สาระน่ารู้ประจำวันที่ 19 กันยายน 2567

อสังหาภูเก็ตเดือดที่ดินหายากมุ่งทำเลชานเมือง-บ้านมือสองรับโลคัลดีมานด์

  • ประชากรเกาะภูเก็ตปี 2566 มีราว 410,839 คน เป็นตัวเลขตามทะเบียนบ้านไม่นับประชากรแฝง! คนที่ไปทำงานในภูเก็ตและต่างชาติที่เข้ามาอยู่อาศัย
  • จากการสำรวจยังพบว่า Gen Z มีสัดส่วน 34% ของจำนวนประชากรทั้งหมด ขณะที่ Gen Y ซึ่งเป็นกำลังซื้อหลักของตลาดที่อยู่อาศัยมีสัดส่วน 29.9%  มีแนวโน้มขยายตัว 0.6% สวนทางจังหวัดอื่นที่ติดลบ!  

ข้อมูลศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์ (REIC) ระบุว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตครึ่งแรกปี 2567 ซัพพลายที่เข้ามาใหม่ เป็นบ้านจัดสรร 473 หน่วย ขายได้ 756 หน่วย กล่าวคือ ขายได้มากกว่าซัพพลายที่เข้ามาใหม่ สูงขึ้นกว่าครึ่งแรกของปี 2566 ขณะที่คอนโดมิเนียม มีซัพลายใหม่เข้ามามากตั้งแต่ครึ่งหลังปี 2566 จำนวน 5,571 หน่วย และครึ่งแรกปี 2567 ซัพพลายใหม่เข้ามาอีก 4,318 หน่วย ขณะที่ยอดขาย 4,497 หน่วย มากกว่ายอดขายครึ่งแรกปีก่อนถึง 3 เท่า!

สะท้อนว่า คอนโดมิเนียมในภูเก็ตขยายตัวดี จากซัพพลายรวม 4,707 หน่วย ขายได้ 2,202 หน่วย อัตราดูดซับ 7.8% ระดับราคาที่ขายดี 3-5 ล้านบาท 5-7 ล้านบาท 7-10 ล้านบาท และ 10 -20 ล้านบาท  ทำเลขายได้มากสุดอยู่ที่หาดบางเทาและหาดสุรินทร์

สำหรับอัตราดูดซับ (Absorption Rate) สะท้อนถึงอุปสงค์ หรือ ปริมาณความต้องการซื้ออสังหาริมทรัพย์ในหาดบางเทา หาดสุรินทร์ ดีสุด ในฝั่งทะเลตะวันตก ส่วนตลาดอาคารชุด หรือคอนโดมิเนียม จะอยู่ในเมืองกะทู้ มีอัตราการดูดซับ 11%  ขณะที่วิลล่ากระจายไปทั่วทั้งเกาะภูเก็ต มีทั้งริมทะเล กลางเกาะ และโซนภูเขา มากกว่าบ้านจัดสรร โดยจะกระจายไปริมทะเลและบนเขาแต่มีจำนวนไม่มากนัก ส่วนวิลล่าในโซนที่มีอัตราการดูดซับดี 9.5% อยู่ที่เกาะแก้วรัษฎาฝั่งตะวันออก

วิลล่าภูเก็ตบูมหนักเพิ่มดีกรีแข่งเดือด

เมธาพงศ์ อุปัติศฤงค์  นายกสมาคมอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ต กล่าวว่า สถานการณ์ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตครึ่งแรกปี 2567 เทียบปี 2566 ทุกตลาด เติบโตอย่างเด่นชัด โดยเฉพาะตลาดล่างระดับราคาไม่เกิน 3 ล้านบาท เนื่องจากภูเก็ตฟื้นตัวจากโควิด-19 ธุรกิจโรงแรมทยอยเปิดตัว สิ้นปี 2567 คาดตัวเลขนักท่องเที่ยวจะกลับมาเทียบก่อนโควิด ไฟล์ตบินกลับมาบิน 24 ชั่วโมง ส่งผลให้ธุรกิจต่างๆ ฟื้นตัวดีต่อเนื่อง เกิดการจ้างงานเพิ่มขึ้นรองรับนักท่องเที่ยวที่หลั่งไหลเข้ามาภูเก็ต 

“คนไทยมีรายได้เพิ่มขึ้น ทั้งคนในพื้นที่และแรงงานที่เข้ามาทำงานในภูเก็ต ทั้งได้รับปัจจัยบวกจากมาตรการของรัฐลดค่าโอนและจดจำนองจะทำให้อสังหาริมทรัพย์ฟื้นตัวทุกตลาด”

สำหรับตลาดวิลล่าในภูเก็ตได้รับความนิยมมากขึ้นทำให้ดีเวลลอปเปอร์จากกรุงเทพฯ และผู้ประกอบการในพื้นที่เข้ามาพัฒนาโครงการวิลล่าทำให้ซัพพลายเพิ่มขึ้น มีทั้งการเข้ามาร่วมทุนพัฒนาโครงการระหว่างทุนไทยและต่างชาติ ซึ่งตลาดวิลล่าพัฒนาโครงการได้ค่อนข้างเร็ว ใช้ที่ดินเพียง 2-3 ไร่ก็สามารถขึ้นโครงการได้และมาร์จิ้นค่อนข้างสูง

“เมื่อมีผู้เล่นมากขึ้นทำให้การแข่งขันสูงขึ้นไม่ใช่ตลาดผู้ขายแต่เป็นตลาดผู้ซื้อ (Consumer Market) มีซัพพลายค่อนข้างเยอะ ลูกค้ามีอำนาจต่อรอง เพราะมีทางเลือกมากขึ้น”

กำลังซื้อชะลอสวนทางต้นทุนพุ่งต่อเนื่อง

โดยประเมินไตรมาส 4 ซึ่งเป็นไฮซีซันตลาดดีกว่าไตรมาส 3 โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารัสเซียเริ่มเข้ามาเกิด Transaction มากขึ้นเป็นแรงส่งไปถึงไตรมาสแรกปีหน้า 

 อย่างไรก็ตาม สภาพตลาดอาจเปลี่ยนไป ยกตัวอย่าง ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน “พูลวิลล่า” ที่ขายได้มีขนาดเล็กลง เพราะกำลังซื้อหดตัว จากซื้อหลังละ 30-40 ล้านบาท เหลือ15-20 ล้านบาท 

“การทำตลาดคนไทยในภูเก็ตทำยากขึ้นเรื่อยๆ เพราะราคาต้นทุนที่ดินแพงขึ้น จากเมื่อก่อนทำทาวน์เฮ้าส์ราคา 2-3 ล้านบาท หาที่ทำโครงการอยู่ในพื้นที่สีเหลืองและอยู่ในพื้นที่เหมาะสมได้ แต่ตอนนี้หาที่ดินในราคาที่สามารถทำทาวน์เฮ้าส์ราคา 2-3 ล้านบาท ยากมากต้องออกไปนอกเมือง”

แม้ตลาดภูเก็ตโดยภาพรวมปรับตัวดีขึ้นจากดีมานด์ภาคการท่องเที่ยวทำให้แนวโน้มปีหน้ายังคงสดใส! และเติบโตกว่าปี 2567 แต่หากจะพัฒนาโครงการใหม่ต้องระวังซัพพลายทั้งคอนโดมิเนียมและวิลล่า เพราะผู้ประกอบการรายใหญ่เข้ามาจับจองตลาดกันมากแล้ว การลงทุนใหม่ต้องสร้างโครงการให้เร็วและปิดการขายได้เร็วเพื่อลดความเสี่ยง  ขณะที่ภาครัฐต้องเข้ามาดูแลและพัฒนาสาธารณโภคพื้นฐานต่างๆ รองรับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ

ลดต้นทุนมุ่งทำเลชานเมือง-ขายมือสอง

พัทธนันท์ พิสุทธิ์วิมล  กรรมการ บริษัท ชาโต้ ภูเก็ต จำกัด กล่าวว่า ภูเก็ตเป็น “เวิลด์คลาส เดสติเนชั่น” มีชื่อเสียงระดับโลก ทำให้เกิดดีมานด์ในการซื้อที่อยู่อาศัย ส่งผลให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตเติบโตจากการขยายฐานลูกค้าในระดับโลกมากขึ้น 

ดังนั้น ไตรมาส 4 ไปจนถึงปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ภูเก็ตยังดีต่อเนื่อง จากตลาดล่างที่เริ่มฟื้นตัวอีกครั้ง เนื่องจากแรงงานกลับเข้ามาทำงานในภูเก็ตเพิ่มขึ้น ทำให้ต้องการที่อยู่อาศัยเพิ่มขึ้นตามไปด้วย

“ราคาที่ดินภูเก็ตสูงทำให้การพัฒนาโครงการใหม่ต้องขยายตัวออกไปชานเมืองมากขึ้นเพราะที่ดินยังไม่แพงมาก ทำให้ลูกค้าตลาดคนไทยระดับล่างสามารถซื้อได้ แม้ทำเลอาจด้อยกว่าเดิม แต่ทำให้มียอดขายไปได้เรื่อยๆ อีกตลาดหนึ่งที่ได้รับความนิยม คือบ้านมือสอง ซึ่งมีกลุ่มนักลงทุนรายย่อยที่ไปซื้อบ้านเก่ามารีโนเวทขาย มียอดขายค่อนข้างดีและได้ผลตอบแทน (Yield) ค่อนข้างดีแม้จำนวนต่อปีไม่มากนักแต่เป็นตลาดที่เติบโตต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า”

หากพิจารณาแนวโน้มภาคท่องเที่ยว สายการบิน และนักท่องเที่ยว ไต่ระดับดีกลับมาก่อนโควิด ส่งผลตลาดอสังหาริมทรัพย์ย่อมดีตามไปด้วย เพราะรายได้คนภูเก็ตเพิ่มขึ้น ยกเว้นเกิดเหตุการณ์ไม่สามารถคาดเดาหรือเหตุการณ์ไม่ปกติ เช่น สงครามทำให้การท่องเที่ยวหยุดชะงัก

“การลงทุนต้องระมัดระวังมากขึ้น ไม่ใช่ทุ่มจนหมดตัวจนไม่มีทางถอย เพราะปัจจุบันซัพพลายในภูเก็ตเพิ่มขึ้นมาก ต้องใช้เวลาดูดซับไม่เหมือนปีที่ผ่านมาที่ทุกคนกังวลสถานการณ์ที่ไม่ปกติ เช่น กังวลว่าจะโดนยึดเงิน โอนเงินออกนอกประเทศไม่ได้ จึงซื้อไว้ก่อน แต่ปีนี้ไม่ใช่ การจะซื้อเพื่อลงทุนมีการพิจารณา กลายเป็นตลาดผู้ซื้อ ที่เลือกได้มากขึ้น”

ต้นทุนค่าคอมมิชันเอเจนต์พุ่ง 10-20%

สำหรับการขายอสังหาริมทรัพย์ในภูเก็ตผู้ประกอบการต้องพึ่งเอเจนต์ในการขาย ปัจจุบันค่าคอมมิชชั่นสูง 10-20% ทำให้ต้นทุนผู้ประกอบการสูงมาก ถูกกดดันจากราคาที่ดินที่ขยับสูงต่อเนื่องบวกกับต้นทุนค่าก่อสร้างที่สูงขึ้น ดังนั้น นักลงทุนต้องวางแผนให้ดี ระมัดระวังในการลงทุน ไม่ลงทุนตามกระแส หรือแนวโน้มการร่วมทุนต้องพิจารณาเงื่อนไขต่างๆ

“กระแสลงทุนภูเก็ตยังคงร้อนแรง มืออาชีพเข้ามาพัฒนาโครงการจำนวนมาก โลคัลดีเวลลอปเปอร์ ต้องปรับตัวอย่างมากเพื่อความอยู่รอด”

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ภาคอีสานครึ่งแรกซัพพลาย5หมื่นล้านโคราชขายบ้านสูงสุดขอนแก่นคอนโดขายดี

อสังหาฯภาคอีสานครึ่งแรกปี67 ซัพพลาย1.3พันหน่วยมูลค่าทะลุ5หมื่นล้าน ‘โคราช ‘ยอดขายบ้านสูงสุด2.9พันล้าน ขณะที่’ขอนแก่น’แชมป์คอนโดขายดี แต่ในเชิงมูลค่าคอนโคราชราคาต่อยูนิตสูงกว่า โดยเฉพาะโซนเขาใหญ่ยอดขายเพิ่มขึ้น

วิชัย วิรัตกพันธ์ ผู้ตรวจการธนาคารอาคารสงเคราะห์ และรักษาการผู้อำนวยการศูนย์ข้อมูลอสังหาริมทรัพย์(REIC) เผยว่า การสำรวจโครงการที่อยู่อาศัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัดประกอบด้วย จังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุดรธานี อุบลราชธานี และมหาสารคามครึ่งแรกปี 2567 พบว่า จำนวนอุปทานพร้อมขายจำนวนประมาณ 13,520 หน่วย มูลค่า 50,116 ล้านบาท ในจำนวนดังกล่าวแบ่งเป็นโครงการอาคารชุด 2,527 หน่วย มูลค่า 7,757 ล้านบาท เป็นโครงการบ้านจัดสรร 10,993 หน่วย มูลค่า 42,360 ล้านบาท 

REIC พบว่า มียอดขายได้ใหม่ 2,242 หน่วย เพิ่มขึ้นร้อยละ 18.5 มูลค่า 8,284 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 20.8 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งเป็นการขายได้ใหม่ที่เป็นบ้านแนวราบ 1,748 หน่วย มูลค่า 6,717 ล้านบาท และเป็นอาคารชุด 494 หน่วย มูลค่า 1,566 ล้านบาท โดยจังหวัดนครราชสีมามียอดขายบ้านแนวราบสูงสุดจำนวน 767 หน่วย มูลค่า 2,952 ล้านบาท และจังหวัดขอนแก่นมียอดขายอาคารชุดสูงสุดที่ 238 หน่วย มีมูลค่าเพียง 404 ล้านบาท

แต่นครราชสีมามีมูลค่าการขายอาคารชุดขายได้ใหม่มากถึง 1,115 ล้านบาททั้งที่มียอดขายเพียง 227 หน่วยเท่านั้น ทั้งนี้น่าจะเป็นเพราะราคาอาคารชุดในนครราชสีมามีราคาที่สูงกว่าจังหวัดอื่น โดยเฉพาะโซนเขาใหญ่ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นและราคาค่อนข้างสูง ทั้งนี้อัตราดูดซับของภาพรวมตลาดอยู่ที่ร้อยละ 2.8 เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปี 2566

ขณะที่หน่วยเปิดตัวใหม่ของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัด มีจำนวนรวม 1,457 หน่วย ลดลงร้อยละ -51.6 มูลค่า 5,335 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -48.2 ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ที่เป็นบ้านแนวราบ 1,024 หน่วย มูลค่า 4,200 ล้านบาท และเป็นอาคารชุด 433 หน่วย มูลค่า 1,135 ล้านบาท

โดยจังหวัดนครราชสีมาและขอนแก่นมีการเปิดตัวใหม่ใกล้เคียงกัน บ้านแนวราบของนครราชสีมาเปิดตัวใหม่ 380 หน่วย มูลค่า 1,554 ล้านบาท และอาคารชุด 216 หน่วย มูลค่า 820 ล้านบาท และขอนแก่นมีอาคารชุดเปิดตัวใหม่ 217 หน่วย มูลค่า 315 ล้าน ส่วนจังหวัดอีก 3 จังหวัด (อุดรธานี อุบลราชธานี และมหาสารคาม) “ไม่มี”การเปิดตัวอาคารชุดใหม่

จากการที่ภาพรวมภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัดมียอดขายได้ใหม่มีการปรับตัวดีขึ้นกว่าปีก่อนและการที่ผู้ประกอบการค่อนข้างระมัดระวังจึงมีการเติมอุปทานใหม่เข้าไปในตลาดน้อยลง ส่งผลให้ที่อยู่อาศัยเหลือขายในช่วงครึ่งแรกปี 2567 มีจำนวน 11,278 หน่วยลดลดลงร้อยละ -12.2 มูลค่า 41,832 ล้านบาท ลดลงร้อยละ -5.0 เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2566 ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยเหลือขายที่เป็นบ้านแนวราบ 9,245 หน่วย มูลค่า 35,642 ล้านบาท และเป็นอาคารชุด 2,033 หน่วย มูลค่า 6,190 ล้านบาท

 โดยจังหวัดนครราชสีมา เป็นจังหวัดที่มีบ้านแนวราบเหลือขายสูงสุดถึง 4,310 หน่วย มูลค่า 16,997 ล้านบาท รองลงมาคือขอนแก่น มีจำนวน 2,591 หน่วย มูลค่า 10,758 ล้านบาท ขณะที่จังหวัดขอนแก่นมีอาคารชุดเหลือขายสูงสุดจำนวนหน่วยที่ 1,205 หน่วย มีมูลค่าเพียง 2,066 ล้านบาท แต่นครราชสีมามีมูลค่าอาคารชุดเหลือขายมากถึง 4,089 ล้านบาททั้งที่มีจำนวนอาคารชุดเหลือขายเพียง 806 หน่วยเท่านั้น ซึ่งเป็นผลจากที่ราคาราคาอาคารชุดในนครราชสีมามีราคาที่สูงกว่าจังหวัดอื่น โดยเฉพาะโซนเขาใหญ่ที่มีราคาค่อนข้างสูง

เมื่อเปรียบเทียบระหว่างตลาดที่อยู่อาศัยเสนอขายของ 5 จังหวัดนี้ พบว่า จังหวัดนครราชสีมา และ ขอนแก่นเป็นจังหวัดที่มีขนาดตลาดเป็นลำดับ 1 และ 2  ดังจะเห็นได้จากจำนวนและสัดส่วนที่อยู่อาศัยทุกประเภทของจังหวัดนครราชสีมาที่มีการเสนอขายถึง 6,110 หน่วย (ร้อยละ 45.2) มูลค่า 25,152 ล้านบาท (ร้อยละ 50.2) และจังหวัดขอนแก่นมีการเสนอขาย 4,478 หน่วย (ร้อยละ 33.1) มูลค่า 14,936 ล้านบาท (ร้อยละ 29.8) ของหน่วยที่เสนอขายทั้งหมด ตามลำดับ แต่จังหวัดขอนแก่นมีการเปิดตัวโครงการใหม่มากที่สุด 

โดยรวมของบ้านจัดสรรและอาคารชุดรวม 635 หน่วย (ร้อยละ 43.6) มูลค่า 2,233 ล้านบาท (ร้อยละ 41.9) ทั้งนี้เป็นหน่วยบ้านจัดสรร 418 หน่วย (ร้อยละ 40.8) มูลค่า 1,919 ล้านบาท (ร้อยละ 45.7) และอาคารชุด 217 หน่วย (ร้อยละ 50.1) มูลค่า 315 ล้านบาท (ร้อยละ 27.8) โดยคิดเป็นร้อยละของจำนวนหน่วยและมูลค่าแยกตามประเภทในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
 
แต่จังหวัดนครราชสีมามีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่สูงสุด 994 หน่วย (ร้อยละ 44.3) มูลค่า 4,066 ล้านบาท (ร้อยละ 49.1) โดยมีอัตราการดูดซับโดยรวมที่ร้อยละ 2.7 ต่อเดือน และจังหวัดขอนแก่น 682 หน่วย (ร้อยละ 30.4) มูลค่า 2,112 ล้านบาท (ร้อยละ 25.5) โดยมีอัตราการดูดซับโดยรวมที่ร้อยละ 2.5 ต่อเดือน ทั้งนี้ จังหวัดอุดรธานีมีอัตราดูดซับบ้านจัดสรรสูงสุดร้อยละ 3.4 และอุบลราชธานีมีอัตราดูดซับอาคารชุดสูงสุดร้อยละ 9.5 

REIC คาดการณ์ว่า ในปี 2567 ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ 5 จังหวัดจะมีที่อยู่อาศัยเปิดตัวใหม่ในตลาดจำนวน 4,855 หน่วย มูลค่า 20,381 ล้านบาท มีจำนวนหน่วยขายได้ใหม่ 4,976 หน่วย มูลค่า 18,100 ล้านบาท มีหน่วยเหลือขาย 11,532 หน่วย มูลค่า 42,755 ล้านบาท โดยภาพรวมตลาดที่อยู่อาศัยในพื้นที่สำรวจเข้าสู่ช่วงของการฟื้นตัว โดยคาดการณ์หน่วยขายได้ใหม่จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 21.2 โดยมีอัตราดูดซับเพิ่มขึ้นเล็กน้อยโดยเฉพาะในกลุ่มโครงการอาคารชุด

ขอบคุณข้อมูลจาก bangkokbiznews.com


ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19ก.ย. “อ่อนค่า”ที่ระดับ 33.40 บาทต่อดอลลาร์

ค่าเงินบาทโมเมนตัมของการอ่อนค่าเริ่มกลับมามีกำลังมากขึ้นอีกครั้ง หลังเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดหวัง เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น กดดันราคาทองคำให้ย่อตัวลง

ค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ 19ก.ย. 2567 ที่ระดับ  33.40 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง”จากระดับปิดวันก่อนหน้า ที่ระดับ  33.26 บาทต่อดอลลาร์

นายพูน  พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทยเปิดเผยว่า แนวโน้มของค่าเงินบาท เราประเมินว่า โมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทเริ่มกลับมามีกำลังมากขึ้น อีกครั้ง หลังเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดหวัง ซึ่งทำให้เงินดอลลาร์กลับมาแข็งค่าขึ้น พร้อมกับกดดันราคาทองคำให้ย่อตัวลง

ขณะเดียวกัน บรรยากาศในตลาดการเงินก็อาจอยู่ในภาวะระมัดระวังตัวมากขึ้นได้ ส่งผลให้บรรดานักลงทุนต่างชาติอาจทยอยขายทำกำไรสถานะถือครองสินทรัพย์ไทยได้บ้าง ทำให้ในช่วงระยะสั้น เงินบาทอาจอ่อนค่าลงได้บ้าง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทก็อาจเป็นไปอย่างจำกัดแถวโซนแนวต้านสำคัญ 33.50 บาทต่อดอลลาร์

(หากเงินบาทอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวไปได้ จะมีแนวต้านถัดไปแถว 33.80 บาทต่อดอลลาร์) นอกจากนี้ บรรดาผู้เล่นในตลาดบางส่วนอย่างฝั่งผู้ส่งออก ก็อาจรอจังหวะที่เงินบาทอ่อนค่าลงบ้างในการทยอยขายเงินดอลลาร์ ซึ่งอาจช่วยชะลอการอ่อนของเงินบาทได้บ้าง

ทั้งนี้ เรามองว่า ควรระวังความผันผวนในตลาดช่วงทยอยรับรู้ ผลการประชุม BOE ที่อาจกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) อ่อนค่าลงได้บ้าง หาก BOE มีการปรับมุมมองต่อแนวโน้มเศรษฐกิจและส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้มากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ (ตลาดมอง BOE จะลดดอกเบี้ยราว -50bps ในปีนี้)

เรายังคงมองว่า เงินบาทยังมีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวนไปตาม การเปลี่ยนแปลงไปมาของปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อทิศทางค่าเงินบาท อย่าง มุมมองของผู้เล่นในตลาดต่อแนวโน้มดอกเบี้ยเฟด หรือ การปรับสถานะถือครองเงินดอลลาร์

ทำให้ผู้เล่นในตลาดควรใช้กลยุทธ์ในการปิดความเสี่ยงที่หลากหลายมากขึ้น ทั้งการใช้เครื่องมือเช่น Options หรือ สกุลเงินท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการปิดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 33.30-33.60 บาท/ดอลลาร์

โดยนับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาทเคลื่อนไหวผันผวนพอสมควร (กรอบการเคลื่อนไหว 33.06-33.41 บาทต่อดอลลาร์) แต่โดยรวมเป็นทิศทางการอ่อนค่าลง เข้าใกล้โซนแนวต้านแรก 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์ ที่เราประเมินไว้ในวันก่อนหน้า 

โดยเงินบาททยอยแข็งค่าขึ้นในช่วงแรก เข้าใกล้แนวรับ 33.00 บาทต่อดอลลาร์ ตามการอ่อนค่าลงของเงินดอลลาร์ ที่มาพร้อมกับการย่อตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ของราคาทองคำ หลังที่ประชุม FOMC ของเฟด มีมติไม่เป็นเอกฉันท์ (11 ต่อ 1) ให้ลดดอกเบี้ย -50bps สู่ระดับ 4.75%-5.00% ตามที่ตลาดคาด

อย่างไรก็ดี เงินบาทก็พลิกกลับมาอ่อนค่าลงต่อเนื่อง ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell รวมถึงคาดการณ์แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทิศทางอัตราดอกเบี้ยของเฟด (Dot Plot) ใหม่ ซึ่งไม่ได้สะท้อนภาพการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟด อย่างที่ตลาดคาดหวัง

ศูนย์วิจัยกสิกรไทยระบุว่าเงินบาทปรับตัวอยู่ที่ระดับประมาณ 33.39-33.41 บาทต่อดอลลาร์ฯ ในช่วงเช้าวันนี้ (9.21 น.) เทียบกับระดับปิดตลาดวานนี้ที่ 33.27 บาทต่อดอลลาร์ฯ 

โดยเงินบาทขยับอ่อนค่าลงสอดคล้องกับทิศทางของสกุลเงินส่วนใหญ่ในภูมิภาค ท่ามกลางแรงซื้อคืนเงินดอลลาร์ฯ หลังการประชุมเฟด ซึ่งตลาดมองว่า การเริ่มผ่อนคลายนโยบายการเงินของเฟดน่าจะช่วยลดความเสี่ยงต่อการชะลอตัวลงอย่างรุนแรงของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในระยะข้างหน้า

ทั้งนี้ เงินดอลลาร์ฯ ฟื้นตัวขึ้นตามทิศทางบอนด์ยีลด์ หลังอ่อนค่าลงในช่วงแรกรับผลการประชุมเฟดเมื่อคืนที่ผ่านมาซึ่งมติที่ออกมาไม่เป็นเอกฉันท์ให้ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 0.50% มาที่กรอบ 4.75-5.00% พร้อมกับส่งสัญญาณปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อในรอบการประชุมที่เหลือของปี โดยสัญญาณจาก dot plot สะท้อนว่า มีความเป็นไปได้ที่จะเห็นการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.50% ก่อนสิ้นปีนี้ และเฟดยังมีแนวโน้มที่จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อเนื่องในปีหน้าด้วยเช่นกัน 

สำหรับกรอบการเคลื่อนไหวของเงินบาทในวันนี้ ประเมินเบื้องต้นไว้ที่ 33.30-33.55 บาทต่อดอลลาร์ฯ โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามจะอยู่ที่การตอบรับของตลาดต่อสัญญาณจากผลการประชุมเฟด ทิศทางเงินทุนต่างชาติ สถานการณ์สกุลเงินในเอเชียและราคาทองคำในตลาดโลก  ผลการประชุมนโยบายการเงินของ BOE และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ และยอดขายบ้านมือสองเดือนส.ค.
 

อีกทั้งประธานเฟดยังได้เน้นย้ำว่า การเร่งลดดอกเบี้ยในครั้งนี้ จะช่วยให้เศรษฐกิจชะลอตัวลงแบบ Soft Landing ได้ (ไม่เกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย หรือ Economic Recession) และช่วยให้เฟดสามารถบรรลุเป้าหมายการจ้างงานเต็มศักยภาพได้

โดยมุมมองดังกล่าวของประธานเฟด ได้หนุนให้ เงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้น กดดันให้ ราคาทองคำปรับตัวลดลงกว่า -50 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ส่งผลให้สุดท้ายเงินบาททยอยอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้านแรก 33.40-33.50 บาทต่อดอลลาร์

แม้ว่าเฟดจะมีมติเร่งลดดอกเบี้ย -50bps ตามที่ตลาดคาดหวัง ทว่าถ้อยแถลงของประธานเฟด รวมถึงคาดการณ์ดอกเบี้ยเฟดล่าสุด (Dot Plot) กลับไม่ได้สะท้อนภาพการเร่งลดดอกเบี้ยของเฟดอย่างที่ตลาดคาดหวัง ทำให้ผู้เล่นในตลาดเลือกที่จะขายทำกำไรสินทรัพย์เสี่ยงออกมาบ้าง โดยเฉพาะหุ้นสไตล์ Growth และหุ้นเทคฯ อาทิ Nvidia -1.9% หลังบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ก็ปรับตัวขึ้นพอสมควร ส่งผลให้โดยรวม ดัชนี S&P500 ปิดตลาด -0.29%

ทางฝั่งตลาดหุ้นยุโรป ดัชนี STOXX600 พลิกกลับมาปรับตัวลง -0.50% ท่ามกลางแรงขายสินทรัพย์เสี่ยง โดยเฉพาะหุ้นสไตล์ Growth และหุ้นกลุ่มเทคฯ อาทิ LVMH -1.9%, ASML -1.5% ก่อนที่ตลาดจะรับรู้ผลการประชุม FOMC ของเฟด ซึ่งจะมาหลังตลาดหุ้นยุโรปปิดทำการไปแล้ว นอกจากนี้ ตลาดหุ้นยุโรปยังถูกกดดันจากแรงขายหุ้น Novo Nordisk -2.4% หลังมีประเด็นว่า ราคายาเบาหวานยอดนิยม Ozempic เสี่ยงจะถูกปรับลดราคาลงอย่างมากในสหรัฐฯ

ในฝั่งตลาดบอนด์ บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟด โดยมีจังหวะปรับตัวลดลงใกล้โซน 3.65% ก่อนที่จะทยอยปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 3.73% หลังคาดการณ์ดอกเบี้ยนโยบายใหม่ของเฟด (Dot Plot) และถ้อยแถลงของประธานเฟด Jerome Powell ไม่ได้สะท้อนถึงแนวโน้มการเร่งลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดหวังก่อนหน้า

สอดคล้องกับ มุมมองของเราที่ประเมินว่า บอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ มีความเสี่ยงที่อาจผันผวนสูงขึ้นได้บ้าง หากเฟดไม่ได้ส่งสัญญาณเร่งลดดอกเบี้ย อย่างที่ตลาดกำลังคาดหวัง ทั้งนี้ เราคงเน้นกลยุทธ์ “Buy on Dip” หรือรอจังหวะบอนด์ยีลด์ปรับตัวสูงขึ้น ในการเข้าซื้อบอนด์ระยะยาว เนื่องจากแนวโน้มดอกเบี้ยเฟดได้เข้าสู่ช่วงขาลงอย่างชัดเจนแล้ว

ทางด้านตลาดค่าเงิน เงินดอลลาร์เคลื่อนไหวผันผวน โดยมีจังหวะอ่อนค่าลงเร็ว หลังเฟดมีมติเร่งลดดอกเบี้ยตามที่ตลาดคาดหวัง ก่อนที่จะพลิกกลับมาแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง หลังคาดการณ์แนวโน้มดอกเบี้ยเฟดใหม่และถ้อยแถลงของประธานเฟดไม่ได้สะท้อนว่าเฟดจะเดินหน้าเร่งลดดอกเบี้ยอย่างที่ตลาดคาดหวัง

ซึ่งภาพดังกล่าวยังได้หนุนการแข็งค่าขึ้นของเงินดอลลาร์ ผ่านการอ่อนค่าของบรรดาสกุลเงินหลัก โดยเฉพาะ เงินเยนญี่ปุ่น (JPY) ที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องทะลุโซน 143 เยนต่อดอลลาร์ ทำให้โดยรวมดัชนีเงินดอลลาร์ (DXY) ทยอยปรับตัวขึ้นสู่โซน 101 จุด (แกว่งตัวในกรอบ 100.2-101.1 จุด)

ในส่วนของราคาทองคำ ความผันผวนของทั้งเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟดและถ้อยแถลงของประธานเฟด ได้ส่งผลให้ราคาทองคำ (สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ธ.ค.) เคลื่อนไหวผันผวนสูงเช่นกัน

โดยราคาทองคำมีจังหวะปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ในช่วงแรก ก่อนปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่โซน 2,580 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หลังเงินดอลลาร์และบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ พลิกกลับมาปรับตัวสูงขึ้น ตามการส่งสัญญาณไม่เร่งรีบลดดอกเบี้ยของเฟด

สำหรับวันนี้ อีกหนึ่งไฮไลท์สำคัญหลังตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุมเฟด คือ ผลการประชุมธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) โดยเราประเมินว่า BOE อาจคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 5.00% ตามเดิม ทว่า BOE อาจส่งสัญญาณพร้อมเดินหน้าลดดอกเบี้ยได้เพิ่มเติม

หลังอัตราเงินเฟ้อได้ชะลอลงเข้าใกล้เป้าหมายของ BOE มากขึ้น ขณะที่ภาพรวมเศรษฐกิจมีแนวโน้มชะลอลงอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งอาจทำให้การลดดอกเบี้ยของ BOE ไม่ได้เร่งรีบมากนัก

อย่างไรก็ดี ควรระวังความผันผวนในช่วงตลาดทยอยรับรู้ผลการประชุม BOE เพราะหาก BOE ประเมินภาพเศรษฐกิจมีทิศทางชะลอลงมากขึ้น หรือ ดูแย่กว่าคาด พร้อมส่งสัญญาณเดินหน้าลดดอกเบี้ยชัดเจน ก็อาจกดดันให้เงินปอนด์อังกฤษ (GBP) เสี่ยงอ่อนค่าลงได้บ้าง 

ส่วนในฝั่งสหรัฐฯ ผู้เล่นในตลาดจะรอลุ้นรายงานข้อมูลเศรษฐกิจสหรัฐฯ อาทิ ยอดผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงาน (Jobless Claims) รวมถึงดัชนีภาวะเศรษฐกิจจากบรรดาเฟดสาขาต่างๆ และข้อมูลตลาดบ้านสหรัฐฯ เพื่อประกอบการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจและทิศทางนโยบายการเงินของเฟด (ว่าเฟดจะไม่รีบลดดอกเบี้ยได้จริง ตาม Dot Plot ใหม่หรือไม่)

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติเลือก “นุศรา ต้อมคำ” ลงเลือกตั้งกก.ฝ่ายกีฬา

ส่งกำลังใจเชียร์ “ซาร่า” นุศรา ต้อมคำ หลังได้รับเลือกจากสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติเสนอชื่อแคนดิเดต ลงเลือกตั้งเป็นหนึ่งในคณะกรรมการฝ่ายนักกีฬา พร้อมดำรงตำแหน่งในสหพันธ์ฯ เป็าระยะเวลา 4 ปี โดยจะลงคะแนนเสียงทางออนไลน์จากนักกีฬาทั่วโลกที่ได้ลงทะเบียนกับ FIVB เกิน 8 ปี และมีอายุ 18 ปีขึ้นไป ในส่วนของ “ซาร่า” อยู่ในกลุ่มวอลเลย์บอลหญิงที่มีคู่แข่งทั้งหมด 3 คน

สหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ( FIVB) เสนอชื่อนักตบลูกยางสาวไทยชุดใน 7 เซียนในตำนาน “ซาร่า” นุศรา ต้อมคำ ลงเลือกตั้งให้เป็นหนึ่งในคณะกรรมการฝ่ายนักกีฬา ของสหพันธ์วอลเลย์บอลนานาชาติ (FIVB Athletes’ Commission) ซึ่งการเลือกตั้งจะมีขึ้นระหว่างวันที่ 16-30 กันยายน 2567 โดยผ่านทางการโหวดให้คะแนนเสียงทางออนไลน์ผ่านแพลดฟอร์มการโหวด Lumi

โดยผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงก็คือนักกีฬาที่ลงทะเบียนกับทาง FIVB จากทั่วโลกที่ลงทะเบียนมาแล้ว 8 ปีก่อนการเลือกตั้งและมีอายุ 18 ปีขึ้นไป  ซึ่งได้รับการติดต่อโดย Lumi ในวันที่ 16 กันยายนที่ผ่านมาพร้อมคำแนะนำอย่างละเอียด เพื่อลงคะแนนโหวดเลือกคนที่เหมาะสมเข้าไปทำหน้าที่คณะกรรมการฝ่ายนักกีฬา ในอีกสี่ปีนับจากนี้ไป

สำหรับคณะกรรมการฝ่ายคณะกรรมการฝ่ายนักกีฬาจะมีทั้งหมด 10 คน ทำงานอยู่ในวาระระหว่างปี 2024-2028 โดย 5 คนจะผ่านทางการแต่งตั้งโดยบอร์ดบริหารของ FIVB ส่วนอีก 5 คนจะได้มาจากการเลือกตั้ง จากนักกีฬาทั้งในส่วนที่เป็นวอลเลย์บอลในร่มและวอลเลย์บอลชายหาด

ในส่วนของคณะกรรมการที่จะได้มาจากการเลือกตั้ง 5 คนนั้น จะมีแคนดิเดตทั้งหมด 15 คน ประกอบด้วยชาย 7 หญิง 8 คน โดยผู้ที่มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงจะโหวดได้เพียง 4 คน แต่แคนดิเดตที่โหวตให้นั้นจะต้องมาจากกลุ่มที่ต่างกัน ซึ่งประกอบไปด้วยในร่มชาย (เลือกได้ 1 คน) ในร่มหญิง (เลือกได้ 1 คน) ชายหาดชาย (เลือกได้ 1 คน) และชายหาดหญิง (เลือกได้ 1 คน)

โดยแคนดิเดตจากแต่ละกลุ่ม (4 กลุ่ม) ที่ได้รับคะแนนโหวดสูงสุดจะได้เข้าทำหน้าที่เป็น FIVB Athletes’ Commission ส่วนอีกคน (คนที่ 5) จะพิจารณาจากคนที่ได้รับคะแนนโหวดสูงสุดจากแคนดิเดตที่เหลือโดยไม่คำนึงถึงกลุ่มหรือเพศ รวมทั้งหมด 5 คน

สำหรับกรณีของ “ซาร่า” นุศรา จะมีคู่แข่งในกลุ่ม Volleyball- Women ประกอบด้วย โซห์รา เบนซาเลม จากอัลจีเรีย, จอร์แดน ลาร์สัน จากสหรัฐอเมริกา, วิคตัวร์ น็อน นาเทม จากแคมเมอรูน และนุศรา ต้อมคำ จากประเทศไทย

ขอบคุณข้อมูลจาก siamsport.co.th


โรคกระเพาะ เกิดจากอะไร วิธีดูแลตนเองเมื่อเป็น โรคกระเพาะ

ในสังคมปัจจุบันมีแต่การแข่งขัน ทำให้การดำเนินชีวิตในแต่ละวันของทุกคนต้องเร่งรีบไปด้วย ส่งผลให้สุขภาพของคนในสังคมแย่ลงและปัญหาทาง สุขภาพที่พบได้บ่อย คือ การเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือลำไส้เล็กส่วนต้น ซึ่งโดยทั่วไปเราเรียกกันว่า “โรคกระเพาะ

โรคกระเพาะ เป็นโรคที่พบได้บ่อยโรคหนึ่ง ประมาณว่าคนทั่วไปมีโอกาสเป็นโรคนี้ในช่วงใดช่วงหนึ่งของชีวิต โดยการเกิดแผลในกระเพาะมักพบในวัยกลางคน ขณะที่การเกิดแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นจะพบในวัยหนุ่มสาว อย่างไรก็ตามการเกิดแผลในกระเพาะอาหารหรือแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้นสามารถเกิดขึ้นได้ในคนทุกเพศและทุกวัย

สาเหตุ โรคกระเพาะ

เกิดจากมีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากเกินไปร่วมกับความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารและลำไส้ลดลง จึงทำให้มีแผลเกิดขึ้น และปัจจุบันพบว่ายังมีปัจจัยเสริมอื่นๆที่ทำให้เกิดโรคได้อีก ได้แก่

  1. การติดเชื้อ เฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร (Helicobactor Pylori) ซึ่งเป็นแบคทีเรียชนิดหนึ่งที่ติดต่อโดยการรับประทานอาหารหรือดื่มน้ำที่ปนเปื้อนเชื้อจากอุจจาระของผู้ติดเชื้อ เชื้อนี้เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะเข้าไปฝังตัวอยู่ใต้เยื่อบุกระเพาะ ผนังกระเพาะจึงอ่อนแอลงและมีความทนต่อกรดลดลง ทำให้กระเพาะอาหารและลำไส้เล็กส่วนต้นเกิดแผลได้ง่าย แผลหายช้า และเกิดแผลซ้ำได้อีก
  2. รับประทานสิ่งที่ก่อให้เกิดการระคายเคืองต่อกระเพาะและลำไส้ เช่น ดื่มชา กาแฟหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนหรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ น้ำอัดลม และการรับประทานยาบางชนิด เช่น ยาแก้ปวดจำพวกแอสไพริน ยารักษาโรคกระดูกและข้ออักเสบ ยาชุดหรือยาลูกกลอนที่มีสเตียรอยด์ เป็นต้น
  3. มีอุปนิสัยการรับประทานอาหารที่ไม่ถูกต้อง เช่น การรับประทานอาหารอย่างเร่งรีบ รับประทานไม่เป็นเวลาหรืออดอาหารบางมื้อ เป็นต้น
  4. การสูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสของการเป็นแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น
  5. อื่นๆ เช่น ซึมเศร้า วิตกกังวล คิดมาก นอนไม่หลับ เครียด อารมณ์หงุดหงิด พักผ่อนไม่เพียงพอ เป็นต้น

อาการเมื่อเป็นโรคกระเพาะ

มักมีอาการปวดแสบ ปวดตื้อ จุกเสียดหรือจุกแน่นบริเวณใต้ลิ้นปี่ อาการปวดเหล่านี้เป็นได้ทั้งเวลาก่อนรับประทานอาหารหรือหลังรับประทานอาหารใหม่ๆและเวลาท้องว่าง เช่น เวลาหิวข้าว ตอนเช้ามืดหรือตอนดึกๆก็ปวดท้องได้เช่นกัน อาการปวดจะเป็นๆหายๆ เป็นได้วันละหลายๆครั้ง หรือตามมื้ออาหาร และแต่ละครั้งที่ปวดจะนานประมาณ 15 – 30 นาที อาการปวดจะบรรเทาลงได้ถ้ารับประทานอาหาร ดื่มนมหรือรับประทานยาลดกรด

อาการแทรกซ้อน

โรคกระเพาะถ้าได้รับการรักษาและดูแลตนเองให้ถูกต้องส่วนใหญ่เป็นแล้วจะหาย แต่ถ้าไม่ได้รับการดูแลรักษาที่ถูกต้องจนมีอาการมากและเรื้อรังอาจเกิดภาวะแทรกซ้อนที่เป็นอันตรายแก่ชีวิตได้ เช่น

  • เลือดออกในกระเพาะอาหาร โดยสังเกตได้จากมีถ่ายอุจจาระสีดำหรืออาเจียนเป็นเลือดหรืออาเจียนมีลักษณะคล้ายผงกาแฟบดปนอยู่
  • กระเพาะลำไส้เป็นแผลทะลุ โดยสังเกตได้จากมีอาการปวดท้องรุนแรงทันทีทันใด หน้าท้องแข็ง กดเจ็บ
  • กระเพาะลำไส้ตีบตัน โดยสังเกตได้จากมีอาการปวดท้อง รับประทานอาหารได้น้อย อิ่มเร็ว และอาเจียนเป็นอาหารที่ไม่ย่อยหลังรับประทานอาหาร

ปวดท้องแบบไหนที่ใช่โรคกระเพาะ ?

  • ปวดท้องเฉียบพลัน นับเป็นการปวดรุนแรงที่อาจไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน โดยเราต้องความสนใจเป็นพิเศษ เพราะอาจเกิดจากโรคอื่นที่ไม่ใช่โรคกระเพาะก็เป็นได้ อาทิ โรคนิ่วในถุงน้ำดี หรือตับอ่อนอักเสบ เป็นต้น
  • ปวดท้องเรื้อรัง นับเป็นอาการปวดท้องที่สามารถพบได้บ่อยที่สุด จะมีลักษณะอาการเป็นปวดๆ หายๆ ต่อเนื่องกันมาไม่น้อยกว่า 1 เดือน อาจเป็นการปวดท้องที่เกี่ยวข้องกับมื้ออาหาร เช่น ปวดขณะที่หิว หรือปวดขณะที่อิ่ม แต่เป็นการปวดที่ทนได้ ซึ่งเมื่อรับประทานยาลดกรด หรือรับประทานอาหารแล้วก็มีอาการดีขึ้น
  • โรคในกระเพราะอาหารที่เกี่ยวข้องกับอาการปวดเรื้อรัง ได้มีแพทย์ท่านหนึ่งอธิบายเพิ่มเติมเอาไว้ว่าสามารถแบ่งออกได้เป็นหลายชนิด เริ่มจาก โรคที่เกิดจากความผิดปกติของกระเพาะอาหาร เช่น การเป็นแผลในกระเพาะ เป็นแผลในลำไส้เล็กส่วนต้น กระเพาะอาหารอักเสบ หรือเป็นมะเร็งในกระเพาะอาหาร ซึ่งอัตราที่จะเกิดโรค หรือภาวะเหล่านี้นั้นมีประมาณร้อยละ 20 – 25 ของผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะเรื้อรัง


นอกจากนั้น โรคกระเพาะก็อาจขึ้นได้ ถึงแม้ว่าจะไม่มีความผิดปกติทางกายภาพภายในกระเพราะเลย แต่ก็อาจเกิดขึ้นโดยมีสาเหตุมาจากการทำงานที่ผิดปกติ อาทิ การบีบตัวของกระเพาะกับลำไส้ที่ทำงานไม่ประสานกัน หรืออาจเกิดจากสภาพกรดในกระเพาะที่มีมากเกินไป แต่ไม่ทำให้เกิดแผล ซึ่งสาเหตุที่ว่ามานี้ก็ทำให้ผู้ป่วยร้อยละ 70 – 75 ต้องเดินทางมาพบแพทย์

แต่ถึงยังไงก็ตาม ความผิดปกติภายในกระเพาะอาหารที่เกิดจากกรดนั้น ผู้ป่วยก็อาจไม่มีอาการปวดท้องเสมอไป โดยผู้ป่วยหลายรายอาจมีอาการอาเจียนเป็นเลือด หรือถ่ายอุจจาระดำ มีสาเหตุมาจากแผลในกระเพาะอาหารที่เกิดมาจากกรดเกิน ในบางรายอาจมีอาการแสบแน่นที่หน้าอกเนื่องจากกรดไหลย้อน ทำให้หลอดอาหารอักเสบ รวมไปถึงมีอาการไอ เนื่องจากมีการอักเสบขึ้นมาถึงคอ โดยรวมแล้วก็เป็นเรื่องของโรคกระเพาะอาหารทั้งสิ้น

โรคกระเพาะ รุนแรงหรือไม่ ?

ตามปกติแล้ว โรคกระเพาะ นั้นเป็นโรคที่ไม่รุนแรง สามารถรักษาให้หายได้เสมอหากว่ามีการพยากรณ์โรคที่ดี โดยการให้ยาและปรับพฤติกรรมการใช้ชีวิตของผู้ป่วย แต่เมื่อใดที่โรคกระเพาะทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อร่างกายก็อาจทำให้เสียชีวิตได้ เนื่องจากการที่เลือดออกไม่หยุดในบริเวณที่เกิดแผล หรืออักเสบ และเมื่อเกิดการเรื้อรัง นับเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคมะเร็งกระเพาะอาหารและโรคมะเร็งต่อมน้ำเหลืองของกระเพาะอาหารได้ ฉะนั้น ต้องหมั่นดูแลตัวเองให้ดี รับประทานอาหารให้ตรงเวลาและเพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย

5 สัญญาณเสี่ยงบอกว่าใกล้จะเป็นโรคกระเพาะ

ในเวลาที่เรามีอาการปวดท้องอันเกิดมาจากการมีแผลในกระเพาะอาหาร อาจมีลักษณะอาการที่ผู้ป่วยรู้ๆ กันดีนั่นคือ อิ่มก็ปวด หิวก็ปวด ซึ่งอาการปวดของโรคกระเพาะนั้นจะคล้ายคลึงกับการปวดท้องในแบบอื่นๆ อยู่เหมือนกันจนแทบแยกไม่ออก ฉะนั้น จะรู้ได้อย่างไรว่าเรากำลังเป็นโรคกระเพาะ ลองมาตรวจดูจาก 5 สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะไปพร้อมๆ กันเลย …

สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะ 1

  • อาการปวดท้องแบบจุกๆ แสบๆ เป็นลักษณะของอาการปวดที่จู่ๆ ก็จี๊ดขึ้นมา แล้วจู่ๆ ก็หายไปตรงบริเวณเหนือสะดือ นั่นก็คือแถวๆ ลิ้นปี่

Advertisement

สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะ 2

  • เวลาที่หิว หรือเวลาที่อิ่มก็จะมีอาการปวดท้องทางฝั่งขวามือ อาจไม่ได้ทำให้เรารู้สึกปวดมาก หากว่ากินยาลดกรดเข้าไปก็ยังพอช่วยบรรเทาอาการได้

สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะ 3

  • มีอาการปวดแสบบริเวณท้อง บางครั้งก็จะเจ็บขึ้นมาถึงตรงลิ้นปี่ โดยไม่ได้เกี่ยวว่าเราจะท้องว่าง หรืออิ่มแล้ว

สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะ 4

  • เมื่อเวลาที่เรานอนหลับก็มีอาการปวดท้องจนทำให้ต้องตื่น เป็นอาการที่เกิดขึ้นแบบไม่แน่นอน

สัญญาณเสี่ยงเกิดโรคกระเพาะ 5 

  • มีอาการปวดท้องมากๆ จนอาจเกิดอาการข้างเคียง คือ อาเจียน หรือบางทีถึงขั้นที่ถ่ายเป็นเลือด


ในความเป็นจริง การที่จะวิเคราะห์ว่าผู้ป่วยนั้นมีอาการปวดท้องอันเกิดมาจากโรคกระเพาะอักเสบหรือไม่ ก็ยังมีความก้ำกึ่งของลักษณะการปวดในโรคอื่นๆ อยู่เช่นกัน เพราะบางอาการปวดที่เกิดขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าจะเป็นโรคกระเพาะเสมอไป ซึ่งแม้แต่แพทย์เองก็ยังต้องมีการทดสอบว่าเป็นโรคกระเพาะอักเสบจริง หรือว่าป่วยด้วยโรคอื่น เพื่อให้เกิดผลดีต่อการรัษาและการดูแลตนเองของผู้ป่วย จึงมีความจำเป็นที่จะต้องศึกษาถึงอาการปวดท้องเนื่องจากสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วย เพื่อจะได้ลดความวิตกกังวลไป

การวินิจฉัยผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะ

โดยปกติแล้วผู้ป่วยที่มีอาการเข้าข่ายว่าจะเป็นโรคกระเพาะนั้นเมื่อเดินมาทางมาให้แพทย์ได้ทำการตรวจวินิจฉัย แพทย์ก็จะทำการสอบถามประวัติและลักษณะอาการที่เป็นเบื้องต้น จากนั้นจึงจะทำการตรวจร่างกายเพื่อหาสาเหตุที่แน่ชัดว่าอาจเข้าข่ายเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบหรือไม่ รวมถึงทำการตรวจพิเศษอื่นๆ เพิ่มเติม อาทิ การส่องกล้องตรวจกระเพาะอาหาร (Endoscopy) , การเอกซเรย์กระเพาะอาหารด้วยการกลืนแป้งแบเรียมเพื่อตรวจดูความผิดปกติ หรืออาจมีการตรวจหาเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไร ด้วยการตรวจเลือด ตรวจอุจจาระ หรือการตรวจด้วยวิธีการพ่นลมหายใจ เป็นต้น

การรักษาผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะ

โดยส่วนมากผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบมักจะรักษาตามอาการเป็นหลัก ซึ่งหากผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบจากการติดเชื้อเฮลิโคแบคเตอร์ ไพโลไรที่มักพบได้บ่อย แพทย์ก็จะทำการรักษาด้วยการใช้ยาปฏิชีวนะ เช่น ยาคลาริโธรมัยซิน (Clarithromycin) , ยาอะมอกซิซิลลิน (Amoxicillin) หรือยาเมโทรนิดาโซล (Metronidazole) เพื่อช่วยการฆ่าเชื้อ

ในกรณีที่ผู้ป่วยเป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบจากสาเหตุอื่นๆ แพทย์ก็จะรักษาไปตามอาการ เพื่อเป็นการประคับประคองและช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกดีขึ้น อาทิ จ่ายยาลดกรดในกลุ่มโปรตอน ปั๊ม อินฮิบิเตอร์ (Proton Pump Inhibitors) หรือเอช 2 รีเซพเตอร์ แอนตาโกนีสต์ (H2-Receptor Antagonist หรือ H2 Blocker) เพื่อช่วยให้เกิดการหลั่งกรดและรักษาแผลที่เกิดในกระเพาะอาหาร

นอกจากนั้น ผู้ป่วยที่เป็นโรคกระเพาะอาหารอักเสบเรื้อรังจากการรับประทานยาในกลุ่มยาบรรเทาอาการปวด แพทย์ก็จะแนะนำให้หยุดพฤติกรรมการใช้ยาในเบื้องต้น รวมถึงทำการปรับเปลี่ยนยาที่อยู่ในกลุ่มเดียวกันให้แทน อีกทั้งแพทย์ก็จะแนะนำให้หยุดพฤติกรรมที่อาจส่งผลให้อาการแย่ลง อาทิ การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน , เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ รวมไปถึงการสูบบุหรี่

เมื่อเป็น “โรคกระเพาะ” ต้องกินยาแบบไหน ? นานเท่าไหร่ ?

โดยปกติแล้วเมื่อเราเป็นโรคกระเพาะก็จะต้องกินยาอยู่ 2 กลุ่ม คือ ยาลดกรดในกระเพาะอาหาร และยากระตุ้นการบีบตัวของกระเพาะอาหาร ซึ่งถ้าผู้ป่วยมีแผลเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร แพทย์ก็จะแนะนำให้กินยาลดกรดต่อเนื่อเป็นเวลา 6 – 8 สัปดาห์ หรือจนกว่าแผลจะหายผ่านการดูด้วยการส่องกล้องทางเดินอาหาร ส่วนผู้ป่วยที่ไม่มีความผิดปกติในเบื้องต้น แพทย์ก็มักจะแนะนำให้กินยาลดกรดเฉพาะเมื่อมีความผิดปกติเกิดขึ้นเท่านั้น ส่วนยาประเภทอื่นๆ อาทิ ยาขับลม ก็แนะนำว่าให้กินเฉพาะตอนที่มีอาการแน่นท้องจากลมที่เกิดขึ้นมากในกระเพาะอาหาร โดยกินในเวลาที่มีอาการได้ตามต้องการ

การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคกระเพาะ

  1. รับประทานอาหารให้ตรงเวลา
  2. รับประทานอาหารอ่อนที่ย่อยง่าย และควรเคี้ยวอาหารให้ละเอียด
  3. หลีกเลี่ยงสิ่งระคายเคืองต่อกระเพาะอาหาร เช่น ยาชุด ยาแก้ปวดข้อ ยาแก้ปวดแอสไพริน ยาที่มีสเตียรอยด์ น้ำอัดลม อาหารรสจัด เครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ อาหารหรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีน เช่น ช็อคโกแลต ชา กาแฟ เป็นต้น
  4. งดสูบบุหรี่
  5. อาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อไม่ควรมีปริมาณมากเกินไป
  6. ถ้าเครียดพยายามลดความเครียด เช่น ดูหนัง ฟังเพลง ทำสมาธิ การฝึกผ่อนคลายกล้ามเนื้อ เป็นต้น
  7. หมั่นออกกำลังกาย
  8. รับประทานยาลดกรด ยาน้ำ 1 – 2 ช้อนโต๊ะ หรือยาเม็ด 1 – 2 เม็ด (เคี้ยวก่อนกลืน) วันละ 4 ครั้ง เช้า กลางวัน เย็นหลังอาหาร 1 ชั่วโมง และก่อนนอน กรณีมีอาการปวดท้องก่อนเวลายาสามารถรับประทานเพิ่มได้และควรรับประทานยาติดต่อกันนานอย่างน้อย 4 – 8 สัปดาห์
  9. ถ้าปฏิบัติตามนี้แล้วอาการไม่ดีขึ้น ควรไปพบแพทย์ที่โรงพยาบาล เพื่อการตรวจวินิจฉัยที่แน่นอน
  10. รับประทานยาสม่ำเสมอตามที่แพทย์แนะนำ

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


Speak English at Work สนทนาภาษาอังกฤษ ในที่ทํางาน ทำงานลื่นไม่มีสะดุด!

ภาษาอังกฤษนอกจากจะถูกใช้เป็นภาษาสากลแล้ว ก็ยังมีบทบาทและความสำคัญในบริบทมากมาย ไม่ว่าจะเป็นในชีวิตประจำวัน รั้วโรงเรียน มหาวิทยาลัย หรือ ที่ทำงาน! โดยเฉพาะอย่างยิ่งการ สนทนาภาษาอังกฤษ ในที่ทํางาน ซึ่งภาษาอังกฤษจะช่วยเพิ่มความเข้าใจในการทำงานร่วมกับผู้อื่น และสร้างความสัมพันธ์ที่เป็นสิ่งสำคัญต่อความเป็นอยู่ที่ดีและประสิทธิผลในการทำงานอีกด้วย เนื่องจากความสัมพันธ์เชิงบวกทำให้เรารู้สึกมีพลังและมีแรงจูงใจในการทำงานมากขึ้น

หากคุณได้ทำงานในองค์กรที่มีทั้งหัวหน้า ลูกน้อง หรือเพื่อนร่วมงานเป็นชาวต่างชาติ มาดูเหตุผลกันก่อนว่าการใช้ภาษาอังกฤษมีความสำคัญมากน้อยแค่ไหน เพื่อให้การสนทนาภาษาอังกฤษในที่ทำงานเป็นไปอย่างราบรื่น

ทำไมต้องเรียนรู้ สนทนาภาษาอังกฤษ ในที่ทํางาน สำคัญมากน้อยแค่ไหน

ปัจจุบันบริษัทส่วนใหญ่ในประเทศของเรามีทั้งลูกค้าที่เป็นทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมไปถึงเพื่อนร่วมงานที่เป็นชาวต่างชาติด้วยเช่นกัน ดังนั้นการฝึกทักษะด้านการฟัง (listening) และการพูด (speaking) เพื่อ สนทนาภาษาอังกฤษ ในที่ทํางาน จึงเป็นเรื่องที่สำคัญอย่างมาก เพื่อให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างถูกต้องและเพื่อให้การทำงานราบรื่นไม่มีสะดุด ยิ่งกว่านั้นหากคุณมีทักษะการใช้ภาษาอังกฤษในระดับที่ดี ก็มีโอกาสทางหน้าที่การงานมากขึ้นด้วย เช่น การได้เลื่อนตำแหน่ง หรือ การสมัครงาน ยิ่งเป็นบริษัทใหญ่ที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นหลักแล้ว การพูดและการฟังถือเป็นทักษะสำคัญที่ขาดไม่ได้เลย

คำศัพท์น่ารู้ใช้บ่อย สนทนาภาษาอังกฤษ ในที่ทํางาน

ก่อนจะไปดูตัวอย่างประโยคภาษาอังกฤษที่ใช้บ่อยเพื่อสนทนาในที่ทำงาน เรามาดู 25 คำศัพท์ วลี และตัวย่อ กันก่อน ว่ามีอะไรน่ารู้บ้าง ซึ่งช่วยให้นำไปประยุกต์ใช้ในประโยคได้หลากหลายมากขึ้น

  1. Go out …. be back at ….

= การออกไปข้างนอกและจะกลับมาเวลา …..

  1. Could … contact …. later?

= ช่วยติดต่อ … ในภายหลังได้หรือไม่

  1. Team will be based in ….

= ทีม … จะประจำอยู่ที่ …

  1. As an action point, …

= เพื่อเป็นการดำเนินการตอบรับ … , (ประโยค)

  1. To upskill …

= เพื่อพัฒนาทักษะ …

  1. Get to work …

= ไปทำงาน

  1. FYI (for your information)

= เพื่อเป็นการแจ้งให้ทราบ

  1. Forward Planning

= การวางแผนล่วงหน้า

  1. … To manage the workflow

= จัดการกระบวนการทำงาน

  1. Verb to be + responsible for …

= มีหน้าที่รับผิดชอบ

  1. … To read the contract carefully

= อ่านสัญญาอย่างรอบคอบ

  1. deadline for submitting … (อาจเป็นรายงาน หรือ ภาระงาน)

= กำหนดการในการส่ง …

  1. … hire new personnel

= จ้างพนักงานใหม่

  1. …. need to streamline

= จำเป็นต้องปรับปรุง จัดระเบียบให้มีประสิทธิภาพ

  1. Receive promotion

= ได้รับการเลื่อนขั้น, ได้เลื่อนตำแหน่ง

  1. Need to communicate …

= เราจำเป็นต้องมีการสื่อสารเรื่อง …

  1. Workload

= ปริมาณงาน

  1. Retention tool

= เครื่องมือการเก็บรักษา (รักษาพนักงานให้คงอยู่)

  1. In a position as, of

= ดำรงตำแหน่ง, ทำงานในฐานะ

  1. Attend the meeting

= เข้าร่วมการประชุม

  1. Overplay your hand

= เรียกร้องมากเกินไป

  1. Call it a day

= เลิกงานและกลับบ้าน

  1. On the same page

= คิดเหมือนกัน

  1. Step up to the plate

= ทำอะไรสักอย่างที่ต้องมีใครรับผิดชอบทำ

  1. Team up with

= ร่วมมือกันทำงานเป็นทีม

ตัวอย่างการใช้ประโยค

หลังจากที่ได้รู้คำศัพท์ วลี และตัวย่อ ที่ได้ใช้บ่อยในที่ทำงานกันแล้ว เรามาดูตัวอย่างประโยค เพื่อให้เราสามารถนำประโยคไปใช้ได้อย่างถูกต้องและดูเป็นมืออาชีพมากขึ้น ทุกคนสามารถนำไปปรับใช้กันได้เลย แล้วอย่าลืมปรับเรื่อง Tense ก่อนนำไปพูดด้วยนะ โดยมีตัวอย่างประโยคดังต่อไปนี้

  1. I am going out for lunch, and I will be back to the office at 2.30 pm.
  • ฉันกำลังจะออกไปทานอาหารกลางวัน และฉันจะกลับมาออฟฟิศช่วงบ่ายเวลา 14:30 น.
  1. The manager is with a customer at this moment. Could you contact her later?
  • ผู้จัดการติดลูกค้าอยู่ในขณะนี้ รบกวนคุณช่วยติดต่อเขากลับภายหลังได้หรือไม่
  1. The product team will be based in a new headquarter office from now on.
  • ต่อไปนี้ทีมผลิตจะประจำอยู่ที่สำนักงานใหญ่แห่งใหม่ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
  1. As an action point, I will listen to some training videos this evening.
  • เพื่อเป็นการดำเนินการตอบรับ (สิ่งที่ได้อบรมมา) ฉันจะฟังวิดีโอการฝึกอบรมในเย็นนี้
  1. Our boss thought it would be better to upskill the junior colleagues rather than hire any new senior.
  • เจ้านายของเราคิดว่าจะดีกว่า ถ้าเราพัฒนาทักษะเพื่อนร่วมงานรุ่นน้อง แทนที่จะจ้างพนักงานรุ่นใหญ่มาใหม่
  1. How long does it take you to get to work?
  • คุณใช้เวลาเดินทางมาถึงออฟฟิศนานเท่าไหร่
  1. FYI, I sent the email that you asked me to send yesterday.
  • ต้องการแจ้งให้ทราบ ฉันส่งอีเมลที่คุณขอเมื่อวานให้แล้วนะ
  1. The company system requires more forward planning.
  • ระบบของบริษัทจำเป็นต้องมีการวางแผนล่วงหน้ามากขึ้น
  1. In order to ensure that no single person is in charge of all tasks, the company needs to manage the workflow in the facility.
  • เพื่อให้แน่ใจว่าไม่มีใครต้องรับผิดชอบงานทั้งหมดแต่เพียงคนเดียว บริษัทจึงควบคุมขั้นตอนการทำงานของโรงงาน
  1. My coworkers and I are responsible for working together to finish the project on time.
  • เพื่อนร่วมงานของฉันและฉันมีหน้าที่รับผิดชอบทำงานร่วมกันเพื่อให้โปรเจกต์เสร็จลุล่วงได้ทันเวลา
  1. Don’t forget to read the contract carefully before signing it.
  • อย่าลืมอ่านสัญญาให้ครบถ้วนก่อนเซ็นเอกสารล่ะ
  1. The deadline for submitting the report is next Monday.
  • กำหนดเวลาในการส่งรายงานคือวันจันทร์หน้า
  1. Our company is hiring new personnel for the new project next month.
  • บริษัทของเรากำลังหาพนักงานใหม่ เพื่อทำโปรเจกต์ใหม่ในเดือนถัดไปอยู่
  1. We need to streamline this service as it is too complicated to handle.
  • เราจำเป็นต้องจัดระบบงานบริการ เนื่องจากงานนี้มีความซับซ้อนเกินไปเกินกว่าจะรับไหว
  1. She received a promotion because of her dedication to work.
  • หล่อนได้รับการเลื่อนขั้นเพราะความทุ่มเทให้กับงานของเธอ
  1. We need to communicate our strategy to all stakeholders and also report them the expectations.
  • เราจะต้องสื่อสารเรื่องกลยุทธ์แก่ผู้ถือหุ้นทั้งหมดและรายงานพวกเขาเกี่ยวกับความคาดหวังที่จะได้รับด้วย
  1. They are always complaining about their heavy workload due to unsystematic.
  • พวกเขาบ่นเรื่องงานหนักมาตลอดเวลา ซึ่งเกิดขึ้นจากการทำงานที่ไม่เป็นระบบ
  1. Health benefits are an important factor as a retention tool.
  • ผลประโยชน์ด้านสุขภาพเป็นปัจจัยสำคัญในการรักษาพนักงานให้คงอยู่
  1. My brother now is in a position as the Marketing Manager for this company.
  • ขณะนี้พี่ชายของฉันดำรงตำแหน่งเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดของบริษัทนี้
  1. Our colleagues will attend the meeting, and let’s have it to discuss these problems.
  • เพื่อนร่วมงานของเราจะเข้าร่วมประชุม และเราจะประชุมกันเพื่อหารือเกี่ยวกับปัญหาเหล่านี้กันเถอะ
  1. He overplayed his hand in the negotiation by demanding too much, causing the deal to fall through.
  • เขาเรียกร้องมากเกินไปในการเจรจาจนทำให้ข้อตกลงล้มเหลว
  1. We have been working for five hours and everyone is tired. I say let’s call it a day now!
  • เราทำงานกันมาเป็นเวลาห้าชั่วโมงแล้วและทุกคนก็เหนื่อยกันหมดแล้ว ฉันว่า ตอนนี้เราควรหยุดได้แล้ว!
  1. I want to make sure that everyone is on the same page before we make any decisions today.
  • ฉันต้องการให้แน่ใจว่าทุกคนเห็นพ้องต้องกันก่อนที่เราจะตัดสินใจในวันนี้
  1. It’s time for junior teammates to step up to the plate and take on their share of work.
  • ถึงเวลาแล้วที่เพื่อนร่วมทีมรุ่นน้องจะต้องก้าวขึ้นมาและทำหน้าที่ของตนเอง
  1. I am looking for someone to team up with on this project.
  • ฉันกำลังมองหาใครสักคนเพื่อร่วมทีมสำหรับโครงการนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก engduothailand.com


เจาะลึกความสามารถ “Google Flood Hub” AI พยากรณ์น้ำท่วม-รับเสี่ยงพายุ

รู้จัก Google Flood Hub แพลตฟอร์มที่นำความสามารถของ AI มาใช้ในการพยากรณ์อากาศแบบเรียลไทม์ และคาดการณ์ล่วงหน้าได้ 7 วัน เพื่อให้เตรียมตัวรับน้ำท่วมได้ทันท่่วงที

หลายคนกำลังกังวลกับพายุโซนร้อน “ซูลิก” ที่มีความรุนแรงน้อง ๆ พายุ”ยางิ”   ซึ่งคาดขึ้นฝั่งเวียดนาม 21 ก.ย.นี้ หลังจากนั้นจะฟาดหางมาทางภาคเหนือ ภาคอีสานตอนบนของไทย ทำให้ฝนตกหนักอีกรอบระหว่างวันที่ 21-23 ก.ย.นี้ ขณะที่แทบทุกภาคของไทยโดนอิทธิพลจากร่องฝนที่เลื่อนลงมา ทำให้ฝนตกหนักถึงวันที่ 24 ก.ย.

วันนี้ “ฐานเศรษฐกิจ” พาไปรู้จักเครื่องมือของ Google  มีนำเอาความสามารถของ AI  มาใช้ในการพยากรณ์อากาศแบบเรียลไทม์  สามารถพยากาณ์ล่วงหน้าได้  7 วัน  ช่วยให้เตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วมล่วงหน้าได้ดีขึ้น

Google Flood Hub เป็นแพลตฟอร์มที่พัฒนาโดย Google เพื่อคาดการณ์และแจ้งเตือนเหตุการณ์น้ำท่วมล่วงหน้า โดยใช้ข้อมูลเชิงลึกจากการวิเคราะห์และประมวลผลข้อมูลหลายประเภท เช่น สภาพอากาศ ภูมิประเทศ และข้อมูลประวัติการเกิดน้ำท่วม เพื่อทำนายระดับน้ำท่วมในพื้นที่เสี่ยง ช่วยในการเตรียมตัวรับมือกับน้ำท่วมล่วงหน้าได้ดีขึ้น

Google Flood Hub อัปเดตข้อมูลการคาดการณ์น้ำท่วมเป็นรายวัน โดยข้อมูลคาดการณ์นี้สามารถทำนายได้ล่วงหน้าถึง 7 วัน จากเดิมที่เคยให้ข้อมูลล่วงหน้าได้เพียง 48 ชั่วโมง  โดยใช้ข้อมูลจากแหล่งต่าง ๆ เช่น การพยากรณ์อากาศและภาพถ่ายดาวเทียม  การผสมผสานเทคโนโลยี ช่วยให้ Google Flood Hub สามารถให้การพยากรณ์ที่แม่นยำและเป็นประโยชน์ในการเตรียมการรับมือน้ำท่วม

จุดเด่นของ Google Flood Hub

– พยากรณ์น้ำท่วมล่วงหน้าได้ถึง 7 วัน ใช้ AI และข้อมูลจากหลายแหล่ง เช่น พยากรณ์อากาศ ภาพถ่ายดาวเทียม และแบบจำลองทางอุทกวิทยา เพื่อคาดการณ์พื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมล่วงหน้า และคาดการณ์ว่า ระดับน้ำจะลดลงเมื่อใด

– สามารถแสดงข้อมูลปริมาณน้ำและพื้นที่ได้รับผลกระทบ โดยจะบอกระดับน้ำที่คาดการณ์ไว้ในแต่ละพื้นที่ และแสดงแผนที่แสดงพื้นที่ที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม

– การใช้งาน ครอบคลุมพื้นที่ใน 80 ประเทศทั่วโลก รวมถึงประเทศไทยด้วย รองรับภาษาไทย

เครื่องมือนี้ จะมีส่วนช่วยลดความเสียหายจากน้ำท่วม โดยมีโอกาสเพิ่มความปลอดภัยให้กับประชาชนในพื้นที่เสี่ยง หรือช่วยให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องสามารถบริหารจัดการน้ำและให้ความช่วยเหลือได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้นครับ โดยเฉพาะกับพื้นที่ ที่ต้องรับมวลน้ำจากแนวแม่น้ำต่าง ๆ  ก็จะมีเวลาเตรียมตัวรับมือได้เร็วขึ้นด้วย 

เทคนิคที่ใช้ใน Google Flood Hub:

Machine Learning (ML): Google Flood Hub ใช้เทคนิคการเรียนรู้ของเครื่องเพื่อสร้างโมเดลการทำนายน้ำท่วม โดยโมเดลนี้จะเรียนรู้จากข้อมูลในอดีต เช่น ปริมาณฝน ระดับน้ำในแม่น้ำ และลักษณะภูมิประเทศ เพื่อคาดการณ์ความเป็นไปได้ของน้ำท่วมในอนาคต

Hydrological Modeling: โมเดลที่ใช้ในการจำลองการไหลของน้ำในแม่น้ำและภูมิประเทศ เพื่อทำนายระดับน้ำท่วมในสถานการณ์ต่าง ๆ

Satellite Imagery & Remote Sensing: ใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมและเทคโนโลยีตรวจจับระยะไกลเพื่อวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของน้ำและพื้นที่ รวมถึงการตรวจจับน้ำท่วมที่เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่บางส่วน

AI for Social Good: Flood Hub เป็นส่วนหนึ่งของโครงการ AI for Social Good ของ Google ซึ่งใช้ปัญญาประดิษฐ์เพื่อแก้ปัญหาทางสังคม โดย Flood Hub เน้นไปที่การช่วยชีวิตและลดความเสียหายจากภัยพิบัติน้ำท่วม

ขอบคุณข้อมูลจาก thansettakij.com


“น้ำมะพร้าว” กับ “น้ำกะทิ” ต่างกันอย่างไร แบบไหนประโยชน์มากกว่า

น้ำมะพร้าว และ กะทิ เป็นของเหลวที่มาจากมะพร้าวทั้งคู่ แต่หลายคนยังสับสนและสงสัยว่าทั้งสองอย่างนี้มีความแตกต่างกันอย่างไร และอันไหนให้ประโยชน์มากกว่ากัน

น้ำมะพร้าว ต่างจาก น้ำกะทิอย่างไร 

น้ำมะพร้าว คือน้ำใสๆ ที่อยู่ภายในลูกมะพร้าว ซึ่งเป็นแหล่งของน้ำตาลธรรมชาติ วิตามิน และแร่ธาตุต่างๆ เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และโซเดียม ทำให้น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มที่ช่วยดับกระหายและให้พลังงานได้อย่างรวดเร็ว

กะทิ เกิดจากการนำเนื้อมะพร้าวมาคั้นกับน้ำ จึงมีเนื้อสัมผัสข้นและมีไขมันสูงกว่าน้ำมะพร้าว กะทิให้รสชาติหอมมันและมักถูกนำไปใช้ในการปรุงอาหารและขนมหวานต่างๆ

น้ำมะพร้าว กับ น้ำกะทิ แบบไหนประโยชน์มากกว่า

น้ำมะพร้าว มีประโยชน์หลากหลายด้านดังนี้

1. ดับกระหายและบำรุงร่างกาย:

  • เติมเต็มพลังงาน: น้ำมะพร้าวอุดมไปด้วยวิตามินและแร่ธาตุมากมาย เช่น โพแทสเซียม แมกนีเซียม และวิตามินซี ช่วยให้ร่างกายสดชื่นและมีพลัง
  • ฟื้นฟูร่างกายหลังออกกำลังกาย: น้ำมะพร้าวเป็นเครื่องดื่มกีฬาจากธรรมชาติ ช่วยทดแทนน้ำและเกลือแร่ที่สูญเสียไประหว่างออกกำลังกาย
  • บรรเทาอาการขาดน้ำ: ไม่ว่าจะเป็นอาการปวดหัว คลื่นไส้ หรือเวียนหัว น้ำมะพร้าวก็ช่วยบรรเทาอาการเหล่านี้ได้อย่างรวดเร็ว

2. ดูแลผิวพรรณให้สวยใส:

  • เพิ่มความชุ่มชื้น: น้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวพรรณชุ่มชื้น อิ่มน้ำ และเปล่งปลั่ง
  • ลดเลือนริ้วรอย: คอลลาเจนและอิลาสตินในน้ำมะพร้าวช่วยให้ผิวเต่งตึงและลดเลือนริ้วรอย
  • ปกป้องผิวจากอนุมูลอิสระ: สารต้านอนุมูลอิสระในน้ำมะพร้าวช่วยชะลอความเสื่อมของเซลล์ผิว

3. บำรุงสุขภาพภายใน:

  • ช่วยระบบย่อยอาหาร: น้ำมะพร้าวช่วยบรรเทาอาการอาหารไม่ย่อยและกรดไหลย้อน
  • บำรุงไต: ช่วยขับของเสียออกจากร่างกาย
  • เสริมสร้างภูมิคุ้มกัน: วิตามินและแร่ธาตุต่างๆ ช่วยเสริมสร้างระบบภูมิคุ้มกันให้แข็งแรง

4. อื่นๆ:

  • ช่วยลดความดันโลหิต
  • ช่วยลดระดับน้ำตาลในเลือด
  • บรรเทาอาการเมาค้าง

กะทิ มีปริมาณแคลอรี่ค่อนข้างสูง โดยไขมันอิ่มตัวคิดเป็นสัดส่วนถึง 93% ของแคลอรี่ทั้งหมด ซึ่งรวมถึงกรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCT) ที่เป็นประโยชน์ต่อสุขภาพด้วย กะทิสดที่คั้นเองใหม่ๆ จะมีวิตามินและแร่ธาตุครบถ้วนกว่ากะทิสำเร็จรูปที่ผ่านกระบวนการผลิตหลายขั้นตอน ทำให้สูญเสียคุณค่าทางอาหารไปบ้าง แม้กะทิสำเร็จรูปบางชนิดจะเสริมวิตามินเข้าไปก็ตาม การเลือกใช้กะทิสดจึงเป็นการรับประทานอาหารที่เป็นธรรมชาติและได้คุณค่าทางอาหารสูงสุด

นอกจากนี้กรดไขมันอิ่มตัวสายกลาง (MCT) ในกะทิมีคุณสมบัติพิเศษที่ช่วยให้ร่างกายเผาผลาญพลังงานได้ดีขึ้น เมื่อเรารับประทานกะทิ MCT จะถูกดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและส่งตรงไปยังตับเพื่อเปลี่ยนเป็นพลังงานทันที ทำให้ร่างกายไม่นำไขมันที่สะสมมาใช้เป็นพลังงาน ส่งผลให้ไขมันสะสมลดลง และช่วยในการลดน้ำหนักได้ในระยะยาว

ถึงแม้จะมีงานวิจัยบางส่วนที่ชี้ให้เห็นว่ากรดไขมันอิ่มตัวสายกลางในกะทิอาจมีส่วนช่วยในการลดน้ำหนักและเพิ่มอัตราการเผาผลาญ แต่ก็ยังจำเป็นต้องมีการศึกษาเพิ่มเติมเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของกะทิในการลดน้ำหนักอย่างชัดเจนและครอบคลุมมากขึ้น 

ขอบคุณข้อมูลจาก sanook.com


ราคาทองตามประกาศของสมาคมค้าทองคำ ประจำวันที่ 19/09/2567

ชนิดทองราคารับซื้อ กรัมละราคารับซื้อ บาทละราคาขาย บาทละ
ทองคำแท่ง 96.5%n/a40,400.0040,500.00
ทองรูปพรรณ 96.5%2,617.0039,673.7241,000.00
ทองรูปพรรณ 90%2,355.3035,706.35n/a
ทองรูปพรรณ 80%2,093.6031,738.98n/a
ทองรูปพรรณ 50%1,178.0017,858.48n/a
ทองรูปพรรณ 40%916.0013,886.56n/a
ทองรูปพรรณ 99.99%2,712.0041,113.92n/a

ราคาน้ำมันประจำวัน ราคาน้ำมันประจำวันที่ 19/09/2567


ปตท.

บางจาก

เชลล์

เอสโซ่

คาลเท็กซ์
ราคาน้ํามันไออาร์พีซี irpc
ไออาร์พีซี

พีที
ราคาน้ํามันซัสโก้ susco
ซัสโก้
ราคาน้ํามันเพียว PURE
เพียว
ราคาน้ํามันพรุ่งนี้
พรุ่งนี้
แก๊สโซฮอล์ 9535.3535.3535.6535.3535.3535.3535.3535.3535.3535.35
แก๊สโซฮอล์ 9134.9834.9835.2834.9834.9834.9834.9834.9834.9834.98
แก๊สโซฮอล์ E2033.2433.2433.5433.2433.2433.2433.2433.2433.24
แก๊สโซฮอล์ E8532.9932.9932.99
แก๊สโซฮอล์ 95 พรีเมี่ยม43.9449.8449.8449.8443.94
เบนซิน 9543.4449.8143.9443.5943.44
ดีเซล32.9432.9433.2432.9432.9432.9432.9432.9432.9432.94
ดีเซลพรีเมี่ยม44.9447.1449.8447.1447.1444.94
แก๊ส NGV18.5918.5918.59
About the Author

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า