สาระน่ารู้ประจำวันที่ 18 ธันวาคม 2567

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้รุกเมืองรอง “ราชบุรี”ทุ่มกว่า1พันล้าน ผุด2โครงการ

ลลิล พร็อพเพอร์ตี้รุกเมืองรองทุ่มกว่า 1,100 ล้านผุด 2 โครงการใหม่บ้านลลิล เดอะเพรสทีจ ราชบุรี และ ไลโอ ราชบุรี ทาวน์โฮมสไตล์ฝรั่งเศสชูจุดขายทำเลและความคุ้มค่าปลื้มกระแสตอบยอดจองกว่า 80%

นายชูรัชฏ์ ชาครกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ปัจจุบัน จ.ราชบุรี ถือเป็นจังหวัดสำคัญทางเศรษฐกิจในภาคตะวันตกของไทย เป็นศูนย์กลางของธุรกิจด้านการเกษตรและด้านพลังงาน มีการพัฒนาโรงไฟฟ้าขนาดใหญ่หลายแห่งที่มีกำลังการผลิตไฟฟ้ามากเป็นลำดับต้น ๆ ของประเทศ ทั้งยังมีนิคมอุตสาหกรรมศูนย์กลางด้านการค้าที่สำคัญ 

รวมไปถึงแหล่งท่องเที่ยวต่าง ๆทั้งทางประวัติศาสตร์และทางธรรมชาติ พรั่งพร้อมด้วยศักยภาพในการรองรับจำนวนนักท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้แก่ประชากรในท้องถิ่น ตลอดจนช่วยผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจของจังหวัดให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น และจากความพร้อมในทุกด้านของ จ.ราชบุรี ทำให้ความต้องการด้านที่อยู่อาศัยเพิ่มมากขึ้นตามไป บริษัทฯ จึงได้เข้าไปพัฒนาโครงการบ้านเพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีในปัจจุบัน

“ลลิล ถือเป็รอสังงหาฯรายแรกที่เข้ามาพัฒนาโครงการบ้านใน จ. ราชบุรี ภายใต้คอนเซ็ปต์ French Colonial Style ที่สะท้อนถึงงานออกแบบที่พิถีพิถัน งดงามหรูหรา ที่มาพร้อมฟังก์ชันที่ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของสมาชิกทุกวัยภายในบ้าน ในราคาที่จับต้องได้”

 บริษัทได้นำเสนอโครงการบ้านเพื่อตอบสนองกลุ่มลูกค้าใน จ.ราชบุรี ครบทุกเซกเมนต์ ทั้งกลุ่มบ้านเดี่ยวและบ้านแฝด เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการขยายครอบครัว หรือ กำลังมองหาบ้านที่มีพื้นที่ใช้สอยเพิ่มขึ้น   และกลุ่มทาวน์โฮม ที่พัฒนาสำหรับกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่เริ่มสร้างครอบครัว ภายใต้ชื่อโครงการ “บ้านลลิล เดอะเพรสทีจ ราชบุรี”  และ “ไลโอ” ราชบุรี  นายชูรัชฏ์ กล่าวถึงแนวทางพัฒนาโครงการบ้านใน จ.ราชบุรี

ดย “บ้านลลิล เดอะเพรสทีจ  ราชบุรี” ทั้ง 2 โครงการ มีมูลค่าโครงการ 500 ล้านบาท พัฒนาบนที่ดิน 24 ไร่ รวม 129 ยูนิต ได้รับการออกแบบอย่างเรียบหรูด้วยดีไซน์ใหม่สไตล์ French Colonial ที่มีความสวยโดดเด่นอย่างมีสไตล์ พร้อมดีไซน์ที่ใส่ใจในทุกรายละเอียดของฟังก์ชันการใช้งานในทุกแบบ เติมเต็มความสุข และตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ของการใช้ชีวิตอย่างลงตัว 

ด้วยพื้นที่ใช้สอยขนาดใหญ่ และฟังก์ชันอิสระที่ลงตัวกับทุกไลฟ์สไตล์  พร้อมห้อง Extra Function ที่มีความ Flexible เพิ่ม Space ให้ทุกพื้นที่ใช้สอยตอบโจทย์ได้ทุกการใช้งาน  สามารถปรับเปลี่ยนได้ ไม่ว่าจะเป็นห้องทำงาน ห้องเรียนออนไลน์ ห้องขายของออนไลน์ หรือห้องนอนสำหรับผู้สูงวัย   โดยคำนึงถึงคุณภาพการอยู่อาศัย ใส่ใจด้านพลังงานและสิ่งแวดล้อมด้วยการเลือกใช้วัสดุที่ประหยัดพลังงานและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม รวมถึงการติดตั้ง EV Charger สำหรับบ้านทุกหลังภายในโครงการ “บ้านลลิล เดอะเพรสทีจ  ราชบุรี”

ขณะที่ “ไลโอ ราชบุรี”  มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท พัฒนาบนที่ดิน 25 ไร่ รวม 279 ยูนิต ได้รับการพัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด ” HAPPINESS  OF  LIVING ความสุขที่ลงตัวกับทุกความต้องการของการใช้ชีวิต”  ถือเป็นการยกระดับการอยู่อาศัยของทาวน์โฮมระดับพรีเมียม ที่โดดเด่นด้วยดีไซน์ใหม่สไตล์ French Colonial ที่มีความงดงามโดดเด่นอย่างมีสไตล์ 

“2 โครงการใหม่ที่พัฒนาขึ้นในครั้งนี้ โดดเด่นอย่างมากในด้านทำเลเพราะติดถนนใหญ่ อยู่ในทำเลทองที่มีศักยภาพรองรับการขยายของตัวเมืองราชบุรี ใกล้สถานที่สำคัญต่างๆ ทั้งศูนย์ราชการ โรงพยาบาล โรงเรียน ห้างสรรพสินค้า และตลาด ทำให้ได้รับการตอบรับอย่างดี ส่งผลให้เกิดยอดจองในช่วง Pre-Sale เฟสแรกกว่า 80% ปัจจุบันอยู่ระหว่างทยอยโอนกรรมสิทธิ์และเข้าอยู่อาศัย”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


เอพีกวาดยอดขายกว่า4.6หมื่นล้าน พร้อมสภาพคล่อง1.7หมื่นล้าน

เอพีกวาดยอดขายกว่า4.6หมื่นล้านย้ำเบอร์หนึ่งอสังหาฯหลังปิดการขายมากกว่า22โครงการพร้อมสภาพคล่อง1.7หมื่นล้าน หนี้สินสุทธิต่อทุน 0.74 เท่ากระจายพร้อมขายทั่วประเทศมากที่สุด กว่า 186 โครงการ

นายวิทการ จันทวิมล รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานกลยุทธ์องค์กรและการสร้างสรรค์ บมจ. เอพี ไทยแลนด์ กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของเอพีในปี 2567 กับการครองตำแหน่งบริษัทอสังหาฯ อันดับหนึ่งของไทยว่า บริษัทฯ สามารถรักษาการเติบโตที่ยั่งยืนในทุกมิติสำคัญ โดยล่าสุดกับผลงานยอดขายสุทธิ (Net Presales) ไปแล้วกว่า 46,000 ล้านบาท สูงสุดในอุตสาหกรรม (ณ 15 ธ.ค. 67)
 
  ทั้งนี้ จากสถิติยอดขายสุทธิที่สูงที่สุดในอุตสาหกรรม เป็นผลจากความสำเร็จในการเปิดโครงการใหม่และโครงการพร้อมอยู่เครือเอพี ที่กระจายมากที่สุดทั่วประเทศ กว่า 186 โครงการ และยังสะท้อนให้เห็นถึงโมเมนตัมการขายที่แข็งแกร่งของทุกกลุ่มสินค้าในพอร์ตเอพี ทั้งคอนโดมิเนียม บ้านเดี่ยว บ้านแฝด และทาวน์โฮม 

โดยเฉพาะ 7 โครงการที่ได้รับการตอบรับดีและมียอดจองที่โดดเด่นในปีนี้ ประกอบด้วย Life เจริญนคร-สาทร, Aspire ห้วยขวาง, The City บางนา 2, The City ปิ่นเกล้า-พรานนก, บ้านกลางเมือง The edition บางนา, Pleno Town เพชรเกษม 81 และ อภิทาวน์ สุพรรณบุรี ยืนยันความเหนือกว่าของโปรดักต์ในเครือเอพี ที่โดดเด่นเหนือตลาด สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการ ทุกเซกเมนต์ราคาอย่างตรงจุดที่สุด

ในส่วนของผลการดำเนินงานรายได้รวม 9 เดือนที่ผ่านมา เอพี ไทยแลนด์ ครองตำแหน่ง ‘เบอร์หนึ่ง’ ผู้นำอุตสาหกรรม ด้วยรายได้รวม (100% JV) สูงสุดที่ 34,780 ล้านบาท สะท้อนให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์เอพีกับความสำเร็จในการส่งมอบ ‘ชีวิตดีๆ ที่เลือกเองได้’ ตอบโจทย์ทุกไลฟ์สไตล์ โดยเฉพาะโครงการพร้อมโอนกรรมสิทธิ์ (Ready to Transfer) ที่ได้รับการตอบรับอย่างดี และล่าสุดบริษัทฯ สามารถปิดการโอนกรรมสิทธิ์โครงการ (Finished Transfer) ได้ทะลุเป้าหมายรวมถึง 22 โครงการ มูลค่าโครงการรวมกว่า 23,000 ล้านบาท แบ่งเป็นโครงการแนวราบ 20 โครงการ และคอนโดฯ 2 โครงการ ได้แก่ ASPIRE เอราวัณ ไพร์ม และ ASPIRE รัชโยธิน

นอกจากนี้ เอพี ยังครองความแข็งแกร่งในมิติศักยภาพทางการเงินเป็นอันดับต้นในธุรกิจ ด้วยความเข้มงวดในการรักษาสัดส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนเพียง 0.74 เท่า พร้อมทั้งการมีสภาพคล่องด้วยวงเงินสินเชื่อพร้อมเบิกใช้ (Available Credit Line) จากสถาบันการเงินที่ให้วงเงินแก่บริษัทถึง 17,000 ล้านบาท (ณ 30 ก.ย. 67) สะท้อนให้เห็นถึงศักยภาพในการบริหารธุรกิจและความมั่นคงทางการเงินที่แข็งแกร่งของเอพี และเป็นการตอกย้ำความสามารถในการลงทุนพัฒนาโครงการและขยายธุรกิจต่อไปในอนาคตได้อย่างยั่งยืน รวมไปถึงการได้รับการประเมินหุ้นยั่งยืน “SET ESG Ratings” ในระดับ “AA” จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และได้รับการประเมินเครดิตองค์กรจากทริสเรทติ้ง ที่ระดับ “A” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” ต่อเนื่อง 2 ปีซ้อน


ปี 2567 เป็นอีกหนึ่งปีแห่งความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ของเอพี ด้วยการคว้า 29 รางวัลอันทรงเกียรติระดับประเทศและภูมิภาค สะท้อนให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่โดดเด่นในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นการได้รับ 12 รางวัลสูงสุดในกลุ่มธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยอดเยี่ยมแห่งปีจากหลากหลายเวทีชั้นนำระดับประเทศและภูมิภาค หรือ 4 รางวัลอันทรงเกียรติในกลุ่มซีอีโอและความเป็นเลิศในการบริหารการเงินแห่งปีจากงาน IAA Awards for Listed Companies 2567 และงาน LivingInsider Developer Awards 2567

นอกจากนี้ เอพียังได้รับการยอมรับในด้านความแข็งแกร่งของแบรนด์และโปรดักต์แบรนด์ รวม 7 รางวัลแบรนด์อันดับหนึ่งในใจผู้บริโภคและโปรดักต์แบรนด์แห่งปี รวมไปถึงผลงานด้านดิจิทัลที่โดดเด่น จากการเป็นแบรนด์อสังหาฯ หนึ่งเดียวในเอเชียที่คว้ารางวัลจากเวที Meta Reels Impact Awards 2024 และ 3 รางวัลการันตีผลงานด้าน ESG ที่ยั่งยืนแห่งปี เป็นต้น

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18ธ.ค. “แข็งค่าเล็กน้อย” ที่ระดับ 34.19 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าบ้าง หากบรรดานักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ รวมถึงผลการประชุม กนง.

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 18ธ.ค.2567 ที่ระดับ  34.19 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันที่ผ่านมา ที่ระดับ  34.24 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่าแนวโน้มของค่าเงินบาท เราคงประเมินว่า เงินบาทอาจแกว่งตัว Sideways ใกล้โซน 34.20 บาทต่อดอลลาร์ เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้น ทั้งผลการประชุม กนง. ของไทย รวมถึง ผลการประชุม FOMC ของเฟดในวันพฤหัสฯ นี้

โดยในช่วงระหว่างวัน เราประเมินว่า เงินบาทอาจมีโซนแนวต้านแถว 34.30 บาทต่อดอลลาร์ ขณะที่โซนแนวรับอาจขยับขึ้นมาแถว 34.10-34.15 บาทต่อดอลลาร์ โดยเงินบาทอาจเผชิญแรงกดดันฝั่งอ่อนค่าได้บ้าง หากบรรดานักลงทุนต่างชาติยังคงเดินหน้าขายสินทรัพย์ไทยเพิ่มเติม ทว่า แรงกดดันฝั่งอ่อนค่าดังกล่าวก็อาจถูกชะลอลงบ้าง ในกรณีที่ราคาทองคำสามารถรีบาวด์ขึ้นต่อเนื่องได้

ทั้งนี้ ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้รายงานข้อมูลอัตราเงินเฟ้อ CPI ของอังกฤษ รวมถึงผลการประชุม กนง. ของไทย โดยหากอัตราเงินเฟ้อของอังกฤษชะลอลงชัดเจนและออกมาต่ำกว่าคาด ก็อาจเพิ่มความคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของ BOE กดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงได้

ส่วนผลการประชุม กนง. นั้น แม้ว่าเรามองว่าอาจเป็น Non-Event ที่อาจไม่ได้กระทบต่อตลาดการเงิน แต่หาก กนง. มีมติลดดอกเบี้ยสวนทางกับที่เราประเมินไว้ พร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมก็อาจกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าลงกว่าที่เราประเมินไว้ได้

ส่วนในช่วงเช้าตรู่ของวันพฤหัสฯ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟดและถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference โดยเราคงมุมมองเดิมว่า

หากเฟดและประธานเฟด ส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ ก็อาจกดดันให้เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ย่อตัวลงบ้าง หนุนทั้งราคาทองคำและเงินบาทได้ แต่หากเฟดปรับเปลี่ยนมุมมองใหม่ สอดคล้องกับสิ่งที่ตลาดคาดหวัง ก็อาจไม่ได้ส่งผลกระทบต่อเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ

ท่ามกลางความผันผวนในตลาดการเงินที่ยังอยู่ในระดับสูง โดยเฉพาะในช่วงปีหน้าที่จะเผชิญกับ Trump’s Uncertainty ทำให้เรายังคงแนะนำว่า ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนได้

มองกรอบเงินบาทในช่วง 24 ชั่วโมง คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.05-34.40 บาท/ดอลลาร์ (ระวังความผันผวนในช่วงตลาดรับรู้ผลการประชุม กนง. ของไทย และ FOMC )

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนวันที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) ทยอยแข็งค่าขึ้นบ้าง ในลักษณะ Sideways Down (กรอบการเคลื่อนไหว 34.15-34.28 บาทต่อดอลลาร์) หนุนโดยการรีบาวด์ขึ้นบ้างของราคาทองคำ (XAUUSD) ที่สามารถทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 2,650 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังจากเผชิญแรงขายหนักในช่วงวันก่อนหน้า

โดยราคาทองคำ รวมถึงเงินบาทก็ได้แรงหนุนตามจังหวะการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ  หลังผู้เล่นในตลาดต่างรอลุ้นว่า เฟดจะส่งสัญญาณต่อแนวโน้มการปรับดอกเบี้ยนโยบายในปีหน้าอย่างไร

โดยผู้เล่นในตลาดบางส่วนก็เริ่มมีมุมมองว่า เฟดอาจส่งสัญญาณผ่านคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบาย (Dot Plot) ใหม่ ว่า เฟดอาจลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ในปัจจุบัน ทำให้ยังคงเห็นแรงซื้อบอนด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในจังหวะที่บอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น และแรงขายทำกำไรการปรับตัวขึ้นของเงินดอลลาร์อยู่

นอกจากนี้ แม้ว่า ยอดค้าปลีก (Retail Sales) ของสหรัฐฯ ในเดือนพฤศจิกายน จะขยายตัว +0.7% จากเดือนก่อนหน้า ดีกว่าคาดเล็กน้อย ทว่ายอดผลผลิตอุตสหากรรม (Industrial Production) เดือนพฤศจิกายน กลับหดตัวต่อเนื่อง -0.1%m/m แย่กว่าคาดพอสมควร ซึ่งรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ดังกล่าวก็มีส่วนชะลอการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์และการปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงคืนที่ผ่านมาเช่นกัน

บรรดาผู้เล่นในตลาดหุ้นสหรัฐฯ เริ่มขายทำกำไรบรรดาหุ้นธีม AI/Semiconductor อาทิ Broadcom -3.9%, Nvidia -1.2% เพื่อรอลุ้นผลการประชุม FOMC ของเฟด อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงได้แรงหนุนอยู่บ้างจากการปรับตัวขึ้นต่อเนื่องของ Tesla +3.6% ทำให้โดยรวมดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.39%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 ปรับตัวลงต่อเนื่อง -0.42% กดดันโดยแรงขายหุ้นกลุ่มสถาบันการเงิน อาทิ Santander -4.5% ขณะเดียวกัน ความกังวลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจจีน ที่อาจกดดันความต้องการใช้น้ำมัน ก็ส่งผลให้บรรดาหุ้นกลุ่มพลังงานปรับตัวลดลงตามราคาน้ำมันดิบ อาทิ Shell -1.8% ทั้งนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้างตามการรีบาวด์ขึ้นของหุ้นกลุ่มสินค้าแบรนด์เนมที่เผชิญแรงขายพอสมควรในช่วงก่อนหน้า

ในฝั่งตลาดบอนด์ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่เริ่มมองว่า เฟดอาจส่งสัญญาณเดินหน้าลดดอกเบี้ยมากกว่าที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่ อีกทั้งรายงานข้อมูลสหรัฐฯ ก็มาออกมาผสมผสาน ทำให้บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เริ่มทยอยปรับลดลงสู่ระดับ 4.40% หลังจากที่มีจังหวะปรับตัวขึ้นเข้าใกล้โซน 4.45%

ทั้งนี้ เนื่องจากเราคงมองว่า เฟดอาจส่งสัญญาณเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดประเมินอยู่บ้าง (เช่น เฟดอาจลดดอกเบี้ย 3 ครั้งในปี 2025 และอาจเดินหน้าลดดอกเบี้ยเพิ่มอีก 2-3 ครั้ง ใน ปี 2026 จบรอบการลดดอกเบี้ย)

ทำให้เราขอเน้นย้ำว่า การปรับตัวขึ้นของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงนี้ ก็ถือว่า เป็นการเคลื่อนไหวที่เข้าทางกลยุทธ์ Buy on Dip บอนด์ระยะยาวของเรา เนื่องจากเราคงประเมินว่า Risk-Reward ของผลตอบแทนรวม (Total Return) ของบอนด์ระยะยาวนั้นยังมีความน่าสนใจอยู่

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์ทยอยอ่อนค่าลงบ้าง ตามรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่ออกมาผสมผสาน และการปรับตัวลดลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ทว่าเงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง

ท่ามกลางภาวะระมัดระวังตัวของผู้เล่นในตลาดก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ย่อตัวลงเล็กน้อยสู่โซน 106.9 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 106.7-107.1 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ จังหวะการปรับตัวลงของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. 2025) ทยอยรีบาวด์ขึ้น สู่โซน 2,660ดอลลาร์

สำหรับวันนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอประเมินทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ผ่านรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI เดือนพฤศจิกายน เช่นเดียวกันกับในฝั่งยูโรโซน ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนพฤศจิกายน เช่นกัน เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรป (ECB)

ส่วนในฝั่งเอเชีย เราคาดว่าคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับ 2.25% (มติอาจไม่เป็นเอกฉันท์ได้) เพื่อคงนโยบายการเงินที่เป็นกลาง ให้

สอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจ เช่นเดียวกันกับธนาคารกลางอินโดนีเซีย (BI) ที่อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 6.00% เพื่อรักษาเสถียรภาพของค่าเงินรูเปียะห์ (IDR) แม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อจะชะลอตัวลงมากขึ้นก็ตาม

และในฝั่งสหรัฐฯ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งจะรับรู้ในช่วงราว 02.00 น. ตามเวลาประเทศไทยของเช้าวันพฤหัสฯ นี้ โดยเรามองว่า เฟดจะลดดอกเบี้ย 25bps สู่ระดับ 4.25%-4.50%

ทว่า เฟดอาจส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ย ผ่านคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยเฟด (Dot Plot) ใหม่ที่อาจสะท้อนว่า เฟดจะลดดอกเบี้ยลงราว 3-4 ครั้งในปีหน้า และเฟดอาจจบรอบการลดดอกเบี้ย (Terminal Rate) ที่ระดับสูงกว่าราว 3.00% ที่เฟดได้ประเมินไว้ในการประชุมเดือนกันยายน

สอดคล้องกับการปรับคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ (Summary of Economic Projections หรือ SEP) ที่อาจดีขึ้นเมื่อเทียบกับ SEP ในการประชุมเดือนกันยายน และ

นอกเหนือจากคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจและดอกเบี้ยนโยบายใหม่ของเฟด บรรดาผู้เล่นในตลาดจะรอติดตามถ้อยแถลงของประธานเฟดในช่วง Press Conference อย่างใกล้ชิด เพื่อประกอบการประเมินทิศทางนโยบายการเงินของเฟด

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.18-34.20 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.15 น.) โดยเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบแคบ แต่ขยับแข็งค่าขึ้นเล็กน้อยเมื่อเทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 34.27 บาทต่อดอลลาร์ฯ

ขณะที่ จุดสนใจวันนี้จะอยู่ที่ผลการประชุม กนง. ในช่วงบ่าย (ซึ่งตลาดประเมินว่า อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยน่าจะคงไว้ที่ระดับ 2.25% ตามเดิม) รวมถึงผลการประชุมและ dot plot ของเฟดในคืนนี้ 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 34.05-34.30 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยที่ตลาดรอติดตามผลการประชุมกนง. สัญญาณเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์เงินหยวน รวมถึงผลการประชุมและ dot plot ของเฟด รวมถึงตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ 

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


วอลเลย์บอลหญิงไทย วัดแชมป์กลุ่มกับ เนเธอร์แลนด์ ศึกชิงแชมป์โลก 2025

ทีมวอลเลย์บอลหญิงทีมชาติไทย อยู่ร่วมสายกับเนเธอร์แลนด์ ในการจับสลากการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพ ส่วนเวียดนาม อยู่ร่วมสายกับ โปแลนด์

เมื่อวันอังคารที่ 17 ธ.ค.67 ที่ผ่านมา ที่โรงแรมโกลเดน ทิวลิป ซอฟเฟอริน กรุงเทพฯ ได้มีพิธีการจับสลากดารแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 (FIVB Women’s Volleyball World Championship 2025) ที่ประเทศไทย จะเป็นเจ้าภาพในการแข่งขันระหว่างวันที่ 22 ส.ค. 2568 – 7 ก.ย.68 นี้ ใน 4 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร , นครราชสีมา , เชียงใหม่ และ ภูเก็ต จะแข่งขันแบบพบกันหมด เพื่อหา 2 ทีม ที่ดีที่สุดผ่านเข้าไปเล่นในรอบ 16 ทีมสุดท้าย 

โดยมีนายสรวงศ์ เทียนทอง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา เป็นประธานในพิธีการจับสลากแบ่งสายการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก FIVB Volleyball Women’s World Championship 2025 โดยมี นายราม่อน ซูซาร่า รองประธานสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) และประธานสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเชีย (AVC) พร้อมด้วย นายสมพร ใช้บางยาง นายกสมาคมกีฬาวอลเลย์บอลแห่งประเทศไทย และนายปรีชา ลาลุน รองผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ฝ่ายกีฬาเป็นเลิศและวิทยาศาสตร์การกีฬา ร่วมในพิธี  มีดาวตบทีมชาติไทยจากชุด 7 เซียน นุศรา ต้อมคำ, ปลื้มจิตร์ ถินขาว และ อรอุมา สิทธิรักษ์ เป็นผู้แทนในการจับสลากแบ่งสายการแข่งขัน

สำหรับการจับสลากในรอบแบ่งกลุ่ม จะแบ่งเป็นทั้งหมด 8 กลุ่ม กลุ่มละ 4 ทีม โดยทีมวางเป็น กลุ่ม A – ไทย (เจ้าภาพ) จะอยู่ร่วมกลุ่มกับ อียิปต์ , สวีเดน และ เนเธอร์แลนด์ 

กลุ่ม B –  อิตาลี , สโลวีเกีย ,คิวบา , เบลเยียม 

กลุ่ม C –  บราซิล ,กรีซ, ฝรั่งเศส ,เปอร์โต ริโก

กลุ่ม  D-  สหรัฐอเมริกา , อาร์เจนตินา , สโลวิเนีย , สาธารณรัฐเช็ก 

กลุ่ม  E – ตุรกี , บัลแกเรีย , สเปน , แคนาดา

กลุ่ม  F – จีน , เม็กซิโก , โคลอมเบีย , โดมินิกัน 

กลุ่ม G – โปแลนด์ , เวียดนาม , เคนย่า , เยอรมนี 

กลุ่ม H – ญี่ปุ่น , แคเมอรูน , เซอร์เบีย , ยูเครน  

สำหรับการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก 2025 จะแข่งขันระหว่างวันที่ 22 ส.ค. – 7 ก.ย.68 นี้ ใน 4 สนาม ใน 4 จังหวัด ประกอบไปด้วย กรุงเทพหมานคร แข่งขันที่อินดอร์ สเตเดียม หัวหมาก , จังหวัดนครราชสีมา แข่งขันที่ชาติชาย ฮอลล์ , จังหวัดเชียงใหม่ แข่งขันที่สนามสมโภช 700 ปี และจังหวัดภูเก็ต 

 หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมดของรัฐบาลไทยจะพยายามอย่างเต็มที่เพื่อสนับสนุนการจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลที่ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในประเทศไทย โดยจัดที่เมืองเจ้าภาพทั้ง 4 แห่ง ได้แก่ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ภูเก็ต และนครราชสีมา จะพยายามมอบสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีที่สุดและบริการที่ดีที่สุดแก่นักกีฬาและคณะผู้แทนและแฟนวอลเลย์บอลทุกท่านที่มาเยือนประเทศไทย ซึ่งจะได้รับเชิญให้เข้าร่วมโครงการ “หัวใจสีเขียว” ของรัฐบาลไทย เพื่อรักษาสิ่งแวดล้อมที่ดีของโลกร่วมกัน

นอกจากการแข่งขันชิงแชมป์โลกแล้ว แขกทุกคนจากทั่วทุกมุมโลกจะมีโอกาสที่ดีในการเรียนรู้วัฒนธรรมไทยและเพลิดเพลินกับสถานที่ที่น่าสนใจและอาหารไทย ด้วยการสนับสนุนอย่างดีและต่อเนื่องจากสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติและวอลเลย์บอลเวิลด์ มั่นใจประเทศไทยจะมีการจัดเตรียมที่ดีที่สุดสำหรับการจัดการแข่งขัน FIVB Volleyball Women’s World Championship 2025 ในเดือนสิงหาคม 2568 ที่จะถึงนี้

ด้าน นายราม่อน ซูซาร่า รองประธานสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB) และประธานสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเชีย (AVC)  กล่าวว่า ถือเป็นช่วงเวลาประวัติศาสตร์อย่างแท้จริง สำหรับวงการวอลเลย์บอลไทย โดยการเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันวอลเลย์บอลหญิงชิงแชมป์โลก FIVB Volleyball Women’s World Championship 2025 เป็นครั้งแรก   ในประเทศไทย อย่างที่ทราบกันดีว่าประเทศไทยได้ฝึกฝนนักวอลเลย์บอลและโค้ชที่มีความสามารถและได้รับความนิยมสูงสุดตลอดหลายปีที่ผ่านมา มีนักกีฬาชั้นนำของโลก นุศรา ต้อมคำ, ปลื้มจิตร์ ถินขาว และผู้นำด้านกีฬา เช่น เรืออากาศโท    ชาญฤทธิ์ วงษ์ประเสริฐ รองประธานกิตติมศักดิ์ตลอดชีพและผู้อำนวยการบริหารสหพันธ์วอลเลย์บอลแห่งเอเชีย ซึ่งได้รับการยกย่องในหอเกียรติยศวอลเลย์บอลนานาชาติ 

นอกจากนี้ ประเทศไทยยังเป็นเหมือนบ้านที่ดีที่สุดของแฟนๆ วอลเลย์บอลหลายล้านคน ไม่ว่าจะเป็นการปลุกพลังในการเชียร์ ให้กำลังใจผู้เล่นรุ่นเยาว์ รวมทั้งให้เกียรติคู่แข่งในการแข่งขันแสดงความรักต่อกีฬานี้ สนุกกับเกม ด้วยรอยยิ้มที่เป็นมิตร ครอบครัววอลเลย์บอลของประเทศไทยยังได้ให้การสนับสนุนมูลนิธิวอลเลย์บอลในระหว่างการแข่งขันวอลเลย์บอลเนชั่นส์ลีกรอบชิงชนะเลิศที่ผ่านมาซึ่งจัดขึ้นที่กรุงเทพฯ แสดงให้เห็นถึงพลังของกีฬาวอลเลย์บอลได้อย่างดี

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


11 วิธีควบคุมเบาหวาน ให้อยู่หมัด

สถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์  เผยการควบคุมโรคเบาหวานให้อยู่หมัด จำเป็นต้องลด  หวาน มัน เค็ม รวมถึงออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารเป็นสิ่งสำคัญที่จะดูแลสุขภาพได้อย่างยั่งยืน

อาหาร กับโรคเบาหวาน

นายแพทย์ณัฐพงศ์  วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ เปิดเผยว่า อาหารมีส่วนสำคัญในการรักษาโรคเบาหวาน ซึ่งคนเป็นเบาหวานมักละเลยในเรื่องของอาหารการกิน โดยอาจคิดว่าเมื่อได้ยาแล้ว คงหายเหมือนกับโรคทั่วไป ซึ่งเป็นความเข้าใจที่ผิด เนื่องจากโรคเบาหวานเป็นโรคเรื้อรังที่ไม่หายขาด ซึ่งการใช้ยารักษาเพียงอย่างเดียว จะไม่สามารถควบคุมเบาหวานได้ ดังนั้น การควบคุมอาหารและรู้จักเลือกทานอาหารที่เหมาะสม ในปริมาณที่ถูกสัดส่วนกับความต้องการของร่างกาย ก็ถือเป็นวิธีหนึ่งในการรักษาและป้องกันโรคเบาหวานได้

ผู้ป่วยโรคเบาหวาน ควรทานอาหารอย่างไร?

หลักการรับประทานอาหารสำหรับผู้ที่เป็นเบาหวาน ไม่ได้แตกต่างจากหลักการรับประทานเพื่อให้มีสุขภาพดีของคนทั่วไป แต่เป็นการกินอาหารให้ครบหมู่ ถูกสัดส่วน ในปริมาณพอเหมาะ และมีความหลากหลาย

ทั้งนี้เบาหวาน เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของการหลั่งฮอร์โมนอินซูลิน หรือการออกฤทธิ์ของฮอร์โมนอินซูลิน หรือทั้ง 2 อย่างรวมกัน ทำให้ร่างกายไม่สามารถเปลี่ยนน้ำตาลที่ได้รับจากอาหารมาเป็นพลังงานได้ จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ หากมีน้ำตาลในเลือดสูงเป็นเวลานานโดยไม่มีการควบคุมอาจส่งผลให้เกิดโรคแทรกซ้อนอื่นๆ คือ อาการชาปลายมือปลายเท้า จอประสาทตาเสื่อม ไตวาย รวมถึงโรคหัวใจและหลอดเลือด

วิธีควบคุมอาการของโรคเบาหวานให้อยู่หมัด

แพทย์หญิงวิพรรณ สังคหะพงศ์ ผู้อำนวยการสถาบันโรคทรวงอก กรมการแพทย์ กล่าวเพิ่มเติมว่า เบาหวานไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ แต่สามารถควบคุมระดับน้ำตาลในเลือดให้ใกล้เคียงกับปกติมากที่สุดได้

  1. รับประทานข้าวหรือแป้งที่มีกากใยสูง อย่างข้าวกล้อง หรือข้าวซ้อมมือ ปริมาณ 1 กำมือต่อมื้อ
  2. ทานเนื้อสัตว์ที่มีไขมันน้อย ไม่ติดมันและหนัง เช่น เนื้อปลา ไข่ขาว เต้าหู้  1 อุ้งมือ
  3. ในแต่ละมื้อควรรับประทานผักต้มสุก ประมาณ 2 อุ้งมือ โดยเน้นผักใบเขียว
  4. หลีกเลี่ยงข้าวโพด เผือก มัน ฟักทอง เนื่องจากให้แป้งสูง
  5. สามารถรับประทานผลไม้ได้ทุกวัน โดยทานวันละ 2-3 กำมือ โดยไม่จิ้มพริกเกลือ
  6. หลีกเลี่ยงผลไม้แปรรูปทุกชนิด
  7. ดื่มนมรสจืดพร่องมันเนยหรือขาดมันเนย 1-2 แก้วต่อวัน หากเป็นนมถั่วเหลืองหรือ น้ำเต้าหู้ ควรเลือกชนิดหวานน้อย 1 แก้วต่อวัน
  8. หลีกเลี่ยงขนมหวาน ชา และกาแฟ
  9. ออกกำลังกายสม่ำเสมอ
  10. ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  11. ควรใช้ยาตามคำสั่งแพทย์เพื่อลดความรุนแรงของโรค และป้องกันการเกิดภาวะแทรกซ้อนจากเบาหวานที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Linking Verb คืออะไร ต่างจาก Verb to be อย่างไร

หลายคนคงเคยได้ยินคำว่า Linking Verb หรือกริยาเชื่อม แล้วเกิดข้อสงสัยว่ากริยาเชื่อมคืออะไร ให้เชื่อมระหว่างอะไร มีอะไรบ้าง และต่างจาก Verb to be อย่างไร เรียนภาษาอังกฤษเรื่อง Linking Verb ไปกับบทความนี้กัน

Linking Verb คืออะไร?

Linking Verb หรือที่เรียกกันว่า กริยาเชื่อม เป็นกริยาที่ใช้เชื่อมคำนามที่เป็นประธานของประโยค กับคำคุณศัพท์ที่ทำหน้าที่ขยายคำนาม เพื่อบอกสภาพของประธาน ช่วยให้ประโยคมีความสมบูรณ์ขึ้น โดยไม่ทำให้ความหมายของกริยาเปลี่ยนไป 

Linking Verb ต่างจาก Verb to be อย่างไร?

Linking Verb ส่วนใหญ่นำมาจาก Verb to be แต่ไม่ได้หมายความว่า Verb to be ทั้งหมดจะสามารถเป็น Linking Verb เนื่องจากทั้งสองมีหน้าที่ต่างกัน คือ Linking Verb ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อใช้เชื่อมประโยค แต่ Verb to be นอกจากจะมาเป็นกริยาเชื่อมได้ อาจมีหน้าที่อื่นๆ อีกในประโยค

Linking Verb มีอะไรบ้าง?

  • appear (ปรากฏ) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า ดูเหมือน
  • become (กลาย) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า เริ่ม
  • come (กลาย) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า เป็น
  • feel (คลำ) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า รู้สึก
  • get (ได้รับ) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า เริ่ม 
  • go (ไป) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า เกิด
  • grow (ปลูก,โต) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า เริ่ม
  • look (มอง) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า ดูเหมือน 
  • remain (อยู่) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า ยังคง
  • seem  ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า ดูเหมือน
  • smell (ดม) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า ส่งกลิ่น 
  • sound (ส่งเสียง) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า ดูเหมือน 
  • stay (พัก) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า ยังคง
  • taste (ชิม) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า มีรส
  • turn (หมุน) ใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า กลาย

ตัวอย่างประโยคที่ใช้ Linking Verb

feel

feel แปลว่า สัมผัส,คลำ หากใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า รู้สึก เช่น

  • Linking Verb: She feels sad about leaving her friends. (เธอรู้สึกเศร้าที่ต้องจากเพื่อนไป)
  • Verb to be: The fabric feels soft. (ผ้าให้สัมผัสที่นุ่ม)

look

look แปลว่า มอง หากใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า ดูเหมือน เช่น

  • Linking Verb: She looks happy today. (เธอดู(เหมือน)มีความสุขในวันนี้)
  • Verb to be: I felt shy when he looked at me. (ฉันรู้สึกเขินเมื่อเขามองมาที่ฉัน)

turn

turn แปลว่า หมุน หากใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า กลาย เช่น

  • Linking Verb: Iron turns to rust in the presence of air and water. (เหล็กกลายเป็นสนิมเมื่ออยู่ในอากาศและน้ำ)
  • Verb to be: We had to turn back because of the storm. (เราต้องหันกลับเพราะพายุ)

get

get แปลว่า ได้รับ หากใช้เป็นกริยาเชื่อมในประโยคจะแปลได้ว่า เริ่ม เช่น

  • Linking Verb: Let’s get started on our project right away. (มาเริ่มโครงการของเรากันตอนนี้เลย)
  • Verb to be: She got her strength from adversity. (เธอได้รับความเข้มแข็งจากความทุกข์ยาก)

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


วัดใจได้เลย! GARMIN เปิดฟีเจอร์ ‘GARMIN ECG APP’ ในไทยอย่างเป็นทางการแล้ว

GARMIN เปิดใช้งาน “GARMIN ECG APP” ในไทยอย่างเป็นทางการ ให้ผู้ใช้งานนาฬิกาการ์มินได้ใช้ฟีเจอร์ “วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ” หรือ “ECG” ได้ทุกที่ทุกเวลา

หนึ่งในฟีเจอร์ด้านสุขภาพที่ผู้ใช้สมาร์ตวอตช์หลายคนรอคอย คือ ECG หรือฟีเจอร์วัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ที่วันนี้ GARMIN ได้เปิดใช้งาน GARMIN ECG APP อย่างเป็นทางการในประเทศไทยแล้ว

ฟีเจอร์ GARMIN ECG APP นี้จะช่วยให้ผู้ใช้บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และตรวจจับสัญญาณของภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว (AFib) ได้ทุกที่ทุกเวลา โดยใช้เวลาเพียง 30 วินาทีในการบันทึกและประมวลผล พร้อมแสดงผลลัพธ์ทันทีบนสมาร์ตวอตช์ที่รองรับการใช้งาน ทั้งยังซิงค์ข้อมูลไปยังแอปพลิเคชัน Garmin Connect บนสมาร์ตโฟนได้ GARMIN สมาร์ทวอทช์ที่รองรับการใช้งาน ECG ในปัจจุบัน

สำหรับสมาร์ตวอตช์ GARMIN ที่รองรับการใช้งาน ECG ในปัจจุบัน ได้แก่ รุ่น VENU 2 Plus รุ่น VENU 3 รุ่น FENIX 7 Pro รุ่น EPIX Pro รุ่น QUATIX 7 Pro และรุ่น TACTIX 7 เพียงอัพเดตซอร์ฟแวร์เวอร์ชันล่าสุด

เมื่อเริ่มต้นใช้งานฟีเจอร์ “ECG” ผู้ใช้จะต้องวางนิ้วโป้งและนิ้วชี้บนแหวนโลหะรอบหน้าปัดนาฬิกาและอยู่นิ่งเป็นเวลา 30 วินาที เซ็นเซอร์บนสมาร์ตวอตช์จะทำการบันทึกคลื่นไฟฟ้าที่ควบคุมการเต้นของหัวใจ จากนั้นนาฬิกา GARMIN จะวิเคราะห์และจำแนกผลลัพธ์ออกเป็น 4 รูปแบบ

ผลลัพธ์ทั้ง 4 รูปแบบ ได้แก่

  • จังหวะไซนัส หมายถึง การเต้นของหัวใจสม่ำเสมอปกติ เกิดขึ้นเมื่อหัวใจห้องบนและห้องล่างเต้นเป็นจังหวะเดียวกัน
  • ภาวะหัวใจห้องบนเต้นสั่นพริ้ว (AFib) หมายถึง หัวใจเต้นในรูปแบบที่ผิดปกติ หัวใจห้องบนและห้องล่างเต้นผิดจังหวะไม่สอดคล้องกัน ซึ่งอาจก่อให้เกิดการไหลเวียนของเลือดในหัวใจไม่เหมาะสม นำไปสู่โรคหลอดเลือดสมอง ภาวะหัวใจล้มเหลว และปัญหาอื่นๆ ได้
  • อัตราการเต้นของหัวใจสูงหรือต่ำเกินไป หากอัตราการเต้นของหัวใจสูงกว่า 120 ครั้งต่อนาที (bpm) หรือต่ำกว่า 50 bpm ฟีเจอร์ ECG จะตรวจสอบหา AFib ไม่ได้ หากผู้ใช้ได้รับผลลัพธ์นี้ซ้ำๆ ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
  • สรุปผลไม่ได้ อาจเกิดได้จากหลายสาเหตุ เช่น มีการเคลื่อนไหวมากเกินไป เซ็นเซอร์สัมผัสกับผิวหนังระหว่างการบันทึกไม่ดีพอ เป็นต้น

นอกจากนี้ ผู้ใช้ยังซิงค์ข้อมูลไปยัง Garmin Connect เพื่อดูประวัติทั้งหมด รวมถึงสร้างเป็นรายงาน และส่งออกข้อมูลเป็นไฟล์ PDF เพื่อแชร์กับผู้ให้บริการด้านสุขภาพได้อีกด้วย

หรรษา อาภานุกูล ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด การ์มิน ประเทศไทย กล่าวว่า “ส่งท้ายปี 2567 นี้ เรามีความยินดีที่จะแจ้งว่า GARMIN ECG APP พร้อมใช้งานในประเทศไทยแล้ว เราเล็งเห็นถึงความสำคัญของโรคที่เกี่ยวกับหัวใจมาโดยตลอดจึงได้พัฒนาฟีเจอร์นี้เรื่อยมาจนมั่นใจว่าฟีเจอร์นี้ได้มาตรฐานแล้ว วันนี้เราจึงตัดสินใจเปิดตัว และจากการศึกษา เราพบว่า GARMIN ECG APP จะเข้ามามีบทบาทสำคัญในเรื่องการดูแลสุขภาพเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงระยะเริ่มต้นของภาวะหัวใจทำงานผิดปกติ มักจะปรากฏอาการไม่บ่อยนัก ทำให้การตรวจวัดคลื่นไฟฟ้าหัวใจเพียงครั้งเดียวอาจไม่พบ

แต่เมื่อ GARMIN นำฟีเจอร์นี้มาอยู่ในสมาร์ตวอตช์ที่สวมใส่ติดตัวได้ตลอดเวลา จะช่วยให้ผู้ใช้บันทึกจังหวะการเต้นของหัวใจได้ทุกที่ทุกเวลาเพื่อตรวจจับภาวะหัวใจเต้นผิดปกติได้ตั้งแต่เนิ่นๆ และยังนำผลลัพธ์ที่ได้แชร์ให้กับแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อประกอบการวินิจฉัยได้อีกด้วย การมี GARMIN ECG APP จะเข้ามาเป็นตัวช่วยให้การดูแลสุขภาพของคนไทยยกระดับขึ้นไปอีกขั้น”

นอกจากนี้ เพื่อให้คนไทยเข้าถึงสมาร์ตวอตช์ “GARMIN” ได้มากขึ้น ช่วงเทศกาลแห่งความสุขนี้ มีโปรโมชันพิเศษในแคมเปญ Give a Garmin มอบส่วนลดสูงสุด 15 เปอร์เซ็นต์ ตั้งแต่วันนี้ถึง 31 มกราคม 2568

ขอบคุณข้อมูลจาก enlighten.co.th


ขนมปัง “โฮลวีท” “โฮลเกรน” “มัลติเกรน” แตกต่างกันอย่างไร เลือกทานแบบไหนดีที่สุด

ขนมปังเป็นอาหารอีกประเภทหนึ่งที่ทานง่าย เพราะสะดวก จึงได้รับความนิยม และขนมปังก็มีตัวเลือกมากกว่าแค่ขนมปังขาวกับขนมปังโฮลวีท ถ้าคุณหวังที่จะเลือกสิ่งที่เพื่อสุขภาพมากขึ้น ก็มีหลายสิ่งที่ต้องเรียนรู้ ซึ่งทั่วไปเราจะรู้จักกับขนมปังขาวที่ทำจากเมล็ดข้าวสาลีที่ผ่านกระบวนการแปรรูปเพื่อเอารำและจมูกข้าวออก เหลือไว้เพียงเอนโดสเปิร์ม ทำให้มีเนื้อสัมผัสและรสชาติที่เบาลง และสารอาหารน้อยลง

ขนมปัง “โฮลวีท” “โฮลเกรน” “มัลติเกรน” แตกต่างกันอย่างไร

ขนมปังโฮลวีท  คือ ขนมปังที่ทำจากเมล็ดข้าวสาลี ทั้งเมล็ด (รวมถึง รำ จมูกข้าว และเอนโดสเปิร์ม) ทำให้มีคุณค่าทางโภชนาการสูงกว่าขนมปังวีท

ขนมปังโฮลวีทขาว ทำจากธัญพืชโฮลวีทชนิดอัลบิโน ซึ่งมีรสชาติและสีอ่อนกว่าธัญพืชสาลีแบบดั้งเดิม (ซึ่งมีสีแดงและจึงมีสีเข้มกว่า) หากคุณชอบรสชาติของขนมปังขาวแต่ต้องการสารอาหารและไฟเบอร์ที่พบในขนมปังโฮลวีท นี่เป็นตัวเลือกที่ดี ในด้านโภชนาการ ขนมปังโฮลวีทขาว 100 เปอร์เซ็นต์มีคุณค่าทางโภชนาการเทียบเท่ากับขนมปังโฮลวีท

ขนมปังวีท ไม่ควรสับสนกับขนมปังโฮลวีท “ขนมปังวีท” หมายถึง ผลิตภัณฑ์ที่ทำจากแป้งสาลีขัดสี ซึ่งแตกต่างจากขนมปังโฮลวีทที่ทำงานแป้งสาลีไม่ขัดสี หรือเต็มเมล็ด

ขนมปังโฮลเกรน เช่นเดียวกับขนมปังโฮลวีท ขนมปังธัญพืชเต็มเมล็ดทำจากธัญพืชที่ไม่ผ่านการขัดสีอย่างครบถ้วน นอกจากข้าวสาลีแล้ว ขนมปังธัญพืชเต็มเมล็ดยังสามารถประกอบด้วยธัญพืชเต็มเมล็ดอื่นๆ เช่น ข้าวบาร์เลย์เต็มเมล็ด ข้าวกล้อง ข้าวโอ๊ตเต็มเมล็ด และข้าวโอ๊ตรีด เป็นต้น (ซึ่งทั้งหมดนี้อุดมไปด้วยไฟเบอร์ วิตามิน และแร่ธาตุ) ขนมปังโฮลวีทเป็นเพียงขนมปังธัญพืชเต็มเมล็ดชนิดหนึ่ง แม้ว่าจะเป็นที่นิยมมากที่สุด ขนมปังที่มีป้ายกำกับว่า “โฮลวีท” และ “ธัญพืชเต็มเมล็ด” เป็นสองตัวเลือกที่ดีต่อสุขภาพที่สุดในร้านค้า โดยมีคุณค่าทางโภชนาการแตกต่างกันเล็กน้อยขึ้นอยู่กับส่วนผสมของธัญพืชที่แน่นอน

ขนมปังธัญพืชงอก หรือ Sprouted Grain ขนมปังธัญพืชงอกทำโดยใช้แป้งจากธัญพืชงอก ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อธัญพืชสัมผัสกับสภาพแวดล้อมที่ชื้นและอบอุ่น “คาร์โบไฮเดรตที่เก็บไว้ในเอนโดสเปิร์มจะย่อยได้ง่ายขึ้น และยังเชื่อกันว่าการงอกจะเพิ่มการดูดซึมของวิตามินและแร่ธาตุบางชนิด

ขนมปังมัลติเกรน ทำจากธัญพืชเต็มเมล็ด 100 เปอร์เซ็นต์ หรือปราศจากธัญพืชขัดสี มันหมายความเพียงว่ามันมีธัญพืชมากกว่าหนึ่งชนิด เช่น ข้าวสาลี ข้าวโอ๊ต และควินัว ธัญพืชเหล่านี้อาจผ่านกระบวนการแปรรูปเพื่อเอารำและจมูกข้าวออก ซึ่งจะลดคุณค่าทางโภชนาการของพวกมัน (รวมถึงไฟเบอร์และสารอาหารที่สำคัญ) ด้วยเหตุนี้ มันอาจจะไม่ดีต่อสุขภาพเท่าขนมปังธัญพืชเต็มเมล็ดหรือขนมปังโฮลวีท อ่านรายการส่วนผสม และมองหาคำต่างๆ เช่น “ฟอกสี” หรือ “เสริมคุณค่า” ซึ่งหมายความว่าขนมปังไม่ได้ทำจากธัญพืชเต็มเมล็ดทั้งหมด

ขนมปังที่ดีต่อสุขภาพที่สุดคืออะไร?

ขนมปังใดๆ ที่ทำจากธัญพืชเต็มเมล็ด 100 เปอร์เซ็นต์ ไม่ว่าจะเป็นโฮลวีทหรือธัญพืชเต็มเมล็ด ถือเป็นตัวเลือกที่มีคุณค่าทางโภชนาการมากที่สุด

แต่เพียงเพราะฉลากระบุว่า “ธัญพืชเต็มเมล็ด” ไม่ได้รับประกันว่าผลิตภัณฑ์นั้นประกอบด้วยธัญพืชเต็มเมล็ดทั้งหมด วิธีที่ดีที่สุดในการเรียนรู้เกี่ยวกับขนมปังของคุณคือการดูที่ตราประทับบนบรรจุภัณฑ์ หากมีตราประทับ 100% แสดงว่าส่วนผสมของธัญพืชทั้งหมดเป็นธัญพืชเต็มเมล็ด ขนมปังเหล่านี้ยังมีธัญพืชเต็มเมล็ดอย่างน้อย 16 กรัม (หนึ่งหน่วยบริโภคเต็ม) ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ตามข้อมูลของ Whole Grain Council หากมีตราประทับ 50% แสดงว่ามีธัญพืชเต็มเมล็ดอย่างน้อย 8 กรัม (ครึ่งหน่วยบริโภค) ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค แต่อาจมีธัญพืชขัดสีบ้าง สุดท้าย คุณอาจเห็นตราประทับ Basic บนผลิตภัณฑ์ที่มีธัญพืชเต็มเมล็ดอย่างน้อย 8 กรัมต่อหนึ่งหน่วยบริโภค แต่ส่วนใหญ่ทำจากธัญพืชขัดสี

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/12/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a42,800.0042,900.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,772.0042,023.5243,400.00
ทองรูปพรรณ 90%2,494.8037,821.17n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,217.6033,618.82n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,247.0018,904.52n/a
ทองรูปพรรณ 40%970.0014,705.20n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,873.0043,554.68n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/12/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9536.5536.5537.0536.5536.5536.5536.5536.5536.5536.55
แก๊สโซฮอล์ 9136.1836.1836.6836.1836.1836.1836.1836.1836.1836.18
แก๊สโซฮอล์ E2034.4434.4434.9434.4434.4434.4434.4434.4434.44
แก๊สโซฮอล์ E8534.1934.1934.19
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม45.1449.8449.8449.8445.14
เบนซิน 9544.8449.8145.3444.9944.84
ดีเซล32.9432.9432.9432.9432.9432.9432.9431.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV17.9017.9017.90
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า