สาระน่ารู้ประจำวันที่ 17 มิถุนายน 2567

รีเจกต์เรต ดอกเบี้ย หุ้นกู้ฉุดอสังหาฯเฟรเซอร์สชงตั้งกองทุนดบ.ต่ำสกัดNPL

รีเจกต์เรต ดอกเบี้ย หุ้นกู้ฉุดอสังหาฯเหนื่อยต่อเฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ ชงรัฐตั้งกองทุนดอกเบี้ยต่ำมูลค่า 5หมื่นล้านถึงแสนล้านช่วยลูกค้าผ่อนไม่ไหวสกัดNPL ระบุปีนี้เบรกผุดทาวน์เฮ้าส์ บ้านแฝดหันลุยบ้านราคา20ล้านอัพเล็งเปิดโหมดบุกปี68 คาดอีก2ปีตลาดอสังหาฯฟื้น

นายสมบูรณ์ วศินชัชวาล รักษาการประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอยู่อาศัย บริษัท เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน)  กล่าวว่า ครึ่งปีแรกผลประกอบการที่ออกมาผู้ประกอบการทุกคนเหนื่อยมาก แต่ถ้าเทียบไตรมาสต่อไตรมาสของเฟรเซอร์สฯดีกว่าปีก่อนซึ่งเมื่อเทียบกับทุกคนตกลงหมดเกิดจาก”แรงช็อค”ของอัตราดอกเบี้ยที่ขึ้นมาทำให้คนเริ่มได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยจริง เมื่อดอกเบี้ยโปรโมชั่นครบกำหนด เรตMLR ขยับขึ้น2% ทำให้ลูกค้าที่เคยผ่อนไหว เริ่มผ่อนไม่ไหวกลายเป็น NPA  (Non-Performing Asset)

แนวโน้มการลดดอกเบี้ยของสหรัฐ(เฟด)ไม่เกิดขึ้นในปีนี้ ส่งผลให้สมมติฐานเปลี่ยนทำให้ทุกประเทศยังคงดอกเบี้ยสูงรวมถึงเอเชียรวมทั้งประเทศไทยอาจลดลงสักรอบหนึ่งสลึง

“ดอกเบี้ยที่ขึ้นมา2บาทเพิ่มอัตราการผ่อนของลูกค้าที่ซื้อบ้าน20-30%สวนทางกับการขึ้นเงินเดือน ทำให้เกิด NPL ในกลุ่มตลาดล่างระดับ3-5ค่อนข้างมากเริ่มลามไปถึง7ล้านบาท”

นายสมบูรณ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมานายกรัฐมนตรีได้ให้ธนาคารช่วยลดดอกเบี้ยเงินกู้ที่อยู่ในอัตราสูง เหลือ 0.25% ซึ่งไม่เยอะมาก ดังนั้นจึงอยากได้คือ “เงินกองทุนดอกเบี้ยต่ำ”ออกมาเพื่อช่วยเหลือคนอยากซื้อบ้าน มูลค่า 5หมื่นล้านถึงแสนล้านออกมาเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยพิเศษ 3-4ปี

ทั้งนี้เนื่องจากธนาคารมีความกังวลเรื่องปัญหาNPL ฉะนั้นการที่มีเงินก้อนหนึ่งออกมาช่วยกลุ่มลูกค้าเก่าที่เป็นNPLเพื่อลดจำนวนNPL ในระบบรวมทั้งกลุ่มหนี้กำลังจะเสียหรือ​ SM  จากเดิมที่คนกลุ่มนี้เคยผ่อนล้านละ6,000บาทเป็นล้านละ8,000-9,000บาททำให้คนกลุ่มนี้ผ่อนต่อไม่ไหว หากมีกองทุนออกมาทำให้เขาสามารถรีไฟแนนซ์บ้าน (Refinance)และผ่อนในอัตราเดิมจะช่วยแก้ปัญหาได้

“การที่ไปปล่อยให้กับลูกค้ากลุ่มเก่าเพื่อให้เขาแข็งแรงขึ้นทำให้จำนวนNPLลดลงทำให้แบงก์กล้าที่จะปล่อยสินเชื่อบ้านให้คนกลุ่มใหม่ได้มากขึ้นจะช่วยอุตสาหกรรมอสังหาฯเพราะถ้าลูกค้าเก่าผ่อนต่อได้ NPL จะไม่เกิด”

ปัจจุบันทาว์โฮมอยู่ร่วงมาต่ำสุดเทียบเป็นเข็มนาฬิกาอยู่ที่เลข5-6 คาดว่ากำลังจะฟื้น ส่วนบ้านเดี่ยวเริ่มกลับไปอยู่ตำแหน่ง หนึ่งนาฬิกาคือกำลังจะลงแล้ว เพราะทุกคนกระโดดเข้ามาในตลาดเกิดสงครามราคา ส่วนคอนโดมิเนียมน่าจะพ้นจุดต่ำสุดขยับมาเป็นเลข7-8แล้ว

“สิ่งที่ผมกังวลในมุมของซีเอฟโอก็คือ หุ้นกูู้  น่ากลัวมาช่วงนี้ ต้องระวังกันหน่อย แต่ของเฟรเซอร์สฯไม่มีปัญหา ที่น่ากลัวตอนนี้คือหุ้นกู้ที่กำลังครบกำหนดจ่าย(Roll Over)เกรงว่าน่าจะยังไม่จบและจะมีตามมาอีก ทำให้บรรยากาศการซื้อขายหุ้นกู้ต่างๆจะยิ่งแย่กว่านี้ “

นายสมบูรณ์   ประเมินว่า  อีก2 ปีต่อจากวัฎจักรธุรกิจอสังหาฯจะฟื้นตัวกลับมาอีกครั้ง ! ภายใต้เงื่อนไขที่ว่า ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกกลับมาฟื้นตัว หลังจากที่เศรษฐกิจจีน ยุโรปค่อยฟื้นตัวหวังว่า สงครามไม่มีแล้ว จากที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาฯ เติบโตสูงสุดในปี2563  หลังจากโควิดซบเซาลงมา2-3ปี ธุรกิจเริ่มถึงจุดต่ำสุด แล้วค่อยกลับฟื้นตัวขึ้นมาใหม่ 

ในฐานะผู้ประกอบการอยากให้เกิดการกระตุ้นตลาดเพื่อเกิดการหมุนเวียนเงินเข้าไปในธุรกิจอสังหาฯเพื่อให้ผู้ประกอบการอสังหาฯได้มีทางออกมากขึ้น เพราะปีนี้ยังเหนื่อย ส่วนของเฟรเซอร์สฯได้เตรียมพร้อมไว้ล่วงหน้าแล้ว ธนาคารยังให้สินเชื่อโครงการ (Project Lone) ที่ผ่านมากู้เพื่อซื้อที่ดินอย่างเดียวแต่ก็กำลังคิดอยู่ว่ากู้สำหรับเผื่อวงเงินค่าก่อสร้างดีไหม  

“เพราะที่ผ่านมาใช้วงเงินหุ้นกู้ได้เนื่องจากดอกเบี้ยถูกกว่า เรายังไปได้แต่ภาพในตลาดหลายรายเริ่มไปไม่ไหวทำให้รู้สึกเสียวหวังว่าทุกคนจะช่วยกันไม่ทำลายบรรยากาศเลวร้ายเพราะแค่นี้ก็เหนื่อยแล้ว”

อย่างไรก็ตาม ข้อมูล ณ สิ้นไตรมาส 2 ปีงบการเงิน 2567 (ม.ค.-มี.ค. 2567) เฟรเซอร์ส พร็อพเพอร์ตี้

• โครงการที่ดำเนินการอยู่มี 75 โครงการ รวมมูลค่า 103,300 ล้านบาท แบ่งเป็นในกรุงเทพและปริมณฑล 63 โครงการ มูลค่า 91,500 ล้านบาท และต่างจังหวัด 13 โครงการ มูลค่า 11,800 ล้านบาท โดยโครงการต่างจังหวัดมีใน 8 จังหวัด ได้แก่ เชียงใหม่, เชียงราย, อุดรธานี, ขอนแก่น, นครราชสีมา, อยุธยา, ฉะเชิงเทรา และชลบุรี
 
ผลการดำเนินงานและภาพรวมธุรกิจในครึ่งปีแรก

• มีรายได้อยู่ที่ 4,102 ล้านบาท
• เน้นเปิดทำตลาดกับบ้านเดี่ยวระดับบน ทั้งเดอะแกรนด์และแกรนดิโอ โดยเปิดตัว 2 โครงการใหม่ ได้แก่ แกรนดิโอ แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง มูลค่า 2,300 ล้านบาท และเดอะแกรนด์ แจ้งวัฒนะ-เมืองทอง มูลค่า 2,100 ล้านบาท

จากผลผลกระทบจากปัจจัยทางเศรษฐกิจ ทั้งการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย กำลังซื้อผู้บริโภคลดลง และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลต่อยอดการปฏิเสธสินเชื่อกู้จากธนาคารสูงขึ้น ทำให้บริษัทปรับกลยุทธ์การดำเนินงาน โดยไม่เปิดตัวโครงการทาว์โฮมระดับราคา 3-5 ล้านบาทมาปีกว่า  เพราะกลุ่มลูกค้ากำลังซื้้อยังไม่ดี และบางโครงการยังมีสต็อกอยู่จึงไม่เปิดโครงการใหม่  คาดว่าต้นปี2568 จะเปิดเพิ่มขึ้น ขณะที่บ้านแฝดระดับราคา5-10ล้านบาท ในปีนี้ไม่มีแผนที่เปิดโครงการเพิ่มเช่นกัน

“แม้ดีมานด์ลูกค้าทาวน์โฮมยังมีอยู่ขายได้แต่โอนไม่ได้ทำให้ชะลอเพราะจากเดิมเคยขายอยู่400-500ล้านบาทลดลงเหลือ 100-200ล้านต่อการเปิดตัวโครงการขายรวมทั้งยอดโอนลดลงจาก400-500ล้านบาทเหลือ150-200ล้านบาท ต่อโครงการต่อปีหายไปครึ่ง ส่วนกลุ่มลูกค้าบ้านแฝดจาก10คนที่ยื่นกู้ถูกปฏิเสธสินเชื่อ3.5คน ส่วนทาวน์โฮมถูกปฏิเสธสินเชื่อ4คน  “

 นอกจากนี้ลูกค้าบางราย ธนาคารปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าแต่ลูกค้าไม่เอา เพราะผ่อนไม่ไหว!

จากสถานการณ์ดังกล่าวบริษัทหันมาเปิดตัวโครงการที่มีระดับราคา20ล้านบาทขึ้้นไปเพื่อสร้างรายได้จากแบรนด์บ้านเดี่ยวแกรนดิโอ และโกลเด้น นีโอ ควบคู่กับ การระบายสต็อกสินค้าที่มีอยู่พร้อมกับการจัดแคมเปญทางการตลาดเพื่อกระตุ้นยอดขาย

โดยแผนงานครึ่งปีหลังมีแผนเปิด 4 โครงการใหม่รวมมูลค่า 5,100 ล้านบาท ได้แก่ แกรนดิโอ เกษตร-นวมินทร์มูลค่า2,100 ล้านบาท, เดอะแกรนด์ ปิ่นเกล้า-วงแหวนกาญจนามูลค่า1,650 ล้านบาท, นีโอโฮม ระยองมูลค่า900 ล้านบาทและคอนโดมิเนียมโคลส รัชดามูลค่า450 ล้านบาท คาดว่าทำให้บริษัทสามารถเติบโตตามเป้าหมาย

“ปีนี้แค่ประคองตัวไม่กล้าบุก เพราะผลกระทบจากดอกเบี้ย กำลังซื้อชะลอ เน้นเปิดโครงการทดแทนโครงการเดิมหมด ยังไม่อยูในโหมดบุก รอจังหวะดีมานด์พร้อมบุกคาดเป็นปี68 “

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ลดครึ่งราคา! บ้าน-คอนโด กลางกรุงเทพ ‘ประมูลบ้านมือสอง’ 5,000 รายการ ทำเลดี

ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) จัดงานประมูลขายบ้านมือสอง ลดครึ่งราคา! “บ้านมือสองกลางกรุงเทพ” บ้านเด่น ทำเลดี กว่า 5,000 รายการ ทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า ลดราคาสูงสุดถึง 50% วันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 – 16.00 น.

ลดครึ่งราคา! “บ้าน-คอนโดมือสองกลางกรุงเทพ” ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เพิ่มทางเลือกให้คนอยากมีบ้าน จัดงานประมูลขายบ้านมือสอง ธอส. ประจำปี ครั้งที่ 2/2567 ในวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 – 16.00 น.

โดยคัด บ้านมือสอง คุณภาพดี ทำเลเด่นทั่วประเทศ จำนวนมากกว่า 5,000 รายการ ทั้งประเภทบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์ ห้องชุด (คอนโดมิเนียม) อาคารพาณิชย์ และที่ดินเปล่า มาเปิดประมูลในราคาพิเศษ ด้วยส่วนลดสูงสุดถึง 50% จากราคาประเมิน แบ่งเป็นทรัพย์ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล จำนวนกว่า 1,000 รายการ

ประมูลขายบ้านมือสองกลางกรุงเทพ ทรัพย์เด่นราคาดี

ขณะที่ ทรัพย์เด่นราคาดีที่น่าสนใจ ได้แก่ ทรัพย์ประเภท บ้านเดี่ยว 2 ชั้น โครงการลัดดารมย์-ปิ่นเกล้า ขนาดเนื้อที่ 153.80 ตร.ว. ในอำเภอบางกรวย จังหวัดนนทบุรี ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ 7,230,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ที่น่าลงทุนเหมาะสำหรับเปิดกิจการหรือออฟฟิศ 

ส่วนทรัพย์ในส่วนภูมิภาคนำออกประมูลมากกว่า 5,000 รายการ ขณะที่ทรัพย์เด่นที่น่าสนใจ ได้แก่ ทรัพย์ประเภทบ้านเดี่ยว 1 ชั้น ขนาดเนื้อที่ 146 ตร.ว. ในอำเภอเมืองสกลนคร จังหวัดสกลนคร ราคาเริ่มต้นประมูลอยู่ที่ 2,560,000 บาท ซึ่งเป็นทรัพย์ที่เหมาะสำหรับอยู่อาศัย เดินทางสะดวก ใกล้ห้างสรรพสินค้า โรงพยาบาล ฯลฯ 

เงื่อนไขการประมูลบ้านมือสอง

  • โดยผู้ชนะการประมูลต้องวางเงินประกันการซื้อทรัพย์ 10,000 บาททุกรายการ ยกเว้นทรัพย์ที่มีราคาประมูลตั้งแต่ 10 ล้านบาทขึ้นไป วางเงินประกันซื้อทรัพย์ 100,000 บาท 

ประมูลบ้านมือสองได้ที่ไหน

ผู้ที่สนใจประมูลทรัพย์ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล สามารถร่วมประมูลได้ที่โถงนิติกรรม ฝ่ายพิธีการสินเชื่อ อาคาร 2 ชั้น 1 ธอส. สำนักงานใหญ่  ในวันเสาร์ที่ 15 มิถุนายน 2567 เวลา 10.00 – 16.00 น.

ส่วนทรัพย์ในส่วนภูมิภาค จัดประมูล ณ สาขาที่ตั้งทรัพย์ โดยสามารถทำสัญญาจะซื้อจะขายตั้งแต่วันที่ 17 – 28 มิถุนายน 2567 ผู้ที่สนใจสามารถลงทะเบียนเข้าร่วมงานประมูลได้ตั้งแต่เวลา 08.00 น. และเริ่มประมูลตั้งแต่เวลา 10.00 น. 

ดูข้อมูลบ้านมือสอง ธอส. ได้ที่ www.ghbhomecenter.com และ Mobile Application : GHB ALL HOME

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ 

G H Bank Call Center โทร. 0-2645-9000 กด 5 
Facebook Fanpage ธนาคารอาคารสงเคราะห์

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้17มิ.ย. “แข็งค่า” ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้17มิ.ย. “แข็งค่า” ที่ระดับ 36.67 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่า หากความไม่แน่นอนของการเมืองไทยเพิ่มสูงขึ้น นักลงทุนต่างชาติยังเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย ยังไม่รีบกลับเข้ามาลงทุน จับตาทิศทางราคาทองคำและเงินหยวน

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้17มิ.ย. 2567 ที่ระดับ  36.67 บาทต่อดอลลาร์“แข็งค่าขึ้น”จากระดับปิดสัปดาห์ก่อนหน้า ที่ระดับ  36.77 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าตั้งแต่ช่วงวันศุกร์ ที่ผ่านมา เงินบาททยอยแข็งค่าขึ้น (แกว่งตัวในกรอบ 36.65-36.77 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยโฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นได้เกือบ +20 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

รวมถึงความต้องการถือทองคำเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การเมืองยุโรปที่กดดันให้ตลาดหุ้นยุโรปยังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ความวุ่นวายของการเมืองยุโรปก็มีส่วนช่วยหนุนให้เงินดอลลาร์มีจังหวะแข็งค่าขึ้นบ้าง หลังเงินยูโร (EUR) ก็ผันผวนอ่อนค่าลง ทำให้โดยรวมเงินบาทยังไม่สามารถแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องได้ชัดเจนและยังคงติดอยู่แถวโซน 36.60-36.70 บาทต่อดอลลาร์

สัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ผู้เล่นในตลาดจะยังคงเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยราว 2 ครั้งในปีนี้ แต่เงินดอลลาร์ก็สามารถแข็งค่าขึ้นได้ หนุนโดยการอ่อนค่าลงของเงินยูโร (EUR) ท่ามกลางความกังวลสถานการณ์การเมืองยุโรป

สำหรับสัปดาห์นี้ เราประเมินว่า ควรจับตาสถานการณ์การเมืองไทยและการเมืองยุโรปที่อาจสร้างความผันผวนในกับตลาดการเงิน พร้อมรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของประเทศเศรษฐกิจหลักและผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)

มุมมองเศรษฐกิจทั่วโลก

▪ ฝั่งสหรัฐฯ – ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ รายงานข้อมูลเศรษฐกิจ ทั้ง ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อภาคการผลิตและภาคการบริการ โดย S&P Global เดือนมิถุนายน (Manufacturing & Services PMIs) และยอดค้าปลีก (Retail Sales) เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตาถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ซึ่งเรามองว่า โทนการสื่อสารอาจมีลักษณะ Neutral-Slightly Dovish ได้ ทำให้หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ไม่ได้สะท้อนภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกว่าคาด

แต่กลับสะท้อนการชะลอลงของเศรษฐกิจเพิ่มเติม ถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่เฟด ก็อาจพอช่วยให้ผู้เล่นในตลาดคลายกังวลแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดและยังคงเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลง 2 ครั้งในปีนี้

อย่างไรก็ดี เราประเมินว่า แม้ผู้เล่นในตลาดจะยังคงเชื่อว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยได้ราว 2 ครั้งในปีนี้ แต่เงินดอลลาร์ก็อาจไม่ได้อ่อนค่าลงชัดเจน เนื่องจากเงินดอลลาร์อาจยังพอได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของบรรดาสกุลเงินหลัก

อย่าง เงินยูโร (EUR) ที่เผชิญแรงกดดันจากปัญหาการเมืองในยุโรป ส่วนเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ก็ยังเสี่ยงผันผวนอ่อนค่า หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มไม่แน่ใจว่าธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะสามารถดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อย่าง การปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายได้ในปีนี้

▪ ฝั่งยุโรป – ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญของอังกฤษ อาทิ อัตราเงินเฟ้อ CPI ยอดค้าปลีก และดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE)

อนึ่งเราประเมินว่าในการประชุม BOE เดือนมิถุนายนนั้น BOE จะยังคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.25% และอาจยังส่งสัญญาณไม่รีบลดดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อพื้นฐาน Core CPI แม้จะชะลอลงต่อเนื่อง แต่ก็ยังอยู่ในระดับสูงเกิน 3% พอสมควร ซึ่งในกรณีดังกล่าวอาจพอช่วยพยุงค่าเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ได้บ้าง

พร้อมกันนั้น ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของบรรดาเจ้าหน้าที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยของ ECB ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามประเด็นการเมืองยุโรป

โดยเฉพาะ สถานการณ์การเมืองฝรั่งเศส ซึ่งจะมีการเลือกตั้งสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 30 มิถุนายน – 7 กรกฎาคม นี้ โดยความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองในฝรั่งเศสอาจสร้างความผันผวนให้กับตลาดการเงินและสามารถกดดันให้เงินยูโร (EUR) และตลาดหุ้นยุโรปมีแนวโน้มอ่อนค่าลง/ปรับตัวลดลงในระยะสั้นได้

▪ฝั่งเอเชีย – ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนผ่านรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญรายเดือน อาทิ ยอดค้าปลีก ยอดผลผลิตอุตสาหกรรม เป็นต้น ส่วนในฝั่งญี่ปุ่น ควรรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI และรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตและภาคการบริการ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ได้

ทั้งนี้ บรรดานักวิเคราะห์ต่างประเมินว่า ทั้งธนาคารกลางออสเตรเลีย (RBA) และธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 4.35% และ 6.25% จนกว่าจะมั่นใจว่า แนวโน้มอัตราเงินเฟ้อจะทยอยกลับสู่เป้าหมายได้สำเร็จ และค่าเงินจะมีเสถียรภาพมากขึ้น (สำหรับ BI)

▪ฝั่งไทย – ประเด็นสำคัญที่ควรจับตาในระยะสั้น คือ สถานการณ์การเมืองไทย ซึ่งจะมีการพิจารณาคดีการเมืองที่สำคัญ ในวันที่ 18 มิถุนายนนี้ โดยความไม่แน่นอนของสถานการณ์การเมืองอาจทำให้นักลงทุนต่างชาติยังไม่รีบกลับเข้ามาลงทุนในสินทรัพย์ไทย

สำหรับ แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าได้ชะลอลงบ้าง ทว่าเงินบาทยังมีความเสี่ยงผันผวนอ่อนค่าทดสอบแนวต้านโซน 37 บาทต่อดอลลาร์ หากความไม่แน่นอนของการเมืองไทยเพิ่มสูงขึ้น ทำให้บรรดานักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทย

พร้อมกันนี้ ควรจับตาทิศทางราคาทองคำและเงินหยวนของจีน (CNY) โดยเงินหยวนอาจแข็งค่าขึ้นบ้าง หากผู้เล่นในตลาดเชื่อมั่นแนวโน้มการฟื้นตัวเศรษฐกิจจีนมากขึ้น

ในส่วนเงินดอลลาร์นั้น เรามองว่า แม้ผู้เล่นในตลาดจะเชื่อว่า เฟดจะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในปีนี้ แต่เงินดอลลาร์อาจยังได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของเงินยูโร (EUR) ตราบใดที่ผู้เล่นในตลาดยังมีความกังวลต่อสถานการณ์การเมืองยุโรป นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ก็อาจกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อได้ไม่ยาก หากรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาดีกว่าคาด กดดันให้ผู้เล่นในตลาดเริ่มไม่แน่ใจว่า เฟดจะสามารถลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งในปีนี้

เราคงคำแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรเลือกใช้เครื่องมือในการปิดความเสี่ยงอัตราแลกเปลี่ยนที่หลากหลายมากขึ้น ท่ามกลางความผันผวนของเงินบาท รวมถึงสกุลเงินอื่นๆ ที่สูงขึ้นกว่าช่วงอดีตที่ผ่านมาพอสมควร โดยผู้เล่นในตลาดอาจเลือกใช้เครื่องมือเพิ่มเติม อาทิ Options หรือ Local Currency ควบคู่ไปกับการปิดความเสี่ยงผ่านการทำสัญญา Forward

มองกรอบค่าเงินบาทสัปดาห์นี้ ที่ระดับ 36.30-37.00 บาท/ดอลลาร์

ส่วนกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 36.55-36.80 บาท/ดอลลาร์

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 36.70-36.72 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.47 น.) อ่อนค่ากว่าระดับเปิดตลาดที่ 36.67 บาทต่อดอลลาร์ฯ และกลับมาใกล้เคียงกับระดับปิดตลาดปลายสัปดาห์ก่อนที่ 36.77 บาทต่อดอลลาร์ฯ

 โดยเงินบาททยอยอ่อนค่ากลับมาสอดคล้องกับสัญญาณสถานะ Outflows ออกจากตลาดพันธบัตรไทยของนักลงทุนต่างชาติ ประกอบกับตลาดยังคงรอติดตามประเด็นทางการเมืองภายในประเทศ นอกจากนี้เงินดอลลาร์ฯ ยังมีแรงหนุนในฐานะที่เป็นสกุลเงินปลอดภัยท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับความไม่แน่นอนของสถานการณ์ทางการเมืองในฝรั่งเศส

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 36.60-36.75 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ ปัจจัยทางการเมืองของไทย ข้อมูลเศรษฐกิจเดือนพ.ค. ของจีน (อาทิ การผลิตภาคอุตสาหกรรม ยอดค้าปลีก การลงทุนในสินทรัพย์ถาวร และอัตราการว่างงาน) รวมถึงผลสำรวจภาคการผลิตเดือนมิ.ย. ของเฟดสาขานิวยอร์ก

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


ได้ครบ 8 ชาติ! สรุปการประกบคู่ วอลเลย์บอล เนชั่นส์ ลีก 2024 รอบสุดท้าย

การแข่งขัน วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ ลีก 2024 เดินทางมาถึงรอบสุดท้าย ที่จะทำการแข่งขันกันที่ อินดอร์สเตเดี้ยมหัวหมาก กรุงเทพมหานคร ประเทศไทย ระหว่างวันที่ 20-23 มิถุนายน นี้

โดยหลังผ่านการแข่งขันมากว่า 1 เดือน ทั้ง 16 ชาติ แข่งครบ 12 นัด ตามโปรแกรมในรอบแรก ปรากฏว่าได้ครบ 8 ชาติ ที่จะได้สิทธิ์ผ่านเข้าไปเล่นในรอบสุดท้ายในปีนี้

ซึ่ง บราซิล สามารถคว้าอันดับ 1 ไปครองด้วยผลงานชนะรวด 12 เกม ตามมาด้วย อิตาลี, โปแลนด์, จีน, ญี่ปุ่น, ตุรกี และ สหรัฐอเมริกา รวมเป็น 7 ชาติ บวกกับ “ทัพนักตบลูกยางสาวไทย” ที่แม้จะทำผลงานได้ไม่ค่อยดีนักจบอันดับ 13 แต่ยังได้สิทธิ์ผ่านเข้ารอบสุดท้ายในฐานะเจ้าภาพ

สำหรับการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ ลีก 2024 รอบสุดท้าย ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศไทย จะใช้ระบบน็อกเอาต์ แพ้คัดออกทันที

โปรแกรมการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ ลีก 2024 รอบสุดท้าย
วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน
17.00 น. จีน (อันดับ 4) พบ ญี่ปุ่น (อันดับ 5)
20.30 น. บราซิล (อันดับ 1) พบ ไทย (เจ้าภาพ)

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน
17.00 น. อิตาลี (อันดับ 2) พบ สหรัฐอเมริกา (อันดับ 7)
20.30 น. โปแลนด์ (อันดับ 3) พบ ตุรกี (อันดับ 6)

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


“โรคตาแดง” แฝงมากับฤดูฝน

เข้าสู่ฤดูฝนบรรยากาศอันแสนชุ่มฉ่ำเย็นสบาย หลายคนที่สุขภาพไม่แข็งแรงต้องเสี่ยงกับการเจ็บป่วย ซึ่งโรคตาแดงเป็นหนึ่งในโรคยอดฮิตที่คนส่วนใหญ่เป็นกันในช่วงหน้าฝน แต่เอ๊ะ !! ทำไมต้องเป็นตอนฤดูฝน ฤดูกาลอื่นเป็นไม่ได้เหรอ?

แท้จริงแล้วโรคตาแดงเกิดขึ้นได้ทุกช่วงฤดูกาล แต่ในฤดูฝนท้องถนนที่เปียกมีทั้งน้ำขัง และยานพาหนะที่สัญจรผ่านไปมาก็ดีดเด้งนำพาน้ำสกปรกกระเด็นเข้าสู่ดวงตาของเราได้ง่ายกว่าฤดูกาลอื่น และที่สำคัญเจ้าแบคทีเรียที่ชื่อว่า อดีโนไวรัส (Adenovirus) นั้น เจริญเติบโตได้ดีในช่วงนี้และแฝงตัวอยู่ในน้ำสกปรกหรือฝุ่นที่ปลิวเข้าดวงตาจนทำให้เกิดโรคตาแดง (Pink Eye หรือ Conjunctivitis)


ตาแดง คือ อะไร?

ตาแดง (Pink Eye หรือ Conjunctivitis) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของดวงตา ทำให้ลูกตาเป็นสีแดงเนื่องจากหลอดเลือดฝอยขยายตัวมากขึ้น ตาแดงแบบทั่วไปจะหายภายใน 1-2 วัน ขึ้นอยู่กับการดูแลตนเอง แต่หากไม่ดูแลหรือรักษาตามอาการ ‘โรคตาแดง’ อาจเกิดการผิดปกติมากยิ่งขึ้น และวิธีการดูแลรักษาจะยากขึ้นตามไปด้วย


โรคตาแดงมีหลายอาการดังนี้

  1. อาการทั่วไป คือ ระคายเคือง แสบตา น้ำตาไหล มีขี้ตามากกว่าปกติ รู้สึกดวงตาแสบแดง
  2. อาการที่เกิดจากเชื้อไวรัส คือ แพ้แสง หนังตาบวม ต่อมน้ำเหลืองกกหูบวมกดแล้วรู้สึกเจ็บ มีอาการร่วม คือ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก
  3. อาการที่เกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย คือ ตาแฉะ มีน้ำตาไหลหรือมีขี้ตาสีเขียวหรือเหลืองในปริมาณมาก บางรายลืมตาได้ แต่อาจมองเห็นไม่ชัด ซึ่งอาการจะคล้ายกับการติดเชื้อไวรัส
  4. อาการที่เกิดจากการระคายเคืองหรือแพ้ แม้ว่าอาการโดยรวมไม่รุนแรง แต่จะรู้สึกแสบตา คันเปลือกตาและหัวตา และมักจะมีน้ำตาไหล     

นอกจากสาเหตุของการโดนน้ำไม่สะอาดและฝุ่นผงที่เข้าดวงตา ยังมีอีกหลายสาเหตุที่ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคตาแดงได้ ดังนั้นจึงควรปฏิบัติตนให้ถูกสุขลักษณะดังนี้

  1. เลี่ยงการสัมผัสน้ำที่สกปรก หลีกเลี่ยงการไปเล่นน้ำที่เป็นแหล่งน้ำท่วมขัง หรือว่ายน้ำร่วมกับคนป่วยตาแดง
  2. เมื่อโดนน้ำไม่สะอาดกระเด็นเข้าตา ควรรีบล้างออก อย่าปล่อยทิ้งไว้ เพราะเชื้อโรคจะทำให้เยื่อบุตาอักเสบและเสี่ยงต่อโรคได้
  3. ไม่อยู่ใกล้กับคนที่ป่วยเป็นโรคตาแดง เพราะจะทำให้ติดต่อกันได้ง่าย และงดใช้ของร่วมกับผู้ป่วย เช่น ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า
  4. รักษาความสะอาด ซักผ้าห่ม ผ้าปูที่นอน และล้างมือให้สะอาด เลี่ยงการเอามือไปสัมผัสดวงตาบ่อยๆ
  5. ไม่อยู่ในพื้นที่แอดอัดเสี่ยงต่อการหายใจ ไอ จามรดกัน เช่น รถโดยสารสาธารณะ สถานีรถไฟฟ้า เป็นต้น


หากเป็นโรคตาแดงแล้วควรทำอย่างไร?

  1. ควรพักผ่อนสายตา และลาหยุดงานจนกว่าจะหายเพื่อลดการระบาดของโรคไปสู่ผู้อื่น
  2. หากมีน้ำตาให้ใช้ผ้าซับน้ำตา ไม่ควรใช้ผ้าซับน้ำตาผืนเดิมซ้ำๆ
  3. ใช้ยาหยอดตาของแพทย์ เมื่อรู้สึกคันแทนการขยี้ตา หากอาการไม่ดีขึ้นให้รีบไปพบแพทย์เพื่อรักษาต่อไป

สำหรับผู้ป่วยเป็นโรคตาแดงนั้นควรรีบไปไปพบแพทย์เฉพาะทาง เพื่อรักษาอาการไม่ให้เกิดอาการลุกลามไปสู่บริเวณอื่นได้เช่น ต่อมน้ำเหลืองอักเสบ เมื่อรู้เช่นนี้แล้ว การดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรงนั้นจะเป็นสิ่งที่ช่วยให้ร่างกายมีเกราะป้องกันในการเผชิญกับโรคภัยต่าง ๆ ได้ ซึ่งการกินอาหารที่มีประโยชน์ กินผักผลไม้ให้ได้ 400 กรัม/วัน การออกกำลังกายสม่ำเสมอ การดื่มน้ำสะอาด ไม่สูบบุหรี่ และไม่ดื่มแอลกอฮอล์นั้น เป็นสิ่งที่ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) เน้นย้ำมาตลอด เพื่อให้คนไทยใช้เป็นเครื่องมือในการป้องกันการเกิดโรคภัย และสร้างให้คนไทยมีสุขภาพที่แข็งแรงรู้วิธีการดูแลสุขภาพของตนเองได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


เมื่อไม่รักก็ต้องลา ด้วย 9 ประโยคบอกเลิก ภาษาอังกฤษ

เมื่อยามรักน้ำต้มผักก็ว่าหวาน แต่พอนานไปกลับไม่เป็นอย่างใจซะแล้ว เห็นที่งานนี้คงต้องบอกลา ซึ่งวันนี้เราก็มี 9 ประโยคบอกเลิก ภาษาอังกฤษ มาฝากกัน บอกเลยงานนี้เราเน้นแบบจากกันด้วยดีนะจ๊ะ 

 “You were a really good girlfriend/boyfriend, I think you deserve someone better.”

ประโยคบอกเลิก แปลภาษาอังกฤษ  : คุณเป็นแฟนที่ดีนะ แต่ฉันคิดว่าคุณควรได้เจอคนที่ดีกว่านี้ (อารมณ์แบบเธอดีเกินไป!)

“You’re too good for me.”

ประโยคบอกเลิก แปลภาษาอังกฤษ  : คุณดีเกินไปสำหรับฉัน (ถ้าบอกประโยคข้างบนแล้วยังไม่เข้าใจ ก็บอกกันไปตรงๆ เลยจ้า)

“I’m not ready for a relationship.”

ประโยคบอกเลิก แปลภาษาอังกฤษ  : ฉันยังไม่พร้อมมีใคร (ส่วนเรื่องที่ผ่านก็ให้มันผ่านไปเนอะ ยังไม่พร้อมจริงๆ จ้า)

“I think we should stop seeing each other for a while.”

ประโยคบอกเลิก แปลภาษาอังกฤษ  : ฉันว่าเราไม่ควรเจอกันสักพัก (การลองห่างกันอาจทำให้รู้สึกคิดถึงกันไม่ก็หายกันไปเลย เอ้า! ลองดู)

“There are many things I need to focus on more than us.”

ประโยคบอกเลิก แปลภาษาอังกฤษ  : มีอีกหลายอย่างที่ฉันต้องให้ความสำคัญ มากกว่าเรื่องของเรา (จบแบบจุกๆ กันไป)

“I just need some space.”

ประโยคบอกเลิก แปลภาษาอังกฤษ  : ฉันต้องการพื้นที่ส่วนตัว (หมายถึงฉันต้องการพิ้นที่ส่วนตัวทั้งหมดของฉันคืนต่างหาก)

“It’s just not the same anymore.”

ประโยคบอกเลิก แปลภาษาอังกฤษ  : มันไม่มีอะไรเหมือนเดิมอีกต่อไป (คนจะไป คนหมดใจ จะเอาอะไรมารั้ง)

“I have tried so hard to be better but I feel like I’m just not up to your level.”

ประโยคบอกเลิก แปลภาษาอังกฤษ  : ฉันพยายามอย่างมากที่จะเป็นคนที่ดีกว่านี้ แต่ฉันก็ยังรู้สึกว่า ฉันไม่คู่ควรกับคุณ 

“It’s not you, it’s me I don’t feel the same about you anymore.”

ประโยคบอกเลิก แปลภาษาอังกฤษ  : มันไม่ใช่คุณหรอก แต่เป็นฉันเองแหละ ที่ไม่รู้สึกกับคุณเหมือนเดิม (ช็อตนี้ต้องมีคนร้องไห้แน่ๆ )

ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th


ปุ่มไล่เขม่าไอเสีย DPF ในรถดีเซล Euro 5 กดใช้ตอนไหน?

รถกระบะที่ผ่านมาตรฐานไอเสีย Euro 5 เกือบทุกรุ่นที่วางจำหน่ายในประเทศไทย จะถูกติดตั้งปุ่มไล่เขม่าไอเสีย DPF ติดตั้งมาให้ แล้วทราบหรือไม่ว่าปุ่มดังกล่าวใช้กดตอนไหนจึงจะเหมาะสม?

มาตรฐาน Euro 5 คืออะไร?

Euro 5 ย่อมาจากเป็นมาตรฐานการควบคุมมลพิษของไอเสียรถยนต์ ซึ่งมีผลบังคับใช้ในประเทศไทยตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ที่ผ่านมา โดยสามารถลดฝุ่นละออง (PM) จากเครื่องยนต์ได้ถึง 5 เท่า เมื่อเทียบกับมาตรฐาน Euro 4 จาก 0.025 กรัมต่อกิโลเมตร เหลือ 0.005 กรัมต่อกิโลเมตร และลดไนโตรเจนออกไซด์ (NOx) จาก 0.25 กรัมต่อกิโลเมตร เหลือ 0.18 กรัมต่อกิโลเมตร

การบังคับใช้มาตรฐาน Euro 5 ดังกล่าว ส่งผลให้รถดีเซลทุกคันจะต้องติดตั้งอุปกรณ์ DPF หรือ Diesel Particulate Filter เพื่อทำหน้าที่กรองเขม่าที่เกิดจากการเผาไหม้ไม่สมบูรณ์นั่นเอง

ปุ่มไล่เขม่าไอเสีย Euro 5 กดตอนไหน?

รถยนต์ดีเซลที่ถูกติดตั้งระบบกรองเขม่าไอเสีย DPF เมื่อใช้งานไประยะหนึ่งจะเริ่มเกิดการอุดตันของเขม่าที่มีขนาดใหญ่ การกดปุ่มไล่เขม่าไอเสียก็เพื่อเป็นการกำจัดเขม่าที่หลงเหลือในระบบออกไป ช่วยลดการอุดตันของระบบ DPF เพื่อให้เครื่องยนต์กลับมาทำงานได้สมบูรณ์ดังเดิม

การกดปุ่มไล่เขม่าไอเสียจะทำต่อเมื่อหน้าปัดแสดงไฟสัญลักษณ์สีเหลืองเตือนการไล่เขม่าไอเสีย (รูปเดียวกับปุ่มกด) ซึ่งแสดงว่าระบบ DPF เริ่มมีอาการตัน แนะนำว่าให้จอดรถในที่โล่ง ห่างไกลผู้คนและชุมชน และหลีกเลี่ยงการจอดบนหญ้าหรือใบไม้แห้ง เนื่องจากขั้นตอนการไล่เขม่าจะเกิดความร้อนสูง

จากนั้นกดปุ่มไล่เขม่า 1 ครั้ง (บางรุ่นอาจต้องกดค้างไว้ ควรศึกษาจากคู่มือของรถแต่ละรุ่น) จากนั้นเครื่องยนต์อาจทำการเร่งเอง ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ โดยระยะเวลาการไล่เขม่าอาจกินเวลาตั้งแต่ 5 นาที ไปจนถึง 1 ชั่วโมง หรือนานกว่านั้น ขึ้นอยู่กับปริมาณเขม่าในระบบนั่นเอง

เมื่อทราบเช่นนี้แล้วก็คงใช้งานได้อย่างถูกต้องแล้วนะครับ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


5 ผักบ้านบ้านแคลอรีต่ำ กินแล้วไม่อ้วน อยากผอมจัดไป

เพราะแม้แต่ผักก็มีจำนวนแคลอรี่ที่ต่างกัน ดังนั้นใครที่ชื่นชอบการกินผัก หรือกำลังอยู่ในช่วงลดน้ำหนักแล้วต้องการเลือกกินอาหารที่มีประโยชน์ เราขอแนะนำให้เลือกกินผักที่ให้จำนวนแคลอรี่ต่ำ วันนี้เราจึงขอแนะนำ 5 ผักสวนครัวที่หากินได้ง่าย และให้จำนวนแคลอรี่แก่ร่างกายไม่ถึง 40 cal ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น ไปติดตามกันเลย


1.ผักคะน้า
ผักคะน้าในปริมาณ 100 กรัม จะให้จำนวนแคลอรี่ทั้งหมด 31 cal อีกทั้งยังเป็นผักที่อุดมไปด้วยแคลเซียมที่จะช่วยปรับระดับฮอร์โมนให้มีความคงที่ จึงส่งผลให้ร่างกายลดความอยากกินจุกจิกได้ ที่สำคัญผักคะน้ายังเหมาะสำหรับผู้หญิงที่มีประจำเดือนอีกด้วย เนื่องจากจะช่วยลดอาการหงุดหงิดที่เกิดจากอารมณ์แปรปรวนได้เป็นอย่างดี

2.ตำลึง
ตำลึง ในปริมาณ 100 กรัมให้จำนวนแคลอรี่ทั้งหมด 30 cal นอกจากนี้ตำลึงยังเป็นผักที่มีส่วนช่วยในการปรับผิวพรรณให้มีความสดใสเปล่งปลั่งได้อย่างน่าสัมผัส อีกทั้งยังช่วยลดอาการเสื่อมที่เกิดกับจอประสาทตา จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน สำหรับคุณแม่ลูกอ่อนก็สามารถกินตำลึงเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนมได้เช่นกัน เพราะตำลึงถือเป็นผักที่จะช่วยบำรุงน้ำนมได้อย่างมีประสิทธิภาพ


3.ถั่วงอก
ถั่วงอกในปริมาณ 100 กรัมให้จำนวนแคลอรี่ทั้งหมด 22 cal ซึ่งถั่วงอกคือผักที่สามารถนำมาปลูกทานเองได้ง่ายมากๆ อีกทั้งยังเป็นผักที่เต็มไปด้วยวิตามินชนิดต่างๆ มีเกลือแร่สูง และมีสารต้านอนุมูลอิสระ สำหรับสาวๆ ที่ต้องการปรับผิวให้มีความนุ่มชุ่มชื้น แนะนำให้กินถั่วงอกกันค่ะ เพราะวิตามินอีในถั่วงอก มีส่วนช่วยให้ผิวของสาวๆ สวยอย่างเป็นธรรมชาติ

4.ผักบุ้ง
ผักบุ้งในปริมาณ 100 กรัม จะให้จำนวนแคลอรี่ทั้งหมด 19 cal ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าผักบุ้งมีสรรพคุณช่วยในการบำรุงสายตา และช่วยรักษาอาการสายตาสั้นได้เป็นอย่างดี นอกจากนี้ ผักบุ้งยังช่วยปรับผิวของสาวๆ ให้มีความเปล่งปลั่งสดใสและมีออร่า เนื่องจากในผักบุ้งมีสารต้านอนุมูลอิสระนั่นเอง ที่น่าสนใจมากไปกว่านั้นคือ ผักบุ้งยังมีส่วนช่วยในการบำรุงสมองและช่วยในเรื่องความจำได้ดีอีกด้วย


5.แตงกวา
แตงกวาในปริมาณ 100 กรัม จะให้จำนวนแคลอรี่ทั้งหมด 15 cal ซึ่งแตงกวาเป็นผักที่มีส่วนสำคัญในการช่วยเพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิว จึงทำให้ผิวของเรามีความกระจ่างใสได้อย่างเป็นธรรมชาติ อีกทั้งเคล็ดลับที่น่าสนใจสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักก็คือ ให้กินแตงกวาขนาดเล็กประมาณ 3 ผลก่อนกินอาหารแต่ละมื้อ จะช่วยลดปริมาณการกินอาหารได้เยอะเลยทีเดียว

การกินผักสวนครัวที่หากินได้ง่าย อีกทั้งยังให้จำนวนแคลอรี่เพียงน้อยนิด นอกจากจะช่วยให้ร่างกายของเราสามารถลดน้ำหนักได้อย่างปลอดภัยแล้ว ยังช่วยให้ร่างกายได้รับสารอาหารมากมายที่ส่งผลดีต่อการทำงานในระบบต่างๆ ภายในร่างกายได้อีกด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/06/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,350.0040,450.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,614.0039,628.2440,950.00
ทองรูปพรรณ 90%2,352.6035,665.42n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,091.2031,702.59n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,176.0017,828.16n/a
ทองรูปพรรณ 40%915.0013,871.40n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,709.0041,068.44n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/06/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9537.7537.7538.2537.7537.7537.7537.7537.7537.7537.75
แก๊สโซฮอล์ 9137.3837.3837.6837.3837.3837.3837.3837.3837.3837.38
แก๊สโซฮอล์ E2035.6435.6435.9435.6435.6435.6435.6435.6435.64
แก๊สโซฮอล์ E8535.3935.3935.39
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม46.3449.8449.8449.8446.34
เบนซิน 9545.6448.4146.1445.7945.64
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV19.5919.5919.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า