สาระน่ารู้ประจำวันที่ 16 มิถุนายน 2568

อควารัส จอมเทียน พัทยา เพนท์เฮาส์หรู Rare Item วิวทะเล 270 องศา

“อควารัส จอมเทียน พัทยา” เปิดตัวเพนท์เฮาส์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ 3 ยูนิต วิวทะเลพาโนรามา ครบครันบริการระดับ World Class ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์หรูเหนือระดับ

ในตลาดอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรีริมทะเลพัทยา โครงการ “อควารัส จอมเทียน พัทยา” ของ แอสเซทไวส์ จำกัด (มหาชน) กลายเป็นอีกหนึ่ง Rare Item ที่น่าจับตามอง ด้วยการนำเสนอที่พักอาศัยแบบ Staycation Residence ที่ผสมผสานความงามของธรรมชาติกับฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ยุคใหม่อย่างครบครัน

ตั้งอยู่บนทำเลใกล้ชายหาดจอมเทียนเพียง 500 เมตร บนที่ดิน 5 ไร่กว่า โครงการนี้ประกอบด้วยอาคารสูง 44 และ 47 ชั้น รวม 606 ยูนิต ที่ออกแบบภายใต้คอนเซ็ปต์ “The Impression of Blue” ถ่ายทอดแรงบันดาลใจจากสีสันของผืนน้ำและท้องทะเลสู่การตกแต่งภายในที่ให้ความรู้สึกสงบและผ่อนคลาย

จุดเด่นสำคัญของโครงการคือเพนท์เฮาส์สุดเอ็กซ์คลูซีฟ จำนวนจำกัดเพียง 3 ยูนิต บนชั้นสูงสุดที่มอบวิวทะเลแบบพาโนรามา 270 องศา ทั้งฝั่งหาดนาจอมเทียนและจอมเทียน ขนาดพื้นที่ใช้สอย 315.90 ตร.ม. เพดานสูงโปร่ง 3.2 เมตร พร้อมผนังกระจกเต็มบานเปิดรับแสงธรรมชาติเต็มที่ การออกแบบครบครันด้วยเฟอร์นิเจอร์ระดับโมเดิร์นลักชัวรี ฟังก์ชันใช้งานครบถ้วนเสมือนโรงแรมระดับโลก

เพนท์เฮาส์แบ่งสัดส่วนพื้นที่อยู่อาศัยอย่างลงตัว มี Master Bedroom พร้อมเตียงคิงไซส์ เดย์เบด และมินิบาร์ส่วนตัว รวมถึง Master Bathroom ที่แยกโซนฝักบัวและอ่างอาบน้ำ มี Walk-in Closet สำหรับจัดเก็บเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว ห้องนอนอีก 2 ห้องทุกห้องรับวิวทะเล พร้อมห้องน้ำส่วนตัว

พื้นที่พักผ่อนและสันทนาการได้รับการจัดวางอย่างรอบคอบ ตั้งแต่โซนครัวแพนทรี โต๊ะอาหารยาวสำหรับงานสังสรรค์ Living Area สำหรับช่วงเวลาครอบครัว Wine Cellar ห้องเก็บไวน์ชั้นเลิศ รวมถึงอ่าง Jacuzzi ส่วนตัวติดผนังกระจกชมวิวทะเลแบบไร้ขอบ

โครงการยังโดดเด่นด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกครบวงจรบนพื้นที่กว่า 5,500 ตร.ม. ครอบคลุมทั้งสวน Aromatic Garden, Tea Lounge, Library Lounge และ Aqua Park ที่มีสระว่ายน้ำ 3 รูปแบบ พร้อมพื้นที่สำหรับเด็กและครอบครัว เช่น Kid Club, Playground, Family Lounge รวมถึงห้องฟิตเนสและสระว่ายน้ำชั้นบนแบบไร้ขอบที่สามารถชมวิวทะเลได้แบบเต็มตา

นอกจากนี้บริการ Concierge Service ยกระดับความสะดวกสบายด้วยบริการซักรีด ดูแลห้องพัก ตลอดจนบริการด้านสุขภาพ Medical & Wellness และบริการไลฟ์สไตล์ เช่น Private Chef, Bartender, Trainer และบริการจัดการส่วนตัวแบบครบวงจร

ความโดดเด่นด้านสถาปัตยกรรมของโครงการได้รับการรับรองด้วยรางวัล Best Condo Architectural Design (Eastern Seaboard) จาก PropertyGuru Thailand Property Awards 2024 ซึ่งสะท้อนภาพลักษณ์ความงดงามและฟังก์ชันใช้งานที่ลงตัว

 ปัจจุบัน โครงการได้รับการอนุมัติ EIA และอยู่ระหว่างการก่อสร้าง คาดว่าโครงการจะแล้วเสร็จและพร้อมเปิดให้ชมในไตรมาส 4 ปี 2570 ซึ่งถือเป็นโอกาสพิเศษสำหรับนักลงทุนและผู้ที่แสวงหาที่อยู่อาศัยหรูในทำเลติดทะเลพัทยาที่ครบเครื่องทั้งความงามและบริการเหนือระดับ

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


สภาผู้บริโภคพบ 11 โครงการอาคารสูง กทม. เข้าข่ายผิดก.ม. ไม่ตรงปก

สภาผู้บริโภคพบ 11 โครงการอาคารสูง ก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎหมาย ถนนกว้างไม่ถึง 6 เมตร ซอยพื้นที่ก่อสร้างตึก ทำผู้อาศัย-ชุมชนโดยรอบเสี่ยงไม่ปลอดภัย ค้านแก้กฎเอื้อเอกชน

สภาผู้บริโภคเปิดผลสำรวจอาคารก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎหมายในกรุงเทพมหานคร(กทม.) หลังจากได้รับเรื่องร้องเรียนจาก 11 ชุมชน พบอาคารที่ก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎกระทรวงฉบับที่ 33 โดยมีเครือข่ายผู้บริโภค หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าร่วมรับฟัง 

นายพรพรหม โอกุชิ ผู้ช่วยเลขานุการคณะอนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัย สภาของผู้บริโภค กล่าวว่า สภาผู้บริโภคตรวจสอบกรณีมีชาวบ้านมาร้องเรียน ว่า มีอาคารที่ก่อสร้างเข้าข่ายผิดกฎหมายจำนวนหลายอาคาร อาคารบางส่วนในแบบโฆษณาไม่ตรงกับแบบก่อสร้างที่ยื่นขออนุญาต หรือแบบ EIA ไม่มีถนนในระยะห่าง 6 เมตร รอบอาคาร  

เช่น บางพื้นที่นำเอาพื้นที่รอบอาคารเป็น ที่ชาร์จไฟ รถ EV, หรือปลูกต้นไม้ ทำบ่อน้ำ, พื้นที่ออกกำลังกาย สนามแบดมินตัน สนามเทนนิส ตั้งโต๊ะร้านกาแฟ ซึ่งล้วนแต่ผิดกฎหมาย และไม่ปลอดภัย เนื่องจากทำให้รถดับเพลิงเข้าออกพื้นที่รอบอาคารไม่ได้ 

หลังจากมีบทเรียนการเกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหว เมื่อวันที่ 28 มีนาคมที่ผ่านมา จะเห็นว่า หากมีการก่อสร้างถูกตามกฎหมายก็จะสามารถช่วยลดความเสี่ยงของผู้พักอยู่อาศัย ที่จะได้รับอันตรายเมื่อเกิดอัคคีภัยหรือภัยพิบัติต่างๆ ขึ้น 

“นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการเลี่ยงกฎหมายของผู้ประกอบการ ที่กำหนดพื้นที่ของอาคาร 10,000 ตารางเมตร ถึง 30,000 ตารางเมตร จะต้องมีขนาดความกว้างของถนนโดยรอบอาคาร 6-10 เมตร ผู้ประกอบการจะใช้วิธีการ ซอยตึก ออกเป็น 3 หรือ 5 ตึก สร้างอยู่ในพื้นที่เดียวกัน ซึ่งจะทำให้สามารถสร้างได้ ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 55 ไม่ต้องถูกบังคับ เรื่อง ถนนกว้าง 6-10 เมตร ตามกฎกระทรวงฉบับที่ 33 สภาผู้บริโภคจึงได้ยื่นหนังสือต่อ กทม. ให้ตรวจสอบอาคารที่ก่อสร้างผิดกฏหมายแล้ว” 

ด้าน นายสินิทธิ์ บุญสิทธิ์ ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายควบคุมอาคารกรมโยธาธิการ  กล่าวว่า ปัญหาของการสร้างอาคาร ตามกฏหมายควบคุมอาคาร 2522 กำหนดว่า ต้องมีผิวการจราจรกว้างไม่น้อยกว่า 6.00 เมตร ที่พบผู้ประกอบการมักจะดัดแปลงส่วนนี้ เพื่อความสวยงามของอาคารเป็นประโยชน์ต่อการขาย เช่น ทำเป็นสวน  สระน้ำ แต่ในข้อเท็จจริงต้องเป็นผิวจราจรล้วนๆ ปราศจากสิ่งปกคลุมจะมีแม้แต่กระถางต้นไม้  หรือ มาทำเป็นที่จอดรถก็ไม่ได้ 

สิ่งที่ผู้ประกอบการควรทำ คือ ต้องตรงไปตรงมา ซึ่งในกฎหมายควบคุมอาคารเขียนไว้ค่อนข้างผูกพัน ทั้ง ผู้ประกอบการ ผู้ประกอบวิชาชีพ สถาปนิก วิศวกร ว่า ถ้า กทม.อนุญาตแล้วต้องมีการก่อสร้างให้เป็นไปตามแบบ สร้างผิดแบบเมื่อไหร่ถือว่าเป็นความรับผิดชอบผู้ประกอบการและผู้ควบคุมงาน 

ทั้งนี้ ตนเป็นหนึ่งในคณะกรรมการจรรยาบรรณสภาวิศวกร ปัญหาที่เจอบ่อย คือ แบบรับอนุญาต แบบคู่สัญญา และแบบก่อสร้าง ไม่ตรงกัน  และส่วนใหญ่จะรู้ว่าแบบไม่ตรงกันก็เมื่อมีการฟ้องร้อง

“ปัญหาที่เราพบบ่อยมากคือ การออกแบบ 3 แบบไม่ตรงกัน คือแบบที่ขออนุญาตไม่ตรงกับแบบก่อสร้าง ซึ่งเจ้าหน้าที่จะพบปัญหานี้หลังจากที่ชาวบ้านร้องเรียนขึ้นมา และไปตรวจสอบเป็นคดีฟ้องร้องเราจึงพบปัญหา” 

นายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี ประธานคณะที่ปรึกษาของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม กล่าวว่า ในส่วนของกระทรวงอุตสาหกรรม พยายามดูแลในเรื่องวัสดุก่อสร้างว่าต้องให้ได้มาตรฐาน กรณีตึก สตง. ถล่ม กระทรวงอุตสาหกรรมมีการส่งหนังสือไปถึง สตง. ตั้งแต่ เม.ย. ขอทราบว่า เหล็กที่ใช้กับตึกที่ถล่มนั้น เป็นเหล็กล็อตไหน ผลิตปีใด แต่ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ  

“ที่ต้องพูดเรื่องนี้ เพราะถ้าได้ข้อมูลเร็วก็จะได้ส่งต่อให้กับวิศวกรที่ควบคุมโครงการก่อสร้างตึกขนาดใหญ่ ไปตรวจสอบว่าตึกที่ตนเองควบคุมอยู่นั้นใช้เหล็กล็อต และปีผลิตดังกล่าวก่อสร้างหรือไม่ หากมีก็จะได้มีการเสริมแรงเข้าไปเพื่อให้เกิดความปลอดภัย”

ส่วนในเรื่องปัญหาการก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่ผิดกฎหมายส่วนตัวมีข้อเสนอ 3 เรื่อง 

ข้อ 1.ผู้ทำอีไอเอ ไม่ควรได้รับค่าจ้างตรงจากผู้ประกอบการ แต่ควรรับเงินจากคณะกรรมการอีไอเอแล้วให้คณะกรรมการอีไอเอไปเก็บในรูปแบบของค่าธรรมเนียม 

ข้อ 2.กฎกระทรวงฉบับที่ 33 ฉบับที่มีปัญหา และกรมโยธากำลังมีการยกร่างแก้ไขใหม่ เรื่องของเขต ที่เขาจะนับรวมหมดเลยทั้งกระถางต้นไม้ คูน้ำ ที่สำคัญมีการเพิ่มประโยคคำว่า “อื่นๆ” ซึ่งถ้ายอมให้มีการกำหนดในลักษณะนี้ จะยิ่งง่ายต่อการให้มีการก่อสร้างตึกสูง ทางสภาผู้บริโภคควรจะมีการรวมประเด็นเหล่านี้และย้ำไปทางกรมโยธาธิการ ว่าประเด็นเหล่านี้ยอมไม่ได้ 

และข้อ 3. ต้องเรียกร้องให้มีการเปิดเผยข้อมูล ถ้าเป็นอาคารสาธารณะควรให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการเช็คตึกนั้นๆ ด้วย

นายสุรัช ติระกุล รองผู้อำนวยการสำนักงานโยธา กรุงเทพมหานคร กล่าวว่า อาคารสูงที่เข้าข่ายผิดกฎหมายที่สภาผู้บริโภคได้แจ้งข้อมูลมา หาก กทม. เข้าตรวจสอบและพบว่าไม่ผิดเยอะเช่นตั้งกระถางต้นไม้กีดขวาง  ก็จะแจ้งทางวาจาให้เจ้าของอาคารปรับปรุงซึ่งส่วนใหญ่จะได้รับความร่วมมือ 

ขณะนี้มีอยู่ 3-4 อาคาร ที่มีการประสานไปทางวาจา เมื่อ 2 สัปดาห์ที่แล้ว ยังไม่ยอมให้เข้าตรวจ หรือแก้ไข อ้างว่าต้องการให้แจ้งเป็นลายลักษณ์อักษร แต่ถ้าอาคารไหนมีลักษณะผิดเยอะ ก็จะแจ้งให้ทางสำนักงานเขตดำเนินคดี  

ส่วนที่ผู้บริโภคมองว่าอาคารไม่เป็นไปตามที่บริษัทได้โฆษณาขายหรือเรียกว่า “ไม่ตรงปก” นายสุรัช กล่าวว่า  อย่างที่ระบุกันก่อนหน้านี้ว่าแบบของอาคาร จะมี 3 แบบ คือ แบบโฆษณา  แบบรับอนุญาต และแบบก่อสร้าง ซึ่งแม้ตามกฎหมายจะให้ กทม. เข้าไปตรวจสอบได้ 3 ช่วงเวลาคือก่ อนก่อสร้าง ขณะก่อสร้าง และ ก่อสร้างแล้วเสร็จ 

แต่ปัญหา คือ เมื่อเจ้าของโครงการก่อสร้างไประยะหนึ่ง ก็จะมีการแก้ไขแบบ กว่าเจ้าหน้าที่ กทม.จะไปพบ ก็เมื่อสร้างเสร็จแล้ว ซึ่งบางครั้งก็ไม่ได้ถือว่ามีการกระทำผิด เพราะมีการขออนุญาตแก้ไขแบบ และมีการสร้างตามแบบที่ขอแก้ไข

ส่วน นายก้องศักดิ์ สหะศักดิ์มนตรี อนุกรรมการด้านอสังหาริมทรัพย์และที่อยู่อาศัยสภาผู้บริโภค กล่าวว่า เรายื่นไปให้ทางสำนักโยธาของกรุงเทพมหานคร ถึงผู้ว่า ฯกทม. วันนี้มีร่วม 50 อาคารของทุกค่ายอสังหาริมทรัพย์ ซึ่งความผิดไม่ใช่แค่ให้โยธาตรวจสอบแล้วมีการแก้ไขให้ถูกต้องตามแบบที่ขออนุญาตไว้ แต่มีคนผิดตั้งแต่ต้น ออกแบบพรีวิวกับแบบสุดท้ายตรงกัน แต่แบบขออนุญาตเขียนอีกแบบ นี่คือ การจงใจยื่นเอกสารเท็จต่อทางราชการ 

ดังนั้น ที่ตึก สตง.ถล่ม และเราหันมาให้ความสนใจเรื่องการแก้ไขระบบมาตรฐานการก่อสร้าง โดย สส. มีการตั้งกรรมาธิการขึ้นมา ถือเป็นนิมิตหมายที่ดี เพราะวันนี้เรายังมีคนเข้าอาคารไม่ได้เป็น 10 อาคาร และแผ่นดินไหวโดนกระทำมาทางใต้ดิน แต่กลับไม่มีใครพูดเรื่องโครงสร้างใต้ดิน แล้วแก้ปัญหากันแบบไปฉาบไปทาบนผนังที่ร้าวกัน จริงๆ มันเป็นเรื่องอันตราย”

สำหรับปัญหาดังกล่าว นายก้องศักดิ์ มองว่า การก่อสร้างอาคารที่ผิดกฎหมายในแต่ละขั้นตอน มีตัวละครเกี่ยวข้องหลายตัว เช่น แบบก่อสร้าง สถาปนิกผู้ออกแบบและเจ้าของโครงการต้องรับรู้และพึงพอใจในแบบถึงจะออกมาเป็นแบบ 

“เมื่อมันผิดเพี้ยนตั้งแต่การออกแบบ จนอาคารออกมาไม่ตรงปก จะเห็นว่า มีคนผิดตั้งแต่ต้น ออกแบบพรีวิวกับแบบสุดท้ายไม่ตรงกัน ทั้งที่แบบขออนุญาตเขียนอีกแบบ นี่คือ การจงใจยื่นเอกสารเท็จต่อทางราชการ ซึ่งเป็นเรื่องอันตราย เพราะกฏหมายได้ระบุไว้ละเอียด เพื่อความปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน”

นายก้องศักดิ์ ย้ำว่า ที่ยกเรื่องถนน 6 เมตรขึ้นมา เพื่อต้องการให้บริการนำไปสู่การแก้ไขปัญหาจริงจังเสียที ซึ่งจะมีการทำหนังสือถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะ การแก้ไขกฎหมาย อยากวิงวอนว่าให้ประชาชนเข้าไปมีส่วนร่วมในการแก้ไขกฎหมายควบคุมอาคาร กฎหมายผังเมือง เพราะเรื่องเหล่านี้มีผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง

และการแก้ไขกฎหมายใดๆ ที่กรมโยธาทำอยู่ขณะนี้ เราคัดค้านไปแล้วว่า เป็นการแก้ไขไปสู่การให้ผู้ประกอบการมีความสะดวกในการขออนุญาตก่อสร้างอาคารสูงขนาดพิเศษในเขตชุมชนได้มากขึ้น

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16มิ.ย.“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”ที่ระดับ 32.50 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่า จากแรงหนุนของราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบปรับขึ้น ท่ามกลางความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน และมีโอกาสที่เงินบาทอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 16มิ.ย.2568ที่ระดับ  32.50 บาทต่อดอลลาร์“อ่อนค่าลงเล็กน้อย แทบไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ณ ระดับ  32.46 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่านับตั้งแต่ช่วงคืนวันศุกร์ที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวในกรอบ Sideways (แกว่งตัวในกรอบ 32.37-32.51 บาทต่อดอลลาร์)

โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้าง ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ที่พอได้แรงหนุนจากความต้องการถือครองเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) บ้าง ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

นอกจากนี้ สถานการณ์ความขัดแย้งดังกล่าว แม้ว่าจะช่วยหนุนให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น แต่ก็ช่วยหนุนให้ราคาน้ำมันดิบปรับตัวสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ทำให้โดยรวมเงินบาทก็เผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง จากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาน้ำมันดิบ

ขณะที่การปรับตัวขึ้นของราคาทองคำยังพอช่วยลดทอนแรงกดดันดังกล่าวได้บ้าง จนกว่าความสัมพันธ์ระหว่างราคาทองคำกับเงินบาทจะเปลี่ยนแปลงไป หากผู้เล่นในตลาดเริ่มไล่ราคาซื้อทองคำ หรือเป็นแรงซื้อลักษณะ Fear of Missing Out (FOMO)

สัปดาห์ที่ผ่านมา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และดัชนีราคาผู้ผลิต PPI ของสหรัฐฯ ที่ออกมาต่ำกว่าคาด ส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดกลับมาเชื่อว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และกดดันให้เงินดอลลาร์อ่อนค่าลง

สำหรับในสัปดาห์นี้ เรามองว่า ควรรอลุ้น ผลการประชุม FOMC ของเฟด (จับตา Dot Plot ใหม่) พร้อมติดตาม สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ ผลการประชุม FOMC ของเฟด เดือนมิถุนายน ที่จะรับรู้ในช่วงราว 01.00 น. เช้าวันที่ 19 มิถุนายน นี้ ตามเวลาประเทศไทย โดยเรามองว่า FOMC จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25-4.50% ตามเดิม

จนกว่าจะมั่นใจในแนวโน้มเงินเฟ้อ ท่ามกลางความไม่แน่นอนของทั้งนโยบายการค้าของสหรัฐฯ และความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ อย่าง ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

ทั้งนี้ เราขอแนะนำว่า ควรจับตาการปรับคาดการณ์เศรษฐกิจ และอัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) อย่างใกล้ชิด เนื่องจากล่าสุด บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างมองว่า FOMC อาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้ง ในปีนี้ และอีกราว 2-3 ครั้ง ในปีหน้า ซึ่งดูใกล้เคียงกับ Dot Plot เดือนมีนาคม ทำให้ หาก Dot Plot ใหม่ มีการเปลี่ยนแปลง

เช่น บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดส่วนใหญ่มองว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้ง ก็อาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้พอสมควร นอกเหนือจากประเด็นในข้างต้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามพัฒนาการของการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับบรรดาประเทศคู่ค้า และปัจจัยเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์

อย่าง การโจมตีระหว่างอิสราเอลกับอิหร่านที่จะยิ่งทวีความร้อนแรงของปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อตลาดการเงินได้อย่างมีนัยสำคัญในระยะสั้น โดยเฉพาะราคาน้ำมันดิบ

ในส่วนของรายงานข้อมูลเศรษฐกิจนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานยอดค้าปลีก (Retail Sales) เดือนพฤษภาคม และดัชนีภาคการผลิตโดยเฟด สาขานิวยอร์ก (Empire Manufacturing Index)

 ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเรามองว่า BOE อาจเลือกที่จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.25% ก่อนที่จะกลับมาเดินหน้าลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนกันยายน (ผู้เล่นในตลาดให้โอกาส 82% ที่ BOE จะกลับมาลดดอกเบี้ยในการประชุมเดือนสิงหาคม)

ซึ่งมุมมองของเราและบรรดาผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยของ BOE อาจปรับเปลี่ยนไปได้ ตามรายงาข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ อย่าง อัตราเงินเฟ้อ CPI และยอดค้าปลีก ในเดือนพฤษภาคม

นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินของ ECB โดยล่าสุด ผู้เล่นในตลาดต่างคาดว่า ECB มีโอกาสราว 96% ที่จะเดินหน้าลดดอกเบี้ย 1 ครั้ง ในปีนี้

▪  ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือนของจีน เพื่อประเมินผลกระทบจากนโยบายการค้าของสหรัฐฯ อาทิ ยอดค้าปลีกและยอดผลผลิตอุตสาหกรรม ในเดือนพฤษภาคม

ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้น ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยเราประเมินว่า BOJ อาจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 0.50% จนกว่าความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของสหรัฐฯ จะลดลง เพื่อให้ BOJ สามารถประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อได้ชัดเจนขึ้น

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตาม รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของญี่ปุ่น และยอดการค้า (Exports & Imports) ในเดือนพฤษภาคม เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและนโยบายการเงินของ BOJ

นอกเหนือจากผลการประชุม BOJ ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามผลการประชุมของธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) และธนาคารกลางไต้หวัน (CBC) ซึ่งบรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า BI และ CBC อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.50% และ 2.00% ตามลำดับ ขณะที่ ธนาคารกลางฟิลิปปินส์ (BSP) อาจลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 5.25%

▪ ฝั่งไทย – เราประเมินว่า ยอดการส่งออกของไทยในเดือนพฤษภาคม อาจยังสามารถขยายตัวได้ดี ตามอานิสงส์ของการเร่งนำเข้าสินค้าจากบรรดาประเทศคู่ค้า ซึ่งอาจดำเนินไปจนเข้าใกล้ช่วงครบกำหนดการชะลอเรียกเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯ ในช่วงต้นเดือนกรกฎาคม ทั้งนี้ ยอดการนำเข้าก็อาจยังขยายตัวได้ในอัตราที่สูงอยู่ ทำให้โดยรวมดุลการค้าของไทยอาจยังคงขาดดุลต่อเนื่องจากเดือนก่อนหน้าที่ขาดดุลราว -3.3 พันล้านดอลลาร์

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เรามองว่า แม้โมเมนตัมการแข็งค่าขึ้นของเงินบาทนั้นจะยังมีกำลังอยู่ หลังเงินดอลลาร์อ่อนค่าลง ขณะเดียวกัน เงินบาทก็ได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของราคาทองคำ ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น

ทว่า เราประเมินว่า การแข็งค่าขึ้นของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัด และมีโอกาสที่เงินบาทเสี่ยงพลิกกลับมาอ่อนค่าลงอย่างค่อยเป็นค่อยไปได้ แบบ Sideways Up โดยหากเฟดปรับคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) ใหม่ ที่สะท้อนว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้น้อยลงจากที่เคยประเมินไว้ ก็อาจหนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์

ขณะเดียวกัน สถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง หากลุมลาม บานปลายมากขึ้น อาจต้องจับตาผลกระทบต่อตลาดน้ำมัน เนื่องจากประเทศไทยเป็นประเทศนำเข้าพลังงานสุทธิ ทำให้การปรับตัวขึ้นของราคาพลังงานโลกอาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงได้

นอกจากนี้ เราย้ำมุมมองเดิมว่า ราคาทองคำยังคงเป็นสินทรัพย์ที่เคลื่อนไหวสอดคล้องกับเงินบาทมาก ทำให้ต้องจับตาว่า ความสัมพันธ์ของเงินบาทกับราคาทองคำจะเปลี่ยนไปหรือไม่ เพราะหากความสัมพันธ์ยังคงเป็นเชิงบวก ในกรณีที่ ตลาดคลายกังวลความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ ราคาทองคำก็เสี่ยงย่อตัวลงพอสมควร กดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง

แต่หากความสัมพันธ์เปลี่ยนไป ซึ่งเราคาดว่าอาจจะเปลี่ยนได้ ในกรณีที่ สถานการณ์ความขัดแย้งอิสราเอล-อิหร่าน ทวีความรุนแรงมากขึ้นและลุกลาม บานปลาย ซึ่งอาจส่งผลให้ ราคาทองคำปรับตัวขึ้น “เร็ว แรง” ในระยะสั้น

โดยภาพดังกล่าว อาจเร่งให้ผู้เล่นในตลาดไล่ราคาซื้อทองคำ (FOMO Buying) ทำให้ยิ่งราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ก็อาจยิ่งกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลง อนึ่ง เมื่อประเมินด้วยกลยุทธ์ Trend-Following เงินบาทจะกลับมาอยู่ในแนวโน้มอ่อนค่าลงอีกครั้ง หากสามารถอ่อนค่าทะลุโซน 32.80-32.90 บาทต่อดอลลาร์ ได้อย่างชัดเจน

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทยอยออกมาดีกว่าคาด และเฟดส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยน้อยกว่าที่เคยประเมินไว้ นอกจากนี้ ความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์ที่ร้อนแรงในช่วงนี้อาจช่วยหนุนเงินดอลลาร์บ้าง

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 32.10-33.00 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วงโมงข้างหน้า คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 32.30-32.60 บาท/ดอลลาร์

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


พร้อมลุย! เปิดรายชื่อ 16 ลูกยางสาวไทย สู้ศึกเนชันส์ลีก 2025 สัปดาห์ 2 ที่ฮ่องกง

สมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย ประกาศรายชื่อนักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย ชุดเข้าร่วมการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก 2025 (Volleyball Nations League 2025) สัปดาห์ที่ 2 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18–22 มิถุนายน 2568 ณ เขตปกครองพิเศษฮ่องกง สาธารณรัฐประชาชนจีน

โดย “โค้ชอ๊อต” เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย ตัดสินใจเรียกใช้ผู้เล่นในสนามนี้เพียงแค่ 16 คนเท่านั้น (สนามแรกเรียกไป 18 คน) ด้วยการตัดชื่อของ จิดาภา นาหัวหนอง และ กัตติกา แก้วพิน สองลูกยางสาวไทยที่มีชื่อลงเล่นในสนามแรกออก

รายชื่อ 16 นักกีฬาวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย

หัวเสา
อัจฉราพร คงยศ
ชัชชุอร โมกศรี
วริศรา สีทาเลิศ
ศศิภาพร จันทวิสูตร
ดลพร สินโพธิ์

บีหลัง
พิมพิชยา ก๊กรัมย์
ธนัชชา สุขสด

ตัวรับอิสระ
ปิยะนุช แป้นน้อย
กัลยรัตน์ คำวงษ์

เซตเตอร์
พรพรรณ เกิดปราชญ์
ณัฏฐณิชา ใจแสน
กนกพร แสงทอง

บอลเร็ว
ทัดดาว นึกแจ้ง
หัตถยา บำรุงสุข

วิมลรัตน์ ทะนะพันธุ์
กัญญารัตน์ ขุนเมือง

เจ้าหน้าที่ทีม
ผู้จัดการทีม : เฝิง คุน
หัวหน้าผู้ฝึกสอน : เกียรติพงษ์ รัชตเกรียงไกร
ผู้ช่วยผู้ฝึกสอน : พ.อ.อ. ธีรศักดิ์ นาคประสงค์ และ สมชาย ดอนไพรยอด
เทรนเนอร์ : จ.อ. ณัฏฐ์ ทุมดี, จ.อ. พงศธร ทองดี
นักสถิติ : อัมรินทร์ บุญคง
ผู้ฝึกสอนด้านเสริมสร้างสมรรถภาพ : เอกลักษณ์ ปิติสา
นักกายภาพ : จุรีพร สุดชา
แพทย์ประจำทีม : น.พ. นรศักดิ์ สุวจิตตานนท์

สำหรับ “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” จะเดินทางออกจากประเทศไทยในวันที่ 16 มิถุนายน 2568 ด้วยสายการบินไทย เที่ยวบิน TG628 ออกจากสุวรรณภูมิ 10.35 น. ถึงสนามบินฮ่องกง เวลา 14:20 น. (เวลาท้องถิ่น)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เท้าบวม สัญญาณเบื้องต้นสารพัดโรคร้าย ควรทำอย่างไรเมื่อมีอาการเท้าบวม

คนรอบตัวเริ่มบ่นว่าเท้าเริ่มบวมจนรู้สึกได้ถึงความผิดปกติ คือ “เท้าบวม” เสียจนใส่รองเท้าไม่ได้ หรือรู้สึกบีบรัดตึง ใส่รองเท้าไม่สวยเหมือนเก่า แต่เราจะกังวลแค่เรื่องเท้าไม่สวยไม่ได้นะคะ เพราะเท้าบวมอาจเป็นสัญญาณเบื้องต้นของโรคร้ายสารพัดเลยล่ะ Sanook Health จะอธิบายให้ฟังค่ะ

อาการเท้าบวม แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ คือ

  1. บวมแบบกดแล้วไม่บุ๋มค้าง โดยลองใช้นิ้วกดลงบริเวณที่บวม 5-10 วินาที เมื่อยกนิ้วออกแล้วไม่บุ๋มค้าง เป็นเนื้อแข็งๆ แน่นๆ หรือบางรายผิวอาจมีลักษณะของผิวที่ขรุขระเหมือนเปลือกส้ม

    สาเหตุ อาจมาจากการอุดตันของทางเดินน้ำเหลือง ถึงจะพบได้น้อย แต่ก็จำเป็นต้องพบแพทย์
  2. บวมแบบกดแล้วบุ๋มค้าง สาเหตุหลักๆ ของอาการบวมลักษณะนี้ มีอยู่ 5 สาเหตุ ได้แก่

– หลอดเลือดดำที่ขาอุดตัน
– แพ้ยา หรือสารต่างๆ
– ได้รับอุบัติเหตุ หรือการติดเชื้อ
– บวมน้ำ จากน้ำหนักร่างกายที่มากเกินไป
– ผลข้างเคียงของยา

นอกจากนี้ยังมีอีกหลายโรคที่มีอาการเริ่มต้นด้วยอาการ “เท้าบวม” เช่น

– โรคไต
– โรคหัวใจ
– โรคตับแข็ง
– มะเร็งตับ
– ดีซ่าน

– เท้าช้าง
– เส้นเลือดขอด
– เบาหวาน
– ขาดอาหารประเภทโปรตีน

ข้อควรปฏิบัติ เมื่อมีอาการเท้าบวม

  1. หากอยู่ในภาวะอ้วน น้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ให้ลดน้ำหนัก ออกกำลังกาย และควบคุมอาหาร
  2. ไม่ทานอาหารที่รสจัดจนเกินไป ทั้งหวานจัด เค็มจัด เปรี้ยวจัด และเผ็ดจัด
  3. ไม่ควรยืนนิ่งๆ นานๆ ควรมีการขยับแข้งขยับขา เพื่อให้เลือดไหลเวียนได้สะดวกยิ่งขึ้น
  4. ยกเท้าสูงขึ้นเล็กน้อยก่อนนอน ช่วยลดอาการบวมได้ดี
  5. หากบวมมากผิดปกติ และไม่มีทีท่าจะหาย หรือมีอาการผิดปกติอย่างอื่นร่วมด้วย ให้รีบพบแพทย์โดยด่วน

หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายกันเอาไว้ให้นะคะ เพราะแค่อาการเท้าบวมที่หลายคนอาจมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะไม่ได้เจ็บ ไม่ได้ปวดอะไร จริงๆ แล้วอาจเป็นสัญญาณเตือนภัยถึงโรคร้ายอีกหลายๆ โรค ที่เรากำลังเผชิญโดยไม่รู้ตัวก็ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


GISTDA กับมาตรฐานใหม่ แพลตฟอร์ม Carbon Atlas ประเมินคาร์บอนเครดิต

GISTDA ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งสำคัญ หลังได้รับการรับรองระเบียบวิธีการใหม่จาก อบก. สำหรับการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าไม้และเกษตรกรรมด้วยเทคโนโลยี AI

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) หรือ GISTDA ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งสำคัญในการประเมินการกักเก็บคาร์บอนในพื้นที่ป่าไม้และเกษตรกรรม

ด้วยการใช้ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมร่วมกับเทคโนโลยี AI และแบบจำลอง Machine Learning ซึ่งจะช่วยยกระดับมาตรฐานการประเมินคาร์บอนเครดิตของประเทศให้ สะดวก รวดเร็ว แม่นยำ และมีต้นทุนที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ

สำหรับการประเมินในพื้นที่ป่า 4 ประเภท และ 1 พืชเกษตร ได้แก่ ป่าดิบเขา ป่าเบญจพรรณ ป่าเต็งรัง ป่าชายเลน และสวนยางพารา โดยถือเป็นก้าวสำคัญในการสร้างมาตรฐานกลางที่ภาคส่วนต่าง ๆ สามารถนำไปใช้ได้ทันทีทั้งในระดับชุมชน ภาคธุรกิจ และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น

ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA เปิดเผยว่า ในอดีตการประเมินคาร์บอนเครดิตในพื้นที่กว้างใหญ่ต้องใช้แรงงานคนจำนวนมาก ใช้เวลานาน และมีต้นทุนสูง ทำให้โครงการขนาดเล็กไม่คุ้มค่าในการพัฒนา

แต่ด้วยวิวัฒนาการและความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยีอวกาศ การนำภาพถ่ายจากดาวเทียมจากใช้ประโยชน์ร่วมกับการวิเคราะห์ด้วย AI ทำให้เราสามารถประเมินคาร์บอนทั้งระบบได้รวดเร็วขึ้น มีความแม่นยำ และน่าเชื่อถือ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสามารถลดต้นทุนและระยะเวลาในการประเมินลงอย่างมาก

ด้วยเหตุนี้เอง GISTDA จึงได้นำเสนอองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก (องค์การมหาชน) หรือ อบก.   ถึงการทำระเบียบวิธีการประเมินใหม่ ซึ่งนอกจากจะใช้ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมร่วมกับ AI แล้ว เรายังใช้เครื่องมือและเทคโนโลยีใหม่ ๆ รวมถึงแบบจำลองที่เป็น Machine Learning มาช่วยประเมินการกักเก็บคาร์บอน ตั้งแต่ขึ้นทะเบียนโครงการจนสามารถประเมินได้อย่างต่อเนื่องในแต่ละปี

นอกจากนี้ เรายังอยู่ระหว่างการพัฒนาแพลตฟอร์มที่เรียกว่า “Carbon Atlas” ซึ่งจะเป็นระบบ One Stop Service ที่ให้ผู้ใช้งานสามารถวาดแปลงที่ดินผ่านคอมพิวเตอร์หรือมือถือเพื่อขอขึ้นทะเบียน ประเมิน และจำหน่ายคาร์บอนเครดิตได้ในที่เดียว

ซึ่งจะช่วยอำนวยความสะดวกให้กับผู้ใช้งานเป็นอย่างมาก และยังเสียค่าใช้จ่ายในการประเมินที่ถูกลงกว่าเดิมอีกด้วย โดยคาดว่าจะพร้อมให้บริการในเดือนกันยายน 2568

ทั้งนี้ การใช้ข้อมูลภาพถ่ายจากดาวเทียมร่วมกับเทคโนโลยี AI และแบบจำลอง Machine Learning เพื่อการประเมินคาร์บอนเครดิตในพื้นที่ป่าไม้และเกษตรกรรมครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพของ GISTDA ในฐานะผู้นำด้านเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ที่สามารถสร้างเครื่องมือและระบบมาตรฐานที่เปิดกว้างให้กับทุกภาคส่วน ตอบโจทย์ทั้งการลดก๊าซเรือนกระจกและการเติบโตของตลาดคาร์บอนเครดิตในประเทศอย่างยั่งยืน

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


รู้จักคำพหูพจน์ที่ไม่ได้มีเพียงแค่เติม s เท่านั้น

สำหรับคนที่กำลัง เริ่มต้นเรียนภาษาอังกฤษ ไม่ว่าจะเป็นนักเรียนหรือคนที่ต้องกลับมา เรียนภาษาอังกฤษ อีกครั้งเพื่อการทำงาน มีหลายเรื่องที่ต้องทำความเข้าใจเพื่อให้ทำได้ดีทั้งฟัง พูด อ่าน เขียน หนึ่งในเรื่องพื้นฐานที่มองข้ามไม่ได้เลยคือคำนามพหูพจน์หรือ Plural noun เพราะมีความสัมพันธ์กับการใช้งานจริงโดยเฉพาะการสร้างประโยคซึ่ง Plural จะมีความสัมพันธ์โดยตรงกับรูปคำกิริยาหรือ Verb form คำนามเอกพจน์โดยทั่วไปจะเติม -s เมื่ออยู่ในรูปพหูพจน์ เช่น

– one boy — two boys (เด็กผู้ชาย)

– one girl — two girls (เด็กผู้หญิง)

อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่เรื่องที่ง่ายที่สุด เพราะในภาษาอังกฤษยังมีกฎข้อยกเว้นอีกมากมาย ซึ่งคนที่ เรียนภาษาอังกฤษ จำเป็นต้องรู้ และเรากำลังจะพาทุกคนไปทำความเข้าใจในวันนี้

ถ้าไม่เติม แล้วเติมอะไร?

รูปแบบที่คน เรียนภาษาอังกฤษ พบบ่อยที่สุดคือการเติม -es แต่ในการเติม -es เข้าไปเพื่อทำให้เป็น plural ก็มีแยกย่อยไปหลายประเภท ดังนี้

  1. หากคำนามลงท้ายด้วย -s, -ss, -x, -ch, sh, -o หรือ -z ให้เติม -es เช่น

– one dish — two dishes (จาน)

– one box — two boxes (กล่อง)

– one class — two classes (คลาสเรียน)

– one watch — two watches (นาฬิกาข้อมือ)

– one potato — two potatoes (มันฝรั่ง)

  1. คำที่ลงท้ายด้วย -y ถ้าหน้า -y เป็นพยัญชนะ ให้เปลี่ยน -y เป็น -i แล้วเติม -es เช่น

– one country — two countries (ประเทศ)

– one city — two cities (เมือง)

แต่ถ้าหน้า -y เป็นสระ (a, e, i, o, u) จะกลับไปสู่กฎพื้นฐานคือเติม -s ซึ่งจำง่าย ๆ เพราะถ้าเปลี่ยน -y เป็น -i ในกรณีนี้จะมีปัญหาเรื่องการออกเสียง เช่น

one key — two keys (กุญแจ)

  1. คำนามที่ลงท้ายด้วย -f ให้เปลี่ยน -f เป็น -v แล้วเติม -es ซึ่งถ้าลงท้ายด้วย -fe ก็ให้เปลี่ยน -f เป็น -v แล้วเติม -s เช่น

one wolf — two wolves (หมาป่า)

one life — two lives (ชีวิต)

ตัวอย่าง คำพหูพจน์ ที่เป็นข้อยกเว้น

คนที่ เรียนภาษาอังกฤษ มาสักระยะ อาจไม่พบปัญหาการใช้ คำพหูพจน์ โดยเลือกได้ว่าคำไหนควรเติม -s หรือ -es แต่ความจริงแล้วการเปลี่ยนคำจากเอกพจน์ (Singular) ไปเป็นพหูพจน์ (Plural) ยังมีรูปแบบอื่นอีก เช่น

  1. พหูพจน์บางคำจะเปลี่ยนรูปไปเลย เช่น

– one man — two men (ผู้ชาย) และเมื่อพูดถึงผู้หญิง จาก woman ก็จะเปลี่ยนเป็น women

– child — children (เด็ก)

– tooth — teeth (ฟัน)

– one mouse — two mice (หนู)

– one goose — two geese (ห่าน)

  1. คำบางคำเมื่ออยู่ในรูปพหูพจน์ก็จะไม่เปลี่ยนรูปไปจากเดิม (Same Singular and Plural) เช่น

– sheep — sheep (แกะ)

– deer — deer (กวาง)

– fish — fish(ปลา)

  1. หากบางคำรับมาจากภาษาอื่น เมื่ออยู่ในรูปพหูพจน์ก็มักจะเป็นไปตามเดิมจากภาษานั้น ส่วนใหญ่พบมากกับคำที่รับมาจากภาษากรีกและละติน เช่น

– analysis — analyses (บทวิเคราะห์)

– criterion — criteria (เกณฑ์)

– phenomenon — phenomena (ปรากฏการณ์)

– cactus — cacti (กระบองเพชร)

  1. บางคำก็เป็นข้อยกเว้น นำกฎเดิมมาใช้ไม่ได้ เช่นคำต่อไปนี้ แม้ว่าจะลงท้ายด้วย -f แต่ก็ไม่ต้องเปลี่ยนอะไร และเติม -s เข้าไปได้เลย

– roof — roofs (หลังคา)

– chief — chiefs (หัวหน้า)

คำที่เป็นข้อยกเว้นแบบนี้ ต่อให้เรา เรียนภาษาอังกฤษ มานานเท่าไหร่ก็อาจพลาดได้ ซึ่งก็ไม่ต้องกังวล เพราะคำที่เป็นข้อยกเว้นมีไม่มาก และประสบการณ์จากการใช้ภาษาในชีวิตประจำวันจะช่วยลดความผิดพลาดได้

เทคนิคการจำและข้อผิดพลาดที่พบบ่อย

  1. สังเกตจากกลุ่มคำ เช่นเมื่อพบว่า tooth รูปพหูพจน์เปลี่ยนเป็น teeth หากเจอ foot ก็ต้องเปลี่ยนเป็น feet
  2. ใช้แอปพลิเคชัน flashcards ช่วยเสริมกับ การ เรียนภาษาอังกฤษ เช่น Anki และ Quizlet
  3. ฝึกจากประสบการณ์ เพราะเพียงแค่การ เรียนภาษาอังกฤษ อย่างเดียวจะไม่ทำให้เข้าใจอย่างแท้จริง จำเป็นต้องอาศัยการใช้จริง โดยการอ่านหนังสือ บทความ หรือดูข่าวภาษาอังกฤษ จะช่วยให้ซึมซับรูปแบบ คำพหูพจน์ ได้แบบเป็นธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยลดข้อผิดพลาดบางอย่างได้ เช่น

– จะไม่เผลอเติม -s ในคำว่า child เพราะรู้ว่าพหูพจน์คือ children

– ไม่เติม -s ให้กับคำว่า deer เพราะรู้ว่าคำนี้จะไม่เปลี่ยนรูป

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


เมล็ดแก้วมังกรเล็ก ๆ ที่กินไปพร้อมเนื้อมีประโยชน์หรือโทษ?

แก้วมังกร (dragon fruit) เป็นผลไม้ที่นิยมรัปประทาน และมีประโยชน์มากมาย โดยส่วนใหญ่นิยมกินเพื่อลดความอ้วน หรือ เพื่อบำรุงด้านสุขภาพ ซึ่งลักษณะของแก้วมังกรนั้นจะมีเนื้อค่อนข้างหวาน มีหลายสี เช่นสีม่วง และสีขาว และมีเมล็ดเล็กๆอยู่ในเนื้อ ซึ่งสามารถกินได้ทั้งเมล็ดและเนื้อของแก้วมังกร ซึ่งจะมีบางคนที่ไม่กินเมล็ดของแก้วมังกร และบางคนอาจจะสงสัยว่า เมล็ดของแก้วมังกรนั้นมีประโยชน์ หรือโทษ หรือไม่ วันนี้มาดูคำตอบกันค่ะ

แก้วมังกร (Dragon Fruit) คืออะไร?

แก้วมังกร (ชื่อวิทยาศาสตร์: Hylocereus spp.) เป็นผลไม้เมืองร้อนชนิดหนึ่งที่อยู่ในวงศ์ ตะบองเพชร (Cactaceae) มีถิ่นกำเนิดจาก อเมริกากลางและอเมริกาใต้ แต่ปัจจุบันแพร่หลายและเพาะปลูกอย่างกว้างขวางในหลายประเทศ รวมถึงประเทศไทย เวียดนาม จีน และอิสราเอล

ลักษณะทั่วไปของแก้วมังกร จะมีรูปร่างรีหรือทรงไข่ ผิวสีชมพูหรือแดงสด มี “กาบเขียว” คล้ายเกล็ดมังกร เนื้อในมี 2 แบบ คือ เนื้อขาว และ เนื้อแดงหรือม่วงเข้ม และ มีเมล็ดเล็กสีดำกระจายทั่วเนื้อ คล้ายเมล็ดกีวี

เมล็ดแก้วมังกรเล็ก ๆ ที่กินไปพร้อมเนื้อมีประโยชน์หรือโทษ?

คำตอบคือ เมล็ดแก้วมังกรมีประโยชน์มากกว่ามีโทษ

เมล็ดแก้วมังกรแม้จะเล็กมาก แต่แฝงไว้ด้วยสารอาหารและไฟเบอร์หลากหลายชนิด ซึ่งมีประโยชน์ต่อร่างกาย ดังนี้

1. แหล่งของกรดไขมันดี (Omega-3 และ Omega-6) เมล็ดแก้วมังกรมีไขมันไม่อิ่มตัวที่ดีต่อหัวใจ โดยเฉพาะกรดไขมันโอเมก้า-3 และโอเมก้า-6 ซึ่งช่วยลดคอเลสเตอรอลชนิดไม่ดี (LDL)

2. ช่วยระบบขับถ่าย เมล็ดมีเส้นใยอาหาร (dietary fiber) ช่วยเพิ่มกากในลำไส้ กระตุ้นการบีบตัว และป้องกันท้องผูก

3. ช่วยต้านอนุมูลอิสระ เมล็ดมีสารต้านอนุมูลอิสระ เช่น ฟีนอลิก (phenolics) และ วิตามินอี ที่ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจและชะลอความเสื่อมของเซลล์

4. อาจช่วยต้านการอักเสบ จากการศึกษาเบื้องต้น สารบางชนิดในเมล็ดมีฤทธิ์ต้านการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นประโยชน์ในระยะยาวต่อสุขภาพลำไส้และระบบภูมิคุ้มกัน

ข้อควรระวัง (เล็กน้อย)

  • สำหรับคนที่มีปัญหาระบบย่อยอาหาร (เช่น โรคลำไส้แปรปรวน) การกินเมล็ดมากเกินไปอาจทำให้แน่นท้อง หรือท้องอืดได้ เนื่องจากไฟเบอร์สูง
  • ไม่ควรเคี้ยวเมล็ดมากจนเกินไปถ้ามีฟันปลอม เพราะเมล็ดอาจติดซอกฟันได้ง่าย

คุณค่าทางโภชนาการของแก้วมังกร (ต่อ 100 กรัม โดยเฉลี่ย)

  • พลังงาน: 50–60 กิโลแคลอรี
  • คาร์โบไฮเดรต: ~11 กรัม
  • ใยอาหาร: สูง (~3 กรัม)
  • วิตามินซี: ~20–30 มก.
  • มีแร่ธาตุ เช่น แคลเซียม เหล็ก และแมกนีเซียม
  • มีกรดไขมันดีในเมล็ด เช่น โอเมก้า-3

โดยสรุป

เมล็ดแก้วมังกร มีประโยชน์ต่อร่างกาย โดยเฉพาะในด้านกรดไขมันดีและใยอาหาร ช่วยส่งเสริมสุขภาพหัวใจ ระบบขับถ่าย และการต้านอนุมูลอิสระ จึงสามารถทานได้อย่างปลอดภัยในปริมาณเหมาะสมไม่ควรกินมากจนเกินไป

ที่มา:

  • กรมอนามัย กระทรวงสาธารณสุข
  • USDA FoodData Central
  • วารสารอาหารและโภชนาการต่างประเทศ เช่น Food Chemistry, Journal of Functional Foods

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 16/06/2568 

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a52,700.0052,800.00
ทองรูปพรรณ 96.5%3,407.0051,650.1253,600.00
ทองรูปพรรณ 90%3,066.3046,485.11n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,725.6041,320.10n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,533.1523,242.55n/a
ทองรูปพรรณ 40%1,192.4518,077.54n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%3,530.5753,523.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 16/06/2568


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9532.9532.9533.4532.9532.9532.9532.9532.9532.9532.95
แก๊สโซฮอล์ 9132.5832.5833.0832.5832.5832.5832.5832.5832.5832.58
แก๊สโซฮอล์ E2030.7430.7431.2430.7430.7430.7430.7430.7430.74
แก๊สโซฮอล์ E8529.0929.0929.09
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม41.5449.2449.8449.2441.54
เบนซิน 9541.2449.2141.7441.3941.24
ดีเซล31.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.9431.94
ดีเซลพรีเมี่ยม43.9446.1449.8446.1446.1443.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90


About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า