‘จัสโค’ปักหมุด ‘สีลมเอจ’ พื้นที่ 4 ชั้น ชู สตูดิโอ ‘ไลฟ์สตรีมมิ่ง-พอดคาสต์’
Co-Working Space แห่งใหม่ ใจกลางเมือง ‘จัสโค’ ลุยขยายสาขาในไทย ปักหมุดพื้นที่ 4 ชั้น 900 ที่นั่ง ในโครงการสีลมเอจ ชูจุดเด่น สตูดิโอ ‘ไลฟ์สตรีมมิ่ง-พอดคาสต์’ รับเทรนด์ดิจิทัลขององค์กรธุรกิจ
16 มิถุนายน 2565 – ฐานจำนวนผู้ใช้บริการพื้นที่ออฟฟิศ รูปแบบ Co-Working Space ในประเทศไทย ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง ภายใต้การแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งปรับเปลี่ยนเทรนด์การทำงาน ไปสู่ รูปแบบไฮบริดอย่างจริงจัง ทำให้ช่วงปีที่ผ่านมา เจ้าตลาดรายใหญ่ อย่าง ‘ จัสโค’ มีฐานลูกค้าเติบโตสูงขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับต้นปี 2563 ที่ผ่านมา ขณะจำนวนสมาชิกมีมากกว่า 6,000 รายในประเทศไทย
เปิด ‘จัสโค สีลมเอจ’
โอกาสดังกล่าว ทำให้ล่าสุด จัสโค ประกาศเปิดตัวโคเวิร์คกิ้งสเปซแห่งใหม่ ณ โครงการ สีลมเอจ เป็นสาขาที่ 5 ในประเทศไทย โดย จัสโค สีลมเอจ ตั้งอยู่ใจกลางย่านเศรษฐกิจบนหัวมุมถนนสีลม-พระราม 4 สะดวกสบายด้วยทางเชื่อมไปยังสถานีรถไฟใต้ดิน (MRT) และสถานีรถไฟฟ้าบีทีเอส (BTS) นอกจากนี้ยังมีสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย เช่น ร้านค้า และร้านอาหารที่เตรียมเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ชูจุดเด่นด้วยพื้นที่ทำงานที่มองเห็นทัศนียภาพของสวนลุมพินี โอเอซิสสีเขียวใจกลางเมือง
พื้นที่ 4 ชั้น 900 ที่นั่ง
นอกจากนี้ จัสโค สาขาสีลมเอจยังมอบพื้นที่ทำงานที่มีทั้งออฟฟิศส่วนตัว และห้องสวีทขนาดใหญ่สำหรับองค์กร ครบครันไปด้วยสิ่งอำนวยความสะดวกสำหรับการใช้งานพื้นที่แบบผสมผสานหรือไฮบริด รวมไปถึงการแบ่งทีมทำงาน และนวัตกรรมต่าง ๆ เพื่อตอบโจทย์ความต้องการของธุรกิจในปัจจุบัน บนพื้นที่ 4 ชั้นจากจำนวนทั้งหมด 12 ชั้นของอาคาร ด้วยความยืดหยุ่นอย่างสุดสูง เพื่ออำนวยความสะดวกให้ทั้งแก่ผู้เช่าพื้นที่ในอาคารเอง และผู้ที่จะมาเป็นสมาชิกของจัสโค ซึ่งสามารถรองรับได้กว่า 900 ที่นั่ง
จัสโค สีลมเอจ ชูจูดขายด้วยสตูดิโอสำหรับไลฟ์สตรีมมิ่งและพอดคาสต์
ทั้งนี้ โคเวิร์คกิ้งสเปซแห่งนี้ จะมาพร้อมประสบการณ์ด้านดิจิทัล ชูจูดขายด้วยสตูดิโอสำหรับไลฟ์สตรีมมิ่งและพอดคาสต์ ซึ่งถือเป็นโคเวิร์คกิ้งสเปซแห่งใหม่ล่าสุด ที่จะมีการเปิดประตูออฟฟิศด้วยระบบ wireless การจองพื้นที่ทำงาน ห้องประชุม และพื้นที่จัดงานและบริการต่างๆ ผ่านแอปพลิเคชัน
หลังจากจัสโค เล็งเห็นถึงความสำคัญของการตลาดแบบดิจิทัลและการใช้สื่อสมัยใหม่ขององค์กรธุรกิจ ด้วยการให้บริการสตูดิโอสำหรับไลฟ์สตรีมมิ่งและพอดคาสต์ ทั้งสำหรับสมาชิกและบุคคลทั่วไป
ธุรกิจเทคโนโลยีขยายฐานบริษัทในไทย
มร. คง วัน ลง ผู้ก่อตั้งร่วมและซีซีโอ จัสโค กล่าวว่า “ในปัจจุบัน รูปแบบการทำงานแบบไฮบริดไม่ใช่แค่เทรนด์อีกต่อไป สิ่งนี้ได้กลายมาเป็นแนวทางใหม่สำหรับการทำงานในปัจจุบันและอนาคต โดยทุกวันนี้ หลายธุรกิจที่สัญญาเช่ากำลังจะหมดลง เริ่มหันมาพิจารณาพื้นที่การทำงานที่มีความยืดหยุ่นมากกว่า เพื่อการวางแผนทางการเงินที่คล่องตัวขึ้น ซึ่งเห็นได้ชัดจากจำนวนสมาชิกของจัสโคในแต่ละสาขาที่มีสูงถึง 80% ทั่วเอเชียแปซิฟิก โดยเฉพาะในกรุงเทพฯ ที่มีสมาชิกเข้าใช้บริการเต็มเกือบทุกสาขา จัสโค ถือเป็นพื้นที่ที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการขององค์กรทุกขนาดได้อย่างแท้จริง ไม่ว่าจะเป็น บรรษัทข้ามชาติ หรือบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีระหว่างประเทศที่ต้องการขยายฐานมาสู่กรุงเทพฯ”
“ในมุมมองธุรกิจ การขยายสาขาไปทั่วโลก จะช่วยให้เราสามารถมอบพื้นที่การให้บริการได้ดียิ่งขึ้น และครอบคลุมมากขึ้น ทั้งนี้ มีสมาชิกของจัสโคจำนวนไม่น้อยที่มีการดำเนินงานในระดับภูมิภาค การเป็นสมาชิกของจัสโคเพียงแห่งเดียว ก็สามารถเข้าใช้บริการสาขาที่มีมากกว่า 45 แห่งของเราได้ทั้งหมด พร้อมโต๊ะทำงานที่พร้อมรองรับสมาชิกได้มากกว่า 30,000 รายทั่วเอเชียแปซิฟิก”
เชื่อมั่นฐานลูกค้าในไทย ดันเติบโต
ขณะ นางสาว วิมลนิตย์ เลิศพิทักษ์กิจ ผู้จัดการทั่วไป ประเทศไทย และอินโดนีเซีย จัสโค กล่าวว่า “แม้ว่าจะมีการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทั่วโลก ซึ่งกินระยะเวลามายาวนานกว่า 2 ปี แต่ฐานลูกค้าของจัสโคในประเทศไทยกลับเติบโตสูงขึ้นถึง 20% เมื่อเทียบกับต้นปี 2563 ที่ผ่านมา โดยปัจจุบัน เราให้บริการสมาชิกมากกว่า 6,000 รายในประเทศไทย เราเชื่อว่าด้วยจุดแข็งของจัสโค ไม่ว่าจะเป็นพื้นที่การทำงานที่ยืดหยุ่น ราคาที่เข้าถึงได้ ทีมงานที่พร้อมให้บริการ ไปจนถึงทำเลที่เหมาะสม ทำให้เราสามารถเติบโตไปพร้อมกับสมาชิกของเราได้ในระยะยาว และสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง”
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
‘ร้านสะดวกซื้อ’ ปรับเกม โมเดล ‘ไซส์ใหญ่’ มาแรง
CBRE เผย เทรนด์ ‘ร้านสะดวกซื้อ’ ปรับตัว รับไลฟ์สไตล์ใหม่ พบ 7-Eleven ยังครองส่วนแบ่งการตลาด สูงสุดกว่า 70% จับตาโมเดลใหม่ ขยายพื้นที่สาขาให้ใหญ่ขึ้น บางแห่งผุด จุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เพิ่มโอกาส
16 มิถุยายน 2565 – บริษัทวิจัยอสังหาริมทรัพย์ ซีบีอาร์อี เปิดเผยว่า ธุรกิจร้านสะดวกซื้อจะยังคงเป็นโมเดลที่ไปได้ดีในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 และเป็นหนึ่งในตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดในแง่ของความสะดวก โดยร้านค้าจำพวกซูเปอร์มาร์เก็ต ก็ยังคงมีบทบาทสำคัญเช่นกัน เนื่องจากสินค้าในร้านสะดวกซื้อมักมีราคาสูงกว่าและไม่จำหน่ายในจำนวนมาก
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไปในช่วงการแพร่ระบาดของโควิด-19 เป็นส่วนหนึ่งที่ส่งผลให้ความสะดวกสบายกลายเป็นสิ่งที่สำคัญมากขึ้นในชีวิตประจำวันของเรา การชำระเงินแบบไร้เงินสด ร้านแบบ Grab & Go บริการเดลิเวอรี บริการ Click & Collect รวมถึงการเยี่ยมชมอสังหาริมทรัพย์ออนไลน์และบริการอื่น ๆ ทั้งหมดล้วนมีจุดประสงค์เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับลูกค้า เห็นได้ชัดที่สุด คือ ร้านสะดวกซื้อที่เห็นอยู่ทั่วทุกหัวมุมถนนที่มีบริการเสริมมากขึ้นอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ลูกค้าใช้ชีวิตง่ายขึ้น
ซีพี 7-Eleven ครองพื้นที่ตลาด
นางสาวจริยา ถ้ำตรงกิจกุล หัวหน้าแผนกพื้นที่ค้าปลีก ซีบีอาร์อี ประเทศไทย เผยว่า “ตลาดร้านสะดวกซื้อในประเทศไทยมีผู้ประกอบการ 2 รายที่ครองส่วนแบ่งใหญ่ในตลาดและยังคงขยายสาขาเพื่อเพิ่มความครอบคลุม” จากข้อมูลของสำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (OTCC) ในปี 2564 พบว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี กรุ๊ป) ครองส่วนแบ่งการตลาดมากที่สุด และเป็นเจ้าของทั้ง 7-Eleven ที่มีส่วนแบ่งตลาดอยู่ที่ 73.60% และ Lotus’s Go Fresh (เดิมคือ Tesco Lotus Express) ที่มีส่วนแบ่งการตลาด 9.45% รองลงมา คือ กลุ่มเซ็นทรัล ซึ่งเป็นเจ้าของ FamilyMart และ Tops Daily ที่มีส่วนแบ่งการตลาดรวมกัน 4.79% ส่วนที่เหลืออีก 12.16% เป็นของผู้เล่นรายอื่น ๆ
ทั้งนี้ เพื่อรับมือกับการแข่งขันที่เพิ่มสูงขึ้นในตลาด ผู้ประกอบการร้านสะดวกซื้อพยายามที่จะสร้างความแตกต่างด้วยการเสนอสินค้าเฉพาะอย่าง เช่น Lotus’s Go Fresh ได้เพิ่มอาหารสดและอาหารพร้อมทานมาวางขายมากขึ้นจากเดิม 10% เมื่อเทียบกับสินค้าที่ขายขณะที่ยังเป็น Tesco Lotus Express เพื่อให้สอดคล้องกับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อีกทั้งแม็คโครก็ยังได้ขยายสาขา Fresh@Makro ร้านสะดวกซื้อเกรดเอที่ให้บริการอาหารสดระดับพรีเมียมเพื่อดึงดูดลูกค้าระดับกลางถึงระดับบน
โมเดลร้านสะดวกซื้อไซส์ใหญ่มาแรง
นอกจากนี้ ยังมีเรื่องขนาดร้านค้ามาตรฐาน ซึ่งที่ผ่านมาต้องมีขนาดเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นได้ แต่ในปัจจุบันกำลังขยายใหญ่ขึ้น ทำให้ร้านค้าสามารถนำเสนอสินค้าอุปโภคบริโภคได้หลากหลายกลุ่มมากขึ้น สาขาขนาดใหญ่ขึ้นยังมีพื้นที่จอดรถที่กว้างและสะดวกสบายพร้อมจุดชาร์จรถยนต์ไฟฟ้า เช่น 7-Eleven มีแผนเร่งติดตั้งสถานีชาร์จรถยนต์ไฟฟ้าให้ครบ 100 สาขาในอนาคตอันใกล้ บีทีเอส กรุ๊ป ผู้ประกอบการรายใหม่ล่าสุดในตลาดร้านสะดวกซื้อก็ได้เปิดตัวร้าน Turtle Shop ซึ่งถือเป็นร้านสะดวกซื้อและร้านกาแฟบนสถานีรถไฟฟ้าเซนต์หลุยส์ เพลินจิต และอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ (ในพื้นที่ที่ลูกค้าชำระค่าเดินทางแล้ว) โดยร้านที่ใหญ่ที่สุดที่ตั้งอยู่บนสถานีเซนต์หลุยส์นั้นมีขนาดมากกว่า 200 ตารางเมตร
ซีบีอาร์อี ยังระบุว่า ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน ผู้ให้บริการร้านสะดวกซื้อควรที่จะทบทวนกลยุทธ์ตนเองใหม่ด้วยความรอบคอบ ไม่เพียงแต่ปรับเปลี่ยนประเภทของสินค้าและราคาเท่านั้น แต่ควรจัดหาบริการเสริมที่เป็นนวัตกรรมใหม่ ๆ เพิ่มมากขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับความต้องการ ไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมของลูกค้าในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ ที่ระดับ 35.05 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้น”
เงินบาทยังผันผวน มีแรงกดดันอ่อนค่าจากแรงขายไทยหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางความกังวลและความสับสนต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของไทย
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่า ผู้เล่นในตลาดการเงินพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยง (Risk-Off) อย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจโลกชะลอตัวลงหนักและอาจเสี่ยงเข้าสู่สภาวะถดถอยได้ หลังบรรดาธนาคารกลางทั่วโลกต่างทยอยขึ้นดอกเบี้ยและยังส่งสัญญาณเดินหน้าขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ อาทิ เฟดส่งสัญญาณว่าเฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยได้สูงถึงระดับ 3.50% ในปีนี้ ส่วนในฝั่งยุโรป นักวิเคราะห์ก็เริ่มมองว่า ธนาคารกลางยุโรป (ECB) อาจขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจาก -0.50% ไปสู่ระดับ 1.00% เป็นอย่างน้อยในปีนี้
ความกังวลแนวโน้มเศรษฐกิจชะลอตัวลงหนักและเสี่ยงที่จะเข้าสู่สภาวะเศรษฐกิจถดถอยนั้น ยังทำให้ทำให้ผู้เล่นในตลาดต่างกังวลแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่อาจแย่ลงและเลือกที่จะลดความเสี่ยงในการถือครองสินทรัพย์เสี่ยงอย่างหุ้นลง กดดันให้ในฝั่งตลาดหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ดิ่งลงกว่า -4.08% ส่วนดัชนี S&P500 ก็ร่วงลงกว่า -3.25% ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ของยุโรป ก็ร่วงลงกว่า -2.47% สู่จุดต่ำสุดในรอบ 16 เดือนเช่นกัน
ส่วนในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์โดยรวมปรับตัวผันผวน โดยบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทยอยปรับตัวสูงขึ้นต่อเนื่องจนใกล้ระดับ 3.50% จากแนวโน้มเฟดทยอยขึ้นดอกเบี้ยต่อเนื่อง อย่างไรก็ดี ภาวะปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินได้หนุนให้ผู้เล่นบางส่วนเข้ามาถือพันธบัตรรัฐบาลเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาย่อตัวลงสู่ระดับ 3.23% ทั้งนี้ เรามองว่า ผู้เล่นบางส่วนอาจเริ่มทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาวมากขึ้น หลังจากที่บอนด์ยีลด์ระยะยาวได้ปรับตัวสูงขึ้นมาก และหากมีมุมมองว่า การขึ้นดอกเบี้ยของบรรดาธนาคารกลางอาจนำไปสู่ภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวหรือภาวะเศรษฐกิจถดถอยในกรณีเลวร้ายสุด บอนด์ยีลด์ระยะยาวก็จะสามารถทยอยปรับตัวลดลงได้ อย่างไรก็ดี เรามองว่า บอนด์ยีลด์ระยะยาวจะยังมีความผันผวนอยู่ จากความไม่แน่นอนของแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยของเฟดว่าจะขึ้นไปได้สูงสุดเท่าใด (Terminal Rate สุดท้ายจะอยู่ตรงไหน) ที่ตลาดยังมีมุมมองที่แตกต่างจากเฟดอยู่
ในฝั่งตลาดค่าเงิน แม้ว่าตลาดจะพลิกกลับมาปิดรับความเสี่ยงมากขึ้น แต่กลับไม่ได้ช่วยให้เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นแต่อย่างใด โดย เงินดอลลาร์พลิกกลับมาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับสกุลเงินหลัก โดยล่าสุดดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY Index) ปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 103.6 จุด ตามการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ นอกจากนี้ เงินดอลลาร์ยังถูกกดดันจากการพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของสกุลเงินฝั่งยุโรป นำโดยเงินปอนด์อังกฤษ (GBP) ที่แข็งค่าขึ้นสู่ระดับ 1.235 ต่อปอนด์ หลังธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายสู่ระดับ 1.25% และพร้อมทยอยขึ้นดอกเบี้ยเพื่อคุมปัญหาเงินเฟ้อ ขณะเดียวกัน เงินยูโร (EUR) ก็ทยอยกลับมาแข็งค่าขึ้นแตะระดับ 1.055 ดอลลาร์ต่อยูโร อีกครั้ง ตามแนวโน้มการทยอยขึ้นดอกเบี้ยของ ECB เช่นกัน นอกจากนี้ การย่อตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์ และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ยังคงส่งผลให้ราคาทองคำรีบาวด์ขึ้นใกล้ระดับ 1,852 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ซึ่งเราคาดว่า อาจมีผู้เล่นบางส่วนที่ได้ Buy on Dip ทองคำในจังหวะการปรับฐานก่อนหน้า เข้ามาทยอยขายทำกำไรทองคำได้ ซึ่งโฟลว์ดังกล่าวอาจช่วยหนุนให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้างในวันนี้
สำหรับวันนี้ ตลาดมองว่า ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) จะยังคงใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลายต่อ เพื่อประคองการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ โดย BOJ จะยังคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ -0.10% พร้อมทั้งคงเป้าหมายบอนด์ยีลด์ 10 ปี ที่ระดับ 0.00%+/-0.25% ซึ่งการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่สวนทางกับธนาคารกลางหลักอย่างเฟดจะสร้างแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าให้กับเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ไปจนกว่า BOJ จะเริ่มส่งสัญญาณพร้อมปรับนโยบายการเงิน
สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท เรามองว่า แม้เงินบาทจะพอได้แรงหนุนในฝั่งแข็งค่า จากการอ่อนค่าของเงินดอลลาร์ รวมถึง โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำที่อาจเกิดขึ้น อย่างไรก็ดี เงินบาทยังคงมีแนวโน้มผันผวน โดยแรงกดดันเงินบาทฝั่งอ่อนค่านั้น อาจมาจากแรงขายสินทรัพย์ไทย โดยเฉพาะหุ้นจากนักลงทุนต่างชาติ ท่ามกลางความกังวลและความสับสนต่อแนวโน้มการปรับนโยบายการเงินของไทย ซึ่งในระยะสั้นที่ผ่านมาผู้เล่นบางส่วนเริ่มประเมินว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) อาจมีการประชุมฉุกเฉินเพื่อขึ้นดอกเบี้ยได้ แม้ว่า กนง. จะสื่อสารว่ายังไม่มีความจำเป็นที่จะประชุมฉุกเฉินก็ตาม
นอกจากนี้ เรามองว่า ผลการประชุม BOJ ที่อาจย้ำจุดยืนการเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่ผ่อนคลาย ซึ่งสวนทางกับเฟด หรือ ธนาคารกลางอื่นๆ อาจกดดันให้ ค่าเงินเยนอ่อนค่าลงและกระทบกับเงินบาทได้เช่นกัน (เงินเยนอ่อนค่าลง ทำให้มีความต้องการแลกซื้อเงินเยนเพิ่มขึ้น ซึ่งโฟลว์ธุรกรรมดังกล่าวอาจกดดันเงินบาทในฝั่งอ่อนค่าได้)อย่างไรก็ดี การอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีแนวต้านอยู่ในโซน 35.10-35.20 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเป็นระดับที่ผู้ส่งออกบางส่วนรอทยอยขายเงินดอลลาร์อยู่ แต่ต้องจับตาทิศทางของเงินบาทอย่างใกล้ชิด เพราะหากเงินบาทอ่อนค่าทะลุระดับดังกล่าวก็อาจมีแรงหนุนให้อ่อนค่าต่อเนื่องไปทดสอบแนวต้านถัดไปในช่วง 35.50 บาทต่อดอลลาร์ได้ ซึ่งเราคงมองว่า เงินบาทจะยังไม่อ่อนค่าทะลุระดับดังกล่าวไปไกลมาก ยกเว้นจะเกิดภาพเทขายสินทรัพย์ฝั่ง EM Asia ที่อาจเกิดขึ้นได้ หากจีนตัดสินใจ Lockdown วงกว้างอีกครั้ง
อนึ่ง ในช่วงที่ตลาดการเงินยังมีความผันผวนสูง เราคงแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ ใช้ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.95-35.20 บาท/ดอลลาร์
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
ไทย VS ญี่ปุ่น : วอลเลย์บอลหญิง เนชั่นส์ ลีก 2022, เทียบสถิติ, ถ่ายทอดสด
การแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงเนชันส์ลีก 2022 สนามสอง ที่เมืองเกซอน ประเทศฟิลิปปินส์ ช่วงระหว่างวันที่ 14-19 มิถุนายนนี้ จากทั้งหมด 16 ทีม จะคัดเอาทั้งหมด 8 ทีม ผ่านเข้าไปเล่นในรอบก่อนรองชนะเลิศต่อไป
โดย “ทัพนักตบสาวไทย” อันดับ 14 ของโลก ผลงาน 2 เกมแรก ชนะ แคนาดา 3-0 เซต และ แพ้ โปแลนด์ 2-3 เซต จะลงสนามเกมที่สาม ของสัปดาห์สอง พบกับจ่าฝูงที่ชนะรวดมา 6 นัดอย่าง ญี่ปุ่น ทีมอันดับ 5 ของโลก ที่ชนะ โปแลนด์ 3-0 เซต และ ชนะ บัลแกเรีย 3-0 เซต ในช่วงเย็นวันนี้
ก่อนการแข่งขันจะเริ่มขึ้น เราไปดูว่าสถิติการพบกัน 5 นัดหลังสุดของทั้งคู่เป็นอย่างไรบ้าง?
เฮดทูเฮด 5 ครั้งหลังสุด : ไทย ชนะ 2, ญี่ปุ่น ชนะ 3
25 พ.ค. 2021 ญี่ปุ่น ชนะ ไทย 3-0 เซต (เนชั่นส์ ลีก)
13 มิ.ย. 2019 ญี่ปุ่น ชนะ ไทย 3-0 เซต (เนชั่นส์ ลีก)
17 ก.ย. 2018 ไทย ชนะ ญี่ปุ่น 3-1 เซต (เอวีซี คัพ)
23 ส.ค. 2018 ไทย ชนะ ญี่ปุ่น 3-0 เซต (เอเชียนเกมส์)
07 มิ.ย. 2018 ไทย แพ้ ญี่ปุ่น 2-3 เซต (เนชั่นส์ ลีก)
สำหรับวอลเลย์บอลหญิงเนชั่นส์ ลีก 2022 สัปดาห์สอง นัดที่สาม ทีมชาติไทย จะพบกับ ทีมชาติญี่ปุ่น ในวันศุกร์ที่ 17 มิถุนายน 2565 เวลา 18:00 น. (ถ่ายทอดทาง ช่อง ONE31)
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
“ฝีดาษลิง” กับ 5 เรื่องควรรู้ พบเร็วลดเสี่ยงแพร่ระบาดได้
มีหลายเรื่องที่เราควรทราบเกี่ยวกับฝีดาษลิง แม้จะเป็นโรคที่น่ากลัว แต่รับมือกับโรคนี้ได้ไม่ยากอย่างที่คิดแน่นอน
ผศ. นพ. โอภาส พุทธเจริญ หัวหน้าศูนย์โรคอุบัติใหม่ทางคลินิก โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ สภากาชาดไทยเผยว่า โรคฝีดาษลิงเป็นโรคติดเชื้อที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสตระกูล ออโธพอกซ์ (orthopox) จากการสัมผัสสารคัดหลั่ง หรือ การรับประทานเนื้อสัตว์ตระกูลสัตว์ฟันแทะ ซึ่งเมื่อติดเชื้อในคนจะทำเกิดอาการไข้ มีผื่นตุ่มน้ำ ตุ่มหนองตามร่างกาย คล้ายโรคฝีดาษ(smallpox) ที่ถูกกำจัดไปแล้วในไปปี ค.ศ 1968
“ฝีดาษลิง” กับ 5 เรื่องควรรู้ พบเร็วลดเสี่ยงแพร่ระบาดได้
- เชื้อไวรัสของฝีดาษลิง สามารถแพร่กระจายจากคนสู่คนได้
ต้นกำเนิดของโรคอาจมาจากลิง แต่ผู้ป่วยที่ติดเชื้อสามารถแพร่เชื้อจากคนสู่คนได้เช่นกัน ผ่านการสัมผัสสารคัดหลั่งของผู้ติดเชื้ออย่างใกล้ชิด
- ผู้ป่วยฝีดาษลิงอาจเป็นแล้วแพร่เชื้อโดยไม่รู้ตัว
เนื่องจากเชื้อไวรัสของฝีดาษลิงมีระยะฟักตัวนานได้ถึง 21 วัน และในบางรายพบว่าอาการผื่นตุ่มน้ำเกิดขึ้นเพียงในเยื่อบุช่องปาก และที่อวัยวะเพศถึง 60% คล้ายกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ อย่างเริม หรืออาจจะเป็นเชื้อซิฟิลิส ทำให้ผู้ป่วยอาจไม่ทราบว่าตนเองป่วยเป็นโรคฝีดาษลิง ทำให้เกิดการแพร่กระจายเชื้อต่อไปยังผู้อื่นได้ ผู้ที่มีประวัติสัมผัสเสี่ยงสูง มีความจำเป็นต้องกักตัวเพื่อสังเกตอาการอย่างน้อย 3 สัปดาห์ จึงจะสามารถสังเกตอาการที่ชี้ชัดได้ว่าเป็นผู้ป่วยติดเชื้อหรือไม่
- ฝีดาษลิง สามารถรักษาได้ด้วยยาต้านไวรัส
ถึงแม้จะยังไม่ใช่ยามาตรฐานเฉพาะสำหรับโรค แต่สามารถใช้ยารักษาฝีดาษในมนุษย์ได้ ได้แก่ Tecovirimat และ Cidofovir, Brincidofovir ซึ่งอาจส่งผลข้างเคียงต่อตับได้เพียงเล็กน้อย และเนื่องจากเป็นโรคติดเชื้อที่สามารถหายได้เองในผู้ป่วยที่มีสุขภาพแข็งแรง และอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างต่ำ อย่างไรก็ตาม การใช้ยาต้านไวรัส ยังมีความจำเป็นเฉพาะผู้ป่วยบางรายได้เท่านั้น ที่มีความเสี่ยงอันตรายจากโรคถึงชีวิต เช่นผู้ที่รับประทานยากดภูมิคุ้มกัน ผู้มีภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ผู้ป่วยมะเร็งเม็ดเลือด
- ตอนนี้ยังไม่จำเป็นต้องฉีดวัคซีนป้องกันฝีดาษลิง
ประชาชนทั่วไปยังไม่มีความจำเป็นต้องรับการฉีดวัคซีนเหมือนกับโรคระบาดอื่นๆ เช่นโควิด-19 เนื่องจากโอกาสในการแพร่ระบาดยังเป็นวงจำกัด วัคซีนจึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีโอกาสสัมผัสผู้ติดเชื้อ ได้แก่ แพทย์ บุคลากรทางการแพทย์เจ้าหน้าที่พยาบาล ที่มีโอกาสสัมผัสโรคนี้ รวมถึงสมาชิกในครอบครัวของผู้ป่วย ซึ่งสามารถเข้ารับการฉีดวัคซีนได้เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันหลังจากมีความเสี่ยง
- ฝีดาษลิง กลายพันธุ์ได้เหมือนโควิด-19 อยู่ในช่วงเฝ้าระวัง
ศ.เกียรติคุณ ดร.วสันต์ จันทราทิตย์ หัวหน้าศูนย์จีโนมทางการแพทย์ คณะแพทยศาสตร์ โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล ระบุว่า การระบาดของโรคฝีดาษลิงพร้อมกันกว่า 100 รายในหลายประเทศนอกทวีปแอฟริกา (ซึ่งถือเป็นโรคประจำถิ่น) ทั้งในยุโรบ สหรัฐอเมริกา และ ออสเตรเลีย มาจากฝีดาษลิงที่กลายพันธุ์
จากการศึกษาในช่วง 4 ปีที่ผ่านมา มีการกลายพันธุ์เร็วขึ้นเป็น 1 ตำแหน่งต่อเดือน จากเดิมเพียง 1 ตำแหน่งต่อปี ซึ่งการกลายพันธุ์ที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วเช่นนี้ ถือเป็นสัญญาณบ่งชี้ถึงอันตรายที่ต้องเตรียมรับมือ โดยเชื่อว่ามีความเป็นไปได้สูงที่จะเข้ามาในประเทศไทยในอนาคต
อย่างไรก็ตาม หากสงสัยว่ามีการระบาดของโรคฝีดาษลิงในคนเกิดขึ้นในประเทศเป็นจำนวนมาก หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถทำการ PCR “สวอป” น้ำลาย ส่วนน้ำหรือหนองจากตุ่มแผล ทำการสกัดสารพันธุกรรม (nucleic acid purification) ส่งมายังศูนย์จีโนมทางการแพทย์ฯ เพื่อให้ร่วมด้วยช่วยกันถอดรหัสพันธุกรรมได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
สำนวน/สแลงไว้บอกว่า “บ้า/เสียสติ” ในภาษาอังกฤษ
ข่าวล่าสุดที่คนทั่วบ้านทั่วเมืองต้องได้เห็นกันในวันสองวันนี้ คงหนีไม่พ้นข่าวที่ หมอปลา บุกจับลัทธิของ “พระบิดา”
ซึ่งเป็นบุคคลที่อ้างตัวว่า ตัวเองนั้นยิ่งใหญ่กว่าพระพุทธเจ้าในศาสนาพุทธ พระอัลเลาะห์ในศาสนาอิสลาม และพระเยซูในศาสนาคริสต์! และได้ให้พระโอสถที่ซึ่งยิ่งกว่ายารักษาทุกโรคให้แก่สาวกผู้ตามติด พระโอสถนั่นก็คือ ขี้ไคล อุจจาระ ปัสสาวะ บลาๆๆๆ สุดจะปังปุ ขอเป็นลม ฝากลางานให้แอดด้วยนะคะ…
แน่นอนว่าเราไม่ดูถูกความเชื่อของใคร แต่กับเรื่องนี้ต้องขอพูดเลยว่าไม่มีคำไหนเหมาะไปกว่าคำว่า “เสียสติ” อีกแล้วล่ะ
เราสามารถเชื่อในสิ่งที่ตัวเองต้องการจะเชื่อ ไปพร้อมๆกับรับฟังเหตุผลและหลักความเป็นจริงของโลกใบนี้ไปพร้อมๆกันได้ค่ะ ดังนั้นอย่าลืมรับฟังคุณหมอ และนักวิชาการกันด้วยนะคะ
แต่ถ้าใครรู้สึกว่าข่าวนี้มันต้องตีแผ่ไปยังชาวโลกล่ะก็ มาบอกให้โลกรู้กันเถอะว่านี่มัน “บ้า/เสียสติ” มากขนานไหน ไปกัน!
Blow one’s top
ความหมาย เสียสติ, สติหลุด
He had blown his top when he knew the truth.
ความหมาย : เขาเสียสติไปเลย ในตอนที่เขารู้ความจริง
Blow up
ความหมาย สติหลุด, ปรี๊ดแตก
She didn’t like what the organizer’s team had done. That’s why she blew up.
ความหมาย : หล่อนไม่ชอบสิ่งที่ทีมออแกไนซ์ทำไว้ นั่นเป็นเหตุผลที่หล่อนปรี๊ดแตกยังไงล่ะ
Fly off the handle
ความหมาย อารมณ์เสีย, สติแตก
He flies off the handle easily. Be careful.
ความหมาย : เขาสติแตกง่ายมาก ระวังด้วยล่ะ
Freak out
ความหมาย ประหลาดใจ, หัวเสีย, อารมณ์เสีย, สติแตก
This kind of music always freaks me out.
ความหมาย : ดนตรีประเภทนี้มักทำให้ฉันสติแตก
Go ape
ความหมาย โกรธคลุ้มคลั่งมากๆ หรือตื่นเต้นมากๆ
People will go ape if they hear about evidence.
Go ballistic
ความหมาย โกรธมากๆ
I broke the family’s rules. I know my dad will go ballistic and punish me when I get back home.
ความหมาย : ฉันแหกกฎของครอบครัว ฉันรู้เลยว่าพ่อจะต้องโกรธและลงโทษฉันแน่ๆเมื่อถึงบ้าน
Go bananas
ความหมาย เสียสติ, บ้าคลั่ง, โกรธจัด
If you do it one more time, I’ll go bananas. This is a warning.
ความหมาย : ถ้าแกทำอีกครั้งล่ะก็ ฉันจะเสียสติเป็นบ้าแน่ นี่คือคำเตือนนะ
Go berserk
ความหมาย เป็นบ้า
When her cat messes the house up, she absolutely goes berserk.
ความหมาย : เมื่อไหร่ที่แมวของเธอทำบ้านรก เธอจะเป็นบ้าอย่างแน่นอน
Go nuts/nuts
ความหมาย บ้า
He’s nuts! I can’t believe it.
ความหมาย : เขามันบ้ามาก ฉันไม่อยากจะเชื่อเลย
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
กล้าลองไหม? ญี่ปุ่น พัฒนา ‘ซีเมนต์กินได้’
บ้านขนมปังแบบในนิทาน ‘แฮนเซลแอนด์เกรเทล’ นั้น อาจกลายเป็นเรื่องจริงขึ้นมาได้ เมื่อนักวิจัยจากญี่ปุ่น คิดค้นเทคโนโลยี ‘ซีเมนต์กินได้’ จากเศษอาหาร เพื่อแก้ปัญหาสิ่งแวดล้อม ไปพร้อมกับแนวคิดการพัฒนาวัสดุก่อสร้างที่อยู่อาศัยชั่วคราวรับมือภัยพิบัติด้วย
นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยโตเกียวในญี่ปุ่นได้พัฒนาเทคโนโลยีใหม่ที่น่าทึ่ง ในการเปลี่ยนเศษอาหารให้เป็นซีเมนต์
โคตะ มาชิดะ (Kota Machida) นักศึกษา และศาสตราจารย์ยูยะ ซาคาอิ (Yuya Sakai) แห่งมหาวิทยาลัยโตเกียว ผู้ร่วมการวิจัยกล่าวว่า เทคโนโลยีดังกล่าวสามารถเปลี่ยนเศษอาหารให้เป็นวัสดุที่มีความแข็งแรงแต่สามารถยืดหยุ่นโค้งงอได้ คล้ายกับซีเมนต์
นักวิจัยทั้งสองกล่าวว่า วัสดุที่พัฒนาขึ้นนี้จะมีความแข็งแรงกว่าคอนกรีตทั่วไปถึงสี่เท่า นอกจากนี้ยังเป็นวัสดุที่มีความยั่งยืน และที่สำคัญยังสามารถกินได้อีกด้วย
ศาสตราจารย์ซาคาอิได้พยายามหาวิธีที่จะแทนที่คอนกรีตที่ทำจากซีเมนต์ด้วยวัสดุที่ยั่งยืน เนื่องจากการผลิตปูนซีเมนต์นั้นปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในระดับสูงออกสู่อากาศ ตามข้อมูลของกลุ่มวิจัย Chatham House
ทั้งนี้ ปัญหาเรื่องเศษอาหารเป็นปัญหาใหญ่ทั้งในญี่ปุ่นและทั่วโลก ในปี ค.ศ. 2019 ญี่ปุ่นทิ้งเศษอาหารถึง 5.7 ล้านตัน ซึ่งทางรัฐบาลก็กำลังหาทางลดจำนวนเศษอาหารเหล่านี้ลงให้เหลือ 2.7 ล้านตันภายในปี ค.ศ. 2030 หรืออีก 8 ปีข้างหน้านี้ด้วย
ตามปกติแล้ว เศษอาหารที่จะไปจบลงในหลุมฝังกลบ หรือปล่อยให้เน่าเสียไป ซึ่งจะปล่อยก๊าซมีเทนออกมาในกระบวนการเหล่านั้น ในตอนนี้เศษอาหารเหล่านี้จะถูกนำไปใช้ทำคอนกรีต ซึ่งจะเป็นวัสดุที่สามารถนำกลับมาใช้ใหม่ และสามารถนำมาฝังดินได้หากไม่ต้องการใช้แล้ว โดยที่ไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม
ซาคาอิ และ มาชิดะ กล่าวว่า พวกเขาหวังว่าจะสามารถนำวัสดุชนิดใหม่นี้มาแทนที่การใช้พลาสติกและปูนซีเมนต์ และช่วยบรรเทาภาวะโลกร้อนที่เกิดจากขยะเศษอาหารด้วย
ก่อนหน้านี้ซาคาอิเคยผลิตคอนกรีตจากเศษไม้ จากนั้นก็เปลี่ยนไปใช้เศษอาหารที่ผสมเข้ากับพลาสติก จนกระทั่งสามารถพัฒนาซีเมนต์ที่ทำจากเศษอาหารล้วน ๆ ได้สำเร็จ ผ่านกระบวนการที่ทำให้แห้ง บด และบีบอัดเศษอาหาร ซึ่งพวกเขาปรับระดับความดันและอุณหภูมิการผลิตซีเมนต์จากเศษอาหารนี้ ด้วยอุปกรณ์ง่าย ๆ ที่หาซื้อได้จากอินเทอร์เน็ต
ศาสตราจารย์ซาคาอิกล่าวด้วยว่า ส่วนที่ท้าทายที่สุดในการพัฒนาซีเมนต์จากเศษอาหาร ก็คือ การที่เศษอาหารแต่ละประเภทต้องการระดับอุณหภูมิและระดับความดันที่แตกต่างกัน พวกเขาได้ใช้เศษอาหารประเภทต่าง ๆ ในการทำซีเมนต์ ไม่ว่าจะเป็นใบชา เปลือกส้ม กากกาแฟ และเศษอาหารเหลือทิ้ง เป็นต้น
นอกจากนี้ ซาคาอิและมาชิดะยังสนุกสนานไปกับการเปลี่ยนรสชาติของซีเมนต์ที่กินได้ด้วยเครื่องเทศชนิดต่าง ๆ ทำให้ซีเมนต์มีสี กลิ่น หรือแม้แต่รสชาติที่แตกต่างกัน
แต่ถ้าต้องการที่จะกินซีเมนต์เหล่านี้ ซาคาอิ บอกว่า จะต้องทำให้ซีเมนต์เป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้วนำไปต้มเสียก่อน
มาชิดะและเพื่อนอีกสองคนได้ก่อตั้งบริษัทที่ชื่อว่า Fabula, Inc. โดยพวกเขาได้ร่วมงานกับบริษัทอื่น ๆ ในการใช้วัสดุเหล่านี้ทำผลิตภัณฑ์สำหรับครัวเรือน
ซาคาอิกล่าวทิ้งท้ายว่า กระบวนการผลิตซีเมนต์นี้ อาจนำไปใช้สำหรับการสร้างที่อยู่อาศัยชั่วคราวที่สามารถกินได้หากเกิดภัยพิบัติขึ้น อย่างเช่น หากไม่สามารถส่งอาหารให้แก่ผู้ประสบภัยได้ พวกเขาก็สามารถนำที่นอนชั่วคราวซึ่งทำมาจากซีเมนต์ชนิดพิเศษนี้มากินได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ยอดอ่อนใบไผ่.. ให้คุณค่าธรรมชาติเกินคาด ดูแล “สุขภาพช่องปาก” ได้ดีเกินคิด !
“ไผ่” ยิ่งรู้จัก…บอกเลยว่าจะยิ่งว้าวว สำหรับไผ่ เชื่อว่าทุกคนต้องรู้จักเป็นอย่างดีแต่อาจจะยังดีไม่พอ ปฏิเสธไม่ได้ว่า คนส่วนใหญ่รู้จักไผ่กันมาตั้งแต่เด็ก อาทิ เราจะถูกสอนว่า หมีแพนด้าชอบกินใบไผ่เป็นอาหาร แต่จริง ๆ แล้วไผ่นั้นมีคุณค่าและคุณประโยชน์มากกว่าที่คุณคิด
“ไผ่” เป็นพรรณไม้ที่มีหลากพันธุ์หลายชนิดมากและที่สำคัญให้คุณค่ามากมายเหลือเกิน ตั้งแต่รูปทรง ลำต้น หน่อ จรดใบ จนถึงยอดอ่อนใบไผ่ ประโยชน์ที่ได้มีหลายรูปแบบ ที่เราคุ้นเคยเห็นบ่อย ๆ อาทิ หน่อไม้ ซึ่งอุดมด้วยวิตามินต่าง ๆ ปรุงเป็นอาหารจานอร่อย, กระบอกไผ่ นำมาเผาทำเป็นวัตถุดิบในการประกอบอาหารให้กลิ่นหอม, ลำต้น นำมาใช้ออกแบบเป็นผลิตภัณฑ์คุณภาพของใช้ในชีวิตประจำวันได้ไม่รู้จบ นอกจากนั้น ยังสามารถนำมาสร้างสถาปัตยกรรมดีไซน์อันน่าทึ่ง ที่ให้ความรู้สึกและสัมผัสถึงความใกล้ชิดธรรมชาติ รวมไปถึงเยื่อไผ่ ยังสามารถนำมาแปรรูปเป็นภาชนะรักษ์โลก สามารถย่อยสลายตามธรรมชาติได้อีกด้วย
แต่คุณประโยชน์ของไผ่ที่มากกว่าที่กล่าวไปข้างต้นนั้น ยังมีอีกอย่างที่ใครหลาย ๆ คนยังไม่ทราบ นั่นคือ การนำส่วนต่าง ๆ ของไผ่มาสกัดเป็นสารสกัดจากธรรมชาติ สามารถสร้างผลิตภัณฑ์นวัตกรรมธรรมชาติได้หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านการแพทย์ เช่น ผงถ่านชาร์โคลจากลำต้นไผ่ มีคุณสมบัติในการดูดซับสิ่งสกปรกและสารพิษต่าง ๆ ที่ตกค้างในผิว พร้อมทั้งยังช่วยปรับสภาพผิวให้ดูมีสุขภาพดีขึ้นได้ โดยนิยมนำไปเป็นส่วนผสมหลักของ สบู่ล้างหน้า ครีมพอกหน้า มาร์กหน้า หรือแชมพู
นอกจากนี้ยังมีการนำยอดอ่อนใบไผ่มาสกัดเป็นอีกหนึ่งส่วนผสมจากธรรมชาติ มาใส่ในผลิตภัณฑ์ยาสีฟันเพื่อดูแลสุขภาพช่องปากที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการลดการสะสมของแบคทีเรียต้นเหตุของกลิ่นปากและคราบพลัคได้อย่างดีเยี่ยม จึงเรียกได้ว่าไผ่เป็นสมุนไพรที่ให้คุณประโยชน์ได้หลากหลายเลยทีเดียว และปัจจุบันได้มีการพัฒนาไปอีกขั้น โดยการนำ “สารสกัดจากยอดอ่อนใบไผ่” ไปผสมกับ “เกลืออณูเล็ก” เพื่อช่วยให้การทำความสะอาดช่องปากได้ดียิ่งขึ้น
SALZ แบรนด์ผลิตภัณฑ์ดูแลสุขสุขภาพช่องปากของไทย ได้พัฒนาและผลิต ยาสีฟันซอลส์ เฮอร์เบิล แบมบู รีลีฟ (SALZ Herbal Bamboo Relief) ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของยาสีฟันสูตรเกลือสมุนไพร จากสารสกัดยอดอ่อนใบไผ่ ที่มีคุณสมบัติช่วยการลดการสะสมของแบคทีเรียต้นเหตุของกลิ่นปากและคราบพลัค และพลังเกลืออณูเล็กเข้มข้น Hypertonic Salt ที่ช่วยให้สุขภาพเหงือกและฟันที่ดีนอกจากนี้ยังมี ไมโคร ซิลิการ์ ช่วยทำความสะอาดคราบพลัคบนผิวฟัน ช่วยให้ฟันขาวขึ้นอย่างเป็นธรรมชาติ ให้ปากสะอาด รสชาติดี มั่นใจได้ !! กับคุณสมบัติแน่นปึ๊กครบถ้วนในหลอดเดียว ซึ่งหลอดนี้มาพร้อมกับรสชาติความเค็มระดับ 1 ของยาสีฟันซอลส์ ให้รสชาติความเค็มกำลังดี แนะนำสำหรับมือใหม่ที่อยากลองยาสีฟันสูตรเกลือสมุนไพร
มาดูแลสุขภาพช่องปาก ด้วยยาสีฟันที่มีส่วนผสมจากสารสกัดธรรมชาติ “ยอดอ่อนใบไผ่”
อีกหนึ่งทางเลือกที่ชาวสายเขียว…ไม่ควรพลาด !!
ขอบคุณข้อมูลจาก health.kapook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 17/06/2565
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 30,550.00 | 30,650.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,979.00 | 30,001.64 | 31,150.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,781.10 | 27,001.48 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,583.20 | 24,001.31 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 891.00 | 13,507.56 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 693.00 | 10,505.88 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,051.00 | 31,093.16 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 17/06/2565
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 45.15 | 45.15 | 47.05 | 45.85 | 46.15 | 45.15 | 45.15 | 45.15 | 45.85 | 45.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 44.88 | 44.88 | 46.78 | 45.58 | 45.88 | 44.88 | 44.88 | 44.88 | 45.58 | 44.88 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 44.04 | 44.04 | 45.94 | 44.74 | 45.04 | – | 44.04 | 44.04 | 44.74 | 44.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 37.54 | 37.54 | – | – | – | – | – | – | – | 37.54 |
เบนซิน 95 | 52.56 | – | – | – | 54.01 | – | 53.06 | 53.66 | – | 52.56 |
ดีเซล B7 | 34.94 | 34.94 | 36.24 | 34.94 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล | 34.94 | 34.94 | 36.24 | 34.94 | 35.24 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 | 34.94 |
ดีเซล B20 | 34.94 | 34.94 | 36.24 | – | 35.24 | – | 34.94 | 34.94 | – | 34.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 46.36 | 47.86 | 52.69 | 49.76 | 50.89 | – | – | – | – | 46.36 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |