เอพี เปิด ไฮไลท์ 5 แบบบ้านใหม่ ส่งพลีโน่-บ้านกลางเมือง เขย่าแนวราบ
‘เอพี’ ปูพรมโครงการใหม่ ขานรับปลดล็อก LTV กู้เต็ม 100% ส่ง 5 แบบบ้านใหม่ทาวน์โฮม ผ่านแบรนด์“บ้านกลางเมือง” และ “พลีโน่”เจาะ 9 ทำเล มูลค่ากว่า 5 พันล้านบาท เขย่าแนวราบท้ายปี
17 พ.ย. 64 – เอพี ไทยแลนด์ ประกาศบุกดีมานด์ทาวน์โฮมโค้งสุดท้ายทั่วกรุงเทพฯ ส่ง 5 แบบบ้านโมเดลใหม่ ภายใต้แบรนด์ “บ้านกลางเมือง” และ “พลีโน่”
โดยนายเมธา รักธรรม รองกรรมการผู้อำนวยการ สายงานพัฒนาธุรกิจกลุ่มสินค้าทาวน์โฮม บมจ.เอพี (ไทยแลนด์) เปิดเผยว่า “จากการประกาศใช้มาตรการ LTV ใหม่ไปถึงสิ้นปี 2565 นับเป็นช่วงเวลาและโอกาสที่ดีของทั้งผู้ซื้อและผู้ประกอบการ จากวงเงินลูกค้าที่สามารถกู้ได้ 100% ช่วยกระตุ้นให้กลุ่มเรียลดีมานด์สามารถตัดสินใจซื้อบ้านได้สะดวกขึ้น
โดยเชื่อมั่นว่าหากเศรษฐกิจไทยมีการฟื้นตัวดีขึ้นตามลำดับ ประกอบกับสถานการณ์โควิดสามารถควบคุมได้ต่อเนื่อง ล้วนเป็นปัจจัยบวกหนุนให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ กลับมาคึกคักส่งท้ายปี
โดยเอพีพร้อมขานรับการปลดล็อกตลาดอสังหาฯ จัดทัพเปิดตัว “บ้านกลางเมือง” และ “พลีโน่” 9 โครงการใหม่ มูลค่ารวม 5,010 ล้านบาท เขย่าวงการทาวน์โฮม โดยได้พัฒนา 5 แบบบ้านดีไซน์ใหม่พร้อมแพ็คเกจราคาที่คุ้มค่า รองรับดีมานด์ลูกค้าเซกเมนต์กลาง-บน ครบทุกทำเลทั่วกรุงเทพฯ”
5 แบบบ้านดีไซน์ใหม่
“โดยล่าสุด เอพีได้พัฒนา 5 แบบบ้านดีไซน์ใหม่ ชูคอนเซ็ปต์ “พลิกแนวคิดชีวิตแนวตั้ง” ทั้งบ้านแฝดและทาวน์โฮม (สองชั้นและสามชั้น) ขนาดพื้นที่ใช้สอยตั้งแต่ 104 – 218 ตร.ม. เจาะกลุ่มลูกค้าที่มองหาบ้านหลังใหม่ที่เน้นความคุ้มค่า ด้วยขนาดของพื้นที่รองรับทุกสถานการณ์การใช้ชีวิตภายใต้เงื่อนไขความไม่แน่นอน
โดยนำอินไซต์ไลฟ์สไตล์ลูกค้ายุคใหม่ ที่ใช้ชีวิตติดบ้านจากสถานการณ์โควิด-19 มาต่อยอดพลิกโฉม ทั้งมิติงานสถาปัตยกรรมและการบริหารสเปซฟังก์ชั่นที่สร้างทางเลือกในการอยู่อาศัยที่ลูกค้าสามารถเลือกปรับเปลี่ยนได้เองในอนาคต ผ่าน 3 จุดขายหลัก ได้แก่
- พลิกมิติเปิดมุมมองที่กว้างขึ้น ปรับรูปแบบการดีไซน์บ้านหน้ากว้าง ตั้งแต่ 7– 11 เมตร เพื่อขยายพื้นที่ให้มากที่สุด พร้อมบริหารสเปซฟังกชั่นภายในที่จะถูกใช้งานได้จริงอย่างเต็มที่
- พลิกฟังก์ชั่นใหม่ บาลานซ์ความเป็นส่วนตัวและการใช้ชีวิตร่วมกัน ตอบเทรนด์ Work from Home ดีไซน์พื้นที่ทำงานเข้ามาอยู่ในพื้นที่พักอาศัยอย่างเป็นสัดส่วน พื้นที่อเนกประสงค์รองรับการปรับเปลี่ยนฟังก์ชั่นในอนาคตได้อย่างสะดวก รวมถึงดีไซน์ส่วนนั่งเล่นเชื่อมต่อสายตาไปยังพื้นที่สีเขียวนอกบ้าน ที่รองรับการทำสวนขนาดย่อมและการพักผ่อนแบบเอาท์ดอร์ (outdoor) ได้จริง และไฮไลท์สุดท้าย
- พลิกประสบการณ์อิสระการอยู่อาศัย นวัตกรรมดีไซน์จัดวางตัวบ้านในมิติใหม่ ที่ให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวเหมือนอาศัยอยู่บ้านเดี่ยว รวมถึงนำเสนอดีไซน์สถาปัตยกรรมอาคาร (façade) ใหม่ เน้นความเรียบง่ายแต่มีดีเทลที่เป็นเอกลักษณ์ และขยายหน้าต่างที่เน้นเปิดช่องแสงธรรมชาติ เข้าสู่ตัวบ้าน เพิ่มความโปร่งและการหมุนเวียนระบบอากาศธรรมชาติเข้าสู่ตัวบ้าน” นายเมธา กล่าวเสริม
เอพีมั่นใจว่าด้วยจุดขายทั้ง 5 แบบบ้านทาวน์โฮมดีไซน์ใหม่ ที่พลิกโฉมขยายสเปซฟังก์ชั่นที่คุ้มค่าที่สุดตอบการใช้ชีวิตยุคใหม่ที่จับต้องได้จริง จะเป็นไฮไลท์สำคัญกระตุ้นดีมานด์ตลาดที่มองหาสินค้าบ้านแฝดและทาวน์โฮมใหม่ใน 9 ทำเลเมืองและได้รับการตอบรับที่ดีอย่างแน่นอน โดยเอพีได้กำหนดเปิดขายพร้อมกันวันที่ 27 – 28 พ.ย. นี้ ได้แก่
- บ้านกลางเมือง The Edition พหลโยธิน – รามอินทรา ราคาเริ่ม 8.99 ล้านบาท
- บ้านกลางเมือง สุขุมวิท – อ่อนนุช เริ่ม 4.88 ล้านบาท
- แกรนด์ พลีโน่ บางนา – อ่อนนุช เริ่ม 4.49 ล้านบาท
- แกรนด์ พลีโน่ พหลฯ-วิภาวดี เริ่ม 1.99-4.69 ล้านบาท
- พลีโน่ บางนา – อ่อนนุช 2 เริ่ม 3.39 ล้านบาท
- พลีโน่ ปิ่นเกล้า – จรัญฯ 2 เริ่ม 2.89 ล้านบาท
- พลีโน่ ปิ่นเกล้า – จรัญฯ 3 เริ่ม 2.99 ล้านบาท
- พลีโน่ ราชพฤกษ์ – สาทร เริ่ม 2.79 ล้านบาท
- พลีโน่ วิภาวดี – ดอนเมือง เริ่ม 2.89 ล้านบาท
นอกจากนี้ เอพียังสามารถสร้างผลงานที่โดดเด่นจากยอดขายแนวราบ 10 เดือน รวม 28,600 ล้านบาท โตทะลุจากเป้าหมายยอดขายแนวราบทั้งปีที่ 28,000 ล้านบาท ซึ่งทั้งหมดสะท้อนได้ถึง ดีมานด์ลูกค้าที่มองหาบ้านหลังใหม่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง รวมถึงความไว้วางใจและความเชื่อมั่นของผู้บริโภคต่อสินค้าภายใต้แบรนด์เอพี ภายใต้พันธกิจ EMPOWER LIVING ที่มุ่งส่งมอบคุณภาพชีวิตที่ดี ที่ลูกค้าสามารถเลือกได้อย่างเป็นรูปธรรม” นายเมธา กล่าวปิดท้าย
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
20 บมจ. อสังหาฯ ไทย 9 เดือน ปั้มกำไรทะลุ 2.5 หมื่นล.
เช็ค 20 บมจ. อสังหาฯไทย รอบ 9 เดือน ฝ่ามรสุมโควิด ไตรมาส 3 สุดหิน ยังแกร่งทำกำไรบวกเพิ่ม แลนด์แอนด์เฮ้าส์ – ศุภาลัย – เอพี – ออริจิ้น และ แสนสิริ ขึ้น TOP 5 กำไรสูงสุด ขณะ พฤกษา ประเมินตลาดปีนี้บวกได้ 7% กลยุทธ์ ลด- ล้าง -เคลียร์ – หั่นราคา ทำสต็อกลดฮวบ
17 พ.ย. 2564 – ส่อง 20 บมจ.อสังหาริมทรัพย์ไทย ฝ่าโจทย์หินล็อกดาวน์โควิด …จากรายงานของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) ฉบับล่าสุด สรุปภาวะเศรษฐกิจไทย ไตรมาส 3 ปี 2564 ว่าได้รับผลกระทบรุนแรงจากการแพร่ระบาดของ COVID-19 และมาตรการควบคุมที่เข้มงวด อยู่ในภาวะ ติดลบ 0.3% เจาะลึก การบริโภคภายในประเทศ หดตัว 3.2% ขณะอุตสาหกรรมก่อสร้าง ติดลบ 4.1% จากการปิดไซต์งาน
นับเป็นเครื่องสะท้อนภาวะความยากลำบาก สำหรับธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทยที่ต้องเผชิญกับความอ่อนแอของกำลังซื้อภายในประเทศ ปัญหาหนี้ครัวเรือน และ ชาวต่างชาติที่หายไปเป็นเวลานานต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2563 ส่งผลตลาดอสังหาฯชะลอตัวทุกแง่ ดัชนีราคาที่อยู่อาศัย ปรับลดลง สู่จุดต่ำสุดในรอบ 19 ไตรมาส หรือ เกือบ 5 ปี
อย่างไรก็ตาม พบการแพร่ระบาดฯ ซึ่งทำให้ตลาดคอนโดฯ ไม่คึกคักเหมือนเคย แต่กลับเป็นปัจจัยช่วยผลักดันให้ตลาดแนวราบเติบโตขึ้นในบางเซกเม้นท์ จากความสนใจของผู้บริโภค ประกอบกับราคาที่อยู่อาศัยซึ่งถูกปรับให้ลดลงเข้ากับสภาพเศรษฐกิจ ในรูปแบบ ลด-ล้าง-เคลียร์ สต็อก ทำให้รอบ 9 เดือน (ม.ค.-ก.ย.) ของธุรกิจนี้ไม่ได้ย่ำแย่อย่างที่คิด และเกิดการเติบโตจากช่วงปีก่อน ฝ่าล็อกดาวน์มาได้
โดยตัวเลขผลดำเนินงานของผู้ประกอบการในตลาดหลักทรัพย์ (listed company) 20 บมจ.อสังหาฯ ซึ่งมีความได้เปรียบด้านเงินทุน ส่วนใหญ่ยังคงทำกำไรบวกขึ้นมา รวมกันได้มากกว่า 2.5 หมื่นล้านบาท ขณะบางราย เลือกใช้วิธีเร่งขายสินทรัพย์ สร้างรายได้ พลิกกำไร ตุนเงินสด เพื่อรับมือกับความไม่แน่นอนในอนาคต
9 เดือนสต็อกตลาดลดลง 8%
นายปิยะ ประยงค์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.พฤกษา เรียลเอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยว่า ไตรมาส 3 นับเป็นความท้าทายสูงสุดของอสังหาฯ ทำให้มูลค่าตลาดลดลงไปราว 7% แต่ในแง่ยอดขายรวม รอบ 9 เดือน กทม.-ปริมณฑล บวกเพิ่มขึ้น คาดทั้งปีตลาดโต 7% ทั้งนี้ มาจากบ้านเดี่ยวเติบโตถึง 30% ด้านการโอนฯภาพรวม ติดลบ 10% แต่บ้านเดี่ยว โต3% ส่งผลในแง่สต็อก (สินค้าคงเหลือ) ของตลาดกทม.-ปริมณฑล ณ สิ้น ก.ย. จำนวนหน่วยลดลงไป 8% จากปีก่อน เหลือที่ 204,199 ยูนิต
ส่วนผลประกอบการของพฤกษา รอบ 9 เดือน มีรายได้ 19,380 ล้านบาท กำไร 1,364 ล้านบาท ส่วนหนึ่งมาจากการเปิดโครงการทาวน์เฮ้าส์ถึง 21 โครงการ กลุ่ม 2-3 ล้านบาท ซึ่งแม้มีปัญหาสินเชื่อ แต่ขับเคลื่อนได้ดี ประกอบกับยอดขายบ้านราคามากกว่า 7 ล้านบาท ลูกค้าเงินเดือน 4 หมื่น- 2 แสนบาท ช่วยดันภาพรวมผลประกอบการ
” นับเป็นปีแห่งความท้าทาย สำหรับพฤกษา และเพื่อนในวงการ แต่เรายังเห็นการเติบโตของอุตสาหกรรม 7% “
เปิด TOP 5 อสังหาฯทำกำไรสูงสุด
” ฐานเศรษฐกิจ ” ส่องงบการเงินงวด 9 เดือน ซึ่งเป็นไทม์ไลน์สำคัญ บ่งชี้แนวโน้มตัวเลขความสำเร็จของเป้าหมาย พบ 5 อสังหาฯ ที่ยังคงสร้างรายได้และกำไรได้เติบโตสูงสุด ดังนี้ อันดับ 1 บมจ. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ ,อันดับ 2 บมจ.ศุภาลัย , อันดับ 3 บมจ.เอพี ,อันดับ 4 บมจ. ออริจิ้น และ อันดับ 5 บมจ. แสนสิริ
เจาะ บมจ. แสนสิริ เผย ยอดโอนทั้งแนวราบและแนวสูง 9 เดือน เข้าใกล้เป้าหมายที่ 25,100 ล้านบาท หรือ คิดเป็น 81% จากเป้าหมาย 31,000 ล้านบาท มาจากโครงการบ้านเดี่ยว เช่น การปิดโครงการ บูก้าน โยธินพัฒนา ,โครงการเศรษฐสิริ กรุงเทพกรีฑา , เศรษฐสิริ พัฒนาการ รวมถึงแบรนด์ “อณาสิริ” ซึ่งทำรายได้โตขึ้นกว่า 200%
ด้าน บมจ. ออริจิ้น พบยอดโอนฯคอนโดและบ้านจัดสรรในช่วงไตรมาส 3 ทำได้มากถึง 3,666 ล้านบาท เติบโตขึ้นถึง 66% ขณะเดียวกันจากการโหมแคมเปญ และกระตุ้นการขายในโครงการพร้อมอยู่ เช่น การจัดแคมเปญ 9.9 , Live ขายคอนโดฯ ทำให้ไตรมาส 3 สุดหิน มีการรับรู้รายได้เพิ่มเติม ดัน 9 เดือน ทำกำไร 2,386 ล้านบาท
ลลิล – SC – ASW กำไรบวก
ขณะ 3 บมจ.อสังหาฯ ซึ่งมีการไต่เพิ่มขึ้นของกำไร ได้แก่ บมจ. ลลิล พบมีการขยายตัวกว่า 20.3% โดยรับรู้รายได้แล้วที่ 4,828 ล้านบาท คิดเป็น 80% ของเป้าหมายทั้งปีที่ตั้งเอาไว้ ขณะ กำไรสุทธิขยายตัวได้ 22.6% จากการรุกขายออนไลน์ – อัดโปรโมชั่น และลุยเปิดโครงการบ้านใหม่ครอบคลุมหลายระดับราคา และทำเล ส่วน บมจ. เอสซี แอสเสท เผย บริษัททำนิวไฮยอดขาย 16,082 ล้านบาท ผลักดัน รายได้รวม 9 เดือน เท่ากับ 13,464 ล้านบาท กำไรเพิ่มราว 3% น้องใหม่ บมจ. แอสเซทไวส์ กำไร บวก 136% เทียบกับรายได้ 3,415 ล้านบาท กำไรทำได้มากถึง 735 ล้านบาท ผลักดัน โดยคอนโดฯแบรนด์ Kave ทำเลใกล้มหาวิทยาลัย
” อสังหาฯ ปีนี้ ได้รับผลกระทบอย่างหนัก กำลังซื้อผู้บริโภคหดตัวลง ดังนั้นผู้ประกอบการที่สามารถนำเสนอสินค้าและบริการ ที่ตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดีกว่า ก็จะสามารถผ่านสถานการณ์นี้ไปได้ ” นายชูรัชฏ์ ชาครกุล บมจ. ลลิล ระบุ
PF เร่งปิดดีลขายสินทรัพย์
อีกด้านของกลยุทธ์การผลักดันรายได้ เพิ่มกำไร เพื่อตุนสภาพคล่องรับความผันผวนของตลาดในอนาคต บมจ.เพอร์เฟค (PF) ซึ่งพลิกจากขาดทุน มามีกำไร 73 ล้านบาทในรอบ 9 เดือน เผยเร่งขายทรัพย์สินที่มีในมือบางส่วนออกไป โดยในช่วงไตรมาส 4 จะปิดการขายโรงแรมอีก 1 แห่ง เพื่อนำไปชำระหนี้และใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนภายในบริษัท โดย นายวงศกรณ์ ประสิทธิ์วิภาต กรรมการผู้จัดการ ระบุ จะทำให้แนวโน้มผลการดำเนินงานปี 2564 ของบริษัท มีรายได้ที่ระดับ 12,000-13,000 ล้านบาท ซึ่งส่วนนึงมาจากการทยอยรับรู้ยอดขายรอโอนในกลุ่มบ้านระดับบนด้วย
พอร์ตคอนโดฯต่างชาติขาดทุน
อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณา กลุ่มอสังหาฯ พอร์ตคอนโดฯ ใหญ่ อย่าง บมจ.อนันดา ได้รับผลกระทบจากการล็อกดาวน์ ปิดประเทศอย่างชัดเจน ไม่สามารถโอนกรรมสิทธิ์คอนโดฯให้ลูกค้าต่างชาติได้ ทำให้รายได้ลดลง และมีตัวเลขติดลบด้านกำไร เป็นขาดทุน เช่นเดียวกับ บมจ.เมเจอร์ การเปิดโครงการที่น้อยลง ทำให้มีโครงการที่ก่อสร้างแล้วเสร็จและโอนกรรมสิทธิ์ได้ลดลง รายได้ติดลบ ส่วนชาญอิสสระ โควิดกระทบคอนโดฯเซกเม้นท์ระดับบน แม้ไตรมาส 3 มีกำไรบวกมา 72 ล้านบาท แต่ภาพรวม 9 เดือน ติดลบ แต่เป็นการขาดทุนที่ปรับตัวดีขึ้นกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า จับตาไตรมาส 4 ปลดล็อก LTV จุดเปลี่ยนการขายและโอนฯ …
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
ความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยในปี 2565
ส้นทางฟื้นฟูหรือซ่อมสร้างเศรษฐกิจไทยไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและใช้เวลาเพียงระยะสั้น ๆ แต่คงจะเป็นดงหนามที่จะต้องร่วมกันฝ่าฟันให้ก้าวพ้นออกไปให้ได้
คอลัมน์ ทันเศรษฐกิจ โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.สันติ ชัยศรีสวัสดิ์สุข ศูนย์ศึกษาพัฒนาการเศรษฐกิจ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (NIDA) www.econ.nida.ac.th ; Santi_nida@yahoo.com
สำหรับภาคธุรกิจ คงจะเริ่มหายใจหายคอกันได้ดีขึ้นเมื่อรัฐบาลตัดสินใจประกาศเปิดประเทศและผ่อนปรนมาตรการจำกัดทางด้านเศรษฐกิจไปจนเกือบจะทุกมาตรการโดยคงไว้เฉพาะมาตรการที่จำเป็นในบางพื้นที่ที่ยังมีความเสี่ยงสูงต่อการระบาดของโรค กิจกรรมทางเศรษฐกิจเริ่มขยับขยายเกิดขึ้นได้มากขึ้นจนมีความหวังและคาดหวังกันว่าเศรษฐกิจไทยจะค่อย ๆ พลิกฟื้นและขยายตัวได้มากขึ้นในไตรมาสถัด ๆ ไป (หลายหน่วยงานคาดการณ์ว่าในปี 2564 ประเทศไทยจะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้ 0.5-1% และจะสามารถขยายตัวได้ 4% หรือมากกว่าในปี 2565) มุมมองในทางที่ดีต่อเศรษฐกิจไทยสะท้อนให้เห็นได้จากทั้งดัชนีความเชื่อมั่นอุตสาหกรรมและดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ปรับดีขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมามาก ภาคการผลิตมีความมั่นใจมากขึ้นที่จะลงทุนเพื่อผลิตสินค้า ในขณะเดียวกันผู้บริโภคก็มีความเชื่อมั่นมากขึ้นที่จะสามารถสร้างรายได้ทั้งในปัจจุบันและอนาคต จึงพร้อมที่จะจับจ่ายใช้สอยมากขึ้น ซึ่งล้วนแต่เป็นสัญญาณที่จะนำไปสู่การสร้างมูลค่าเพิ่มและการเติบโตทางเศรษฐกิจได้ (อาจจะเรียกอย่างที่หลายท่านได้พูดกันว่า “เศรษฐกิจไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้ว”) อย่างไรก็ตาม เส้นทางในการฟื้นฟูหรือซ่อมสร้างเศรษฐกิจของไทยคงจะไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบและใช้เวลาเพียงระยะสั้น ๆ เท่านั้น แต่คงจะเป็นดงหนามที่จะต้องร่วมกันฝ่าฟันให้ก้าวพ้นออกไปให้ได้ ผู้เขียนจึงอยากหยิบยกตัวอย่าง (พร้อมคำอธิบายสั้น ๆ) ของความท้าทายสำหรับเศรษฐกิจเพียงแค่ในระยะสั้น 1-2 ปีข้างหน้าที่เราจะต้องร่วมกันคบคิดว่าจะรับมือกันอย่างไรจึงจะเหมาะสม ดังนี้
ความติดขัดของระบบโลจิสติกส์และห่วงโซ่มูลค่าโลก (Logistic Squeeze)
ภาคการส่งออกและการลงทุน (ทั้งการลงทุนภายในประเทศและการลงทุนจากต่างประเทศ) เป็นภาคเศรษฐกิจที่ถูกคาดหวังว่าจะเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจเพราะการขยายตัวของมูลค่าการค้าโลกจากการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในเศรษฐกิจโลกโดยเฉพาะในกลุ่มคู่ค้าที่สำคัญของไทย ได้แก่ สหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป จีน ญี่ปุ่น และอาเซียน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม การหยุดชะงักหรือการชะลอตัวของกิจกรรมในภาคเศรษฐกิจระหว่างประเทศในช่วงที่ผ่านมา และการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอุปสงค์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ไม่เท่ากันทั้งในแง่ขนาดของมาตรการทางการคลังและช่วงเวลาของการใช้มาตรการ ทำให้เกิดความติดขัด ล่าช้าในกระบวนการทางด้านโลจิสติกส์ทั้งในระดับภายในประเทศและเชื่อมโยงไปถึงระหว่างประเทศ เช่น การบริหารจัดการการขนส่งทางเรือระหว่างประเทศ เช่น การเพิ่มขึ้นของปริมาณงานในท่าเรือที่เป็นเส้นทางเดินเรือหลักของโลกและในหลายภูมิภาค การเพิ่มขึ้นของกระบวนการพิธีการทางด้านการตรวจปล่อยสินค้าจากมาตรการทางด้านสาธารณสุขที่เพิ่มขึ้นเพื่อป้องกันการระบาดของโรครอบใหม่ ฯลฯ จนกลายเป็นคอขวดในระบบห่วงโซ่อุปทานโลกจากปัญหาการขนส่งทางเรือผลกระทบต่อประเทศไทยในส่วนประกอบด้วย (1) การผูกขาดราคาค่าขนส่งทางเรือในตลาดผู้ให้บริการการขนส่งระหว่างประเทศ (2) ความล่าช้าจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของปริมาณตู้ขนส่งในท่าเรือหลักของโลก (ประสิทธิภาพการจัดการตู้คอนเทนเนอร์ที่ท่าเรือลดลงจากการระบาดของโรค) (3) ราคาค่าขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศเพิ่มขึ้นกว่า 40% รวมทั้งการเพิ่มขึ้นของราคาค่าบริการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น ค่าประกันภัยทางทะเล ค่าประกันสินค้าที่ขนส่งทางทะเล ฯลฯ ทั้งหมดนี้ล้วนแต่เป็นปัจจัยที่ทำให้ต้นทุนทางด้านโลจิสติกส์สำหรับการส่งออกของประเทศต้องปรับเพิ่มขึ้นด้วย ซึ่งเป็นอุปสรรคสำคัญต่อการขยายตัวของการส่งออกของประเทศ ในแง่มุมนี้ การเพิ่มประสิทธิภาพในหลาย ๆ ภาคส่วนที่เกี่ยวข้องจึงเป็นตัวแปรสำคัญที่จะบ่งชี้ว่าภาคการส่งออกจะสามารถเป็นแรงขับเคลื่อนให้เกิดการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้มากน้อยเพียงใด
ความตึงตัวของตลาดการเงิน (Monetary Tightening)
แนวโน้มการตึงตัวของตลาดการเงินจากนโยบายการเงินที่ผ่อนคลายน้อยลงของประเทศเศรษฐกิจหลักของโลกโดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ซึ่งดำเนินการในรูปแบบการลดปริมาณการอัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบผ่านมาตรการ QE ประกอบกับการที่ประเทศต่าง ๆ มีการออกมาตรการทางการคลังเพื่อการช่วยเหลือและฟื้นฟูเศรษฐกิจจำนวนมาก ส่งผลกระทบให้เกิดการตึงตัวในตลาดการเงินทั่วโลก สำหรับประเทศไทย แม้ว่าสภาพคล่องในระบบการเงินภายในประเทศจะมีเพียงพอต่อการรองรับการก่อหนี้ของภาครัฐ (7 แสนล้านบาทจากการขาดดุลงบประมาณ และอีก 5 แสนล้านบาทตามกรอบวงเงินกู้เพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจ) แต่การตึงตัวของตลาดการเงินทำให้มีความเสี่ยงต่อการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงิน (แม้ดอกเบี้ยนโยบายจะยังไม่มีแนวโน้มที่จะปรับเพิ่มขึ้นในระยะสั้น) โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อมที่ถูกประเมินว่ามีความเสี่ยงสูงขึ้น และสถาบันการเงินภายในประเทศมีภาระต้นทุนเพิ่มขึ้นจากการเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (Non-performing Loan: NPL) ในช่วงที่ผ่านมาจากการระบาดของโควิด-19 ความเสี่ยงของการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินเป็นอุปสรรคทั้งต่อการลงทุนภาคเอกชน และการบริโภคโดยเฉพาะในกลุ่มสินค้าคงทน แนวโน้มของการเพิ่มขึ้นของต้นทุนทางการเงินอาจจะเป็นแรงต้านต่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจไทยได้โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจจำเป็นต้องพึ่งพาการลงทุนเพื่อสร้างกิจกรรม และนวัตกรรมใหม่ ๆ ในการสร้างมูลค่าเพิ่ม
ค่าครองชีพที่สูงขึ้น (Rising Cost of Living)
ความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพจากอัตราดอกเบี้ยในตลาดที่เพิ่มขึ้น (อัตราดอกเบี้ยนโยบายอาจจะไม่สูงขึ้น) และการเพิ่มขึ้นของราคาโภคภัณฑ์โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับพลังงาน (ได้แก่ น้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน เป็นต้น) วัสดุก่อสร้าง และสินแร่ที่จำเป็นในภาคอุตสาหกรรม ซึ่งเป็นผลจากการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของอุปทานในระยะสั้น (Short-term surge of demand) โดยเฉพาะในเศรษฐกิจขนาดใหญ่ของโลก (สหรัฐอเมริกา และจีน) การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่แตกต่างกัน (Uneven economic recovery) กดดันให้ประเทศที่มีการฟื้นตัวได้ล่าช้ากว่าประเทศอื่นต้องมีส่วนในการแบกรับภาวะเงินเฟ้อที่ถูกส่งผ่านมาจากประเทศที่ฟื้นตัวได้รวดเร็วกว่า ความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพส่งผลกระทบต่อความเป็นอยู่ของคนในวงกว้างโดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องปรับตัวมากไปสู่กิจกรรมทางเศรษฐกิจใหม่ (ปรับเปลี่ยนอาชีพ ปรับเปลี่ยนทักษะ มีการโยกย้ายถิ่นที่อยู่ ฯลฯ) และกลุ่มเปราะบาง โดยเฉพาะกลุ่มคนยากจนและผู้ว่างงานที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาก แรงงานจำนวนหนึ่งยังคงต้องแข่งขันในตลาดแรงงานกับแรงงานต่างด้าวที่ยอมทำงานในลักษณะเดียวกันด้วยค่าแรงที่ต่ำกว่า การเพิ่มขึ้นของค่าครองชีพยังเป็นแรงกดดันต่อต้นทุนในภาคการผลิตอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาคอุตสาหกรรม ภาคบริการ และภาคการท่องเที่ยวที่ประเทศไทยก็คาดหวังว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้หลังจากเปิดประเทศ ค่าครองชีพที่เพิ่มขึ้นทำให้การเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศมีราคาแพงขึ้น นักท่องเที่ยว (ซึ่งมีต้นทุนในการท่องเที่ยวเพิ่มขึ้นมากอยู่แล้วจากมาตรการทางด้านสาธารณสุขที่จำเป็นต้องมีเพิ่มขึ้นสำหรับการเดินทาง) ต้องจ่ายมากขึ้นสำหรับการเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ส่งผลให้ความน่าสนใจในการท่องเที่ยวในประเทศไทยลดลง และนักท่องเที่ยวมีทางเลือกมากขึ้นในการเดินทางไปท่องเที่ยวในประเทศอื่น (ซึ่งอาจจะราคาถูกกว่า) ทำให้มีความเสี่ยงที่จะมีนักท่องเที่ยวเดินทางเข้ามาในประเทศน้อยกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ รายได้จากการท่องเที่ยวที่คาดหวังว่าจะมาสนับสนุนให้เกิดการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจก็อาจจะไม่เกิดขึ้นตามที่คาดหวังไว้
หนี้ภาคครัวเรือนและหนี้สาธารณะ (Household and Public Debt)
แนวโน้มหนี้ภาคครัวเรือน และหนี้ภาครัฐที่เพิ่มขึ้น และเป็นข้อจำกัดต่อการดำเนินนโยบายทางการคลังเพื่อสนับสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ผลกระทบของการระบาดสร้างข้อจำกัดในการสร้างรายได้ของภาคครัวเรือน ซึ่งกระทบต่อขีดความสามารถในการชำระหนี้ การเพิ่มขึ้นของหนี้ภาคครัวเรือนทำให้มีความยากลำบากในการใช้มาตรการส่งเสริมการบริโภคภายในประเทศเพื่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ ลดภาระการพึ่งพาภาคเศรษฐกิจระหว่างประเทศตามแนวทางการพัฒนาเศรษฐกิจแบบคู่ขนาน (Dual Track Economy) ด้วยข้อจำกัดดังกล่าว การสร้างให้เกิดแรงขับเคลื่อนจากการบริโภคภายในประเทศจึงต้องอาศัยมาตรการในการสร้างรายได้โดยเฉพาะในระดับครัวเรือน ยิ่งถ้าต้องการให้การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจมีการกระจายอย่างทั่วถึงในทุกภาคส่วน ทุกภูมิภาค (Inclusive Growth or Recovery) การบรรเทาภาระการชำระหนี้หรือการพักการชำระหนี้จะเป็นเพียงมาตรการชะลอความเดือดร้อนในระยะสั้นเท่านั้น ในระยะยาวยังคงต้องมีมาตรการในการสร้างเสริมขีดความสามารถในการสร้างรายได้ การเพิ่มความเชื่อมั่นในภาคครัวเรือนในการใช้จ่ายด้วยการสร้างความเชื่อมั่นในการสร้างรายได้ที่มั่นคงทั้งในปัจจุบันและอนาคต ในขณะเดียวกัน มาตรการทางการคลังของภาครัฐก็มีข้อจำกัดเช่นเดียวกันจากระดับสัดส่วนหนี้สาธารณะต่อผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 1-2 ปีที่มีการระบาดของโควิด-19 ทำให้ภาครัฐต้องมีภาระค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น การบริหารจัดการทางการคลังให้มีประสิทธิภาพในระยะของการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศจึงเป็นความท้าทายสำคัญเพื่อให้มีเครื่องมือทางเศรษฐกิจที่เพียงพอต่อการกระตุ้นให้เกิดการขยายตัวทางเศรษฐกิจให้ได้ตามศักยภาพทางเศรษฐกิจของประเทศในช่วงที่ภาคครัวเรือนมีความอ่อนแอจากภาระหนี้สะสมที่กดทับเพิ่มเติมมากขึ้นในช่วงที่มีการใช้มาตรการทางด้านสาธารณสุขเพื่อจำกัดการระบาดของโรค ความเสี่ยงในเสี่ยงที่สำคัญคงจะอยู่ว่าเศรษฐกิจจะสามารถช่วยเหลือ รักษา และฟื้นฟูภาคครัวเรือนให้กลับมาเข้มแข็งได้มากน้อยเพียงใด ในระยะเวลาที่รวดเร็วแค่ไหน
ความลักลั่นของการฟื้นตัว (Lacking or Uneven Capability to Recover)
ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมที่ถ่างกว้างมากขึ้นในหลายมิติทั้งก่อนหน้าและจากผลกระทบของการระบาดของโรคโควิด-19 กลายเป็นปัญหาเชิงโครงสร้างที่บั่นทอนประสิทธิภาพของนโยบายทางเศรษฐกิจและศักยภาพในการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศ ในทำนองเดียวกัน ย่อมมีผลทำให้การฟื้นฟูทางเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวลงได้เมื่อแรงงานจำนวนไม่น้อยในระบบเศรษฐกิจขาดความสามารถในการปรับตัวหรือพัฒนาทักษะใหม่ให้สอดคล้องกับโครงสร้างของกิจกรรมทางเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม ความเหลื่อมล้ำทางด้านรายได้ และความมั่งคั่งภายในประเทศจะทำให้คนกลุ่มคนจน คนที่มีทักษะไม่เพียงพอมีแนวโน้มที่จะถูกทิ้งห่างมากขึ้นเรื่อย ๆ และเมื่อสะสมนานเข้าจึงก่อให้เกิดความเสียหายในรูปแบบของปัญหาสังคมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้สูงที่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยจะมีลักษณะเป็นการฟื้นตัวแบบตัว K คือบางภาคเศรษฐกิจที่สามารถปรับตัวได้ดี จะสามารถฟื้นฟูธุรกิจได้อย่างรวดเร็ว แต่จะมีภาคเศรษฐกิจอีกจำนวนหนึ่ง (ส่วนใหญ่เป็นภาคอุตสาหกรรมการผลิตแบบดั้งเดิมที่สามารถมูลค่าเพิ่มได้ไม่มาก) ไม่สามารถปรับตัวได้หรือต้องใช้เวลามากในการลงทุนปรับปรุงเปลี่ยนแปลงรูปแบบของธุรกิจไปสู่รูปแบบของเศรษฐกิจใหม่ (New Economy) ที่ต้องอาศัยเทคโนโลยีด้านดิจิทัลมากขึ้น อุตสาหกรรมที่ต้องใช้แรงงานเข้มข้นในการผลิตและสร้างมูลค่าเพิ่มน้อย พิจารณาจากความต้องการแรงงานต่างด้าวที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในระยะแรกของการผ่อนคลายมาตรการควบคุมโรคสะท้อนให้เห็นว่าภาคอุตสาหกรรมของประเทศยังมีความเสี่ยงต่อการปรับตัวในระยะต่อไปเมื่อประเทศหลายประเทศต่างเร่งขับเคลื่อนการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจมากขึ้น การแข่งขันในตลาดโลกที่เพิ่มมากขึ้นในระยะต่อไป (ซึ่งน่าจะมาถึงในเวลาไม่นาน) กดดันให้เศรษฐกิจของประเทศต้องเร่งเพิ่มประสิทธิภาพและพัฒนาผลิตภาพการผลิตให้สามารถรักษาระดับของขีดความสามารถในการแข่งขันไว้ให้ได้ ความเสี่ยงในส่วนนี้จึงเป็นความท้าทายของเศรษฐกิจไทยที่จะสามารถยกระดับความมีประสิทธิภาพ และเพิ่มผลิตภาพการผลิตของปัจจัยการผลิตภายในประเทศได้มากน้อยเพียงใดในกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ซึ่งการดำเนินการดังกล่าวจะต้องสามารถดึงให้แรงงาน และทุกภาคส่วนในประเทศให้เข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการฟื้นฟูเศรษฐกิจ ให้การปรับเปลี่ยนโครงสร้างทางเศรษฐกิจมีความสอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาของประเทศและการกระจายความเจริญสู่ภูมิภาค มีความเป็นไปได้ว่าปัญหาความเหลื่อมล้ำอาจกลายเป็นปัจจัยสำคัญในการฉุดรั้งการฟื้นฟูทางเศรษฐกิจให้ล่าช้าหรือกลายเป็นปัญหาเรื้อรังของเศรษฐกิจไทยต่อไปได้ในอนาคต
ขอบคุณข้อมูลจาก posttoday.com
พรปวีณ์, กุลวุฒิ, สุจิรัตน์ เข้าชิงรางวัลนักแบดมินตันยอดเยี่ยม BWF
“หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ , “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ และ “ปุ๊” สุจิรัตน์ ปุกคำ 3 นักแบดมินตันของไทยมีชื่อเข้าชิงรางวัลนักแบดมินตันยอดเยี่ยมประจำปี 2020-21
สหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) ได้เผยรายชื่อผู้เสนอเข้าชิงรางวัลนักแบดมินตันยอดเยี่ยมประจำปี 2020-21 ในแต่ละสาขา และจากสถานการณ์ไวรัสโควิด-19 ได้มีการขยายช่วงเวลาให้ครอบคลุมฤดูกาล 2020 และ 2021 (ตั้งแต่ 1 พฤศจิกายน 2019 ถึง 31 ตุลาคม 2021) โดยมีการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกและพาราลิมปิกที่โตเกียว 2020 รวมถึงมีรางวัลเพิ่มขึ้นมาใหม่อีก 2 ประเภท – ประเภทคู่ และ คู่ในพาราแบดมินตันแห่งปี
โดย “หมิว” พรปวีณ์ ช่อชูวงศ์ มีชื่อเข้าชิงในรางวัลประเภทนักกีฬาที่มีพัฒนาการยอดเยี่ยมประจำปี และยังมีอีก 3 คนที่ถูกเสนอเช้าชิงรางวัลนี้ คือ ลี ซีเจี๋ย แชมป์ชายเดี่ยวออล อิงแลนด์ , อารอน เชี๊ยะ กับ โซว วุยอิค เหรียญทองแดงชายคู่โอลิมปิกจากมาเลเซีย และ ลี หยาง กับ หวัง ชิหลิน เจ้าของเหรียญทองชายคู่โอลิมปิกจากไต้หวัน
ด้านรางวัลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของปี 2020/2021” หรือ Eddy Choong Most Promising Player of the Year นักแบดมินตันไทยถูกเสนอเข้าชิงในรางวัลนี้ คือ “วิว” กุลวุฒิ วิทิตศานต์ ดีกรีแชมป์เยาวชนโลก 3 สมัย ที่กลายมาเป็นกำลังหลักของทีมขนไก่ไทยชุดใหญ่ และยังมีอีก 3 คนที่ถูกเสนอเช้าชิงรางวัลนี้ ได่แก่ ลีเน่ คริสโตเฟอร์เซ่น หญิงเดี่ยวเดนมาร์ก ,โทม่า จูเนียร์ โปปอฟ Toma ชายเดี่ยวฝรั่งเศส และ ไบรอัน หยาง นักกีฬาขายเดี่ยวแคนาดาที่ทำผลงานยอดเยี่ยมในโอลิมปิกเกมส์ 2020
ส่วนอีก 1 รางวัลที่มีนักแบดมินตันไทยถูกเสนอรางวัลเข้าชิง ก็คือ รางวัลนักแบดมินตันพาราหญิงยอดเยี่ยม หรือคนพิการประเภทหญิง นั่นก็คือ “ปุ๊” สุจิรัตน์ ปุกคำ ที่ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในพาราลิมปิกเกมส์ 2020 คว้ามา 1 เหรียญเงิน ในประเภทหญิงเดี่ยว และ 1 เหรียญทองแดงในประเภทหญิงคู่
โดยสหพันธ์แบดมินตันโลก (BWF) จะประกาศผู้ได้รับรางวัล และจะเข้ารับมอบรางวัลในช่วงการแข่งขัน Bali Leg of the HSBC BWF World Tour ที่เมืองบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ที่จะเริ่มในสัปดาห์หน้า
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
แพทย์เตือน “บีบสิวปลายจมูก” เสี่ยงติดเชื้อในสมอง
ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน นักเทคนิคการแพทย์ประจำศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติสภากาชาดไทย หรือ หมอแล็บแพนด้า โพสต์เตือนอย่าบีบสิวบริเวณปลายจมูก เสี่ยงติดเชื้อในสมองได้ โดยระบุรายละเอียดเอาไว้ ดังนี้
แพทย์เตือน “บีบสิวปลายจมูก” เสี่ยงติดเชื้อในสมอง
การบีบสิวที่ปลายจมูก มีความ “เป็นไปได้” ที่จะมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อในสมอง เพราะเพิ่งมีรายงานจากประเทศจีน ว่ามีผู้หญิงคนหนึ่งบีบสิวแล้วติดเชื้อลามเข้าสมอง แต่ในความเป็นจริงแล้วยังถือว่าพบได้น้อยมาก
“สิว” มีหลายแบบ มีทั้งแบบติดเชื้อแบคทีเรีย และอื่นๆ บริเวณรอบจมูกมีเยื่อบุต่อเนื่องเข้าไปภายในโพรงจมูก ซึ่งมีหลอดเลือดมาเลี้ยงจำนวนมาก หลอดเลือดพวกนี้เชื่อมต่อไปดวงตา และสมองได้ จึงอาจเสี่ยงติดเชื้อแล้วลามไปที่สมองได้นั่นเอง
ไม่ควรบีบทั้งสิว ฝี และอื่นๆ ที่จมูก
หมอแล็บแพนด้าระบุอีกว่า นอกจากไม่ควรบีบสิวแล้ว ฝีก็เหมือนกัน เพราะฝีคือผิวที่ติดเชื้อแบคทีเรีย ถ้าเราบีบฝี บางทีหนองอาจไม่ได้ออกมา แต่กลับถูกผลักเข้าไปในเส้นเลือด แล้วหนองมีแต่แบคทีเรีย จึงอาจทำให้เชื้อแบคทีเรียแพร่เข้าสู่กระแสเลือดได้
ถึงแม้ว่าจะเป็นเหตุการณ์ที่ไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก แต่มันก็เกิดขึ้นสำหรับบางคน จึงขอเตือนไม่ให้บีบสิวและฝีบริเวณจมูก เพื่อความปลอดภัยของตัวเอง
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
รวมวลี ที่มี Hell
ถ้าพูดถึงวลีที่มีคำว่า hell (N.) ที่แปลว่า นรก เพื่อนๆ ชาว Engnow จะคิดถึงวลีไหนกันคะ? แอดเดาว่า ต้องมี What the hell! เข้ามาในหัวบางคนแน่ๆ ฮ่าๆ แต่จริงๆ ในภาษาอังกฤษยังมีวลีอีกมากมายเลยนะที่เกี่ยวกับคำว่า hell วันนี้แอดก็ได้ยกขบวน นรก เอ๊ย! ขบวนวลีต่างๆ ที่เกี่ยวกับ hell มาให้เพื่อนๆ ได้อ่านกัน จะมีอะไรบ้าง ไปดูกันเลย…
1. What the hell
เจอกันบ่อยมาก เป็นคำอุทาน หรือส่วนประกอบของคำถาม ที่ใช้สื่อถึงความรู้สึก โกรธ ตกใจ หรือรังเกียจ เป็นต้น อีกทั้งยังสามารถวางไว้กลางประโยค อธิบายถึงเวลาที่เราเพิ่งนึกได้ว่าสิ่งที่กำลังทำอยู่นี่มันไม่สำคัญ เลยไปทำอย่างอื่นดีกว่า เช่น
- What the hell is going on here?
เกิดบ้าอะไรขึ้นตรงนี้เนี่ย? - I was supposed to be studying this evening but what the hell. I’ll see you at the park in 10 minutes.
ฉันควรที่จะต้องเรียนเย็นนี้ แต่แล้วยังไงหล่ะ เดี๋ยวเจอกันที่สวนอีก 10 นาทีเพื่อน
2. not have a snowball’s chance in hell
วลีนี้ก็เหมือนกับการเปรียบเทียบว่า ในนรกที่ร้อนเป็นไฟ ก็จะไม่มีโอกาสที่ตุ๊กตาหิมะจะไปอยู่ที่นั่นได้ วลีนี้จึงใช้อธิบายถึงการไม่มีที่โอกาสจะประสบความสำเร็จในเรื่องหนึ่งๆ หรือเรื่องนั้นมันเป็นไปไม่ได้ เช่น
- Tina doesn’t have a snowball’s chance in hell of finishing her college.
ติน่าไม่มีโอกาสเลยที่จะเรียนจบจากวิทยาลัยที่เธอเรียน
3. all hell breaks loose
ใช้เยอะมากโดยเฉพาะในระหว่างการถกเถียง หรือต่อสู้กัน all hell breaks loose ใช้อธิบายเหตุการณ์ใดเหตุการณ์หนึ่ง ที่อยู่ๆ ก็กลายเป็นเหตุการณ์ที่รุนแรงเกิดขึ้น หากสู้ หรือเถียงกันอยู่ก็จะรุนแรงขึ้นไปอีก เช่น
- During the argument, my roommate slapped me on the face and then suddenly all hell broke loose.
ในระหว่างการเถียงกัน รูมเมทตบหน้าฉัน และต่อจากนั้น ก็เกิดการเถียงกันที่รุนแรงขึ้น
4. like hell
หมายความว่า มากๆ สามารถใช้ขยายในประโยคได้ เช่น
- My boyfriend dumped me. It hurt like hell.
แฟนทิ้งฉัน มันเจ็บมากกกกกกกกกแม่
5. hell’s teeth
เป็นคำอุทานที่แสดงถึง ความสับสน โกรธ หรือตกใจ เช่น
- Oh, hell’s teeth! The computer isn’t working. I have to send the project to my boss within 5 minutes.
โอ้ บ้าจริง คอมพิวเตอร์ฉันไม่ทำงาน ฉันต้องส่งโครงการกับเจ้านายภายใน 5 นาทีนี้ด้วยเนี่ย โอ๊ยยยย
6. A/one hell of
ใช้เพื่อเน้นว่า บางสิ่งมันดี ไม่ดี หรือใหญ่แค่ไหน เช่น
- It’s going to be one hell of a concert. Audiences will remember it until the rest of their life.
มันจะต้องเป็นคอนเสิร์ตที่ดีมาก ผู้ขมจะต้องจำมันไปจนวันตาย!
7. come hell or high water
ถ้าเราทำสิ่งใดแบบ come hell or high water หมายถึงว่า เราตั้งใจจะทำสิ่งนั้นมาก อุปสรรคแค่ไหนก็ไม่หวั่น เช่น
- I’m going to buy you a luxury car, come hell or high water!
ฉันจะซื้อรถหรูๆให้แก ไม่ว่าจะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม
8. shut the hell up
สั้นๆ ง่ายๆ หุบปากนรกๆ ของแกลงซะ ฮาๆ เช่น
- What you are talking about is nonsense. Shut the hell up!
สิ่งทีเเกกำลังพูดอยู่นี่มันเหลวไหล หุบปากซะ!
9. bloody hell
ใช้แสดงความรำคาญ หรือโกรธมากๆ เช่น
- What the bloody hell did you do last night?
แกทำบ้าอะไรลงไปเมื่อคืน!
10. give someone hell
เป็นแสลงซึ่งการที่เราให้นรกใคร หมายถึง เราตะโกนใส่ หรือวิจารณ์ใครด้วยความโกรธ เช่น
- Her colleague gave her hell for coming in late.
เพื่อนร่วมงานตะโกนใส่เธอที่เธอมาสายอย่างโกรธเคือง
คราวนี้เวลาดูหนังเจอวลีไหน ก็จะสามารถแปลได้อย่างแน่นอน! อย่าลืมเอาไปลองฝึกใช้ แต่ต้องระวังมากๆ เลยนะคะ เพราะ มันค่อยข้างไม่สุภาพมากๆ เลยน่ะซี้ ฮื้ออออ.. เดี๋ยวจะหาว่าแอดไม่เตือน!
ขอบคุณข้อมูลจาก engnow.in.th
Lexus NX 2022 เปิดตัวในไทยรุ่นปลั๊กอินไฮบริด – เครื่องยนต์ 2.4 ลิตร เทอร์โบ
Lexus NX 2022 เบบี้เอสยูวีเจเนอเรชั่นที่สองของเลกซัส เตรียมเปิดตัวในไทยกับรุ่นปลั๊ก-อินไฮบริด Lexus NX 450h+ และรุ่นเครื่องยนต์ 2.4 ลิตร เทอร์โบ Lexus NX 350 ช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน นี้
Lexus NX 2022 โฉมใหม่เผยโฉมในตลาดโลกช่วงกลางปีที่ผ่านมา โดยมีสหรัฐอเมริกาเป็นตลาดหลัก กับโครงสร้างตัวถังใหญ่ขึ้นทุกมิติ ความยาว 4,660 มม. (+20) กว้าง 1,865 มม. (+20) สูง 1,640 มม. (+5) ระยะฐานล้อ 2,690 มม. (+30) ขณะที่ขุมพลังปลั๊ก-อินไฮบริด ถูกนำมาใช้กับ NX เป็นโมเดลแรกของเลกซัส
Lexus NX 2022 ปลั๊ก-อินไฮบริด มากับชื่อรุ่น Lexus NX 450h+ ใช้เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร และมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ในด้านหน้าและหลัง อัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. 6 วินาที พร้อมแบตเตอรี่ลิเธียมไอออน 18.1 กิโลวัตต์ชั่วโมง ในโหมด EV วิ่งได้ระยะทางกว่า 50 กม.
ในขณะที่เมืองไทยนำเข้า Lexus NX 450h+ Plug-in Hybrid และ NX 350 เครื่องยนต์เบนซิน 4 สูบ 2.4 ลิตร เทอร์โบ มาขาย แต่ในตลาดโลกยังมีทั้งรุ่นไฮบริด NX 350h เครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตร ผสานการทำงานกับมอเตอร์ไฟฟ้า และรุ่นเครื่องยนต์ล้วนๆ NX 250 เบนซิน 4 สูบ 2.5 ลิตร (มีทั้งรุ่นขับเคลื่อนล้อหน้าและขับเคลื่อนสี่ล้อ)
ส่วนฟังก์ชันที่โดดเด่นของ All new NX มากับหน้าจอทัชสกรีนขนาด 14 นิ้ว รองรับการเชื่อมต่อแบบไร้สาย Apple Car Play, Android Auto ระบบสั่งงานด้วยเสียง และเทคโนโลยี OTA อัพเดตซอฟต์แวร์
ระบบความปลอดภัย Lexus Safety System+ 3.0 ที่ ประกอบด้วย
- Risk Avoidance Emergency Steer Assist
- Left Turn Oncoming Vehicle Detection/Braking
- Right/Left Turn Oncoming Pedestrian Detection/Braking
- Dynamic Radar Cruise Control with Curve Speed Management
- Lane Departure Alert /Steering Assist
- Intelligent High Beam
- Dynamic Radar Cruise Control
- Road Sign Assist
- Pre-Collision System
เลกซัส โดยโตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย เตรียมเปิดตัว Lexus NX 2022 และประกาศราคา ปลายเดือนพฤศจิกายน นี้ หรือได้เห็นตัวจริงในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ตั้งแต่ 1 – 12 ธันวาคม 2564 อิมแพค เมืองทองธานี
ติดตามข้อมูลเพิ่มเติมLexus NX
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
เจาะลึก! นวัตกรรมสุดไฮเทคตอบโจทย์ทุกงานดีไซน์แบบไร้ขีดจำกัด กับไม้สังเคราะห์จาก K.S. WOOD ในงานสถาปนิก’65
K.S. WOOD พัฒนาคุณภาพสินค้า ภายใต้แนวคิด “ถ้าเรารักษ์โลก โลกจะรักเรา”
ไม้สังเคราะห์ NewTechWood รุ่น Ultrashield® ผลิตจากเส้นใยไม้คุณภาพสูง และเม็ดพลาสติกรีไซเคิลในอุตสาหกรรมที่ได้มาตรฐาน ด้วยนวัตกรรมการผลิตที่ประหยัดพลังงาน เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ขึ้นไปสู่ชั้นบรรยากาศ ทำให้ได้ไม้สังเคราะห์ที่มีผิวสัมผัสเหมือนไม้ธรรมชาติ แข็งแรง ทนทาน ตอบโจทย์งานดีไซน์ทั้งภายในและภายนอก
นอกจากนี้ตัวไม้ยังผ่านกระบวนการผลิตแบบ Co-Extrusion ระดับ Super Premium ที่เคลือบทุกด้านของแผ่นไม้แบบ 360º ให้ได้ประสิทธิภาพเสมือนเกราะกำบัง ทนทานต่อทุกสภาพอากาศ ป้องกันรังสี UV จากแสงแดด ความชื้น เห็ดรา ปลวก และรอยขีดข่วนต่าง ๆ ติดตั้งด้วยระบบ Smart Locking Clip ลิขสิทธิ์เฉพาะของ NewTechWood เจ้าเดียวในไทยที่ให้คุณสมบัติยืดอายุการใช้งานได้ยาวนานกว่า 10 ปี
ที่สุดแห่งนวัตกรรมไม้สังเคราะห์ กับ Ultrashield® ระดับ World Class ที่นิยมใช้ทั่วโลก ผ่านการรับรองมาตรฐานทั้งจากยุโรปและสหรัฐอเมริกา
ทำไมต้องเลือกใช้ NewTechWood รุ่น Ultrashield®
- รองรับดีไซน์งานดัดโค้ง สร้างเสน่ห์ให้งานออกแบบสวยสะกดสายตาในทุกมิติ
- มอบคุณค่าทางใจ และเพิ่มมูลค่าให้ทุกงานออกแบบดูดีมีระดับ
- สีสันสวยงามเหมือนไม้ธรรมชาติ
- สวยสดใส เหมือนใหม่ ไม่ซีดจาง ไม่ต้องทำสีใหม่
- ทนแดด ทนร้อนเหมาะกับสภาพอากาศประเทศไทย
- ทนฝน ไม่ซึมน้ำ ไม้ไม่บวม
- หมดปัญหาเรื่องปลวกและเห็ดรา
- ทำความสะอาดง่าย หมดกังวลเรื่องคราบเปื้อน
- ไม้ไม่บิด ไม่โก่ง ยืดหดตัวน้อยมาก
แล้วมาสัมผัสนวัตกรรม “ไม้สังเคราะห์” รุ่นล่าสุดจาก K.S. WOOD ได้ด้วย ตัวเอง ที่งานสถาปนิก’65
ขอเชิญมาสัมผัสนวัตกรรมไม้สังเคราะห์ NewTechWood รุ่น Ultrashield® จาก K.S. WOOD ที่ตอบโจทย์ด้านการดีไซน์ และไม่สามารถหาได้ตามท้องตลาดทั่วไป ด้วยตนเองได้ที่บูธหมายเลข F506 ในงานสถาปนิก’65 งานแสดงเทคโนโลยีสถาปัตยกรรม และผลิตภัณฑ์ก่อสร้างใหญ่ที่สุดในอาเซียน ระหว่างวันที่ 26 เม.ย. – 1 พ.ค. 65 ณ ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 1-3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี
ขอบคุณข้อมูลจาก buildernews.in.th
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 18/11/2564
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 28,700.00 | 28,800.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 1,859.00 | 28,182.44 | 29,300.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,673.10 | 25,364.20 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,487.20 | 22,545.95 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 837.00 | 12,688.92 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 651.00 | 9,869.16 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 1,926.00 | 29,198.16 | n/a |
ราคาน้ำมัน ประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 18/11/2564
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 32.35 | 32.35 | 32.60 | 32.35 | 32.50 | 32.35 | 32.35 | 32.35 | 32.35 | 32.35 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 32.08 | 32.08 | 32.33 | 32.08 | 32.23 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 | 32.08 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 30.84 | 30.84 | 31.09 | 30.84 | 30.99 | – | 30.84 | 30.84 | 30.84 | 30.84 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 24.44 | 24.44 | – | – | – | – | – | – | – | 24.44 |
เบนซิน 95 | 39.76 | – | – | – | 40.36 | – | 40.26 | 40.26 | – | 39.76 |
ดีเซล B7 | 29.74 | 29.74 | 29.99 | 29.74 | 29.74 | 29.74 | 29.74 | 29.74 | 29.74 | 29.74 |
ดีเซล | 29.59 | 29.59 | 29.84 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 | 29.59 |
ดีเซล B20 | 29.49 | 29.49 | 29.74 | – | 29.29 | – | 29.49 | 29.49 | – | 29.49 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 34.96 | 35.36 | 36.44 | 36.36 | – | – | – | – | – | 34.96 |
แก๊ส NGV | 15.59 | 15.59 | – | – | – | – | – | – | – | 15.59 |