแม้ยอดค้าปลีกจะขยายตัวดีกว่าคาด แต่การผลิตภาคอุตสาหกรรมเติบโตต่ำกว่าที่คาดและต่ำสุดในรอบ 4 เดือน

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 35.00-35.25 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์การเมืองในประเทศ  ข้อมูลจีดีพีไตรมาส 2/2567 ของอังกฤษ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ซึ่งประกอบด้วย จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ ยอดค้าปลีกเดือนก.ค.  ตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนก.ค. และผลสำรวจภาคการผลิตเดือนส.ค. ของเฟดสาขานิวยอร์กและฟิลาเดลฟีย

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


พีเอฟยู บลูแคตส์ ปิดดีลคว้า แนน-นุกนิก สู้ศึกวอลเลย์บอลลีกญี่ปุ่นซีซั่นนี้

พีเอฟยู บลูแคตส์ ทีมในศึกวอลเลย์บอลลีกของประเทศญี่ปุุ่น ประดาศปิดดีลคว้า นุกนิก ณัฏฐณิชา ใจแสน และ แนน ทัดดาว นึกแจ้ง 2 นักวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทยมาเสริมทัพสู้ศึกในฤดูกาล 2024-25

ความเคลื่อนไหวก่อนการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงลีกของญี่ปุ่น รูปแบบใหม่ภายใต้ชื่อ  เอสวี.ลีก  (SV.LEAGUE) ซึ่งจะเริ่มแข่งขันเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ โดยประเภททีมหญิง มี 14 ทีมที่ผ่านเกณฑ์คัดเลือก ประกอบด้วย ไซตามะ อาเกโอะ เมดิคส์ , เอ็นอีซี เรด ร็อกเก็ตส์ , คุโรเบะ อควาแฟรีส์ , พีเอฟยู บลูแคตส์ , ควินซีส์ คาริยา , โทเรย์ โรส ชิงะ , โอซาก้า มาร์เวลลัส , วิกโตรินะ ฮิเมจิ , โอกายามา ซีกัลส์ , ฮิซามิตสึ สปริงส์ , อารันเมร์ ยามากาตะ , เดนโซ แอร์ริบีส์ , แอสเทโม รีวาเล และ กุมมะ กรีน วิงส์

ล่าสุด พีเอฟยู บลูแคตส์ (PFU Bluecats) ประกาศเปิดตัว 2 นักวอลเลย์บอลหญิงไทย ได้แก่ “นุกนิก” ณัฏฐณิชา ใจแสน มือเซตดาวรุ่ง และ “แนน” ทัดดาว นึกแจ้ง บอลเร็วกัปตันทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย เข้ามาร่วมทีมอย่างเป็นทางการ

สำหรับ “นุกนิก” ณัฏฐณิชา ใจแสน นับเป็นการไปเล่นในลีกอาชีพของญี่ปุ่นเป็นครั้งแรก หลังจากอยู่กับไดมอนด์ ฟู้ด มานานถึง 4 ปี ส่วน  “แนน” ทัดดาว นึกแจ้ง ก็โลดแล่นในลีกญี่ปุ่นเป็นปีที่ 4 หลังจากเคยเล่นให้กับ เจที มาร์เวลัส และ ฮิตาชิ อัสเตโมะ รีวาเล 

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


7 สัญญาณอันตราย “ต่อมทอนซิลอักเสบ”

บางคนที่ไปพบแพทย์เพราะมีอาการเจ็บคอ รู้สึกเหมือนภายในลำคอมีอาการอักเสบ แล้วถูกวินิจฉัยกลับมาว่าเป็น “ทอนซิลอักเสบ” อาจจะสงสัยว่าทำไมทอนซิลจึงอักเสบ มีอาการอะไรบ่งชี้ได้ว่ากำลังเป็นทอนซิลอักเสบ แตกต่างจากอาการเจ็บคอทั่วไปอย่างไร และวิธีรักษาต่อมทอนซิลอักเสบคืออะไร เรามาทำความรู้จักโรคนี้กันให้ชัดเจนขึ้นกันดีกว่า

ต่อมทอนซิลอักเสบ (Tonsillitis) คืออะไร?

ต่อมทอนซิล” ทำหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย จัดอยู่ในกลุ่มของเนื้อเยื่อประเภทน้ำเหลือง ภายในต่อมมีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด หน้าที่หลัก คือ การจับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายผ่านทางเดินอาหาร หน้าที่รองลงมาคือ สร้างภูมิคุ้มกัน ซึ่งต่อมทอนซิลพบได้หลายตำแหน่ง ที่เห็นชัดจะอยู่ด้านข้างของช่องปาก มีชื่อเรียกว่า พาลาทีนทอนซิล (Palatine Tonsil) นอกจากนี้ยังพบได้บริเวณโคนลิ้น (Lingual Tonsil) และช่องหลังโพรงจมูก (Adenoid Tonsil) 

อาการของ “ต่อมทอนซิลอักเสบ”

อาการ “ทอนซิลอักเสบ” เป็นอาการที่พบได้บ่อย เกิดขึ้นได้กับทุกช่วงอายุ แต่พบในเด็กมากกว่าผู้ใหญ่และผู้สูงอายุ เป็นการอักเสบของต่อมทอนซิลคู่ซ้ายและขวา หรือ Palatine Tonsil อยู่ข้างซ้ายและขวาของผนังในลำคอใกล้กับโคนลิ้น ในทางการแพทย์จัดให้โรคต่อมทอนซิลอักเสบอยู่รวมกับโรคคออักเสบ เนื่องจากจะมีอาการอักเสบเพราะการติดเชื้อที่ลำคอเสมอ   

สาเหตุของ “ต่อมทอนซิลอักเสบ”

สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคต่อมทอนซิลอักเสบกว่าร้อยละ 70 – 80 มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัสเป็นส่วนใหญ่ และสาเหตุอื่น ได้แก่ การติดเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งเชื้อทั้งหมดอาจอยู่ในน้ำลาย เสมหะ หรืออากาศที่หายใจเข้าไป การสัมผัสกับเชื้อที่ปนเปื้อนอยู่ตามจุดต่างๆ รอบตัว รวมไปถึงการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำจากภาชนะเดียวกันกับผู้ติดเชื้อ ซึ่งทำให้เกิดการติดเชื้อที่ต่อมทอนซิลได้เช่นกัน  

สัญญาณอันตราย “ต่อมทอนซิลอักเสบ”

  1. บริเวณต่อมทอนซิลทางด้านซ้าย หรือขาว มีอาการบวมแดง กดแล้วมีอาการเจ็บ อาการอาจรุนแรงและคงอยู่ยาวนานกว่า 48 ชั่วโมง
  2. กลืนอาหารลำบาก
  3. เสียงแหบหรือเสียงเปลี่ยน
  4. มีกลิ่นปาก
  5. มีไข้ หนาวสั่น
  6. ปวดศีรษะ
  7. ปวดที่บริเวณหู (เนื่องจากต่อมทอนซิลจะมีแขนงของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 9 มาเลี้ยง โดยเส้นประสาทนี้จะไปเลี้ยงที่หู ดังนั้นเมื่อมีต่อมทอนซิลอักเสบจึงมีอาการปวดร้าวที่หูร่วมด้วย )

ในเด็กเล็กที่มีอาการทอนซิลอักเสบอาจไม่สามารถอธิบายได้ว่ามีอาการอย่างไร โดยผู้ปกครองอาจสังเกตจากสัญญาณบ่งบอกต่อไปนี้ น้ำลายไหล มีสาเหตุจากการกลืนได้ลำบากหรือกลืนแล้วรู้สึกเจ็บ ไม่ยอมรับประทานอาหาร และงอแงผิดปกติ 

การรักษา “ต่อมทอนซิลอักเสบ”

ทอนซิลอักเสบส่วนใหญ่เกิดจากไวรัส ซึ่งจะรักษาให้หายได้ภายใน 7-10 วัน โดยไม่จำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะ แต่ดีขึ้นได้ด้วยการดูแลรักษาตัวเอง ส่วนการรักษาการอักเสบของต่อมทอนซิล ที่เกิดจากแบคทีเรียนั้นใช้เวลานานกว่า และอาจต้องใช้วิธีการรักษาทางแพทย์ ได้แก่ การรับประทานยาปฏิชีวนะ และการผ่าตัดในกรณีที่มีภาวะแทรกซ้อน 

การดูแลรักษาตนเอง หลังเป็น “ต่อมทอนซิลอักเสบ”

  1. เมื่อมีอาการเจ็บคอหรือมีไข้ ควรรับประทานยาแก้ปวดลดไข้ แต่หากเป็นไข้อ่อนๆ ไม่มีอาการเจ็บปวดก็ไม่จำเป็นต้องใช้ยา
  2. ข้อควรระวังสำหรับเด็กหรือวัยรุ่นอายุต่ำกว่า 16 ปี ที่มีอาการของโรคหวัดธรรมดาหรือโรคไข้หวัดใหญ่ไม่ควรใช้ยาแอสไพริน เพราะอาจทำให้มีอาการแพ้หรือที่เรียกว่าโรคเรย์ซินโดรม ส่งผลอันตรายถึงแก่ชิวิตได้  
  3. พักผ่อนให้เพียงพอ
  4. ดื่มน้ำอุ่น หรือ น้ำอุ่นผสมน้ำผึ้ง เพื่อให้ชุ่มชื้นคอ
  5. รับประทานอาหารอ่อนๆ
  6. กลั้วปากด้วยน้ำเกลือ สามารถทำได้เองที่บ้าน โดยใช้เกลือ 1 ช้อนชาผสมน้ำเปล่าประมาณ 250 มิลลิลิตร กลั้วลำคอแล้วบ้วนทิ้ง จะช่วยให้บรรเทาอาการเจ็บคอลงได้
  7. รักษาความชุ่มชื้นของบ้าน หลีกเลี่ยงอากาศแห้งเนื่องจากจะส่งผลให้ระคายเคืองที่คอและเจ็บคอยิ่งขึ้น หลีกเลี่ยงสารที่ก่อความระคายเคืองที่คอ อาทิ ควันบุหรี่ และผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดทั้งหลาย

ทั้งนี้หากพบว่ามีอาการดังกล่าวและรู้สึกว่าไม่ดีขึ้นภายใน 2-3 วัน ควรไปพบแพทย์ เพื่อรับการตรวจรักษา

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


วิธีเปลี่ยนฟอนต์ที่ใช้ประจำเป็นฟอนต์เริ่มต้นใน Microsoft Word

เมื่อคุณเปิด Microsoft Word ขึ้นมาสิ่งแรกที่ก่อนจะเริ่มทำงานก็ต้องเปลี่ยนขนาดและรูปแบบฟอนต์ที่ต้องการ แตว่าถ้าคุณไม่อยากมาปรับบ่อยๆ ต้องการตั้งค่าเป็นค่าเริ่มต้น (Default) เราต้องกดยังไง วันนี้ Sanook Hitech มีคำตอบ

วิธีตั้งค่าฟอนต์ของ Microsoft Word

  1. “หน้าแรก” (Home) > คลิกที่ไอคอนลูกศรเล็ก ๆ ที่มุมล่างขวาของกลุ่ม “Font” หรือ กดปุ่ม “Ctrl + D” บนคีย์บอร์ด
  2. เลือกฟอนต์ที่ต้องการในแท็บ “Font” เลือกฟอนต์, รูปแบบ และขนาดที่คุณต้องการตั้งเป็นค่าเริ่มต้น
  3. คลิกปุ่ม “Set As Default”
  4. แต่มีการตั้งค่าได้ อีก แบบคือ เลือกให้ใช้เฉพาะเอกสารปัจจุบันเท่านั้น หรือจะเป็นเอกสารใหม่ทั้งหมดก็ได้เช่นเดยวกัน
  5. เมื่อเลือกเสร็จแล้วให้กด คลิก “OK” สองครั้งเพื่อบันทึกการตั้งค่า

จริงๆ แล้ววิธีนี้สามารถใช้ได้ทุกโปรแกรมของ Microsoft Office ไม่ว่าจะเป็น Word, Excel, Power Point ได้ทั้งหมดเลยครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


คำอวยพรเพื่อนภาษาอังกฤษ ความหมายสุดซึ้ง

ในวันเกิดของเพื่อน ชาวต่างชาติมักเขียน หรือกล่าวอวยพรที่มีความหมายลึกซึ้ง วัยรุ่นสมัยใหม่ในไทยเอง ก็นิยมเขียนอวยพรเป็นภาษาอังกฤษให้เพื่อนบนโซเชียลมีเดีย ในการเขียนหรือกล่าวคำอวยพรภาษาอังกฤษ สามารถใช้ประโยคไหนได้บ้างเพื่อให้ได้ความหมายสุดซึ้ง ตามบทความของเราไปดูกัน

อวยพรเพื่อนในวันเกิด แบบสั้น ความหมายดี

  • “Cheers to another fabulous year! Happy birthday!”

(ยินดีด้วยกับอีกปีที่น่าทึ่ง! สุขสันต์วันเกิด!)

  • “Happy birthday, buddy! Let’s celebrate your awesomeness!”

(สุขสันต์วันเกิด เพื่อน! มาฉลองความเยี่ยมยอดของคุณกัน!)

  • “Happy birthday! May your day be as bright as your smile.”

(สุขสันต์วันเกิด! ขอให้วันนี้สดใสเหมือนรอยยิ้มของคุณ)

  • “Happy birthday! Wishing you a day filled with joy and laughter.”

(สุขสันต์วันเกิด! ขอให้วันนี้เต็มไปด้วยความสุขและการหัวเราะ)

  • “Happy birthday, buddy! Let’s make today unforgettable!”

(สุขสันต์วันเกิด เพื่อน! มาทำให้วันนี้เป็นวันที่จำไม่ลืมกัน!)

  • “Wishing you all the best on your birthday. Have a blast!”

(ขอให้คุณสมปรารถนาทุกสิ่งในวันเกิดของคุณ ขอให้สนุกสนานนะ!)

อวยพรเพื่อนในวันเกิด แบบยาว ลึกซึ้งกินใจ

  • “To my amazing friend, happy birthday! You deserve all the happiness in the world.”

(สุขสันต์วันเกิด! เพื่อนที่น่าทึ่งของฉัน เธอควรได้รับความสุขทุกอย่างในโลก)

  • “Happy birthday! Thank you for being an amazing friend. Here’s to many more years of friendship!”

(สุขสันต์วันเกิด! ขอบคุณที่เป็นเพื่อนที่น่าทึ่ง ต่อไปนี้ก็จะมีมิตรของเราอีกหลายปี!)

  • “To my dear friend, happy birthday! May your day be as amazing as you are!”

(สุขสันต์วันเกิด เพื่อนที่รัก! ขอให้วันนี้เป็นวันที่น่าอัศจรรย์เช่นเดียวกับคุณ!)

  • “Wishing you endless happiness and success on your birthday. Enjoy!”

(ขอให้คุณมีความสุขและมีประสบความสำเร็จอย่างไม่สิ้นสุดในวันเกิดของคุณ ขอให้สนุกนะ!)

  • “Sending you lots of love and hugs on your special day. Happy birthday!”

(ส่งความรักและการกอดมาให้คุณในวันพิเศษของคุณ สุขสันต์วันเกิดนะ!)

  • “Happy birthday to the most amazing friend! Your presence brings joy and warmth to my life every day.”

(สุขสันต์วันเกิดสำหรับเพื่อนที่น่ารักที่สุด! ความเป็นมิตรของคุณนำความสุขและความอบอุ่นมาสู่ชีวิตของฉันทุกวัน)

  • “As you celebrate another year of life, I want you to know how much your friendship means to me. Happy birthday, dear friend!”

(ในขณะที่คุณฉลองอีกก้าวหนึ่งของชีวิต ฉันอยากให้คุณรู้ว่ามิตรภาพของคุณมีความหมายสำหรับฉันแค่ไหน สุขสันต์วันเกิดนะเพื่อนที่รัก!) 

  • “To my closest friend, may your birthday be as special as you are to me. Thank you for being an extraordinary friend.”

(สำหรับเพื่อนสนิทที่สุดของฉัน ขอให้วันเกิดของคุณเป็นวันพิเศษเหมือนที่คุณเป็นคนพิเศษของฉัน ขอบคุณสำหรับการเป็นเพื่อนที่น่าทึ่ง)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


เสาวรส ควรกินวันละกี่ลูก พร้อมเมนูที่ได้ประโยชน์ ดีต่อสุขภาพ

เสาวรส กินวันละกี่ลูกดี?

ปริมาณที่แนะนำ: 3-4 ลูก ต่อวัน โดยจะมีปริมาณแคลอรี่ โดยประมาณ  51-68 แคลอรี่ ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณที่เหมาะสมสำหรับการได้รับประโยชน์จากเสาวรสโดยไม่ก่อให้เกิดผลข้างเคียง อย่างไรก็ตาม ปริมาณที่เหมาะสมอาจแตกต่างกันไปในแต่ละบุคคล ขึ้นอยู่กับปัจจัยต่างๆ เช่น อายุ น้ำหนัก สุขภาพ และสภาพร่างกายโดยรวม

ทำไมต้องเสาวรส?

เสาวรสเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย อาทิ

  • วิตามินซีสูง: ช่วยเสริมสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันหวัด
  • สารต้านอนุมูลอิสระ: ช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ ลดความเสี่ยงโรคต่างๆ
  • ใยอาหาร: ช่วยระบบขับถ่าย ทำให้รู้สึกอิ่มนาน
  • โพแทสเซียม: ช่วยควบคุมความดันโลหิต

ข้อควรระวัง

  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว: ควรปรึกษาแพทย์ก่อนรับประทานเสาวรสในปริมาณมาก
  • ผู้แพ้: หากมีอาการแพ้หลังรับประทาน ควรหยุดรับประทานทันที
  • ปริมาณน้ำตาล: แม้เสาวรสจะมีประโยชน์ แต่ก็มีน้ำตาลอยู่บ้าง ผู้ที่ควบคุมปริมาณน้ำตาลควรระวัง
  • ฮอร์โมนในเพศหญิง: เสาวรสอาจส่งผลต่อฮอร์โมนในเพศหญิงหากรับประทานในปริมาณมาก
    • ทำไมเสาวรสจึงอาจส่งผลต่อฮอร์โมนในเพศหญิง?
      • ไฟโตเอสโตรเจน: เสาวรสมีสารไฟโตเอสโตรเจน ซึ่งเป็นสารประกอบที่มีโครงสร้างคล้ายฮอร์โมนเอสโตรเจนในร่างกาย หากร่างกายได้รับไฟโตเอสโตรเจนในปริมาณมาก อาจส่งผลต่อระบบฮอร์โมนในเพศหญิงได้ เช่น ทำให้ประจำเดือนมาไม่ปกติ หรือมีผลต่อการทำงานของต่อมไทรอยด์
      • ปฏิกิริยาร่วมกับยา: หากกำลังรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาคุมกำเนิด การรับประทานเสาวรสในปริมาณมากอาจทำให้ยาเหล่านั้นมีประสิทธิภาพลดลงได้

เมนูที่ทำจากเสาวรสมีหลากหลายและสามารถทำได้ทั้งคาวและหวาน

  1. น้ำเสาวรส:
    น้ำเสาวรสเป็นเครื่องดื่มสดชื่น สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยการนำเสาวรสมาคั้นน้ำ แล้วเติมน้ำตาลและน้ำแข็งตามชอบ บางคนอาจจะเพิ่มน้ำผึ้งเพื่อให้มีรสหวานกลมกล่อม
  2. สลัดผลไม้เสาวรส:
    ใช้เสาวรสเป็นส่วนผสมในสลัดผลไม้ โดยผสมกับผลไม้อื่นๆ เช่น แอปเปิ้ล ส้ม กีวี เพิ่มน้ำสลัดโยเกิร์ตหรือบัลซามิกเพื่อให้รสชาติเปรี้ยวหวานสดชื่น
  3. เจลลี่เสาวรส:
    นำเสาวรสไปผสมกับเจลาตินและน้ำตาล ทำเป็นเจลลี่เสาวรส สำหรับเป็นของหวานที่มีรสชาติเปรี้ยวหวานกำลังดี
  4. เค้กเสาวรส:
    ทำเค้กที่มีส่วนผสมของเสาวรสในเนื้อเค้กหรือทำเป็นซอสเสาวรสเพื่อราดบนเค้ก ทำให้ได้เค้กที่มีรสชาติสดชื่น
  5. ไอศกรีมเสาวรส:
    ใช้เสาวรสเป็นส่วนผสมหลักในไอศกรีม ทำให้ได้ไอศกรีมที่มีรสเปรี้ยวสดชื่น เหมาะกับวันที่อากาศร้อน
  6. เสาวรสซอส:
    นำเสาวรสมาผสมกับน้ำตาลและเคี่ยวจนเป็นซอสเข้มข้น สามารถใช้ราดบนเนื้อสัตว์เช่นปลา หรือใช้เป็นซอสสำหรับทานกับของหวาน

เมนูเหล่านี้สามารถปรับเปลี่ยนตามความชอบของแต่ละคนเพื่อให้ได้รสชาติที่ต้องการ

สรุป

เสาวรสเป็นผลไม้ที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพมากมาย การรับประทานเสาวรสในปริมาณที่พอเหมาะ จะช่วยให้ร่างกายแข็งแรง แต่ทั้งนี้ ควรเลือกเสาวรสที่สุกงอม และรับประทานให้หลากหลายชนิด เพื่อให้ได้รับสารอาหารครบถ้วน

คำแนะนำเพิ่มเติม

  • รับประทานเสาวรสในรูปแบบต่างๆ: นอกจากรับประทานผลสดแล้ว ยังสามารถนำเสาวรสไปทำเป็นน้ำผลไม้ สลัด หรือโยเกิร์ตได้
  • ผสมกับอาหารอื่นๆ: การผสมเสาวรสกับอาหารอื่นๆ เช่น สลัด ผลไม้รวม จะช่วยเพิ่มรสชาติและคุณค่าทางอาหาร
  • สังเกตปฏิกิริยาของร่างกาย: หากร่างกายมีอาการผิดปกติหลังรับประทานเสาวรส ควรหยุดรับประทานและปรึกษาแพทย์

หมายเหตุ: ข้อมูลนี้เป็นเพียงข้อมูลทั่วไป ไม่ควรถือเป็นคำแนะนำทางการแพทย์ หากมีข้อสงสัยควรปรึกษาแพทย์

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 15/08/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,700.0040,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,636.0039,961.7641,300.00
ทองรูปพรรณ 90%2,372.4035,965.58n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,108.8031,969.41n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,186.0017,979.76n/a
ทองรูปพรรณ 40%923.0013,992.68n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,732.0041,417.12n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 15/08/2567



ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9537.0537.0537.5537.0537.0537.0537.0537.0537.0537.05
แก๊สโซฮอล์ 9136.6836.6837.1836.6836.6836.6836.6836.6836.6836.68
แก๊สโซฮอล์ E2034.9434.9435.4434.9434.9434.9434.9434.9434.94
แก๊สโซฮอล์ E8534.6934.6934.69
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.6449.8449.8449.8445.64
เบนซิน 9544.9449.8145.4445.0944.94
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า