รถไฟฟ้าสายสีชมพูปลุกคอนโดต่ำ3ล้านคึกคักดันราคาที่ดินขยับ 3-7%
ตั้งแต่ถนนติวานนท์ แจ้งวัฒนะ รามอินทราเป็นพื้นที่ที่มีโครงการบ้านจัดสรรราคาไม่แพงจำนวนมากทำให้ดีเวลลอปเปอร์ไม่ค่อยเปิดตัวคอนโดออกมามากนัก แต่หลังจากมีโครงการรถไฟฟ้าสายสีชมพูส่งผลให้ดันราคาที่ดินขยับปีละ 3-7% รวมทั้งปลุกคอนโดต่ำ3ล้านคึกคักขึ้น
เส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพู (แคราย-มีนบุรี) ซึ่งมีระยะทางกว่า 34.5 กิโลเมตร จำนวน 30 สถานีตลอดเส้นทาง ซึ่งคาดว่าจะเปิดให้บริการบางส่วนได้ปลายเดือน พ.ย.2566 นี้ จากนั้นเปิดให้บริการแบบเต็มรูปแบบในปี 2567 ถือเป็นเส้นทางรถไฟฟ้ารางเบาอีก 1 เส้นทางที่ทำหน้าที่เป็น “ตัวเชื่อม” จังหวัดนนทบุรี และกรุงเทพฯ ตอนเหนือ
ช่วยให้คนที่ต้องการเดินทางเข้ากรุงเทพฯ ชั้นในจากพื้นที่กรุงเทพฯตอนเหนือ หรือจากจังหวัดนนทบุรีมีความสะดวกมากขึ้น ที่สำคัญจะเป็นอีกทางเลือกของคนในจังหวัดนนทบุรีที่ต้องการเข้ากรุงเทพฯ แต่ไม่ต้องการเข้าพื้นที่เมืองชั้นใน ซึ่ง “รถไฟฟ้าสายสีชมพู” เป็นอีกหนึ่งเส้นทางรถไฟฟ้าที่ไม่มีเส้นทางเข้าเมืองชั้นในโดยตรงเช่นเดียวกับเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีเหลือง
สุรเชษฐ กองชีพ กรรมการผู้จัดการ บริษัท พร็อพเพอร์ตี้ ดีเอ็นเอ จำกัด กล่าวว่า พื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูตั้งแต่ถนนติวานนท์ แจ้งวัฒนะ ในจังหวัดนนทบุรี และ แจ้งวัฒนะ รามอินทรา ในกรุงเทพฯ เป็นพื้นที่ที่มีโครงการบ้านจัดสรรราคาไม่แพง เป็นจำนวนมาก! จึงเป็นตัวเลือกสำหรับคนที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยที่เป็น “โครงการบ้านจัดสรร” ในทำเลนี้ซึ่งมีจำนวนมากกว่าคอนโดมิเนียม
ผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์หลายรายจึงเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูไม่มาก เมื่อเทียบกับเส้นทางรถไฟฟ้าสายอื่นส่งผลให้จำนวนของคอนโดมิเนียมที่เปิดขายใหม่ในแต่ละปีมีจำนวนน้อย
ขณะที่บ้านจัดสรรในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูที่มีราคาขายไม่เกิน 3 ล้านบาทมีจำนวนมาก! ซึ่งเป็นระดับราคาขายที่ไม่แตกต่างจากคอนโดมิเนียมที่เปิดขายในพื้นที่เดียวกัน อีกทั้งได้รับความสนใจที่ค่อนข้างมาก สังเกตได้จากอัตราการขายมากกว่า 85% จึงเป็นปัจจัยที่ทำให้จำนวนโครงการคอนโดมิเนียมแนวรถไฟฟ้าสายสีชมพูไม่หวือหวา
ปัจจุบันจำนวนคอนโดมิเนียมสะสมในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูอยู่ที่26,270ยูนิตซึ่งเปิดมาตั้งแต่ปี2561และคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ไม่มากนัก เพราะนอกจากราคาขายระหว่างบ้านกับคอนโดมิเนียมไม่แตกต่างแล้วยังมี “ข้อจำกัด” ในการพัฒนาจากผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร
นั่นก็คือข้อจำกัดในการพัฒนาอาคารที่มีพื้นที่มากกว่า 10,000 ตารางเมตร ในบางพื้นที่ของถนนรามอินทรา มีเพียงบางพื้นที่ที่สามารถพัฒนาอาคารที่มีพื้นที่มากกว่า 10,000 ตารางเมตรขึ้นไปเท่านั้น! ทำให้ผู้ประกอบการอสังหาฯ ต้อง “รอ” ให้ผังเมืองกรุงเทพมหานครฉบับใหม่ประกาศใช้ก่อน จึงจะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมเพราะอาจมีการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของข้อจำกัดในการพัฒนาในพื้นที่ตามแนวถนนรามอินทราออกมาใหม่
“ราคาขายของคอนโดมิเนียมในพื้นที่ส่วนใหญ่อยู่ในระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อยูนิต หรือ 60,000-80,000 บาทต่อตารางเมตร แต่อาจจะมีบางโครงการที่มีราคาขายมากกว่า 110,000 บาทต่อตารางเมตร หรือราคาขายต่อยูนิตมากกว่า 3 ล้านบาท แต่ก็มีจำนวนไม่มากนักเพราะได้รับความสนใจน้อยกว่า”
พื้นที่นี้ยังมี ”ตัวเลือก” ของที่อยู่อาศัยทั้งบ้านในโครงการจัดสรร และคอนโดมิเนียมในระดับราคาขายน้อยกว่าจำนวนมาก คอนโดมิเนียมที่เปิดขายในระดับราคาขายมากกว่า 110,000 บาทต่อตารางเมตร อาจจะใช้เวลาในการขายนานกว่าโครงการราคาขายต่ำกว่า อัตราการขายได้เฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูอยู่ที่ 90% บางโครงการที่มีราคาขายมากกว่า 110,000 บาทต่อตารางเมตร มีอัตราการขายที่ไม่สูงมากเมื่อเทียบกับโครงการที่มีราคาขายต่ำกว่าชัดเจน
สำหรับราคาที่ดินของพื้นที่ตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้าสายสีชมพูมีการปรับเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 3-7% ต่อปี โดยราคาที่ดินในช่วงตั้งแต่ถนนติวานนท์ต่อเนื่องไปจนถึงถนนแจ้งวัฒนะและวงเวียนหลักสี่ อยู่ที่ 250,000-380,000 บาทต่อตางรางวา แต่พื้นที่ตามแนวถนนรามอินทราราคาที่ดินอยู่ที่ 250,000-300,000 บาทต่อตารางวา และต่ำกว่า 300,000 บาทต่อตารางวาไปจนถึง 200,000 บาทต่อตารางวา ในพื้นที่ใกล้กับสถานีมีนบุรี ซึ่งเป็นสถานีปลายทาง
โดยเฉพาะในพื้นที่ตามแนวถนนรามอินทรามีความเป็นไปได้ที่จะมีการเปลี่ยนแปลงตามศักยภาพของที่ดินที่จะเปลี่ยนแปลงไปตามผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครที่คาดว่าจะประกาศใช้ปี 2568 ถ้าพื้นที่ใดก็ตามสามารถพัฒนาอาคารสูง และอาคารขนาดใหญ่มากกว่า 10,000 ตารางเมตรได้ราคาที่ดินเพิ่มขึ้นแน่นอน
ปัจจุบันการเปลี่ยนแปลงของพื้นที่ตลอดแนวเส้นทางอาจจะยังไม่มากนัก เพราะผู้ประกอบการหรือเจ้าของที่ดินอาจจะต้องการรอดูการเปลี่ยนแปลงของผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร ฉบับใหม่ก่อน เพราะมีความเป็นไปได้ที่ศักยภาพของที่ดินจะสูงขึ้น ราคาที่ดินก็จะสูงขึ้น รวมไปถึงรูปแบบการพัฒนาโครงการในที่ดินก็อาจจะเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น
การเปลี่ยนแปลงในช่วงที่ผ่านมา อาจจะเห็นได้เพียงการเปิดขายของโครงการคอนโดมิเนียมเท่านั้น รวมไปถึงการพัฒนาโครงการมิกซ์ยูสในบางทำเล ทั้งพื้นที่ตามแนวถนนรามอินทรา และพื้นที่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้ามีนบุรี ซึ่งมีความเป็นไปได้ที่ที่ดินแนวรถไฟฟ้าสีชมพูจะเปลี่ยนสีผังเมืองเป็นสีแดงมากขึ้นจากเดิมที่เป็นสีเหลืองและสีน้ำตาล จะทำให้ข้อจำกัดในการพัฒนาโครงการดีขึ้น ผู้ประกอบการบางรายจึงเข้าไปซื้อที่ดินไว้เพื่อรอการพัฒนาหลังการประกาศใช้ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานครฉบับใหม่
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
‘พิมาลัย’ เสริมแม่เหล็กเกาะลันตา อัด 50 ล้านรีโนเวตบีชวิลล่า เปิดเลานจ์ใหม่
‘พิมาลัย รีสอร์ท แอนด์ สปา’ รีสอร์ตระดับลักชัวรีสัญชาติไทยบน ‘เกาะลันตา’ จังหวัดกระบี่ ที่มีชื่อเสียงโด่งดังระดับโลกและแข็งแกร่งมานานกว่า 22 ปี หลังข้ามผ่านมรสุมโควิด-19 ก็ถึงคราวเดินหน้าลงทุนพัฒนาและปรับปรุงบริการ เติมแม่เหล็กใหม่ระดับ ‘ไอคอนิก’ (Iconic)
เสริมเสน่ห์แก่รีสอร์ตที่มอบความเป็นส่วนตัวสูงแก่ผู้เข้าพัก เพราะมีห้องพักแค่ 121 ห้อง ในพื้นที่ 250 ไร่
ชรินทิพย์ ตียาภรณ์ ทายาทรุ่นที่ 2 เจ้าของร่วม พิมาลัย รีสอร์ท แอนด์ สปา ผู้เป็นหัวเรือขับเคลื่อนยุคใหม่ของรีสอร์ตแห่งนี้ เปิดเผยว่า “พิมาลัย” ใช้เงินลงทุนรวม 50 ล้านบาทสำหรับการพัฒนาและปรับปรุงบริการ โดยแบ่งเป็นงบ 20 ล้านบาทสำหรับการปรับพื้นที่เก่าซึ่งเคยเป็นล็อบบี้ของโซนวิลล่าและห้องสมุด พัฒนาเป็นเลานจ์แห่งใหม่ ชื่อ “เดอะ เฮอริเทจ” (The Heritage) ณ ความสูง 60 เมตรจากระดับน้ำทะเล รองรับ 70 ที่นั่ง มองเห็นวิวทะเลแบบพาโนรามา เตรียมเปิดให้บริการภายในปลายปี 2566
ดีไซน์ภายในเล่าเรื่องเกี่ยวกับความเป็นมาของเกาะลันตา กลิ่นอายประวัติศาสตร์ ตั้งแต่วันที่เรือสำเภาเดินทางค้าขายข้ามทวีปต้องมาหาที่หลบภัยจากพายุ โดยในช่วงกลางวันของ เดอะ เฮอริเทจ จะเป็นคาเฟ่เหมาะกับการพักผ่อนอันแสนสงบ ก่อนจะกลายเป็นบาร์ที่มีชีวิตชีวาในช่วงพระอาทิตย์ตก บรรยากาศเหมาะกับการดื่มด่ำความสวยงามของพระอาทิตย์ขณะลับขอบฟ้า
“เราตั้งใจพัฒนา เดอะ เฮอริเทจ ให้เป็นสถานที่ระดับไอคอนิกอีกแห่งของเกาะลันตา คาดหวังว่าเมื่อการก่อสร้างสะพานเชื่อมเกาะลันตาแล้วเสร็จ จะสามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวมาใช้บริการกินดื่มชมวิวมากขึ้น แม้ไม่ใช่ผู้เข้าพักของพิมาลัยฯ”
ส่วนงบอีก 30 ล้านบาท จะนำไปทยอยรีโนเวตห้องพักแบบ “บีช วิลล่า” (Beach Villa) ครั้งใหญ่ทั้ง 11 หลัง ให้แล้วเสร็จภายในปลายปี 2567 โดยปัจจุบันราคาห้องพักบีชวิลล่าช่วงไฮซีซันของพิมาลัย แบบ 1 ห้องนอน เริ่มต้นที่ 34,000 บาทต่อคืน แบบ 2 ห้องนอน เริ่มต้น 45,000 บาทต่อคืน และแบบ 3 ห้องนอน เริ่มต้น 64,000 บาทต่อคืน
ด้านเป้าหมายธุรกิจของพิมาลัย ชรินทิพย์ บอกว่า จะเน้นกลยุทธ์ “เพิ่มอัตราการเข้าพัก” เป็นหลัก เพื่อดึงลูกค้าให้อยู่นานขึ้น ใช้จ่ายภายในรีสอร์ตมากขึ้น! โดยในปี 2567 ตั้งเป้าเพิ่มอัตราการเข้าพักเฉลี่ยเป็น 72% ทำนิวไฮ (New High) ต่อเนื่องจากปี 2566 ซึ่งคาดการณ์ว่าจะปิดด้วยตัวเลข 65% ดีที่สุดนับตั้งแต่เปิดให้บริการมา โดยเติบโตกว่า 2 เท่า เมื่อเทียบกับอัตราการเข้าพักตลอดปี 2565 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ 30%
“แนวโน้มอัตราการเข้าพักของพิมาลัย ฟื้นตัวดีต่อเนื่องหลังผ่านวิกฤติโควิด-19 มาได้ น่าจะไปถึงเป้าหมาย 72% ได้ในปี 2567 หลังจากช่วงไฮซีซันไตรมาส 4 ปี 2566 มียอดจองห้องพักสะสมเข้ามาแล้ว 80% เฉพาะช่วงเทศกาลปีใหม่เต็ม 100% ขณะที่ยอดจองในไตรมาส 1 ปีหน้าก็เป็นไปตามเป้า เดือน ม.ค.-ก.พ. ได้ยอดจองเข้ามากว่า 90% และเดือน มี.ค. 80% แล้ว”
แม้จะให้น้ำหนักกับการเพิ่มอัตราการเข้าพัก แต่ยังสามารถขยับ “ราคาห้องพักเฉลี่ย” (ADR) ได้บ้าง โดยในปี 2567 ตั้งเป้าเพิ่ม ADR เป็น 7,600 บาทต่อคืน จากปี 2566 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ที่ 7,300 บาทต่อคืน ซึ่งยังไม่กลับไปเท่าเดิมที่ระดับ 7,800 บาทต่อคืนเหมือนในปี 2562 ก่อนโควิด
นับเป็นการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสถานการณ์ตลาดที่ไม่แน่นอน โดยเฉพาะตลาด “นักท่องเที่ยวจีน” ที่ภาพรวมยังไม่ฟื้นตัวกลับมาดีนัก จากหลากปัจจัยผสมกัน ทั้งปัญหาเศรษฐกิจจีน ปัญหาภาพลักษณ์ด้านความปลอดภัยของประเทศไทยซึ่งเป็นจุดที่คนจีนซีเรียสมาก! และปัญหาจำนวนเที่ยวบินเส้นทาง ไทย-จีน ยังไม่กลับมา
หลังจากรัฐบาลออกมาตรการยกเว้นการตรวจลงตรา หรือ “วีซ่าฟรี” แก่นักท่องเที่ยวจาก 4 ตลาด ได้แก่ จีน คาซัคสถาน (ตั้งแต่ 25 ก.ย. 2566 – 29 ก.พ. 2567) ส่วนอินเดีย ไต้หวัน (ตั้งแต่ 10 พ.ย. 2566 – 10 พ.ค. 2567) ตามด้วยมาตรการขยายวันพำนักแก่นักท่องเที่ยวรัสเซียจาก 30 เป็น 90 วัน เป็นกรณีพิเศษ (ตั้งแต่ 1 พ.ย. 2566 – 30 เม.ย. 2567) มองว่าควรเร่งสนับสนุนให้ “สายการบิน” กลับมาเปิดให้บริการเที่ยวบินเข้าไทยมากขึ้นด้วย
อย่าง “สนามบินกระบี่” หลังจากมีการขยายขีดความสามารถในการรองรับผู้โดยสารเพิ่มเป็น 8 ล้านคนต่อปี จากเดิมรองรับได้ 4 ล้านคนต่อปี แต่ปัจจุบันมีสายการบินเปิดให้บริการเที่ยวบินระหว่างประเทศน้อย เฉพาะเที่ยวบินประจำ มีบินมาจากสิงคโปร์ มาเลเซีย และดูไบเท่านั้น ส่วนเที่ยวบินเช่าเหมาลำ (ชาร์เตอร์ไฟลต์) มีแค่ยุโรป 2 เส้นทางจากสแกนดิเนเวียและโปแลนด์ในช่วงตารางบินฤดูหนาว 2023/2024
ขณะที่เที่ยวบินจากจีนยังเงียบกริบ! ไม่มีทั้งเที่ยวบินประจำและชาร์เตอร์ไฟลต์ จึงอยากเห็นขั้นตอนที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. รับโอนสนามบินกระบี่จากกรมท่าอากาศยานมาบริหารแทนแล้วเสร็จโดยเร็ว เพื่อ ทอท.จะได้ทำการตลาดดึงเที่ยวบินระหว่างประเทศเข้ากระบี่ได้อย่างเต็มที่!
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 16 พ.ย. “อ่อนค่า” ที่ระดับ 35.52 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทอาจแกว่งตัว sideway ใกล้โซนแนวรับหลัก 35.50 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่เข้ามา ระหว่างวัน ควรระวังความผันผวนจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 16 พ.ย. 2566 ที่ระดับ 35.52 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 35.45 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว sideway ใกล้โซนแนวรับหลัก 35.50 บาทต่อดอลลาร์ จนกว่าจะมีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามา โดยในระหว่างวัน ควรระวังความผันผวนจากฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งมีโอกาสหาจังหวะทยอยขายทำกำไรการรีบาวด์แรงของหุ้นไทยได้บ้าง ขณะที่ฟันด์โฟลว์ในฝั่งตลาดบอนด์ อาจยังพอมีโอกาสได้ลุ้นว่า นักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าซื้อบอนด์ไทยต่อได้บ้าง
นอกจากนี้ ทิศทางราคาทองคำก็เป็นอีกปัจจัยที่อาจกระทบต่อเงินบาทได้เช่นกัน โดยในกรณีที่ ราคาทองคำ สามารถรีบาวด์ขึ้นจากโซนแนวรับ 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ สู่ระดับแนวต้านระยะสั้นใกล้ 1,980 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ผู้เล่นในตลาดก็อาจทยอยขายทำกำไรได้ ในทางกลับกัน หากราคาทองคำย่อตัวลงต่อเนื่องหลุดโซนแนวรับดังกล่าว และย่อตัวลงใกล้ระดับ 1,950 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก็อาจเห็นแรงซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวกลับมาอีกครั้ง กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าได้บ้าง
ทั้งนี้ หากเงินบาทแข็งค่าหลุดโซนแนวรับหลัก 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ได้ เราประเมินว่า โซนแนวรับถัดไป อาจอยู่ในช่วง 35.30 บาทต่อดอลลาร์ แต่หากเงินบาทกลับมาอ่อนค่าลง เราประเมินว่า เงินบาทก็อาจติดโซนแนวต้านแถว 35.80 บาทต่อดอลลาร์
ในช่วงนี้ ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
และนอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.45-35.70 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทพลิกกลับมาอ่อนค่าลงและแกว่งตัวเหนือโซนแนวรับหลัก 35.50 บาทต่อดอลลาร์ (แกว่งตัวในช่วง 35.42-35.68 บาทต่อดอลลาร์) หลังรายงานยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย ขณะเดียวกัน รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทค้าปลีกสหรัฐฯ อาทิ Target, TJ Max ก็ออกมาดีกว่าคาด
ทำให้ผู้เล่นในตลาดยังมีมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ และแม้ว่า ภาพดังกล่าวก็ไม่ได้ทำให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ไปจากช่วงหลังรับรู้รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI อย่างมีนัยสำคัญ แต่ก็ส่งผลให้ บรรยากาศในตลาดการเงิน อยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ต่อได้
ซึ่งส่งผลให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้นบ้าง ขณะเดียวกันก็กดดันให้ ราคาทองคำพลิกกลับมาย่อตัวลงสู่โซนแนวรับระยะสั้น ซึ่งผู้เล่นบางส่วนอาจทยอยเข้าซื้อทองคำบ้างและโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
บรรยากาศตลาดหุ้นสหรัฐฯ โดยรวมยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง หนุนโดยรายงานยอดค้าปลีกสหรัฐฯ ที่ออกมาดีกว่าคาดเล็กน้อย ขณะเดียวกัน บรรดาบริษัทค้าปลีก เช่น Target, TJ Max ต่างก็รายงานผลประกอบการที่ดีกว่าคาด
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังได้แรงหนุนจากการที่สภาผู้แทนฯ สหรัฐฯ ได้มีมติผ่านร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคร่าว ทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ อาจหลีกเลี่ยงภาวะ Government Shutdown ได้หากร่างกฎหมายดังกล่าวผ่านการเห็นชอบโดยวุฒิสภาได้ทันเวลา อย่างไรก็ดี การปรับตัวขึ้นแรงของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ในวันก่อนหน้า ทำให้ผู้เล่นในตลาดมีการขายทำกำไรออกมาบ้าง ส่งผลให้ ดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.16%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง +0.42% ท่ามกลางบรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังคงเดินหน้าเปิดรับความเสี่ยง ตามความหวังว่าบรรดาธนาคารกลางหลักอาจจบรอบการขึ้นดอกเบี้ยแล้ว หลังอัตราเงินเฟ้อชะลอตัวลงต่อเนื่อง
นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังได้แรงหนุนจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจจีนล่าสุด โดยเฉพาะยอดค้าปลีกที่โตดีกว่าคาด ส่งผลให้บรรดาหุ้นธีมการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีน ต่างปรับตัวขึ้น อาทิ หุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนม LVMH +1.7%, Hermes +1.1%
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่ามุมมองของผู้เล่นในตลาดยังคงเชื่อว่า เฟดได้จบรอบการขึ้นดอกเบี้ยไปแล้ว และเฟดอาจลดดอกเบี้ยลงได้ราว -1% ในปีหน้า ทว่าบรรยากาศในตลาดการเงินที่ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง รวมถึงการปรับสถานะขายทำกำไรของผู้เล่นบางส่วน (โดยเฉพาะฝั่ง Long Bond) ก็ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ รีบาวด์ขึ้น สู่ระดับ 4.53%
สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจมีโอกาสผันผวนสูงขึ้นได้บ้าง จนกว่ารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะส่งสัญญาณย้ำการชะลอตัวลงที่ชัดเจนของเศรษฐกิจมากขึ้น และทำให้ผู้เล่นในตลาดคาดการณ์ “Faster & Deeper rate cuts” จากเฟด ดังนั้น เรายังคงแนะนำให้ รอจังหวะการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ในการทยอยเข้าซื้อเหมือนเดิม
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์รีบาวด์แข็งค่าขึ้นบ้าง ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังได้อานิสงส์จากการอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ตามส่วนต่างระหว่างบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ กับญี่ปุ่นที่กว้างขึ้น ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ได้ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 104.4 จุด (กรอบ 104-104.5 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ แรงขายทำกำไรทองคำ รวมถึงการปรับตัวขึ้นของทั้งบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และเงินดอลลาร์ ท่ามกลางภาวะเปิดรับความเสี่ยง ได้กดดันให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) ย่อตัวลง กลับสู่โซนแนวรับ (ที่เคยเป็นแนวต้านก่อนหน้า) แถว 1,960 ดอลลาร์ต่อออนซ์ อีกครั้ง
โดยเรามองว่า การย่อตัวลงดังกล่าวของทองคำ อาจทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อ เพื่อเก็งกำไรการรีบาวด์ได้บ้าง ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าว ก็อาจมีส่วนกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง
สำหรับวันนี้ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าสนใจอาจอยู่ที่ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) ของสหรัฐฯ หลังจากที่ในช่วงระยะหลังนี้ ยอดดังกล่าว โดยเฉพาะ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานต่อเนื่อง (Continuing Claims) ได้ปรับตัวสูงขึ้นและออกมาแย่กว่าคาด สะท้อนภาพการจ้างงานที่ชะลอตัวลงมากขึ้น
และนอกเหนือจากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางหลัก ทั้ง เฟด และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) พร้อมกับรอติดตามประเด็นการเมืองสหรัฐฯ ว่าสภาคองเกรสจะสามารถผ่านร่างกฎหมายงบประมาณเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดภาวะ Government Shutdown ได้หรือไม่
หลังร่างกฎหมายงบประมาณชั่วคราว สามารถผ่านความเห็นชอบของสภาผู้แทนฯ ได้ พร้อมกันนี้ ผู้เล่นในตลาดก็จะรอลุ้น รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทค้าปลีก อาทิ Walmart, Macy’s, GAP ซึ่งจะช่วยสะท้อนภาพการใช้จ่ายในฝั่งสหรัฐฯ ได้เพิ่มเติมจากรายงานผลประกอบการของบริษัทค้าปลีกก่อนหน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
SCOOP : จุดกำเนิดแห่งความฝัน กับกอล์ฟเยาวชนที่จะพาพวกเขาสร้างชื่อในเวทีโลก
ปลายทางแห่งความสำเร็จของโปรกอล์ฟชื่อดังบนโลกใบนี้ ล้วนมีที่มาจากเส้นทางแรกที่พวกเขาลงสนามแข่งขันในวันเริ่มต้นสู่สังเวียนแข่งขันภาพที่ชัดเจน เมื่อเราเห็นสิ่งที่เป็นจุดเริ่มต้นของสิ่งเล็กๆของกีฬาชนิดนี้ มันคือโอกาสที่หลายคนถวิลหามัน เพื่อลงสนามแข่งขัน
ซึ่งเวทีเหล่านี้นี่แหล่ะ คือเวทีแจ้งเกิดในวัยเยาว์ของนักกอล์ฟชื่อดังของไทยมาหลายยุค มันคือสนามแห่งการสร้างนักกอล์ฟชื่อดังที่กำลังไล่ล่าความสำเร็จอยู่ทัวร์ใหญ่ๆระดับโลก
สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ได้มีโอกาสไปชมการแข่งขันกอล์ฟเยาวชนรายการใหญ่ของไทย “TGA-SINGHA Junior Golf Ranking” สนาม 5 ไปหวดกันที่สนามกรังด์ปรีซ์ กอล์ฟคลับ จังหวัดกาญจนบุรี มันคือสิ่งที่ผมเห็นอย่างชัดเจนว่า อนาคตของนักกอล์ฟไทย จะเดินทางไปในแนวทางไหน
สำหรับการแข่งขัน TGA-SINGHA Junior Golf Ranking มีมากว่า 20 ปีแล้ว จัดโดยสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทยฯ ที่สนับสนุนโดย บริษัท สิงห์ คอร์เปอเรชั่น จำกัด โดยแต่ละปีจะมีการจัดการแข่งขันทั้งหมด 6 สนาม ซึ่งไฮไลท์ของการเข้ามาร่วมแข่งขันในรายการนี้ คือ การคัดตัวนักกอล์ฟที่ทำคะแนนรวมสูงสุดใน 4 สนามแรก ไปแข่งในรายการ Singha Thailand Junior World Golf Championship ที่สนามกอล์ฟหลวงหัวหิน และ นักกอล์ฟที่ทำคะแนนรวมสูงสุด 6 สนาม ไปแข่งในรายการ Junior World Championship ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นอีกหนึ่งรายการใหญ่ระดับโลกสำหรับนักกอล์ฟเยาวชน
สิ่งที่เห็นจากการแข่งขันครั้งนี้คือ ความสนุกสนามระหว่างเกมการแข่งขัน ความใส่ใจทุกรายละเอียดของโค้ช และผู้ปกครอง ล้วนถูกถ่ายทอดออกมาหมด ในการแข่งขันที่เข้มข้น ที่สำคัญ การแบ่งการแข่งขัน ในคลาสต่างๆของแต่ละรุ่น ก็ทำให้เกมในสนามมันตื่นเต้นและสนุกเร้าใจ โดยเกณฑ์การแบ่งอายุตามคลาสดังนี้
– คลาส S อายุ 19 ปีขึ้นไป
– คลาส A อายุ 15-18 ปี
– คลาส B อายุ 13-14 ปี
– คลาส C อายุ 11-12 ปี
– คลาส D อายุ 9-10 ปี
– คลาส E อายุ 7-8 ปี
– คลาส F อายุ ต่ำกว่า 6 ปี
ภาพของนักกอล์ฟวัยจิ๋ว ที่มุ่งมั่นกับสิ่งที่พวกเขารัก มันช่างน่ารัก พวกเขาแสดงออกมาหมดสิ้น ทั้งสีหน้า แววตา แน่นอนว่าวัยเด็กแบบนี้ คิดอะไร รู้สึกอย่างไร ก็แสดงออกมาแบบไม่มีเม้ม ดีใจ เสียใจ กดดัน นั่นคือสิ่งที่เห็นตลอดการแข่งขัน
เวทีแห่งนี้เชื่อว่าหลายยังไม่รู้ว่า นักกอล์ฟชื่อดังของไทยผ่านเส้นทางแห่งนี้มากันหมด ไม่ว่าจะเป็น โปรโม-โปรเม” โมรียาและเอรียา จุฑานุกาล , “โปรจีน” อาฒยา ฐิติกุล และคนอื่นๆอีกมากมาย ก็ล้วนมีที่มาจากการแข่งขันในรายการนี้
หลังจบการแข่งขัน นัทกร เบญนุกูล แชมป์ในรุ่น คลาส CB ในสนามที่ 5 ได้เปิดเผยว่า “สนุกมากๆครับ สนุกและรู้สึกถึงอะไรใหม่ๆในทุกๆปี ปีนี้เป็นปีที่ยาก คู่แข่งเก่งขึ้นมาก และสนามแห่งนี้มันคือสนามที่ผมชอบ และทำให้ผลงานออกมาดีจนเป็นแชมป์ในรุ่นนี้ ดีใจมาก และขอบคุณรายการดีๆแบบนี้ครับ”
ส่วน วันกร เบ็ญนุกูล ที่เป็นฝาแฝดกับ นัทกร ได้บอกว่า “มันคือสิ่งที่เราได้แสดงออกทางผลงานในสนาม ดีใจที่ได้มาแข่งในทุกๆปี เพราะรายการนี้สำคัญต่อพวกเราและครอบครัวมากๆ ขอบคุณที่จัดการแข่งดีๆแบบนี้ครับ ครั้งต่อไปผมจะทำให้ดีกว่าเดิม”
ขณะที่ สิทธิกร เบญนุกูล คุณพ่อของนัทกรและวันกร ได้เปิดใจว่า “จริงๆแล้วผมไม่ได้คาดหวังผลงานของลูกผมนะ ผมโฟกัสไปที่การที่พวกเขาได้ออกมาใช้ชีวิตในถนนสายนี้ ได้ออกมาเจอเพื่อนๆ คู่แข่งขัน ที่จะทำให้เขาพัฒนาต่อยอดไปในเส้นทางนี้ต่อไป แต่ส่วนที่สำคัญและมันเป็นพลังบวกให้กับทุกคนที่มีลูก สำหรับการแข่งขันรายการ TGA-SINGHA Junior Golf Ranking ถือเป็นประสบการณ์ที่ดี เพราะลูกทั้งสองคนต่างเติบโตมาที่รายการนี้ เป็นรายการที่ให้ประสบการณ์ที่ดี เป็นรายการที่เปิดทางให้ไปเล่นในรายการใหญ่ที่ต่างประเทศอย่าง Junior World Championship รวมถึงการปูทางไปยังทีมชาติหรือระดับอาชีพ ซึ่งถือว่าโชคดีที่มีภาคเอกชนอย่างสิงห์ที่เข้ามาสนับสนุน ทำให้วงการกอล์ฟเราพัฒนา โดยเฉพาะเด็กๆจะได้มีเวทีโชว์ศักยภาพ ซึ่งนักกอล์ฟระดับโลกของไทยส่วนใหญ่ก็ล้วนมาจากเวทีนี้และจัดการแข่งขันขึ้นมา ด้วยคำว่า “มาตรฐาน” ก็หวังว่าลูกผม และ นักกอล์ฟวัยเด็กทุกๆคนจะได้ประโยชน์จากตรงนี้มากที่สุด”
“น้องอันนา” อันนา ผ่องหทัยกุล ในวัย 7 ขวบ ที่ได้รองแชมป์ Class DG ในสนามที่ 5 บอกว่า “วันนี้หนูสนุกมาก ได้เจอเพื่อนๆ ได้เล่นในสนามดีๆ ขอบคุณพ่อกับแม่ที่เป็นกองเชียร์ให้ตลอด อนาคตอยากเก่งเหมือนพี่ๆใน LPGA ค่ะ”
นอกจากนี้ อันนา ยังได้เล่าถึงความภาคภูมิใจ จากการได้คัดเลือกจากรายการนี้ไปแข่งขัน จูเนียร์ เวิล์ด แชมป์เปี้ยนชิป ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปีที่ผ่านมา ว่า “เป็นเรื่องที่ประทับใจสุดๆ ได้ออกไปเจอคู่แข่งที่มาจากทั่วโลก ได้ไปแข่งต่างประเทศ และได้แชมป์รุ่นจิ๋วกลับมา ทำให้ภูมิใจมากๆค่ะ”
โดยทาง คุณ จิรศักดิ์ ผ่องหทัยกุล คุณพ่อน้องอันนา ได้เล่าถึงการสนับสนุนให้น้องเข้ามาในวงการกอล์ฟว่า “ตัวคุณพ่อเห็นว่ากีฬากอล์ฟเป็นกีฬาที่ทำให้เด็กมีพัฒนาการที่ดี เพราะต้องใช้ความคิดและทักษะ รวมถึงการควบคุมอารมณ์ และที่สำคัญสามารถพัฒนาต่อไปเล่นเป็นอาชีพได้ และเมื่อให้น้องได้ลองมาเล่นแล้วน้องก็ชอบและทำได้ดี ทางครอบครัวก็เลยสนับสนุนเต็มที่ โดยพาไปฝึกซ้อม และเข้าแข่งในรายการกอล์ฟเยาวชนต่างๆเพื่อเก็บประสบการณ์ และน้องก็โชคดีที่ทางสิงห์เข้ามาช่วยสนันสนุนน้องมา 3 ปีแล้ว โดยสิงห์ช่วยในเรื่องของค่าใช้จ่ายในการไปแข่งขันทั้งในประเทศและต่างประเทศ รวมถึงค่าใช้จ่ายในการฝึกซ้อมและออกรอบตามสนามต่างๆ ซึ่งก็ขอบคุณทางสิงห์ที่เห็นถึงความสำคัญของนักกอล์ฟเยาวชนด้วยครับ”
นั่นคือเสียงสะท้อนถึงภาพรวมของการแข่งขันกอล์ฟเยาวชนที่ต้องบอกว่ามีมาตรฐานการจัดระดับโลก ทั้งการเลือกระยะให้เหมาะสมกับในแต่ละรุ่นอายุ ซึ่งฝ่ายจัดการแข่งขันอย่างสมาคมกีฬากอล์ฟแห่งประเทศไทยฯ ที่ใช้แนวทางเดียวกับการจัดการแข่งขันในระดับโลก เพื่อเป็นเวทีให้นักกอล์ฟเยาวชนรุ่นใหม่ได้บ่มเพาะฝีมือและก้าวไปสู่นักกอล์ฟอาชีพเพื่อสร้างชื่อเสียงให้ประเทศไทย ขณะที่ภาคเอกชนอย่างสิงห์ คอร์เปอเรชั่น ที่เห็นความสำคัญของการพัฒนาเยาวชนและสอดคล้องกับแนวคิดขององค์กรในการสร้างคนผ่านกีฬา โดยเข้ามามีส่วนร่วมและเดินเคียงข้างไปกับนักกอล์ฟวัยจิ๋วเหล่านี้
ซึ่งอนาคตข้างหน้านักสวิงเหล่านี้นี่แหล่ะ จะก้าวไปสร้างชื่อให้ประเทศ ทั้งในนามทีมชาติ และการก้าวขึ้นไปเป็นโปรดังระดับโลกต่อไป
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
4 โรคตาอันตราย ที่เสี่ยงได้ทุกเพศทุกวัย
สุขภาพกายเสื่อม ยังมีสัญญาณเตือน แต่สุขภาพตานี่สิไม่มีสัญญาณเตือนใด ๆ เลย แล้วจะแน่ใจได้อย่างไรว่าดวงตาเราจะไม่เป็นอะไร เพราะรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีปัญหาแล้ว โรคทางตาบางโรคไม่แสดงอาการให้เห็นจนกว่าจะอยู่ในขั้นที่รุนแรง ซึ่งอาจไม่สามารถรักษาให้เป็นปกติได้ กว่าจะรู้ ก็เข้าขั้นสายเกินไป ปัญหานี้จะแก้ไขได้อย่างไร พญ.ปัจฉิมา จันทเรนทร์ จักษุแพทย์ TRSC ศูนย์เลสิคนานาชาติ จะเป็นผู้ให้คำตอบค่ะ
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าดวงตาเรากำลังมีปัญหา การตรวจสุขภาพตาเป็นประจำทุกปีสามารถให้คำตอบได้ ฉะนั้นการตรวจสุขภาพตาจึงมีความสำคัญมาก เพื่อเป็นการเฝ้าระวังโรคทางตาที่อาจจะเกิดขึ้น หรือวางแผนการรักษาโรคตาบางโรคที่กำลังเป็นอยู่ได้ ซึ่งโรคทางตาที่พบบ่อยมีดังนี้
- โรคน้ำวุ้นในตาเสื่อม
ธรรมชาติเมื่อเราอายุมากขึ้น น้ำวุ้นตาจะเกิดการละลายกลายเป็นน้ำ บางส่วนอาจจับตัวกันเป็นตะกอน เมื่อแสงส่องผ่านเข้ามาในลูกตากระทบตะกอนนี้จะเกิดเงาบนจอประสาทตา ทำให้เราเห็นคล้ายมีจุด หรือคล้ายแมลงบินไปมา และขยับได้ตามการกลอกตาของเรา ซึ่งภาวะนี้มักไม่มีอันตรายหากไม่มีจอประสาทตาฉีกขาด แต่จะเกิดความรำคาญใจได้ จึงควรตรวจตาเพื่อหาดูว่ามีจอประสาทตาฉีกขาดเป็นรู หรือไม่ ซึ่งจะนำไปสู่การเกิดจอประสาทตาหลุดลอก
- โรคจอประสาทตาหลุดลอก
เกิดขึ้นเมื่อจอประสาทตาหลุดลอกออกจากเนื้อเยื่อลูกตา จึงทำให้จอประสาทตาไม่สามารถทำงานได้ตามปกติ และหากปล่อยไว้โดยไม่มีการรักษาก็จะส่งผลให้สูญเสียการมองเห็นในที่สุด อาการนำของโรคนี้ ได้แก่อาการมองเห็นแสงฟ้าแลบคล้ายไฟแฟลชกล้องถ่ายรูป มีสิ่งบดบังในการมองเห็นมองเห็นเหมือนมีอะไรลอยไปมา มองเห็นเป็นจุดหรือใยแมงมุม การมองเห็นมีเงาคล้ายผ้าม่านมาปิด หรือเหมือนน้ำท่วมที่ค่อยๆ สูงขึ้น การมองเห็นเสื่อมลงอย่างรวดเร็ว เป็นอาการที่รุนแรง และส่งผลต่อการมองเห็นได้ต้องรีบเข้ารับการรักษา
- โรคกระจกตาย้วย หรือกระจกตาโก่ง
เกิดจากการเปลี่ยนแปลงทางโครงสร้างภายในกระจกตา ทำให้กระจกตาบาง และโก่งออก ส่งผลให้การมองเห็นผิดปกติ มีสายตาสั้น สายตาเอียง ความสามารถในการมองเห็นลดลง โรคนี้มักพบในช่วงผู้ที่อายุน้อย และเชื่อว่าเกิดจากการขยี้ตา โรคมักจะมีอาการรุนแรงที่สุดในช่วง อายุ 20 – 39 ปี ในบางรายอาจใช้เวลาหลายสิบปีจึงจะมีอาการรุนแรง ผู้ป่วยกลุ่มนี้ไม่ควรทำการแก้ไขสายตาด้วยเลเซอร์ เพราะจะทำให้โรคดำเนินมากขึ้น
- โรคต้อหิน
เกิดขึ้นกับเส้นประสาทตา ซึ่งเชื่อมระหว่างดวงตา และสมอง หากความดันภายในตาสูงกว่าระดับที่เส้นประสาทตาสามารถรับได้จะทำให้ใยเส้นประสาทตาถูกทำลาย และตายไป คนไข้จะมีขอบเขตในการมองเห็นค่อยๆ แคบลง ซึ่งหากไม่ได้รับการรักษา ขอบภาพจะค่อยๆหดเข้ามาจนถึงตรงกลาง และมองไม่เห็นในที่สุด ทำให้ตาบอดได้ ต้อหิน แบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท คือ ประเภทที่มีอาการ และ ไม่มีอาการ
- ประเภทมีอาการ หรือต้อหินชนิดมุมปิด ความดันภายในตาจะสูงขึ้นอย่างเฉียบพลัน ทำให้เกิดอาการปวดตา ตาแดง ตามัว คลื่นไส้ อาเจียน ต้องรีบพบจักษุแพทย์
- ประเภทไม่มีอาการ หรือต้อหินชนิดมุมเปิด ในช่วงแรกจะไม่มีปัญหาในการมองเห็นเลย เนื่องจากบริเวณที่มองไม่เห็นอยู่บริเวณขอบๆ ภาพเท่านั้น จึงควรตรวจเช็คสุขภาพตา และได้รับการรักษาตั้งแต่ยังเป็นน้อยๆ
อย่างไรก็ตาม มีผู้ป่วยจำนวนหนึ่งที่ยังไม่เป็นต้อหิน แต่มีความเสี่ยงทางพันธุกรรม หรือลักษณะของลูกตาที่มีแนวโน้มที่จะเกิดเป็นต้อหินได้ในอนาคต ผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับการตรวจติดตามอย่างต่อเนื่อง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
มาฝึกอ่านกลอนภาษาอังกฤษกัน (Reading English Poems)
ลองดู กลอนภาษาอังกฤษ ต่อไปนี้นะครับ…
Never seek to tell thy love
Love that never told can be
For the gentle wind doth move
Silently invisibly
นี่เป็นท่อนหนึ่งใน Poem ง่ายๆของ William Blake ที่เรามักจะเห็นโดยทั่วไป (วันก่อนไปทานส้มตำร้านหนึ่งเจอเขียนติดไว้ในร้าน) พออ่านแล้ว ศัพท์มันก็ไม่ได้ยากอะไรเพียงแต่คำว่า thy ในบรรทัดแรกนั้น เราอาจไม่ค่อยได้เห็นบ่อยนัก คำว่า thy นั้นทำงานเหมือนกับคำว่า your ใช้บอกความเป็นเจ้าของให้คำนามข้างหลังครับ ในกรณีนี้ thy love นั้นแปลว่า your love นั้นเองครับ
นอกจากคำว่า thy ที่แปลว่า your แล้ว คำว่า you นั้นมีหรือเปล่า ? แน่นอนว่ามีครับ และคำอื่นๆที่เรามักพบเห็นได้บ่อยในกลอนภาษาอังกฤษมีอยู่ 4 คำครับ คือ Thou, Thee, Thy and Thine
แปลว่า You ใช้เป็นประธานของประโยคครับ
EX : O Romeo, Romeo, wherefore art thou Romeo?
กลอนบทนี้แปลง่ายๆได้ว่า โอ้ โรมิโอ โรมิโอเหตุใดท่านจึงต้องเป็นโรมิโอ (คำว่า art ใช้แทน be นะครับ)
แปลว่า You เช่นกันแต่ใช้เป็นกรรมของประโยคครับ
EX : How do I love thee?
กลอนบทนี้แปลได้ว่า จะให้ฉันรักคุณได้อย่างไร
อย่างที่ทราบกันแล้วว่ามันทำหน้าที่บอกความเป็นเจ้าของคือ Your นั่นเองครับ
EX : Deny thy father and refuse thy name
กลอนบทนี้แปลได้ว่า ปฏิเสธพ่อของเธอและปฏิเสธนามของเธอเช่นกัน
แปลเหมือนกันกับคำว่า Thy ครับคือ Your นั้นเอง แต่ Thine จะมีเงื่อนไขเล็กน้อยคือ ใช้นำหน้าคำนามที่ขึ้นต้นด้วยเสียงสระนั้นเองครับ หรือพูดง่ายๆว่า หากเราจะบอกความเป็นเจ้าของแก่ Apple ซึ่งขึ้นต้นด้วยสระ (A) แทนที่เราจะใช้คำว่า thy เราจะใช้คำว่า Thine แทนนั่นเองครับ
EX : If thine enemy wrong thee
แปลได้ว่า ถ้าศัตรูของเธอทำพลาด
นอกจากนี้คำศัพท์สี่คำนี้ยังสามารถพบได้ในบทเพลงและนิยายภาษาอังกฤษอีกด้วยนะครับ ถือเป็นเกร็ดเล็กๆน้อยๆให้เรามีไว้ประดับความรู้ เวลาอ่านเจอในกลอนภาษาอังกฤษจะได้ไม่งงยังไงล่ะครับ
ขอบคุณข้อมูลจาก dailyenglish.in.th
Google ประกาศแผนขยายการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในประเทศไทย พร้อมริเริ่มโครงการสนับสนุนเศรษฐกิจ
ในการประชุมผู้นำความร่วมมือทางเศรษฐกิจในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) วันนี้ รัฐบาลไทย และ Google ประกาศความร่วมมือทางยุทธศาสตร์เพื่อเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย และเร่งให้เกิดนวัตกรรมปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายใต้ข้อตกลงนี้
ทั้งสองฝ่ายจะทำงานร่วมกันเพื่อวางรากฐาน 4 เสาหลักที่จำเป็นต่อการส่งเสริมประเทศไทยให้เติบโตในเศรษฐกิจ AI ซึ่งได้แก่ การต่อยอดการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัล การส่งเสริมการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบและปลอดภัยเพื่อยกระดับการให้บริการของภาครัฐ การวางหลักเกี่ยวกับนโยบายการใช้งานระบบคลาวด์เป็นหลัก (Cloud-First Policies) และการทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงทักษะด้านดิจิทัลได้มากขึ้น
ความร่วมมือในครั้งนี้เป็นการต่อยอดจากการลงทุนของ Google ตลอด 12 ปีที่ดำเนินการในประเทศไทย ในปี พ.ศ. 2565 ผลิตภัณฑ์และโครงการต่างๆ ของ Google สนับสนุนการจ้างงานในประเทศกว่า 250,000 ตำแหน่ง และสร้างผลประโยชน์ทั้งทางตรงและทางอ้อมให้ภาคธุรกิจไทยกว่า 4.3 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ
เศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า “ความร่วมมือกับ Google เป็นก้าวสำคัญเพื่อบรรลุวิสัยทัศน์ของรัฐบาลในการปรับปรุงภาคส่วนต่างๆ ที่มีความสำคัญกับประชาชนชาวไทย ธุรกิจ และนักลงทุน ด้วยการลงทุนผ่านนโยบายการใช้งานระบบคลาวด์เป็นหลัก (Cloud-First Policies) พร้อมกับการสร้างไซเบอร์สเปซที่ปลอดภัย ความเชี่ยวชาญและการลงทุนจาก Google ในด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล รวมถึงการวิจัยทางด้านการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ การพัฒนาทักษะทางดิจิทัล และการรักษาความปลอดภัยของแพลตฟอร์มในระดับโลกจะช่วยให้ประเทศไทยทะยานสู่การเป็นประเทศที่มีเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เพิ่มโอกาสสร้างงานที่มีมูลค่าสูง และยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน”
รูธ โพรัท (Ruth Porat) ประธานและประธานเจ้าหน้าที่บริหารการลงทุน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการเงิน ของ Alphabet และ Google กล่าวว่า “การร่วมมือกับรัฐบาลในครั้งนี้มุ่งที่จะเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลของประเทศไทย และเร่งให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลที่ใช้ระบบคลาวด์เป็นหลักเพื่อตอกย้ำพันธกิจของ Google ประเทศไทย ภายใต้แนวคิด Leave no Thai Behind โดยเรามองเห็นศักยภาพที่ยิ่งใหญ่ของเทคโนโลยีในการเป็นตัวขับเคลื่อนอันทรงพลังให้ธุรกิจและชุมชน ภายใต้ความร่วมมือนี้ เราจะร่วมกันกับรัฐบาลเพื่อพัฒนาการให้บริการภาครัฐแก่ประชาชนและขยายการใช้งานเทคโนโลยี AI ด้วย Google Cloud และที่สำคัญ เราจะช่วยให้คนไทยได้มีส่วนร่วมในเศรษฐกิจดิจิทัลผ่านการเสริมทักษะและการวางโครงสร้างพื้นฐานที่ปลอดภัย เชื่อถือได้ และมีนวัตกรรมเพื่อประชาชนและธุรกิจ ทั้งนี้ เราพร้อมร่วมมือกับพันธมิตรในประเทศไทยเพื่อส่งมอบโอกาสที่สำคัญให้กับประชาชนชาวไทย”
เสาหลักที่ 1: การลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลของประเทศไทย
Google กำลังพิจารณาถึงความเป็นไปได้ในการจัดตั้งศูนย์ข้อมูลใหม่ภายในประเทศเพื่อขับเคลื่อนบริการดิจิทัล
ก่อนหน้านี้ Google Cloud ได้ประกาศแผนก่อตั้ง Cloud Region แห่งแรกในประเทศไทย และด้วยการสนับสนุนของรัฐบาลไทย ในวันนี้ Google Cloud ยืนยันแผนก่อตั้ง Cloud Region ในประเทศไทยที่กรุงเทพฯ เมื่อ Cloud Region ในประเทศไทยเปิดให้บริการ จะทำให้เทคโนโลยีของ Google Cloud ใกล้ชิดกับองค์กรและหน่วยงานต่างๆ ในประเทศยิ่งขึ้น ซึ่งจะช่วยให้บริการด้านดิจิทัลมีความเชื่อถือยิ่งขึ้น รองรับการขยายขอบเขตบริการได้มากขึ้น อีกทั้งยังมีความเร็วสูงขึ้น โดยคาดการณ์ว่าการก่อตั้ง Cloud Region ในประเทศไทยจะช่วยยกระดับผลิตภาพทางเศรษฐกิจ ซึ่งจะมีส่วนช่วยสร้างมูลค่าทางเศรษฐกิจมากกว่า 4.1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐแก่ GDP ของประเทศ และสร้างงาน 50,300 ตำแหน่งในปี พ.ศ. 2573
เสาหลักที่ 2: การเร่งให้เกิดการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบในส่วนภาครัฐ และการสร้างไซเบอร์สเปซที่มั่นคง
รัฐบาล และ Google จะริเริ่มโครงการความร่วมมือเพื่อการพัฒนาและใช้ AI อย่างกล้าหาญและมีความรับผิดชอบ ภายในกระทรวง หน่วยงานภาครัฐ และอุตสาหกรรมที่สำคัญต่างๆ
กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (MDES) และ Google Cloud จะร่วมกันศึกษาแนวทางการใช้งาน Generative AI (Gen AI) และใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยี Google Cloud ในการใช้โซลูชันที่ขยายผลได้เพื่อผลประโยชน์ของภาครัฐ โดยจะให้ความสำคัญกับการให้บริการภาครัฐผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆ เทคโนโลยีด้านการเงิน รวมถึงการพัฒนาภาคสาธารณสุข การศึกษา และการขนส่งมวลชนเป็นอันดับแรก
Google และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ติดตามวาระร่วมกันในเรื่องความก้าวหน้าด้าน AI ที่มีความรับผิดชอบ โดย Google จะให้การสนับสนุนด้านความเชี่ยวชาญทางนโยบายและ Secure AI Framework ของ Google เพื่อช่วยลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับระบบ AI ต่างๆ Google เป็นหนึ่งในบริษัทแรกๆ ที่ให้คำมั่นสัญญาผ่านหลักการปัญญาประดิษฐ์ (AI Principles) และกำหนดขอบเขตการใช้งาน AI ที่ Google จะไม่ดำเนินการตั้งแต่ปี พ.ศ. 2561 โดยหลักการเหล่านี้เป็นสิ่งที่ Google ยึดถือ และคอยกำหนดแนวทางในการพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันขั้นสูงในบริษัท
เพื่อช่วยให้องค์กรภาครัฐ ธุรกิจ และประชาชนชาวไทยตระหนักถึงประโยชน์ของการเปลี่ยนแปลงทางดิจิทัลและปกป้องพวกเขาจากอาชญากรรมไซเบอร์ และกิจกรรมทางไซเบอร์ที่เป็นอันตราย รัฐบาล และ Google Cloud จะดำเนินการแลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับภัยคุกคามทางไซเบอร์ และร่วมกันศึกษาถึงความเป็นไปได้ในการก่อตั้ง National CyberShield Alliance ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลสามารถใช้ระบบอัตโนมัติ การวิเคราะห์ ระบบข่าวกรองภัยคุกคาม และ AI ร่วมกันเพื่อตรวจหา ตรวจสอบ และร่วมกันป้องกันการโจมตีโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญของประเทศด้วยวิธีการที่ซับซ้อน
เสาหลักที่ 3: การวางนโยบายการใช้คลาวด์เป็นหลักในประเทศไทย
Google Cloud จะสนับสนุนการพัฒนานโยบาย Go Cloud-first ของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมสำหรับประเทศไทย โดยจะให้ความช่วยเหลือด้านนโยบายและความเชี่ยวชาญทางเทคโนโลยีเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถส่งมอบโครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัลที่มีความยืดหยุ่น ประหยัดค่าใช้จ่าย และขับเคลื่อนโดยนวัตกรรมให้แก่ประเทศ นโยบายนี้ตอกย้ำความพยายามของรัฐบาลในการให้ความสำคัญกับการใช้บริการคลาวด์ที่ดีที่สุดในการดำเนินการของรัฐบาลมากกว่าโซลูชันที่ใช้ทรัพยากรในสถานที่ตั้งของตนเองซึ่งมีค่าใช้จ่ายสูง โดยยังคงไว้ซึ่งมาตรฐานการรักษาความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวระหว่างประเทศ นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังจะร่วมมือกับ Google Cloud เพื่อระบุประเภทของข้อมูลที่อาจจำเป็นต้องจัดเก็บใน Google Distributed Cloud Hosted ซึ่งเป็นสิ่งแวดล้อมของคลาวด์ที่เป็นส่วนตัวและมีมาตรการทางด้านความมั่นคงปลอดภัยที่ตัดขาดการเชื่อมต่ออย่างสมบูรณ์แบบ (Fully air-gapped)
เสาหลักที่ 4: การทำให้คนไทยสามารถเข้าถึงทักษะด้านดิจิทัลและระบบคลาวด์ได้มากขึ้น
โดยความร่วมมือกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมและสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) Google มอบทุนการศึกษาสำหรับใบรับรองทักษะอาชีพของ Google เพิ่มเติมจำนวน 12,000 ทุน ภายใต้โครงการ Samart Skills ที่ได้เปิดตัวเป็นครั้งแรกในเดือนตุลาคม พ.ศ. 2565 ทำให้มียอดรวมทั้งสิ้น 34,000 ทุน เพื่อช่วยให้คนไทยได้พัฒนาทักษะพร้อมรับใบรับรองทักษะอาชีพโดยไม่มีค่าใช้จ่าย สำหรับงานระดับเริ่มต้นในสาขาที่มีความต้องการสูงอย่าง เช่น การรักษาความปลอดภัยไซเบอร์ การวิเคราะห์ข้อมูล การสนับสนุนด้านไอที และอีคอมเมิร์ซและการตลาดดิจิทัล
Google Cloud ยังมอบหลักสูตร Introduction to Generative AI Path ให้แก่บุคคลทั่วไปโดยไม่มีค่าใช้จ่าย ผ่านโครงการ Google Cloud Skills Program ซึ่งประกอบด้วยหลักสูตรออนไลน์ที่ทำให้ผู้เรียนเข้าใจความแตกต่างระหว่าง Gen AI กับ AI ประเภทอื่น และการใช้ AI อย่างมีความรับผิดชอบ ผู้เรียนที่สำเร็จหลักสูตรการเรียนรู้นี้จะได้รับป้ายรับรองแบบดิจิทัลซึ่งสามารถแสดงไว้ในเรซูเม่ของตนเองเพื่อแสดงถึงความเข้าใจขั้นพื้นฐานของ Gen AI
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
เปิดกลยุทธ์ขับเคลื่อนธุรกิจ “แกรนด์โฮม” พร้อมมอบสินค้านวัตกรรมทันสมัยและบริการคุณภาพกับลูกค้าทุกกลุ่ม
เปิดบ้านเผยแนวคิดและกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจ มุ่งขับเคลื่อนองค์กรด้วย “แกรนด์โฮม” พร้อมมอบสินค้านวัตกรรมทันสมัย และบริการที่มีคุณภาพสู่ผู้ใช้บริการ แบบครบ จบ ในที่เดียว ตอบสนองความต้องการของลูกค้าทุกกลุ่ม นับตั้งแต่เจ้าของโครงการ ผู้รับเหมาโครงการ สถาปนิก ดีไซเนอร์ และเจ้าของบ้าน มุ่งให้ความสำคัญกับการดูแลลูกค้าเดิม ควบคู่ไปกับการขยายฐานลูกค้าใหม่กลุ่มลักชัวรี (Luxury) เพิ่มมากขึ้น ตอกย้ำความเป็นผู้นำเรื่องกระเบื้องและวัสดุตกแต่งบ้านมายาวนาน 43 ปี
นายพีระพัฒน์ ทยานุวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการสายงานบริหารและค้าปลีก บริษัท แกรนด์โฮมมาร์ท จำกัด เปิดเผยว่า แกรนด์โฮม พร้อมมุ่งมั่นดำเนินธุรกิจภายใต้วิสัยทัศน์ในการมอบสินค้าและบริการคุณภาพที่ดีให้กับผู้ใช้บริการ ผ่านการทำตลาดผลิตภัณฑ์กระเบื้อง สุขภัณฑ์ วัสดุตกแต่งบ้าน แบรนด์ดังทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ ควบคู่ไปกับการบริการที่ตรงใจลูกค้าออกมาอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้การก่อสร้างและการใช้ชีวิตของลูกค้ามีคุณค่าสูงสุด โดยปัจจุบันแกรนด์โฮมได้แบ่งธุรกิจออกเป็น 3 กลุ่ม คือ ธุรกิจขายโครงการ (Project) นับตั้งแต่เจ้าของโครงการ ผู้รับเหมาโครงการ สถาปนิก ดีไซเนอร์, ธุรกิจขายปลีก (Retail) และกลุ่มสุดท้ายธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce)
สำหรับกลยุทธ์ในการดำเนินธุรกิจหลังจากนี้ บริษัท ฯ ยังคงรักษามาตรฐานและให้ความสำคัญกับกลุ่มลูกค้าเดิมที่มีอยู่ ผ่านการจัดกิจกรรมทางการตลาดเพื่อสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มลูกค้าธุรกิจขายโครงการอย่างต่อเนื่อง ทั้งในส่วนของกลุ่มลูกค้าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์ (Retail & Commercial Building) กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ (Hospitality) ควบคู่ไปกับการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ไปในกลุ่มลักชัวรี (Luxury) เพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันในส่วนของกลุ่มลูกค้าธุรกิจขายปลีกจะมีการวางแผนปรับโฉมโชว์รูมเดิมที่มีอยู่จำนวน 4 แห่ง เพื่อรองรับลูกค้าที่จะเข้ามาใช้บริการภายใต้การบริการที่มีคุณภาพและมีจุดเด่น ครบ จบ ในที่เดียว
จากกลยุทธ์ดังกล่าว จะส่งผลให้แกรนด์โฮมมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจขายโครงการ (Project) อยู่ที่ 79% ธุรกิจขายปลีก (Retail) อยู่ที่ 20% และธุรกิจอีคอมเมิร์ซ (e-Commerce) อยู่ที่ 1% โดยสัดส่วนรายได้ของแกรนด์โฮม มาจากผลิตภัณฑ์ในกลุ่มหลักคือ Tile & Bath มีสัดส่วนการขายที่ 80% ส่วนอีก 20% เป็นรายได้จากสินค้าในกลุ่มอื่นๆ ได้แก่ กลุ่ม Kitchen, กลุ่ม Home Appliance และกลุ่มสินค้า DIY และคาดว่าในปี 2566 นี้ จะสามารถสร้างรายได้เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยคาดว่าจะมียอดขายประมาณ 4,050 ล้านบาท เติบโตจากปีที่ผ่านมา 8%
“ทิศทางการดำเนินธุรกิจและการบุกตลาดของแกรนด์โฮมในปีหน้า ยังเน้นการคัดสรรผลิตภัณฑ์คุณภาพด้วยนวัตกรรมที่โดดเด่นตอบโจทย์ทุกการใช้งาน และเป็นผลิตภัณฑ์ ESG (Environment, Social, และ Governance) ซึ่งเป็นเทรนด์ของผลิตภัณฑ์ที่สำคัญและสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาที่ยั่งยืนของโลก มาพร้อมบริการที่เป็นเลิศมอบให้กับลูกค้า ควบคู่ไปกับเครือข่ายพันธมิตรที่เข้มแข็ง ตอกย้ำความเป็นผู้นำเรื่องกระเบื้องและวัสดุตกแต่งบ้านที่อยู่มายาวนาน” นายพีระพัฒน์กล่าว
นอกจากนี้ แกรนด์โฮมยังจะนำเทคโนโลยีระบบดิจิทัลมาใช้ทั้งภายในและภายนอกองค์กรโดยเฉพาะนำมาบริหารลูกค้าทั้ง B2B และ B2C รวมถึงนำมาบริหารข้อมูลลูกค้า สร้างดีลส่วนลดและสิทธิพิเศษมากมาย แกรนด์โฮมจึงสร้าง Grand Home Application พร้อมปรับโฉมเว็บไซต์ https://www.grandhomemart.com สร้าง Virtual Showroom ที่ออกแบบมาเพื่อให้ความสะดวกสบายตอบโจทย์การใช้ชีวิตของลูกค้าทั้งสองกลุ่มอย่างครบครัน ใช้งานง่ายสะดวก
ด้านนายพีระพล ทยานุวัฒน์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ สายงานขายโครงการและผลิตภัณฑ์ต่างประเทศ บริษัท แกรนด์โฮมมาร์ท จำกัด กล่าวว่า สำหรับการนำผลิตภัณฑ์ไปทำตลาดกับกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ผ่านมานั้นนับว่าได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้าโครงการและกลุ่มลูกค้าเจ้าของบ้าน ซึ่งแนวทางการพัฒนาสินค้าและบริการของแกรนด์โฮม ในอนาคตเราให้ความสำคัญกับการคัดสรรผลิตภัณฑ์จากทุกมุมโลก โดยมุ่งเน้นที่เทรนด์ (Trend) นวัตกรรม (Innovation) และการบริการ (Services) โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ไฮไลต์อยู่ 3 กลุ่มได้แก่
- กลุ่ม Tiles’ Story แหล่งรวมกระเบื้องชั้นนำจากทุกมุมโลก อาทิ Marazzi แบรนด์อิตาลีที่มีชื่อเสียงได้รับการยอมรับระดับโลก นอกจากนี้แกรนด์โฮมยังได้คัดสรรสินค้ากระเบื้องจากทุกมุมโลก โดยเฉพาะในงาน Cersaie และ Canton แหล่งชี้นำเทรนด์และนวัตกรรมระดับโลก ซึ่งเทรนด์ในปีนี้จะเน้นที่การเลียนแบบลายหินหายากและเสมือนจริงในกลุ่ม Sintered Stone Full Body เพื่อนำมาตอบโจทย์งานสถาปัตยกรรม ตกแต่งภายใน และเฟอร์นิเจอร์
- กลุ่ม Baths’ Story แหล่งรวมสุขภัณฑ์ชั้นนำจากแบรนด์ดังที่ตอบโจทย์ความหลากหลายของลูกค้าทั้งในเรื่องดีไซน์และราคา นอกจากนี้ทางแกรนด์โฮมยังมี House Brand ชื่อ Victor นำมาช่วยเติมเต็มตลาดอีกด้วย ซึ่งเทรนด์สุขภัณฑ์ทุกวันนี้เน้นในเรื่องของ Smart Bathroom เป็นการนำเทคโนโลยีมาตอบสนองไลฟ์สไตล์ผู้ใช้ สามารถปรับแต่งตามความต้องการของลูกค้าได้ (Customization) และที่สำคัญที่สุดคือมาพร้อมกับการติดตั้งและการบริการหลังการขาย
- กลุ่ม Kitchens’ Story ภายใต้ 2 แบรนด์ ได้แก่ Le Krua ครัวปูน และ The Common โดยจุดเด่นของ The Common คือ เป็นแบบ Modular ลูกค้าสามารถ Customise สร้างสรรค์สไตล์ได้ พร้อมกับ Fitting คุณภาพสูง โดยรวมทำให้เห็นว่าเป็นครัวที่สร้างมาจาก Pain Point ของลูกค้าอย่างแท้จริง และสิ่งที่สร้างความมั่นใจสูงสุดกับทางลูกค้าคือเราควบคุมการผลิตทั้งหมดในรูปแบบ One Stop Service ด้วยทีม Grand Renovation ของเรา
“นอกจากนี้แกรนด์โฮมยังมุ่งเน้นการบริการที่ตอบโจทย์ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น Quick Solution และ Grand Renovation เพื่อให้บริการทั้งงานก่อสร้าง ต่อเติม จนถึงงานซ่อมแซมอีกด้วย” นายพีระพลกล่าว
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
สวนสยามเข้าฟรี! วันนี้ – 19 พฤศจิกายน 2566
สวนสยามจัดโปรฉลองครบรอบ 43 ปี ฟรีค่าผ่านประตู ตั้งแต่วันที่ 13 – 19 พฤศจิกายน 2566 นี้ สามารถไปใช้บริการกันได้ทุกวัน
แต่โปรโมชันนี้จะไม่ได้รวมค่าสวนน้ำ และค่าเครื่องเล่นที่ต้องจ่ายเพิ่ม แต่ก็ยังคงมีโปรดีๆ มาให้ได้ใช้บริการกันอยู่ ได้แก่
บัตรรวมสวนน้ำและสวนสนุกไม่จำกัดรอบ เหลือ 300 จากราคาปกติ 1,000 บาท
บัตรสวนน้ำ เหลือ 200 บาท จากราคาปกติ 500 บาท
สามารถเลือกใช้บริการโปรนี้ได้ตั้งแต่วันที่ 13 – 19 พฤศจิกายน 2566 เลย ที่เว็บไซต์ ticket.siamamazingpark
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 16/11/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,000.00 | 33,100.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,138.00 | 32,412.08 | 33,600.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,924.20 | 29,170.87 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,710.40 | 25,929.66 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 962.00 | 14,583.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 748.00 | 11,339.68 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,216.00 | 33,594.56 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/11/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 37.05 | 37.05 | 37.55 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 | 37.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.28 | 35.28 | 35.78 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 | 35.28 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 34.94 | 34.94 | 35.44 | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 35.09 | 35.09 | – | – | – | – | – | – | – | 35.09 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 44.84 | 48.34 | 48.24 | 48.34 | – | – | – | – | – | 44.84 |
เบนซิน 95 | 44.84 | – | – | – | 46.01 | – | 45.34 | 44.99 | – | 44.84 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.44 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 44.94 | 43.64 | 42.94 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |