“บ้านปู เพาเวอร์” เปิดแผนธุรกิจปี 66-68 เพิ่มลงทุนพลังงานสะอาด
“บ้านปู เพาเวอร์” เปิดแผนธุรกิจปี 66-68 เพิ่มลงทุนพลังงานสะอาด เน้นประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าและการบริหารจัดการต้นทุน พร้อมเดินตามหลัก ESG
นายกิรณ ลิมปพยอม ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BPP เปิดเผยว่า กลยุทธ์ทางธุรกิจปี 2566-2568 วางแผนเร่งสร้างการเติบโตของพอร์ตโฟลิโอตามกลยุทธ์ Greener & Smarter
โดยเน้นประสิทธิภาพและความต่อเนื่องของการเดินเครื่องโรงไฟฟ้าและการบริหารจัดการต้นทุน สร้างกระแสเงินสดที่มั่นคงเพื่อต่อยอดในพอร์ตโฟลิโอพลังงานสะอาด ลงทุนในโรงไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพสูงและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม (High Efficiency, Low Emissions: HELE) ในตลาดที่มีความต้องการไฟฟ้าสูง
รวมถึงสร้างพลังร่วมภายในระบบนิเวศทางธุรกิจของกลุ่มบ้านปูในการหาโอกาสการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติในสหรัฐอเมริกา เพื่อสร้างมูลค่าในห่วงโซ่อุปทานธุรกิจไฟฟ้าของบริษัทฯ
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงดำเนินการตามหลักความยั่งยืน หรือ ESG ซึ่งประกอบด้วย สิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลกิจการ
อย่างไรก็ดี BPP ยังคงมองหาโอกาสในการขยายการเติบโตไปยังธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มในประเทศที่มีศักยภาพ โดยเฉพาะในสหรัฐอเมริกา ซึ่งนอกเหนือจากการลงทุนในโรงไฟฟ้าก๊าซธรรมชาติ Temple I แล้ว
BPP ยังพิจารณาขยายการลงทุนเพิ่มเติม เช่น ธุรกิจซื้อขายไฟฟ้าผ่านแพลตฟอร์มระบบกลาง (Energy Trading) และธุรกิจค้าปลีกไฟฟ้า โดยเป็นการผนึกพลังร่วมภายในระบบนิเวศของ BPP ด้วยการใช้ความรู้และทรัพยากรภายในองค์กร และข้อได้เปรียบในการบริหารจุดคุ้มทุนและกระจายความเสี่ยงด้านธุรกิจไฟฟ้าที่ครบวงจรครอบคลุมตลอดห่วงโซ่อุปทาน
สำหรับธุรกิจเทคโนโลยีพลังงานที่ดำเนินการโดยบ้านปู เน็กซ์ บริษัทฯ เน้นการร่วมมือกับพันธมิตรทางธุรกิจที่ส่งเสริมศักยภาพและการเติบโต รวมถึงหาโอกาสการลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ (New S-curve) อย่างต่อเนื่อง
โดยในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาได้เพิ่มสัดส่วนการเข้าถือหุ้นในบริษัท ดูราเพาเวอร์ โฮลดิ้งส์ จํากัด (Durapower) จาก 47.68% เป็น 65.10% ด้วยเงินลงทุน 70 ล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อสร้างโอกาสการเติบโตของธุรกิจแบตเตอรี่ให้แข็งแกร่งมากขึ้น
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ โปรเจ็กต์แจ้งเกิด ไรมอน แลนด์ RARE ITEM ออฟฟิศกลางเพลินจิต
ไรมอน แลนด์ กำลังจะมีบิ๊กอีเวนต์ เพื่อเปิดตัวอาคารสำนักงานลักเซอรี่เกรด A โครงการใหม่ แบรนด์ “วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์”
นับเฉพาะต้นปี 2566 พื้นที่สำนักงานให้เช่า 61,000 ตารางเมตร มีผู้เช่าจับจองพื้นที่แล้วกว่า 50% เป้าหมายที่เร่งเร็วขึ้นมาจึงวางแผนเพิ่มจำนวนผู้เช่าเป็น 75% ภายในไตรมาส 2/66 นี้ ซึ่งความสด ใหม่ และทันสมัยที่สุดในประเทศไทย ทำให้โครงการนี้สร้างแรงกระเพื่อมให้กับสำนักงานให้เช่าเกรด A ไม่มากก็น้อย
“ประชาชาติธุรกิจ” สัมภาษณ์พิเศษ “กรณ์ ณรงค์เดช” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไรมอน แลนด์ จำกัด (มหาชน) ผู้บริหารสูงสุดที่ใส่ใจทุกรายละเอียดด้วยตนเอง จนมั่นใจว่าบรรยากาศการทำงานและการใช้ชีวิตภายในพื้นที่ของวัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ อารมณ์จะประมาณว่า…อยู่ที่นี่ไม่มีวันเบื่อ
ร่วมทุน “มิตซูบิชิ เอสเตท”
ทิศทางของไรมอน-แลนด์ในระยะยาวมุ่งมั่นการ turnaround มากขึ้น โดยโฟกัสการทำโครงการที่รับรู้รายได้เข้ามาได้เร็ว และเปลี่ยนรูปแบบการลงทุน เพื่อสร้างสมดุลและกระจายรายได้ หนึ่งในกลยุทธ์ระยะยาวก็คือ การสร้างพอร์ตรายได้ประจำ หรือรายได้ recurring income เป็นอีกปัจจัยหนุนในการฟื้นตัวกลับมาของบริษัท
โดยไรมอน แลนด์ ตัดสินใจเลือกลงทุนออฟฟิศบิลดิ้งเกรด A ทำเลลักเซอรี่ เพราะเป็นตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด โดยเฉพาะอาคารสำนักงานเกรดเอ บนทำเล CBD หรือย่านศูนย์กลางธุรกิจ
โครงการนี้ ไรมอน แลนด์ ร่วมทุนกับมิตซูบิชิ เอสเตท พาร์ตเนอร์รายใหญ่จากญี่ปุ่น พัฒนาโครงการ One City Centre (OCC) อาคารสำนักงานลักเซอรี่เกรดเอ เชื่อมต่อกับสถานีบีทีเอสเพลินจิต มูลค่าโครงการ 8,800 ล้านบาท โดยไรมอน แลนด์ถือหุ้น 60% มิตซูบิชิ เอสเตท ถือหุ้น 40% มีพื้นที่ให้เช่า 61,000 ตารางเมตร แบ่งเป็น พื้นที่สำนักงาน 86% พื้นที่ค้าปลีก 14% วางแผนจะเปิดเต็มรูปแบบภายในครึ่งปีหลัง 2566 นี้
เทรนด์ผู้เช่ามองหาอาคารเขียว
จากข้อมูลของ JLL พบว่า ความต้องการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานเกรดเอส่วนใหญ่ มีสัญญาณฟื้นตัวหลังจากโควิด-19 ตั้งแต่ไตรมาส 4/65 เป็นต้นมา จุดน่าสนใจคือ ณ สิ้นปี 2565 ตลาดอาคารสำนักงานของกรุงเทพฯ มีพื้นที่รวมกว่า 10 ล้านตารางเมตร แต่มีพื้นที่เกรดเอ บนทำเลใจกลางเมืองเพียง 1.5 ล้านตารางเมตร
พฤติกรรมผู้เช่าจำนวนมากสนใจเช่าพื้นที่สำนักงานในอาคารเกรดเอ เริ่มมีการย้ายออกมากขึ้นจากอาคารที่มีคุณภาพเกรดรองและอาคารเก่า ปรากฏการณ์นี้เรียกว่า flight-to-quality ดังนั้น เทรนด์ 12 เดือนข้างหน้า การมีอาคารสำนักงานใหม่ ๆ ที่จะก่อสร้างเสร็จเพิ่ม จะทำให้ตลาดมีการแข่งขันรุนแรงขึ้น
โดยอาคารสำนักงานเกรดเอที่มีมาตรฐานอาคารเขียวรองรับ มีแนวโน้มจะประสบความสำเร็จดึงดูดผู้เช่าจองพื้นที่ล่วงหน้ามากขึ้น สะท้อนให้เห็นความต้องการเช่าที่มุ่งเน้นอาคารที่มีคุณภาพและความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม นอกจากนี้ยังสะท้อนให้เห็นว่า บริษัทข้ามชาติหลายแห่งยินดีจ่ายค่าเช่าสูงขึ้น เพื่อให้ได้ออฟฟิศที่มีคุณภาพระดับสากล
สอดคล้องกับจุดขายของวัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ ที่เป็นโครงการที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน fitwel โครงการแรกของไทย ทั้งยังเสริมด้วยจุดเด่นที่มีระบบเครื่องปรับอากาศทำงานแบบยืดหยุ่นสูง สามารถเลือกเปิดได้ 24 ชั่วโมง ก้าวข้ามขีดจำกัดพื้นที่สำนักงานให้เช่าที่มักจะตัดไฟตัดแอร์เวลา 17.00 น. ทำให้ตอบโจทย์ลูกค้า flexible work hours ได้ตรงจุด ตอบโจทย์การเป็นมหานครเมืองทำงาน 24 ชั่วโมง
“สัดส่วนผู้เช่าคาดว่า 60% จะเป็นผู้เช่าบริษัทต่างชาติ อีก 40% เป็นบริษัทไทย เทรนด์ปี 2566-2567 คาดว่าอาคารสำนักงานเกรดเอ ทำเล CBD จะเพิ่มขึ้นอีก 4-5 โครงการ ผมมองว่าออฟฟิศสำนักงานเกรดเอบนทำเล CBD จะยังคงมีดีมานด์สูงอย่างต่อเนื่อง”
พื้นที่เช่า 125-1,300 ตร.ม.
“กรณ์” เปิดมุมมองด้วยว่า ตลาดสำนักงานให้เช่าในย่านเพลินจิต-ชิดลม ครอบคลุมไปถึงถนนวิทยุและถนนราชดำริ มีซัพพลายออฟฟิศเกรดเอน้อยมาก เพราะที่ดินมีจำนวนจำกัดและเหลือน้อย ในขณะที่ค่าเช่ามีอัตราสูงอยู่ที่ 1,000-1,600 บาท/ตารางเมตร/เดือน สำหรับ OCC ใช้กลยุทธ์ตั้งราคาที่เหมาะสมอยู่ในราคาตลาด มีอัตราค่าเช่าเฉลี่ย 1,500 บาท/ตารางเมตร
ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายเป็นลูกค้าบริษัทต่างชาติที่ต้องการ image ขององค์กรให้ดูดี มีภาพลักษณ์ทันสมัย รวมถึงบริษัทคนไทยที่ต้องการย้ายไปอยู่ออฟฟิศที่เป็นอาคารใหม่ ทันสมัย บนสุดยอดทำเลเชื่อมต่อบีทีเอสได้เลย โดยมีผู้เช่ามาจากธุรกิจหลากหลายประเภท อาทิ กลุ่มธุรกิจ digital solution, investment bank, global financial services, travel technology
สำหรับพื้นที่เช่าแต่ละฟลอร์มีพื้นที่รวม 1,300 ตารางเมตร โดยพื้นที่เช่าเริ่มต้นที่ 125 ตารางเมตรขึ้นไป ในด้านดีไซน์โครงการ ออกแบบสูง 61 ชั้น แบ่ง 4 ชั้นสำหรับพื้นที่โคเวิร์กกิ้งสเปซ บนชั้นที่ 37-38-39-40 ล่าสุดได้ผู้เช่าเป็น coworking space ที่มีชื่อเสียงและมีสาขาทั่วโลก ทำ coinvest 12 ปี ซึ่งจะยิ่งตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ทันสมัยและเป็นอาคารที่สะดวกสบายครบครัน
จุดรวมพันธมิตรระดับโลก
ไฮไลต์ของวัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ อยู่ที่ทำเลที่ตั้งโครงการ บนพื้นที่ 6 ไร่เศษ ใจกลางย่านเพลินจิต ย่านไพรมแอเรียใจกลางกรุงเทพฯ ไม่เพียงเป็นพื้นที่ที่มีมูลค่าที่ดินสูงที่สุดย่านหนึ่งในประเทศ แต่ยังรายล้อมด้วยโรงแรมอัลตราลักเซอรี่ ห้างหรู สถานทูต ร้านค้า และระบบขนส่งที่ครบครัน นำมาสู่คอนเซ็ปต์ในการพัฒนาโครงการเน้นเติมเต็มเป็นหลัก เพราะเพื่อนบ้านที่แวดล้อมในทำเลเป็นแม็กเนตอยู่แล้ว
“เราไม่ต้องทำทุกอย่าง แค่เติมให้การใช้ชีวิตในอาคารมีความสมบูรณ์แบบขึ้นไปอีก”
เหลียวกลับเข้ามาดูภายในโครงการวัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ ไฮไลต์ที่เป็นที่สุดและแตกต่าง เริ่มต้นจากที่สุดของทำเล อยู่ย่านใจกลางเพลินจิต มีสกายวอล์กเชื่อมต่อกับ BTS เพลินจิต ในปีนี้เมื่อเปิดให้บริการจะเป็นอาคารออฟฟิศที่สูงที่สุดในไทย ความสูง 61 ชั้น หรือ 275.76 เมตร
จุดว้าวอยู่ที่มี destination restaurant & bar กับที่สุดของประสบการณ์การกินดื่มกับวิวเมืองกรุง จาก ultra luxury sky bar บนชั้น 58 และ 61 ในอนาคต “กรณ์” ประกาศด้วยว่า สำหรับชาวต่างชาติที่ไม่เคยมาเมืองไทย เมื่อมาถึงกรุงเทพฯแล้ว ที่นี่จะต้องเป็นสถานที่เช็กอิน 1 ใน 3 อย่างแน่นอน
ในมุมของพันธมิตรระดับโลก วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ เป็นโครงการรวบรวมที่สุดของดีไซน์ ได้ที่ปรึกษาในการออกแบบโดยบริษัท SOM สถาปนิกระดับโลกที่ออกแบบอาคาร Burj Khalifa ที่ดูไบ และ One World Trade Center ที่นิวยอร์ก
ที่สุดของอาคารมาตรฐาน อาคารเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้อาคาร fitwel ระดับ 2 ดาว ให้ความสำคัญกับการสร้างสภาพแวดล้อมเพื่อสุขภาวะที่ดีของผู้ใช้งาน เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดทั้งโรคติดต่อและโรคไม่ติดต่อ ซึ่งเป็นสาเหตุของความเจ็บป่วยและเสียชีวิตของคนทั่วโลก
ที่สุดของฟังก์ชั่น พื้นที่สำนักงานคำนึงถึงพนักงานออฟฟิศระดับหัวกะทิ โดยภายในตึก 1 ชั้น พื้นที่ 1,300 ตารางเมตร ไม่มีเสากลางหรือคอลัมน์ ด้วยการวางตำแหน่งเสาจะดันไปอยู่ส่วนริมทั้งหมด ทำให้ผู้เช่ามีอิสระในการวางผังและออกแบบได้อย่างเต็มที่
แลนด์มาร์กใหม่ใจกลางเพลินจิต
ตัวอาคารวางในทิศทางที่ลมพัดผ่านตลอดวัน มีระแนงบังแดดคอยทำหน้าที่ป้องกันแสงแดดให้เข้ามาในตัวอาคารน้อยที่สุด เพื่อความปลอดโปร่งและประหยัดพลังงาน นอกจากนี้ ผู้เช่ารายใหญ่สามารถทำสำนักงานแบบ knockout panels เชื่อมระหว่างชั้นได้ สะดวกกับบริษัทที่ต้องการเช่าสำนักงานหลาย ๆ ชั้น เพิ่มความสูงโปร่งด้วยเพดานสูงสุดถึง 3 เมตร มีระบบกรองอากาศ MERV14 เพิ่มอากาศสะอาดและบริสุทธิ์ภายในอาคาร หมดข้อกังวลปัญหา PM 2.5
รวมทั้งฟังก์ชั่นอาคารอัจฉริยะ หรือ smart building เริ่มต้นด้วย application ในการเข้าอาคาร ระบบไร้สัมผัสภายในอาคาร ระบบจดจำเลขทะเบียนรถยนต์ ระบบการจ่ายเงินค่าที่จอดรถ ระบบไร้สัมผัสรองรับความสะดวกในการเข้าใช้พื้นที่ในอาคารแบบ touchless (อาทิ license plate recognize, face scan) มีพื้นที่สีเขียวบริเวณทางเข้าอาคาร ที่ไม่ได้เพียงให้ผู้ใช้อาคารมาใช้ แต่รวมไปถึงบุคคลทั่วไปด้วย ถือเป็นอีก 1 แรงที่ช่วยฟอกปอดชาวกรุงเทพฯ
“วัน ซิตี้ เซ็นเตอร์ เป็นการร่วมทุนระหว่างไรมอน แลนด์ กับมิตซูบิชิ เอสเตท อยู่บนพื้นที่ 6 ไร่ จุดเด่นของโครงการใน 6 ไร่ เราแบ่งถึง 3 ไร่ เป็นพื้นที่สวนเพราะต้องการให้เป็นปอดใหม่ของกรุงเทพฯ เหตุผลที่ทำเป็นสวนเพราะเราไม่ได้สร้างตึกอย่างเดียว แต่ต้องการให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่ของกรุงเทพฯ หมายความว่าเราไม่ได้คิดว่าตึกนี้เป็นแค่ออฟฟิศ แต่มันควรเป็นอะไรที่คนไทยสามารถภาคภูมิใจไปด้วยกัน”
ขอบคุณข้อมูลจาก prachachat.net
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 17มี.คที่ระดับ 34.41 บาทต่อดอลลาร์
เงินบาทแข็งค่า หากขึ้นใกล้โซนแนวรับ 34.25-34.30 บาทต่อดอลลาร์ อาจมีแรงซื้อจากผู้นำเข้ากลับมาบ้าง -การขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ของ ECB พร้อมย้ำความเชื่อมั่นในระบบแบงก์ยุโรป ดันบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกสู่ระดับ 3.58%
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 17มีนาคม 2566 ที่ระดับ 34.41 บาทต่อดอลลาร์ “ทรงตัวไม่เปลี่ยนแปลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่าแนวโน้มค่าเงินบาทในวันนี้
เราประเมินว่า บรรยากาศในตลาดการเงินที่กลับมาเปิดรับความเสี่ยง อาจช่วยหนุนให้ฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติทยอยกลับเข้าสู่สินทรัพย์ไทย
โดยเฉพาะตลาดหุ้นไทยได้บ้าง หลังเป็นฝั่งขายสุทธิอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็อาจช่วยให้เงินบาทมีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
อย่างไรก็ดี หากราคาทองคำมีการปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตามการปรับลดสถานะถือครองของผู้เล่นในตลาด ก็อาจเป็นปัจจัยกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่าได้ จากโฟลว์ธุรกรรมซื้อทองคำในจังหวะย่อตัว
(แต่ต้องเห็นราคาทองคำปรับตัวลงแถวโซนแนวรับ เช่น 1,900 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
ทั้งนี้ เรามองว่า การแข็งค่าของเงินบาทก็อาจไม่ได้ชัดเจนมากนัก เนื่องจากผู้เล่นในตลาดก็อาจรอดูผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้าก่อน
นอกจากนี้ หากเงินบาทแข็งค่าขึ้นใกล้โซนแนวรับ 34.25-34.30 บาทต่อดอลลาร์ ก็อาจมีแรงซื้อจากผู้นำเข้ากลับมาได้บ้าง
ช่วงนี้ เรามองว่า ความผันผวนของตลาดการเงินยังอยู่ในระดับสูง (ค่าเงินบาทผันผวนในระดับ 9%-10% ต่อปี ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปี ที่ผ่านมาที่ระดับ 5% เป็นอย่างมาก) ทำให้เรามองว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือทางการเงินที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.25-34.50 บาท/ดอลลาร์
บรรยากาศในฝั่งตลาดการเงินสหรัฐฯ เริ่มกลับมาสู่ภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) โดยดัชนี S&P500 พุ่งขึ้น +1.76% หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายความวิตกต่อเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯ และธนาคารยุโรป จากการที่บรรดาธนาคารใหญ่ในฝั่งสหรัฐฯ ต่างร่วมมืออัดฉีดสภาพคล่องให้กับธนาคาร First Republic Bank ซึ่งเป็นธนาคารขนาดกลางของสหรัฐฯ ที่กำลังเผชิญปัญหาด้านสภาพคล่อง
ซึ่งภาพดังกล่าวได้หนุนให้ หุ้นกลุ่มธนาคารรีบาวด์ขึ้น (JPM +1.9%, BofA +1.7%) นอกจากนี้ ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคฯ ขนาดใหญ่ (Nvidia +5.4%, Microsoft +4.1%) เนื่องจากผู้เล่นในตลาดคงมุมมองว่า เฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายไปได้ไม่เกิน 5.25% (ตาม Dot Plot เดือนธันวาคมที่ผ่านมา) และเฟดมีโอกาสจะกลับมาลดดอกเบี้ยลงได้ราว -1% ภายในปีนี้
ในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 รีบาวด์ขึ้นกว่า +1.19% หลังผู้เล่นในตลาดคลายความวิตกกังวลต่อปัญหาธนาคาร Credit Suisse จากการที่ทางการสวิสฯ พร้อมให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง
แม้ว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) จะเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย +0.50% (ตามที่เราคาดการณ์ไว้) แต่ทาง ECB ก็ได้เน้นย้ำว่า ธนาคารยุโรปมีฐานะการเงินที่ดี และทาง ECB ก็พร้อมให้ความช่วยเหลือด้านสภาพคล่อง หากจำเป็น ซึ่งมุมมองดังกล่าวของทาง ECB ก็มีส่วนช่วยลดความวิตกกังวลของผู้เล่นในตลาด
ส่วนทางด้านตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี ต่างเคลื่อนไหวผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม ECB เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างไม่มั่นใจว่า ECB จะสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยได้ จากความผันผวนในตลาดช่วงที่ผ่านมาจากประเด็นความกังวลต่อเสถียรภาพของระบบธนาคาร
การตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ย +0.50% ของ ECB พร้อมกับเน้นย้ำความเชื่อมั่นในระบบธนาคารยุโรป รวมถึงภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงิน ได้ส่งผลให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี ต่างปรับตัวสูงขึ้น โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้พลิกกลับมาปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.58%
ในฝั่งตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยเฉพาะในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมของ ECB และถ้อยแถลงของประธาน ECB หลังการประชุม แต่โดยรวม ดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 104.4 จุด และมีโอกาสที่เงินดอลลาร์อาจแกว่งตัว sideways จนกว่าตลาดจะรับรู้ผลการประชุมเฟดในสัปดาห์หน้า
ส่วนในฝั่งราคาทองคำ ภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาด ได้หนุนให้ผู้เล่นในตลาดต่างลดการถือครองทองคำ กอปรกับผู้เล่นในตลาดเริ่มปรับมุมมองว่า บรรดาธนาคารกลางหลักอาจสามารถเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ย ตามการตัดสินใจขึ้นดอกเบี้ยของ ECB ได้
ทำให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน เม.ย.) ยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นทะลุแนวต้านโซน 1,935 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ก่อนเผชิญแรงขายทำกำไรและย่อตัวลง สู่ระดับ 1,925 ดอลลาร์ต่อออนซ์
สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ผ่านดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค โดยมหาวิทยาลัยมิชิแกน (U of Michigan Consumer Sentiment) โดยตลาดคาดว่า ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคในเดือนมีนาคม อาจทรงตัวที่ระดับ 67 จุด ซึ่งอาจยังคงช่วยหนุนแนวโน้มการบริโภคในฝั่งสหรัฐฯ
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะจับตารายงานข้อมูลคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อจากรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคดังกล่าว โดยหากคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อในระยะสั้น และระยะปานกลาง ชะลอลงต่อเนื่อง ก็อาจชี้ว่า เฟดมีแรงกดดันที่ต้องเร่งขึ้นดอกเบี้ย “ลดลง”
โดยเฉพาะในจังหวะที่ตลาดการเงินสหรัฐฯ เผชิญความปั่นป่วนจากความกังวลปัญหาของระบบธนาคาร ซึ่งเราประเมินว่า เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยเพียง +0.25% ในการประชุมเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้
นอกจากการประชุมของธนาคารกลางดังกล่าว ผู้เล่นในตลาดจะยังคงติดตามเสถียรภาพของระบบธนาคารสหรัฐฯและยุโรป ต่อเนื่อง ซึ่งความกังวลต่อปัญหาระบบธนาคารอาจกดดันบรรยากาศการลงทุนในระยะสั้นนี้ได้
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“บาส-ปอป้อ” ปราบคู่อินโดนีเซีย ลิ่วก่อนรองขนไก่ “ออลอิงแลนด์”
“บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์-“ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย เต็ง 3 ของรายการผ่านเข้าสู่รอบก่อนรองชนะเลิศ ในการแข่งขันแบดมินตันรายการที่เก่าแก่ที่สุดของโลกศึก “โยเน็กซ์ ออลอิงแลนด์ โอเพ่น แบดมินตัน แชมเปี้ยนชิพ 2023” ระดับเวิลด์ทัวร์ซูเปอร์ 1000 เมื่อคืนวันที่ 16 มีนาคม ที่เมืองเบอร์มิงแฮม ประเทศอังกฤษ
รอบสอง(16 คน/คู่) ประเภทคู่ผสม “บาส” เดชาพล พัววรานุเคราะห์-“ปอป้อ” ทรัพย์สิรี แต้รัตนชัย มืออันดับ 4 ของโลก และมือวางอันดับ 3 ของรายการ โคจรมาพบกับ ปราวีน จอร์แดน-เมลาติ แดว่า อ๊อกตาเวียนติ มืออันดับ 43 ของโลกจากอินโดนีเซีย ซึ่งสถิติที่พบกันมา 11 ครั้ง คู่ของไทยเป็นฝ่ายชนะ 7 แพ้ 4
ปรากฏว่า บาส-ปอป้อใช้เวลา 35 นาที ล้างตาคู่อินโดนีเซียที่เคยพ่ายแพ้มาในนัดชิงชนะเลิศรายการนี้เมื่อปี 2020 ไปได้ 2-0 เกม 21-18, 21-11 ผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศไปพบกับโซว เซือง แจ-แช ยู จุง คู่มืออันดับ 9 จากเกาหลีใต้ ที่เอาชนะ “เอ็ม” สุภัค จอมเกาะ-“เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน คู่มืออันดับ 14 ของโลกจากไทย 2-0 เกม 21-17, 21-17
ส่วนผลงานของนักแบดไทยประเภทอื่นๆ ในรอบสอง
ชายเดี่ยว “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ มืออันดับ 7 ของโลก และมือวางอันดับ 6 แพ้ ฉี ยู่ ฉี มืออันดับ 12 ของโลกจากจีน 0-2 เกม 12-21, 13-21
หญิงเดี่ยว “จิว” ลลินรัศฐ์ ไชยวรรณ มืออันดับ 31 ของโลก แพ้ เกรกอเรีย มาริสก้า ตุนจุง มืออันดับ 14 ของโลกจากอินโดนีเซีย 0-2 เกม 11-21, 19-21 “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มืออันดับ 11 ของโลก แพ้ เฉิน ยู่ เฟย มืออันดับ 4 ของโลก และมือวางอันดับ 3 จากจีน 0-2 เกม 18-21, 20-22 “ครีม” บุศนันทน์ อึ๊งบำรุงพันธุ์ มืออันดับ 12 ของโลก แพ้ ไท่ จือ อิง มืออันดับ 3 ของโลก และมือวางอันดับ 3 จากไต้หวัน 0-2 เกม 19-21, 12-21
และหญิงคู่ “เฟม” ศุภิสรา เพียวสามพราน-“เอิร์ธ” พุธิตา สุภจิรกุล มืออันดับ 24 ของโลก แพ้ อพริยานี ราฮายู-สิติ ฟาเดีย ซิลวา รามาจันติ มืออันดับ 5 ของโลก และมือวางอันดับ 8 จากอินโดนีเซีย 0-2 เกม 16-21, 19-21
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
การครอบแก้วคืออะไร? เหมาะกับใครบ้าง?
หลายคนน่าจะเคยเห็นคนเดินอยู่ตามท้องถนน ที่หลังมีจ้ำๆ กลมๆ อยู่ทั่วแผ่นหลัง อย่าตกใจว่าเขาเป็นโรคอะไรหรอกนะคะ เพราะที่จริงแล้วนั่นคือร่องรอยจากการ “ครอบแก้ว” หรือ Cupping Therapy นั่นเอง มันคืออะไร ทำกันอย่างไร และเหมาะกับใครบ้าง มาศึกษาข้อมูลจาก พญ.ธนันต์ ศุภศิริ รพ.สมิติเวชสุขุมวิท กันค่ะ
การครอบแก้วคืออะไร (Cupping Therapy)
การครอบแก้ว คือการใช้กระปุกสุญญากาศครอบไปบนผิวหนัง โดยมีวิธีทำให้กระปุกเกิดสุญญากาศทั้งจากการใช้ไฟลนภายในกระปุกก่อนที่จะครอบลงบนผิวหนัง หรือการที่ใช้อุปกรณ์ดูดอากาศออกจากกระปุกที่ครอบลงไปแล้ว ทำให้เส้นเลือดฝอยบริเวณใต้ผิวหนังขยายตัวหรือแตกออกเกิดเป็นรอยแดง-คล้ำตามรอยขอบกระปุกนั้น
เนื่องจากทฤษฏีทางการแพทย์แผนจีนกล่าวไว้ว่าโรคหลายชนิดเกิดจากการเดินทางของพลังงาน (ชี่) ติดขัด ซึ่งการครอบแก้วนี้ จะช่วยสลายการติดขัดนั้น ทำให้พลังงานหรือชี่เดินทางได้สะดวกขึ้นจึงสามารถรักษาโรคหรืออาการบางชนิดได้
การครอบแก้วมีประโยชน์อย่างไร เหมาะกับโรคอะไรบ้าง
การครอบแก้วทำให้มีการเพิ่มการไหลเวียนโลหิตไปยังบริเวณนั้น ในทางสรีรวิทยา การครอบแก้วมีผลกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกายโดยกลไก 2 ประการ ได้แก่ การกระตุ้นกลไกการอักเสบเฉพาะที่และเพิ่มการไหลเวียนของน้ำเหลือง นอกจากนี้ การครอบแก้วมีผลให้มีการหลั่งสารสื่อประสาทและกระตุ้นปลายประสาทรับสัมผัสบางชนิด ทำให้มีฤทธิ์ลดปวด จึงทำให้มีการนำการครอบแก้วมาใช้รักษาอาการปวดต่างๆ ทั้งการปวดในระบบกระดูกและกล้ามเนื้อ เช่นอาการปวดคอ ปวดหลัง หรืออาการปวดของเส้นประสาทเช่น ปวดจากงูสวัด เป็นต้น แต่ประโยชน์ของการครอบแก้วไม่ได้มีเพียงรักษาอาการปวดเท่านั้น ปัจจุบันยังนำมาใช้ในการรักษาโรคต่างๆเพิ่มขึ้น เช่น สิว ฝ้า อัมพาตใบหน้า (Bell’s palsy) อ่อนเพลีย ซึมเศร้า รวมถึงเพิ่มภูมิต้านทานให้แก่ร่างกาย นอกจากนี้ยังมีสมมติฐานที่เชื่อว่าการครอบแก้วช่วยปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อทุกระดับและยังช่วยให้รู้สึกผ่อนคลายอีกด้วย
ข้อควรระวัง
แม้ว่าการครอบแก้วหากทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้วยอุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน ถือว่าเป็นหัตถการที่ปลอดภัย มีผลข้างเคียงต่ำ อย่างไรก็ตาม มีข้อห้ามบางประการที่ไม่ควรได้รับการรักษาด้วยการครอบแก้ว เช่น ตั้งครรภ์ มะเร็งระยะลุกลาม กระดูกหัก ภาวะเส้นเลือดดำอุดตัน (Deep vein thrombosis) หรือในบริเวณที่ผิวหนังมีบาดแผล เป็นต้น และการครอบแก้วในบริเวณที่ไม่เหมาะสม หรือคาไว้นานเกินไปอาจทำให้เกิดอันตรายได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
10 ประโยคที่ใช้แสดงความไม่เห็นด้วย ในภาษาอังกฤษ
เมื่อคุณไม่เห็นด้วยกับใครบางคน โดยเฉพาะในที่ประชุมหรือที่ทำงาน มันมักจะเป็นเรื่องยากที่จะพูดความคิดเห็นของเราออกไปโดยไม่ทำให้อีกฝ่ายหนึ่งโกรธหรือเคือง วันนี้แอดได้รวบรวม 10 ประโยคที่สามารถใช้แสดงความไม่เห็นด้วยแบบสุภาพกับคู่สนทนา ไม่มีเคืองแน่นอน ไปดูกันเลย
บทเรียนใหม่ๆ ส่งตรงทุกวันฟรี พร้อม eBook สุดพิเศษจาก Engnow สมัครสมาชิกเว็บไซต์ที่นี่เลยฟรี >> คลิก
I’m afraid that’s not acceptable for us.
=> ฉันเกรงว่าสิ่งนั้นยังไม่ได้รับการยอมรับจากเรา
I’m afraid we can’t agree with you there.
=> ฉันเกรงว่าเราไม่สามารถเห็นด้วยกับคุณได้
That’s a valid point, but…
=> นั่นก็เป็นสิ่งที่มีเหตุผล แต่…
I understand where you’re coming from, but…
=> ฉันเข้าใจในสิ่งที่คุณพูดมา แต่…
We’re prepared to compromise, but…
=> เราพร้อมที่จะประนีประนอม แต่…
That’s not exactly as we see it.
=> สิ่งนี้ยังไม่ตรงตามที่เราได้เห็น
Is that your best offer?
=> นี่คือข้อเสนอที่ดีที่สุดของคุณใช่มั้ย?
I’m afraid I had something different in mind.
=> ฉันเกรงว่าจะมีบางสิ่งที่แตกต่างในความคิดนะ
I’m afraid that doesn’t work for me.
=> ฉันเกรงว่าสิ่งนั้นจะไม่ได้ผลสำหรับฉัน
If you look at it from my point of view…
=> หากคุณมองสิ่งนี้จากมุมมองของฉันนั้น…
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
ส่องกระแส ChatGPT เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
ตั้งแต่ ChatGPT ถูกเปิดตัวในวันที่ 30 พฤศจิกายน 2565 มีกระแสการพูดถึงแชทบอทตัวนี้อย่างล้นหลามในหลายแวดวง เนื่องมาจาก ChatGPT มีระบบ AI ที่สามารถหาคำตอบให้คู่สนทนาได้อย่างรวดเร็ว ด้วยภาษาที่เป็นธรรมชาติและสามารถตอบคำถามที่ซับซ้อนได้
โดยระบบจะรวบรวมข้อมูลจากอินเทอร์เน็ตทั่วโลก แล้วทำการประมวลผลเพื่อหาคำตอบให้แก่ผู้ใช้ ทำให้มีการพูดถึงความฉลาด และการนำความสามารถของ ChatGPT มาใช้ประโยชน์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อหลากหลายอุตสาหกรรมในวงกว้าง
บริษัท ไวซ์ไซท์ (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้ทำการเก็บข้อมูลตั้งแต่ 27 พฤศจิกายน 2565 ถึง 12 มีนาคม 2566 ผ่านเครื่องมือ ZOCIAL EYE พบว่ามีเอ็นเกจเมนต์ทั้งสิ้น 1,811,162 เอ็นเกจเมนต์และมีข้อความที่พูดถึง ChatGPT 12,452 ข้อความ โดยพบเอ็นเกจเมนต์มากที่สุดในช่องทาง Facebook คิดเป็น 50.82%, Twitter คิดเป็น 28.65%, อื่นๆ ได้แก่ ช่องทางข่าว (News), Youtube, Instagram, และ Forum ตามลำดับ
พฤติกรรมการใช้โซเชียลมีเดียเกี่ยวกับ ChatGPT ชัดเจน
จากรูป จะเห็นได้ว่า หลังจากเปิดตัว ChatGPT เอ็นเกจเมนต์ที่เกิดขึ้นจะสูงขึ้นอย่างรวดเร็วผ่านช่องทาง TikTok จากนั้น เริ่มมีการพูดถึงความเคลื่อนไหวในแวดวงเทคโนโลยีที่เกี่ยวกับ ChatGPT ผ่านช่องทาง Facebook มากเป็นอันดับหนึ่ง สอดคล้องกับการเป็นโซเชียลมีเดียที่มีจำนวนผู้ใช้งาน (Active User) สูงที่สุด* เมื่อเทียบกับช่องทางอื่นๆ ส่วน Twitter ข้อความพูดถึงเรื่องของการแชร์ประสบการณ์ที่ได้จากการใช้ ChatGPT โดยผู้ใช้งาน Twitter ที่ส่วนมากเป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ มีความสอดคล้องกันกับช่วงอายุในข้อมูล Demographics คือ ผู้ที่อายุ 18-34 สูงถึง 78% นอกจากนี้ ยังพบว่าผู้ที่ให้ความสนใจกับเทคโนโลยีแชทบอทตัวใหม่นี้เป็นผู้ชาย 73% และผู้หญิง 27%
ช่วงแห่ง Earned Media กระแสการทำความรู้จัก และบอกต่อ
หากพิจารณาเอ็นเกจเมนต์หลังเปิดตัวในช่วงกลางเดือนมกราคม 2566 มีการพูดถึงความสามารถของ ChatGPT จากสื่อต่างประเทศ แล้วอินฟลูเอ็นเซอร์ (Influencer) ประเทศไทยจึงนำมาขยายต่อ เช่น การที่แชทบอทตัวนี้สามารถสอบใบอนุญาตทางการแพทย์ของอเมริกาได้ถูกต้องถึง 60% ซึ่งโดยปกติ คะแนนเฉลี่ยของผู้สอบผ่านจะอยู่ที่ 60% จึงจัดว่า ChatGPT สามารถสอบเป็นหมอได้ อีกทั้ง แชทบอทตัวนี้ยังสามารถสอบเข้ามหาวิทยาลัย Wharton ของสหรัฐอเมริกาได้ รวมไปถึงข่าว Microsoft เพิ่มทุนซื้อหุ้น ChatGPT จาก 1 พันล้านดอลลาร์ เป็น 1 หมื่นล้านดอลลาร์
จากนั้น ช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2566 มีการพูดถึง ChatGPT ที่อาจส่งผลกระทบอย่างสูง (Distruption) กับการค้นหาข้อมูลผ่าน Google (Google Search) Google จึงออกมาแถลงในบล็อกว่า แท้จริงแล้ว Google เองก็มี AI แบบเดียวกันที่ชื่อว่า Bard ซึ่งเตรียมจะเปิดตัวเร็วๆ นี้ รวมถึง Baidu ที่ประกาศแชทบอทของตน ‘Ernie Bot’ ซึ่งจะทดสอบเสร็จสิ้นภายในมีนาคมนี้เช่นกัน
ในช่วงเดียวกันนี้เอง อินฟลูเอ็นเซอร์ในไทยก็มีการทดลองใช้และแชร์ประสบการณ์ของตนผ่านสื่อต่างๆ โดยเฉพาะใน Twitter ไม่ว่าจะเป็น การให้ ChatGPT ตัวนี้แก้แกรมม่า ปรับรูปประโยคใหม่ด้วยอารมณ์ในการเขียนแบบต่างๆ เช่น เขียนแบบเป็นทางการ หรือเขียนแบบสุภาพแต่ต้องมีความสนิทชิดเชื้อ การแปลงภาษาของมนุษย์เป็นโค้ดโปรแกรมคอมพิวเตอร์ การแต่งเพลง การดูดวงด้วยศาสตร์ดูดวงดังของโลก และการปรึกษาในเชิงจิตวิทยา
นอกจากนี้ เริ่มมีการกล่าวถึงการใช้ประโยชน์จาก ChatGPT ที่เริ่มพลิกแพลงมากยิ่งขึ้น จากการพัฒนา ChatGPT ให้มีขีดความสามารถสูงขึ้น เช่น การที่นักเขียน 500 คน ใช้ ChatGPT เขียนบทความ และมีวางขายใน Amazon กว่า 200 เล่ม หรือการผนวก ChatGPT เข้ากับแพลทฟอร์มอื่น เพื่อสร้างโครงการที่สามารถโต้ตอบ และเห็นจำนวนผู้เสียชีวิตได้ในโลกจักรวาลนิรมิต (Metaverse)
ทั้งว้าวทั้งกลัว พี่ ChatGPT ขาาา
จากกระแสการพูดถึง ChatGPT ในไทย พบว่า 73% พูดด้วยความรู้สึกเป็นกลาง แต่ผู้ที่พูดถึงในเชิงบวก (Positive) หรือเชิงลบ (Negative) ยังมีจำนวนใกล้เคียงกัน คือ 13% และ 14% ตามลำดับ
โดยผู้ที่พูดถึงในเชิงบวก (Positive) จะเป็นการพูดในเชิงประโยชน์ และความสามารถของ ChatGPT ไม่ว่าจะเป็นความสะดวกในการหาคำตอบที่ไวกว่า Google Search การช่วยวางแผนงาน และลดเวลาในการทำงาน การช่วยในงานเขียน การเป็นที่ปรึกษาทางด้านธุรกิจ กฎหมาย และจิตใจ การช่วยวิเคราะห์ข้อมูล การช่วยเขียนโค้ด ไปจนถึงการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ เช่น การแต่งเพลง การแต่งนิยาย การเขียนบทภาพยนตร์
ส่วนผู้ที่พูดถึงในเชิงลบ (Negative) จะเป็นเรื่องของความสามารถที่อาจใช้ทดแทนแรงงานมนุษย์ได้ และการนำ ChatGPT ไปใช้ในทางที่ผิด เช่น การทำการบ้านแทน การที่เด็กใช้ ChatGPT จนขาดการฝึกคิดวิเคราะห์ การที่สแกมเมอร์ ใช้ ChatGPT ช่วยคิดวิธีหลอกลวงผู้อื่น การช่วยแฮ็กเกอร์ แฮ็กโปรแกรม เกม หรือการที่ ChatGPT เริ่มตอบแบบมีอารมณ์และความรู้สึกคล้ายมนุษย์ ซึ่งทำให้ ChatGPT ดูน่ากลัว หากทำอะไรให้ไม่พอใจ
แบรนด์ไม่รอช้า พากันเกาะกระแส ChatGPT
ล่าสุด แบรนด์เริ่มเกาะกระแส ChatGPT เพื่อช่วยในเรื่องการทำการตลาด โดย McDonald’s เปิดตัวไก่ทอดรสชาติใหม่ตามคำตอบที่ได้จาก ChatGPT ในคำถามที่ว่า ไก่ทอดที่สมบูรณ์แบบ ต้องเป็นอย่างไร? แล้วแบรนด์ก็ผลิตไก่ทอดที่มีลักษณะเช่นนั้น!
เราได้เห็นกระแสเกี่ยวกับ ChatGPT จากสื่อและอินฟลูเอ็นเซอร์ไปไม่น้อยแล้ว เป็นที่น่าติดตามต่อไปว่าเทคโนโลยี ChatGPT หรือที่ Microsoft ได้อัปเกรดเป็น GPT-4 ซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าเดิม จะเปลี่ยนโลกได้จริงไหม? บอกเลยว่า….รอชม!
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“สถาปนิก’66” จับมือ “ลาซาด้า” มอบ 8 สิทธิสุดพิเศษสำหรับผู้แสดงสินค้า เปิดร้านออนไลน์ ค่าธรรมเนียมฟรี พร้อมโค้ชติวเข้มส่วนตัว
บริษัท ทีทีเอฟ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้จัดงาน “สถาปนิก’66” จับมือ “ลาซาด้า” แพลตฟอร์มช็อปปิ้งออนไลน์ยักษ์ใหญ่ของไทย มอบข้อเสนอสุดพิเศษ สร้างบ้าน สร้างงาน สร้างยอดขายได้จริง ให้แก่ผู้แสดงสินค้าภายในงาน “สถาปนิก’66” งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ครั้งที่ 35 เพื่อเพิ่มช่องทางจำหน่ายสินค้า พร้อมยกระดับและเชื่อมต่อผู้ประกอบการสู่แพลตฟอร์มออนไลน์ ด้วยสิทธิพิเศษ เช่น
- ฟรีค่าธรรมเนียม เปิดร้านออนไลน์ครั้งแรก
- ค่าธรรมเนียมการใช้บริการมาร์เก็ตเพลส 0% นาน 30 วัน
- ค่าธรรมเนียมการทำธุรกรรม 0% นาน 30 วัน
- ค่าธรรมเนียมโปรแกรมส่งฟรีพิเศษ 0% นาน 30 วัน
- ค่าธรรมเนียมโปรแกรมเงินคืนทุกวัน 0% นาน 30 วัน
- คูปองส่วนลดกระตุ้นยอดขาย
- แคมเปญดีลร้านใหม่
- ทีมงานดูแลร้านค้าแบบพิเศษส่วนตัว เป็นเวลานานสูงสุด 90 วัน
- คอร์สเรียนรู้เทคนิคการขายที่ Lazada University
ผู้สนใจสามารถเข้าร่วมโครงการตั้งแต่วันนี้ – 30 เมษายน 2566 ข้อมูลเพิ่มเติมที่ www.ArchitectExpo.com หรือ info@TTFintl.com
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/03/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 31,150.00 | 31,250.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,018.00 | 30,592.88 | 31,750.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,816.20 | 27,533.59 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,614.40 | 24,474.30 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 908.00 | 13,765.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 706.00 | 10,702.96 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,091.00 | 31,699.56 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/03/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 36.05 | 36.05 | 37.14 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 | 36.05 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 35.78 | 35.78 | 36.84 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 | 35.78 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.74 | 33.74 | 34.54 | 33.74 | 33.74 | – | 33.74 | 33.74 | 33.74 | 33.74 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 34.19 | 34.19 | – | – | – | – | – | – | – | 34.19 |
เบนซิน 95 | 43.86 | – | – | – | 43.91 | – | 44.36 | 44.01 | – | 43.86 |
ดีเซล B7 | 33.94 | 33.94 | 34.24 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล | 33.94 | 33.94 | 34.24 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 | 33.94 |
ดีเซล B20 | 33.94 | 33.94 | 34.24 | – | 33.94 | – | 33.94 | – | – | 33.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 43.06 | 43.16 | 45.14 | 44.26 | 44.26 | – | – | – | – | 43.06 |
แก๊ส NGV | 17.59 | 17.59 | – | – | – | – | – | – | – | 17.59 |