คลังสินค้า-โรงงานให้เช่าบางนา-ตราดบูม!ต่างชาติแห่ตั้งฐานการผลิต
พรอสเพค เผยดีมานด์คลังสินค้าและโรงงานให้เช่าทำเลบางนา-ตราดไม่แผ่วเหตุพื้นที่อีอีซีดึงดูดนักลงทุนต่างชาติเข้ามาตั้งฐานการผลิตในไทยประกาศเดินหน้าขยายโครงการใหม่รองรับลูกค้าทุกอุตสาหกรรม
นางสาวรัชนี มหัตเดชกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท พรอสเพค ดีเวลลอปเมนท์ จำกัดบริษัทในเครือมั่นคงเคหะการ ผู้พัฒนาและบริหารโครงการคลังสินค้าและโรงงานให้เช่า โครงการบางกอกฟรีเทรดโซน กล่าวว่า ปี 2566 ถือเป็นปีที่พรอสเพคเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ทั้งในแง่ของการขยายโครงการล่าสุด BFTZ 7 ถ.บางนา-ตราด กม.10 ซึ่งไม่ได้อยู่ในแผนงาน แต่สามารถเติมผู้เช่าในกลุ่มผู้ให้บริการโลจิสติกส์และธุรกิจอื่น เต็ม 100% ภายใน 1 ปี ความสำเร็จของทุกโครงการเกิดขึ้นบนรากฐานที่มั่นคงของบริษัท ทั้งทำเลยุทธศาสตร์ มีพื้นที่ Free Zone และบริการ One Stop Service ครบวงจร
ประกอบกับความเชี่ยวชาญในการพัฒนาอาคารสำเร็จรูปแบบ Ready Built คุณภาพเกรด A ที่ทยอยก่อสร้างช่วงโควิด ภายหลังเปิดประเทศจึงขยายโครงการและเซ็นสัญญาผู้เช่ารวดเร็ว รองรับความต้องการของลูกค้าให้พร้อมใช้งานได้ทันที ทั้งนี้เนื่องจากปัจจุบันอินไซต์ของนักลงทุนต่างชาติจะตัดสินใจเช่าเร็วขึ้น เมื่อเข้ามาดูพื้นที่โครงการจริงแล้วสนใจ จะตกลงเซ็นสัญญาทันที เพราะหากยืดระยะเวลาออกไปอาจไม่มีที่เช่าในทำเลที่ต้องการหลงเหลืออยู่
สำหรับโครงการที่ปิดดีลพื้นที่เช่ามากที่สุดจะเป็น โครงการ BFTZ 3 ถ.บางนา-ตราด กม.19 พื้นที่เช่ารวมของลูกค้าใหม่ 50,000 ตร.ม. รองลงมา ได้แก่ โครงการ BFTZ 4 บางปะกง และ โครงการ BFTZ 5 วังน้อย ขณะเดียวกันยังอยู่ในระหว่างเจรจาสัญญาอาคาร Built-to-Suit อยู่อีก 2-3 ราย
ภาพรวมตลอดปีนี้ พรอสเพคทำผลงานได้โดดเด่น ผุดโครงการใหม่ในทำเลเดิมบางนา-ตราด พร้อมเสริมความแข็งแกร่งขยายไปยังจุดยุทธศาสตร์อุตสาหกรรมและโลจิสติกส์อย่าง บางปะกง และ วังน้อย ตอกย้ำตำแหน่งตัวจริงของวงการอสังหาริมทรัพย์เพื่อการอุตสาหกรรม ด้วยอัตราการเช่าเฉลี่ยรวมทุกโครงการ (Occupancy Rate) สูงกว่า 90% และรักษาฐานลูกค้าเดิมได้อย่างแข็งแกร่ง สะท้อนผ่านอัตราการต่อสัญญา (Renewal Rate) ปี 2566 แตะระดับ 90% ดันกราฟพุ่งต่อเนื่องตั้งแต่ช่วงหลังโควิด-19 เป็นต้นมา
ข้อมูลจากวิจัยกรุงศรีประเมินว่า การฟื้นตัวต่อเนื่องของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจไทยจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของภาคการค้าระหว่างประเทศ ทั้งนี้ ธุรกิจคลังสินค้ายังได้ปัจจัยบวกจากภาคท่องเที่ยว คาดว่าจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเข้ามาท่องเที่ยวในไทยที่ระดับ 42 ล้านคน ภายในปี 2568จะช่วยกระตุ้นความต้องการอุปโภคบริโภคสินค้า ส่งผลดีต่อการฟื้นตัวของภาคการผลิต โลจิสติกส์และการลงทุนในประเทศ สำหรับพื้นที่เช่ารวมทุกโครงการภายใต้การจัดการของพรอสเพคประมาณ 1,000,000 ตร.ม.
ขณะนี้มี 2 จาก 7 โครงการที่มีผู้เช่าเต็ม 100% ไฮไลต์โครงการที่กำลังอยู่ระหว่างการพัฒนาอย่าง โครงการ BFTZ 4 บางปะกง พื้นที่เช่า 200,000 ตร.ม. เป็นโครงการเดียวของบริษัทที่อยู่ในพื้นที่ EEC เริ่มลงเสาก่อสร้างเมื่อปี 2565 ที่ผ่านมา มีลูกค้าเข้าเซ็นสัญญาจองพื้นที่ต่อเนื่องแม้ยังไม่ได้เปิดตัวอย่างเป็นทางการ โดยบริษัทจะเร่งก่อสร้างให้แล้วเสร็จภายในปีหน้า ซึ่งกลุ่มธุรกิจของลูกค้าส่วนใหญ่ ได้แก่ ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์, ธุรกิจอาหาร, ผู้ให้บริการโลจิสติกส์ สำหรับประเภทอาคารที่ได้รับความนิยมภายในโครงการ BFTZ 4 จะเป็นอาคารโรงงาน เพราะตั้งอยู่ใกล้กับนิคมอุตสาหกรรรม ดังนั้นกลุ่ม Supplier ในสายการผลิตจึงกระจายมาเช่าอาคารในโครงการใกล้เคียง
“เป้าหมายต่อไป เราจะเดินหน้าเร่งก่อสร้างโครงการที่กำลังพัฒนาให้แล้วเสร็จ ไปพร้อมกับการขยายโครงการใหม่บนทำเลศักยภาพที่สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างยั่งยืนในระยะยาว เพื่อรองรับดีมานด์ลูกค้าทุกกลุ่มอุตสาหกรรม แนวโน้มธุรกิจผลิตยานยนต์ไฟฟ้า หรือ EV ตลอดจนธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับพลังงานสะอาด คาดว่าจะยังมีผู้ประกอบการต่างชาติย้ายฐานการผลิตเข้ามาขับเคลื่อนตลาด Industrial Property ให้คึกคักมากขึ้น” นางสาวรัชนี กล่าว
โดยเฉพาะผู้ประกอบการจากประเทศจีน ที่เริ่มขยายฐานมายังประเทศไทย ทำให้เรามีโอกาสต่อไปในอนาคต อีกส่วนที่เห็นภาพชัดเจน คือ ธุรกิจผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เมื่อธุรกิจ EV บูม กลุ่มธุรกิจเกี่ยวเนื่องอย่างอิเล็กทรอนิกส์ ก็จะได้รับอานิสงค์ตามมา รวมถึงชิ้นส่วนประกอบรถยนต์ แบตเตอรี่
นอกจากนี้ อุตสาหกรรมอาหารเองก็นิยมมาใช้พื้นที่ในโครงการ BFTZ 1 ถ.บางนา-ตราด กม.23 เช่นกัน ด้วยทำเลที่เอื้อต่อการขนส่ง ระบบสาธารณูปโภคและสิ่งอำนวยความสะดวกที่โดดเด่นทำให้รองรับธุรกิจอาหารได้เป็นอย่างดี
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ต้นทุนพุ่ง!อสังหาฯ67จ่อปรับราคา5-10%
เอฟเฟกต์!ราคาที่ดิน ค่าแรง ราคาวัสดุก่อสร้าง อัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้น ส่งผลให้โครงการอสังหาฯ67จ่อขึ้นราคา5-10% แนวโน้มโอนกรรมสิทธิ์ทรงตัวหรือเติบโตไม่เกิน 5% ขณะที่การเปิดดัวโครงการสูงขึ้น5-10%
นายประพันธ์ศักดิ์ รักษ์ไชยวรรณ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอล ดับเบิลยู เอส วิสดอม แอนด์ โซลูชั่น จำกัด หรือLWS บริษัทวิจัยและพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ในเครือชแอล. พี. เอ็น. คาดการณ์แนวโน้มการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ในเขตกรุงเทพฯและปริมณฑลในปี 2567 ว่า มีแนวโน้มที่จะเติบโต 5-10% ในขณะที่การโอนกรรมสิทธิมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2566 หรือเติบโตไม่เกิน 5% ขึ้นกับอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2567 ความสามารถในการก่อหนี้ของผู้ซื้อ และการพิจารณาสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยของสถาบันการเงิน
ในขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยมีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 5-10% ผลจากราคาที่ดิน ค่าแรง ราคาวัสดุก่อสร้างและอัตราดอกเบี้ยที่ปรับตัวสูงขึ้นขณะที่การโอนกรรมสิทธิ์มีแนวโน้มทรงตัวใกล้เคียงกับปี 2566 หรือเติบโตไม่เกิน 5% เมื่อเทียบกับปี 2566 เป็นผลมาจากภาระหนี้ครัวเรือนสูง ทำให้สถาบันการเงินเข้มงวดในการอนุมัติสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย(Mortgage Loan) แนะผู้ประกอบการอสังหาฯ ปรับกลยุทธจากการพัฒนาและขายอสังหาฯ สู่การเป็นที่ปรึกษาทางการเงินเพื่อการมีที่อยู่อาศัยทั้งเพื่อการอยู่อาศัยและการลงทุน
โดยการคาดการณ์ดังกล่าว LWS ได้มีการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการเติบโตของเศรษฐกิจและอสังหาริมทรัพย์ใน 3 ฉากทัศน์ (3-Scenarios) กล่าวคือ
กรณีที่ดีที่สุด(Best Case) :เป็นการคาดการณ์บนพื้นฐานจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโตไม่น้อยกว่า 3.5-4% ตามการคาดการณ์ของธนาคารแห่งประเทศไทยและสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ สถานการณ์การส่งออกมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง การลงทุนภาครัฐสามารถดำเนินการได้ตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะนโยบายดิจิทัล วอลเล็ต วงเงิน 500,000 ล้านบาท ที่คาดว่าจะดำเนินการได้ภายในไตรมาสสองของปี 2567
ในขณะที่ภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และราคาพลังงานทรงตัวในระดับที่ไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับไม่เกิน 1.5% จะทำให้มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2567 ประมาณ 110,000-115,000 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 497,000-520,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 5-10% เมื่อเทียบกับปี 2566 ที่ประมาณการณ์ว่าจะมีการเปิดตัวโครงการใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล จำนวน 106,000 หน่วย มูลค่า 474,000 ล้านบาท
และคาดว่าจะมีมูลค่าการโอนกรรมสิทธิที่อยู่อาศัยใหม่ทั่วประเทศในปี 2567 ประมาณ 1.1 ล้านล้านบาท หรือเติบโต 3% จากปี 2566 ที่ประมาณว่าจะมียอดการโอนกรรมสิทธิทั่วประเทศประมาณ 377,382 หน่วย คิดเป็นมูลค่าประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท ที่ปรับเพิ่มขึ้น 0.1% จากปี 2565
กรณีปกติ(Base Case):เป็นการคาดการณ์บนพื้นฐานจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโตประมาณ 2.5-3% ภาคการส่งออกฟื้นตัว การลงทุนของภาครัฐล่าช้าจากแผนที่วางไว้โดยเฉพาะโครงการแจกเงินดิจิทัล ที่อาจจะล่าช้าจากแผนที่วางไว้ว่าจะสามารถใช้ได้ภายในเดือนพฤษภาคม 2567 ไปในไตรมาส3หรือ4ของปี
ขณะที่ ภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และราคาพลังงานทรงตัวในระดับที่ไม่เกิน 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรล ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับไม่เกิน 1.5%
LWS คาดว่าจะทำให้มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2567 ประมาณ 107,000-110,000 หน่วย มูลค่าประมาณ 481,000-497,000 ล้านบาท หรือเติบโตประมาณ 3-5% และอัตราการโอนกรรมสิทธิจะมีแนวโน้มใกล้เคียงกับปี 2566 คือประมาณ 1.07 ล้านล้านบาท
กรณีที่แย่ที่สุด(Worst Case):เป็นการคาดการณ์บนพื้นฐานจากสถานการณ์เศรษฐกิจไทยเติบโตน้อยกว่า 2.5% ภาคการส่งออกทรงตัว การลงทุนของภาครัฐไม่สามารถทำได้ตามแผนที่วางไว้ โดยเฉพาะโครงการแจกเงินดิจิทัล ที่อาจจะไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผนเนื่องจากข้อจำกัดของกฏหมายและประเด็นทางการเมือง
ขณะที่ ภาคการท่องเที่ยว การบริโภคภายในประเทศและการลงทุนของภาคเอกชนยังคงขยายตัวต่อเนื่อง และราคาพลังงานปรับตัวสูงขึ้นเกินกว่า 100 เหรียญสหรัฐฯ ต่อบาร์เรลผลจากสถานการณ์สงครามที่ยืดเยื้อทั้งในชนวนกาซ่า และยูเครน ทำให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ที่ระดับเกินกว่า 2 % จะทำให้มีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ ในเขตกรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2567 ปรับลดลงมาใกล้เคียงกับปี 2566 หรือลดลงไม่น้อยกว่า 5% ขณะที่อัตราการโอนกรรมสิทธิมีแนวโน้มติดลบเมื่อเทียบกับปี 2566 หรือมีมูลค่าน้อยกว่า 1.07 ล้านล้านบาท
ปี66เปิดตัวโครงการใหม่ติดลบ5-8%
จากการสำรวจของ LWS คาดว่าในปี 2566 จะมีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ใหม่ในพื้นที่กรุงเทพฯ-ปริมณฑล ในปี 2566 จะมีจำนวนหน่วยเปิดตัวลดลงประมาณ 5-8% ในขณะที่มูลค่าการเปิดตัวปรับตัวสูงขึ้นประมาณ 10-15% เมื่อเทียบกับปี 2565 ที่มีจำนวนการเปิดตัวที่ 103,000 หน่วยคิดเป็นมูลค่า 457,000 ล้านบาท
โดยมีอัตราขายเฉลี่ยในวันเปิดตัวโครงการในปี 2566 เฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 17% ปรับตัวลดลงจากอัตราการขายเฉลี่ยในวันเปิดตัวโครงการที่ 29% ในปี 2565 โดย 52% ของจำนวนหน่วยเปิดตัวใหม่เป็นโครงการบ้านพักอาศัย และที่เหลือ 48% เป็นการเปิดตัวอาคารชุดพักอาศัย
โดยระดับราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยในปี 2566 อยู่ที่ 5.2 ล้านบาทต่อหน่วย เพิ่มขึ้น 17.38% จากราคาที่อยู่อาศัยเฉลี่ยที่ 4.43 ล้านบาทต่อหน่วยในปี 2565 เป็นผลมาจากสัดส่วนการเปิดตัวที่อยู่อาศัยในระดับราคาตั้งแต่ 10 ล้านบาทเพิ่มขึ้นคิดเป็นสัดส่วนของมูลค่าสูงถึง 34% ของโครงการที่เปิดตัวใหม่ทั้งหมดในปี 2566
ในขณะที่ที่อยู่อาศัยที่สร้างเสร็จพร้อมขายและอยู่ระหว่างการก่อสร้างของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยจำนวน 39 บริษัท ณ วันที่ 30 กันยายน 2566 อยู่ที่ 663,188.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.43% เมื่อเทียบกับมูลค่าที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จพร้อมขายและอยู่ระหว่างการก่อสร้างของบริษัทอสังหาฯ ที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ที่ 600,548.76 ล้านบาท ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2565 เมื่อเทียบกับยอดการรับรู้ของบริษัทอสังหาฯ ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ต้องใช้เวลาในการระบายสินค้าประมาณ 2 ปี 6 เดือน
ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 19ธ.ค. “แข็งค่า” ที่ระดับ 34.95 บาทต่อดอลลาร์
ค่าเงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว sidewayควรระวังความผันผวนในตลาดค่าเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ
ค่าเงินบาทเปิดเช้าวันนี้ 19ธ.ค. 2566 ที่ระดับ 34.95 บาทต่อดอลลาร์ “แข็งค่าขึ้นเล็กน้อย”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ 34.99 บาทต่อดอลลาร์
นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน ธนาคารกรุงไทยระบุว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า เงินบาทมีแนวโน้มแกว่งตัว sideway ก่อนที่ตลาดจะทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ ทว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดค่าเงินที่อาจเพิ่มสูงขึ้น ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ เพราะหาก BOJ ไม่ได้ส่งสัญญาณพร้อมใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น อย่างที่ตลาดคาดหวัง
ซึ่งมุมมองดังกล่าวได้สะท้อนในการแข็งค่าขึ้นต่อเนื่องของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ไปพอสมควรแล้ ก็อาจทำให้เงินเยนญี่ปุ่นมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลงเร็วและแรง สู่โซนแนวต้าน 145 เยนต่อดอลลาร์ ส่งผลให้ เงินดอลลาร์มีโอกาสแข็งค่าขึ้นได้ และกดดันให้เงินบาทมีโอกาสผันผวนอ่อนค่าลง
อย่างไรก็ดี หาก BOJ มีการปรับใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้น หรือ มีการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่าพร้อมจะปรับนโยบายการเงินให้เข้มงวดมากขึ้น เรามองว่า เงินเยนญี่ปุ่นก็มีโอกาสแข็งค่าขึ้นทดสอบโซนแนวรับ 141 เยนต่อดอลลาร์ ซึ่งอาจพอช่วยให้เงินบาทแข็งค่าขึ้นได้บ้าง
นอกเหนือจากผลการประชุม BOJ เรามองว่า เงินบาทก็อาจผันผวนไปตามทิศทางฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติ ซึ่งยังคงต้องจับตาว่า นักลงทุนต่างชาติจะเดินหน้าซื้อสินทรัพย์ไทยต่อเนื่องได้หรือไม่ หลังฟันด์โฟลว์นักลงทุนต่างชาติเริ่มกลับมาผันผวนอีกครั้ง
ทั้งนี้ เรามองว่า เงินบาทยังมีแนวต้านสำคัญแถว 35 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งหากผ่านไปได้ โดยเฉพาะในกรณีที่ เงินเยนญี่ปุ่น พลิกกลับมาอ่อนค่าลงหนัก ก็อาจเห็นเงินบาทผันผวนอ่อนค่าทดสอบโซนแนวต้านถัดไป แถว 35.20-35.30 บาทต่อดอลลาร์ ซึ่งเราคาดว่า บรรดาผู้เล่นในตลาดต่างก็รอจังหวะขายเงินดอลลาร์ในช่วงดังกล่าว ขณะที่โซนแนวรับอาจยังเป็นช่วง 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ และมีโซน 34.50 บาทต่อดอลลาร์ เป็นแนวรับที่สำคัญถัดไป
ในช่วงนี้ ทุกสินทรัพย์ยังอยู่ในช่วงเผชิญความผันผวนสูง ทำให้เราคงคำแนะนำว่า ผู้ประกอบการควรใช้เครื่องมือป้องกันความเสี่ยงที่หลากหลาย อาทิ Option เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และ
นอกเหนือจากการใช้เครื่องมือดังกล่าว การเลือกทำธุรกรรมในสกุลเงินท้องถิ่น (Local Currency) ก็เป็นอีกแนวทางในการบริหารความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยนที่น่าสนใจ ซึ่งผู้ประกอบการควรเปรียบเทียบต้นทุนในการทำธุรกรรมและแผนการป้องกันความเสี่ยงก่อนตัดสินใจทุกครั้ง
มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.80-35.15 บาท/ดอลลาร์
โดยในช่วงคืนก่อนหน้า ค่าเงินบาทเคลื่อนไหวในกรอบ sideway (แกว่งตัวในช่วง 34.94-35.03 บาทต่อดอลลาร์) โดยเป็นการเคลื่อนไหวไปตามทิศทางเงินดอลลาร์ที่ยังคงแกว่งตัวในกรอบเช่นกัน เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างรอจับตาปัจจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันอังคารนี้
ทั้งนี้ เงินบาทยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง จากโฟลว์ขายทำกำไรทองคำ หลังราคาทองคำพยายามรีบาวด์ขึ้นทดสอบโซนแนวต้านแต่ยังไม่สามารถผ่านไปได้ ทั้งนี้ เราประเมินว่า ตลาดค่าเงินมีโอกาสผันผวนสูงในช่วงทยอยรับรู้ผลการประชุม BOJ ในวันนี้
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงอยู่ในภาวะเปิดรับความเสี่ยง (Risk-On) ท่ามกลางความหวังของผู้เล่นในตลาดที่มองว่า เฟดจะสามารถทยอยลดดอกเบี้ยลงได้ราว 6 ครั้ง หรือ -150bps ในปีหน้า โดยมุมมองดังกล่าวยังคงหนุนให้บรรดาหุ้นเทคฯ ใหญ่ต่างปรับตัวขึ้นได้ดี อาทิ Amazon +2.7%, Nvidia +2.4% ส่งผลให้ดัชนีหุ้นเทคฯ Nasdaq ปรับตัวขึ้น +0.61% ส่วนดัชนี S&P500 ปิดตลาด +0.45%
ส่วนในฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี stoxx600 ปรับตัวลดลง -0.27% กดดันโดยแนวโน้มการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับสูงได้นานของทั้งธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) และ ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ซึ่งส่งผลให้บรรดาหุ้นเทคฯ ฝั่งยุโรปต่างย่อตัวลงบ้าง อาทิ ASML -2.6%
อย่างไรก็ดี ตลาดหุ้นยุโรปยังพอได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน BP +1.6% ตามการปรับตัวขึ้นของราคาน้ำมัน หลังผู้เล่นในตลาดกังวลต่อสถานการณ์อุปทานน้ำมัน ที่อาจได้รับผลกระทบจากการโจมตีเรือบรรทุกสินค้าโดยกลุ่ม Houthi ในเยเมน
ในฝั่งตลาดบอนด์ แม้ว่า บรรดาเจ้าหน้าที่เฟดจะต่างออกมาให้ความเห็นในเชิงลดความคาดหวังของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า ทว่า มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดยังคงไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งเป็นไปได้ว่า
ผู้เล่นในตลาดอาจรอจับตารายงานข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ และในระยะถัดไป ก่อนที่จะปรับเปลี่ยนมุมมองแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด ซึ่งมุมมองดังกล่าวของผู้เล่นในตลาดยังคงทำให้ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ แกว่งตัว sideway ใกล้ระดับ 3.92%
อนึ่ง เราคงมองว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ได้ปรับตัวลดลงมาพอสมควร ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ในการทยอยเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว มากกว่าที่จะไล่ราคาซื้อ เนื่องจากภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ ล่าสุด ยังคงไม่ได้สะท้อนว่า เฟดจะมีโอกาสลดดอกเบี้ยลงได้เร็วและลึกตามที่ตลาดกำลังคาดหวังอยู่
ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์แกว่งตัว sideway เนื่องจากผู้เล่นในตลาดต่างก็รอปัจจัยใหม่ๆ เพิ่มเติม ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ยังพอได้แรงหนุนอยู่บ้าง ตามการผันผวนอ่อนค่าลงของเงินเยนญี่ปุ่น (JPY)
ซึ่งส่วนหนึ่งอาจเป็นผลจากการปรับสถานะของบรรดาผู้เล่นในตลาดก่อนที่จะรับรู้ผลการประชุม BOJ โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ยังคงแกว่งตัวใกล้ระดับ 102.5 จุด (กรอบ 102.3-102.6 จุด)
ในส่วนของราคาทองคำ มุมมองของผู้เล่นในตลาดที่ยังคงคาดหวังต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้า รวมถึงจังหวะอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ยังพอช่วยหนุนให้ ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ.) สามารถทรงตัวใกล้ระดับ 2,040 ดอลลาร์ต่อออนซ์
ทั้งนี้ แม้ว่าราคาทองคำจะพยายามปรับตัวขึ้นต่อ ทว่าแรงขายทำกำไรในช่วงโซนแนวต้านยังคงหนาแน่น ทำให้ราคาทองคำยังไม่สามารถปรับตัวขึ้นต่อไปได้ อย่างไรก็ดี โฟลว์ธุรกรรมขายทำกำไรทองคำดังกล่าวก็มีส่วนช่วยหนุนการแข็งค่าของเงินบาทบ้าง
สำหรับวันนี้ ไฮไลท์สำคัญจะอยู่ที่ผลการประชุมธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) โดยผู้เล่นจะรอลุ้นว่า BOJ จะมีการส่งสัญญาณพร้อมทยอยปรับใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นหรือไม่ หลังผู้เล่นในตลาดบางส่วนต่างก็คาดหวังว่า BOJ อาจมีการประกาศยกเลิกการทำ Yield Curve Control ในการประชุมครั้งนี้ เพื่อเปิดทางไปสู่การทยอยใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดมากขึ้นในอนาคต
นอกจากนี้ ผู้เล่นในตลาดจะรอจับตา รายงานอัตราเงินเฟ้อ CPI ของยูโรโซน ในเดือนพฤศจิกายน พร้อมรอติดตามการปรับคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในไตรมาสที่ 4 โดยเฟดสาขา Atlanta (GDPNow)
ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 34.97-34.99 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.12 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ฯ
โดยเงินบาทยังคงแกว่งตัวเป็นกรอบ เพราะแม้เงินดอลลาร์ฯ จะมีแรงหนุนจากการปรับขึ้นของบอนด์ยีลด์สหรัฐฯ และสัญญาณจากเจ้าหน้าที่เฟดที่พยายามจะสื่อกับตลาดว่า จังหวะการลดดอกเบี้ยของเฟดในปีหน้าไม่น่าจะเกิดขึ้นเร็ว เพราะเงินเฟ้อยังอยู่สูงกว่าเป้าหมาย แต่ตลาดก็กลับมารอติดตามปัจจัยใหม่ๆ โดยเฉพาะผลการประชุม BOJ ในวันนี้
สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ เบื้องต้นคาดไว้ที่ 34.80-35.10 บาทต่อดอลลาร์ฯ ขณะที่ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม ได้แก่ สัญญาณฟันด์โฟลว์ ผลการประชุม BOJ (18-19 ธ.ค.) รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคเดือนพ.ย. ของยูโรโซน และตัวเลขการเริ่มสร้างบ้านเดือนพ.ย. ของสหรัฐฯ
ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com
“วรวุฒิ-คาร์โล” ควบ NSX GT3 นำทีม “สิงห์ มอเตอร์สปอร์ต” คว้าดับเบิ้ลโพเดียม ปิดฤดูกาล TSS 2023
วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี และทีมเมท คาร์โล แวน แดม ประเดิมรถแข่งคันใหม่ Honda NSX GT3 2021 นำทีม “สิงห์ มอเตอร์สปอร์ต” คว้าดับเบิ้ลโพเดียม 2 เรซติดต่อกัน ในศึกรถยนต์ทางเรียบ Thailand Super Series 2023 สนามสุดท้ายที่บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต เมื่อวันที่ 16-17 ธันวาคมที่ผ่านมา
การแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรายการ B-Quik Thailand Super Series 2023 (TSS 2023) เดินทางเข้าสู่สนามสุดท้าย ที่บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต สนามแข่งที่มีความยาวต่อรอบ 4.554 กิโลเมตร โดยเมื่อวันที่ 16-17 ธันวาคม 2556 เป็นการแข่งขันในเรซที่ 7 และ 8 ซึ่งเป็นเรซปิดท้ายฤดูกาล
ไฮไลต์ในรุ่นใหญ่ที่สุดอย่าง Thailand Supercar GT3 อยู่ที่ทีม Singha Motorsport Team Thailand ที่เปิดตัวรถแข่งคันใหม่ล่าสุด Honda NSX GT3 2021 ลงสนามเป็นครั้งแรก ภายใต้หมายเลข 89 ขับโดย วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี และ คาร์โล แวน แดม นักขับชาวดัตช์
เกมการแข่งขันในเรซที่ 8 เป็นไปอย่างเข้มข้น ภายใต้การออกสตาร์ทแบบ Rolling Start รถแข่งหมายเลข 89 จาก Singha Motorsport Team Thailand ได้ออกตัวจากลำดับที่ 5 โดยมี คาร์โล แวน แดม ทำหน้าที่ขับมือแรก
หลังผ่าน 29 นาทีแรก รถแข่ง Honda NSX GT3 2021 หมายเลข 89 ยังคงรักษาอันดับที่ 5 เอาไว้ได้อย่างเหนียวแน่น ก่อนที่จะขับเข้าพิตเพื่อเปลี่ยนมือให้กับ วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี ทำหน้าที่ในช่วงครึ่งทางหลังของการแข่งขัน
ขณะที่จุดเปลี่ยนสำคัญเกิดขึ้นในช่วง 10 นาทีสุดท้าย เมื่อ safety Car ต้องออกปฏิบัติหน้าที่ หลังจากรถแข่งหมายเลข 55 มีปัญหาเครื่องยนต์ ซึ่งหลังจากรีสตาร์ทในช่วงท้าย วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี สามารถเดินคันเร่งขยับแซงขึ้นมาจบการแข่งขันอันดับที่ 2 ได้สำเร็จ ด้วยเวลารวม 1 ชั่วโมง 1 นาที 58.359 วินาที
ถือเป็นผลงานคว้าดับเบิ้ลโพเดียมภายใต้รถแข่งคันใหม่ได้อย่างยอดเยี่ยม หลังในเรซที่ 7 ที่แข่งขันกันในวันเสาร์ วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี และ คาร์โล แวน แดม ก็ผนึกกำลังนำรถ Honda NSX GT3 2021 หมายเลข 89 เข้าเส้นชัยอันดับที่ 2 ได้เช่นเดียวกัน
หลังจบการแข่งขัน วรวุฒิ ภิรมย์ภักดี เผยว่า ถือเป็นผลงานที่เกินคาด ต้องขอบคุณทีมงานทุกคน รวมถึงต้องขอบคุณพี่เอ๋ (คุณชนม์สวัสดิ์ อัศวเหม) ที่เริ่มต้นพัฒนารถแข่งขันนี้มาก่อนในปี 2022 และโดยรวมถือเป็นผลงานที่ดีส่งท้ายปี พร้อมตั้งเป้าพาทีม Singha Motorsport Team Thailand กลับมาผงาดหัวแถวอีกครั้งในปี 2024
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ฝุ่น PM 2.5 กับอันตรายต่อ “ผิวหนัง” ที่คาดไม่ถึง
ฝุ่น PM 2.5 ยังอยู่กับเราเรื่อยๆ ไม่ได้หายไปไหน และในบางช่วงอาจจะอันตรายมาก และไม่ได้ก่อให้เกิดอันตรายแค่จากการสูดดม แต่เพียงแค่สัมผัสกับผิวหนัง ก็เกิดให้อันตรายได้ด้วยเช่นกัน
พญ.กนกวรรณ เศรษฐพงศ์วนิช แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านผิวหนังและความงาม ระบุว่า ปัญหาผิวพรรณของเรา มีสาเหตุเกิดขึ้นได้จาก 2 ปัจจัยก็คือปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก ซึ่งปัจจัยภายในจะเกี่ยวข้องกับระบบของร่างกายเรา เช่น การรับประทานอาหาร ระบบขับถ่าย การพักผ่อน อารมณ์ และความเครียด ส่วนปัจจัยภายนอกที่คอยทำร้ายผิวสามารถแบ่งได้ 5 สาเหตุ ประกอบด้วย การดื่มแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ การอาบน้ำร้อน แสงแดด และมลพิษทางอากาศ แสงแดดและมลพิษทางอากาศถือว่าเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำร้ายผิวได้รุนแรงกว่าเมื่อเทียบกับสาเหตุอื่นๆ
ฝุ่น PM 2.5 กับอันตรายต่อผิวหนัง
ปัจจุบันโลกของเรามีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหามลพิษทางอากาศมากขึ้น ยิ่งในช่วงนี้ประเทศไทยของเรากำลังประสบปัญหาเรื่อง ฝุ่น PM 2.5 เกินค่ามาตรฐาน เนื่องจากฝุ่น PM 2.5 นั้นมีขนาดเล็กกว่า 2.5 ไมครอน ซึ่งเล็กกว่ารูขุมขนคนเราถึง 20 เท่า จึงสามารถแทรกซึมเข้าสู่รูขุมขนได้ง่าย และส่งผลกระทบกับผิวหนังโดยตรงขึ้นอยู่กับระดับความเข้มข้น และระยะเวลาการสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 โดยสามารถแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ
- ระยะเฉียบพลัน ก่อให้เกิดอาการอักเสบ ระคายเคืองของผิว ทำให้ผิวเสียสมดุลความชุ่มชื้น เนื่องจาก PM 2.5 สามารถทำลายเซลล์ผิวชั้นนอก หรือชั้นหนังกำพร้า (Epidermis) และทำลายโปรตีนฟิลแลกกริน (Filaggrin) ที่มีหน้าที่ป้องกันผิวหนัง (epidermal barrier protein)
- ระยะเรื้อรัง เกิดจากการสัมผัสฝุ่น PM 2.5 เป็นระยะเวลานาน โดยฝุ่น PM 2.5 จะไปกระตุ้นให้เกิดอนุมูลอิสระรบกวนการทำงานของเซลล์ผิว ทำให้ผิวเสื่อมเร็วกว่าปกติ ทำลายคอลลาเจน ทำให้ผิวเหี่ยวย่น เกิดริ้วรอย กระตุ้นให้ผิวผลิตเม็ดสีสาเหตุของการเกิดฝ้า กระ และจุดด่างดำ
เคล็ดลับในการป้องกันและการดูแลผิว ให้ลดเสี่ยงอันตรายจากฝุ่น PM 2.5
- หลีกเลี่ยงการสัมผัสกับฝุ่น PM 2.5 ให้มากที่สุดหรือสัมผัสให้น้อยที่สุดเท่าที่เราจะทำได้ โดยเฉพาะในผู้ที่มีภูมิต้านทานของผิวหนังน้อยหรือผู้ที่เป็นโรคผิวหนังอยู่แล้ว จะยิ่งต้องดูแลและป้องกันตัวเองให้มากเป็นพิเศษ ด้วยการสวมใส่เสื้อผ้าแขนยาว ขายาว หมวก แว่นตา เพื่อปกปิดไม่ให้ผิวเราสัมผัสกับอนุภาคฝุ่น PM 2.5 ใส่หน้ากากป้องกันฝุ่นอีกขั้น
- ดูแลผิวเมื่อกลับถึงบ้าน รีบอาบน้ำชำระล้างผิวให้สะอาด ฟื้นฟูสภาพผิวด้วยผลิตภัณฑ์ดีท็อกซ์ผิวสัปดาห์ละครั้ง โดยเลือกผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติเป็นสารแอนตี้ออกซิแดนท์ที่มีส่วนผสมของวิตามินซี วิตามินอี ประกอบด้วย จะช่วยเสริมให้สุขภาพผิวแข็งแรงขึ้น
- สครับผิวเพื่อกระตุ้นกระบวนการผลัดเปลี่ยนเซลล์ผิวที่เสื่อมสภาพสัปดาห์ละครั้ง แนะนำให้เลือกแบบที่เป็นสูตรอ่อนโยน ไม่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อผิว
- เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับผิวด้วยมอยเจอร์ไรซิ่งครีม และเสริมเกราะป้องกันให้กับผิว ด้วยการใช้ผลิตภัณฑ์ปกป้องผิวจากแสงแดด ซึ่งทำหน้าที่เสมือนเป็นฟิล์มบางๆ เคลือบผิวกันไม่ฝุ่นสัมผัสกับผิวได้โดยตรง ควรเลือกผลิตภัณฑ์ที่ไม่ทิ้งความมันส่วนเกิน ไม่อุดตันรูขุมขน และมีส่วนผสมของสารสกัดธรรมชาติ
- ทำให้ร่างกายแข็งแรง เพื่อเพิ่มภูมิต้านทานต่อมลภาวะ เพราะเมื่อร่างกายเราอ่อนแอ เวลาที่ได้รับเชื้อโรคหรือฝุ่นเข้ามาก็จะทำให้เจ็บป่วยได้ง่าย
- เลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ต่อร่างกาย ทั้งผัก ผลไม้
- งดการทำกิจกรรมหรือออกกำลังกายกลางแจ้ง โดยสามารถปรับเปลี่ยนมาออกกำลังในร่มแทน
- นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ
- ดื่มน้ำสะอาดในระหว่างวันให้มากๆ
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
TGAT 1 คืออะไร ยื่นเรียนต่อคณะไหนได้บ้าง
ใกล้จะถึงวันที่น้องๆ จะต้องยื่นคะแนน TGAT 1 ในรอบ TCAS แล้ว แต่บางคนอาจยังไม่ได้เตรียมความพร้อมในการสอบวิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (English Communication) เลย วันนี้ วอลล์สตรีท อิงลิช จะมาแนะแนว เพื่อเตรียมความพร้อมก่อนสอบ TGAT 1 เพื่อยื่นคะแนนภาษาอังกฤษ เรียนต่อมหาลัยที่ใช่ คณะที่ชอบให้สำเร็จ!
TGAT 1 คืออะไร ยื่นเรียนต่อคณะไหน
การสอบ TGAT (Thai General Aptitude Test) เป็นข้อสอบที่วัดความสามารถทั่วไปสำหรับนักเรียน ม.ปลาย ที่อยากยื่นเรียนต่อมหาวิทยาลัยในรอบ TCAS ประกอบด้วย 3 ส่วน คะแนนเต็ม 300 คะแนน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือข้อสอบ TGAT 1 เป็นวิชาภาษาอังกฤษคิดเป็น 100 คะแนน หรือ ⅓ ของคะแนนทั้งหมดใน TGAT 1 มีเนื้อหาที่ทดสอบความเข้าใจด้านการสื่อสารภาษาอังกฤษ (English Communication) จึงเป็นเหตุผลที่นักเรียนส่วนใหญ่ให้ความสำคัญกับข้อสอบภาษาอังกฤษ TGAT 1 มากๆ เลยล่ะ
ข้อสอบ TGAT 1 ต้องสอบอะไรบ้าง
ข้อสอบ TGAT 1 วิชาภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร (English Communication) เน้นการใช้ภาษาอังกฤษสื่อสารในชีวิตประจำวัน ข้อสอบเป็นแบบช้อยส์ 4 ตัวเลือก รวม 100 คะแนน มีเวลาในการทำข้อสอบ 60 นาที ประกอบด้วย
ทักษะการพูด 30 ข้อ ประกอบไปด้วย
- พาร์ทการถาม-ตอบ (Question-Response) 10 ข้อ
- พาร์ทวิเคราะห์บทสนทนาแบบสั้น (Short conversations) 10 ข้อ
- พาร์ทวิเคราะห์บทสนทนาแบบยาว (Long conversations) 10 ข้อ
ทักษะการอ่าน 30 ข้อ ประกอบไปด้วย
- เติมข้อความเนื้อหาให้สมบูรณ์ (Text completion) 15 ข้อ
- อ่านจับใจความจากบทความ (Reading comprehension) 15 ข้อ
นอกจากข้อสอบ TAGT แล้ว น้องๆ ยังสามารถยื่นคะแนน A-Level ข้อสอบ 10 วิชาสามัญที่สามารถใช้ยื่นในรอบ TCAS ได้ด้วยเหมือนกัน ขึ้นอยู่กับเกณฑ์ที่คณะ และมหาวิทยาลัยกำหนด ซึ่งข้อสอบแต่ละอย่างมีเนื้อหาที่ไม่เหมือนกัน
ในข้อสอบ TGAT 1 เป็นข้อสอบที่ทดสอบความเข้าใจภาษาอังกฤษ วิเคราะห์บทความ และการเลือกใช้สำนวน คำศัพท์ภาษาอังกฤษในการสื่อสารทั่วไป ต่างจากข้อสอบที่เน้นทดสอบความเข้าใจในการใช้แกรมม่าให้ถูกต้อง หรือการท่องจำนั่นเอง
คณะไหนต้องสอบ TGAT 1
แน่นอนว่าวิชาภาษาอังกฤษเป็นวิชาที่น้องๆ สามารถยื่นสมัครได้เกือบทุกคณะในประเทศไทยเลย ยิ่งมีการแข่งขันสูงมากเท่าไร น้องๆ ก็ควรเตรียมความพร้อมก่อนสอบ และปูพื้นฐานภาษาอังกฤษเพื่อการสื่อสาร TGAT 1 ให้พร้อมไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ พอถึงวันสอบจริง จะได้ไม่ตื่นสนาม หรือวิตกกังวลมากเกินไป โดยคณะที่รับคะแนน TGAT 1 ได้แก่
สายสังคม
- คณะโบราณคดี
- คณะมนุษยศาสตร์ และสังคมศาสตร์
- คณะรัฐศาสตร์ และนิติศาสตร์
- คณะเศรษฐศาสตร์
สายวิทย์
- คณะศึกษาศาสตร์
- คณะวิทยาศาสตร์
- คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา
- คณะพยาบาลศาสตร์
- คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
- คณะบริหารธุรกิจ
- คณะสหเวชศาสตร์
- คณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร
- คณะกายภาพบำบัด
- คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ
- คณะการแพทย์แผนไทยอภัยภูเบศร
- คณะภูมิสารสนเทศศาสตร์
สายศิลป์
- คณะจิตวิทยา
- คณะศึกษาศาสตร์
- คณะศิลปศาสตร์
- คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
- คณะบริหารธุรกิจ
- คณะเทคโนโลยีและนวัตกรรมผลิตภัณฑ์การเกษตร
- คณะเทคโนโลยีสารสนเทศ
- คณะอักษรศาสตร์
- คณะนิเทศศาสตร์
- คณะพลศึกษา
- คณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ
- คณะอัญมณี
TGAT 1 ต้องสอบทุกคนไหม
ไม่จำเป็นต้องสอบ TGAT หรือ TGAT 1 ทุกคนก็ได้ แต่ถ้าอยากสอบเก็บคะแนนไว้ให้อุ่นใจ ซึ่งน้องๆ สามารถเช็กได้ว่ามหาวิทยาลัย และคณะไหนต้องการให้ยื่นคะแนน TGAT บ้าง อย่างเช่น คณะอินเตอร์ส่วนใหญ่ต้องยื่นคะแนน IELTS ซึ่งเป็นมาตรฐานการสมัครสอบเข้ามหาลัยทั้งใน และต่างประเทศ หรือบางคณะอาจต้องการคะแนน A-level เพื่อทดสอบความสามารถในรายวิชาที่หลากหลายกว่านั่นเอง
วิเคราะห์บทความเฉียบขาด สื่อสารภาษาอังกฤษได้เหมือนเจ้าของภาษาในคอร์ส All Access
เตรียมความพร้อมก่อนสอบ TGAT 1 ได้ที่ วอลล์สตรีท อิงลิช ในคอร์สเรียนภาษาอังกฤษ All Access ที่น้องๆ จะได้ฝึกฟัง พูด อ่าน เขียนกับครูเจ้าของภาษา พร้อมรับ Feedback เพื่อแก้ไขจุดอ่อนได้ตั้งแต่วันนี้ ทดลองเรียนภาษาอังกฤษฟรี ที่ Wall Street English สาขาใกล้บ้าน
ขอบคุณข้อมูลจาก wallstreetenglish.in.th
LINE เผย คนไทยชอบใช้สติ๊กเกอร์ กับเรื่องงาน แทนการพูดตรงๆ
LINE ประเทศไทยได้เปิดเผยเทรนด์ทั้งหมด 12 เรื่องราวมากมายแต่ในครั้งนี้ทีม Sanook Hitech จับมาประเด็หนึ่งที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่องการส่งสติ๊กเกอร์
ซึ่ง LINE ประเทศไทยได้พบว่าคนไทยใน หมดทำงาน นั้นฮิตติดใจชาวออฟฟิศ ฟรีแลนซ์ วัยทำงานทุกคน เพราะช่วยสื่อสารข้อความและอารมณ์แทนการพิมพ์ข้อความตรงๆ หรือบางทีก็เลือกใช้ สติกเกอร์แนวจิกกัดขำขัน ที่เปิดโอกาสให้คนเราเลี่ยงที่จะพูดสิ่งนั้นตรง ๆ ได้อย่างมีอารมณ์ขัน
ทำให้สติ๊กเกอร์ที่ได้รับความนิยมสูงจะเป็นแนวจิกกัดหรือเป็นคำต่างๆ มากมาย ทั้งนี้ LINE ประเทศไทยได้เปิดบริการ STICKERS PREMIUM ระบบสมาชิกให้ใช้สติกเกอร์ไม่อั้นได้แล้วด้วย ก็ยิ่งกระตุ้นให้การพูดด้วยสติกเกอร์สนุกยิ่งขึ้นไปอีก โดยมีค่าบริการเล็กน้อย ถ้าชอบก็อุดหนุนเขาได้
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
6 สมุนไพรชั้นเลิศ ตัวช่วยคืนความอ่อนเยาว์ ต้านริ้วรอยได้อย่างน่าทึ่ง
สำหรับสาวๆ แล้ว ปัญหาริ้วรอยก่อนวัย ถือเป็นปัญหาที่ค่อนข้างจะทำใจได้ยากมาก เพราะเป็นปัญหาที่แก้ไขให้ผิวกลับมาอยู่ในสภาพเดิมได้ไม่ง่ายเลย ดังนั้นเพื่อคลายความกังวลให้กับสาวๆ ในเรื่องริ้วรอย เราจึงรวมเอาสมุนไพร 6 ชนิดที่ช่วยชะลอวัย ช่วยคืนความอ่อนเยาว์ และช่วยต้านริ้วรอยได้อย่างน่าเหลือเชื่อมาแชร์ให้สาวๆ ได้ทราบกันค่ะ มาดูกันว่า 6 สมุนไพรที่ช่วยต้านริ้วรอยมีอะไรบ้าง
6 สมุนไพรต้านริ้วรอย
1.ขิง
ขิง คือ สมุนไพรที่มีสารต้านอนุมูลอิสระ และเป็นสมุนไพรที่มีคุณสมบัติต้านการอักเสบในปริมาณมาก ดังนั้นจึงสามารถป้องกันการเกิดสัญญาณแห่งวัยได้ โดยจากการวิจัยหลายชิ้นพบว่า ขิงเป็นสมุนไพรที่มีสารประกอบฟีนอลและฟลาโวนอยด์ โดยสารประกอบเหล่านี้มีคุณสมบัติช่วยต้านอนุมูลอิสระ สามารถควบคุมการผลิตอนุมูลอิสระที่เป็นอันตรายต่อระบบเผาผลาญพลังงานได้ ที่สำคัญยังช่วยลดความเครียดจากการออกซิเดชันที่เป็นอันตรายต่อผิวได้อีกด้วย
2.ขมิ้น
ขมิ้น คือ สมุนไพรที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการช่วยลดความเสี่ยงในการติดเชื้อ ช่วยลดการฟกช้ำ ช่วยเร่งการสมานบาดแผล ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพของระบบภูมิคุ้มกันและช่วยฟื้นฟูผิว ทั้งนี้ขมิ้นยังถือเป็นสมุนไพรที่มีสรรพคุณช่วยเยียวยาปัญหาเหล่านี้ให้มีอาการที่ดีขึ้น เนื่องจากมีสารประกอบเคอร์คูมิน ซึ่งเป็นสารประกอบที่เป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่แข่งแกร่งอย่างมาก อีกทั้งยังช่วยต้านการอักเสบของผิว และช่วยปกป้องผิวจากสัญญาณแห่งวัยที่เกิดขึ้นได้เป็นอย่างดี
3.กะเพรา
กะเพรา คือ สมุนไพรที่ช่วยป้องกันการเกิดสัญญาณแห่งวัย โดยเฉพาะสัญญาณแห่งวัยที่เกิดจากการได้รับรังสียูวีมากจนเกินไป จนไปทำลายผิว และทำให้เกิดการพร่องของคอลลาเจน ทั้งนี้คอลลาเจนถือเป็นสารประกอบที่ช่วยรักษาความยืดหยุ่นของผิวได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ใบกะเพรายังมีส่วนช่วยรักษาระดับความชุ่มชื้นของผิว พร้อมทั้งช่วยลดความหยาบกร้านของผิว แก้ปัญหาผิวแห้งและผิวเกิดริ้วรอย รวมถึงช่วยทำให้ผิวมีความเรียบเนียนมากขึ้น
Advertisement
4.โรสแมรี
โรสแมรี คือสมุนไพรที่ช่วยปกป้องผิวที่ได้รับความเสียหายจากการสัมผัสแสงแดดได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะสาวๆ คนไหนที่ผิวได้รับรังสียูวีมากเกินไป มีส่วนทำให้เกิดริ้วรอย รอยเหี่ยวย่น และสัญญาณแห่งวัยอื่นๆ อีกมากมาย แนะนำให้แก้ปัญหาด้วยโรสแมรีกันค่ะ ซึ่งสมุนไพรชนิดนี้จะช่วยป้องกันความเสียหาย พร้อมทั้งช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นของผิว ตลอดจนช่วยลดเลือนริ้วรอยของผิวได้ดีมากๆ
5.แปะก๊วย
แปะก๊วย คือ สมุนไพรที่ขึ้นชื่อในเรื่องของการบำรุงสมองและช่วยกระตุ้นความจำ แต่สาวๆ ทราบหรือไม่ว่า แปะก๊วยยังมีส่วนช่วยในการต่อต้านริ้วรอยได้อีกด้วย เนื่องจากการศึกษาค้นพบว่า สารสกัดที่ได้จากแปะก๊วย หากถูกใช้กับผิวพรรณ จะสามารถป้องกันริ้วรอยและช่วยบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี โดยเฉพาะในส่วนของการช่วยเติมความชุ่มชื้นให้ผิว และการช่วยปรับผิวให้มีความเรียบเนียน พร้อมทั้งช่วยลดความหยาบกร้านของผิวได้ดีมากๆ เลยทีเดียว
6.อบเชย
อบเชย คือ สมุนไพรที่มีส่วนช่วยต่อต้านริ้วรอยได้อย่างมีประสิทธิภาพ เนื่องจากอบเชยมีคุณสมบัติช่วยป้องกันการสลายตัวของคอลลาเจน และช่วยป้องกันการสูญเสียความยืดหยุ่นของผิว นอกจากนี้อบเชยยังช่วยเพิ่มการสังเคราะห์คอลลาเจนและช่วยป้องกันสัญญาณแห่งวัยได้ดีอย่างมาก ที่สำคัญยังช่วยลดความเครียดจากปฏิกิริยาออกซิเดชันบนผิว และช่วยชะลอการเจริญเติบโตของแบคทีเรีย ซึ่งเป็นการป้องกันการเกิดสิวอย่างได้ผล อีกทั้งยังช่วยรักษาอาการไหม้แดดได้อีกเช่นกัน
สำหรับสาวๆ ที่เป็นกังวลในเรื่องของริ้วรอยและอยากชะลอวัยของผิวพรรณ แนะนำให้เรียกความอ่อนเยาว์กลับคืนมาด้วยสมุนไพรทั้ง 6 ชนิดนี้กันค่ะ รับรองว่าช่วยให้สาวๆ มีผิวพรรณที่อ่อนเยาว์และไร้ซึ่งริ้วรอยอย่างแน่นอน
ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com
ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19/12/2566
ชนิดทอง | ราคารับซื้อ กรัมละ | ราคารับซื้อ บาทละ | ราคาขาย บาทละ |
---|---|---|---|
ทองคำแท่ง 96.5% | n/a | 33,450.00 | 33,550.00 |
ทองรูปพรรณ 96.5% | 2,167.00 | 32,851.72 | 34,050.00 |
ทองรูปพรรณ 90% | 1,950.30 | 29,566.55 | n/a |
ทองรูปพรรณ 80% | 1,733.60 | 26,281.38 | n/a |
ทองรูปพรรณ 50% | 975.00 | 14,781.00 | n/a |
ทองรูปพรรณ 40% | 758.00 | 11,491.28 | n/a |
ทองรูปพรรณ 99.99% | 2,246.00 | 34,049.36 | n/a |
ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/12/2566
ปตท. | บางจาก | เชลล์ | เอสโซ่ | คาลเท็กซ์ | ไออาร์พีซี | พีที | ซัสโก้ | เพียว | พรุ่งนี้ | |
---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|---|
แก๊สโซฮอล์ 95 | 35.15 | 35.15 | 35.45 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 | 35.15 |
แก๊สโซฮอล์ 91 | 33.38 | 33.38 | 33.68 | 33.38 | 33.38 | 33.38 | 33.38 | 33.38 | 33.38 | 33.38 |
แก๊สโซฮอล์ E20 | 33.04 | 33.04 | 33.34 | 33.04 | 33.04 | – | 33.04 | 33.04 | 33.04 | 33.04 |
แก๊สโซฮอล์ E85 | 33.19 | 33.19 | – | – | – | – | – | – | – | 33.19 |
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม | 42.94 | 46.84 | 49.74 | 46.84 | – | – | – | – | – | 42.94 |
เบนซิน 95 | 43.04 | – | – | – | 44.21 | – | 43.54 | 43.19 | – | 43.04 |
ดีเซล B7 | 29.94 | 29.94 | 30.24 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล | 29.94 | 29.94 | – | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 | 29.94 |
ดีเซล B20 | 29.94 | 29.94 | – | – | 29.94 | – | – | – | – | 29.94 |
ดีเซลพรีเมี่ยม | 41.54 | 43.64 | 45.94 | 43.64 | 42.94 | – | – | – | – | 41.54 |
แก๊ส NGV | 19.59 | 19.59 | – | – | – | – | – | – | – | 19.59 |