สาระน่ารู้ประจำวันที่ 17 มกราคม 2567

‘แลนด์แอนด์เฮ้าส์’ ปรับแผนลดเสี่ยง เบรกเปิดคอนโดใหม่-รุกอสังหาฯเพื่อเช่า

ความท้าทายปี 2567 จากปัญหาหนี้ครัวเรือน แบงก์เข้มปล่อยกู้ ส่งผลให้ “แลนด์แอนด์เฮ้าส์” ยักษ์ใหญ่แห่งวงการอสังหาฯ ประกาศเบรกคอนโดเพื่อลดความเสี่ยง หันมาเปิดแนวราบ 11 โครงการ มูลค่า 3 หมื่นล้าน โฟกัสกลุ่มราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป ตั้งเป้ายอดขาย 3.1 หมื่นล้านบาท

นพร สุนทรจิตต์เจริญ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่าภาพรวมเศรษฐกิจปี 2567 น่าจะดีขึ้นหลังจากถูกกดมานาน คาดหวังว่าการจับจ่ายใช้สอยที่ดีขึ้นหลังจากตัวเลขนักท่องเที่ยวเข้ามามากกว่า 25 ล้านคนทั้งที่คนจีนยังไม่กลับเข้ามาเต็มที่ ส่งผลให้อัตราการเข้าพักโรงแรมในเครือที่พัทยาสูงถึง 90% แต่สิ่งที่ยังน่ากังวลคือหนี้ครัวเรือนสูงและความเข้มงวดในการปล่อยสินเชื่อ

“ปีนี้จึงเป็นปีที่ต้องประคองผลการดำเนินงานให้เป็นไปตามเป้าหมาย เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจไทยยังคงมีความท้าทายสูง ประกอบกับตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังเผชิญกับแรงกดดันจากกำลังซื้อที่อ่อนแอ รวมทั้งซัพลายในตลาดยังเหลืออยู่มาก”
 

สำหรับภาพรวมตลาดคอนโดไม่ดีนัก โดยฟื้นตัวบางกลุ่ม บางระดับราคา และบางทำเล โดยเฉพาะระดับบนทำเลริมแม่น้ำ สังเกตได้จากโครงการวันเวลา ณ เจ้าพระยามูลค่า 16,000 ล้านบาท สามารถทำยอดขาย 5,000 ล้านบาท คิดเป็น 35% ของมูลค่าโครงการ ส่งผลให้ยอดขายคอนโดปีที่ผ่านมาโต 176%

“แต่ภาพรวมตลาดคอนโดยังไม่ฟื้นตัวดีนัก ปีนี้เราจึงไม่เปิดตัวคอนโด เน้นขายโครงการเดิมซึ่งเป็นคอนโดพร้อมขาย 7 โครงการ มูลค่า 16,000 ล้านบาท ตั้งเป้ายอดขาย 5,500 ล้านบาท ยอดโอน 2,000 ล้านบาท”

การปรับแผนดังกล่าวทำให้แอนด์ เฮ้าส์ ประกาศเปิดตัวปีนี้ 11 โครงการ มูลค่า 30,200 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่เปิดตัว 17 โครงการ มูลค่า 48,460 ล้านบาท

“ปี 2567 บริษัทโฟกัสแนวราบ 11 โครงการ เป็นบ้านเดี่ยวระดับราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป สัดส่วน 20-30% และมี 1 โครงการเป็นบ้านเดี่ยวผสมทาวน์เฮ้าส์ ส่งผลให้ปีนี้มีโครงการดำเนินการ 84 โครงการ มูลค่า 98,550 ล้านบาท และราคาขายเฉลี่ยต่อหน่วย 9.4 ล้านบาท”

พร้อมกันนี้บริษัทเดินหน้าลงทุนธุรกิจอสังหาเพื่อเช่าเพื่อเสริมความแข็งแกร่ง หลังจากปี 2566 ธุรกิจโรงแรมโต 70% และศูนย์การค้าโต 100% จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่กลับมา โดยได้ลงทุนในอสังหาเพื่อเช่าผ่าน LHMH และ LH USA 2,870 ล้านบาท

ประกอบด้วย โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ สุรวงศ์ 920 ล้านบาท โรงแรมแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ ลุมพินี 870 ล้านบาท โรงแรมและอพาร์ตเมนต์ 1,080 ล้านบาทรวมถึงลงทุนเพิ่มในกองทรัสต์ LHHOTEL มูลค่า 1,952 ล้านบาท ดันสัดส่วนลงทุนเพิ่มเป็น 26.17% จากเดิม 14.73% ซึ่งบริษัทฯ ได้ยีลด์จากการลงทุนเฉลี่ย 10% ต่อปี

“ปีที่ผ่านมาบริษัทขาย โรงแรม แกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ พัทยา และแกรนด์ เซ็นเตอร์ พอยต์ สเคป พัทยา ให้กับกองทรัสต์ LHHOTEL มูลค่า 9,400 ล้านบาท มีกำไรก่อนภาษี 2,500 ล้ายบาทในไตรมาส 4 ส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้ในงบกำไรขาดทุนปี 2567-2575”

บริษัทยังมีแผนออกหุ้นกู้มูลค่ารวม 16,000 ล้านบาทปีนี้ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นการออกหุ้นกู้เพื่อทดแทนหุ้นกู้ชุดเดิมที่ครบกำหนดอายุ โดยคาดว่าอัตราหนี้สินต่อทุน (D/E) หลังจากที่ออกหุ้นกู้ชุดใหม่จะยังคงอยู่ในระดับใกล้เคียงที่ระดับ 1 เท่า เป็น D/E ที่ลดลงจาก ณ สิ้นปี 2566 ที่ 1.12 เท่า 

และมีแผนที่จะขายศูนย์การค้า 1 แห่ง คือเทอร์มินอล 21 พัทยา มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาท เข้ากองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ แอล เอช ช้อปปิ้ง เซ็นเตอร์ หรือ LHSC

“การออกหุ้นกู้ในปีนี้ยังถือว่าเผชิญความท้าทายจากตลาดด้านความเชื่อมั่นของนักลงทุนอยู่บ้าง ทำให้ยังมีความเสี่ยงในด้านการขายที่อาจไม่ได้เป็นไปตามแผน แต่ก็เตรียมแนวทางในการขอวงเงินสินเชื่อจากธนาคารพาณิชย์เพื่อรองรับ โดยการนำโครงการที่เตรียมพัฒนาไปเสนอขอวงเงินหากการขายหุ้นกู้ไม่เป็นไปตามแผน ” 

นอกจากนี้ ปัจจุบันบริษัทยังมีที่ดินในมือ ซึ่งเป็นที่ดินที่ไม่ได้อยู่ในแผนพัฒนาปีนี้ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาทโดยรวมปีนี้บริษัทเตรียมงบลงทุนรวม 11,500 ล้านบาท แบ่งเป็น งบสำหรับซื้อที่ดินเพื่อการพัฒนาที่อยู่อาศัย 5,000 ล้านบาท งบลงทุนด้านอสังหาเพื่อเช่า 6,500 ล้านบาท ลงทุนก่อสร้างโรงแรมภายในไทย 3 แห่ง ได้แก่ ราชดำริ, ลุมพินี และพัทยา 3 รวมา 4,000 ล้านบาท ส่วนอีก 2,500 ล้านบาท เป็นการลงทุนโรงแรมในลอส แองเจลีส สหรัฐ

“ปี 2567 เราวางเป้าหมายรายได้รวม่ 36,540 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้จากการโอนกรรมสิทธิ์ 28,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมียอดขายรอโอน (Backlog) ในมือมูลค่า 5,000 ล้านบาท และรายได้จากอสังหาริมทรัพย์เพื่อเช่า 8,540 ล้านบาท”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ทุบสถิติ !ออริจิ้นกวาดยอดขายปี66 กว่า 4.7หมื่นล้านโตทะลุเป้า

ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ ทุบสถิติ กวาดยอดขายบ้าน-คอนโดปี66 กว่า 4.7หมื่นล้านทะลุเป้าโตจากปีก่อน 15% เผยคอนโด Pet Lover-โครงการฝั่งธน-ต่างจังหวัดหนุนปิดโครงการ แย้มแผนปี67เจาะตลาดเซ็กเมนท์ใหม่และเซ็กเมนท์ที่กำลังซื้อยังแข็งแกร่งต่อเนื่อง

นายพีระพงศ์ จรูญเอก ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ผู้พัฒนาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร เปิดเผยว่า ภาพรวมปี 2566 ที่ผ่านมา (ม.ค.-ธ.ค.2566) บริษัทมียอดขาย (Presales) จากโครงการที่อยู่อาศัย อยู่ที่ประมาณ 47,265 ล้านบาท ทะลุเป้าหมายทั้งปีที่ 45,000 ล้านบาท คิดเป็น 105% จากเป้าหมายที่ตั้งไว้ และเติบโตจากช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาประมาณ 15% พร้อมทั้งทำสถิติยอดขายสูงสุดนับตั้งแต่ก่อตั้งบริษัท (All Time High) อีกครั้ง

โดยจากยอดขายดังกล่าว แบ่งเป็นยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 34,704 ล้านบาท หรือราว 73% และยอดขายจากโครงการบ้านจัดสรรภายใต้บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) 12,561 ล้านบาท หรือประมาณ 27% หากแบ่งตามสถานะโครงการ มีสัดส่วนยอดขายจากโครงการพร้อมอยู่ (Ready to move) ประมาณ 53% และยอดขายจากกลุ่มโครงการที่เพิ่งเปิดขายหรืออยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้าง (Ongoing) อีกราว 47%

“การบุกตลาดคอนโดมิเนียมสำหรับ Pet Lover อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะในทำเลใหม่ๆ ที่ยังเป็น Blue Ocean ไม่มีโครงการคอนโดมิเนียมเลี้ยงสัตว์ได้มาก่อน ถือเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยผลักดันยอดขายของเราให้เติบโตอย่างแข็งแกร่ง และสะท้อนว่าแนวโน้มคนรุ่นใหม่ในเขตเมืองมีความต้องการเลี้ยงสัตว์ในคอนโดสูงขึ้น ” นายพีระพงศ์ กล่าว

ขณะเดียวกัน เรายังสามารถขับเคลื่อนแผน Origin Infinity กวาดยอดขายจากโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมในทำเลใหม่ๆ เช่น ฝั่งธนบุรี และพื้นที่จังหวัดเศรษฐกิจสำคัญทั่วประเทศ ได้อย่างต่อเนื่อง ในหลายโครงการในต่างจังหวัดได้รับการตอบรับที่ดีมาก เช่น ภูเก็ต และ ขอนแก่น

สำหรับโครงการเปิดใหม่ปี 2566 ที่ได้รับการตอบรับดี จนสามารถปิดการขายหรือ Sold Out ได้หลังเปิดขาย ได้แก่ โซ ออริจิ้น ศิริราช  ออริจิ้น เพลส เพชรเกษม ออริจิ้น เพลส พหล 59 สเตชั่น  และ ดิ ออริจิ้น เซ็นเตอร์ ภูเก็ต

โดยแต่ละโครงการมีความโดดเด่นทั้งด้านศักยภาพทำเล ฟังก์ชันที่โดดเด่น ราคาที่คุ้มค่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งในทำเลเดียวกัน ขณะเดียวกัน ช่วงไตรมาส 4/2566 ซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่น บริษัทได้เปิดโครงการใหม่เพิ่มเติมอีก 9 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 11,040 ล้านบาท โดยแต่ละโครงการได้รับการตอบรับที่ดีส่งท้ายปี และคาดว่าจะช่วยเพิ่มแบ็คล็อคเพิ่มเติมในช่วงไตรมาส 1/2567 ได้อย่างต่อเนื่อง

นายพีระพงศ์ กล่าวอีกว่า ภาพรวมธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในปี 2567 นั้น มียังมีปัจจัยภายนอกที่ต้องจับตาหลายเรื่อง อาทิ ภาพรวมเศรษฐกิจโลก สถานการณ์เศรษฐกิจจีน การปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ภาวะหนี้ครัวเรือน หลายประเด็นอาจส่งผลต่อกำลังซื้อของผู้บริโภค ส่งผลให้ภาพรวมการเปิดตัวโครงการใหม่ของผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ทุกรายในปีนี้ น่าจะเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป เมื่อเทียบกับ 1-2 ปีก่อนหน้านี้

ที่ผ่านมา ออริจิ้น ยึดหลัก 4 อย่างในการก้าวผ่านความท้าทายเหล่านี้ ได้แก่ 1.ทำเลต้องดี เลือกทำเลที่มีความต้องการซื้อจริง เน้นเฉพาะทำเลใกล้รถไฟฟ้า เส้นทางคมนาคมสายหลัก ใกล้สถานที่สำคัญ 2.เซ็กเมนท์ต้องแตกต่าง เลือกเซ็กเมนท์ที่คู่แข่งไม่มาก แต่มีกำลังซื้อแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มเติบโต เช่น เซ็กเมนท์สำหรับ Pet Lover และ กลุ่มนักลงทุน Investment Program 3.ฟังก์ชันต้องตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนยุคใหม่ เน้นฟังก์ชันที่ใช้งานได้จริง และ 4.ใน 1 โครงการต้องตอบโจทย์ลูกค้าได้หลายกลุ่ม เช่น โครงการคอนโด Pet Lover ไม่ได้ขายเฉพาะคนเลี้ยงสัตว์ มีแยกตึกหรือแยกชั้น เพื่อขายทั้งคนเลี้ยงสัตว์และไม่เลี้ยงสัตว์ หลายโครงการต้องพัฒนาเป็นมิกซ์โปรดักท์ เพื่อให้ตอบโจทย์ลูกค้าที่มีกำลังซื้อหลากหลาย หลายโครงการทำเป็นมิกซ์ยูส เพื่อให้ตอบโจทย์การใช้ชีวิตได้ครบวงจร หลายโครงการต้องตอบโจทย์ทั้งผู้ซื้ออยู่เองและซื้อลงทุนระยะยาว

“ความท้าทายหลายอย่างไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นในปีนี้ แต่เกิดขึ้นต่อเนื่องจากปีที่ผ่านมา เราพิสูจน์มาแล้วว่ากลุ่มบริษัทสามารถปรับกลยุทธ์รวดเร็วช่วยให้เราก้าวผ่านทุกความท้าทายในปี 2566 มาได้ ปี 2567 เราก็จะยังคงยึดหลักการดังกล่าวในการพิจารณาพัฒนาโครงการ ควบคู่กับการจับตาปัจจัยภายนอกอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถปรับตัวได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ กับทุกสถานการณ์” นายพีระพงศ์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทในเครือที่เป็นบริษัทมหาชน ได้แก่ บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) และบริษัท พรีโม เซอร์วิส โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) จะเตรียมทยอยประกาศแผนการดำเนินธุรกิจประจำปี 2567 ในช่วงไตรมาส 1/2567 นี้ โดย บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) น่าจะประกาศแผนการดำเนินธุรกิจในช่วงเดือน มี.ค.2567

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 17ม.ค. “อ่อนค่า๐ ที่ระดับ 35.45 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 17 ม.ค. “อ่อนค่า๐ ที่ระดับ 35.45 บาทต่อดอลลาร์

เงินบาทยังมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าลง จากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ไฮไลท์สำคัญวันนี้ “รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales) รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด”

ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 17ม.ค.2567 ที่ระดับ  35.45 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลงเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  35.39 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์  นักกลยุทธ์ ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า  แนวโน้มของค่าเงินบาท เรายอมรับว่า เงินบาทได้ผันผวนอ่อนค่าแรงกว่าที่เราประเมินไว้พอสมควร ทำให้เราต้องปรับมุมมองใหม่ว่า ในช่วงนี้ เงินบาทยังมีความเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าลง จากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก

หลังผู้เล่นในตลาดได้ทยอยคลายกังวลต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย โดยเรามองว่า ปัจจัยสำคัญที่อาจกดดันเงินบาท คือ ทิศทางเงินดอลลาร์ บอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และทองคำ ซึ่งต้องรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ว่าจะส่งผลให้ผู้เล่นในตลาดปรับเปลี่ยนมุมมองต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดอย่างไร

โดยหากผู้เล่นในตลาดเลิกเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยได้เร็วและลึก (อาจเห็นโอกาสการลดดอกเบี้ยในเดือนมีนาคม ลดลงต่ำกว่า 50%) ก็อาจหนุนให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อ กดดันเงินบาทและราคาทองคำ

โดยเงินบาทเสี่ยงที่จะผันผวนอ่อนค่าทะลุระดับแนวต้านสำคัญ 35.50 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวชัดเจน ก็จะเปิดโอกาสให้เงินบาทอ่อนค่าต่อเนื่องไปถึงโซน 35.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ ทั้งนี้ ในส่วนการประเมิน Valuation ของเงินบาท เราพบว่า แถวโซน 35.80-36.00 บาทต่อดอลลาร์ เงินบาทถือว่าอยู่ในระดับที่ Undervalued พอสมควร (Z-score ของ REER ต่ำกว่า -0.75) ทำให้โซนดังกล่าวอาจเป็นจุดกลับตัวในระยะสั้นของเงินบาทได้

ทั้งนี้ ปัจจัยสนับสนุนการแข็งค่าของเงินบาทยังไม่ชัดเจน ทำให้เงินบาทอาจยังไม่สามารถพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ จนกว่าตลาดจะรับรู้ปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม หรือ นักลงทุนต่างชาติเริ่มทยอยกลับเข้ามาซื้อสินทรัพย์ไทยมากขึ้น ซึ่งเราประเมินว่า เงินบาทก็อาจยังไม่สามารถแข็งค่าทะลุโซน 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ ไปได้ง่ายนัก (แนวรับถัดไปคือ 35.00 บาทต่อดอลลาร์)

ในช่วงนี้ ความผันผวนของเงินบาทที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ผ่านมา (มองจากกรอบเงินบาทรายสัปดาห์) อย่างเห็นได้ชัด ทำให้เรายังคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ

นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 35.25-35.60 บาท/ดอลลาร์

โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทผันผวนอ่อนค่าลงบ้าง (แกว่งตัวในช่วง 35.29-35.45 บาทต่อดอลลาร์) ตามการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด Christopher Waller ยังคงย้ำจุดยืนว่า เฟดอาจยังไม่รีบปรับลดดอกเบี้ยได้เร็วอย่างที่ตลาดคาดหวัง

ซึ่งภาพดังกล่าวยังได้กดดันให้ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซนแนวรับ ทำให้ผู้เล่นในตลาดบางส่วนทยอยเข้าซื้อทองคำในจังหวะย่อตัวบ้าง และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันเงินบาทในช่วงนี้เช่นกัน ทั้งนี้ การอ่อนค่าของเงินบาทก็ถูกชะลอลงบ้าง จากแรงขายเงินดอลลาร์ของผู้เล่นในตลาดบางส่วน

ทว่าควรจับตาอย่างใกล้ชิดว่าเงินบาทจะอ่อนค่าทะลุแนวต้าน 35.50 บาทต่อดอลลาร์ไปได้ชัดเจน หรือไม่ เพราะการปรับตัวอ่อนค่าทะลุระดับดังกล่าว จะเปิดโอกาสให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าต่อเนื่องไปถึงโซน 35.80 บาทต่อดอลลาร์ ได้ไม่ยาก

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะปิดรับความเสี่ยง ท่ามกลางความกังวลว่า เฟดอาจไม่ได้รีบลดดอกเบี้ยได้เร็วและลึกอย่างที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ โดยภาพดังกล่าวได้หนุนให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทะลุระดับ 4% กดดันให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ ต่างย่อตัวลง อาทิ Meta -1.9%, Amazon -0.9%

นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาสถาบันการเงินที่ออกมาผสมผสานก็มีส่วนกดดันให้หุ้นกลุ่มการเงินปรับตัวลดลง โดยเฉพาะ Morgan Stanley -4.2%, BofA -2.1% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.37%

ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง -0.24% ท่ามกลางความไม่แน่นอนของทิศทางนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) นอกจากนี้ รายงานผลประกอบการของบรรดาบริษัทจดทะเบียนที่ออกมาแย่กว่าคาด

ก็มีส่วนกดดันตลาดหุ้นยุโรป เช่นกัน อย่างไรก็ดี ท่ามกลางภาวะปิดรับความเสี่ยงดังกล่าว ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากการปรับตัวขึ้นของหุ้น Defensive อาทิ หุ้นกลุ่ม Healthcare Novo Nordisk +0.8%

นฝั่งตลาดบอนด์ ถ้อยแถลงของเจ้าหน้าที่เฟด Christopher Waller ที่ย้ำจุดยืนว่า เฟดอาจไม่รีบปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายตามที่ตลาดคาดหวัง ได้ส่งผลให้ ผู้เล่นในตลาดทยอยปรับลดโอกาสเฟดลดดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมเดือนมีนาคมลง เหลือ 63% จากที่เคยประเมินไว้เกือบ 81% ในวันก่อนหน้า ซึ่งการปรับมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดได้หนุนให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องสู่ระดับ 4.05%

สอดคล้องกับมุมมองของเราที่ย้ำว่า ผู้เล่นในตลาดควรระมัดระวังการทยอยปรับลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของเฟด ทั้งนี้ เรายังเห็นความเสี่ยงที่บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ อาจปรับตัวขึ้นต่อได้ หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังออกมาดีกว่าคาด

ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเน้นกลยุทธ์ Buy on Dip โดยพยายามคำนึงถึง จุดคุ้มทุน หรือ Break-even เมื่อพิจารณาถึงผลตอบแทนรวม หรือ Total Return ที่จะได้จากการถือครองบอนด์ 

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ปรับตัวแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก ตามการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ หลังผู้เล่นในตลาดต่างลดความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ย “เร็วและลึก” ของเฟด นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย

ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลางที่ทวีความร้อนแรงขึ้น ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 103.3 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 103-103.4 จุด) ในส่วนของราคาทองคำ แม้ว่า ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) อาจพอได้แรงหนุนอยู่บ้างจากความต้องการถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยในช่วงตลาดเผชิญความเสี่ยงภูมิรัฐศาสตร์

ทว่า การปรับตัวขึ้นของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ จากความกังวลแนวโน้มเฟดอาจไม่รีบลดดอกเบี้ย ก็กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลงต่อเนื่อง สู่โซนแนวรับแถว 2,020-2,030 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเป็นโซนที่ผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างรอเข้าซื้อเงินดอลลาร์ และโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวก็มีส่วนกดดันให้เงินบาทผันผวนอ่อนค่าลง

สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่รายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อย่าง ยอดค้าปลีก (Retail Sales)  รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด

ส่วนในฝั่งเอเชีย ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของจีน อาทิ อัตราการเติบโตเศรษฐกิจในไตรมาสที่ 4 รวมถึง รายงานข้อมูลเศรษฐกิจรายเดือน เช่น ยอดค้าปลีก (Retail Sales) และยอดผลผลิตอุตสาหกรรม (Industrial Production)

ส่วนทางฝั่งยุโรป รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษและยูโรโซน รวมถึงถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) และธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) จะเป็นที่จับตาอย่างใกล้ชิดของผู้เล่นในตลาด ซึ่งอาจส่งผลต่อการปรับมุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของทั้ง ECB และ BOE ได้

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สินค้าจัดเต็ม! เปิดแล้วร้าน SoccerGate สาขา Outlet Mall เฟส 2 พัทยา

วันที่ 10 มกราคม 2567 นายวรตพงษ์ ตันมณี Managing Director และนายธนวรรธน์ กลิ่นช้าง Marketing Director ผู้นำทัพ SoccerGate แบรนด์ร้านรองเท้าฟุตบอล, รองเท้าฟุตซอล และอุปกรณ์กีฬาฟุตบอล Grand Opening ฉลองเปิดสาขาใหม่ สาขาที่ 5 ตั้งอยู่ที่ Outlet Mall เฟส 2 พัทยา จังหวัดชลบุรี

โดยสาขานี้ SoccerGate ได้นำทัพรองเท้าฟุตบอล รองเท้าฟุตซอลแบรนด์ดัง อาทิ Mizuno, Pan, Kappa, Adidas, Puma, Breaker, Asics, Grand Sport, Joma, Kelme, Munich และ SGUB รวมถึงเสื้อผ้า, ถุงเท้า และอื่นๆ อีกมากมายมาจำหน่ายในสาขานี้อย่างเต็มรูปแบบ

ลูกค้าสายนักเตะไม่ควรพลาด ร้าน SoccerGate สาขา Outlet Mall เฟส 2 พัทยา จังหวัดชลบุรี เปิดร้านวันจันทร์-วันพฤหัสบดี เปิดทำการตั้งแต่เวลา 10.00-20.00 น. และตั้งแต่วันศุกร์-วันอาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ เปิดทำการตั้งแต่เวลา 10:00-21:00 น. #soccergate #SGUB #SOCCERGATEพัทยา

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


สัญญาณเตือนโรคเบาหวาน จะมีอาการอย่างไร

โรคเบาหวาน เป็นโรคที่ใครๆ ก็รู้จัก และส่วนมากจะเข้ากันเป็นที่เรียบร้อยว่าสาเหตุมาจากพฤติกรรมการกินอาหารที่มีรสหวาน หรือรสจัดมากเกินไป รวมไปถึงแป้งต่างๆ และมีความเสี่ยงมากยิ่งขึ้นหากครอบครัวมีประวัติเคยเป็นโรคเบาหวานมาก่อน

แต่สิ่งที่อีกหลายๆ คนไม่ทราบ คือ สัญญาณอันตรายที่จะเตือนภัยกับเราว่า เรากำลังจะเป็น โรคเบาหวาน แล้ว อาการเป็นอย่างไร มีวิธีสังเกตได้อย่างไร Sanook Health มีข้อมูลมาฝากค่ะ

เริ่มทำความรู้จัก โรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน เป็นภาวะที่ในกระแสเลือดมีระดับน้ำตาลสูงกว่าปกติ อันเนื่องมาจากการ ขาดฮอร์โมนอินซูลิน หรือประสิทธิภาพในการทำงานของฮอร์โมนอินซูลินลดลง เป็นเหตุให้น้ำระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งหากปล่อยไว้เป็นเวลานานก็จะทำให้ร่างกายเกิดภาวะโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ ได้ง่าย อาทิ ตา ไต รวมไปถึงระบบประสาท ส่วนใหญ่อาหารที่เรารับประทานเข้าไปนั้น ร่างกายจะทำปฏิกิริยาเปลี่ยนอาหารให้เป็นน้ำตาลกลูโคสในกระแสเลือดเพื่อใช้เป็นพลังงาน การเจาะเลือดเซลล์ในตับอ่อนที่มีชื่อว่า เบต้าเซลล์ จะเป็นตัวสร้างอินซูลิน โดยที่อินซูลินจะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสเข้าสู่เซลล์เพื่อนำมาใช้เป็นพลังงาน

ความสำคัญของ อินซูลิน ต่อร่างกาย

อย่างที่บอกไปในตอนแรกที่เริ่มทำความรู้จักกับ โรคเบาหวาน ว่า อินซูลิน นั้นเป็นฮอร์โมนตัวหนึ่งที่สำคัญภายในร่างกาย สร้างและหลั่งออกมาจากเบต้าเซลล์ของตับอ่อน มีหน้าที่พาน้ำตากลูโคสเข้าสู่เนื้อเยื้อส่วนต่างๆ ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญและเป็นพลังงานที่สำคัญต่อการดำเนินชีวิต หากร่างกายขาดอินซูลิน หรืออินซูลินนั้นออกฤทธิ์ได้อย่างไม่มีประสิทธิภาพ ร่างกายก็จะใช้การไม่ได้ เป็นเหตุให้ระดับน้ำตาลในเลือดมีเพิ่มสูงขึ้นจนเกิดเป็นโรคเบาหวาน ซึ่งนอกจากจะมีความผิดปกติในการเผาผลาญคาร์โบไฮเดรตแล้ว ก็ยังมีความผิดปกติในด้านอื่นๆ ด้วย เช่น มีการสลายตัวของสารไขมันและโปรตีนร่วม

โรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร

โดยปกติแล้ว การเกิดโรคเบาหวาน นั้นจะมีความสัมพันธ์กับฮอร์โมนที่ถูกสร้างมาจากตับ คือ ฮอร์โมนอินซูลิน โดยที่ฮอร์โมนตัวนี้จะเป็นตัวนำน้ำตาลกลูโคสจากเลือดเข้าไปสู่เซลล์ต่างๆ ภายในอวัยวะทั่วร่างกาย อาทิ สมอง , ตับ , ไต , หัวใจ เพื่อให้เซลล์นั้นนำกลูโคสไปใช้เป็นพลังงานในการทำงาน แต่หากกระบวนการสร้างฮอร์โมนอินซูลินเกิดมีความผิดปกติ ตับสร้างอินซูลินได้น้อยกว่าที่ควรจะเป็น หรือเกิดความผิดปกติบางอย่างที่ทำให้เซลล์ไม่สามารถนำกลูโคสไปใช้ได้ ถึงแม้ว่าตับจะสร้างฮอร์โมนได้ในระดับปกติ หรือที่เรียกกันว่า เซลล์ดื้อต่ออินซูลิน เมื่อความผิดปกติทั้ง 2 อย่างเกิดขึ้น ก็จะทำให้น้ำตาลคั่งในเลือดในจำนวนที่มาก ทำให้ความผิดปกตินั้นเกิดขึ้นลุกลามจนกลายเป็น โรคเบาหวาน ในที่สุด

ทั้งนี้ ถึงแม้เราจะรู้ว่าโรคเบาหวานเกิดขึ้นได้อย่างไร เกิดความผิดปกติของกระบวนการใดในร่างกาย แต่สาเหตุของการเกิดก็ยังไม่ถูกระบุแน่ชัด แต่จากการศึกษาพบว่ามันเป็นกระบวนการที่ค่อนข้างซับซ้อนที่เกิดจากทั้งพันธุกรรมและการดำเนินชีวิตของคนเรา (Lifestyle) ประกอบกัน

โรคเบาหวาน มีอาการอย่างไร

อาการหลักๆ ที่สื่อว่าคนๆ นั้นมีความเสี่ยงที่จะเป็นเบาหวาน อาจได้แก่ รู้สึกหิวบ่อย , กระหายน้ำ , ปัสสาวะมีปริมาณมากและบ่อย อีกทั้งก็ยังมีอาการอื่นๆ ประกอบ อาทิ

  • เหนื่อย อ่อนเพลีย
  • ผิวแห้ง เกิดอาการคันบริเวณผิว
  • ตาแห้ง
  • มีอาการชาที่เท้า หรือรู้สึกเจ็บแปลบๆ ที่ปลายเท้า หรือที่เท้า
  • ร่างกายซูบผอมลงผิดปกติ โดยไม่สามารถหาสาเหตุได้
  • เมื่อเกิดบาดแผลที่บริเวณต่างๆ ของร่างกายมักหายช้ากว่าปกติ โดยเฉพาะแผลที่เกิดกับบริเวณเท้า
  • สายตาพร่ามัวในแบบที่หาสาเหตุไม่ได้

10 สัญญาณอันตราย ว่าเรากำลังจะเป็นโรคเบาหวาน หรือไม่

  1. อ่อนเพลียง่าย ทั้งๆ ที่พักผ่อนเพียงพอ และไม่ได้ป่วยไข้
  2. ผอมลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
  3. ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
  4. หิวน้ำมากกว่าปกติ (เพราะร่างกายสูญเสียน้ำจากการปัสสาวะบ่อย)
  5. ตาพร่ามัวลงอย่างไม่ทราบสาเหตุ
  6. ปวดขา ปวดเข่า
  7. ผิวหนังแห้ง และมีอาการคัน อาจจะคันตามตัว หรือคันบริเวณปากช่องคลอด
  8. เป็นฝีตามตัวบ่อยๆ
  9. อารมณ์แปรปรวน โมโหง่าย
  10. แผลหายช้า ไม่แห้งสนิท หรือขึ้นสะเก็ดเสียที

ใครที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคเบาหวาน

โรคเบาหวาน นั้นเป็นโรคที่สามารถถ่ายทอดผ่านทางพันธุกรรมได้ ฉะนั้นผู้ที่มีญาตสายตรง อย่าง พ่อ แม่ พี่ น้อง ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานก็อาจจะมีความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานเพิ่มมากขึ้น ซึ่งหากมีทั้งพ่อและแม่ที่เป็นโรคเบาหวาน รุ่นลูกก็จะมีความเสี่ยงที่จะเป็นถึงร้อยละ 50

นอกจากการถ่ายทอดทางพันธุกรรมแล้ว ยังมีพฤติกรรมการใช้ชีวิตที่เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่อาจส่งผลให้เป็นโรคเบาหวานได้ อาทิ ผู้ที่มีน้ำเกิน หรือเรียกว่า อ้วน , ผู้ที่ไม่ชอบออกกำลังกาย , มีไขมันในเลือดสูง โดยกลุ่มคนเหล่านี้จะเสี่ยงต่อการเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ 2 ซึ่งโรคเบาหวานชนิดที่ 1 ทุกคนมีสิทธิ์ที่จะเป็นได้เท่าๆ กัน

ปัจจัยใดบ้างที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคเบาหวาน

ปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดโรคเบาหวานนั้นมีอยู่หลายข้อ ส่วนหนึ่งก็มาจากเรื่องของพันธุกรรมที่ถูกส่งต่อจากรุ่นสู่รุ่น จนมาถึงเรื่องของการใช้ชีวิตประจำวันที่เรานั้นอาจไม่ทันได้ให้ความสำคัญ หรือหลงลืมไป มาดูกันว่ามีปัจจัยอะไรบ้าง

  • เรื่องของพันธุกรรม อย่างที่บอกไปในตอนแรกว่าคนที่มีครอบครัวสายตรง ไม่ว่าจะเป็น พ่อ แม่ พี่ น้องที่เป็นท้องเดียวกันป่วยเป็นโรคเบาหวาน เราที่เป็นรุ่นต่อมาก็มีโอกาสเสี่ยงที่จะเป็นโรคเบาหวานได้สูงกว่าคนทั่วๆ ไป
  • ผู้ที่เป็นโรคอ้วนและมีน้ำหนักตัวเกิน ส่งผลให้เซลล์ต่างๆ ดื้อต่ออินซูลิน
  • ไม่ออกกำลังกาย หรือออกกำลังกายไม่สม่ำเสมอ เนื่องจากว่าการออกกำลังกายนั้นจะช่วยทำให้เราสามารถควบคุมน้ำหนักได้ อีกทั้งยังช่วยให้เซลล์ต่างๆ ไวต่อการนำน้ำตาลไปใช้ รวมถึงยังช่วยในเรื่องของการเผาผลาญน้ำตาลในเลือดได้ดีอีกด้วย
  • เรื่องของเชื้อชาติ ทั้งนี้มีข้อมูลพบว่าคนในบางเชื้อชาติเป็นเบาหวานสูงกว่าคนในชาติอื่นๆ อาทิ ในคนเอเชียและคนผิวดำมีโอกาสที่จะป่วยเป็นโรคเบาหวานได้มากกว่าคนชาติอื่นๆ
  • เรื่องของอายุ ยิ่งอายุมากขึ้น โอกาสที่จะเป็นเบาหวานก็มีมากขึ้นเป็นเงาตามตัว นั่นอาจมาจากระบบการทำงานของเซลล์ตับอ่อนเสื่อมถอย หรือขาดการออกกำลังกาย
  • การมีไขมันในเลือดสูง
  • การมีความดันโลหิตสูง

โรคแทรกซ้อนที่เกิดจากโรคเบาหวาน

โรคเบาหวานนั้นถือได้ว่าเป็นโรคเรื้อรังที่จะเข้าไปเปลี่ยนแปลงผนังหลอดเลือด ส่งผลให้หลอดเลือดแข็ง หรือตีบ ซึ่งหากหลอดเลือดในอวัยวะส่วนใดของร่างกายแข็ง หรือตีบ ก็จะทำให้เกิดโรคที่อวัยวะนั้นๆ ดังจะเห็นได้ว่า โรคเบาหวาน เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนได้ทุกระบบ อันได้แก่ ระบบประสาท , ตา , ไต , ไต , หัวใจและหลอดเลือด , ผิวหนัง และช่องปาก เป็นต้น

อาการของผู้ที่เป็นโรคเบาหวาน

หากกล่าวถึงโดยภาพรวมอาการของผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานนั้นจะปัสสาวะบ่อย มีน้ำหนักที่ลดลง หิวบ่อย บางครั้งก็มีอาการอ่นเพลีย อันเนื่องมาจากการที่มีน้ำตาลในเลือดสูง คราวนี้ เราลองมาดูกันลึกลงไปอีกนิดว่าผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานจะมีอาการใดแสดงให้เห็นเพิ่มเติมได้อีกบ้าง

ในคนทั่วไปที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานก่อนที่จะรับประทานอาหารเช้าจะมีระดับน้ำตาลในเลือดเพียง 70 – 110 มก.% โดยหลังจากที่รับประทานอาหารเช้าเข้าไปแล้วประมาณ 2 ชั่วโมง ก็จะมีระดับน้ำตาลในเลือดไม่เกิน 140 มก.% ซึ่งที่มีระดับน้ำตาลไม่มากก็อาจจะไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา สำหรับการวินิจฉัยโรคเบาหวานนั้นทำได้ด้วยการเจาะเลือด มีอาการที่พบได้บ่อยดังนี้

  • คนปกติที่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะไม่ลุกขึ้นมาปัสสาวะในช่วงเวลากลางดึก หรือปัสสาวะเป็นอย่างมากไม่เกิน 1 ครั้ง ซึ่งเมื่อมีระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เกินกว่า 180 มก.% น้ำตาลก็จะถูกขับออกมาทางปัสสาวะ ทำให้มีอาการปัสสาวะบ่อยและเกิดการสูญเสียน้ำ อีกทั้งยังอาจพบได้ว่าปัสสาวะของตนเองมีมดตอม
  • ผู้ที่ป่วยเป็นโรคเบาหวานมักจะหิวน้ำบ่อย อันเนื่องมาจากต้องมีการทดแทนน้ำที่ร่างกายขับออกมาทางปัสสาวะ
  • มีอาการอ่อนเพลีย น้ำหนักตัวลดลงเนื่องจากร่างกายไม่สามารถใช้น้ำตาลที่มีอยู่ได้ จึงได้ย่อยสลายส่วนที่เป็นโปรตีนและไขมันออกมา
  • ผู้ป่วยมักจะหิวบ่อยและกินเก่ง แต่ในทางตรงกันข้าม น้ำหนักตัวจะลดลงอย่างต่อเนื่อง เกิดเพราะร่างกายไม่สามารถนำน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงานได้ จึงมีการสลายพลังงานจากไขมันและโปรตีนจากกล้ามเนื้อแทน
  • อาการอื่นที่อาจพบได้ อาทิ การติดเชื้อ , แผลหายช้า หรือมีอาการคันตามจุดต่างๆ ของร่างกาย
  • เกิดการคันตามผิวหนัง มีการติดเชื้อรา โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณช่องคลอดของผู้หญิง ส่วนสาเหตุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดการคันอาจเกิดจากผิวที่แห้งจนเกินไป หรือมีการอักเสบของผิวหนัง
  • การมองเห็นไม่ชัดเจน สายตาพร่ามัวจนต้องเปลี่ยนแว่นบ่อยๆ ทั้งนี้ อาจเป็นเพราะมีการเปลี่ยนแปลงทางสายตา เช่น สายตาสั้น , ต้อกระจก หรือมีน้ำตาลในเลือดสูง
  • เกิดอาการชาตามส่วนต่างๆ ไม่มีความรู้สึก เจ็บตามแขนขา หย่อนสมรรถภาพทางเพศ อันเนื่องมาจากระดับน้ำตาลในเลือดที่สูงนาน ส่งผลให้เส้นประสาทเกิดการเสื่อมสภาพ เป็นแผลที่เท้าง่าย เพราะไม่มีความรู้สึก
  • อาจเกิดการอาเจียน

เมื่อระดับน้ำตาลอยู่ในกระแสเลือดสูงและเป็นโรคเบาหวานได้ระยะหนึ่ง ก็อาจเกิดโรคแทรกซ้อนขึ้นกับหลอดเลือดเล็ก เรียกว่า Microvacular ซึ่งหากมีโรคแทรกซ้อนนี้เกิดขึ้นก็จะทำให้เกิดโรคไต , เบาหวานเข้าตา นอกจากนั้น หากหลอดเลือดแดงใหญ่เกิดการแข็งตัว จะเรียกว่า Macrovascular ที่จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ , เป็นอัมพาต , หลอดเลือดแดงที่ขาตีบ อีกทั้งยังจะทำให้เกิดปลายประสาทอักเสบ ที่เรียกว่า Neuropathic ที่ทำให้ขาชา , กล้ามเนื้ออ่อนแรง และประสาทอัตโนมัติเสื่อมได้

หากมีอาการเหล่านี้ บวกกับพฤติกรรมในการทานอาหารที่ไม่ค่อยระวังเรื่องแป้ง และน้ำตาล คุณอาจสันนิษฐานได้ว่ากำลังมีโอกาสเป็นโรคเบาหวานได้สูง เพราะฉะนั้นควรรีบพบแพทย์เพื่ การตรวจที่ละเอียด และทำการรักษาต่อไปค่ะ

โรคเบาหวาน วินิจฉัยอย่างไรบ้าง

ในเบื้องต้น เมื่อเราเดินทางไปพบแพทย์ แพทย์ก็จะเริ่มต้นสอบถามอาการ ประวัติการเจ็บป่วย รวมไปถึงคนในครอบครัว จากนั้นก็จะมีการตรวจร่างกาย ตรวจเลือดเพื่อดูระดับน้ำตาล ซึ่งวิธีการวิเคราะห์ระดับน้ำตาลก็จะมีอยู่หลายวิธี ดังนี้

  • วิธีที่ 1 : การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดเวลาใดก็ได้
  • วิธีที่ 2 : การตรวจระดับน้ำตาลในเลือดหลังอดอาหารอย่างน้อย 8 ชั่วโมง
  • วิธีที่ 3 : การทดสอบการตอบสนองของฮอร์ดมนอินซูลินที่มีต่อระดับน้ำตาลในเลือด
  • วิธีที่ 4 : การตรวจน้ำตาลเฉลี่ยสะสม หรือฮีโมโกลบิน เอ วัน ซี

หากผู้ป่วยไม่มีอาการของโรคเบาหวานชัดเจนคือ หิวน้ำมาก ปัสสาวะบ่อยและมาก น้ำหนักตัวลดลง โดยที่ไม่มีสาเหตุ การตรวจด้วยวิธีทั้งหมดข้างต้นจำเป็นต้องมีการตรวจซ้ำอย่างน้อย 1 ครั้งด้วยวิธีใดวิธีหนึ่งอีกครั้งหนึ่งเพื่อยืนยันผลการวินิจฉัย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


พัฒนาอย่างไรให้ใช้ภาษาได้คล่องอย่างใจนึก

การใช้ภาษาได้คล่องก็คล้ายกับความสุข ทุกคนอยากได้ แต่ไม่มีใครรู้แน่ชัดว่าทำอย่างไรถึงจะได้ นี่น่าจะเป็นเป้าหมายสูงสุดสำหรับนักเรียน Wall Street English หลาย ๆ คน ดังนั้นทีมวิจัยของ WSE จึงตัดสินใจทำการศึกษาเรื่องทำอย่างไรจึงจะใช้ภาษาได้คล่อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งครั้งนี้เราได้ศึกษาบทบาทที่ครูผู้สอนมีต่อการช่วยนักเรียนไปสู่การใช้ภาษาได้คล่องแคล่วดั่งใจ

 คำถามที่เราตั้งเป้าหมายว่าจะหาคำตอบมีดังต่อไปนี้

  1. ระดับความคล่องแคล่วที่นักเรียนของ WSE ได้กันคือเท่าใด
  2. ครูผู้สอนคิดว่าคะแนนความคล่องแคล่วนั้นมีประโยชน์กับนักเรียนหรือไม่
  3. ครูผู้สอนมั่นใจในคะแนนความคล่องแคล่วที่ตนให้นักเรียนมากเพียงใด
  4. ครูผู้สอนได้พิจารณาระดับภาษาอังกฤษของผู้เรียนหรือไม่ก่อนให้คะแนนความคล่องแคล่ว

นักเรียน WSE ทุกคน ตั้งแต่ระดับเริ่มต้นไปจนถึงขั้นสูง จะต้องเข้าเรียน encounter class เมื่อเรียนออนไลน์จบหนึ่งบท ขั้นแรกเราได้คำนวณตัวเลขมหาศาล (10,700 คะแนนค่าเฉลี่ยต่อหนึ่งเลเวล) ของคะแนนความคล่องแคล่วตลอดทั้งชั้นเรียน encounter class ทั้ง 80 ครั้ง เพื่อหาแพทเทิร์นการให้คะแนน จากนั้นเราได้แจกแบบสอบถามให้กับครูผู้สอน encounter class ในอิตาลีและจีน เพื่อดูว่าครูมีความเห็นอย่างไรเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้และครูคิดว่านักเรียนจะพัฒนาการใช้ภาษาของตนให้คล่องแคล่วได้อย่างไร นี่คือบทสรุปสั้น ๆ จากผลลัพธ์ที่เราได้พบ

 เมื่อดูที่ผลวิเคราะห์ระดับความคล่องแคล่วในการใช้ภาษา ระดับความคล่องแคล่วของนักเรียน WSE นั้นค่อนข้างดี (3.16 /  4 หรือ 79%) แม้ว่าคะแนนความคล่องแคล่วจะเพิ่มขึ้นเมื่อเลเวลที่เรียนสูงขึ้น กล่าวคือจากประมาณ 3 (75%) ในผู้เรียนระดับเริ่มต้น survival level เพิ่มขึ้นเป็นมากกว่า 3.3 (83%) ในระดับ mastery courses แสดงให้เห็นว่าครูผู้สอนมีแนวโน้มจะให้คะแนนความคล่องแคล่วของนักเรียนเป็นรูปแบบตายตัวมากกว่าที่จะให้คะแนนที่สะท้อนว่านักเรียนคล่องเพียงใดเมื่อเทียบกับเกณฑ์มาตรฐานของเลเวลคอร์สที่นักเรียนเรียนอยู่ในขณะนั้น

รูปที่ 1.

ทีมวิจัยและครูผู้สอนของเราพบว่า:

  1. ครูผู้สอนเชื่อว่าคะแนนวัดระดับความคล่องแคล่วนั้นมีประโยชน์และช่วยนักเรียน ครูร้อยละ 87 เห็นด้วย
  2. ครูผู้สอนร้อยละ 93 คิดว่าตนสามารถประเมินระดับความคล่องแคล่วในการใช้ภาษาของนักเรียนได้เต็มที่ ซึ่งเป็นสิ่งที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์คะแนนความคล่องแคล่วของเราสะท้อนให้เห็นว่าเราต้องช่วยให้แนวทางครูผู้สอนในการให้คะแนนนักเรียนโดยคำนึงถึงระดับภาษาอังกฤษของนักเรียนให้มากขึ้น
  3. ครูร้อยละ 84% คิดว่าระดับความคล่องแคล่วและแม่นยำนั้นแตกต่างกัน (เช่น บางคนอาจจะใช้ได้ถูกแต่ไม่คล่องแคล่ว หรืออาจจะใช้ได้คล่องแต่ไม่ถูก)
  4. จากนั้นเราได้ถามว่า “ความคล่องแคล่วในการใช้ภาษานั้นเพิ่มเติมไปพร้อมกับทักษะความสามารถหรือไม่” (พูดอีกอย่างก็คือ นักเรียนที่อยู่ในระดับสูงนั้นคล่องกว่านักเรียนในระดับต้นหรือไม่) มีครูเพียงร้อยละ 10 ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อความนี้ ซึ่งสามารถช่วยอธิบายได้ว่าทำไมคะแนนความคล่องแคล่วเพิ่มมากขึ้นพร้อมระดับการเรียนรู้ดังที่เราเห็นด้านบน
  5. และเรายังถามครูผู้สอนอีกครั้งว่า “คุณเคยให้คะแนนความคล่องแคล่วสูงกับนักเรียนที่เรียนเลเวลต่ำหรือไม่ ครูร้อยละ 19 ว่าตนไม่เคย ซึ่งสอดคล้องกับครูร้อยละ 16% ที่คิดว่าความคล่องแคล่วและความถูกต้องนั้นเกี่ยวข้องกัน (กล่าวไว้ในข้อที่ 3)

เมื่อเราถามครูผู้สอนว่าตนมีอะไรจะแนะนำนักเรียนเพื่อนำไปพัฒนาความคล่องแคล่ว พวกเขามีคำแนะนำที่น่าสนใจอยู่หลายประการ
– แค่กล้าพูด โดยไม่ต้องกลัวผิด
– อย่าแปลจากภาษาแม่เป็นภาษาอังกฤษก่อนพูด
–ฝึกพูดให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ถ้ามีโอกาสได้เจอเจ้าของภาษา ไม่อย่างนั้นลองพูดกับคนที่บ้าน หรือถ้าคนที่บ้านพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ให้ลองพูดกับตัวเอง (แต่อย่าพูดคนเดียวในที่สาธารณนะ!)

 เราจะสรุปผลอะไรได้บ้างจากข้อมูลทั้งหมดที่ได้มา ข้อเสนอแนะมีดังต่อไปนี้

  • ในการอบรมครู เราต้องช่วยครูผู้สอน โดยเฉพาะครูที่เพิ่งมาใหม่ให้เข้าใจว่านักเรียนแต่ละระดับคาดหวังความคล่องแคล่วอย่างไร ซึ่งจะช่วยให้นักเรียนเห็นพัฒนาการสู่เป้าหมายในการใช้ภาษาได้คล่องแคล่วของตนได้แม่นยำมากขึ้น
  • เราจะได้เห็นว่าเราจะปรับปรุงการฝึกอบรมครูอย่างไรเพื่อช่วยให้พวกเราประเมินระดับความคล่องแคล่วของคนักเรียนได้ง่ายขึ้น
  • เราจะเดินหน้าพัฒนาเครื่องมือทีช่วยให้ครูผู้สอนให้คำแนะนำที่เหมาะกับนักเรียนแต่ละคนในการพัฒนาความคล่องแคล่วของพวกเขาได้

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


แผ่นป้ายหมายเลขโลหะที่ติดมากับกุญแจรถคืออะไร?

ใครก็ตามที่ซื้อรถใหม่ป้ายแดงออกมาจากโชว์รูม คงจะเห็นว่าในพวงกุญแจรถที่ให้มานั้น จะมีแผ่นโลหะขนาดเล็กที่สลักหมายเลขติดมาให้ด้วย ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่เจ้าของรถจะต้องเก็บรักษาไว้ให้ดี ไม่ควรปล่อยทิ้งไว้จนหายอย่างเด็ดขาด คงอยากรู้แล้วใช่ไหมล่ะครับว่าเจ้าสิ่งนี้คืออะไรกันแน่?

     แผ่นป้ายหมายเลขกุญแจ เป็นรหัสเฉพาะสำหรับรถแต่ละคันสำหรับทำกุญแจดอกใหม่ในกรณีกุญแจสูญหาย ซึ่งโดยปกติแล้วหากกุญแจดอกใดดอกหนึ่งหาย สามารถนำกุญแจสำรองที่เหลือไปให้ศูนย์บริการทำดอกใหม่ได้โดยไม่จำเป็นต้องใช้แผ่นป้ายโลหะดังกล่าว

แต่กรณีกุญแจหลักและกุญแจสำรองหายพร้อมกันทุกดอก คุณจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำแผ่นป้ายหมายเลขดังกล่าวไปให้ศูนย์บริการเพื่อทำกุญแจดอกใหม่ หากว่าไม่มีรหัสดังกล่าว อาจจำเป็นต้องเปลี่ยนเบ้ากุญแจทั้งชุด ซึ่งมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูงจนถึงหลักหมื่นบาทได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดีอยู่ภายในบ้าน

     ทางที่ดีคุณควรพ่วงแผ่นป้ายไว้กับกุญแจสำรองที่เก็บรักษาอยู่ภายในบ้าน ไม่ควรห้อยติดตัวไปใช้งาน เมื่อใดก็ตามที่จำเป็นต้องนำกุญแจสำรองออกมาใช้ ก็ควรถอดแผ่นป้ายโลหะเก็บไว้อีกที หรืออีกวิธีหนึ่งคือการถ่ายรูปแผ่นป้ายเก็บไว้ในโทรศัพท์มือถือ เผื่อกรณีเกิดสูญหายขึ้นมาจริงๆ ก็สามารถใช้รหัสดังกล่าวเพื่อแสดงให้กับศูนย์บริการได้เช่นกัน

     รู้แบบนี้แล้วก็ควรเก็บรักษาแผ่นป้ายหมายเลขอย่างปลอดภัย หลีกเลี่ยงการนำมาห้อยกับกุญแจที่ใช้งานอยู่เป็นประจำด้วยนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“แอปเปิ้ล” กินแบบปอกเปลือก หรือไม่ปอกดีต่อสุขภาพมากกว่ากัน

ผู้คนมีวิธีการเพลิดเพลินกับแอปเปิ้ลแตกต่างกัน บางคนทานทั้งเปลือก แต่บางคนชอบปอกและหั่นเป็นชิ้นอย่างระมัดระวัง อย่างไรก็ตามจากมุมมองทางคลินิก ผู้เชี่ยวชาญมีความเห็นว่า การทานแอปเปิ้ลที่ล้างสะอาดแล้วทั้งเปลือกนั้นมีประโยชน์มากกว่า

สิ่งที่หลายคนไม่รู้ก็คือวิตามินซีในแอปเปิ้ลจำนวนมากนั้นอยู่ใต้เปลือกเพียงเล็กน้อย “ดังนั้น การปอกเปลือกอาจทำให้สูญเสียคุณค่าทางโภชนาการ เปลือกแอปเปิ้ลยังมีสารอาหารและสารต้านอนุมูลอิสระอื่นๆ อีกหลายชนิด ซึ่งเป็นที่รู้จักในการต่อสู้กับความเครียดออกซิเดชัน และอาจช่วยป้องกันโรคเรื้อรัง

อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญอย่างยิ่งคือต้องล้างแอปเปิ้ลให้สะอาดหมดจด เพื่อขจัดสารตกค้างของยาฆ่าแมลงหรือสารเคลือบเงา ซึ่งผู้ค้าปลีกมักใช้เพื่อให้อะปเปิ้ลดูเงาแวบ” ดร. อุษากีรัน ซีโซเดีย นักโภชนาการประจำโรงพยาบาล Nanavati Max Super Speciality Hospital เมืองมุมไบ กล่าว

วิธีทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือกอย่างปลอดภัย

ถึงแม้เปลือกแอปเปิ้ลจะมีประโยชน์มากมาย แต่ก็ต้องคำนึงถึงอันตรายจากสารเคมีตกค้างด้วย วิธีทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือกอย่างปลอดภัยมีดังนี้:

  • เลือกซื้อจากแหล่งที่เชื่อถือได้: เลือกซื้อแอปเปิ้ลจากสวนผลไม้ปลอดสารพิษหรือร้านค้าที่ไว้ใจได้
  • ล้างให้สะอาด: ใช้น้ำไหลแรงล้างแอปเปิ้ล 15-20 นาที อาจใช้ผักผลไม้ล้างร่วมด้วย
  • ปอกบางๆ เฉพาะส่วนที่กังวล: หากกังวลเรื่องสารเคมีมาก อาจปอกเปลือกบางๆ เฉพาะจุดที่สงสัย

เพลิดเพลินกับแอปเปิ้ลอย่างมีสุขภาพ

ด้วยการเลือกทานแอปเปิ้ลทั้งเปลือก คุณจะได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างครบถ้วน เพียงแค่ใส่ใจเรื่องแหล่งที่มาและการล้างให้สะอาดเท่านั้น นอกจากนี้ แอปเปิ้ลยังมีกากใยสูง ช่วยให้อิ่มนาน เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการควบคุมน้ำหนักอีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/01/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a34,000.0034,100.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,202.0033,382.3234,600.00
ทองรูปพรรณ 90%1,981.8030,044.09n/a
ทองรูปพรรณ 80%1,761.6026,705.86n/a
ทองรูปพรรณ 50%991.0015,023.56n/a
ทองรูปพรรณ 40%771.0011,688.36n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,282.0034,595.12n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/01/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.2535.2535.7535.2535.2535.2535.2535.2535.2535.25
แก๊สโซฮอล์ 9133.4833.4833.9833.4833.4833.4833.4833.4833.4833.48
แก๊สโซฮอล์ E2033.1433.1433.6433.1433.1433.1433.1433.1433.14
แก๊สโซฮอล์ E8533.2933.2933.29
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม42.6447.2448.2447.2442.64
เบนซิน 9543.1444.3143.6443.2943.14
ดีเซล B729.9429.9430.6429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล29.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.9429.94
ดีเซล B2029.9429.9429.9429.94
ดีเซลพรีเมี่ยม41.5443.6445.9443.6443.6441.54
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า